Elixir Supplier 519-530
519 ทดสอบยาสูตรใหม่
แน่นอนว่า หวังเย้ารู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ความจริงแล้ว ถ้าหากดูกันที่ความสามารถ เขาก็อาจจะเป็นหมอที่เก่งที่สุดในเมืองหรือแม้กระทั่งจังหวัดเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปพูดถึงเมืองเล็กๆแบบนี้เลย
ในตอนนี้เขากำลังทดสอบสูตรยาตัวใหม่อยู่ เขาได้รับสมุนไพรรากชนิดใหม่มาสองสามตัว ซึ่งกำลังเติบโตเป็นอย่างดีอยู่ในแปลงสมุนไพร เขายังเหลือยาอายุวัฒนะอยู่อีกบางส่วน เขาต้องการที่จะเพิ่มสมุนไพรลงไปในสูตรยาของยาอายุวัฒนะ เพื่อให้ประสิทธิภาพของตัวยาเพิ่มขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะจินตนาการของเขาล้วนๆ
หวังเย้าต้องการสร้างสูตรยาที่สามารถรักษาได้ทุกโรค คล้ายกับยาวิเศษในเทพนิยาย เขาต้องการให้ยาตัวใหม่สามารถรักษาได้ทุกโรคและยืดอายุให้ผู้ที่กินยาเข้าไปได้ด้วย
นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของเขา มันเป็นความคิดที่วิเศษ แต่มันต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ติ้ง! โอม!
ในตอนที่เขากำลังยุ่งอยู่กับงานอยู่นั้น ก็มีเบอร์แปลกๆโทรเข้ามา
“หืม?”
หวังเย้ามองดูเบอร์และกดรับสาย
“ฮัลโหล ผมกำลังพูดอยู่กับหวังเย้าใช่รึเปล่า?” น้ำเสียงแหบแห้งราวกับได้รับความเสียหายมาดังมาจากปลายสาย
“ใช่ นี่ใครพูดครับ?” หวังเย้าถาม
ตู๊ด!ตู๊ด!ตู๊ด! คนที่อยู่ปลายสายกดวางสายไป
“ใครกัน?” หวังเย้างุนงง
มีคนโทรมาเพื่อยืนยันว่าถูกเบอร์รึเปล่าด้วยเหรอ? เขากดบันทึกเบอร์แปลกนี้เอาไว้และทำงานของเขาต่อไปจนดึกดื่น
หวังเย้ามองดูท้องฟ้ายามราตรีอยู่ที่หน้ากระท่อม เขาพอจะมองเห็นดวงดาวด้านหลังม่านเมฆได้ลางๆ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ ราวกับเขาสามารถมองเห็นของที่อยู่ภายในกล่องได้
เมื่อเขาอยู่บนเนินเขา เขาก็จะสามารถมองดูท้องฟ้าเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ เขาทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขาพบว่า เขาสามารถมองเห็นอะไรได้มากขึ้นและเริ่มมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังก้อนเมฆได้ด้วย
“พรุ่งนี้ จะเป็นวันที่สดใส” หวังเย้าพึมพำ
…
ค่ำคืนในปักกิ่งยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและแสงสี เพราะผู้ต้องทำงานในตอนกลางวัน เวลากลางคืนทุกคนจึงออกมาปลดปล่อยความเครียดและทำให้ปักกิ่งดูคึกคักยิ่งกว่าตอนกลางวัน มันเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและหาความสุขใส่ตัวเองในยามราตรี ส่วนเรื่องการนอนนั้น มันไม่ได้จำเป็นสำหรับพวกเขานัก
ซูฉางเหอกับหลูเสี่ยวเหมยได้นัดพบกันในคาเฟ่น่านั่งแห่งหนึ่ง
“ว่าไง เสี่ยวเหมย มีเรื่องด่วนอะไรเหรอ? ปกติเธอไม่เคยนัดพบฉันดึกแบบนี้มาก่อนเลยนะ” ซูฉางเหอพูด
“ฉันไปตรวจกับอีกโรงพยาบาลหนึ่งมา” หลูเสี่ยวเหมยพูดในขณะที่เธอมองแสงสีที่อยู่ด้านนอกร้าน
“แล้วเป็นยังไงบ้าง?” ซูฉางเหอถาม
“ผลตรวจออกมาว่า ฉันหายดีแล้ว” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย” ซูฉางเหอพูด
“แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” หลูเสี่ยวเหมยพูด
ถึงแม้ผลตรวจเลือดจะไม่ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่า หลูเสี่ยวเหมยเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว เพราะความผิดพลาดของผลตรวจมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น อาจมีความต่างของตัวเลขจาก 99 อาจเป็น 100 มันไม่มีทางผิดพลาดจาก 60 เป็น 100 ได้
“เรื่องนี้ง่ายมาก พรุ่งนี้เธอมาตรวจที่โรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่สิ” ซูฉางเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
“พอฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็มีความสุขมากเลยล่ะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“ฉันพอจะมองออก” ซูฉางเหอพูด
“นายรู้ไหม ที่ผ่านมาฉันรู้สึกเหมือนแบกทุกอย่างเอาไว้บนบ่า ฉันเหนื่อเหลือเกิน ฉันถึงขนาดคิดอยากตายด้วยซ้ำ แต่ถ้าฉันตายแล้วเสี่ยวเซียวจะทำยังไง? หมอหวังได้มอบความหวังให้กับฉัน ต้องขอบคุณนายที่พาฉันไปรักษากับเขานะ” หลูเสี่ยวเหมยยิ้ม เธอไม่ได้บอกเรื่องที่เธอป่วยกับใครเลย
“ตอนนี้เธอก็สบายใจได้แล้วนะ” ซูฉางเหอพูด
“อืม” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“พรุ่งนี้ฉันเข้าเวร ฉันจะรอเธอที่โรงพยาบาลนะ” ซูฉางเหอพูด
“โอเค” หลูเสี่ยวเหมยพูด
…
เช้าวันต่อมา พระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ และหวังเย้าก็เช่นกัน เขาวางแผนที่จะไปเยี่ยมยายของเขา มันใกล้จะถึงช่วงวันไหว้เทพแห่งครัวแล้ว เขาอยากจะไปหาตายายและเอาของขวัญไปให้พวกเขาด้วย
ตายายของหวังเย้าต่างก็ยังคงกระฉับกระเฉง ตอนที่หวังเย้าไปถึงที่บ้าน พวกเขาก็กำลังเก็บกวาดบริเวณบ้านของพวกเขาอยู่ หวังเย้าจึงเข้าไปช่วยทำความสะอาดไปตลอดทั้งเช้า จากนั้น หวังเย้าก็อยู่ทานอาหารกลางวันที่บ้านของตายาย
…
“ว้าว มันเป็นไปได้ยังไงกัน?” หมอที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกับซูฉางเหอถาม
“อะไรเหรอ หมอซุน?” ซูฉางเหอถาม
“ตอนนี้ เพื่อนของคุณไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” หมอซุนพูด
“จริงเหรอ? คุณดูผลตรวจละเอียดแน่แล้วนะ?” ซูฉางเหอกำลังยิ้มอยู่
“แน่นอน ผมอ่านมันตั้งสามรอบ เอาไปดูสิ ถ้าคุณยังกังวลอยู่ คุณก็ให้เพื่อนของคุณมาตรวจที่นี่อีกรอบในอีก 15 วันข้างหน้าก็ได้” หมอซุนพูด
“โอเค ขอบคุณนะ” ซูฉางเหอพูด
“ยินดีๆ” หมอซุนพูด หลังจากที่ซูฉางเหอและหลูเสี่ยวเหมยออกไปแล้ว เขาก็เดาะลิ้นและจ้องมองไปที่ผลตรวจ
วิธีการรักษาของฉันได้ผลดีขนาดนั้นเลยเหรอ? เขายังคงสงสัยไม่หาย เพราะถึงยังไง นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาวางแผนการรักษาคนไข้ที่มีอาการป่วยคล้ายกับหลูเสี่ยวเหมย แต่มันก็ไม่เคยได้ผลดีขนาดนี้มาก่อน เขาคิดไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ตอนนี้ เธอสบายใจได้แล้วรึยัง?” ซูฉางเหอถาม
“อืม” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“ฮาฮา ฉันเดาว่า หมอซุนคงจะงงกับผลตรวจมากเลยล่ะ แล้วเธอได้รับยาที่เขาจัดให้ด้วยรึเปล่า?” ซูฉางเหอถาม
“รับสิ ฉันไม่อยากให้เขาสงสัยน่ะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“ยาพวกนั้นก็ไม่ใช่ถูกๆ ทำไมถึงได้ซื้อมาทั้งหมดล่ะ?” ซูฉางเหอถาม
“ฉันไม่ได้กินยาพวกนั้นซักเม็ด แต่เอาพวกมันไปขายให้กับร้านขายยาแทน มียาสองตัวที่เป็นที่นิยมมาก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาซื้อพวกมันในร้านขายยา” หลูเสี่ยวเหมยพูด เพื่อนคนหนึ่งของเธอเปิดร้านขายยาอยู่ เธอจึงเอายาพวกนั้นไปขายให้กับเพื่อนของเธอเอง
“ฉันอยากจะไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้ง เพื่อไปขอบคุณหมอหวัง แล้วนายพอจะรู้ไหม ว่าหมอหวังเขาชอบอะไร?” หลูเสี่ยวเหมยถาม
“อืมมม ขอฉันคิดดูก่อนนะ” ซูฉางเหอพูด “ฉันเคยเห็นตำราแพทย์กับคัมภีร์เต๋าอยู่บนโต๊ะของเขา ฉันเดาว่า เขาน่าจะชอบของพวกนั้น โดยเฉพาะของเก่า”
“ของเก่าเหรอ? ฉันเข้าใจแล้ว” หลูเสี่ยวเหมยพูด
…
ในปักกิ่งมีบ้านโบราณอยู่หลายหลัง บางส่วนถูกซื้อโดยผู้มีอำนาจและตระกูลร่ำรวย ที่เหลือก็ยังคงถูกรักษาเอาไว้โดยรุ่นลูกรุ่นหลาน
ภายในห้องนอนของบ้านเก่าหลังหนึ่ง มีหลายคนกำลังนั่งอยู่รอบเตียงหลังหนึ่ง ซึ่งมีชายชราร่างผอมแห้งนอนอยู่บนนั้น ใบหน้าของเขาแห้งตอบและอมเหลือง เขาดูราวกับต้นสนที่อมโรค
“พ่อ?” หนึ่งในลูกของชายชราร้องเรียกเขาอย่างอ่อนโยน
“อืม” ชายชราตอบกลับอย่างอ่อนแรง เขามีอาการหายใจหอบเล็กน้อย
“หมอเฉิน?” หนึ่งในลูกของชายชราพูดขึ้นมา
“อาการของพ่อเธอทรุดลงเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้” หมอเฉินพูด “ฉันพยายามยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ แต่ถ้าเธออยากจะให้อาการของเขาดีขึ้น เธอก็ต้องไปเสาะหาวิธีการรักษาจากที่อื่นมา”
“แล้วเรื่องการผ่าตัดล่ะครับ?” หนึ่งในลูกของชายชราถาม
หมอเฉินขมวดคิ้ว “พ่อของเธออายุก็มากแล้ว และอาการของเขาก็หนักขนาดนี้ ฉันไม่แนะนำให้ผ่าตัดจะดีกว่านะ”
การผ่าตัดสามารถส่งผลต่อสภาพร่างกายของตัวผู้ป่วยได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เข้ารับการผ่าตัด พวกเขาก็จะสูญเสียพลังฉีในร่างกายไปเป็นจำนวนมาก เพราะร่างกายของมนุษย์คือส่วนสำคัญที่สุด การผ่าตัดคือการผ่าเพื่อเปิดร่างกายและมันจะส่งผลต่อชีวิตของมนุษย์ เหมือนกับรถคันหนึ่ง หลังจากที่ถูกถอดอะไหล่ออก การทำงานของเครื่องยนต์ก็จะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“ผมเข้าใจแล้วครับ” หวูถงชิ่งพูด “ผมจะไปที่หมู่บ้านนั้นเดี๋ยวนี้เลย”
เขารีบเดินทางไปที่หมู่บ้านที่หวังเย้าอาศัยอยู่ในทันที
“ท่านครับ พรุ่งนี้ท่านมีนัดการประชุมนะครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
“บอกพวกเขาว่าฉันไม่เข้าประชุม” หวูถงชิ่งพูด
นี่เป็นการเดินทางมาเป็นครั้งที่สามในรอบเดือนของหวูถงชิ่ง
ในขณะเดียวกันนั้น หวังเย้าก็กำลังพบหน้ากับหลูเสี่ยวเหมย ที่เดินทางมาจากปักกิ่ง
“ดีมากครับ ผมจะให้ยาคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณค่ะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด
ตอนนี้เธอหายดีแล้ว ภาระบนบ่าของเธอได้สลายหายไป ดังนั้น เธอจึงมีความสุขอย่างมาก
“หมอหวังคะ นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆค่ะ ฉันอยากจะมอบให้คุณเพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณรักษาฉัน ฉันหวังว่าคุณจะชอบมันนะคะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“ผมขอรับไว้แค่คำขอบคุณ แต่ขอไม่รับของขวัญนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้โปรดรับมันไว้เถอะค่ะ มันก็แค่หนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“หนังสือเหรอ? หนังสือเก่าใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ก็ประมาณนั้นค่ะ มันเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาในยุคราชวงศ์ชิง ฉันได้มันมาจากห้องสมุด มันไม่ได้แพงอะไรเลยนะคะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด
“ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
เขามีความสนใจในหนังสือเก่ามาก โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับการแพทย์ แต่หลูเสี่ยวเหมยไม่ได้เอาหนังสือการแพทย์มามอบให้เขา มันคือคัมภีร์เต๋าที่มีชื่อว่า บทความไท่ช่างก่านหยิง
หลังจากที่เปิดอ่านดูได้สองสามหน้า เขาก็ถูกเนื้อหาในหนังสือดึงดูดความสนใจ มันเป็นหนังสือเก่า มันเป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง
“ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันดีใจที่คุณชอบนะคะ” หลูเสี่ยวเหมยพูด
ในตอนที่เดินออกไปจากคลินิก เธออยู่ในอารมณ์ที่ดีอย่างมาก เวลานี้เธอรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในช่วงสาย มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้าน หลังจากที่รถจอดลงตรงหน้าคลินิกของหวังเย้า ก็มีชายคนหนึ่งเดินลงมากตัวรถ
520 มองไปรอบๆ
หวังเย้ายังคงอยู่นั่งอยู่ภายในคลินิก มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา
“เชิญเข้ามาครับ” น้ำเสียงที่ไม่ได้ดังมาก แต่กลับสามารถดังผ่านหน้าต่างและสวนจนไปถึงด้านนอกได้ ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยอนอย่างชัดเจน
คนที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงของเขา แล้วจึงผลักประตูเปิดออกและเดินเข้าไป เขาก็คือ หวูถงชิ่ง ที่มีเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก
“สวัสดีครับ หมอหวัง” เขาพูด
“คุณหวู?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจ เขาคิดไม่ถึงว่า หวูถงชิ่งจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งผ่านไม่ได้ไม่นานนี้เอง เขาคิดจะมาที่นี่อีกกี่ครั้งกัน?
“ผมต้องมารบกวนคุณอีกครั้งแล้วล่ะครับ” หวูถงชิ่งรู้สึกกังวลใจอย่างมาก เมื่อพบหน้าหวังเย้า เขาก็พยายามรักษาท่าทีของตัวเองเอาไว้
“อาการของคนไข้แย่ลงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ ตอนนี้สถานการณ์อันตรายมาก” หวูถงชิ่งพูด “ได้โปรดเถอะครับ ผมขอร้อง ขอให้คุณไปปักกิ่งทีนะครับ”
ครั้งนี้ หวังเย้าไม่ได้ตอบปฏิเสธเขา หวูถงชิ่งมาที่นี่ถึงสี่ครั้ง เขามีความอดทนและแสดงความจริงใจออกมาให้หวังเย้าได้เห็น ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เขากลับไม่มีความหยิ่งผยองให้เห็นเลยสักนิด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกมาว่า “คืนนี้ คุณควรจะนอนค้างที่เหลียนชานไปก่อน แล้วผมจะเตรียมยาให้คุณเอากลับไปวันพรุ่งนี้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หวูถงชิ่งก็เบาใจ “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดินทางระวังนะครับ” หวังเย้าพูด
หวูถงชิ่งลงจากเครื่อง แล้วจึงรีบเดินทางมาที่คลินิกในทันที ความวิตกกังวลของเขาทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ เขากลับไปขึ้นรถเพื่อเอนตัวและหลับไป
“ขับช้าๆนะ” เลขาที่ตามเขามาด้วยพูดกับคนขับ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง รถขับไปตามทางบนภูเขาอย่างนิ่งเรียบ
“มีคนไข้เหรอจ๊ะ?” แม่ของหวังเย้าถาม
“ครับ มาตอนใกล้ค่ำคนหนึ่ง” หวังเย้าพูด “กินข้าวเถอะครับ”
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เขาจำเป็นต้องเตรียมสมุนไพรและทำซุปเป่ยหยวน
เขาพอจะเข้าใจอาการป่วยพ่อของหวูถงชิ่งอยู่บ้าง อาการที่ทรุดลงของคนไข้เกิดจากสาเหตุของโรคที่เขาเป็นอยู่ อีกทั้งคนไข้ยังอายุมากและป่วยหนัก ด้วยปัจจัยทั้งสองอย่างนี้ จึงทำให้ร่างกายของเขาต้องรับภาระหนักไปด้วย สถานการณ์ของเขานั้นคล้ายกับเว่ยห่าย ซูเสี่ยวซวี และซุนหยุนเชิง สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การรักษาโรค แต่คือการบำรุงร่างกายและเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายผู้ป่วย มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้ผู้ป่วยสามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้
โสม, เก๋ากี่, ซิลเวิร์ธ, เชียนชื่อ, หลินจือ, ชานจิง, กุยหยวน… หวังเย้าเตรียมสมุนไพรที่จำเป็นทั้งหมดเอาไว้สำหรับคืนนี้
หวังเย้าคิด ยาตัวนี้อาจจะแค่ช่วยเขาได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปเห็นคนไข้กับตาตัวเอง แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่า อาการของคนไข้คงจะหนักมากแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะไม่บอกให้หวูถงชิ่งอยู่ค้างคืน
“ท่านครับ เรามาถึงโรงแรมแล้วครับ” เลขาของเขาได้จัดการเรื่องห้องพักเรียบร้อยแล้ว จึงเดินกลับมาปลุกหวูถงชิ่ง
“โอ้ ดีๆ” หวูถงชิ่งตื่นขึ้นมาและลูบใบหน้าของตัวเอง “ข้างนอกหนาวจริงๆ”
อากาศหนาวเย็นมาก แต่มันก็ยังเทียบไม่ได้กับที่ปักกิ่ง
เมื่อมาถึงที่ห้องแล้ว หวูถงชิ่งก็โทรกลับไปหาครอบครัวและสอบถามถึงอาการของพ่อเขา “พี่ใหญ่ อาการพ่อเป็นยังไงบ้าง?”
“อาการของพ่อคงที่ชั่วคราว แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?” พี่ชายของเขาถาม
“ผมได้เจอเขาแล้ว เขาบอกว่า เขาจะเตรียมยาให้” หวูถงชิ่งพูด “ผมจะไปเอายาที่เขาวันพรุ่งนี้”
“เขายังไม่ยอมตกลงมาปักกิ่งเหรอ?” พี่ชายของเขาถาม
“ไม่” หวูถงชิ่งตอบ
“เขามัน…” พี่ชายของเขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ในปักกิ่ง มีน้อยคนนักที่กล้าไม่ไว้หน้าเขา ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงคนในเมืองเล็กๆอย่างเหลียนชานเลย
“พี่อย่ากังวลเลย การที่เขาตกลงมอบยาให้กับเรา มันก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วนี่” หวูถงชิ่งพูด
“ดี” พี่ชายของเขาพูด
หลังจากที่วางสายเสร็จ หวูถงชิ่งก็เข้าไปอาบน้ำและนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว
วันต่อมา อากาศในวันนี้ดูอึมครึม บนเนินเขาหนานชาน มีเสียงของฟืนที่กำลังเผาไหม้ และกลิ่นเฉพาะของตัวยาลอยออกมาจากกระท่อม
หวังเย้านั่งอยู่หน้าเตาที่มีหม้อต้มยากำลังเดือกปุดๆและเติมฟืนเข้าไปเป็นครั้งคราว ยาตัวนี้คือยาที่เขาตมบ่อยที่สุดและคุ้นเคยด้วยมากที่สุด
เขาจดจำปริมาณสมุนไพรที่ต้องใช้ ขั้นตอนการต้ม สีของตัวยา และแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงของกลิ่น เพียงแค่มองดูสีและดมกลิ่น เขาก็สามารถบอกได้ว่ายาพร้อมแล้วหรือไม่
ที่ตีนเขา หวูถงชิ่งเดินทางมาถึงที่คลินิกตั้งแต่เช้าตรู่ เขาพบว่าหวังเย้าไม่ได้อยู่ที่คลินิก ดังนั้น เขาจึงรออยู่ภายในรถและมองดูนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งคราว
“ท่านครับ ให้ผมไปดูที่บ้านของเขาดีไหมครับ?” คนขับของเขาถาม
“ไม่ต้องไป แค่รออยู่นี่ก็พอ” หวูถงชิ่งพูด
พวกเขารออยู่ภายในรถเกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะเห็นหวังเย้าเดินลงมาจากเขาอย่างช้าๆ
“ท่านครับ เขามาแล้ว” คนขับพูด
“อ้อ” หวูถงชิ่งลงไปจากรถ
“คุณมาเช้ามากเลยนะครับ!” หวังเย้ามองเห็นรถที่จอดอยู่ จึงเดินเร็วขึ้น “ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ”
“เราเพิ่งมาไม่นานเองครับ” หวูถงชิ่งยิ้ม
“เข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ ข้างนอกมันหนาว” หวังเย้าพูด
สภาพอากาศในเวลานี้ทั้งอึมครึมและเย็นเฉียบ เมื่อมีลมพัดมาโดนใบหน้า ก็ทำให้รู้สึกเจ็บได้
ภายในคลินิก หวังเย้าหยิบยาที่เขาเตรียมเอาไว้ออกมา “นี่คือซุปเป่ยหยวนครับ มันสามารถช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้”
“ยานี่แหละ!” ดวงตาของหวูถงชิ่งเป็นประกายขึ้นมา เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับมันจากเฉินเหล่าแล้ว
“นี่เป็นวิธีการใช้ยา ตัวยาจะต้องอุ่นก่อนใช้และสามารถเพิ่มได้ตามความเหมาะสมนะครับ” หวังเย้าพูด
“โอ้ โอเคครับ ขอบคุณมาก แล้วราคาล่ะครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“หนึ่งล้านครับ” หวังเย้าพูด
หวูถงชิ่งจ่ายเงินทันทีโดยไม่พูดอะไรให้มากความ นอกจากคำขอบคุณ “ขอบคุณครับ”
“รอเดี๋ยวครับ ผมมียาอยู่นี่สองสามเม็ด ผมคิดว่า ความมุ่งมั่นในหลายวันนี้ของคุณคุ้มค่าที่จะได้รับมันไป” หวังเย้าหยิบเอาเม็ดยาจิ่วเฉาออกมาสามเม็ด และมอบมันให้กับเขา “นี่คือเม็ดยาจิ่วเฉา มันสามารถใช้ในช่วงที่อาการของโรคกำเริบขึ้นมาได้”
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีความมหัศจรรย์เท่ากับยาอายุวัฒนะ แต่มันก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้เช่นกัน
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ!” หวูถงชิ่งเชื่อไปแล้วว่า มันคือตัวยาที่สามารถช่วยชีวิตคนที่ใกล้ตายให้ฟื้นกลับคืนมาได้ จากที่เฉินเหล่าเคยเล่าให้ฟัง แล้วเขาก็ได้มันมาถึงสามเม็ดด้วยกัน “แล้วเรื่องราคาล่ะครับ?”
“ไม่คิดครับ ผมให้คุณเลย” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากครับ นี่เป็นเบอร์ติดต่อของผมครับ” หวูถงชิ่งพูด “ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรในอนาคต คุณสามารถโทรหาผมได้เลย”
“ขอบคุณครับ” หวังเย้ารับกระดาษที่มีเบอร์โทรเขียนเอาไว้
เลขาของหวูถงชิ่งเหลือบดูและเห็นว่า มันคือเบอร์ส่วนตัวของหวูถงชิ่ง เขาคิดในใจ เขาใจกว้างมากจริงๆ!
หวูถงชิ่งจากไปอย่างรีบร้อน เขาเดินทางไปห่ายชิวด้วยรถยนต์ และจากนั้นก็บินต่อไปที่ปักกิ่ง ในเย็นของวันนั้น หลังจากที่เดินทางกลับมาอย่างเร่งรีบ เขาก็โทรเฉินเหล่า และขอให้มาพบเขาที่บ้าน
“ดูนี่สิครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ยาตัวนี้แหละ!” เฉินเหล่าแสดงสีหน้ายามที่เห็นตัวยาออกมาอย่างชัดเจน เขาเคยแบ่งตัวยาออกมาเล็กน้อยและทำการวิเคราะห์หาส่วนประกอบ แต่โชคร้ายที่เขาทำไม่สำเร็จ “เอาไปให้พ่อของเธอซะ”
หวูถงชิ่งไปหาพ่อของเขา แล้วเอายาให้พ่อของเขาดื่มเข้าไปพร้อมกับน้ำอุ่น สามสิบนาทีหลังจากที่ดื่มยาเข้าไป การหายใจของชายชราก็ราบรื่นขึ้นมาก
เฉินเหล่านั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้เห็นผลลัพธ์ของมันมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เขาก็ยังอดทึ่งไม่ได้อยู่ดี การเต้นของชีพจรดีขึ้น ประสิทธิภาพของตัวยานั้นเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่วินิจฉัยอย่างละเอียดแล้ว เฉินเหล่าก็ได้ผลลัพธ์เหมือนก่อนหน้านี้
“ผู้บัญชาการหวูครับ คุณพอจะแบ่งยาบางส่วนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?” หมอถาม
“เธอไม่ต้องยุ่งยากหรอก” เฉินเหล่าพูด “ฉันเคยพยายามให้คนวิเคราะห์หาส่วนประกอบแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผล”
“เฉินเหล่า เขายังให้ยาผมมาด้วยอีกสามเม็ดครับ” หวูถงชิ่งพูด พร้อมกับหยิบยาออกมา “มันคือยาอะไรเหรอครับ?”
เฉินเหล่าหยิบยามาเม็ดหนึ่งด้วยความระวัง และพิจารณาดูมัน จากนั้น เขาก็ลองดมดู
“เฉินเหล่า ใช่ยาตัวนี้รึเปล่า?” หวูถงชิ่งถาม
“เฮ้อ ฉันบอกไม่ได้หรอก ฉันแค่เคยเห็นเขาใช้มันก็เท่านั้น” เฉินเหล่าพูด “ฉันไม่ได้เห็นมันใกล้ๆ แต่มันดูคล้ายๆอยู่นะ มันชื่อว่าอะไรเหรอ?”
“เขาบอกว่า ยาตัวนี้ชื่อว่า เม็ดยาจิ่วเฉา และมันสามารถใช้ได้ในตอนที่อาการของพ่อเข้าขั้นวิกฤติครับ” หวูถงชิ่งพูด
“เม็ดยาจิ่วเฉาเหรอ?” เฉินเหล่าจ้องมองเม็ดยา
521 พูดถึงชายหนุ่มที่โดดเด่น
หวูถงชิ่งคิดในใจ เม็ดยาจิ่วเฉาเหรอ?
“เขาให้เธอมากี่เม็ดเหรอ?” เฉินเหล่าถาม
“สามเม็ดครับ” หวูถงชิ่งตอบ
“นั่นมันเยอะมากเลยนะ” เฉินเหล่าพูดด้วยความประหลาดใจ
เขามองดูเม็ดยาในมือของหวูถงชิ่ง เขาอยากจะขอสักหนึ่งเม็ดเพื่อเอาไปทำการค้นคว้า แต่เขาก็ทิ้งความคิดนั้นไป
ยานั้นล้ำค่าเกินไป ครั้งก่อน เขาเคยเอายาสองชนิดของหวังเย้ามาวิเคราะห์ แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาไม่คิดว่าครั้งนี้จะต่างออกไป เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้ เขาจะสามารถพบสมุนไพรที่หวังเย้าใช้ได้หรือไม่
หวังเย้าใช้สมุนไพรธรรมดาในการทำเม็ดยาจิ่วเฉาขึ้นมา ถึงเขาจะใส่สมุนไพรล้ำค่าอย่างโสมและหลินจือลงไป แต่เขาก็ไม่ได้ใส่สมุนไพรรากอย่างชานจิงและกุยหยวนลงไปด้วยเลย เฉินเหล่าสามารถวิเคราะห์ส่วนผสมของเม็ดยาจิ่วเฉาได้อย่างง่ายดาย แต่ความล้มเหลวทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ได้หยุดยั้งไม่ให้เขาทำมันอีก
“ยาตัวนี้วิเศษจริงๆ” หมอประจำตระกูลหวูเอาแต่พูดไม่หยุด
อาการของชายขราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายในเวลาแค่เพียงครึ่งวันเท่านั้น มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก ลูกๆของชายชราต่างก็ยอมรับในความสามารถของหวังเย้า พวกเขาล้วนคาดหวังให้พ่อของพวกเขามีอาการที่ดีขึ้น
ถ้ายาแค่ชนิดเดียวสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ ถ้าตัวเจ้าของยามาเอง มันคงจะดีกว่านี้มาก
“ถงชิ่ง เขายังไม่ยอมตกลงมาที่นี่เหรอ?” พี่ชายของหวูถงชิ่งถาม
“ไม่ “ หวูถงชิ่งตอบ
“ทำไมล่ะ?” พี่ชายของเขาถาม
“เขาไม่ได้อธิบาย แต่พอได้คุยกับเขาหลายๆครั้ง ผมก็พบว่า เขาไม่ได้อยากจะมาที่ปักกิ่งสักเท่าไร” หวูถงชิ่งพูด
“นายได้คุยกับคุณซงรึยัง?” พี่ชายของเขาถาม
“คุยแล้ว เธอรับปากแล้วว่าจะช่วยพวกเรา” หวูถงชิ่งพูด
“ดี” พี่ชายของเขาพูด
…
ขณะเดียวกัน ภายในสวนของบ้านหลังหนึ่ง ซูเสี่ยวซวีกำลังเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ท่าทีของเธอดูเหงาหงอยอย่างมาก
“เสี่ยวซวี ข้างนอกมันหนาว อย่าอยู่ตรงนั้นนานเกินไปสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงที่เดินออกมาจากห้อง ได้นำเสือกันหนาวคลุมลงไปบนตัวซูเสี่ยวซวี อากาศที่ปักกิ่งยังคงหนาวเหน็บ ถึงแม้ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดจะผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าอากาศจะอุ่นขึ้นเลย
“ค่ะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ลูกยังอยากออกไปข้างนอกอยู่เหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ หนูอยากจะออกไปเห็นข้างนอกบ้าง” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เธออยากจะไปที่ไหนเหรอ?” น้ำเสียงอบอุ่นดังมาจากประตู ซูเสี่ยวซวีหันไปตามเสียงและเห็นชายหนุ่มที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้า เขาก็คือ กั๋วเจิ้งเหอ
“สวัสดีครับ น้าซง สวัสดี เสี่ยวซวี” เขาพูด
“สวัสดี เจิ้งเหอ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เสี่ยวซวี เธออยากจะไปที่ไหนเหรอ? ฉันจะพาเธอไปเองง” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันแค่พูดออกมาลอยๆเท่านั้น อย่าคิดเป็นจริงจังเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ
เพราะการมาถึงของกั๋วเจิ้งเหอ ทำให้ซงรุ่ยปิงไม่กล้าปล่อยให้เขาตากลมหนาวอยู่ด้านนอกแบบนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยชอบเขามากนักก็ตาม
“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ขอบคุณครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“น้ายินดีที่เธอมาเยี่ยม แต่ไม่ต้องเอาของอะไรมาให้หรอกนะจ๊ะ เราคนกันเองทั้งนั้น” ซงรุ่ยปิงพูด
“แค่ของขวัญเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเองครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
เมดนำชามาเสริฟให้กับกั๋วเจิ้งเหอ
“เสี่ยวซวีดูอาการดีขึ้นเรื่อยๆเลยนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“ค่ะ ฉันดีขึ้นแล้ว แล้วฉันก็รู้สึกดีมากด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างมีความสุข
“เยี่ยมไปเลยนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ซงรุ่ยปิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก ส่วนซูเสี่ยวซวีก็คุยกับกั๋วเจิ้งเหอเพียงสั้นๆเท่านั้น เธอดูไม่ค่อยสนใจที่จะพูดคุยกับเขามากนัก
“เสี่ยวซวี ถ้าเธออยากออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ ก็โทรหาฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“ค่ะ ขอบคุณ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เจิ้งเหอ ตอนนี้ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้ว หวังว่าเธอจะจัดการงานทั้งหมดเสร็จทันเวลานะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
เขามีมารยาทดีมาก ซงรุ่ยปิงไม่สามารถจับผิดอะไรเขาได้เลย ท่าทางของเขาราวกับคนอายุ 40 มากกว่าที่จะอายุแค่ช่วง 20 ต้นๆ
“กั๋วเจิ้งเหอคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย” ซงรุ่ยปิงถอนหายใจออกมา
“จริงเหรอคะ? แต่หนูกลับคิดว่า เขาธรรมดามากเลย” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
“ลูกคิดว่าเขาธรรมดาเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรโดดเด่นเลยสักนิด” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วใครที่ลูกคิดว่าโดดเด่นล่ะจ๊ะ? คนแบบหมอหวังรึเปล่า?” ซงรุ่ยปิงถาม
“แน่นอนว่าหมอหวังคือคนที่โดดเด่นค่ะ ความจริง เขายิ่งกว่าโดดเด่นซะอีก” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วคนอื่นล่ะจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“มีคนที่โดดเด่นอยู่ตั้งเยอะนี่คะ อย่างพี่ชายของหนู พี่เฉินหยิง แล้วก็พี่เล่อเป่า” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ฮาฮา ลูกแม่สายตาดีจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“กั๋วเจิ้งเหอใส่ความพยายามมากจนเกินพอดี” ซงรุ่ยปิงพูดอย่างจริงจัง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดถึงกั๋วเจิ้งเหอต่อหน้าลูกสาวของเธอ กั๋วเจิ้งเหอนั้นปฏิบัติตัวดีกับคนในครอบครัวของเธอ ถึงเขาจะดูเหมือนเป็นมิตร แต่การใส่ความพยายามมากจนเกินพอดี ก็ไม่ได้เรื่องที่ดีนัก
ซูเสี่ยวซวีเพียงยิ้มตอบเท่านั้น
“เสี่ยวซวี ลูกมองไม่ออกเหรอว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่บ่อยๆ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“คุณแม่คะ หนูไม่ได้โง่นะคะ หนูรู้อยู่แล้วว่าเขามาทำไม” ซูเสี่ยวซวีตอบ
คนที่มีสมองหน่อยก็สามารถบอกแล้วได้ว่า กั๋วเจิ้งเหอทำแบบนี้เพื่ออะไร ซูเสี่ยวซวีเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด เธอเกิดและเติบโตขึ้นมาในตระกูลใหญ่ เธอจึงรู้จุดยืนของตัวเองดี
“แล้วลูกคิดยังไงกับเขาเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“หนูไม่ได้ชอบเขาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ดีแล้วล่ะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด แล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เธอไม่ต้องการให้ลูกสาวของเธอ ถูกภาพลักษณ์ที่อบอุ่นและอ่อนหวานของกั๋วเจิ้งเหอหลอกเอา เธอไม่สนใจว่าหน้าที่การงานของเขาจะเป็นยังไง แต่เท่าที่เธอรู้ กั๋วเจิ้งเหอไม่เหมาะที่จะแต่งงานกับซูเสี่ยวซวี
…
ผ่านไปอีกวันหนึ่ง พ่อของหวูถงชิ่งดูเหมือนจะอาการดีขึ้น แล้วเขาก็กินยาเข้าไปแล้วครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
“ฉันจะไปเหลียนชานอีกครั้ง” หวูถงชิ่งพูด
“ฉันคิดว่า คุณจะต้องเข้าประชุมประจำปีซะอีก” ภรรยาของเขาพูด
“พ่อคือเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน แล้วฉันก็เป็นแค่รองผู้บัญชาการเท่านั้น” หวูถงชิ่งพูด
“ปีหน้า ผู้บัญชาการเหอก็จะเกษียณแล้วนี่คะ” ภรรยาของเขาพูด
“ฉันรู้” หวูถงชิ่งพูด
เขานั่งอยู่ในตำแหน่งระดับสูงของรัฐบาล บางครั้ง เขาก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะเลื่อนตำแหน่งมากนัก เขาถูกผลักดันให้ต้องขึ้นไปอยู่บนจุดสูงเหนือผู้อื่น ซึ่งเขาไม่สามารถเลือกได้ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะพักหรือเกษียณเร็วๆ แต่เขาก็มีคู่แข่งอยู่มากมาย ถ้าเขาไม่รับตำแหน่ง ก็จะมีคนเข้ามาแทนที่เขาอย่างรวดเร็ว และศัตรูของเขาก็จะใช่โอกาสนี้เล่นงานเขา
…
มันใกล้จะถึงวันที่ต้องสักการะเทพแห่งครัวแล้ว ผู้คนต่างก็เริ่มตระเตรียมสิ่งของเพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองวันตรุษจีน
ในทุกๆปี จะมีการจัดฉลองวันตรุษจีน ซึ่งก็ไม่มีอะไรใหม่ แต่ผู้คนก็ยังคงเฝ้ารอให้ถึงวันตรุษจีนอยู่เสมอ พวกเขาสามารถพักผ่อนและใช้เวลาอยู่กับคนในครอบครัว พวกเขาจะมีเวลาเพื่อคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำในปีถัดไป มันเป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม ซึ่งถูกสืบสานมานานนับพันปี
ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ต้องจับจ่ายซื้อของสำหรับวันตรุษจีน และทำความสะอาดบ้านในวันสิ้นปีตามปฏิทินสากล ในช่วงเวลานี้ของปี ทุกๆบ้านต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันทั้งวัน
และบ้านของหวังเย้าก็เช่นกัน จางซิวหยิงก็กำลังวุ่นวายอยู่กับงานบ้านของเธอ ในวันหนึ่ง หวังเย้าไม่มีคนไข้มาเลยสักคน เขาจึงเลิกงานเร็วและกลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ของเขา เขาจัดการเปลี่ยนผ้าม่าน ทำความสะอาดห้อง และเช็ดกระจก เขารับงานที่ต้องปีนป่ายมาทำเองทั้งหมด
“แม่ เรื่องของพี่กับพี่หมิงหยางเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“พวกเขาไปกันได้ดีทีเดียวล่ะ” จางซิวหยิงตอบ “เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเขาก็จะมาที่บ้านด้วย”
“จริงด้วยสินะ พวกเขาควรจะกลับมาที่บ้าน” หวังเย้าพูด
ตามประเพณีของหมู่บ้านนั้น ลูกเขยจะต้องนำของขวัญมาให้กับพ่อตาแม่ยายในช่วงเวลาพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์กับวันตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของปี ในฐานะลูกเขย เขาควรจะต้องแสดงความกตัญญูและนำของขวัญดีดีมามอบให้
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับถงเวยเหรอ?” จางซิวหยิงถาม “แม่ไม่ได้เห็นเธอมานานแล้วนะ”
หวังเย้าที่กำลังนั่งยองๆอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ได้หยุดชะงักงานที่ทำอยู่ “เธอออกทริปไปทำงานที่อเมริกาน่ะครับ”
“อะไรนะ? ไปอเมริกาเหรอ? ทำไมเด็กสาวๆแบบเธอถึงไม่คิดเรื่องแต่งงานบ้างนะ?” จางซิวหยิงอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้
“มันเป็นงานที่บริษัทของเธอสั่งลงมาน่ะครับ” หวังเย้าพูด
ความจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันมานานมากแล้ว หวังเย้ารู้ว่าถงเวยเดินทางไปทำงานที่อเมริกา เพราะเห็นจากโพตส์ของเธอในวีแชท
“เธอไม่คิดจะกลับมาฉลองวันตรุษจีนเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“ถึงตอนนั้น เธอก็น่าจะกลับมาแล้วล่ะครับ” หวังเย้าตอบ
“แล้วลูกจะไปเยี่ยมพ่อแม่ของเธอเมื่อไหร่ล่ะ?” จางซิวหยิงถาม
เธอเริ่มถามซักไซ้เรื่องความสัมพันธ์ของลูกชายและแฟนสาวของเขา ความจริงแล้ว จางซิวหยิงพอจะมองออกว่า ลูกชายของเธอไม่ได้ติดต่อกับถงเวยเป็นประจำ เธอเคยถามลูกชายเธอแล้วหลายครั้ง ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา เธอบอกได้ว่า พวกเขาอาจจะกำลังมีปัญหากันอยู่ เธอเคยพูดเรื่องนี้กับสามีของเธอ และเธอต้องการจะพูดกับลูกชายของเธออย่างจริงจังด้วย แต่เธอก็เปลี่ยนใจ
“ลูกของเราก็โตแล้ว ปล่อยให้เขาจัดการเองเถอะ” หวังเฟิงฮวาพูด
หลังจากที่จัดการทำความสะอาดตลอดทั้งเช้า หวังเย้าก็ทานอาหารกลางวันพร้อมกับพ่อแม่ของเขา แล้วพวกเขาก็กลับไปทำความสะอาดต่อในตอนบ่าย เมื่อหมดวัน บ้านก็ถูกทำความสะอาดจนน่าอยู่และสวยงามราวกับบ้านใหม่
ซุนหยุนเชิงที่มาเยี่ยมหวังเย้าในตอนเช้า ได้นำของขวัญมามอบให้เขาด้วย
“สวัสดีจ๊ะ หยุนเชิง” จางซิวหยิงพูด
“สวัสดีครับ ป้าจาง” ซุนหยุนเชิงพูด
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด ตอนนี้เธอค่อนข้างสนิทสนมกับซุนหยุนเชิงกว่าแต่ก่อนมาก
522 ของขวัญวันปีใหม่
“เธอไม่เห็นจะต้องเอาของขวัญอะไรมาให้เลยนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“ผมแค่อยากเอาของขวัญเล็กๆน้อยๆ มาอวยพรให้ทุกคนมีความสุขในวันปีใหม่ก็เท่านั้นเองครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
ความจริงพวกมันไม่ได้ดูเล็กน้อยเลยสักนิด เขาเอาของขวัญมาด้วยหลายห่อ มองแค่แวบเดียว ก็ดูรู้แล้วว่าเป็นของมีราคา
“พวกมันแพงรึเปล่าจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“มันไม่ได้แพงเลยครับ นี่เป็นของขวัญสำหรับคุณป้ากับคุณลุงครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “หมอหวังออกไปข้างนอกเหรอครับ?”
“เขาอยู่ที่คลินิกจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
หลังจากที่อยู่พูดคุยกับจางซิวหยิงได้สักพัก ซุนหยุนเชิงก็ขอตัวกลับ
หวังเย้าจัดการทำความสะอาดภายในคลินิกพอเป็นพิธี เพราะภายในคลินิกนั้นสะอาดดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำความสะอาดมันอีกครั้ง ช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขากลับไปที่บ้านในตอนเที่ยง เขาก็เห็นของขวัญวางอยู่ภายในบ้าน
“มีใครมาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ซุนหยุนเชิงเอาของขวัญมาให้จ๊ะ แล้วก็เอามาเยอะมาด้วย” จางซิวหยิงตอบ
หวังเย้ายิ้ม “แล้วเขาได้บอกอะไรไว้ด้วยรึเปล่าครับ?”
“ไม่เลยจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“อ่อ มีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“แค่เก็บจานตอนกินข้าวเสร็จก็พอแล้วจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
หลังจากจบมื้อเที่ยง ก็มีแขกมาเยือนที่บ้านในตอนที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่
“พี่เทียน เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
“ผมมาที่นี่เพื่ออวยพรวันปีใหม่ให้พ่อแม่ของนาย แล้วก็มาหานายด้วย” เทียนหยวนถูพูดในขณะที่มองไปทางหวังเย้า
“พี่อ้วนขึ้นนะ” หวังเย้าพูด
“อ้อ ใช่ งานในบริษัทกำลังไปได้สวย แล้วฉันก็เซ็นสัญญากับทีมบริษัทเรียบร้อยแล้ว ในอนาคต ฉันไม่จำเป็นต้องจัดการอะไรมาก นอกจากเรื่องใหญ่ที่ต้องรอการตัดสินใจจากฉันเท่านั้น” เทียนหยวนถูพูด เมื่อภาระทั้งหมดถูกยกออก เขาก็รู้สึกโล่งสบายไปทั้งตัว “ช่วงนี้ นายยุ่งไหม?”
“ช่วงก่อนก็ยุ่งนิดหน่อยครับ แต่ตอนนี้ก็พอจะได้พักบ้างแล้ว” หวังเย้าพูด
ช่วงสิ้นปี เป็นช่วงที่ผู้คนต่างก็ยุ่งวุ่นวายในเรื่องราวหลายอย่าง
เทียนหยวนถูอยู่ที่บ้านของหวังเย้าเพียงครู่เดียวก็กลับออกไป เขายังมีอีกหลายที่ที่ต้องไป นอกจากบ้านพ่อแม่ของเขาแล้ว บ้านของหวังเย้าคือที่แรกที่เขาแวะมา ซึ่งแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญของหวังเย้าในใจเขา
ในตอนบ่าย หวังเย้าไม่ได้กลับไปที่คลินิก แต่เขาเลือกอยู่ช่วยงานที่บ้านแทน หลักๆก็คือจัดการกับของขวัญปีใหม่
เช้าของวันต่อมา หวังเย้าที่ยังอยู่ภายในคลินิก แต่ที่บ้านของเขากลับมีคนมากมายมาเยี่ยมเยือน
ไม่นาน เว่ยห่ายก็เดินทางมาถึงด้วยรถแลนด์โรเวอร์คันเดิม ครั้งนี้ ยังมีรถบรรทุกติดตามเขามาด้วย ด้านหลังรถบรรทุกมีของบรรจุอยู่จนเต็ม และมีชายฉกรรจ์ตามมาด้วยอีกสองคน
“เร็วเข้า เอาของลงจากรถบรรทุกได้เลย” เว่ยห่ายพูด
“นั่นอะไรน่ะ?” จางซิวหยิงถาม
“คุณน้า นี่เป็นของขวัญจากผมให้คุณน้าทั้งสองครับ มันคืออาหารทะเลสดๆทั้งนั้นเลยนะครับ” เว่ยห่ายพูด
เมื่อเห็นกล่องมากมายบนหลังรถบรรทุก จางซิวหยิงก็ถึงกับพูดไม่ออก เธอพูดออกมาว่า “อาหารทะเล…รอเดี๋ยวก่อนนะ…ทำไมถึงได้มีปลาเป็นอยู่ในนั้นด้วยล่ะ?”
“แล้วหวังเย้าอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” เว่ยห่ายถาม
“เขาอยู่คลินิกจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“อ่อ ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนคุณน้าทั้งสองแล้วนะครับ” เว่ยห่ายพูด
หลังจากจัดการขนของทั้งหมดลงแล้ว เขาก็จากไปทันที เว่ยห่ายแวะไปที่คลินิกและอยู่คุยกับหวังเย้าครู่หนึ่ง
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีอีกคนเดินทางมาที่บ้านของหวังเย้า ตู้เฟิงขับรถมาจากเมืองจู จากนั้นเขาก็นำของขวัญปีใหม่ไปมอบให้กับหวังเย้าที่คลินิกและพูดคุยกับเขาสองสามประโยค หวังเย้าสอบถามอาการของเขาและบอกให้เขากลับมารับยาในอีกวันสองวันข้างหน้า
ในตอนที่หวังเย้ากำลังคุยอยู่นั้น ที่บ้านก็โทรมาหาเขา เพราะมีแขกอีกคนหนึ่งมาหาเขาที่บ้านอีกแล้ว
“นายคงจะยุ่ง ไว้เราค่อยเจอกันทีหลังก็แล้วกันนะ” เว่ยห่ายพูด
“ดีครับ ขอบคุณนะครับพี่” หวังเย้าพูด จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้าน
“ผมบอกคุณน้าแล้วว่าไม่ต้องเรียกคุณมาก็ได้” เฉินปัวหยวนพูด
“ดูสิ” จางซิวหยิงชี้ไปที่ข้าวของมากมายที่เฉินปัวหยวนนำมาจากปักกิ่ง ส่วนใหญ่นั้นเป็นของกินและเป็นสินค้าที่ถูกผลิตออกมาเป็นการเฉพาะ
เฉินปัวหยวนเดินทางมาไกลเพียงเพื่อนำของเหล่านี้มามอบให้ เหมือนที่เขาว่ากันว่า ของขวัญเพียงเล็กน้อยที่ถูกส่งมาไกลหลายพันไมล์ สามารถถ่ายทอดความรักความห่วงใยที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้
“ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
เมื่อได้รับของขวัญมาแล้ว มันคงจะเป็นการเสียมารยาทหากคิดจะส่งมันคืนกลับสู่เจ้าของเดิม แต่หวังเย้าก็ไม่มีของขวัญที่เหมาะสมมอบให้เขาเลย ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ป่วย หวังเย้าก็ไม่สามารถมอบยาให้พวกเขาได้ และมันก็ไม่เป็นมงคลอีกด้วย
หลังจากที่คุยกันได้สักพัก เฉินปัวหยวนก็จากไป
ตลอดทั้งเช้า มีคนมากมายเดินทางมาเยี่ยมที่บ้านของหวังเย้าและจากไป พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่เดินทางมาพร้อมกับของขวัญ
“เสี่ยวเย้าทำงานอะไรกัน? อย่างกับว่า เขาเป็นนายกเทศมนตรียังไงยังงั้นเลยนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด
“พูดอะไรไร้สาระ” ชาวบ้านอีกคนพูด “แล้วของขวัญที่นำไปมอบให้นายกเทศมนตรี ก็เอาไปให้ตอนกลางวันแบบนี้ไม่ได้ด้วย คนพวกนี้พากันมาเวลานี้ มันชัดเจนแจ่มแจ้งเกินไป พวกเขาอาจจะเป็นคนที่เคยมารักษากับเสี่ยวเย้าก็ได้ และก็เอาของมาเพื่อขอบคุณเขา”
“แต่คนพวกนั้นมีแต่คนรวยๆทั้งนั้นเลยนะ พวกเขาเอาของขวัญมาให้เยอะขนาดไหนกันเชียว?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
ชาวบ้านหลายคนต่างพากันพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่ความจริง มันไม่ใช่เรื่องของพวกเขาเลยสักนิด บางคนพูดเพราะอิจฉา และบางคนก็ริษยา นั่นก็เพราะพวกเขาว่างและไม่มีอะไรทำกัน
ครอบครัวของหวังเย้า ได้ทำการจัดห้องไว้สำหรับเก็บของขวัญโดยเฉพาะ
“ลูกจะทำยังไงกับอาหารทะเลพวกนี้ดีล่ะ?” จางซิวหยิงมองดูอาหารทะเลสดๆที่เว่ยห่ายนำมาให้
“เราเอามาทำอาหารกินกันวันนี้ดีกว่านะครับ” หวังเย้ายิ้ม “แต่เราก็คงกินได้ไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าเราเก็บของพวกนี้เอาไว้นานๆ ผมก็กลัวว่ามันจะเสียเอาได้”
เมื่อดูจากจำนวนของทะเลที่มีอยู่แล้ว ถ้าพวกมันเกิดเน่าเสียเพราะเก็บไว้นานจนเกินไป ก็คงจะน่าเสียดาย
“บอกให้ป้ากับลุงของลูกมาแบ่งเอาไปก็แล้วกันนะ” จางซิวหยิงพูด
“ดีครับ แม่จัดการได้เลย” หวังเย้าพูด
“งั้นก็ช่วยแม่ที เย็นนี้ เราจะทำอาหารทะเลกินกัน” จางซิวหยิงพูด
ปลาที่เว่ยห่ายนำมาให้นั้นเป็นปลาที่ถูกจับจากธรรมชาติ เขาได้เลือกมันมาให้หวังเย้าโดยเฉพาะ ดังนั้น มันจึงสดและปลอดภัย
หวังเย้าช่วยแม่ของเขาจัดการกับปลา กุ้ง และปู
“พี่ของลูกจะกลับมารึยังจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ผมจะลองโทรหาพี่ดูครับ” หวังเย้าพูด
หวังรุ่ยและตู้หมิงหยางกลับมาทันทานอาหารกลางวันพอดี และยังนำของติดไม้ติดมือมาด้วย
“ไม่ต้องเอาอะไรมาให้อีกนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด เธอไม่ได้แสดงความมีมารยาทอะไร เพียงแต่ ในห้องมีของขวัญอยู่เยอะเกินไปแล้วต่างหาก
“นี่ แม่คะ ทำไมถึงได้มีอาหารทะเลเยอะแยะขนาดนั้นกันล่ะ?” หลังจากที่เห็นว่ามีปลาและกุ้งจำนวนมากอยู่ที่ลานบ้าน หวังรุ่ยก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “แม่ซื้อมาเหรอ?”
“เปล่าหรอก เพื่อเสี่ยวเย้าขนมาสั่งให้ตั้งคันรถหนึ่งแน่ะ” จางซิวหยิงตอบ
“หา พวกเขาเป็นใครกัน? พวกเขารวยมากเลยเหรอคะ?” หวังรุ่ยรู้สึกประหลาดใจ
“น้องเขยเจ๋งสุดๆไปเลย!” ตู้หมิงหยางที่ยืนอยู่ข้างๆยิ้มออกมา
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว” หวังรุ่ยพูด “ไปเอาน้ำจิ้มมาสิ ได้เวลากินข้าวกันแล้ว”
ทั้งครอบครัวมีความสุขกับอาหารและไวน์ดีดี ที่วางอยู่จนเต็มโต๊ะอาหาร
ตู้หมิงหยางดื่มเป็นเพื่อนหวังเฟิงฮวาไปสองแก้ว
“อย่าดื่มเยอะล่ะ เดี๋ยวตอนบ่ายยังต้องกลับไปทำงานอีก” หวังรุ่ยกระชิบ
“ไม่ต้องห่วง ขอแค่คุณลุงมีความสุขจะให้ผมดื่มกี่แก้วก็ได้ หรือบ่ายนี้ลางานไปเลยก็ยังได้” ตู้หมิงหยางยิ้มแย้ม
ทุกคนในครอบครัวต่างก็พูดคุยกันระหว่างที่ทานอาหารไปด้วยอย่างมีความสุข หลังจากที่จบมื้ออาหารแล้ว หวังรุ่ยก็เข้าไปดูห้องที่เก็บของขวัญเอาไว้ ทำให้เธอได้เห็นกองของขวัญจำนวนมากอยู่ในนั้น เธอเดินตรงเข้าไปดูของเหล่านั้น “โอ้โห้! นี่ไม่ใช่ถูกๆเลยนะ!”
“แม่ ใครเป็นคนซื้อของขวัญที่อยู่ในห้องนี้เหรอคะ?” หลังจากที่ออกมาจากห้องนั้นแล้ว หวังรุ่ยก็แอบไปกระซิบถามแม่ของเธอ
“ซื้ออะไรกัน? ของพวกนี้มีแต่คนเอามาให้ทั้งนั้นแหละ” จางซิวหยิงพูด
“ใครเหรอคะ?” หวังรุ่ยถาม
“เพื่อนๆกับคนไข้ของน้องชายลูกน่ะสิ” จางซิวหยิงพูดอย่างปลื้มอกปลื้มใจ เธอรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายของเธอมาก
“เสี่ยวเย้าน่ะเหรอ?” หวังรุ่ยรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่แล้วล่ะ ของขวัญที่ได้มาวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นของเขาทั้งนั้น” จางซิวหยิงพูด “พวกเขาทุกคนยังขับรถมาเองกันหมดด้วยล่ะ”
หวังรุ่ยอึ้งอยู่นาน แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า “เขารักษาคนเก่งขนาดไหน? ดูของขวัญในห้องพวกนี้สิ ปีใหม่ปีนี้เราแทบไม่ต้องซื้ออะไรกันแล้ว!”
“แล้วตอนที่ลูกไปเยี่ยมบ้านของตู้หมิงหยาง ลูกก็ไม่ต้องไปซื้อของอะไรล่ะ” จางซิวหยิงพูด “แค่หยิบๆของที่อยู่ในนี้ไปให้ก็พอแล้ว เพราะยังไงเราก็ใช้ไม่หมดหรอก แล้วก็บอกตู้หมิงหยางด้วยล่ะ ว่าเวลามาที่นี่ก็ไม่ต้องซื้ออะไรมา ให้เขาเอาเงินไปใช้อย่างอื่นที่จำเป็นเถอะ เงินไม่ใช่จะหากันมาได้ง่ายๆซะที่ไหน”
“หนูว่า หวังเย้าคงจะหาเงินได้ง่ายมากเลยนะคะ” หวังรุ่ยพูด
“แต่ลูกไม่เหมือนกัน” แม่ของเธอพูด
“ค่ะ!” หวังรุ่ยถอนหายใจออกมา
ในตอนบ่าย หวังรุ่ยและตู้หมิงหยางไม่ได้กลับไปที่ทำงาน ทุกคนในครอบครัวต่างพากันล้อมวงเล่นไพ่ เมื่อถึงเวลาบ่ายสองโมง ก็มีแขกอีกคนเดินทางมาถึง พันจวินเดินทางมาพร้อมกับของขวัญในมือ
“สวัสดีครับ อาจารย์ คุณลุง แล้วก็คุณป้า! ผมมาเพื่ออวยพรวันปีใหม่ครับ” พันจวินพูด
“เข้ามาข้างในบ้านก่อนสิจ๊ะ เร็วเข้า!” จางซิวหยิงยิ้ม
“วันนี้ พี่ไม่ต้องเข้าเวรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม ฉันเพิ่งจะออกเวรเมื่อกี้นี้เอง” พันจวินพูด เขาดูเหนื่อยเล็กน้อย
“พี่ดูไม่ค่อยดีเลยนะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่แล้วล่ะ ช่วงนี้มีคนไข้ที่ห้องฉุกเฉินมากเป็นพิเศษน่ะ” พันจวินตอบ
“คนไข้ประเภทไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ส่วนใหญ่มาเพราะอาหารไม่ย่อยน่ะ” พันจวินพูด “ตั้งแต่เริ่มวันหยุดมา พวกเพื่อนๆกับญาติๆก็พากันสังสรรค์ทุกวัน ทั้งกิน ดื่ม แถมยังกินเนื้อเข้าไปเยอะด้วย”
523 เรื่องไม่สำคัญ
“บางครั้ง ฉันก็รู้สึกรำคาญและไม่อยากไปทำงานอีกเลย” พันจวินพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“พี่รู้สึกกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิดด้วยใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ถูกต้อง” พันจวินตอบ
“นี่เป็นปัญหาที่เกิดจากร่างกายของพี่นั่นแหละ” หวังเย้าพูด “อวัยวะภายในร่างกายของพี่ไม่ทำงานประสานกัน และทำให้เกิดความร้อนสูงภายในร่างกาย แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไร”
ความชื่นชอบต่ออาชีพหมอที่พันจวินมีนั้นยังมากเท่าเดิม และเขาหวังว่า ตนเองจะสามารถไต่เต้าขึ้นไปได้มากกว่านี้ในอนาคต ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะไม่มาเรียนและปรึกษาเรื่องการรักษากับหวังเย้า ถึงแม้ว่าหวังเย้าจะมีฝีมือมากแค่ไหนก็ตาม
“หา?” พันจวินตกใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะถูกวินิจฉัยว่ามีอาการป่วยแบบนี้ได้ “มันร้ายแรงรึเปล่า?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ พี่ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไร แค่พักผ่อนให้มากกว่านี้ก็พอ” หวังเย้าพูด “งานคือชีวิตของพี่ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายถึงชีวิตทั้งหมดของพี่นะครับ”
“อาจารย์ งานของนายมันง่ายนี่นา” พันจวินพูด
“พี่จะแบ่งเวลามาช่วยที่นี่บ้างก็ได้นะ” หวังเย้าตอบกลับด้วยท่าทีลังเล
พันจวินอึ้งไป
หวังเย้าคิดถึงคำแนะนำจากพี่สาวของเขา งานที่คลินิกของเขายุ่งมาก เขาจึงต้องหาผู้ช่วยดีดีมาช่วยสักคน และมันจะดีมาก หากคนคนนั้นมีความเข้าใจในเรื่องการรักษาอยู่แล้วด้วย ซึ่งพันจวินดูเหมือนจะตรงตามที่เขาต้องการทุกข้อ
“ตกลง” พันจวินพูด เขาต้องการมาทำงานที่คลินิก เพื่อที่จะได้เรียนรู้ทักษะการนวดจากหวังเย้า”เราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ดีล่ะ?”
“มันขึ้นอยู่กับพี่นั่นแหละครับ” หวังเย้าพูด “พี่สามารถมาได้ทุกเมื่อ จะเวลาไหนก็ได้”
หลังจากที่อยู่คุยกันได้สักพัก พันจวินก็ขอตัวกลับ
“นายมีลูกศิษย์ด้วยเหรอ?” หวังรุ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย โดยเฉพาะลูกศิษย์คนนี้ ดูเหมือนจะเป็นหมอจากโรงพยาบาลรัฐด้วย
“ก็ประมาณนั้น” หวังเย้าตอบ
“เขาเป็นรองหัวรองแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำเขตไม่ใช่เหรอ?” ตู้หมิงหยางถาม
“ใช่ครับ พี่รู้จักเขาเหรอ?” หวังเย้าพูด
“ฉันเคยเห็นเขาบ่อยๆน่ะ แล้วฉันก็รู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักฉันหรอก” ตู้หมิงหยางยิ้ม เขาจำได้ว่า ตัวเขาเคยติดต่องานกับพันจิวนอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเพียงแค่ผิวเผิน แต่ตู้หมิงหยางก็ยังจำพันจวินได้ พันจวินจะประจำอยู่ที่แผนกฉุกเฉินทุกๆวัน มีคนมากมายเข้ามาติดต่องานกับเขา และเขาก็ได้พบหน้าคนเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่า เขาจะสามารถจดจำได้ทุกคน
“แสดงว่านายต้องเก่งมากเลยสินะ” หวังรุ่ยพูด “ขนาดรองหัวหน้าแผนกของโรงพยาบาลยังมาเป็นลูกศิษย์หมอบ้านๆแบบนายได้ เรื่องแบบนี้นอกจากในนิยายกับหนังแล้ว นายถือว่าเป็นคนแรกเลยนะ ที่อยู่ในโลกของความเป็นจริงน่ะ”
ก่อนที่หวังเย้าจะทันได้ตอบ ตู้หมิงหยางก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน “เธอหมายความว่ายังไง หมอบ้านๆน่ะ? มันคือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเสี่ยวเย้าต่างหาก!”
“เอาล่ะๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว มาเล่นไพ่กันดีกว่านะ” หวังเย้าพูด “4 2!”
“อ้า!”
เย็นวันนั้น ตู้หมิงหยางยังไม่ได้กลับ ทุกคนต่างก็ร่วมทานอาหารเย็นกันอย่างอบอุ่น
“ถ้าฉันยังกินอยู่แบบนี้ละก็ ฉันต้องอ้วนแน่เลย” ตู้หมิงหยางถอนหายใจออกมา
“นายจะกินน้อยลงก็ได้นี่” หวังรุ่ยพูด
“เธอพูดแบบนั้นได้ยังไงกัน?” ตู้หมิงหยางถาม
หลังมื้ออาหาร ทุกคนต่างพากันไปนั่งรวมกันที่เตียงคัง ซึ่งถูกอุ่นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงสองทุ่มครึ่ง หวังเย้าก็ออกมาจากบ้านและเดินกลับขึ้นบนเนินเขาหนานชาน
ภายในหมู่บ้านเงียบสนิท อากาศด้านนอกเย็นเฉียบ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ออกมาเดินนอกบ้าน
หวังเย้าเดินไปตามถนนเพื่อขึ้นไปบนเขาอย่างเชื่องช้า เมื่อเขาเดินผ่านทิศใต้สุดของหมู่บ้านไป ทุกอย่างก็มืดลง มันไม่มีแสงสว่างหรือผู้คน ภูเขายังคงตั้งตระหง่านอยู่เงียบๆในจุดเดิม
หลังจากนั้นสักพัก ก็มีแสงไฟดวงหนึ่งส่องสว่างอยู่บนเนินเขาหนานชาน เขากำลังเตรียมยาเอาไว้ให้ตู้เฟิง
เช้าวันต่อมา พระอาทิตย์ยังคงเกียจคร้าน อุณหภูมิยังคงไม่เพิ่มขึ้น หวังเย้าลงจากเขาแต่เช้า เขายังไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่แวะเข้าไปในคลินิกแทน
เวลา 9 โมงเช้า มีแขกเดินทางจากปักกิ่งมายังหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้ หวังเย้าไม่ได้พบหน้าเขาหนานมากแล้ว เขาก็คือ เหอฉีเชิง เขาเดินทางมาพร้อมกับรถที่เต็มไปด้วยของขวัญมากมาย หลังจากที่จัดการของขวัญทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรงไปยังคลินิกของหวังเย้า
“สวัสดีครับ หมอหวัง” เหอฉีเชิงพูด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ”
หวังเย้ามองดูเหอฉีเชิงจนทั่ว เขาดูผอมลงและดูเหมือนจะทั้งเหนื่อยและทุกข์ใจ “ช่วงนี้งานยุ่งเหรอครับ?”
“ถือว่าไม่ได้หนักเท่าไหร่ครับ” เหอฉีเชิงดื่มชาเข้าไปถ้วยหนึ่ง
ครั้งล่าสุดที่หวังเย้าได้พบเขา เหอฉีเชิงดูเหมือนจะมีอาการตรึงเครียด ด้วยการจัดการจากทางตระกูลกั๋ว ตอนนี้ เขารับหน้าที่รับใช้ลูกชายของตระกูลกั๋ว ผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ที่สุด เขาทำผลงานในวงการข้าราชการได้ค่อนข้างดี เขายังดูเจนโลกยิ่งกว่าผู้มีประสบการณ์หลายๆคนด้วยซ้ำ ในสายตาของใครหลายๆคน คนแบบเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นข้างราชการโดยแท้จริง แต่เหอฉีเชิงนั้นรู้อีกด้านที่คนอื่นไม่รู้ของชายคนนี้ดี ทุกคนมีหลากหลายสีหน้า คล้ายกับเหรียญที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งของเขาเป็นเหมือนกับดวงตะวันที่ส่องแสงเจิดจ้า และอีกด้านที่ดำมืด ในบางเรื่อง เช่นเรื่องที่ไม่สามารถทำอย่างเปิดเผยได้นั้น โดยที่เขาจำเป็นต้องมีคนจัดการให้เขาได้ทั้งในและนอก และเรื่องเหล่านั้นก็มีเหอฉีเชิงเป็นผู้จัดการให้ทั้งหมด
คำพูดของเขาดูไร้ความจริงใจ และเขายังเก็บเรื่องมากมายเอาไว้ในหัว แต่หวังเย้าก็ไม่ได้พูดถึงมัน ถึงแม้ว่าเขาจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็ตามที
“หลังผ่านปีใหม่ไปแล้ว มันก็คงจะถึงเวลาได้พักบ้างแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“คุณพูดถูก” เหอฉีเชิงอยู่ที่คลินิกครู่ใหญ่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก
“ถ้าคุณเอาแต่เก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในใจ มันจะไม่ดีต่อสุขภาพได้นะครับ” หวังเย้าพูดขึ้นมา ก่อนที่เหอฉีเชิงจะเดินออกไป
“ผมรู้ ขอบคุณนะครับ” เหอฉีเชิงพูด ในจุดนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถแสดงออกได้ตามที่ใจปรารถนา
ในช่วงเช้า นอกจากเหอฉีเชิงแล้ว ก็ยังมีหลินซือเทาและอาหาวที่แวะมาอวยพรวันปีใหม่ที่บ้านของหวังเย้า แต่เขาก็ไม่อยู่ที่บ้าน พวกเขาจึงตรงไปที่คลินิก หลินซือเทานั้นดีกว่าหน่อย เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างอิสระ แต่อาหาวนั้นแย่กว่าเล็กน้อย การเคลื่อนไหวร่างกายยังคงสร้างความลำบากให้กับอยู่เล็กน้อย
“พวกคุณยังไม่หายดีกัน ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาหากันถึงที่นี่เลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“เราจะกลับกันวันนี้แล้วครับ เราเลยมาเพื่อบอกลาด้วย” หลินซือเทาพูด “หลายวันมานี้ เราได้รบกวนคุณอยู่บ่อยๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“อ่อ พวกคุณต้องไปกันแล้วสินะ ตอนนี้ก็เป็นวันขึ้นปีใหม่แล้วด้วย” หวังเย้าพูด
“คุณชายยังจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสองวัน” หลินซือเทาพูด “ส่วนเราจะกลับกันบ่ายนี้เลย”
เมื่อมองย้อนกลับไปในปีเก่า โดยเฉพาะสองเดือนที่ผ่านมานั้น หลินซือเทารู้สึกได้ว่า ชีวิตของเขานั้นขึ้นๆลงๆไม่อยู่กับที่เลย แค่เขาคนเดียวก็โกงความตายมาได้ถึงสองครั้งแล้ว ถ้าหากไม่ได้เจอกับชายหนุ่มตรงหน้า สมาชิกในครอบครัวของเขาในปีใหม่นี้ ก็คงจะลดลงไปคนหนึ่ง เมื่อคิดถึงภรรยา, ลูกๆและหลานๆของเขาแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หวังเย้ารู้สึกขัดเขิน เพราะเขาถือเป็นคนรุ่นเยาว์ มันดูไม่เหมาะ ที่ต้องให้คนอายุหกสิบกว่าเอาของขวัญมาให้ถึงที่แบบนี้
“เราได้ของขวัญมาอีกเยอะเลยล่ะ!” เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน จางซิวหยิงก็บอกกับหวังเย้า “แม่บอกกับพวกลุงป้าน้าอาของลูกให้มาเอาของที่บ้านไปแล้วนะ”
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
เขาไม่ได้สนใจมันมากนัก เขาเพียงเลือกหยิบเอาบุหรี่และแอลกอฮอลมาบางส่วน แล้วเก็บเอาไว้อีกด้านหนึ่งก็เท่านั้น
ในตอนกลางวัน น้องชายคนเล็กของแม่และภรรยาก็มาถึงที่บ้าน
“พี่ ของพวกนี้มาจากไหนเยอะแยะล่ะ?” น้องชายของจางซิวหยิงถาม
ทั้งเหล่าหวูเหลียน, บุหรี่ยี่ห้อดัง ของพวกนี้ล้วนแล้วแต่ราคาแพงทั้งนั้น
“มีคนส่งมาให้เป็นของขวัญน่ะ” จางซิวหยิงพูด
“ของขวัญเหรอ?” น้องชายของเธอตกใจ ไม่มีใครในครอบครัวของพวกเขาเป็นข้าราชการเลยสักคน แล้วของขวัญนี้ส่งมาให้ใครกันล่ะ? “เสี่ยวเย้าเหรอ?”
“ใช่ พวกเขาเอามาให้เขาทั้งหมดนั่นแหละ” จางซิวหยิงตอบ
“ให้เขาทั้งหมด?” น้องชายของเธอดูเหมือนจะประหลาดใจมาก
พวกเขาไม่ได้มาเยี่ยมที่นี่นานแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้เลยว่า ที่คนมากมายแค่ไหนที่เดินทางมาเพื่อพบกับหวังเย้า และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่า คนส่วนใหญ่ที่มาไม่ใช่คนจังหวัดนี้ เพื่อที่จะได้พบหมอ พวกเขายินดีที่จะรอตลอดทั้งเช้า อีกทั้งสามสี่วันมานี้ ก็ยังมีคนที่เดินทางมาจากปักกิ่งด้วย
ยังไงก็ตามแต่ การได้ของมาโดยไม่เสียเงินก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว หากพูดกันตามจริงแล้ว พ่อแม่ของหวังเย้าถือเป็นผู้มีอาวุโสที่สุดในครอบครัวของพวกเขา ดังนั้น น้องๆทุกคนควรจะมาเยี่ยมพวกเขา แต่กลับกลายเป็นว่า พ่อแม่ของพวกเขาให้ความสำคัญกับน้องๆมากกว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมา
ก่อนที่จะกลับไป พวกเขาได้เอาของไปด้วยและอยู่ที่บ้านของหวังเย้าแค่ครู่เดียวเท่านั้น
วันต่อมา หวังเย้าเลือกหยิบของขึ้นมาและขับรถตรงไปยังบ้านตายายของเขา เมื่อเขาออกจากบ้านไป เขาก็ยังพกเงินสดจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วย
ที่ที่สองที่เขาแวะไปก็คือบ้านลุงของพันจวิน เขาตั้งใจจะไปตรวจชายชราและนำของขวัญปีใหม่ไปมอบให้ด้วย
เมื่อเดินทางไปถึง ก็พบว่าชายชรากำลังเก็บหัวผักกาดอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นหวังเย้า ชายชราก็รีบเชิญหวังเย้าเข้าไปในบ้านทันที
ภายในตัวบ้านเย็นเล็กน้อย
“คุณป้าล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ป้าเขาออกไปข้างนอก อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ” ชายชราพูด
“คุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ลุงสบายดีมากเลยล่ะ” ชายชราพูดอย่างมีความสุข เวลาที่เคลื่อนไหวร่างกาย เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขายืดหยุ่นดีมาก แล้วเขาก็ยังเดินได้เร็วขึ้นด้วย
524 เดินทางไปไกลบ้าน
“ผมขอตรวจดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้สิ” ชายชราพูด
หวังเย้าตรวจดูชายชราอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างปกติดี
“พอคุณป้ากลับมา ผมจะฝังเข็มรักษาให้คุณลุงนะครับ” หวังเย้าพูด
ไม่นาน ภรรยาของชายชราก็กลับมาจากด้านนอก ในมือของเธอมีซอสถั่วเหลืองอยู่ขวดหนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอจะออกไปซื้อของใช้ที่ร้านสะดวกซื้อมา
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” หญิงชราพูด
“สวัสดีครับ คุณป้า สบายดีขึ้นบ้างรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“ดีขึ้นมาแล้วล่ะจ๊ะ ตอนนี้ ป้าก็ไม่รู้สึกเจ็บที่ขาแล้ว” หญิงชราตอบกลับอย่างมีความสุข
“ดีครับ ผมเพิ่งจะตรวจคุณลุงไปเมื่อกี้นี้เอง ที่นี่ดูเหมือนจะเย็นไปหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด เขาไม่ได้รู้สึกหนาวอะไร ถ้าหาชายชราต้องถอดเสื้อเพื่อทำการฝังเข็ม มันก็จะทำให้เขารู้สึกหนาวได้
“ป้าจะไปจุดไฟให้เดี๋ยวนี้แหละจ๊ะ” เธอพูด ไม่นานเตียงคังก็อุ่นขึ้น และอุณหภูมิภายในห้องก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามลำดับ
“คุณลุงครับ ช่วยถอดเสื้อออกหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
ชายชราถอดเสื้อของเขาออก เผยให้เห็นร่างกายที่ผอมแห้งของเขา
หวังเย้าเริ่มลงมือฝังเข็ม เขาแทงเข็มไปตามส่วนต่างๆของร่างกายชายชราและปรับเข็มให้เข้าที่ จากนั้น เขาก็คลุมร่างกายของชายชราด้วยผ้าห่มผืนบาง เมื่อจบการฝังเข็ม หวังเย้าก็ต่อด้วยการนวด
หลังจากจบการรักษาแล้ว ชายชราก็รู้สึกได้ถึงความสบายและอบอุ่น ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีแขกอยู่ที่บ้าน เขาก็คงจะหลับไปแล้ว
“เรียบร้อยแล้วครับ” หวังเย้าพูด
“อยู่ทานข้าวด้วยกันที่นี่นะจ๊ะ” หญิงชราพูด
“คงไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ พอดีพ่อแม่เตรียมอาหารรอไว้แล้วน่ะครับ” หวังเย้าตอบ
“หมอไม่เห็นจะต้องเอาของมาให้พวกเราเลย แค่คุณมาหาเราถึงที่นี่ เราก็ดีใจมากแล้ว” หญิงชราพูด
คนชราทั้งสองต่างก็รู้สึกว่า หวังเย้าดีต่อพวกเขามากจนเกินไป พวกเขาไม่ยอมปล่อยหวังเย้ากลับ จนกว่าเขาจะยอมเอาไข่ไก่ที่เลี้ยงไว้กับไข่เป็ดดองเค็มกลับไปด้วย
“เขาช่างเป็นคนดีจริงๆเลยนะ” ชายชราพูด
หวังเย้ารักษาคนไข้ไปแล้วทั้งหมดแปดคน อีกเพียงแค่สองคนเท่านั้น เขาก็จะสามารถทำภารกิจรักษาคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาได้ยากได้สำเร็จ และภารกิจนี้ก็ต้องทำให้สำเร็จภายในสามวันนี้
หรือฉันจะทำภารกิจไม่สำเร็จ? หวังเย้ารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย แต่ถึงกังวลไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เมื่อเขาขับรถเข้าสู่หมู่บ้าน เขาก็เห็นซุนหยุนเชิงกำลังเดินมาจากคลินิก
“สวัสดี หยุนเชิง” หวังเย้าหยุดรถ และโผล่หน้าออกมาทักทายซุนหยุนเชิง
“ผมได้ผลวิเคราะห์ของตัวอย่างดินที่คุณให้มาแล้ว นี่ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ถ้าคุณต้องการทำการวิเคราะห์เพิ่มเติม ก็บอกผมได้เลยนะครับ ผมสามารถติดต่อกับแล็ปที่ต่างประเทศให้ได้”
“โอเค ขอฉันอ่านดูก่อนนะ” หวังเย้าพูด “แล้วนายจะกลับบ้านเมื่อไหร่เหรอ?”
“บ่ายนี้ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“สนใจไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหม? ฉันเลี้ยงเอง” หวังเย้าพูด
“เอาสิครับ แต่ผมขอเลี้ยงเองนะ” ซุนหยุนเชิงรู้สึกเป็นปลื้ม
“ไม่ได้ๆ ฉันเลี้ยงเอง” หวังเย้ายืนยัน
พวกเขาไม่ได้ทานอาหารกันที่บ้าน แต่กลับไปทานที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับหมู่บ้านแทน ซึ่งเจ้าของร้านก็เกือบจะปิดร้านแล้ว
“สวัสดีครับ หมอหวัง” เจ้าของร้านพูด
“สวัสดีครับ มาสองคน ของอาหารจานหลักสี่ ซุปหนึ่ง เหมือนทุกทีนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้เลยครับ” เจ้าของร้านพูด
หวังเย้ายังได้นำไวน์ติดมือมาจากที่บ้านด้วยขวดหนึ่ง
ทั้งสองพูดคุยไปด้วยในระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่ ซุนหยุนเชิงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของหวังเย้ามาได้สองเดือนแล้ว และหวังเย้าก็พบว่า เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาไม่ใช่เด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ เขาเป็นคนที่มีจิตใจดี หรืออาจจะเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ หลังจากที่หายจากโรคร้ายก็เป็นได้ แต่โดยสรุปแล้ว หวังเย้าคิดว่า ซุนหยุนเชิงเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง
ถึงแม้ว่า ศัตรูเก่าของซุนเจิ้งหรงจะสร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้านนี้อย่างหนัก แต่เขาและลูกชายก็ได้จัดการชดเชยให้ทั้งหมดแล้ว แล้วหวังเย้าก็เพิ่งจะได้ข่าวสำคัญจากพันจวินเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า เขาถูกเลือกให้อยู่ในรายชื่อของหมอที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นผู้ตัดสิน ที่เหลือก็ถูกจัดการไปตามพิธีการ ในเมื่อหวังเย้าได้เคยเอ่ยเรื่องนี้กับซุนหยุนเชิงเอาไว้ เขาจึงรู้ว่า จะต้องเป็นซุนหยุนเชิงและพ่อของเขาที่ช่วยให้หวังเย้าได้ตำแหน่งนี้มาอย่างแน่นอน มันถือเป็นความดีความชอบที่ใหญ่หลวง หวังเย้าจึงอยากจะขอบคุณซุนหยุนเชิงในเรื่องนี้ด้วย
“แล้วจะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่เหรอ?” หวังเย้าถาม
“ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” ซุนหยุนเชิงพูด
พ่อของเขาได้บอกให้เขาเตรียมสืบทอดธุรกิจ หลังจากที่ผ่านตรุษจีนนี้ไป เขามีหลายอย่างที่ต้องเตรียม และไม่คิดว่า ในอนาคตจะมีเวลาว่างมากเหมือนตอนนี้อีกแล้ว
“หมอหวัง ขอบคุณที่รักษาผมและช่วยเหลือครอบครัวของผมนะครับ ดื่มครับ!” ซุนหยุนเชิงชูแก้วไวน์ขึ้นมา
“ด้วยความยินดี” หวังเย้าพูด ในระหว่างมื้ออาหาร เขาดื่มไวน์ไปหลายแก้ว
ซุนหยุนเชิงเดินทางกลับไปพร้อมกับคนของเขา ทิ้งบ้านที่ว่างเปล่าเอาไว้ด้านหลัง เขาเอากุญแจบ้านไว้ให้หวังเย้าชุดหนึ่ง และบอกกับหวังเย้าว่า เขาสามารถไปอยู่ที่บ้านของตัวเองได้ตลอดเวลา หวังเย้าไม่ได้รับกุญแจมา เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้มัน
“ลูกไม่ไปเยี่ยมบ้านพ่อแม่ของถงเวยเหรอ?” จางซิวหยิงถามเสียงเบา ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารเย็นกันอยู่
“ผมรู้ว่าต้องทำอะไรครับ” หวังเย้าพูด
…
ที่ปักกิ่ง ชายชราคนหนึ่งได้ไอออกมาอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้น? อาการของพ่อเพิ่งจะดีขึ้นเอง แล้วทำไมเขาถึงติดหวัดแบบนี้ได้กัน?” พี่ชายของหวูถงชิ่งถาม
“อย่าโทษเสี่ยวกวนเลย มันเป็นฉันเอง ฉันอยากจะออกไปเดินข้างนอกน่ะ” ชายชราพูดอย่างอ่อนแรง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ” พี่ชายของหวูถงชิ่งพูด
“ยาเม็ดที่ถงชิ่งเอากลับมาวันนั้นด้วยอยู่ที่ไหน? เอามาให้พ่อกินสิ” เสี่ยวกวนพูด
“จริงด้วย ฉันก็เกือบจะลืมไปแล้ว” พี่ชายของหวูถงชิ่งพูด
ชายชรากินเม็ดยาจิ่วเฉาเข้าไปหนึ่งเม็ด แล้วเขาก็หยุดไอในเวลาไม่นาน
“พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” พี่ชายของหวูถงชิ่งถาม
“อืมมม ยาได้ผล ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลย” ชายชราพูด มันวิเศษมากจริงๆ!
“ถงชิ่งอยู่ไหนเหรอ?” พี่ชายของหวูถงชิ่งถาม
“เขาขึ้นเครื่องไปเหลียนชาน เพื่อเชิญหมอหวังให้มาที่นี่ก่อนถึงวันตรุษจีน” เสี่ยวกวนพูด
…
“เก้าคน?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ เมื่อเขาเปิดหน้าจอระบบขึ้นมา แล้วเขาก็ได้พบว่า ภารกิจของเขาสำเร็จไปแล้วอีกขั้น เขาต้องรักษาคนไข้อีกแค่คนเดียวเท่านั้น
ฉันเพิ่งจะรักษาใครไปกัน? เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าใครที่เขารักษาให้จนหาย เขาจึงเลิกคิดเกี่ยวกับมัน เพราะถึงยังไงมันก็ถือเป็นข่าวสำหรับเขาอยู่แล้ว
หลังจากไหว้เทพแห่งครัวเสร็จแล้ว ก็ใกล้จะถึงวันฉลองตรุษจีนแล้ว
ในตอนเช้า หวังเย้ามีแขกมาหาหลายคน ทั้งหลี่เม่าชวง, ผู้ช่วยของหยางห่ายชวน, และซุนฉางเฟิง ทุกคนล้วนมาพร้อมกับของขวัญในมือ
“วันนี้ ยังจะมีใครมาเยี่ยมอีกไหม?” จางซิวหยิงถามตอนที่กำลังทานอาหารกลางวันกันอยู่ “ชาวบ้านอาจจะคิดไปแล้วก็ได้ว่า ลูกมีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในรัฐบาล”
“วันนี้ ผมคิดว่าคงจะไม่มีใครมาแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็มีแขกอีกคนเดินทางมาถึง
“สวัสดีครับ คุณหวู” หวังเย้าพูดด้วยความประหลาดใจ หวูถงชิ่งเดินทางมาพบหวังเย้าเป็นครั้งที่ห้าของเดือนนี้แล้ว
“สวัสดีครับ หมอหวัง ขอโทษที่ต้องมารบกวนในช่วงเวลานี้ของปีนะครับ” หวูถงชิ่งพูด
เขาได้นำของขวัญติดมือมาด้วย จางซิวหยิงมองหน้าลูกชายด้วยความสับสน
“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
ในเมื่อหวูถงชิ่งมาถึงที่นี่แล้ว หวังเย้าก็ไม่สามารถไล่เขาไปได้
“หมอหวัง ช่วงนี้คุณยุ่งไหมครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ไม่ค่อยครับ ตอนนี้ก็ใกล้ตรุษจีนแล้ว ผมก็เลยไม่ค่อยมีคนไข้เยอะเท่าไหร่” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยไปรักษาพ่อของผมที่ปักกิ่งจะได้ไหมครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“อาการของเขาแย่ลงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“หลังจากที่ได้กินยาเม็ดที่คุณให้ผมมา อาการของเขาก็ดีขึ้นครับ แต่มันก็ยังไม่คงที่ แล้วตอนนี้เขาก็เป็นหวัดอีกด้วย” หวูถงชิ่งพูด
หวังเย้าไม่ได้รีบพูดอะไรออกมา เขามองออกไปที่นอกหน้าต่าง
หวูถงชิ่งกำลังรอคอยคำตอบจากหวังเย้าอยู่ เขามองไปที่หวังเย้าด้วยความหวังว่า หวังเย้าจะยอมไปรักษาพ่อของเขาที่ปักกิ่ง มันวันตรุษจีนก็ใกล้เข้ามาแล้ว การเชิญหมอให้ไปรักษาคนไข้ที่บ้านในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเลย หวูถงชิ่งคงจะต้องผิดหวังกลับไปแล้ว
“เราจะออกเดินทางกันวันพรุ่งนี้” หลังจากที่เงียบไปนาน หวังเย้าก็พูดขึ้นมา “ผมต้องกลับมาที่บ้านภายในสามวัน ช่วยจัดการเรื่องการเดินทางให้ผมด้วยนะครับ”
“ได้ครับ” หวูถงชิ่งพูดออกมาด้วยความยินดี “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับ!”
“อย่าเพิ่งขอบคุณผมเลยครับ เพราะผมก็ไม่รับประกันว่าจะรักษาพ่อของคุณได้ไหม” หวังเย้าพูด
หวูถงชิ่งจากไปอย่างมีความสุข
“ลูกจะเดินทางเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม มันใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว เธอจึงไม่อยากจะให้ลูกชายเดินทางไปที่ไหนไกล
“ผมต้องไปปักกิ่งครับแม่ แต่แค่สามวันผมก็จะกลับมาแล้ว แล้วก็จะได้แวะไปเยี่ยมน้าที่ปักกิ่งด้วย” หวังเย้าพูด
“ลูกจะไปพรุ่งนี้เลยเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“ครับ” หวังเย้าตอบ
“ก็ได้ แม่จะเตรียมของให้ลูกเอาไปให้น้าด้วย แล้วก่อนจะไปหา ก็โทรบอกน้าเขาไว้ก่อนด้วยล่ะ” จางซิวหยิงพูด
“แน่นอนครับ” หวังเย้าพูด
วันต่อมา หวูถงชิ่งมารออยู่ด้านนอกตั้งแต่เช้าตรู่ หวังเย้าเดินทางไปพร้อมกับของฝากจากทางบ้าน
“หมอหวัง คุณมีญาติอยู่ที่ปักกิ่งด้วยเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ครับ น้องสาวของแม่ผมทำงานอยู่ที่นั่น” หวังเย้าตอบ
“อ่อ” หวูถงชิ่งพูด เขาจดจำข้อมูลที่ล้ำค่านี้เอาไว้ในใจ
พวกเขานั่งรถบัสเพื่อเดินทางไปยังเมืองเต๋า จากนั้นก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบิน พวกเขาบินตรงไปปักกิ่งจากสนามบินเมืองเต๋า ซึ่งไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่องเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อรู้ว่า เครื่องบินลำนี้ถูกเตรียมเอาไว้เพื่อเขาเป็นพิเศษ หวังเย้าก็รู้สึกประหลาดใจมาก และทำให้เขาได้รู้ว่า หวูถงชิ่งมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาเลย
เครื่องบินลงจอดที่ปักกิ่งในตอนบ่ายของวันนั้น
“หมอหวัง คุณอยากจะกินอะไรก่อนไหมครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ไม่ครับ ขอบคุณ เราไปหาพ่อขอคุณกันเลยดีกว่าครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ” หวูถงชิ่งพูด
รถได้ขับพาพวกเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา
หวังเย้าเห็นคนไข้ที่นอนอยู่ตรงหน้าเขา เขาเป็นชายชราร่างผอมบาง เขามองไม่เห็นอำนาจบารมีที่ชายแก่เคยมีเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ เขาเห็นแค่เพียงชายชราที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็ดูไม่ต่างไปจากคนเฒ่าคนแก่ที่หมู่บ้านของเขาเลยสักนิด ต่างกันก็เพียงสถานที่ที่ชายชราอาศัยอยู่พิเศษกว่าก็เท่านั้น
“พ่อ นี่คือหมอหวัง คนที่ผมเคยเล่าให้พ่อฟังก่อนหน้านี้ครับ” หวูถงชิ่งพูด
“สวัสดี หมอหวัง” ชายชราพูด
“สวัสดีครับท่าน” หวังเย้าพูด
อาการของชายชราอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว
525 หญ้าแห้งในหน้าหนาว เสียงแมลงร้องในฤดูใบไม้ร่วง
สภาพของเขาดูเลวร้ายไม่ต่างจากหญ้าแห้งกลางฤดูหนาวเลย
เสียงของเขายังฟังดูแหบแห้ง คล้ายกับเสียงร้องของแมลงในฤดูใบไม้ร่วง
ในตอนที่หวังเย้าได้รับเอกสารการรักษาของชายชรามาก่อนหน้านี้ เขาก็รู้อยู่แล้วว่า อาการป่วยของชายชรานั้นเกินเยียวยาแล้ว
ในขณะที่หวังเย้ามองดูชายชรา คนอื่นๆที่อยู่ภายในห้องก็กำลังมองดูเขาอยู่เช่นกัน
พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามานานแล้ว แต่การได้ฟังกับการได้มาเห็นกับตานั้นต่างกัน เมื่อได้มาเห็นเขาจริงๆ ความเยาว์วัยของเขาก็ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจยิ่งกว่าเดิม มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่า ชายหนุ่มอายุน้อยแบบเขาจะมีฝีมือการรักษาที่เก่งกาจและสามารถผลิตยาที่มีสรรพคุณสุดวิเศษออกมาได้
“หมอหวัง คุณคิดว่ายังไงครับ?” หวูถงิช่งถามเสียงเบา
ผู้คนที่ยืนอยู่ภายในห้อง ล้วนมีตำแหน่งสูงในราชการหรือไม่ก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ พวกเขาคือลูกๆที่กังวลเกี่ยวกับสุขภาพพ่อของพวกเขา
นี่คือตระกูลร่ำรวยที่มีชื่อเสียงค่อนข้างดี พวกเขามีมรดกตกทอดและขนบธรรมเนียมของตนเอง ตระกูลของพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องของความกตัญญูอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เกิด ความสำเร็จคือสิ่งที่เกิดจากโชคและความบังเอิญ ตระกูลใหญ่และร่ำรวยไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยคนรุ่นเดียว
“อย่าเพิ่งรีบร้อนครับ” หวังเย้าเดินตรงเข้าไปหาชายชรา
ชายชราที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง “สวัสดี” เขาอยากจะหัวเราะ แต่เขาก็ทำไม่ได้
“สวัสดีครับ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ” หวังเย้าพูด
ไม่ว่าครั้งหนึ่งชายชราจะเคยยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ตอนนี้ เขาก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างไปจากผู้ป่วยขั้นวิกฤตคนอื่นเลยสักนิด ความจริงแล้ว ความตายล้วนเท่าเทียมเสมอ
หวังเย้าจับดูชีพจรของเขา มันอ่อนแรงจนแทบไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้ อันตรายของชีพจรนี้คล้ายกับของซูเสี่ยวซวี ในช่วงที่อาการของเธอวิกฤตที่สุด มันเป็นสัญญาณที่ใกล้ดับลง
ก่อนที่เขาจะมา เขาได้คิดเอาไว้ว่า สิ่งแรกคือฉันต้องช่วยให้เขาทีชีวิตรอดได้ชั่วคราว จากนั้น ก็หาวิธีที่จะรักษาเขา
เขาไม่ใช่พระเจ้า และในเวลานี้ เขาก็ไม่ได้เก่งกาจไปซะทุกอย่าง โรคร้ายนั้นค่อนข้างสร้างความยุ่งยากให้แก่เขา และเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง
“ผมจะจ่ายยาให้คุณนะครับ” หวังเย้าพูด “พวกคุณต้องเป็นคนเตรียมสมุนไพรให้ผมด้วยนะครับ ผมยังต้องการห้องเงียบๆและอุปกรณ์สำหรับใช้ต้มยาด้วย ฟืนที่ใช้ก็ต้องเป็นฟืนไร้น้ำมันที่เก็บจากบนเขา”
“ได้ครับ” หวูถงชิ่งพูด
หลังจากที่ได้รับรายการจากหวังเย้ามาแล้ว ทุกคนต่างก็ลงมือจัดการทุกอย่างในทันที
“ห้องเตรียมไว้พร้อมแล้ว จะไปเลยไหมคะ?” สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหวูถาม
“ช่วยรอผมสักครู่นะครับ” หวังเย้าพูด
จากนั้น หวังเย้าก็แกะกระดุมเสื้อของชายชราออก เผยให้เห็นช่วงหน้าอกที่ผอมแห้ง ทุกคนที่อยู่ภายในห้องพากันเงียบกริบในทันที ราวกับว่า พวกเขากลายเป็นเพียงเงามืดที่กำลังจับจ้องดูการกระทำของหวังเย้าอยู่
หวังเย้ากดเบาๆไปที่บริเวณหัวใจและปอดของชายชรา คนเหล่านั้นรีบพุ่งตัวเข้าไป แต่ก็ถูกหวูถงชิ่งหยุดเอาไว้ก่อน
“โอเค ไปกันเถอะครับ” หลังจากนั้นสักพัก หวังเย้าก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
“เร็วเข้า รีบพาหมอหวังไปที่ห้องได้แล้ว” หวูถงชิ่งพูด
ห้องที่พวกเขาจัดเตรียมเอาไว้ให้นั้น เป็นบ้านเก่าหลังหนึ่งที่ปลูกแยกออกไปจากตัวบ้านใหญ่ หวูถงชิ่งเคยปรึกษาเรื่องนี้กับเฉินหยิงมาก่อนหน้านั้นแล้ว จึงพอจะรู้ว่า หวังเย้านั้นชื่นชอบที่จะอยู่ในบ้านหลังเล็กๆที่เงียบสงบ เขาชอบที่จะมองดูท้องฟ้าในยามค่ำคืน สิ่งที่ตระกูลซูสามารถทำได้ พวกเขาก็ทำได้ไม่ต่างกัน
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องยังไม่จากไปไหน พวกเขาเฝ้ามองชายชรา ที่พล่อยหลับไปอย่างช้าๆ
“หมอหวูครับ?” ผู้ที่เป็นใหญ่ในบ้านกระซิบถามกับหมอชราประจำตระกูล
“ตอนนี้ เขาปลอดภัยดี” หมอหวูพูด
ในเวลานี้เอง ก็มีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง
“ หมอหลี่ ขอโทษที่ต้องรบกวนนะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“หมอหวังมาถึงที่นี่รึยัง?” หมอหลี่ถาม
“มาแล้วครับ” หวูถงชิ่งพูด
“แล้วเขาได้ให้ยาอะไรไหม?” หมอหลี่ถาม
“ไม่ครับ เขาแค่กดที่หน้าอกของพ่อเท่านั้น” หวูถงชิ่งพูด
“กดเหรอ?” ชายชราเดินเข้าไปที่เตียงอย่างรีบร้อน แล้วจับดูชีพจรของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง “เอ๋? เธอแน่ใจนะ ว่าเขาไม่ได้ให้ยาหรือฝังเข็มน่ะ?”
“เขาไม่ได้ให้ยาอะไรแน่นอนครับ แล้วเราก็ไม่เห็นเขาหยิบเข็มขึ้นมาเลยด้วย” หวูถงชิ่งพูด
“มหัศจรรย์จริงๆ!” หมอหลี่พูด
“มีอะไรเหรอครับ หมอหลี่?” หวูถงชิ่งถาม
“ชีพจรของเขาเต้นอ่อนมาก ซึ่งก็หมายความมันอันตรายมากเช่นกัน แต่ตอนนี้ มันกับแข็งแรงกว่าก่อนหน้านั้นมาก” หมอหลี่พูด
หรือจะเป็นเพราะการกดลงไปเบาๆนั่น? มันจะต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน!
“เขาอยู่ที่ไหนเหรอ?” หมอหลี่ถาม
“เขาให้รายการยาเรามาด้วยครับ” หวูถงชิ่งพูด “เขาไปเตรียมของสำหรับทำยาอยู่”
“ฉันขอดูรายการสมุนไพรหน่อยได้ไหม?” หมอหลี่ถาม
โสม, หลินจือ, โชวู, เสวียนเชิน, ฉูตี้, เฉาเย้า…
ส่วนหนึ่งเป็นสมุนไพรที่มีหน้าที่เสริม ที่เหลือคือสมุนไพรที่มีส่วนช่วยในการบำรุงธาตุหยินและล้างปอด ไม่มีส่วนใหญ่ที่ต่างไปจากปกติเลย
“ทั้งหมดมีแค่นี้เหรอ?” หมอหลี่ถาม
“ครับ มีแค่นี้”
หมอหลี่อยู่ภายในห้องประมาณ 20 นาที แล้วจากนั้นเขาก็ออกไป ในตอนที่กำลังคิดจะกลับบ้านอยู่นั้น เขาก็หยุดคิดเล็กน้อย แล้วก็เปลี่ยนเส้นทางไปยังบ้านเพื่อนของเขาแทน
“เฉินเหล่า?” หมอหลี่ร้องเรียก
“มันเย็นมากแล้วนะ” เฉินเหล่าพูด “มีอะไรเหรอ?”
“ลูกชายคนโตของตระกูลหวูเพิ่งจะขอให้ฉันมาที่บ้าน เพื่อดูอาการพ่อของพวกเขาน่ะสิ” หมอหลี่พูด
“แล้วเป็นยังไงบ้าง?” เฉินเหล่าถาม
“อย่างที่รู้ๆกันอยู่ เขาป่วยหนักจนเกินเยียวยาแล้ว” หมอหลี่พูด “พวกเขาเชิญหวังเย้ามาจากหมู่บ้านในเขา”
“หา เขามาเหรอ?” เฉินเหล่าถาม
“ใช่ แล้วเขาก็รักษาหวูเหล่าไปแล้วด้วย” หมอหลี่พูด “ฉันจับชีพจรของเขาดูแล้ว มันแข็งแรงกว่าก่อนหน้านี้มาก”
“วิเศษไปเลย” เฉินเหล่าพูด
“มันยิ่งกว่าวิเศษซะอีก” หมอหลี่พูด “หวูเหล่าไม่ได้กินยาหรือฝังเข็มเลยสักอย่าง หมอหวังทำเพียงแค่กดไปที่หน้าอกของเขาเท่านั้น”
“อะไรนะ?” เฉินเหล่าตกตะลึง “จริงเหรอ?”
“ลูกชายคนโตของเขาเป็นคนบอกเอง” หมอหลี่พูด “เขาคงจะไม่โกหกด้วยเรื่องแค่นี้หรอก มันไม่สมเหตุสมผลเกินไป”
“หรือมันจะเป็นการนวดที่ช่วยกระตุ้นจุดฝังเข็มหรืออะไรแบบนั้นรึเปล่า? โอ้ ฉันรู้แล้ว!” จู่ๆเฉินเหล่าก็นึกถึงกำลังภายในที่อยู่ในร่างกายของซูเสี่ยวซวีได้ “มันจะต้องเป็นเจ้านั่นแน่ๆ!”
“อะไรเหรอ?” หมอหลี่ถามขึ้นมาด้วยท่าทีกระสับกระส่าย
“ไม่มีอะไรหรอก” เฉินเหล่าพูด
“แกจะพูดแค่ครึ่งเดียว แล้วซ่อนอีกครึ่งเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ” หมอหลี่พูด
“มันไม่มีอะไรจริงๆ มันถือเป็นเรื่องดีที่เขามา หวังว่าเขาจะสามารถรักษาหลูเหล่าได้” เขาชี้ไปที่กระดานหมาก “มาเล่นกับฉันสักตาดีกว่านะ”
“แกเล่นห่วยจะตาย ฉันไม่เล่นด้วยหรอก ฉันจะกลับแล้ว!” หลังจากนั้น ชายชราร่างอ้วนก็จากไป เขามาเร็วไปเร็ว ไม่เหมือนกับคนอายุ 70 กว่าปีเลยสักนิด
“มันจะวิเศษเหมือนอย่างในตำนานรึเปล่านะ? แล้วเขาสามารถปกป้องหัวใจได้ด้วยการส่งพลังฉีเข้าไปได้ด้วยไหม?” เฉินเหล่าพูดออกมาด้วยความสงสัย
ส่วนเรื่องความลึกลับของกำลังภายในนั้น ชายชราก็สงสัยเป็นอย่างมาก เขาเคยได้เห็นมันมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ เพราะเขาไม่เคยได้สัมผัสมันด้วยตัวเองเลยสักครั้ง
เขายังอายุน้อยอยู่มาก ยังไม่ถึง 30 เลยด้วยซ้ำ เขาไปเรียนความสามารถพวกนี้มาจากที่ไหนกัน? เฉินเหล่าถอนหายใจออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ภายในลานบ้านนั้นเงียบสนิท หม้อที่ใช้สำหรับต้มยานั้นเป็นของเก่า ในที่สุด ฟืนก็ถูกส่งมาถึง
ตระกูลหวูได้จัดเตรียมสมุนไพรทั้งหมดที่หวังเย้าต้องการมาจนครบภายในเวลาแค่ไม่นาน เวลาสำหรับต้มยาคือช่วงกลางดึก กลิ่นของตัวยาลอยอวลอยู่ทั่วทั้งบริเวณ
หวังเย้ากำลังเตรียมยาไว้สองขนาน ตัวแรกคือ ซุปเป่ยหยวน ซึ่งสามารถเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกาย ตัวยาอีกตัวหนึ่งมีไว้สำหรับรักษาเนื้องอกและปลอบประโลมอวัยวะสำคัญทั้งห้า เขาได้คิดเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ที่อยู่บนเนินเขาหนานชาน
โสม, เก๋ากี่, ซิลเวิร์ธ, เชียนชื่อ, หลินจือ, ชานจิง, และกุยหยวน
สมุนไพรรากสองชนิดสุดท้ายนั้น หวังเย้าได้เก็บมันมาจากแปลงสมุนไพรของเขาเอง หลังจากที่ได้รับสารอาหารมาอย่างเต็มเปี่ยม ก็ทำให้พวกมันมีสรรพคุณที่สูงกว่าสมุนไพรที่ขึ้นในป่าลึกมาก
เขาคุ้นเคยกับซุปเป่ยหยวนดี ก็เหมือนกับที่คนพูดกันว่า การฝึกฝันทำให้เราชำนาญ เขาหยิบสมุนไพรที่ได้มาต้มเป็นยาโดยไม่นึกเสียดาย แล้วทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยตอนห้าทุ่ม
เขามองดูสีสันและดมกลิ่นของยา จากนั้น เขาก็เทยาลงไปในถ้วยใบเล็กเพื่อชิมมัน
“หืม มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” หวังเย้าพูดกับตัวเอง
อะไรกันนะ? มันจะต้องเป็นเพราะขาดพลังวิญญาณในค่ายกลบนเนินเขาหนานชานแน่ๆ
มีบางคนพูดกันว่า ในปักกิ่งนั้นมีความเข้มข้นของพลังฟ้าดิน มันก็ถูก แต่มันกลับเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ถึงแม้ว่ามันจะน้อยกว่าเมืองเล็กๆบางเมืองก็ตามที หากแต่ก็สามารถมองเห็นได้ในอากาศ
พลังวิญญาณนั้นต้องการความบริสุทธิ์สูงและแก่นแท้ของฟ้าดิน แต่ที่แห่งนี้คือมหานครอันยิ่งใหญ่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยคอนกรีต ถึงแม้ว่าจะมีสีเขียวและภูเขาอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าน้อยมาก ทั้งยังมีโรงงานอุตสาหกรรมและมลพิษมากมาย
แต่ตอนนี้หมดเวลาที่สามารถต้มยาได้แล้ว หากพูดให้ชัดเจนก็คือ จุดประสงค์ของยาตัวนี้ก็เพื่อสร้างสมดุลของหยินหยางในร่างกาย ซึ่งเน้นไปที่การชดเชยหยางที่หายไป ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หยางอ่อนแอ แต่หยินแข็งแกร่ง มันคงจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าหากว่าเขายังอยู่ที่เนินเขาหนานชาน แต่ที่นี่คือปักกิ่ง
ยาถูกทำเสร็จไปหนึ่งชุด เศษสมุนไพรที่เหลือถูกเททิ้งลงไปในโถส้วม ต่อจากนั้น ก็ได้เวลาทำยาตัวที่สองต่อ
หวงฉี, ตานเซิน, หลินจือ, ป๋ายฟู่หลิง, หญ้าหลี่, จื้อชาน, ชางหยาง, กุยหยวน…
ตัวยานั้นจำเป็นต้องใช้สมุนไพรรากถึงสี่ชนิดด้วยกัน หญ้าหลี่มีหน้าที่ในการรักษาเนื้อที่เน่าเสีย จื้อชานขับความร้อน ล้างพิษ และรักษาเนื้อร้าย ชางหยางขยายหลอดเลือดหัวใจ, เสริมพลังให้อวัยวะภายในทั้งห้า, และขับสิ่งอุดตันที่คั่งค้างอยู่ในร่างกาย กุยหยวนเป็นตัวประสานสรรพคุณทั้งหมดของสมุนไพรเข้าด้วยกัน
สมุนไพรรากที่ถูกนำมาทำเป็นยาตัวนี้ มีสรรพคุณเป็นรองแค่เม็ดยาอายุวัฒนะเท่านั้น
526 เกือบแล้ว
ตัวยามีสรรพคุณในการรักษาที่สูงมาก
และมันก็แพงมากด้วยเช่นกัน
ตัวยานั้นถูกทำขึ้นมาจากสูตรยาตัวใหม่ ซึ่งหวังเย้าก็ยังไม่เคยเอาออกมาใช้งานมาก่อน ดังนั้น เขาจึงใช้เวลานานในการต้ม เพราะในตอนที่ต้มยา เขาจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก โชคดีที่เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ในด้านนี้มาพอสมควร
หวังเย้าให้ความสำคัญกับกลิ่นและการเปลี่ยนแปลงของสี เมื่อไม่มีตัวช่วยอย่างหม้ออเนกประสงค์ เขาก็ต้องให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ ความแตกต่างของระยะเวลาและสถานที่ สามารถสร้างความแตกต่างให้กับประสิทธิภาพของตัวยาได้เป็นอย่างมาก
เมื่อเขาต้มยาเสร็จ ก็เป็นเวลาตี 2 แล้ว หลังจากจัดการเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็เข้านอน
เช้าวันต่อมา มีคนเตรียมอาหารเช้ามาให้เขาเรียบร้อย เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดี ที่มาพร้อมกับขนตางอนยาวและดวงตากลมโต เธอมีรูปร่างผอมและดูเหมือนจะเป็นคนจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ หมอหวัง” หญิงสาวพูด
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณคือ?” หวังเย้าถาม
“ฉันชื่อว่า กู้หยวนหยวนค่ะ คุณหวูได้มอบหมายให้ฉันดูแลชีวิตประจำวันให้กับคุณค่ะ” น้ำเสียงของเธออ่อนโยนและอ่อนหวาน ราวกับสุราจีน
“โอ้ สวัสดีครับ” หวังเย้าพูด
เขายิ้มและคิดกับตัวเองในใจว่า หวูถงชิ่งจะต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากเฉินหยิงอย่างแน่นอน
“ฉันได้เตรียมแปรงสีฟันและอาหารเช้าเอาไว้ให้คุณแล้วนะคะ” กู้หยวนหยวนพูด
“ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด
อาหารเช้ารสชาติอร่อยถูกปาก กู้หยวนหยวนทำอาหารชานตง ซึ่งมีทั้งเนื้อและผักอยู่ครบ
“หวังว่าคุณจะพอใจกับอาหารเช้านะคะ” เธอพูด
“มันอร่อยมากครับ ขอบคุณ ทำไมคุณไม่มานั่งกินด้วยกันล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณ ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกได้เลยนะคะ” กู้หยวนหยวนพูด
หวังเย้าตั้งใจจะไปที่บ้านของหวูถงชิ่ง หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เมื่อเขาบอกกับกู้หยวนหยวนว่าเขาจะออกไป ก็มีรถคันหนึ่งขับมารับเขาในสามนาทีให้หลัง
ใช้เวลาไม่นาน หวังเย้าก็เดินทางมาถึงบ้านของหวูถงชิ่ง ทุกคนใสตระกูลล้วนอยู่กันพร้อมหน้า
“เมื่อคืน พ่อของคุณหลับสนิทดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ พ่อหลับดีมาก” หวูถงชิ่งพูด
หวังเย้าจับดูชีพจรของชายชรา มันดูอ่อนแรงกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ อาการของชายชราเป็นเหมือนกับรถที่ขับลงเขา สิ่งที่หวังเย้าทำลงไปเมื่อวานเป็นแค่การหยุดรถไม่ให้มันไปต่อแค่ชั่วคราวเท่านั้น คล้ายกับเขาเอาก้อนหินไปวางไว้หน้ารถ ดังนั้น มันจึงอยู่ได้ไม่นาน
“ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นนั่งทีครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ” หวูถงชิ่งพูด
เขาพยุงพ่อของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง หวังเย้าหยิบยาสองชนิดที่เขาทำเอาไว้เมื่อวานออกมา
“นี่เป็นซุปเป่ยหยวน มันเป็นยาตัวเดียวกับที่ผมให้คุณไปครั้งก่อน วิธีการใช้ก็เหมือนเดิม เอาให้เขาดื่มทีครับ” หวังเย้ายื่นขวดยาให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา
“ได้ครับ” ชายคนนั้นพูด
ชายชราดื่มซุปเป่ยหยวนเข้าไปหนึ่งถ้วยเล็ก
หวังเย้าไม่ได้ให้ชายชราดื่มยาอีกตัวหนึ่งเข้าไปด้วย เขานั่งลงข้างเตียงและจับดูชีพจรของเขาเป็นเวลา 30 นาที ซุปเป่ยหยวนออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ชายชราเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น และการเต้นของชีพจรก็ดีขึ้นเช่นเดียวกัน
“หมอหวังครับ?” หนึ่งในลูกของชายชราส่งเสียงถามออกไป
ชู่! หวูถงชิ่งวางนิ้วชี้ไว้ที่ปากของเขา
“ดีครับ ผมจะเอายาอีกตัวให้เขาต่อนะครับ” หวังเย้าหยิบยาอีกขวดหนึ่งขึ้นมา แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้เอายาให้ทางหวูถงชิ่งเป็นคนป้อน เขาจัดการเทยาใส่ลงไปในถ้วยใบเล็ก “ช่วยกินยาทีนะครับ”
ชายชรารับยาอีกตัวมาดื่มเข้าไป
หวังเย้าจับดูชีพจรของชายชราต่อไปอีก 30 นาที ผลลัพธ์ของยาตัวที่สองไม่ได้เห็นชัดเจนเหมือนอย่างยาตัวแรก
หละงจากที่ดื่มซุปเป่ยหยวนเข้าไป ชายชราก็เกิดความรู้สึกสบายและอบอุ่นภายในกระเพาะของเขา ความอบอุ่นได้ไหลไปตามแขนขาของเขา ทำให้เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก ความรู้สึกอบอุ่นยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งเขาได้ดื่มยาตัวที่สองเข้าไป เขารู้สึกสบายโดยเฉพาะในบริเวณช่วงอกของเขา แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมา มันก็กลายเป็นความรู้สึกเจ็บปวด แล้วร่างกายของเขาก็เกิดอาการสั่นขึ้นมา
“เจ็บหน้าอกเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม” ชายชราพูด
“พยายามทนเจ็บสักหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้ารู้ว่า การที่ชายชรารู้สึกเจ็บหน้าอกนั้นเป็นเพราะฤทธิ์ของสมุนไพรราก ในสมุนไพรรากทั้งหมดที่เขาใส่ลงไปในตัวยา หญ้าหลี่คือสมุนไพรรากที่มีฤทธิ์แรงที่สุด ธรรมชาติของหญ้าหลี่นั้นไม่ได้อ่อนโยนเหมือนสมุนไพรรากตัวอื่นๆ ถึงแม้ว่ากุยหยวนจะช่วยลดความแรงของหญ้าหลี่ได้บ้าง แต่มันก็ยังคงแรงสำหรับชายชราอยู่ดี หญ้าหลี่มีสรรพคุณที่สามารถรักษาแผลเน่าเปื่อยได้ มันทำงานร่วมกับจื้อชานในการรักษาเนื้อร้าย สมุนไพรรากทั้งสองตัวนี้ก็คือต้นเหตุที่ทำให้ชายชราเจ็บหน้าอก
“ท่าน” หนึ่งในสมาชิกตระกูลพูดขึ้นมา
ชายชราพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างดีที่สุด แต่ร่างกายของเขาก็ยังสั่นเทาอย่างรุนแรง พร้อมทั้งมีเม็ดเหงื่อไหลลงมาตามหน้าผากของเขาเป็นจำนวนมาก
“เขาจะเป็นอะไรไหม?” หมอประจำตระกูลถามด้วยความกังวล ในฐานะของหมอประจำตระกูล เขาคือผู้ที่รับผิดชอบปัญหาสุขภาพทั้งหมดของชายชราแต่เพียงผู้เดียว “ให้เขากินยาเข้าไปแบบนี้มันจะดีเหรอ?”
หวูถงชิ่งสีหน้าเปลี่ยนไป เขามองไปที่หวังเย้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
ดูเหมือนว่าหมอประจำตระกูลจะสงสัยในความสามารถของหวังเย้า ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา มันถือเป็นการไม่ให้เกียรติกัน
“ตัวยาไม่มีปัญหาหรอกครับ” หวังเย้าพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าหมอประจำตระกูลวัย 40 “ใจเย็นๆครับ”
“คุณโอเคไหมครับ?” หวังเย้าถามชายชรา
“อืม” ชายชรายิ้มออกมา “หลายปีก่อนที่ฉันได้ต่อสู้ที่ชายแดน พวกเขาดึงเอากระสุนออกโดยที่ไม่ได้ใส่ยาชาให้ฉัน ความเจ็บแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
ณ จุดนี้ เขาเป็นไม่ใช่ชายชราทั่วๆไป แต่เขาคือชายผู้ผ่านสงครามมาอย่างกล้าหาญและไร้ความกลัว
หวังเย้ารู้สึกประทับใจในตัวของชายชรามาก ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรื่องในวันนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากน้ำมือของคนอย่างชายชรา
“ตอนนี้ ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ” หลังจากผ่านไปสักพัก ชายชราก็พูดขึ้นมา
ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน คล้ายกับคลื่นกระทบฝั่ง มันทำให้ชายชรารู้สึกตกใจ โชคดีที่ความเจ็บปวดนี้อยู่เพียงไม่นาน มันจางหายไปราวกับสายน้ำที่ไหลสู่ทิศตะวันออก
“ช่วยนอนลง แล้วถอดชุดออกด้วยครับ” หวังเย้าพูด
“อะไรนะ?” หนึ่งในสมาชิกตระกูลพูดขึ้นมา
“แค่ทำตามที่หมอหวังบอกก็พอ” ชายชราพูด
“พ่อ?” ลูกของชายชราถามออกมาด้วยความไม่แน่ใจ
“ฉันไม่เป็นไร แล้วฉันก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังด้วย” ชายชราพูด
ชายชราถอดชุดออก เผยให้เห็นร่างกายที่ผอมแห้งของเขา ช่วงหน้าอกและแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยแผลเป็น ส่วนหนึ่งเกิดจากกระสุนปืน อีกส่วนเกิดจากคมดาบ พวกมันคือเกียรติยศในช่วงชีวิตที่รุ่งโรนจ์ของเขา
“ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน ให้บอกผมนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้าเริ่มนวดไปตามร่างกายของชายชรา เขาเน้นไปที่เส้นเลือดในบริเวณหน้าอกและหน้าท้อง หวังเย้าใช้มือดัน, นวด, และกดไปตามเส้นเลือด
ห๊ะ! ชายชรารู้สึกได้เพียงความสบายทั่วทั้งร่างกายของเขา
ในเวลาเดียวกัน ยาทั้งสองตัวที่ดื่มเข้าไปก็เริ่มแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาให้เห็นแล้ว พวกมันทำการซ่อมแซมอวัยวะที่ได้รับความเสียหายและจัดการกับเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและอ่อนล้า ราวกับจมอยู่ใต้น้ำ เริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ
การนวดรักษาดำเนินไปกว่าหนึ่งชั่วโมง
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกสบายมาก” ชายชราพูด “ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานกว่าหกเดือนแล้ว ไม่สิ เป็นปีเลยต่างหาก!”
เรื่องนี้ได้สร้างความประหลาดในและโล่งใจให้กับทุกคนในตระกูล หมอประจำตระกูลจึงรู้สึกอับอายขายหน้า “นี่หมายความว่า ผมทำงานไม่ดีสินะครับ?”
“หมอหวู คุณคิดมากเกินไปแล้วล่ะ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” ชายชราพูด
“ผมเข้าใจแล้วครับ” หมอหวูพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ คุณนอนพักผ่อนให้มากๆ แล้วผมจะกลับมาอีกทีตอนบ่ายนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ ขอบคุณมากนะ” ชายชราพูด
หวูถงชิ่งเดินออกไปส่งหวังเย้า “หมอหวังครับ คุณคิดว่าอาการพ่อของผมเป็นยังไงบ้าง?”
“ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” หวังเย้าพูด ในเมื่อเขาเริ่มลงมือรักษาชายชราแล้ว เขาก็จะพยายามให้ถึงที่สุด นั่นคือหลักการของเขา
“ขอบคุณครับ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณครับ ผมยังมีเรื่องต้องไปทำต่ออีก” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ งั้นไว้วันอื่นก็ได้” หวูถงชิ่งพูด
“ครับ แล้วผมจำเป็นต้องพูดกับคุณเรื่องการรักษาด้วยครับ” หวังเย้าพูด
“เชิญพูดมาได้เลยครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ยาตัวที่สอง เป็นตัวยาที่ล้ำค่าและราคาแพงมาก” หวังเย้าพูด
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยครับ” หวูถงชิ่งพูด เขาไม่คิดจะถามถึงเรื่องราคาเลยสักนิด “ผมไม่สนใจเรื่องเงิน ขอแค่มันช่วยพ่อของผมได้ก็คุ้มค่าแล้ว”
หวังเย้าคิดในใจ ดี!
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมไปเองได้” หวังเย้าพูดกับคนขับที่หวูถงชิ่งจัดไว้ให้เขา
“หมอหวัง คุณหวูได้มอบหมายให้ผมพาคุณไปส่งทุกที่ที่คุณต้องการจะไปครับ” คนขับพูด
“ผมอยากจะเดินไปน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เอ่อ…” คนขับเริ่มไม่แน่ใจ
“อะไรกัน? คุณหวูจะว่าคุณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ครับ” คนขับพูด
“ก็ได้ งั้นก็กลับไปที่บ้านพักก่อนแล้วกัน” หวังเย้าพูด
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงบ้านพักแล้ว หวังเย้าก็หยิบอาหารที่นำมาจากที่บ้าน แล้วกลับขึ้นไปนั่งบนรถ
“ขับไปส่งผมที่ศูนย์การค้าที่ใกล้ที่สุดทีครับ” หวังเย้าพูด
คนขับได้ขับรถพาหวังเย้าตรงไปยังร้านค้าที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อที่หวังเย้าจะได้ซื้อของขวัญไปให้กับน้าของเขา โดยที่คนขับยืนยันที่จะเป็นคนจ่ายเงินให้กับเขา
“คุณกำลังทำอะไรน่ะครับ?” หวังเย้าถามด้วยความตกใจ
“คุณหวูบอกว่า เขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดตอนที่คุณหมออยู่ที่ปักกิ่งครับ” คนขับรถพูด
“คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายของพวกนี้หรอกครับ พวกมันเป็นของที่ผมจะซื้อไปให้น้าของผม” หวังเย้าพูด
“เอ่อ คุณก็เห็น ผมจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว” คนขับพูด
“ก็ได้” หวังเย้ายิ้มอย่างอ่อนใจ
หวูถงชิ่งช่างใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างจริงๆ
คนขับพาหวังเย้าเดินทางไปยังอพาร์ทเมนต์ที่น้าของเขาอาศัยอยู่ หวังเย้าโทรหาน้าของเขาเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้น น้าของเขาจึงได้ลางานไว้ล่วงหน้า
“ว่าไง เสี่ยวเย้า ทำไมถึงมาที่นี่ในช่วงนี้ได้ล่ะจ๊ะ?” เมื่อได้พบหน้ากันแล้ว น้าของเขาก็ถามไถ่หวังเย้า
527 ความสุขในความประหลาดใจ
“มีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า?” น้าของหวังเย้าถาม
“ผมมารักษาคนคนหนึ่งน่ะครับ” หวังเย้าพูด “แล้วน้าเขยไปไหนเหรอครับ?”
“เที่ยงนี้ เขาคงไม่กลับมาหรอกจ๊ะ เขาจะอยู่กินข้าวที่ที่ทำงานเลย” น้าของหวังเย้าพูด “เธอไม่ต้องเอาของมาให้ทุกครั้งที่มาหรอก แล้วพ่อแม่ของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
“พวกเขาสบายดีครับ” หวังเย้าพูด “ตากับยายก็สบายดีเหมือนกัน น้าไม่ต้องห่วงเลย”
“แล้วเธอกินข้าวเที่ยงมารึยังจ๊ะ?” น้าของเขาถาม
“กินมาแล้วครับ” ความจริง หวังเย้ายังไม่ได้กินอะไรเลย แต่เขาก็ไม่อยากจะรบกวนน้าของเขา แล้วตอนนี้ก็ช้าเกินกว่าที่จะเตรียมอาหารกลางวันแล้ว
“แล้วเธอจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ?” น้าของเขาถาม
“พรุ่งนี้ครับ” หวังเย้าตอบ
“ดูรีบร้อนจังเลยนะ” น้าของเขาพูด “ช่วงเทศกาลแบบนี้ คนเดินทางกันเยอะมา จะหาตั๋วกลับก็คงจะยาก เธอจะกลับเครื่องบินใช่ไหม?”
“คงจะอย่างนั้นครับ” หวังเย้าไม่ได้กังวลเรื่องการเดินทางกลับบ้านเลยสักนิด
เขาอยู่คุยกับน้าของเขาสักพัก แล้วจากนั้นก็ตรวจดูสุขภาพร่างกายของเธอ ร่างกายของเธอแข็งแรงดี จากนั้น หวังเย้าก็ขอตัวกลับ
“เราไปหาที่กินข้าวกันดีกว่าครับ” หวังเย้าพูดกับคนขับ
คนขับจึงขับรถพาหวังเย้าไปที่โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง “ที่นี่เหรอครับ?” หวังเย้าตกตะลึง
“คุณหมอไม่ชอบที่นี่เหรอครับ?” คนขับรถรีบถามขึ้นมาทันที มันเป็นสถานที่หรูหราและใกล้ที่สุดที่เขาสามารถพามาได้
“เราไม่ต้องกินในร้านที่หรูขนาดนี้ก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “แล้วมันก็วุ่นวายหน่อยๆด้วย เราไปหาร้านเก่าสักร้านกันดีกว่าไหมครับ?”
คนขับจึงขับพาหวังเย้าไปที่ร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง เส้นทางที่เข้ามานั้นค่อนข้างคดเคี้ยว แต่ในร้านกลับมีคนมาทานเป็นจำนวนมาก
“อ้าว เสี่ยวหวูนี่นา วันนี้จะกินอะไรดีล่ะ?” พนักงานเสริฟถาม
“ว่าไง อาหลิน สบายดีนะ?” ดูเหมือนคนขับจะมาทานอาหารที่ร้ายนี้เป็นประจำ
“ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ” พนักงานเสริฟตอบ “จะสั่งอาหารเลยไหม?”
“ยัง ขอดูเมนูก่อน” คนขับพูด จากนั้น เขาก็ส่งเมนูไปให้หวังเย้า
“คุณไม่ต้องทำตัวสุภาพขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ผมไม่คุ้นกับที่นี่ คุณเป็นคนสั่งอาหารดีกว่า เอาที่พอให้เราสองคนกินอิ่มก็พอ”
“ได้ครับ” คนขับสั่งอาหารมาหกจาน พร้อมกับซุปอีกสองอย่าง
“นั่นมันเยอะมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “เรากินกันไม่หมดหรอก”
“อาหารของที่นี่ให้ไม่เยอะน่ะครับ” คนขับพูด
หลังจากนั้นสักพัก อาหารทั้งหมดก็ถูกนำมาเสริฟ พวกเขามีน่าตาน่าทาน และมีปริมาณไม่น้อยเลยทีเดียว
“ลองชิมดูสิครับ คุณชอบไหม?” คนขับถาม
“ครับ มันรสชาติดีมาก” หวังเย้ายิ้ม
“คุณชอบก็ดีแล้ว” คนขับพูด
ในขณะที่หวังเย้ากำลังทานอาหารอยู่นั้น ก็มีแขกสองคนเดินทางมาเยี่ยมที่ตระกูลหวู พวกเขาก็คือ เฉินเหล่าและหมอหลี่ ทั้งสองคือแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงและมีฝีมือสูงส่ง
“เขาได้กินยาแล้วเหรอ?” เฉินเหล่าถาม
“ใช่” หมอหลี่ตอบ
“ยังมีเหลืออยู่ไหม?” เหล่าเฉินถาม
“เหลืออยู่นี่โดสหนึ่ง” หมอหลี่พูด
“ไม่มีอะไรต้องสงสัยในตัวยานี้เองแล้วล่ะ” เฉินเหล่าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งก่อนที่เอาไปวิเคราะห์ ได้อะไรมาบ้างรึเปล่า?” หมอหลี่ถาม
“ครั้งที่แล้วฉันล้มเหลว แต่ครั้งนี้ ฉันจะลองดูอีกครั้ง” เฉินเหล่าพูด
“ถ้าอย่างนั้น นายก็ควรจะลองดูอีกที” หมอหลี่พูด
ถึงแม้ทั้งสองจะดูเหมือนกำลังพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ แต่จุดประสงค์ที่มาในวันนี้นั้นชัดเจน พวกเขามาเพื่อดูอาการของหวูเหล่า ที่นอนหลับไปหลังจากได้รับการรักษาจากหวังเย้าในช่วงเช้า
เฉินเหล่าตรวจดูหวูเหล่าเป็นคนแรก “โอ้ ฉันนับถือเขาจริงๆ” หลังจากที่จับดูชีพจรของชายชราแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมา
จากนั้น ก็เป็นตาของหมอหลี่ “มันทั้งแปลกและน่าอัศจรรย์มาก!” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายของความประหลาดใจ
หลังจากที่ตรวจดูอาการของหวูเหล่าเรียบร้อยแล้ว หมอหลี่ก็ต้องตกตะลึง “มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?”
“เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่านะครับ” หวูถงหรง ลูกชายคนโตของหวูเหล่าพูด เพราะตอนนี้พ่อของเขากำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ ตลอดหลายวันมานี้ มันเป็นเรื่องยากมากที่พ่อของเขาจะสามารถนอนหลับสนิทได้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อยากจะรบกวนการนอนของเขา
พวกเขาเดินออกมานั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น
“อาการป่วยของพ่อเป็นยังไงบ้างครับ?” หวูถงหรงถาม
“เขาอาการดีขึ้น อย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็ปลอดภัยเป็นการชั่วคราวล่ะนะ” เฉินเหล่าพูด
“ใช่แล้วล่ะ” หมอหลี่เห็นด้วย
“จริงเหรอครับ?” หวูถงหรงรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน นี่เป็นข่าวดีที่เขาเฝ้ารอมาเนิ่นนานแล้ว
“แน่นอนว่าเป็นความจริง มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่เราสองคนจะโกหกเธอจริงไหม?” เฉินเหล่าพูด
“แต่ถึงอาการของเขาจะดีขึ้น แต่อาการป่วยของเขาก็ยังสามารถทรุดลงได้อยู่” หมอหลี่พูด
“แล้วถ้าได้รับยาต่อเนื่อง มันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะหายน่ะครับ?” หวูถงหรงถาม
“มันก็ต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการรักษาด้วย” หมอหลี่พูด “พวกเราทั้งสองได้ปรึกษากันดูแล้ว ฉันรู้สึกว่า ถ้าเขายังใช้ยาต่อไป มันก็มีโอกาสที่เขาจะหายดีได้ แต่คำถามก็คือ เขาจะทำยาให้เธออีกรึเปล่า?”
“เขาบอกว่า ตัวยามีราคาที่สูงมาก” หวูถงหรงพูด
“มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว การแพทย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน กลับใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ดังนั้น ยาที่เขาขึ้นมาก็ต้องแพงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” หมอหลี่พูด “แต่เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหาของเธออยู่แล้วนี่ คำถามของเธอก็คือ เธอจะใช้วิธีไหนเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับหมอหวังได้บ้าง”
“แล้วเขาไปไหนเหรอ?” เฉินเหล่าถาม
“เขาไปหาญาติที่อยู่ในตัวเมืองครับ” หวูถงหรงพูด
“อืม นี่ถือเป็นเรื่องดี” หมอหลี่พูด
…
หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จแล้ว หวังเย้าก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านพักรับรองของเขา จากนั้น เขาก็ออกไปที่บ้านของตระกูลหวู ในเวลานั้น หมอชราทั้งสองก็ได้กลับไปแล้ว
“เขาตื่นรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“เขายังหลับอยู่ครับ” หวูถงหรงพูด “ดูสิครับ”
เมื่อหวังเย้าเดินไปที่เตียง เขาก็เห็นว่า ชายชรายังคงหลับอยู่ ใบหน้าของเขาไม่ได้ซีดเซียวหรือไร้สีเหมือนอย่างครั้งแรกที่ได้พบกันอีกต่อไป มันมีสีชมพูระเรื่อ และการหายใจของเขาก็ดูสม่ำเสมอดี
หวังเย้าไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา เขาเพียงแค่นั่งอยู่ข้างเตียงและจับชีพจรของเขาดู “ตัวยาได้ผล แต่มันยังไม่จบแค่นี้”
หลังจากที่ตรวจอาการของชายชราเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็ปล่อยให้เขานอนกลับต่อไป
“ยายังคงออกฤทธิ์อยู่” หวังเย้าพูด “ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะให้เขากินยานะครับ เดี๋ยวผมจะกลับมาอีกทีตอนสองทุ่ม”
“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวูถงหรงพูด
เขาเดินออกไปส่งหวังเย้าที่ประตูและมองดูเขาจากไป ก่อนที่จะกลับเข้าไปในตัวบ้าน
…
“พวกเขาเชิญหวังเย้ามาได้ใช่ไหม?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ ฉันได้ยินมาว่า เขามาถึงเมื่อคืนก่อน” เฉินหยิงตอบ
“ดูเหมือนว่า อาการของหวูเหล่าตระกูลหวูจะถึงขั้นวิกฤตแล้วสินะ” ซงรุ่ยปิงพูด “ตอนนี้ อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวซวีล่ะ”
“ค่ะ ฉันรู้” เฉินหยิงพูด
หลังจากที่ไปบ้านตระกูลหวูมาแล้ว หวังเย้าก็เดินทางไปที่กระท่อมที่เฉินหยิงดูแลอยู่
“เซียนเชิง มาที่นี่เหรอคะ?” เมื่อได้เห็นหวังเย้า เฉินหยิงก็มีความสุขมาก
“พี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันกำลังดูแลดอกไม้ต้นไม่อยู่ค่ะ เขามานั่งข้างในก่อนสิคะ” เฉินหยิงพูด
ในตอนที่เขากำลังเดินเข้าไปด้านในนั้น อยู่ๆก็มีเสียงพูดดังขึ้นมาในหัวของเขา ‘ภารกิจ: รักษาโรคที่รักษาได้ยาก สำเร็จแล้ว!”
“สำเร็จแล้วเหรอ?” หวังเย้าตกตะลึง
“เซียนเชิง มีอะไรรึเปล่าคะ?” เฉินหยิงรีบถามขึ้นมาในทันที
“โอ้ ไม่มีอะไรครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขานั่งอยู่ภายในตัวบ้านได้สักพัก
“เราไปหาเสี่ยวซวีกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันจะแจ้งให้คุณผู้หญิงทราบเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เฉินหยิงรีบโทรไปหาซงรุ่ยปิงอย่างรวดเร็ว
แล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลซู ซงรุ่ยปิงออกมารอต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง พร้อมด้วยลูกสาวของเธอ หญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์
“เซียนเชิง!” เมื่อได้เห็นหน้าหวังเย้า ซูเสี่ยวซวีก็มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“เธอเดินได้แล้วสินะ!” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ ที่ได้เห็นซูเสี่ยวซวีกำลังยืนเกาะอยู่ที่ประตู
“ค่ะ แต่ฉันยังยืนได้ไม่นานเท่าไหร่” ซูเสี่ยวซวีพูด
ที่ในกระท่อม ตอนที่เขาได้ยินเสียงพูดของระบบ เขาก็ยังสงสัยอยู่ว่าใครคือคนข้ารายที่สิบที่เขารักษาหาย ทั้งที่เขาเตรียมใจสำหรับบทลงโทษของระบบเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาปักกิ่งแล้ว เพราะในตอนนั้น เขาเหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้น และยังเหลือคนไข้ที่ต้องรักษาให้หายอีกหนึ่งคน
รางวัลจากภารกิจนี้มีเยอะแยะมากมาย แต่บทลงโทษก็รุนแรงมากเช่นกัน เพราะเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ระบบนานถึงสามเดือน หวังเย้าได้เตรียมใจเอาไว้พร้อมแล้ว แต่แล้วเขาก็ได้รับเซอร์ไพร์ที่น่าตกใจ เมื่อได้พบกับซูเสี่ยวซวีแล้ว เขาก็พอจะเดาได้ว่า คนไข้รายที่สิบที่เขารักษาหาย น่าจะเป็นเด็กสาวที่มีรอยยิ้มสวยราวกับดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้นี่เอง
“คุณจะอยู่ที่ปักกิ่งกี่วันคะ?” เธอถาม
“ฉันจะกลับวันพรุ่งนี้แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
“ทำไมถึงสั้นจัง!” ซูเสี่ยวซวีรู้สึกผิดหวัง ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่า มันใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ดังนั้น หวังเย้าจึงไม่สามารถอยู่ที่ปักกิ่งนานๆได้ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่า เวลาหนึ่งวันมันสั้นมากอยู่ดี
“เสี่ยวซวี นี่ก็ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว หมอหวังก็ต้องมีเรื่องให้กลับไปทำที่บ้านบ้างสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงยิ้ม
“คะ เซียนเชิงคะ พอผ่านช่วงตรุษจีนไป ฉันอยากจะไปเรียนกันคุณค่ะ ได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เรียน? เธออยากจะเรียนอะไรเหรอ?” หวังเย้ารู้สึกตกใจเล็กน้อย
แม่ของเธอก็ตกใจเช่นกัน เพราะเธอไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อนเลย
“ฉันอยากเรียนวิธีการฝึกตนและเกี่ยวกับกำลังภายในค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อ่อ!” หวังเย้าเข้าใจขึ้นมาในทันที
ในตอนที่เขารักษาซูเสี่ยวซวีอยู่นั้น เขาได้ทิ้งพลังฉีบางส่วนเอาไว้ในร่างกายของเธอด้วย เขายังได้ท่องบทความบางส่วนจากในคัมภีร์จื้อหรานให้เธอฟังด้วย มันคงจะเป็นพรที่พระเจ้ามอบมันให้กับเธอ
ถ้าหากจะหาคนบนโลกนี้ ที่เหมาะจะสอนซูเสี่ยวซวีฝึกกำลังภายในมากที่สุด คนคนนั้นก็คงจะเป็นตัวเขานั่นเอง
หวังเย้ามองดูสาวงามที่กำลังมองมาที่เขา ด้วยแววตาที่แสดงความกระตือรือร้นออกมา มันทำให้เขาปฏิเสธคำขอของเธอไม่ได้
“แน่นอน ถ้าเธออยากจะเรียนก็ได้” ในที่สุด เขาก็พูดออกมา
“เยี่ยมไปเลยค่ะ!” ซูเสี่ยวซวีตะโกนออกมาด้วยความยินดี
528 แรกพบ
เมื่อเห็นว่าตระกูลซูมีแขกอยู่ หวังเย้าจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ได้ค่ะ ฉันเดินออกไปส่งนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
เมื่อเขาเดินออกประตูมา เขาก็เห็นร่างสง่างามของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอดูมีอายุราว 40 กว่าปี เธอรักษารูปร่างได้เป็นอย่างดีและมีสง่าราศีคล้ายกับซงรุ่ยปิง
“รุ่ยปิง” เธอพูด
“พี่ซิ่ว เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนสิคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“สวัสดีค่ะ คุณป้า” ซูเสี่ยวซวีพูด
“สวัสดีจ๊ะ เป็นยังไงบ้างจ๊ะ อาการดีขึ้นแล้วรึยัง?” หลี่ถงซิ่วถาม
“ดีขึ้นมาแล้ว ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ
หลี่ถงซิ่วหันไปมองหน้าหวังเย้า
“ฉันไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อนเลย จำไม่เห็นจะได้ว่าเป็นเด็กของตระกูลไหนในปักกิ่ง” เธอเอาเองว่า หวังเย้าจะต้องเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่และเป็นคุณชายคนหนึ่ง เพราะซงรุ่ยปิงถึงกับเดินออกมาส่งเขาด้วยตัวเองแบบนี้ แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าเขาเป็นเด็กของตระกูลไหน
“หมอหวัง เดินทางปลอดภัยนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ครับ ไม่ต้องส่งผมหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด
“หมอหวังเหรอ?” หลี่ถงซิ่วจับจ้องไปที่หน้าของหวังเย้า
เขาก็คือคนที่ช่วยชีวิตลูกชายของเธอเอาไว้ที่เหลียนชาน ถูกเชิญมาโดยซือหรงเพื่อรักษาพ่อสามี และดึงซูเสี่ยวซวีกลับมาจากขอบเหวแห่งความตาย แถมยังรักษาเธอจนเกือบจะหายดีแล้ว ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักในวงสังคมเล็กของปักกิ่ง
หวังเย้าเดินทางมาหลายพันไมล์เพื่อรักษาพ่อสามีของเธอ ซึ่งมันทำให้คนทั้งตระกูลรอดพ้นจากความสับสนอลหม่าน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะเขา ในเวลานั้น ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ เธอจึงไม่สามารถอยู่ข้างกายพ่อสามีได้ เธอไม่ได้พบหน้าหวังเย้าเลยสักครั้ง แต่เธอเคยได้ยินเรื่องของเขาจากคนในตระกูลมากกว่าหนึ่งครั้ง และนี่ก็คือครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าเขา
หลังจากที่คิดดูเล็กน้อย หลี่ถงซิ่วก็รีบหมุนตัวและเดินเข้าไปหาหวังเย้า “สวัสดีค่ะ หมอหวัง”
“สวัสดีครับ คุณคือ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ฉันคือแม่ของเจิ้งเหอกับซือหรง หลี่ถงซิ่วค่ะ” เธอพูด
“สวัสดีครับ คุณหลี่” หวังเย้าพูด
เมื่อได้รู้ว่าเธอคือใครแล้ว หวังเย้าก็เห็นเค้าลางที่คุ้นเคยได้จากใบหน้าของเธอ คิ้วของกั๋วซือหรงคล้ายคลึงกับผู้หญิงตรงหน้าเขา
“ขอบคุณที่ช่วยเจิ้งเหอเอาไว้นะคะ” หลี่ถงซิ่วพูด
“อ่อ ยินดีครับ” หวังเย้ายิ้ม
หลังจากพูดคุยได้สองสามประโยค หวังเย้าก็จากไปพร้อมกับเฉินหยิง
“คราวนี้ ผมขอไปเจอน้องชายของพี่ได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ได้สิคะ ฉันจะจัดการติดต่อทางนั้นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เฉินหยิงพูดออกมาด้วยความยินดี
พอเธอได้ยินว่า หวังเย้าจะกลับวันพรุ่งนี้แล้ว ดังนั้น เขาก็คงจะไม่มีเวลาว่างมากนัก และคิดว่าเขาคงจะไม่สามารถไปหาเฉินโจวได้ เธอจึงไม่ได้ถามเขาเรื่องนี้เลย เธอไม่คิดไม่ถึงเลยว่า จะเป็นหวังเย้าที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
ไม่นาน พวกเขาก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลที่เฉินโจวรักษาตัวอยู่
ตั้งแต่ที่ได้รับการรักษาไปเมื่อครั้งก่อน เฉินโจวก็ยังสามารถคงสติได้จนถึงตอนนี้ ซึ่งมันได้สร้างความตกตะลึงให้กับหมอในโรงพยาบาลอย่างมาก พวกเขาจึงไปสอบถามวิธีการรักษากับหมอเจิ้ง ซึ่งเป็นหัวหน้าแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งนี้
“โอ้ เธอมาแล้ว!” เมื่อหมอเจิ้งเห็นหวังเย้า เขาก็แทบจะร้องไห้ออกมา
“สวัสดีค่ะ หมอเจิ้ง น้องชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?” เฉินหยิงถาม
“ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญตามผมมาได้เลยครับ” หมอเจิ้งพูด
หลังจากที่ได้รับสายจากเฉินหยิง หมอเจิ้งก็รีบจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมโดยเร็วที่สุด ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะ เฉินหยิงคือผู้สนับสนุนหลักของพวกเขา และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นเพราะ เธอกำลังจะพาหมอหนุ่มคนนั้นมาพร้อมกับเธอด้วย
“เชิญครับ” หมอเจิ้งพูด
ดวงตาของเฉินโจวเป็นประกายและคิ้วเรียวงาม ที่มากไปกว่านั้นก็คือ แววตาที่เฉียบคมและคมกริบของเขา
“จำได้ไหมว่าฉันคือใคร?” หวังเย้าถาม
“สวัสดีครับ หมอหวัง” เฉินโจวพูด
“ดี” เมื่อดูจากท่าทีของเขาแล้ว หวังเย้าก็ไม่พบปัญหาอะไรเลย หลังจาได้ที่ฟังเสียงและจับดูชีพจรของเฉินโจวแล้ว เขาก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร “ตอนนี้ น่าจะยังไม่มีปัญหาอะไรครับ”
สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขากลับเป็นปกติแล้ว ครั้งก่อนเขาสามารถคงสติเอาไว้ได้เป็นเวลานาน แต่แล้วเมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง เขาก็กลับไปเสียสติอีกครั้ง และหวังเย้าก็ยังคงไม่สามารถค้นหาสาเหตุได้
“เขาจะอาการกำเริบอีกไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” หวังเย้าพูด “มันก็มีความเป็นไปได้อยู่”
“แล้วฉันควรทำยังไงดีคะ?” เฉินหยิงถามด้วยความกังวล
“เราจะยังสังเกตดูอาการของเขาต่อไปครับ” หวังเย้าพูด “คุณจะต้องเริ่มดูตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวันของเขา และหาให้เจอว่า ทำไมอยู่ๆเขาถึงอาการกำเริบขึ้นมาได้”
“ได้ครับ ผมจะเพิ่มการจับตาดูเสี่ยวเฉินให้เข้มข้นกว่านี้ครับ” หมอเจิ้งพูด
หลังจากที่สองพี่น้องได้พูดคุยกันสักพักแล้ว เฉินหยิงก็ขอตัวกลับ
“เซียนเชิงคะ ตรุษจีนนี้ฉันสามารถรับตัวเฉินโจวออกไปข้างนอกได้ไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“พวกคุณจะฉลองตรุษจีนด้วยกันเหรอ? แล้วพวกเขาจะตกลงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“พวกเขาตกลงอยู่แล้วค่ะ แต่เราก็ต้องมั่นใจว่า เขาจะไม่อาการกำเริบในระหว่างนั้น” เฉินหยิงพูด
หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ง่ายมากครับ วันนี้ ผมจะทำยาให้คุณติดตัวไปด้วยตอนฉลองตรุษจีน”
“คุณจะให้ฉันทำอะไรไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ไม่จำเป็นครับ ผมมีสมุนไพรอยู่แล้ว มันเป็นสมุนไพรที่ตระกูลหวูหามาให้ผมน่ะครับ” หวังเย้ายิ้ม
ในตอนเย็น เฉินหยิงเชิญหวังเย้าไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารไพรเวทแห่งหนึ่ง หลังจบมื้อเย็น หวังเย้าก็เดินทางกลับไปที่ตระกูลหวู
ชายชราตื่นขึ้นมา “หมอหวัง”
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกสบายมากเลย” ชายชราพูด
หวังเย้านั่งอยู่ข้างเตียงนอน และจับดูชีพจรของชายชรา
“ฤทธิ์ของตัวยายังอยู่ แต่มันเริ่มอ่อนลงแล้ว”
“ให้กินยาต่อไปเหมือนเดิมนะครับ” หวังเย้าพูด “กินในปริมาณเท่าเดิมทั้งสองตัวเลยนะครับ”
จากนั้น เขาก็นวดให้กับชายชราเพื่อกระตุ้นจุดฝังเข็มตามร่างกาย
“ผมจะมาอีกทีพรุ่งนี้เช้านะครับ แล้วตอนบ่าย ผมก็จะกลับเหลียนชาน” หวังเย้าพูด
“หมอหวัง คุณช่วยอยู่ต่ออีกสองวัน รอจนกว่าอาการพ่อของผม…” หวูถงหรงรีบพูดแทรกขึ้นมา
“ผมได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว” หวังเย้าพูด “พ่อของคุณจะสามารถผ่านตรุษจีนไปได้อย่างปลอดภัย ตราบเท่าที่เขาได้กินยาอย่างสม่ำเสมอ”
“นี่…ครับ ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย” หวูถงหรงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยและตอบรับคำขอของหวังเย้า
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากส่งหวังเย้าออกไปแล้ว หวูถงหรงก็กลับมาที่ห้อง
“เราจะปล่อยให้เขากลับไปไม่ได้” หมอประจำตระกูลพูด “ร่างกายของเขาเพิ่งจะดีขึ้น เราจะต้องตีเหล็กตอนที่ยังร้อนอยู่ โดยการรักษาอย่างต่อเนื่อง มันอาจจะทำให้อาการของเขาดีขึ้นมากกว่านี้ก็ได้ แต่เขากลับ…”
“ฉันเข้าใจความหมายของนาย เสี่ยวหวู” หวูถงหรงยิ้มและตบไหล่ของเขา “ฉันอยากจะให้เขาอยู่ที่นี่มากกว่าใคร”
เพียงแค่หนึ่งวัน ทุกคนในตระกูลหวูต่างก็ได้เห็นถึงความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของหวังเย้า
“ถงชิ่งได้คุยกับเขาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้น พรุ่งนี้เราต้องยอมปล่อยเขากลับไป” หวูถงหรงพูด
“แต่ หวูเหล่า…”
“นายคิดว่าสถานการณ์พ่อของฉันในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” หวูถงหรงถาม
“ตอนนี้ มันไม่มีปัญหาอะไรครับ แล้วก็ยังดีขึ้นด้วย” หมอประจำตระกูลพูด “แต่ในอนาคตมันก็พูดได้ยากว่าจะเป็นยังไงต่อไป”
“พรุ่งนี้ ฉันจะเชิญหมอหลี่กับเฉินเหล่ามาดูอาการของพ่อ” หวูถงหรงพูด
ในเมื่อหวูถงหรงได้ตัดสินใจแล้ว ผู้หมอเป็นประจำอย่างเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะถึงยังไง หวูถงหรงก็คือลูกชายคนโตของชายชรา
ในคืนนั้น หวังเย้าต้มยาอยู่ในบริเวณลานบ้าน ตานเซิน, หวูเว่ยจือ, เฉาเย้า, ฟู่หลิง, หยูชวย… ตัวยามีสรรพคุณในการรักษาอาการทางจิต สมุนไพรตัวสุดท้ายมีหน้าที่ในการปรับจิตใจของผู้ป่วย
ครั้งก่อน หลังจากที่ได้กินยาไป อาการของเฉินโจวก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จิตใจของเขากระจ่างใส และมันก็คงอยู่อย่างนั้นมาจนถึงปัจจุบัน นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่สาเหตุของอาการก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี หน้าที่ของยาตัวนี้คือการคงสภาพการตื่นของเขาออกไป และให้เขาได้ฉลองตรุษจีนอย่างอบอุ่นกับพี่สาวของเขา
ตั้งแต่ที่เฉินโจวป่วยด้วยโรคประหลาดนี้ เฉินหยิงก็ต้องฉลองตรุษจีนคนเดียวมาตลอด รวมทั้งเทศกาลอื่นๆด้วย ทั้งที่มันเป็นช่วงเวลาของการพบหน้าของคนในครอบครัว เธอมีน้องชายเหลืออยู่แค่คนเดียว แต่เธอกลับไม่สามารถพบหน้าเขาอย่างคนปกติได้ ซึ่งมันทำให้เธอโศกเศร้าอย่างมาก
สีของตัวยาเริ่มเปลี่ยนไป เป็นสัญญาณของยาที่ใกล้จะได้ที่แล้ว ในเมื่อตัวยามีหน้าที่ในการบำรุงธาตุหยิน มันจึงไม่มีปัญหากับการต้มยาในตอนกลางคืนแบบนี้
หลังจากที่หวังเย้าต้มยาเสร็จแล้ว เขาก็ปิดไฟและเข้านอน วันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่
“เซียนเชิง คุณตื่นเช้าจังเลยนะคะ” กู้หยวนหยวนตื่นเช้ายิ่งกว่าหวังเย้า
“เมื่อคืน คุณนอนไม่หลับเหรอครับ?” เมื่อเห็นขอบตาที่คล้ำเล็กน้อยของเธอ หวังเย้าก็ถามขึ้น
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ” เธอตอบ
“คุณมีการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตติดขัด มันทำให้ร่างกายของคุณอ่อนแอลงได้ คุณควรจะพักผ่อนให้มากนะครับ” หวังเย้าแนะนำ
“ค่ะ ขอบคุณมาก” กู้หยวนหยวนรีบพูด “อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็ไปดูอาการของชายชรา อาการของเขาคงที่ และยังดีขึ้นกว่าคืนก่อนด้วยซ้ำ ในตอนที่หวังเย้ากำลังตรวจชายชราอยู่นั้น ก็มีหมออีกสองคนเดินทางมาที่นี่เช่นกัน
“อรุณสวัสดิ์ครับ” หวังเย้ายิ้มและทักทายทั้งสอง
“อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง?” หนึ่งในสองคนถาม
“มันดีกว่าเมื่อวานมากครับ” หวังเย้าไม่ได้ปิดบังอะไรและบอกทุกอย่างให้พวกเขารู้
529 คนที่ใส่ความพยายามมากจนเกินพอดีนั้นเชื่อถือไม่ได้
“เยี่ยมไปเลย!” หวูถงชิ่งและพี่น้องของเขาต่างตื่นเต้นยินดี
หวูถงชิ่งและหวูถงหรงไม่ได้ไปทำงานในเช้าวันนี้ พวกเขาเฝ้ารอเพื่อที่จะได้พบกับหวังเย้า
หวังเย้าตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ กู้หยวนหยวนได้เตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้พร้อมแล้ว
“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูด
“ยินดีค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด
เธอไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร แต่นายจ้างได้สั่งให้เธอดูแลชีวิตประจำวันของเขาและทำให้เขาพึงพอใจในทุกเรื่อง โชคดีที่ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ทำอะไรที่ล้ำเส้น
“คุณมีเรื่องอะไรในใจรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
เขาเห็นว่า กู้หยวนหยวนมักจะใจลอยอยู่บ่อยๆ เธอมีท่าทีคล้ายกับเฉินหยิงในช่วงแรกที่มักจะเหม่อลอย
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด ความจริงเธอมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่สามารถบอกกับเขาได้
“ถ้ามีเรื่องอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ ก็บอกมาได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้ารู้สึกขอบคุณที่กู้หยวนหยวนดูแลเขา มันทำให้เขารู้สึกติดหนี้เธอ และเขาก็ไม่ชอบติดหนี้ใครด้วย
กู้หยวนหยวนรู้สึกลังเล ฉันควรจะบอกเขาดีไหมนะ? บางทีเขาอาจจะช่วยฉันได้ แต่มันอาจจะทำให้เขามีปัญหาไปด้วย
“ได้ค่ะ ขอบคุณมาก” กู้หยวนหยวนพูด
เมื่อเห็นว่า กู้หยวนหยวนไม่ได้กระตือรือร้นที่จะขอความช่วยเหลือจากเขา หวังเย้าก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เขาไม่อยากจะไปคะยั้นคะยอเธอ
เขาออกไปจากบ้านตอน 8 โมงเช้า เมื่อเขาไปถึงบ้านตระกูลหวู ทุกคนในตระกูลล้วนกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ภายในตัวบ้าน
หวูเหล่ามีลูกชายสองคนและลูกสาวสองคน
“อรุณสวัสดิ์ครับ หมอหวัง” หวูถงชิ่งและพี่น้องของเขาต่างก็เชื่อมั่นในความสามารถของหวังเย้า และต้อนรับหวังเย้าอย่างอบอุ่น
“หวูเหล่าตื่นรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ เขาดูดีขึ้นมาก” หวูถงชิ่งพูด
หวังเย้าเดินเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการของชายชรา ที่ดูเหมือนอาการดีขึ้นมากแล้ว ดวงตาของชายชราเป็นประกายสดใส
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกดีมากเลยล่ะ” ชายชราพูด เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้ตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อคืนก่อน เขาสามารถนอนหลับสนิทและไม่รู้สึกเจ็บปวด อย่างที่เคยทรมานเขาเป็นเวลานาน
“ผมขอตรวจดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
“อืม” ชายชราพูด
หนึ่งคืนผ่านไป แต่ฤทธิ์ของตัวยาทั้งสองยังคงทำงานอยู่ และทำให้ชายชรารู้สึกดีขึ้นมาก
ซูเซี่ยงฮวากลับมาที่บ้านในตอนเช้า
“หลี่ถงซิ่วมาหาเมื่อวานค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูดกับสามีของเธอ
“อืม มีเรื่องอะไรเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“เรื่องการแต่งงานค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“การแต่งงานเหรอ?” ซูเซียงฮวาหยุดชะงักไปและขมวดคิ้ว “เสี่ยวซวีเหรอ?”
“ค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูเซี่ยงฮวาเงียบไปพักหนึ่ง “เธอได้บอกกับเสี่ยวซวีรึยัง?”
“ยังค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“กั๋วเจิ้งเหอเป็นชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาด แต่เขาก็เจ้าเล่ห์เกินไป ถึงเขาจะดูดีและอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ฉันไม่คิดว่าเสี่ยวซวีจะเหมาะกับเขาหรอก” ซูเซี่ยงฮวาพูด
เขาเคยพูดเรื่องนี้กับภรรยาของเขามาก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อรู้ว่ากั๋วเจิ้งเหอสนใจในตัวลูกสาวของเขา เขาจึงได้เริ่มสังเกตดูพฤติกรรมของกั๋วเจิ้งเหอ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลกั๋ว เขาพบว่า กั๋วเจิ้งเหอเป็นคนที่มีความสามารถ ฉลาด และเจ้าแผนการ ลักษณะนิสัยของเขาสามารถส่งให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แล้วตอนนี้ กั๋วเจิ้งเหอก็ยังอายุน้อยอยู่มาก ซูเซี่ยงฮว่าคิดว่า หากเขาอายุเท่ากั๋วเจิ้งเหอในตอนนี้ เขาคงจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เท่ากับกั๋วเจิ้งเหอ แต่เขาไม่คิดว่า นิสัยแบบนี้ของกั๋วเจิ้งเหอจะสามารถเป็นสามีที่รักถนอมภรรยาได้ เขาเพียงต้องการให้ลูกสาวของเขามีชีวิตที่มั่นคง เพราะเธอต้องทนทุกข์ทรมานเพราะโรคร้ายมามากเกินพอแล้ว เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวของเขาต้องเจ็บปวดอีก
เมื่อต้องยืนอยู่เหนือผู้คน ความมั่นคงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ฉันเห็นด้วยกับคุณค่ะ ฉันก็เลยไม่ได้รับปากตกลงเรื่องแต่งงานกับเธอไป” ซงรุ่ยปิงพูด
“ความรู้สึกของเสี่ยวซวีที่มีต่อเขาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แล้วกั๋วเจิ้งเหอยังมาที่นี่บ่อยๆไหม?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“ค่ะ แต่ลูกสาวของเราดูเหมือนจะชอบคนอื่นอยู่น่ะค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“จริงเหรอ? เธอชอบใครอยู่เหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“คุณเอาแต่ทำงานทุกวัน คุณรู้เรื่องอะไรบ้างคะ? แต่คนนี้คุณก็รู้จักนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“จริงเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“ค่ะ หมอหวังยังไงล่ะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ใครนะ?” ซูเซี่ยงฮวาถามด้วยความประหลาดใจ
“หวังเย้าค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูเซี่ยงฮวาเงียบไปพักหนึ่ง “เขาถือว่าไม่เลวเลย แต่…”
“เขาอยู่คนละระดับกับเราใช่ไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงพูด
คู่แต่งงานที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในตระกูลใหญ่
“ใช่” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“ขอบอกให้รู้ไว้ก่อนนะคะว่า เขาอาจจะไม่ได้ชอบลูกสาวของเราเลยก็ได้” ซงรุ่ยปิงพูด
“อะไรนะ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“ช่างมันเถอะค่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ตอนนี้หมอหวังอยู่ที่ปักกิ่ง เขาแวะมาที่นี่เมื่อวาน คุณคงคิดภาพไม่ออกหรอก ว่าลูกสาวของเรามีความสุขขนาดไหนที่ได้เจอเขาน่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“เขาพักที่กระท่อมของเราเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“เปล่าค่ะ เขามาเพื่อรักษาหวูเหล่า” ซงรุ่ยปิงพูด
ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กำลังรักษาหวูเหล่า โดยการให้เขากินยาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้น เขาก็ทำการฝังเข็มรักษาต่อ หวังเย้าแทงเข็มลงไปตามจุดฝังเข็มในบริเวณช่วงอกและหน้าท้องของชายชรา แล้วก็นวดรักษาเป็นการปิดท้าย
หลังจากจบการรักษา ก็มีเหงื่อไหลลงมาตามศีรษะของชายชรา
“การรักษาของวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ผมจะทิ้งยาเอาไว้ให้คุณ คุณรู้อยู่แล้วนะครับว่าต้องให้ปริมาณเท่าไหร่ต่อครั้ง” หวังเย้าพูด
หวังเย้าทิ้งซุปเป่ยหยวนกับยาอีกตัวหนึ่งไว้กับหวูถงชิ่ง
“ได้ครับ” หวูถงชิ่งรับยามาเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง ยาทั้งสองชนิดนี้สามารถรักษาชีวิตพ่อของเขาได้
“ผมจะกลับบ่ายนี้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ผมจัดเตรียมเรื่องการเดินทางเอาไว้ให้พร้อมแล้วครับ” หวูถงชิ่งพูด
“โอเคครับ แล้วเจอกันตอนบ่ายนะครับ” หวังเย้าพูด
“หมอหวัง คุณสะดวกทานอาหารกลางวันด้วยกันไหมครับ? เราได้จองร้านอาหารเอาไว้แล้ว” หวูถงชิ่งพูด
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ ผมไม่ค่อยชอบกินกับคนเยอะๆเท่าไหร่น่ะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ…” หวูถงชิ่งพูดด้วยท่าทีอึดอัดใจ
“แล้วเจอกันนะครับ” หวังเย้าพูด แล้วจึงเดินออกไปจากตัวบ้าน
“อวดดีจริงๆ” หญิงวัย 40 คนหนึ่งบ่นออกมา
“เงียบซะ” ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงตะคอกใส่เธอ
“พ่อคะ” หญิงวัยกลางคนพูด
“ทำไมเขาจะต้องกินข้าวกับพวกแกด้วย? พวกแกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ฉันเคยสอนไว้ว่ายังไง? อย่าคิดว่าตัวเองสูงส่งเหนือคนอื่น เพียงเพราะพวกแกเป็นลูกของฉัน ไม่เห็นหรือยังไงว่ามีกี่ตระกูลแล้วที่ต้องล้มลงไปน่ะ?” ชายชราตำหนิลูกสาว
“หนูขอโทษค่ะพ่อ อย่าโกรธเลยนะคะ” ลูกสาวของชายชรารีบพูดขอโทษในทันที เธอไม่ได้อยากจะให้พ่อที่เพิ่งจะอาการดีขึ้นต้องอารมรณ์เสียเพราะเธอ
“พวกแกไปกันได้แล้ว ถงหรงกับถงชิ่งอยู่ที่นี่ก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ชายชราพูด
หลังจากที่หวังเย้ากลับออกไปจากบ้านตระกูลหวูแล้ว เขาก็ไปพบกับเฉินหยิง พวกเขาพากันไปที่โรงพยาบาลที่เฉินโจวรักษาตัวอยู่
“มันไม่มีปัญหาถ้าคุณจะพาเฉินโจวไปฉลองตรุษจีน ฉันจะช่วยจัดการเรื่องเอกสารที่จำเป็นให้เองค่ะ” ผู้จัดการสถาบันพูด เธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะถึงยังไง เฉินหยิงก็เป็นแหล่งรายได้ก้อนใหญ่ของพวกเขา “มีแค่เรื่องเดียวคือ…”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ หมอเจิ้ง “ในระหว่างที่เขาอยู่ข้างนอก ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดเองค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” หมอเจิ้งพูด
จากนั้น เฉินหยิงและหวังเย้าก็ขับรถพาเฉินโจวกลับไปที่กระท่อม
ระหว่างทางกลับ เฉินโจวมองดูความวุ่นวายของตัวเมืองผ่านทางหน้าต่างรถ มีตึกระฟ้าอยู่ทั่ว ถนนเต็มไปด้วยรถรา เขารู้สึกราวกับไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้มานานนับล้านปีแล้ว
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงกระท่อมแล้ว หวังเย้าก็เอายาที่เขาต้มไว้เมื่อคืนออกมา
“กินยานี่ซะ” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ” เฉินโจวพูด ตัวยามีรสขมเล็กน้อย
สามสิบนาทีหลังจากที่เฉินโจวดื่มยาเข้าไป หวังเย้าก็ฝังเข็มที่ศีรษะของเขาเพื่อทำการรักษา การรักษาจบลงเมื่อเวลาบ่ายโมงกว่า
“ให้เธอหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าภายนอกที่จะไปกระตุ้นอารมณ์ และพยายามอย่าให้อารมณ์ขึ้นๆลงๆมากนัก” หวังเย้าพูด
“ผมเข้าใจครับ ขอบคุณนะครับ หมอหวัง” เฉินโจวพูด
“ด้วยความยินดี ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
“คุณอยากอยู่กินข้าวกับเราก่อนไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ ผมต้องเดินทางกลับเหลียนชานบ่ายนี้แล้ว” หวังเย้าพูด
หลังจากบอกลาเฉินหยิงและน้องชายของเธอแล้ว หวังเย้าก็กลับมาที่ที่พักของตระกูลหวู กู้หยวนหยวนได้เตรียมอาหารกลางวันรอเอาไว้แล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาก็จัดการเก็บของและพร้อมออกเดินทาง
“คุณหวังคะ” กู้หยวนหยวนเดินเข้ามาหาหวังเย้าด้วยท่าทีลังเล
“ครับ?” หวังเย้าถาม
“คุณพอจะช่วยฉันได้รึเปล่าคะ?” กู้หยวนหยวนถาม
“มีเรื่องอะไรอยากให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
กู้หยวนหยวนเล่าทุกอย่างให้หวังเย้าฟัง มีชายหนุ่มคนหนึ่งในตระกูลหวูเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมา เขาต้องการให้เธอเป็นคนรักของเขา แต่เธอไม่ได้สนใจและพยายามเลี่ยงเขา เพราะเธอรู้ความเขาเป็นคนยังไง ชายหนุ่มไม่ใช่คนดีอะไร ความสนใจของเขาที่มีต่อหญิงสาวธรรมดาๆอย่างเธอ ไม่มีทางยืนยาว หลังจากที่คบกับเธอไปสักพักหรือเอาเธอไปแลกเปลี่ยนเพื่อสิ่งอื่นแล้ว เขาก็คงจะเขี่ยเธอทิ้ง เธอไม่ต้องการเป็นคนรักของเขา แล้วเธอก็รักกับคนอื่นอยู่แล้วด้วย
“ผมจะลองดู ว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจบมื้อกลางวัน เขาก็พร้อมจะออกเดินทางแล้ว
“คุณน่าจะลองคุยกับเฉินหยิงดูนะครับ คุณคงรู้จักเธอสินะครับ” หวังเย้าพูด
“ค่ะ ฉันรู้จักเธอ” กู้หยวนหยวนพูด “ขอบคุณนะคะ”
530 คนหนุ่มสาวควรรู้จักดูสถานการณ์
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้ายิ้ม
คนขับรถรอเขาอยู่ที่ด้านนอกแล้ว เมื่อเขาไปถึงที่สนามบิน หวูถงชิ่งก็ตามมาส่งเขาขึ้นเครื่องด้วย
“คุณหวูครับ มีเรื่องบางอย่างที่ผมอยากจะขอให้คุณช่วยหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เชิญพูดได้เลยครับ” เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของหวังเย้า หวูถงชิ่งก็รีบพูดขึ้นมาทันที
“ผมอยากจะขอให้คุณดูแลกู้หยวนหยวนให้หน่อยน่ะครับ อย่าให้ใครมารังแกเธอได้” หวังเย้าพูด
แค่นี้เหรอ? หวูถงชิ่งอึ้งงันไป “ได้สิครับ”
“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูด
เมื่อถึงเวลา หวังเย้าก็เดินไปขึ้นเครื่อง หวูถงชิ่งเอาแต่คิดถึงเรื่องที่หวังเย้าพูดกับเขา หวังเย้าอาจจะชอบสาวสวยก็เป็นได้
ตระกูลหวูไม่ต้องการให้เรื่องของผู้หญิงไปสร้างความไม่พอใจให้กับหวังเย้า หวูถงชิ่งจึงสั่งให้คนไปหาสาเหตุในทันที
“เด็กของตระกูลหวูเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
เมื่อได้ยินว่าเป็นคนในตระกูล หวูถงชิ่งก็รู้ว่า การหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้ง่ายขึ้นอีกมาก
หวังเย้าบินไปลงสนามบินที่เมืองเต๋า เพราะในเวลานั้นไม่มีเครื่องบินบินลงที่สนามบินในห่ายชิว ตระกูลหวูได้จัดให้คนไปรอรับเขาที่สนามบินเมืองเต๋าแล้ว และขับพาหวังเย้ากลับเหลียนชาน
…
ปักกิ่ง
“แม่ครับ แม่ไปที่ตระกูลซูมารึยังครับ” กั๋วเจิ้งเหอปอกเปลือกส้มและส่งมันให้กับแม่ของเขา
“ไปมาแล้ว ลูกกลับมาก็เพื่อเรื่องนี้ใช่ไหมจ๊ะ?” หลี่ถงซิ่วมองใบหน้าลูกชายด้วยความรัก
“ถูกต้องแล้วครับ” เขาพูด
“ลูกชอบเสี่ยวซวีมากเลยเหรอ หรือลูกแค่สนใจทรัพยากรของตระกูลเธอ?” หลี่ถงซิ่วถาม
“ทั้งสองอย่างครับ” ต่อหน้าแม่ของเขา กั๋วเจิ้งเหอไม่ได้ปิดบังอะไรเลย เขายังรู้อีกด้วยว่า ปิดบังไปก็ไร้ประโยชน์ และแม่ของเขาก็เป็นคนที่ฉลาดมากด้วย
“คำพูดน้าซงของลูกค่อนข้างจะคลุมเครืออยู่บ้าง” หลี่ถงซิ่วพูด “เธอบอกว่า ต้องการจะรอให้เสี่ยวซวีหายดีซะก่อน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกั๋วเจิ้งเหอชะงักไป “ผมเข้าใจครับ”
“แล้วเรื่องงานเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม
“ดีมากครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “แล้วเรื่องพี่สาวของผมล่ะครับ?”
“เธออยู่ที่ทางใต้ของยูนนานจ๊ะ” หลี่ถงซิ่วตอบ
“มันก็ใกล้จะตรุษจีนแล้วนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ทำไมพี่ยังไม่กลับมาอีก?”
“แม่เดาว่า พี่เขาคงจะไม่พอใจที่บ้านน่ะสิ แล้วเธอก็ไม่ยอมตกลงเรื่องการแต่งงานด้วย” หลี่ถงซิ่วนวดขมับ
ในใจของเธอนั้น เธอรู้สึกรังเกียจการแต่งงานแบบนี้มาก มันไร้ซึ่งความผูกพัน คล้ายกับการแต่งงานของเธอ ที่ไร้ความรู้สึกระหว่างคนสองคน มันเป็นการแต่งงานเพื่อตระกูลโดยแท้จริง ความรู้สึกระหว่างกันสามารถค่อยๆพัฒนาไปอย่างช้าๆได้ แต่ใครบ้างที่ไม่อยากจะค้นหาคนที่ตัวเองรักจริงๆ? เธอได้ประสบกับเรื่องนี้และรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แต่บางเรื่อง เธอกฌทำอะไรไม่ได้จริงๆ
“โจวชื่อจิงก็ไม่ได้แย่อะไร แต่พี่ไม่ชอบเขา” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ทำไมแม่ไม่ช่วยปฏิเสธเรื่องนี้ให้พี่ล่ะครับ?”
“แม่จะไปปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ?” หลี่ถงซิ่วถาม “ผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลได้คุยกันไว้มาตั้งนานแล้ว”
“พวกเขาคุยเรื่องการแต่งงานระหว่างผมกับเสี่ยวซวีเอาไว้ด้วย ใช่ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“นั่นมันไม่เหมือนกัน ในตอนนั้นไม่มีคนนอกตระกูลอยู่ด้วย บางทีมันอาจจะเป็นแค่การพูดเล่นระหว่างพวกเขาเท่านั้น แต่เรื่องของพี่สาวลูกกับโจวชื่อจิงมันต่างออกไป” หลี่ถงซิ่วพูด “พวกเขาได้พูดเรื่องการแต่งงานต่อหน้าคนมากมาย รวมทั้งพ่อกับแม่ และพ่อแม่ของโจวชื่อจิงด้วย เราทุกคนต่างก็รู้เรื่องกันหมด”
“ก็แล้วทำไมแม่ไม่ปฏิเสธไปล่ะครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ในตอนนั้น พี่สาวของลูกยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการหมั้นหมายของเด็กทารก แล้วลูกก็รู้นิสัยปู่ของลูกดี” หลี่ถงซิ่วพูด
“เรื่องของพี่เอาไว้ก่อนเถอะครับ มาพูดเรื่องของผมกันต่อดีกว่า ผมอยากจะแต่งงานกับเสี่ยวซวีจริงนะครับ แม่ช่วยผมหน่อยนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“จ๊ะ แม่รู้แล้ว แล้วลูกได้ติดต่อกับหวังเย้าบ้างรึเปล่าจ๊ะ?” อยู่ๆหลี่ถงซิ่วก็นึกถึงหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมาได้ “เขามาที่ปักกิ่ง ตอนที่แม่ไปเยี่ยมบ้านตระกูลซู แม่ก็เห็นเขาอยู่ที่นั่นด้วย เขาเคยช่วยทั้งลูกและปู่ของลูกเอาไว้ มันเป็นเรื่องที่สำหรับพวกเรา เขาเป็นคนมีความสามารถสูงมาก เราควรจะคิดหาวิธีรั้งเขามาอยู่กับเราและจ้างเขาเอาไว้นะจ๊ะ”
“ผมเคยคิดเรื่องนั้นแล้วครับ แต่จากความเข้าใจของผมตอนนี้ หมอหวังไม่ได้สนใจทั้งเรื่องชื่อเสียงและผลประโยชน์ เขาเลือกที่จะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขา ความคิดของเขาค่อนข้างแปลกมากน่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
หวังเย้าทำให้เขารู้สึกว่า ชายคนนี้ไม่ได้มีความกระตือรือร้นและพลังของคนวัยหนุ่มสาวอยู่เลย เขาเป็นเหมือนกับนักพรตเต๋าที่มีอายุราว 60-70 ปีและอาศัยอยู่ในวัดลัทธิเต๋าบนภูเขา อะไรที่จะดึงดูดคนหนุ่มสาวได้? ชื่อเสียง, เงินทอง, สาวงาม
ผู้คนมากมายพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้อยู่ในปักกิ่ง เพราะความคึกคักและแสงสี มันไม่มีกลางคืน มันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ในจุดที่สูงกว่านั้น อย่างจุดที่พวกเขาอยู่ พวกเขาคือผู้เล่นคนสำคัญของยุคสมัย อยู่สูงเหนือระดับน้ำขึ้นไปกว่า 3,000 ไมล์ รุ่นเยาว์ควรขึ้นไปแตะในจุดที่สูงกว่านั้น เพื่อเฝ้ามองทิวทัศน์ที่แตกต่าง ค้นหาแรงบันดาลใจ และแสดงมุมมองที่มีต่อสังคม
มีเพียงฤษีเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่บนภูเขาลำธารอย่างโดดเดี่ยว แล้วมุ่งเน้นไปที่การฝึกตนและเคร่งศีลธรรม คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่มีปัญหาทางจิต
อย่างน้อยๆ นั่นก็คือสิ่งที่กั๋วเจิ้งเหอคิด แต่แน่นอนว่า เขาไม่เคยพูดมันออกไปให้ใครได้ยิน ในเมื่อใบหน้าของเขานั้นประดับด้วยรอยยิ้มที่สว่างไสวอยู่เสมอ มีคนในแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้จักตัวตนข้างในของเขา แม้กระทั่งสมาชิกในตระกูลหรือคนสนิท พวกเขาก็เข้าใจเพียงส่วนน้อยของเขาเท่านั้น
“แม่จะลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับพ่อของลูก ดูว่าจะมีวิธีอื่นอีกไหม” หลี่ถงซิ่วพูด “สิ่งที่ลูกต้องทำในตอนนี้ก็คือต้องมั่นคงเอาไว้ และอย่าให้ใครเห็นจุดอ่อนของลูกเด็ดขาด”
“แม่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นเลยครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
…
เมื่อหวังเย้ามาถึงเมืองเต๋า มันก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว มีคนมารอรับเขาโดยไม่มีป้ายชื่อ แต่พวกเขาก็สามารถหาหวังเย้าพบ
“หมอหวังใช่ไหมครับ?” คนขับถาม
“ผมเองครับ” หวังเย้าพูด
“ผู้บัญชาการหวูได้สั่งให้ผมมารับคุณครับ” คนขับแนะนำตัวเอง
“คงจะต้องรบกวนคุณแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด การเดินทางจากเมืองเต๋าไปเหลียนชานนั้นต้องใช้เวลานานเกือบสามชั่วโมง
ตัวรถนั้นมีขนาดใหญ่และสะดวกสบาย มันเป็นรถเบนซ์รุ่นท๊อป คล้ายกับได้นั่งในที่นั่งบิสเนสคลาส นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย้าได้นั่งในรถแบบนี้ ตำแหน่งของบอสมันสบายอย่างนี้นี่เอง
รถแล่นไปตามถนน ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง
“เซียนเชิงครับ คุณอยากจะหาอะไรกินก่อนไหมครับ?” คนขับถาม
“ไม่ครับ ถ้าคุณอยากจะพัก เราแวะพักที่จุดพักรถกันก่อนก็ได้นะครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าไม่ เราก็ขับต่อไปที่เหลียนชานกันเลย”
คนขับขับรถตรงไปยังเหลียนชานโดยไม่หยุดพัก พวกเขาเดินทางไปถึงที่หมู่บ้านในตอนที่ฟ้ามืดแล้ว คนขับจอดที่ตรอกทางเข้าบ้านของหวังเย้า
“บ้านผมอยู่นี่แหละครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด “ขับรถระวังๆนะครับ”
“ครับ ผมกลับก่อนนะครับ” คนขับกลับรถและขับกลับไปที่เมืงเต๋า
ที่บ้าน พ่อแม่ของหวังเย้าเพิ่งจะทานอาหารเย็นเสร็จ และกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา
“ลูกกลับมาแล้ว” จางซิวหยิงพูด “ลูกได้กินอะไรมารึยังจ๊ะ?”
“ยังเลยครับ” หวังเย้าพูด
“งั้นก็พักสักหน่อยนะ เดี๋ยวแม่จะได้ไปหาอะไรมาให้กิน” จางซิวหยิงพูดและเริ่มเข้าครัวทำกับข้าว
“เรื่องที่ปักกิ่งเรียบร้อยดีรึเปล่า?” หวังเฟิงฮวาถาม
“ครับ ตอนนี้อาการของหวูเหล่าคงที่ดี” หวังเย้าดื่มน้ำเข้าไป
“ก่อนตรุษจีนนี้ ลูกอย่าออกไปไหนอีกเลยนะ” จางซิวหยิงพูด
“ผมไม่ไปไหนแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
ยังเหลือเวลาอีกสองสามวันก่อนจะถึงวันตรุษจีน นอกจากว่าจะมีเรื่องพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น หวังเย้าก็จะไม่เดินทางไปที่ไหนอีก
“กับข้าวเสร็จแล้วจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว หวังเย้าก็อยู่คุยกับพ่อแม่ของเขาเรื่องที่เขาไปปักกิ่ง เพื่อคลายความกังวลให้กับคนทั้งสอง
“ตอนนี้ลูกไม่อยู่สองสามวันนี้ มีคนมาที่นี่ตั้งหลายคนแน่ะ พวกเขาบอกว่าเป็นเพื่อนของลูก แล้วก็เอาของขวัญมาให้ด้วย” จางซิวหยิงพูด
“อ่อ แล้วพวกเขาได้บอกชื่อเอาไว้ด้วยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“แม่จำชื่อของพวกเขาได้อยู่จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“ดีครับ พรุ่งนี้ผมจะไปที่บ้านลุงกับป้า แล้วเอาของขวัญไปให้พวกเขานะครับ” หวังเย้าพูด
ที่บ้านมีของขวัญอยู่มากมาย และพวกเขาก็ไม่สามารถเอามาใช้ได้ทั้งหมด มันคงจะดีกว่า ถ้าเอาของพวกนี้ไปให้กับเพื่อนและญาติๆ และยังเป็นธรรมเนียมที่คนรุ่นเยาว์จะต้องไปเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ก่อนวันตรุษจีนอีกด้วย
“จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
เวลาสามทุ่ม เขาเดินกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เมื่อเดินพ้นหมู่บ้านมาแล้ว ทางเดินทิศใต้ก็มืดสนิท เนินเขาหนานชานยังคงเงียบสนิทเหมือนเช่นเคย ซานเซียนวิ่งเข้ามาทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น
“ยังไงที่นี่ก็ดีที่สุดล่ะนะ!” เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว หวังเย้าก็ถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้คิดถึงปักกิ่งเลยสักนิด
บนเนินเขา มีแสงไฟส่องลอดออกมาดวงหนึ่ง หวังเย้าจดบันทึกอาการของหวูเหล่า และขั้นตอนการรักษาลงไปในสมุดบันทึกที่มีไว้สำหรับบันทึกเกี่ยวกับโรคที่รักษาได้ยากโดยเฉพาะ เมื่อตรวจดูแล้วว่าไม่ได้พลาดอะไรไป เขาก็ปิดสมุด
ใช่แล้ว รางวัลภารกิจ! แล้วเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขาทำภารกิจรักษาโรคที่รักษาได้ยากสำเร็จแล้ว
เพื่อที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เขาจะต้องรักษาผู้ป่วย 10 คนภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเขาจะได้รับรางวัลเป็นตำราแพทย์หนึ่งเล่มและสูตรยา 1 สูตร บทลงโทษของภารกิจนี้ก็คือ เขาจะไม่สามารถใช้งานระบบได้เป็นเวลาสามเดือน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น