Elixir Supplier 515-518
515 เมืองที่เจริญรุ่งเรือง กรงขังขนาดใหญ่
วันนี้ ลูกสาวของซงรุ่ยปิงมีความสุขอย่างมาก
เรื่องนี้ทำให้เธอมีความสุขและกังวลไปพร้อมกัน ใครก็ตามที่มีตา ก็จะสามารถเห็นท่าทีที่ลูกสาวของเธอมีต่อหวังเย้าได้อย่างชัดเจน เธอทั้งดีใจและเขินอาย เห็นได้ชัดว่ามันคือความหลงใหล
แต่เธอจะทำอะไรได้ล่ะ?
ซงรุ่ยปิงเคยรับมือกับเรื่องราวซับซ้อนมาแล้วหลายรูปแบบ แต่เรื่องนี้เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หิมะตกลงมาตลอดหนึ่งวันเต็ม วันต่อมา เมืองเล็กๆในหุบเขาก็ดูราวกับถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน อากาศด้านนอกเย็นเฉียบ ถนนลื่นเพราะหิมะและทำให้การจราจรติดขัด การที่จะออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกจึงเป็นไปได้ยาก
ซูเสี่ยวซวีที่อยู่ภายในโรงแรมกำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง และมองดูหิมะที่เกาะอยู่ทั่วทุกบริเวณ “ฉันออกไปข้างนอกไม่ได้!” ริมฝีปากสีแดงของเธอโอดครวญออกมา เธอดูไม่พอใจอย่างมาก
“แม่ดูพยากรณ์อากาศของวันนี้แล้วนะ เขาบอกว่าอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นในระหว่างวัน แล้วอีกไม่นานหิมะก็จะหยุดตก” ซงรุ่ยปิงยิ้มและปลอบลูกสาวของเธอ
“หนูก็ขอให้เป็นแบบนั้นจริงๆนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
บนเนินเขาทางทิศตะวันตก หวังเย้ามองดูหุบเขาที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ต้นสนยังคงตั้งตรงอย่างโดดเดี่ยวและไร้หนทางรอดชีวิต ใบที่เรียวแหลมราวกับเข็มของมันเหี่ยวแห้ง เขาไม่สามารถช่วยต้นสนต้นนี้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรดน้ำมันด้วยน้ำแร่โบราณทุกวันก็ตามที ที่นี่จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เขาเดินไปยังหุบเขาอีกแห่งหนึ่งและผลลัพธ์ที่เห็นก็ไม่ต่างกัน ต้นสนแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา
“ดูเหมือนว่า ทั้งสองที่นี้จะไม่เหมาะกับการอะไรจริงๆ” หวังเย้าพูด
ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นและเป็นฤดูที่ไม่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก แต่เมื่อมีน้ำแร่โบราณปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป หากถูกปลูกเอาไว้ในสถานที่อื่น ต้นสนทั้งสองต้นนี้อาจจะสามารถรอดตายได้
หลังจากที่ลงมาจากเขาแล้ว หวังเย้าก็เดินไปที่บ้านของซุนหยุนเชิง บริเวณลานบ้าน หลินซือเทากับอาหาวกำลังออกกำลังกายกันอยู่ เมื่อเห็นหวังเย้าเดินมา พวกเขาก็ยิ้มให้และทักทายเขา
“พวกคุณอาการดีขึ้นมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“โชคดีน่ะครับ” หลินซือเทาพูด
พวกเขานั้นมีพื้นฐานร่างกายที่ดีและยังมีความสามารถในด้านการต่อสู้อยู่แล้ว ซึ่งมันทำให้การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีของพวกเขาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป และมันยังให้พวกเขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไปอีกด้วย ทั้งยังมีตัวยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรสูตรพิเศษของหวังเย้าช่วยด้วย สมุนไพรที่ใช้ถูกปลูกขึ้นในบริเวณที่มีเมฆหนาแน่นตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
“เซียนเชิง เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” ซุนหยุนเชิงที่ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขา ได้เดินออกมาจากตัวบ้านและเชิญหวังเย้าเข้าไปด้านใน เขาชงน้ำชาด้วยชาดำชั้นดี การได้ดื่มชาดำในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ สามารถช่วยไล่ความเย็นและอุ่นท้องได้เป็นอย่างดี
“ผลวิเคราะห์ดินจะออกมาเมื่อไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผลออกมาแล้วครับ เดี๋ยวทางแล็ปจะส่งผลมาให้ตอนบ่ายของวันนี้เลย” ซุนหยุนเชิงพูด เขาใส่ใจกับเรื่องนี้มาก “แล้วผมจะเอาไปให้คุณนะครับ”
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่อยู่คุยกันได้สักพัก หวังเย้าก็ขอตัวกลับ
“เขามาทำไมเหรอครับ?” หลินซือเทาเดินเข้ามาในบ้าน
“ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ เขาแค่มาถามเรื่องดินที่ฝากเอาไว้เท่านั้นเอง” ซุนหยุนเชิงพูด
เขาหยิบมือถือขึ้นมาและกดโทรออก
“ผลวิเคราะห์ตัวอย่างดินจะต้องถูกส่งมาให้เร็วที่สุด!” มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ที่หวังเยาจะมาขอร้องให้เขาช่วยแบบนี้ เขาจึงต้องทำให้งานในครั้งนี้เสร็จเรียบร้อยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภายในคลินิกเงียบสงัด ช่วงเช้าไม่มีคนไข้มาที่นี่เลย
เมื่อเลยเวลาสิบโมงเช้าไป พระอาทิตย์ก็เริ่มส่องแสงเจิดจ้า หิมะที่เกาะอยู่ตามที่ต่างๆก็เริ่มละลาย หวังเย้าอยู่แต่ในคลินิกและกลับไปที่บ้านในตอนเที่ยง เมื่อเขามาถึงที่บ้าน เขาก็พบว่า พ่อของเขายังคงไม่วางมือไปจากชุดน้ำชาชุดใหม่ที่เพิ่งได้มา
“อืม” หวังเย้าจดจำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ
ดูเหมือนว่า พ่อของเขาจะชอบของประเภทนี้ ในความเป็นจริงนั้น หวังเฟิงฮวาคิดแค่ว่า ชุดน้ำชาชุดนี้งดงามมากจนเขาอดที่จะยกขึ้นมาดูใกล้ๆไม่ได้ก็เท่านั้น
หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จไปได้ไม่นาน ซุนหยุนเชิงก็มาหาหวังเย้าที่บ้าน “เซียนเชิง ผลตรวจมาถึงแล้วครับ”
มันเป็นเพียงกระดาษแค่ไม่กี่แผ่น ซึ่งมีรายละเอียดต่างๆที่วิเคราะห์ๆได้จากตัวอย่างดิน เช่น ค่าpHของดิน, และประเภทของอนุภาคต่างๆภายในดิน ผลสรุปที่ได้ก็คือ ดินชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก
“สารอินทรีย์ที่ไม่รู้จักเหรอ?” เมื่อเห็นประโยคนี้ หวังเย้าก็รู้สึกงุนงง
“ครับ ผมได้นำส่วนหนึ่งของตัวอย่างดินส่งไปให้แล็ปที่ปักกิ่งตรวจดูแล้ว อีกไม่นานก็คงจะได้ผลมาครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“โอเค ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
“ยินดีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
หวังเย้าและซุนหยุนเชิงเดินออกไปจากบ้านพร้อมกัน และเดินตรงไปยังเนินเขาทางทิศตะวันตก
“เซียนเชิง ผมขอไปดูที่นั่นด้วยคนได้ไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถามด้วยความลังเล
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
ทั้งสองจึงพากันลงไปที่หุบเขา
“รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร้บ้างไหม?” หวังเย้าถาม
“ผิดปกติเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงรู้สึกงุนงง “ก็ไม่นี่ครับ”
หรือคนธรรมดาจะไม่สามารถรับรู้ได้?
“งั้นรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะ” หวังเย้าเดินตรงเข้าไปในหุบเขาและดึงต้นสนที่กำลังจะตายขึ้นมา มันถูกดึงขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เพราะรากของมันเริ่มเน่าและกลายเป็นสีดำหมดแล้ว
สาเหตุที่ทำให้รากเน่านั้นอาจจะเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป หรือในดินมีอากาศน้อย แต่ทั้งสองสาเหตุนี้กลับไม่ใช่สาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นที่นี่ ดินนั้นร่วนซุยดี และเขาก็ไม่ได้รดน้ำมากจนเกินไปด้วย
เมื่อรากเน่า พืชก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีกต่อไป หวังเย้านำต้นสนทิ้งไปในหุบเขา
“เซียนเชิง ที่นี่มีอะไรผิดปกติเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้คุณยังมองอะไรไม่เห็น แต่พอถึงฤดูใบไม้ผลิและหิมะละลายไปจนหมดแล้วเมื่อไหร่ คุณก็จะพบว่า ที่นี่ไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น” หวังเย้าพูด
“แม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้นเหรอครับ? ปัญหาอยู่ที่ดินอย่างนั้นเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ถูกต้อง” หวังเย้าพูด
มันคงจะไม่เป็นอะไร หากมีพื้นที่แบบนี้แค่แห่งเดียว แต่ที่เนินเขาทางทิศตะวันตกกลับมีอยู่ด้วยกันถึงห้าที่ พวกเขาจะขยายพื้นที่ออกไปอีกหรือไม่? ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ทั่วทั้งเนินเขาทิศตะวันตกก็จะกลายเป็นภูเขาหัวโล้นไปในทันที ซึ่งมันทำให้หวังเย้ารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
“ผมสามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดูให้ได้นะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ดีครับ” หวังเย้าพูด เรื่องแบบนี้ก็ควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมาจัดการจะดีที่สุด
“พอกลับไปแล้ว ผมจะรีบติดต่อพวกเขาทันทีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“คงจะต้องทำให้คุณยุ่งยากซะแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เลยครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
…
ปักกิ่ง…
“เฉินเหล่า อาการพ่อของผมเป็นยังไงบ้าง?” หวูถงชิ่งถาม
“ความสามารถของฉันถึงขีดจำกัดแล้ว ฉันคงจะทำได้เท่านี้ พูดตามตรง สถานการณ์แบบนี้มองไปในแง่ดีไม่ได้เลย แล้วอาการของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆ” เฉินเหล่าพูด
“เฮ้อ!” หวูถงชิ่งถอนหายใจออกมา
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ตระกูลต้องเผชิญก็คือสุขภาพที่แย่ลงของพ่อของพวกเขา โดยปกติแล้ว คนอายุ 70 ที่มีสถานะไม่ธรรมดาแบบเขาไม่ควรจะมีปัญหาสุขภาพอะไรมาก แต่นี่คือสถานการณ์พิเศษ และอาการป่วยที่เขาเป็นอยู่ก็ยังร้ายแรงกว่าที่คิด
สถานการณ์ในตอนนี้คล้ายกับตระกูลกั๋ว ชายชราเป็นเหมือนไม้ใหญ่ของบ้าน คอยป้องกันลมฝนให้กับคนในตระกูล เมื่อชายชรามีชีวิต ด้วยตำแหน่งของเขาแล้ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากยังต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน เพื่อที่จะทำให้การทำงานหลายๆอย่างราบรื่นขึ้น ตระกูลกั๋วก็คือตัวอย่างที่นี่ของเรื่องนี้ ครั้งหนึ่งพวกเขาเปรียบดั่งแสงตะวันเจิดจ้าในยามกลางวัน แต่ตอนนี้มันกลับกลายจากแย่เป็นเลวร้ายลงกว่าเดิม มันไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาให้ดีเหมือนดังเดิมได้
“ผมจะไปที่เหลียนชานอีกรอบ” หวูถงชิ่งพูด
“ถงชิ่ง สำหรับฉันแล้ว หวูเหล่าดีกับฉันมาก” เฉินเหล่าพูด “ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็คงจะไม่พูด แต่ฉันจะบอกกับเธอ เขาเป็นหมอที่เก่งมากจริงๆ ฉันได้เห็นความสามารถของเขามากับตาของตัวเอง เขามียาที่วิเศษ และผลลัพธ์ของตัวยาก็ยอดเยี่ยมมาก ในตอนนั้น เสี่ยวซวีของตระกูลซูป่วยหนักมากและเกือบจะตายไปแล้ว อาการของเธอหนักกว่าหวูเหล่ามาก แต่เธอก็ยังรอดมาได้ด้วยยาแค่เม็ดเดียวเท่านั้น”
“มันคือยาอะไรเหรอครับ?” หวูถงชิ่งรีบถามในทันที
“ฉันไม่รู้” เฉินเหล่าพูด เขาเคยเห็นยาเม็ดนั้นแค่ครั้งเดียว และในครั้งนั้น มันก็ทำให้เขาได้เห็นความมหัศจรรย์ช่วงเวลาก่อนตายของคนคนหนึ่ง หลังจากที่ซูเสี่ยวซวีได้กินยาเม็ดนั้นเข้าไป การเต้นของชีพจรของเธอก็เปลี่ยนไป มันไม่ผิดเลยถ้าหากจะเรียกยาเม็ดนั้นว่า “ยาเทพ”
“ถ้าเธอคิดจะไปหาเขาจริงๆ เธอก็ต้องระมัดระวังท่าทีของตัวเองให้ดี และอย่าทำให้เขาไม่พอใจ ยาเม็ดนั้นมันเป็นสิ่งล้ำค่ามากจริงๆ” เฉินเหล่าพูด
“ผมเข้าใจครับ” หวูถงชิ่งพูด “เฮ้อ คนเก่งๆแบบนั้นดันไปอยู่ที่หมู่บ้านในหุบเขาซะได้ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าเขามาอาศัยอยู่ในเมืองละก็ เขาจะต้องกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของตระกูลใหญ่ๆได้อย่างแน่นอน”
“โอ้” หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เฉินเหล่าก็ยิ้มออกมา “ปักกิ่งอาจจะเป็นเมืองที่เจริญในสายตาของเธอ แต่ในสายตาของเขา มันอาจจะเป็นกรงที่ขังเขาเอาไว้แทนก็เป็นได้ เมื่อได้เข้ามาอยู่ข้างในแล้ว ก็ยากที่จะหากทางออกไปได้”
…
ดวงตะวันซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ ทำให้ท้องฟ้าดูอึกครึม สายลมยังคงพัดโชยส่งเสียงหวีดหวิว
หวังเย้านั่งอยู่ภายในคลินิกเพียงลำพัง และอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ในเวลา 10 วันที่เหลือ เขายังต้องการคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาได้ยากอีกสามราย
เว่ยห่าย, ลู่เสียน, ซุนหยุนเชิง, แม่ของหยางห่ายฉวน, อาหาวที่ถูกพิษ…เขาไม่ได้นับละเอียดมากนัก แต่จำนวนของคนทั้งหมดก็ได้เกินครึ่งแล้ว การหาคนไข้อีก 3 รายในเวลาแค่ 10 วันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ลู่เสี่ยวเหมย, ซูเสี่ยวซวี, ชายชรา…เขาคิดได้แค่สามคนนี้เท่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคนที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาได้ยาก หลังได้รับการรักษาจากหวังเย้าแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็เริ่มฟื้นตัวขึ้น
“ลองสู้ดูสักตั้งก็แล้วกัน” เขาพูดพึมพำกับตัวเอง
เช้าวันต่อมา หวังเย้าตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ หลังจากที่ฝึกฝนร่างกายอยู่บนยอดเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินลงไปจากเนินเขาและแขวนป้ายเอาไว้ด้านหน้าคลินิก วันนี้เขาจะออกไปข้างนอก
516 มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง
หลังจากที่ทักทายแม่ของเขาเสร็จแล้ว หวังเย้าก็ขับรถตรงไปยังบ้านลุงของพันจวิน เขาได้แวะซื้อของฝากไปให้ลุงของพันจวินอีกด้วย
ลุงของพันจวินและภรรยาของเขาต่างก็ดีใจที่ได้เห็นหน้าหวังเย้า แต่เมื่อเห็นว่าเขาเอาของฝากมาด้วย มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ขึ้นมา หวังเย้าไม่ได้คิดเงินค่ารักษาจากพวกเขาเลยสักหยวน แล้วยังซื้อของฝากมาให้พวกเขาอีก พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก
“มันก็แค่ของบำรุงร่างกายเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ก็ได้ ขอบคุณมากนะจ๊ะ” ภรรยาของชายชราพูด
“ครับ ผมขอตรวจร่างกายของคุณลุงหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้สิ” ชายชราพูด
เขาแทบจะหายเป็นปกติดีแล้ว
“ช่วยนอนลงด้วยครับ” หวังเย้าพูด
ครั้งนี้ เขาได้ทำการฝังเข็มให้กับชายชราเป็นอันดับแรก เขาแทงเข็มลงไปบริเวณศีรษะและลำตัวของชายชรา
ภายในห้องค่อนข้างเย็น ชายชราต้องเปลือยร่างกายท่อนบนเอาไว้ ดังนั้น หวังเย้าจึงทำการฝังเข็มด้วยความรวดเร็ว ชายชรารู้สึกเจ็บ, ชา, และคันในบริเวณลำตัวของเขา คล้ายกับมีมดกัดอยู่บนแผ่นหลังของเขา
หวังเย้าหมุนเข็มแต่ละเล่ม ทำให้ร่างกายของชายชราสั่นเทา ทั้งจากเข็มและความหนาวเย็น
“หนาวไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“นิดหน่อยน่ะ” ชายชราพูด
หวังเย้าปลดปล่อยพลังฉีออกมาเพื่อป้องกันความหนาวเย็นให้กับชายชรา ไม่นาน ชายชราก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาก ภรรยาของเขาได้เดินไปจุดไฟเพื่อทำให้เตียงคังอุ่นขึ้น
หลังจากที่หวังเย้าแทงเข็มและปรับองศาของเข็มเสร็จแล้ว เขาก็นำผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวให้กับชายชรา จากนั้น เขาก็พูดคุยกับชายชราเพื่อรอเวลา
หลังจากที่ฝังเข็มเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการนวด ชายชรารู้สึกได้ถึงความสบายและอบอุ่น เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
“หมอหวัง คุณเป็นหมอที่เก่งซะยิ่งกว่าหมอคนไหนๆในโรงพยาบาลเลยล่ะ” ชายชราพูด
หวังเย้าไม่ได้ตอบกลับไป เขาเพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น
“หมอหวังต้องดีกว่าหมอพวกนั้นอยู่แล้ว” ภรรยาของชายชราพูดด้วยรอยยิ้ม
“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่เขารักษาชายชราเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรวจดูร่างกายของหญิงชราต่อ ตอนนี้ขาของเธอไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“ช่วงนี้อากาศเย็นมาก พยายามอย่าออกไปข้างนอกบ่อยนักนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้จ๊ะ ฉันจะทำตามที่หมอบอก” หญิงชราพูด
เมื่อผู้คนแก่ตัวลง พวกเขาก็เป็นเหมือนกับเครื่องยนต์ที่เริ่มชำรุด มันไม่สามารถช่วยชะลอการชำรุดของชิ้นส่วนต่างๆได้มากนัก แต่ผู้คนสามารถรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาวได้ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสมและตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ ปัจจุบันผู้คนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพมากขึ้น หลายๆคนมักจะเข้ารับการตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, และเลือกกินอาหารที่ดีต่อร่างกาย
ถึงแม้ว่ายังคงมีผู้ป่วยอยู่อีกจำนวนมากและพบผู้ป่วยในกลุ่มคนที่อายุน้อยลง แต่อายุขัยกลับเพิ่มขึ้น หลังจากที่ละเลยการดูแลสุขภาพมานาน ตอนนี้ผู้คนก็เริ่มหันมาใส่ใจกันมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
“ดีมากครับ” หวังเย้าพูด
คนเราได้พบเจอกันเพราะโชคชะตาเป็นตัวนำพา หวังเย้าเชื่อว่า มันเป็นโชคชะตาที่ทำให้เขาได้มาเจอกับสองสามีภรรยาคู่นี้ ดังนั้น เขาจึงไม่คิดเงินพวกเขาเลยสักหยวน ถึงแม้ว่าเขาจะใช้สมุนไพรรากในการรักษาก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะรักษาคนที่เขาไม่ชอบ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยินดีจ่ายเงินเป็นล้านหรือขอร้องอ้อนวอนเขาแค่ไหนก็ตาม
“เขาไม่อยู่เหรอ?”
รถสองคันขับเข้ามาในหมู่บ้าน และต่างก็เป็นรถป้ายทะเบียนของปักกิ่งทั้งสองคัน ภายในตัวรถมีซงรุ่ยปิง, ซูเสี่ยวซวี, และเฉินหยิงนั่งอยู่ พวกเขามาที่นี่เพื่อขอให้หวังเย้าพาพวกเขาไปเที่ยวอีกครั้ง แต่กลับเห็นว่ามีป้ายแขวนเอาไว้ที่หน้าประตู
“เขาคงจะออกไปรักษาคนไข้ข้างนอกนะคะ” เฉินหยิงพูด “คุณผู้หญิง จะทำยังไงกันต่อดีคะ?”
“รอสักหน่อยก็แล้วกัน” ซงรุ่ยปิงพูด
ดังนั้น พวกเขาจึงนั่งรอหวังเย้าอยู่ภายในรถ ในขณะนั้นเอง ก็มีรถขับเข้ามาในหมู่บ้านอีกสองคัน
“มีคนไข้มารอเขาอยู่ด้วย” ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นรถสองคันจอดอยู่ด้านนอกคลินิก “หืม?”
“เป็นรถจากปักกิ่งนี่ครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
“ใช่ แล้วก็ไม่ใช่รถป้ายทะเบียนปักกิ่งทั่วๆไปซะด้วย” ชายวัยกลางคนพูด “ออกไปดูหน่อยซิ”
“ครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
เขาลงไปจากรถและเดินไปที่ด้านหน้าคลินิก เขาพบว่า ที่บานประตูได้แขวนป้ายบอกเอาไว้ว่าหวังเย้าจะไม่อยู่ในตอนเช้า แล้วเขาก็เหลือบไปมองรถอีกสองคันที่จอดอยู่ด้านนอก
“ท่านครับ หมอหวังไม่อยู่ แต่ผมรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถสองคันนั้นเป็นใครครับ เธอคือเฉินหยิง ที่ทำงานให้ตระกูลซู เธอนั่งอยู่ตอนหน้าของรถครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
“เธอนั่งอยู่ข้างคนขับเหรอ?” ชายวัยกลางคนหรี่ตาลง
เขารู้อยู่แล้วว่า เฉินหยิงนั้นทำงานให้กับตระกูลซู เธอมีหน้าที่รับผิดชอบหลายๆอย่างให้กับพวกเขา และซงรุ่ยปิงก็เชื่อใจเธอมาก เขายังรู้อีกด้วยว่า เมื่อหวังเย้ามาพักอยู่ที่ปักกิ่ง ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลหวังเย้าก็คือเฉินหยิง เธอมีหน้าที่ดูแลทุกอย่างให้กับหวังเย้า ในระหว่างที่เขาอาศัยอยู่กับตระกูลซู
อีกสองคนที่นั่งอยู่ในรถเป็นใครกัน? มันอาจจะเป็นซงรุ่ยปิงกับลูกสาวของเธอก็ได้! ฉันควรจะออกไปทักทายพวกเธอดีไหมนะ?
เขากำลังลังเลอยู่
“ท่านครับ บางทีท่านน่าจะไปทักทายพวกเขาหน่อยนะครับ พวกเขาเขาอาจจะพอช่วยท่านได้ ผมได้ยินมาว่า ตระกูลซูค่อนข้างสนิทสนมกับหมอหวังอยู่พอสมควร” ชายวัยประมาณสามสิบ ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับพูดขึ้นมา
“อืม ไปดูสักหน่อยซิว่าใครที่นั่งอยู่ในรถคันนั้น” ชายวัยกลางคนพูด
“ครับ” ชายวัยสามสิบพูด
บ่อยครั้งที่คนที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งสูงๆของรัฐบาลหรือเกิดมาในตระกูลสูง มักจะคิดมากเกินไปหรือใช้ความพยายามมากจนเกินไป ถึงภายนอกชีวิตของพวกเขาจะดูสะดวกสบายก็ตามที
ครู่หนึ่ง ชายวัยสามสิบก็กลับมาที่รถ “ท่านครับ คุณผู้หญิงซงกับคุณหนูซูก็อยู่ในรถด้วยครับ”
“ได้ ฉันจะลงไปทักทายพวกเขาสักหน่อย” ชายวัยกลางคนพูด
เขาอายุน้อยกว่าซงรุ่ยปิงแค่ไม่กี่ปี ดังนั้น เขาจึงควรจะเข้าไปทักทายซงรุ่ยปิงและลูกสาวของเธอ
“ไม่คิดเลยนะคะ ว่าหวูถงชิ่งจะมาที่นี่ด้วย” เฉินหยิงพูด หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ซงรุ่ยปิงก็เปิดประตูและลงมาจากตัวรถ เฉินหยิงก็ลงตามมาด้วยเช่นกัน ประตูหลังของรถคันหลังก็เปิดออกมาเช่นกัน
หวูถงชิ่งลงมาจากรถของเขา
“สวัสดีครับ คุณซง คุณก็มาที่นี่เหมือนกันสินะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“สวัสดี ถงชิ่ง ทำไมถึงได้มาที่นี่เหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ผมมาเชิญหมอหวังไปรักษาพ่อของผมน่ะครับ” หวูถงชิ่งตอบ
“บังเอิญจริงๆ! ฉันก็มาเชิญหมอหวังให้มาตรวจเสี่ยวซวีเหมือนกัน แต่เขากลับไม่อยู่ที่นี่” ซงรุ่ยปิงพูด
“เขาออกไปตรวจคนไข้ข้างนอกเหรอครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ เฉินหยิงเพิ่งจะโทรหาเขาเมื่อกี้นี้เอง เขาบอกว่ากำลังกลับมาอยู่น่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะอยู่รอเขาก่อน” หวูถงชิ่งพูด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็แยกย้ายกลับไปรอที่รถของตัวเอง รถทั้งสี่คันที่จอดอยู่ไม่มีคันไหนเลยที่เป็นรถจากเหลียนชาน
มีรถมาตั้งหลายคัน!
โชคดีที่หวังเย้ากลับมาเร็ว เขาเห็นรถจอดอยู่ที่หน้าคลินิกได้จากที่ไกลๆ หลังจากที่จอดรถเอาไว้ที่บ้านแล้ว เขาจึงรีบเดินไปที่คลินิกในทันที
ยังมีใครมาอีกเหรอ?
ทุกคนล้วนพากันลงมาจากรถ ยกเว้นเพียงแค่คนขับเท่านั้น
“สวัสดีครับ หมอหวัง” หวูถงชิ่งพูด
“สวัสดีครับ” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นหวูถงชิ่งอีกครั้ง
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนคุณอีกแล้วนะครับ” หวูถงชิ่งพูด คนที่รู้จักหวูถงชิ่งดีคงจะรู้สึกประหลาดใจ ที่ได้เห็นท่าทีที่เขาใช้พูดคุยกับหวังเย้าในตอนนี้
“สวัสดีค่ะ เซียนเชิง” ซูเสี่ยวซวีพูด หลังจากที่เธอลงมาจากรถแล้ว
“สวัสดี เสี่ยวซวี” หวังเย้าพูด
“สวัสดีค่ะ คุณลุงหวู” ซูเสี่ยวซวีทักทายหวูถงชิ่งด้วยเช่นกัน
“สวัสดี เสี่ยวซวี” หวูถงชิ่งพูด
“เชิญเข้ามาข้างในกันก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
ในเมื่อพวกเขาต่างก็เดินทางมาจากปักกิ่ง และยังปฏิบัติต่อเขาด้วยดี หวังเย้าจึงเชิญพวกเขาเข้ามาด้านในคลินิกและชงชาให้พวกเขาได้ดื่มกัน
“ถงชิ่ง เชิญคุณก่อนเลย” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุณมาก่อน เชิญคุณก่อนเลยครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ก็ได้ ฉันแค่จะมาถามหมอหวังว่า วันนี้หมอหวังพอจะสะดวกพาพวกเราไปเที่ยวอีกได้รึเปล่าก็เท่านั้นเอง?” ซงรุ่ยปิงถามด้วยรอยยิ้ม
“พาเที่ยวเหรอครับ?” หวูถงชิ่งถามด้วยความประหลาดใจ
เขาคิดว่า ซงรุ่ยปิงพาลูกสาวของเธอมาเพื่อรักษากับหมอหวัง แต่ไม่คิดเลยว่า ความจริงแล้วพวกเธอจะมาที่นี่เพื่อให้หมอหวังพอเที่ยวแทน สิ่งนี้แสดงให้เขาเห็นว่า พวกเขามีความสนิทสนมกับหมอหวังมากแค่ไหน
“ใช่แล้วล่ะ หมอหวังได้ตรวจเสี่ยวซวีเรียบร้อยแล้ว เขาบอกด้วยว่า เสี่ยวซวีแข็งแรงดี เราเดินทางมาที่นี่ แต่ก็ไม่รู้จักใครเลยนอกจากหมอหวัง ดังนั้น เราก็เลยขอให้หมอหวังพาเราเที่ยวสักหน่อยน่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
หวังเย้าเป็นหมอ มันเหมาะเหรอที่จะให้เขาพาเที่ยว?
“ผมเข้าใจแล้ว ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมอยากจะขอให้หมอหวังดูอะไรสักหน่อยนะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ตามสบายเลยค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
หวูถงชิ่งไม่ได้ขอให้หวังเย้าเดินทางไปรักษาพ่อของเขาที่ปักกิ่ง แต่เขาได้นำเอกสารการรักษาของพ่อเขามาให้หวังเย้าอ่านแทน
หวังเย้ารับเอกสารทั้งหมดมาและอ่านพวกมันทั้งหมด พ่อของหวูถงชิ่งมีเนื้องอกอยู่ที่บริเวณปอดทั้งสองข้าง เนื้องอกส่วนหนึ่งได้อยู่ติดกับเส้นเลือดใหญ่ แพทย์ของทางโรงพยาบาลจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะผ่าตัดให้เขา แต่เนื้องอกตรงส่วนนั้นก็สามารถปริแตกได้ทุกเวลา
มีอีกเคสหนึ่งแล้ว
“หมอหวัง คุณพอจะรักษาพ่อของผมได้ไหม?” หวูถงชิ่งถาม
หวังเย้าเงียบไปพักหนึ่ง เขาเคยพยายามรักษาอาการป่วยที่คล้ายกันมาก่อน และการรักษาก็ได้ผลค่อนข้างดี ในเวลานี้ เขาเป็นหมอที่มีความพร้อมมากขึ้น ทั้งยังมีสมุนไพรรากหลากหลายชนิดและการควบคุมพลังฉีที่เชี่ยวชาญมากขึ้น เขาน่าจะสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
“ต้องขอโทษด้วยครับ” แต่เขาก็ปฏิเสธคำขอของหวูถงชิงไป
เขายังคงไม่อยากจะรักษาพ่ออยู่เหมือนเดิมเหรอ? หวูถงชิ่งไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากนัก เพราะเขาพอจะคาดเดาผลลัพธ์แบบนี้เอาไว้ก่อนแล้ว
“ขอโทษที่มารบกวนคุณนะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด
“ในเมื่อผมมารบกวนคุณถึงสองครั้ง นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆมอบให้คุณครับ” หวูถงชิ่งวางกล่องเล็กๆใบหนึ่งลงบนโต๊ะ
517 สายลม
“ผมคงรับไว้ไม่ได้หรอกครับ” หวังเย้ารีบพูดขึ้นมา เขาไม่สามารถรับของขวัญจากเขาได้
“ช่วยรับเอาไว้เถอะครับ มันก็แค่ของเล็กๆน้อยๆเท่านั้น” หลังจากที่พูดจบแล้ว หวูถงชิ่งก็วางกล่องของขวัญเอาไว้และเดินออกไป
“อะไรกัน?” หวังเย้าเปิดของออกดู “นี่มัน?”
มันมีค่ามากเกินไป มันคือตำราแพทย์ที่มีชื่อว่า “แหล่งที่มาของโรค” มันเป็นตำราแพทย์จากยุคของราชวงศ์สุย มันเป็นตำราที่มีชื่อเสียงและแทบจะเรียกได้ว่าเป็นของโบราณหายากด้วยซ้ำ
“ผมรับไว้ไม่ได้หรอก รอเดี๋ยวก่อนครับ” หวังเย้าเคลื่อนตัวไปที่ประตูด้วยความเร็วสูง จากนั้น เขาก็เคลื่อนตัวไปยังรถที่กำลังสตาร์ทเครื่องในพริบตาเดียว
หวังเย้าเคาะกระจกรถและคืนตำราเล่มนั้นไป จากนั้น เขาก็เดินกลับเข้าไปในคลินิก
เขารวดเร็วมาก ซงรุ่ยปิงและซูเสี่ยวซวีต่างก็พากันตกตะลึง ความเร็วของเขานั้นราวกับปีศาจ เขาแทบจะหายตัวไปในทันทีที่พวกเธอกระพริบตา
“เขาเป็นปรมาจารย์กังฟูเหรอ?” ซงรุ่ยปิงตกตะลึง
“ค่ะ” เฉินหยิงเคยพูดเรื่องนี้กับเธอแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าซงรุ่ยปิงจะไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากนัก เธอไม่คิดว่า หวังเย้าจะประสบความสำเร็จได้น่าอัศจรรย์ขนาดนี้
“เซียนเชิงสุดยอดไปเลย!” ดวงตาของซูเสี่ยวซวีเป็นประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
“นี่มัน?” หวูถงชิ่งมองดูของขวัญในมือของเขา คนที่นำมันมาคืนให้เขาได้จากไปแล้ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา มันเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
“นายมองเห็นเขาไหม?” เขาถามคนขับ
“ครับ เขาเร็วมาก เขาจะต้องเป็นปรมาจารย์กังฟูแน่ๆครับ” คนขับรถพูด
ในการเป็นคนขับรถของคนระดับนี้ ความสามารถด้านการขับรถต้องมี และในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำหน้าที่แบบเขามักจะมีความเชี่ยวชาญในด้านการต่อสู้และทำหน้าที่เป็นบอดีการ์ดในบางเวลาได้ด้วย
“สุดยอด!” หวูถงชิ่งถอนหายใจออกมา “ขนาดของกำนันเขาก็ยังไม่ยอมรับเอาไว้ แล้วฉันควรจะทำยังไงดี?”
“ทำไมท่านไม่กลับมาอีกครั้งในตอนบ่ายล่ะครับ?” คนขับรถถาม
“ก็ดี” เขาไม่อยากยอมแพ้จนกว่าเขาจะทำเป้าหมายของเขาให้สำเร็จ
“บางที เราน่าจะลองเข้าหาเขาผ่านทางตระกูลซูดูนะครับ” คนขับเสนอ
ภายในคลินิก ซูเสี่ยวซวีกำลังมีความสุขอยู่กับการได้นั่งคุยกับหวังเย้า
“จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี?” หวังเย้าคิดหาที่เที่ยวไม่ได้เลย
ถ้าหากว่าเธอเป็นญาติของเขา เขาก็มีหลายที่ที่สามารถพาเธอไปได้ แต่เธอนั้นต่างออกไป เธอเป็นแขกที่เดินทางมาไกลหลายพันไมล์ เธอควรจะได้เที่ยวในที่ดีดี แต่เหลียนชานก็ไม่ได้มีสถานที่ให้เที่ยวมากนัก ที่ห่ายชิวมีที่เที่ยวอยู่เมืองหนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะที่จะไปที่นั่น
“เสี่ยวซวี เราน่าจะไปกันได้แล้วนะ” ซงรุ่ยปิงเห็นท่าทีขัดเขินของหวังเย้า เธอก็พอจะรู้ว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่ได้มีที่ให้เที่ยวมากนัก
ทั้งสามจึงพากันกลับออกมา พวกเขาไม่ได้ทำตามแผนที่วางเอาไว้ รถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“เสี่ยวซวีมีความสุขไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงยิ้มและถามลูกสาวของเธอ
“หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ที่นี่ไม่ใช่ปักกิ่ง มันเป็นแค่เมืองเล็กๆในหุบเขาก็เท่านั้น มันเลยไม่มีที่ให้เที่ยวเท่าไหร่” ซงรุ่ยปิงพูด “ถ้าเรายังอยู่ที่นี่กันต่อ ก็มีแต่จะทำให้หมอหวังต้องขายหน้า เราออกมาข้างนอกก็เพื่อผ่อนคลายและตรวจดูว่าร่างกายของลูกไม่มีปัญหาอะไร แค่นี้มันก็ดีมากแล้วนะจ๊ะ”
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยความพอใจ แต่เธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะสั้นเสมอ
เมื่อรถขับพ้นออกมาจากหมู่บ้าน พวกเขาก็พบว่ารถของหวูถงชิ่งจอดอยู่ข้างทาง และเขาก็ดูเหมือนว่ากำลังรอพวกเจอพวกเธออยู่
“หาที่จอดก่อน” ซงรุ่ยปิงพูด
รถชะลอและเข้าจอดข้างทาง หวูถงชิ่งลงมาจากรถของเขา และซงรุ่ยปิงก็ลงจากรถด้วยเช่นกัน
“ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนหน่อยน่ะครับ” เขาพูด “เราไปหาที่คุยกันที่อื่นดีไหมครับ?”
“โอเค” ซงรุ่ยปิงพูด
สามสิบนาทีต่อมา พวกเขาก็มาเจอกันที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเหลียนชาน
“ฉันคงจะช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ” ซงรุ่บปิงพูด
การขอให้หวังเย้าไปรักษาคนไข้ให้คนอื่นนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่จากการที่ได้รู้จักหวังเย้ามา เธอก็พอจะเข้าใจอะไรในตัวเขาอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าเขาจะยอมช่วยเพื่อเป็นการช่วยรักษาหน้าให้เธอ แต่ถ้าเขาไม่ยินดีที่จะทำ มันก็อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ และที่มากไปกว่านั้น เขาก็อาจจะไม่ไว้หน้าเธอเลยก็เป็นได้
“พี่เฉินหยิง แม่กับลุงหวูกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอคะ? มันเกี่ยวกับหมอหวังรึเปล่า?” ซูเสี่ยวซวีที่นั่งอยู่อีกห้องหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ หวูเหล่าป่วยหนักมาก เขาก็คงจะอยากให้หมอหวังไปรักษาพ่อของเขาที่บ้าน แต่หมอหวังก็ไม่ยอมตกลง” เฉินหยิงพูด “มีครั้งหนึ่ง ที่หวูถงชิ่งเคยมาขอให้คุณผู้หญิงช่วยพูดให้ ตอนที่หมอหวังอยู่ที่ปักกิ่งด้วยค่ะ”
“หมอหวังไม่อยากไปปักกิ่งใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ค่ะ เขาดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะไปสักเท่าไหร่” เฉินหยิงพูด “แล้วเขาก็ไม่อยากจะติดต่อกับตระกูลใหญ่ๆแบบตระกูลของคุณหนูด้วย”
“ทำไมละคะ?” ซูเสี่ยวซวีฟังอย่างตั้งใจ
“เพราะมันจะจำกัดอิสรภาพของเขาค่ะ” เฉินหยิงพูด
หลังจากที่ได้ฟังแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็เข้าใจ เธอเป็นคนฉลาดและเข้าใจความหมายที่เฉินหยิงต้องการจะสื่อออกมา ปักกิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกรงขัง
“พี่เฉินหยิง พี่คิดว่า หมอหวังอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างไหมคะ?” อยู่ๆซูเสี่ยวซวีก็ถามขึ้นมา
“หืม?” เฉินหยิงตกใจ “คุณหนูหมายความว่ายังไงคะ?”
“เขาเป็นหมอคนหนึ่ง เขาคงจะไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหรอกจริงไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด “พี่คิดว่า เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างไหมคะ?”
นี่ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว! เฉินหยิงเข้าใจได้ทันทีว่า เจ้าหญิงองค์น้อยข้างๆเธออาจจะกำลังมีความคิดแผลงๆอะไรอยู่ แล้วมันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยด้วย คงไม่มีใครในตระกูลซูที่จะเห็นด้วยกับการที่จะให้เธอมาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาแบบนี้ มันคงจะกลายเป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักกับสามัญชนขึ้นมา
แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกมา มันคงจะดีกว่าที่จะกลับไปและบอกเรื่องนี้กับแม่ของเธอแทน
หวูถงชิ่งและซงรุ่ยปิงไม่ได้อยู่คุยกันนานนัก
“ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากนะครับ” เขาพูด
“ฉันจะลองพยายามดู” เธอตอบ
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากร้านน้ำชา พวกเขาก็พบเข้ากับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา
“โอ้ คุณสวยมากเลย!” ชายวัย 40 คนหนึ่งถอนหายใจออกมา หนึ่งนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและมั่นใจ ส่วนอีกคนก็งดงามราวกับนางฟ้า พวกเขาไม่เคยได้เห็นผู้หญิงหน้าตาดีขนาดนี้ในเหลียนชานมาก่อน
เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นแรงของตัวเอง เขาอยากจะเดินเข้าไปทักทายพวกเธอ แต่ก็มีร่างหนึ่งมาขวางเขาเอาไว้ ดวงตาของชายคนนี้คมกริบราวกับใบมีด
“เพื่อน นายกำลังขวางทางฉันอยู่นะ” ชายวัย 40 พูด
“ไปซะ!” น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบไม่ต่างกับสภาพอากาศในเวลานี้
บนโลกนี้มักจะมีคนบางจำพวกที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถ มันเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยได้ออกไปเห็นโลกภายนอก เหมือนกับนกกระจอกที่ไม่เคยได้เห็นนกฟินิกส์
อะไรน่ะ! ชายคนนั้นล้มลงไปที่พื้น และกุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้ สภาพของเขาดูแย่มาก คนอื่นๆที่มาพร้อมกับเขาต่างก็พุ่งตัวเข้ามาช่วย พวกเขาไม่เคยเห็นคนที่สามารถต่อกรกับคนนับสิบได้มาก่อน
คนทั้งสองกลุ่มพากันเดินออกไปจากร้านน้ำชา ทิ้งให้คนที่เหลือร้องโอดโอยอยู่ด้านใน ไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง ชายที่มาพร้อมกับหวูถงชิ่งหยิบเอกสารบางอย่างออกมาและพูดแค่ไม่กี่ประโยค เข้าหน้าที่ตำรวจที่ดูเฉื่อยชาในตอนแรกก็กลายเป็นกระตือรือร้นในทันที
“ไปหาที่กินข้าว แล้วกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งกันเถอะ” หวูถงชิ่งพูด
มันเป็นเวลาเที่ยงแล้ว แต่หวังเย้าก็ไม่รีบร้อนออกไปไหน เขานั่งศึกษาเอกสารที่ได้มาอยู่ที่โต๊ะ พวกมันคือเอกสารการรักษาที่หวูถงชิ่งนำมาให้เขา
เขาเพียงแค่อ่านมันครั้งเดียว เขาก็สามารถจดจำเนื้อหาได้แล้ว ด้วยความสามารถในการจดจำของเขา ขอแค่เขาต้องการ เขาก็สามารถจดจำทุกอย่างได้ในทันที หลังจากที่บันทึกรายละเอียดทั้งหมดลงไปในสมองแล้ว เขาก็เขียนพวกมันลงไปในกระดาษอีกครั้ง
ในช่วงเวลานี้ เขาไม่ต้องการเดินทางไปที่ปักกิ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจเคสรักษาเคสนี้ ในความเป็นจริงนั้น เขาอยากจะลองรักษาดูสักครั้ง เขาได้ร่างแผนการรักษาขึ้นมา จากข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในเอกสาร
แล้วเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้นมา เขาหันไปมองดู และมันก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว ได้เวลาที่เขาควรจะกลับไปกินข้าวได้แล้ว
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เขาก็ออกมาจากบ้านและเห็นรถสองคันจอดอยู่ที่หน้าคลินิกของเขา พวกเขาคือคนกลุ่มเดิมที่มาหาเขาเมื่อเช้านี้
“อีกแล้วเหรอ?” หวังเย้าพึมพำออกมา
“สวัสดีครับ หมอหวัง” หวูถงชิ่งพูด
“สวัสดีครับ คุณหวู” หวังเย้าพูด
เขาถือเป็นแขกคนหนึ่ง และเขาก็ยังมีมารยาทดีอีกด้วย ดังนั้น หวังเย้าจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในคลินิก
“คุณหวู เหมือนที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมยังไม่มีแผนที่จะเดินทางไปปักกิ่ง” หวังเย้าพูด
“ครับ ผมเข้าใจ เรื่องของเรื่องก็คือ คุณพอจะช่วยจัดยาให้พ่อของผมได้ไหมครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ผมไม่ได้เห็นคนไข้ ดังนั้น ผมก็ไม่สามารถวินิจฉัยอาการของเขาได้ ผมไม่สามารถจ่ายยาด้วยแค่การอ่านเอกสารพวกนี้เท่านั้น สรุปก็คือไม่ครับ” หวังเย้ารับฟังและตอบปฏิเสธเขาไปอย่างชัดเจน
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเย้าแล้ว หวูถงชิ่งก็เงียบไป จากนั้น เขาก็ได้เปิดเผยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาครั้งนี้ของเขา “แล้วคุณพอจะมียาที่สามารถช่วยให้อาการของคนไข้ดีขึ้น โดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อตัวคนไข้บ้างไหมครับ?”
เขามาเพื่อเสาะหายาที่สามารถรักษาชีวิตคนได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใกล้ตายแล้วก็ตาม
“ยาเหรอครับ?ไ หวังเย้ามียาแบบนั้นอยู่จริงๆ
เขามียาอยู่สองอย่าง หนึ่งคือยาทั่วไปที่สามารถบำรุงร่างกาย และอีกอย่างหนึ่งก็คือซุปเป่ยหยวน
“ผมมีสูตรยาอยู่ครับ คุณสามารถเอามันกลับไปลองใช้ดูได้เลย” ในตอนที่พูดอยู่นั้น หวังเย้าก็เชียนสูตรยาตัวแรกและมอบมันให้กับหวูถงชิ่ง
หวูถงชิ่งอยากจะพูดว่า ฉันไม่ได้อยากจะได้เจ้านี่! แต่เขาก็พูดไม่ออก เขาทำเพียงแสดงความยินดีตามมารยาทเมื่อได้รับสูตรยามา “แล้วเรื่องราคาล่ะครับ?”
“ในเมื่อคุณต้องเดินทางมาตั้งไกล ผมไม่คิดเงินคุณหรอกครับ” หวังเย้ายิ้ม
เขาไม่ได้หวงสูตรยาตัวนี้มากนัก ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีขายในตลาดก็ตามที “วัตถุที่ใช้ทำยาจะต้องมีอายุที่เหมาะสมด้วยนะครับ”
“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะครับ” หวูถงชิ่งพูด
ก่อนที่เขาจะออกไป หวูถงชิ่งก็ได้ทิ้งตำราแพทย์เอาไว้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณจากเขา ครั้งนี้ หวังเย้าไม่ได้ปฏิเสธเขา ซึ่งเขาถือว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสูตรยาที่เขาให้หวูถงชิ่งไป
เมื่อเดินออกมาจากคลินิกแล้ว หวูถงชิ่งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“มันยังไม่ดีพอเหรอครับ?” คนขับถาม
“ออกรถ” หวูถงชิ่งพูด
“จะไปที่ไหนครับ ท่าน?” คนขับถาม
“กลับปักกิ่ง” หวูถงชิ่งพูด
เขาเดินทางกลับปักกิ่งไปพร้อมกับสูตรยาธรรมดาๆสูตรหนึ่ง ประสิทธิภาพของตัวยานั้นได้ผล แต่ก็ยังไม่ถือว่าเห็นผลได้ชัดเจนนัก
“เธอพูดว่าอะไนนะ? เสี่ยวซวีพูดออกมาแบบนั้นจริงเหรอ?” ซงรุ่ยปิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ฟังคำพูดจากปากของเฉินหยิง
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“โอ้ เด็กคนนี้นี่นะ!” ซงรุ่ยปิงอุทานออกมา “เธอไปจัดการทันทีที่เรากลับถึงปักกิ่งเลยนะ”
สายลมเย็นส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อม่านราตรีโปรยตัวลงมา บนเนินเขาหนานชาน หากมองดูจากที่ไกลๆก็จะสามารถมองเห็นแสงไฟที่เล็กเท่าเม้กถั่วส่องสว่างอยู่ด้านบนนั้น
หญ้าหลี่สามารถใช้ในการรักษาแผลเน่าเปื่อยได้ หลิงชานจีสามารถขับพิษร้ายออกไปได้ ปอดคือหนึ่งในอวัยวะสำคัญทั้งห้าของร่างกายมนุษย์
หวังเย้าเขียนรายละเอียดต่างๆลงไป ในขณะที่คิดถึงวิธีการรักษาไปด้วย เมื่อรวมการรักษาด้วยการฝังเข็ม, การนวด, และกำลังภายใน เขาก็มีความมั่นใจถึง 80% ในการรักษาคนไข้ให้หายได้
ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันหลายพันไมล์ แต่เขาก็สามารถที่จะจ่ายยาจากที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาได้ปลูกสมุนไพรรากเอาไว้มากมายหลายชนิด และมีเพียงเซียนชิวหลัวเท่านั้นที่มีพิษ พิษของมันนั้นเกิดจากกลิ่น, เมือก, และดอกของมัน แต่หากได้ดื่มน้ำที่คั้นจากดอกไม้ของมันเข้าไป ก็จะสามารถป้องกันพิษของสมุนไพรชนิดนี้ได้
“เอาล่ะ เกือบจะเสร็จแล้ว” หวังเย้าพูดกับตัวเอง เขาเก็บของเข้าที่ ปิดไฟ และเข้านอน
เช้าวันต่อมา ไก่ขันปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แต่ดวงตะวันก็ยังไม่โผล่ออกมาให้เห็น ก้อนเมฆลอยอยู่เต็มท้องฟ้า
เวลา 9 โมงเช้า ตู้เฟิงเดินทางมาถึงที่คลินิก ยาที่เขาได้มานั้นหมดไปแล้ว แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งแรงขึ้น ในตอนที่กินยาของหวังเย้า เขาไม่ได้กินยาเม็ดที่ทางโรงพยาบาลให้มาเลย ตอนนี้ เขารู้สึกดีกว่าแต่ก่อนมาก
“ยาหมดแล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” ตู้เฟิงพูด
“ผมขอตรวจดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่ตรวจดูร่างกายของตู้เฟิงเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็ขอให้เขาถอดเสื้อออกและนอนลง
หวังเย้าเริ่มทำการฝังเข็ม โดยแทงเข็มลงไปในบริเวณหน้าอกและหน้าท้องของเขา ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการฝังเข็มรักษาในครั้งนี้ เขาแทงเข็มลงไปอย่างมั่นคง
“อ๊ะ!” ตู้เฟิงร้องออกมา
“เจ็บเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” ตู้เฟิงพูด
“มันรู้สึกร้อนเหมือนถูกเผารึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ครับ” ตู้เฟิงรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดที่ร้อนราวกับไฟแทงลงมาบนร่างกายของเขา มันเจ็บมากจนเขาต้องร้องออกมา
หวังเย้ายังคงฝังเข็มต่อไป
…
ปักกิ่ง…
“พี่ อารมณ์ดีขึ้นบ้างรึยังครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ดีขึ้นแล้วล่ะ” กั๋วซือหรงดูเหมือนกำลังใจลอยอยู่
“พี่ ผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกพี่ด้วย” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“เรื่องอะไรเหรอ?” กั๋วซือหรงถาม
“ผมอยากจะแต่งงานกับเสี่ยวซวีครับ” เขาพูด
“อะไรนะ!” กั๋วซือหรงมองหน้ากั๋วเจิ้งเหอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ เขามีรอยยิ้มกว้างราวกับดวงตะวันที่ส่องแสงเจิดจ้า “ตอนนี้ เธอยังไม่หายดีเลยนะ”
“เกือบแล้วล่ะครับ ผมถามเฉินดูแล้ว ภายใน 10 วัน เธอก็น่าจะลุกขึ้นเดินได้แล้ว” กั๋วเจิ้งเหอพูด
518 การเลื่อนตำแหน่งมีไว้สำหรับคนมีคุณธรรมเท่านั้น
“ตอนนี้ เธอคงจะสวยมากเลยล่ะสิ?” กั๋วซือหรงยกชาขึ้นมาจิบ
“เธอสวยมากเลยล่ะครับ แล้วยังสวยกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ” กั๋วเจิ้งเหอยิ้ม ไม่ว่าเขาจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร เขาก็มักจะมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอ ทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าเข้าหา และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนร่วมงานและเจ้านายชื่นชมในตัวเขาอย่างมาก
“พอได้เห็นหน้าของเธอ นายก็เลยคิดจะแต่งงานกับเธออย่างนั้นเหรอ?” กั๋วซือหรงถาม ในฐานะของพี่สาวคนโต เธอคิดอยู่เสมอว่าเธอรู้จักน้องชายของตัวเองเป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอกลับพบว่า เธอไม่เข้าใจความคิดน้องชายของเธออีกต่อไปแล้ว
“ใช่ครับ” กั๋วเจิ้งเหอไม่ได้ปฏิเสธ คงไม่มีใครอยากจะแต่งงานกับคนที่ใกล้ตายและหน้าตาน่าเกลียด โดยเฉพาะผู้ชายที่มีความทะเยอทะยานแบบเขา
“ถ้านายพูดมันออกมาตอนที่เธอยังไม่ได้แกะผ้าพันแผลออกจากหน้า เรื่องมันก็คงง่ายกว่านี้มาก แต่ตอนนี้มันคงยากแล้วล่ะ” กั๋วซือหรงพูด
“ตอนนี้ ทุกคนในปักกิ่งต่างก็รู้กันหมดแล้วว่า องค์หญิงน้อยของตระกูลซูอาการดีขึ้นและยังงดงามราวกับนางฟ้า” กั๋วซือหรงถอนหายใจออกมา “ตระกูลซูก็เหมือนกับตะวันฉายแสงบนท้องฟ้า มีคนมากมายต้องการจะเล่นเกมส์นี้เหมือนกับนาย!”
กั๋วซือหรงเข้าใจความคิดน้องชายของเธอ สาวงามและอำนาจเป็นของสองสิ่งที่ผู้ชายให้ความสนใจ ถ้าหากเขาต้องทิ้งสิ่งใดไป มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะทิ้งสาวงามก่อน เพราะเมื่อใดที่มีอำนาจ ก็สามารถเป็นเจ้าของสาวงามได้ทุกเมื่อ เขาต้องการใช้ทรัพยากรของตระกูลซูเพื่อตัวเขาเอง และในเวลาเดียวกัน ซูเสี่ยวซวีก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง มันก็ไม่ต่างกับการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“ผมได้ไปเยี่ยมเธอมาก่อนหน้านั้นแล้ว” กั๋วเจิ้งเหอพูด “เราเข้ากันได้ดีทีเดียว”
เขารู้ว่า ในช่วงเวลานี้มีคนไปเยี่ยมเยือนตระกูลซูมากกว่าปกติ แต่เขานั้นก้าวเร็วกว่าคนเหล่านั้นไปแล้วหลายก้าว เพราะเขาไปเยี่ยมเธอตั้งแต่ที่อาการของเธอเริ่มดีขึ้น แล้ว
เธอเป็นผู้หญิงสวยและเฉลียวฉลาด และเบื้องหลังของเธอก็คือตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซู จะไปหาลูกสะใภ้ที่ครบเครื่องเท่ากับเธอได้จากที่ไหนอีก?
“พี่คิดว่ายังไงครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“นายไปบอกแม่ให้ไปคุยกับคุณซงสิ” กั๋วซือหรงพูด “นายได้บอกแม่แล้วรึยัง?”
“ยังเลย ผมอยากฟังความคิดเห็นของพี่ก่อนมากกว่า” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ความคิดของเธอน่ะเหรอ? ฉันจะไปมีความคิดอะไรได้กัน? แต่เธอก็พูดออกมาว่า “พี่สนับสนุนนายอยู่แล้ว แต่นายก็ต้องคิดให้ดี เพราะถ้าเกิดคุณซงปฏิเสธขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ผมก็จะพยายามอย่างหนัก เพื่อให้เสี่ยวซวีชอบผม” กั๋วเจิ้งเหอพูด
กั๋วซือหรงจ้องหน้าน้องชายของเธอ เธอพูดออกมาอย่างลังเลว่า “ตอนที่พี่ไปเหลียนชาน พี่เจอพวกเขาด้วย”
“เหลียนชาน เมื่อไหร่เหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“เมื่อสองวันก่อน” กั๋วซือหรงพูด
“พวกเขาไปหาหวังเย้าเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ใช่” กั๋วซือหรงตอบ
“อืม เราจะจ้างเขาได้ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม เขาพอจะมีความคิดดีดีแล้ว
“มีหลายที่ที่คิดแบบนั้น” กั๋วซือหรงพูด “แต่สุดท้ายก็มีแค่ตระกูลซูเท่านั้น ที่สามารถทำความสนิทสนมกับเขาได้”
“ทำไม? เขาคิดจะหลีกหนีจากเรื่องการเมืองและผลประโยชน์เหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“มันไม่ใช่การหลีกหนี แต่บางคนก็ไม่ชอบการถูกควบคุม แล้วเขาก็เป็นคนแบบนั้นด้วย” กั๋วซือหรงพูด “ถ้าเขาเข้ากับเรา เขาก็จะได้รับอะไรมากมายหลายอย่าง แต่เขาก็ต้องเสียอะไรไปหลายอย่างด้วยเหมือนกัน”
ตระกูลใหญ่สามารถมอบความร่ำรวย, สถานะ, โอกาส, และความสะดวกสบายได้ แต่คนเหล่านั้นก็จะถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยกัน พวกเขาจะประสบความสำเร็จหรืออาจจะล้มเหลว พวกเขาจะสูญเสียอิสรภาพและพร้อมถูกเรียกตัวอยู่ตลอดเวลา ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่หวังเย้าต้องการ ดังนั้น เขาจึงไม่คิดที่จะตอบรับข้อเสนอของตระกูลเหล่านั้น
“พี่อยากได้ทางออกไหมล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขามีคนในครอบครัวอยู่หรอกเหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายคิดจะทำอะไร?” หลังจากได้ยินคำพูดนี้ กั๋วซือหรงก็ขมวดคิ้ว “ฉันเคยบอกกับนายตั้งแต่ที่นายเหยียบเท้าลงไปบนถนนสายนั้นแล้วว่า นายควรวางแผนให้ดีและทำเรื่องลับหลังให้น้อยลง การเลื่อนตำแหน่งมีไว้สำหรับคนที่มีคุณธรรมเท่านั้น”
กั๋วซือหรงเคยเตือนน้องชายของเธอเรื่องนี้มาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง เธอเคยได้ยินข่าวลือเรื่องน้องชายของเธอมาบ้างว่า ตั้งแต่ที่เขาพอจะไต่เต้าขึ้นไปได้บ้างแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยและชื่นชอบการใช้กลโกงต่างๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
“ผมรู้ครับ พี่” กั๋วเจิ้งเหอตอบกลับด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“เอาล่ะ เรื่องที่เธอพูดไปต้องคิดให้ดีดี การแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต” กั๋วซือหรงพูด
“ผมรู้ครับ พี่ แล้วเรื่องของพี่กับพี่ชื่อจิงล่ะครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้” กั๋วซือหรงยินดีกับเรื่องนั้น เธอจ้องหน้าน้องชายและพูดออกมาว่า “มันเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จัดการเอาไว้ เรื่องมันเลยยุ่งยากนิดหน่อย”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” เขาถาม
“ไม่มีอะไรหรอก นายเปลี่ยนไปนะ” กั๋วซือหรงพูด
“เปลี่ยนไปเหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอยิ้ม
“ฉันเหนื่อยแล้ว” กั๋วซือหรงพูด
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไปพักเถอะครับ ผมก็มีเรื่องต้องไปทำเหมือนกัน” กั๋วเจิ้งเหอพูด แล้วลุกขึ้นยืน
ในตอนที่มองตามหลังน้องชายของเธอไปนั่น เธอก็คิดขึ้นในใจว่า เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!
ในอดีต เมื่อไหร่ก็ตามที่กั๋วเจิ้งเหอได้ยินว่า พี่สาวของเขาไม่ชอบอะไร เขาก็จะปล่อยให้เธอปฏิเสธสิ่งนั้นไป แต่ในตอนนี้ เขาเริ่มมีเหตุผลมากขึ้น เมื่อเข้าไปในถังย้อมสีขนาดใหญ่ เขาก็ถูกย้อมไปทั้งตัว หรือบางที นี่อาจจะเป็นนิสัยเดิมของเขาก็เป็นได้ และมันทำให้เธอกังวลเรื่องของเขามากขึ้นไปอีก
…
“เฉินเหล่า นี่เป็นสูตรยาที่ผมได้มาจากเขาครับ” หลังกลับมาจากเหลียนชานแล้ว หวูถงชิ่งก็ไปพบเฉินเหล่าเป็นอันดับแรก “คุณช่วยดูหน่อยได้ไหม?”
“สูตรนี้…” เฉินเหล่ารับมาดู “ฉันเคยเห็นสูตรยานี้มาก่อน และเคยใช้มันมาแล้ว”
“โอ้ ใช้กับซูเสี่ยวซวีเหรอครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ มันเป็นสูตรยาที่ได้ผลค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ใช่ยาที่ฉันให้นายไปหามา” เฉินเหล่าพูด “ยังมีสูตรยารักษาที่ดีกว่านี้เรียกว่า ซุปเป่ยหยวน มันใช้สำหรับเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกาย และได้ผลดีมากด้วย นายท่านตระกูลกั๋วก็ได้กินยานี้เหมือนกัน ซูเสี่ยวซวีก็ใช้มัน แล้วฉันก็ด้วย”
“ผมก็คิดว่าเป็นสูตรยาตัวนี้ซะอีก” หวูถงชิ่งพูด
“เขาจะยอมบอกสูตรยาแบบนั้นให้คนอื่นง่ายๆได้ยังไงกัน? ทุกครั้งที่เขาใช้ยานั้น เขาจะเตรียมมันมาก่อนล่วงหน้า แล้วนำยามาที่ตระกูลซูเพื่อรักษาเสี่ยวซวี” เฉินเหล่าพูด
เขาไม่ได้บอกรายละเอียดกับหวูถงชิ่งมากนัก
“มันเป็นความผิดของผมเอง เพราะผมไม่ได้พูดมันออกไปให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนั้น” หวูถงชิ่งพูด “แล้วยาตัวนี้จะใช้ได้ผลไหมครับ?”
“มันได้ผล” เฉินเหล่าพูด “หวูเหล่าสามารถใช้ยาตัวนี้ได้ แต่เธอต้องปรึกษากับหมอดูก่อน จะดีที่สุด ถ้าไม่ใช้มันคู่กับยาของแพทย์แผนตะวันตก”
หวูถงชิ่งพยักหน้ารับ “ผมต้องไปตรวจการที่จังหวัดฉี แล้วผมจะหาเวลาไปหาเขาอีกครั้ง”
“อีกครั้งเหรอ?” เฉินเหล่ารู้สึกประหลาดใจ
“เล่าปี่ไปเชิญขงเบ้งออกมาจากภูเขาถึงสามครั้ง ผมก็อยากจะแสดงความจริงใจของผมให้เขาได้เห็น” หวูถงชิ่งพูด “ขอแค่เขาสามารถรักษาพ่อของผมได้ จะให้ผมไป 10ครั้ง หรือ 100 ครั้ง ผมก็จะทำ อย่าว่าแค่สามครั้งเลย!”
“อืม เขามีจิตใจที่บริสุทธิ์จริงๆ” เฉินเหล่ายิ้มและลูบเคราของเขา นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมเขาถึงได้ยินดีสานสัมพันธ์กับคนตระกูลนี้ มันคือ “ความประทับใจ”
…
เหลียนชาน กรมสาธารณะสุขได้โพสบทความว่า “10 สุดยอดหมอที่มีชื่อเสียง”
มีคนไม่มากที่สนใจโพสนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงการแพทย์ พวกเขาจึงคุ้นชื่อของหมอที่มีชื่อเสียงในเขต
“ฉันรู้จักหมอจ้าว เขารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เก่งมากเลยล่ะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูด
“ฉันเคยได้ยินชื่อของไดเรคเตอร์หลี่มาก่อน เขาเป็นกุมารแพทย์” เจ้าหน้าที่อีกคนพูด
“หืม ใครคือหวังเย้าเหรอ?” มีคนพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
คนในแผนกรู้จักหมอที่อยู่ในระบบเกือบทุกคน แต่พวกเขาแทบจะไม่รู้จักหมอที่อยู่นอกระบบเลย
“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูด
ประกาศนี้ไม่ได้สร้างความยุ่งยากอะไรมากนัก แต่ทางแผนก็ยังได้รับจดหมายร้องเรียนอยู่บ้าง และคนที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดก็คือหวังเย้า
ในเมื่อข้อมูลที่แสดงรายละเอียดนั้นมีอยู่อย่างจำกัด คนทั้ง 10 จึงเป็นคนที่มีชื่อเสียงในแวดวงนี้อยู่แล้ว มีเพียงหวังเย้าและจางหมิงเต๋อเท่านั้น ที่ไม่ใช้คนที่ทำงานในแวดวงนั้น ชื่อเสียงของจางหมิงเต๋อในเขตนั้นค่อนข้างมากกว่าหวังเย้า ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะว่า เขามีอายุ 78 ปีและเป็นหมอมานานกว่า 50 ปีแล้ว จำนวนลูกศิษย์ของเขานั้นไม่น้อยกว่า 10 คน ในเขตเหลียนชานเล็กๆแห่งนี้ อายุการทำงาน 50 ปีก็ถือว่ามากพอที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้แล้ว เมื่อดูจากชื่อเสียงของเขาแล้ว จึงมีคนไม่มากที่สงสัยและตั้งคำถามในตัวเขา
หวังเย้านั้นต่างออกไป ถึงแม้ว่าเขาจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เขาก็เป็นที่รู้จักได้แค่ไม่นาน
“ไดเรคเตอร์ คุณคิดว่ายังไงครับ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถาม
“มันไม่มีหลักฐานชัดเจน ก็แค่ข่าวลือ ไม่ต้องไปวุ่นวายกับเขาหรอก” ไดเรคเตอร์พูด
เพียงแค่เท่านี้ เรื่องทุกอย่างก็เป็นอันจบ ความจริงแล้วมันคือการตัดสินใจของหัวหน้าเขต พวกเขาจึงต้องทำตาม
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” เจ้าหน้าที่ในแผนกต่างก็รู้สึกสับสน บางครั้ง ความคิดเห็นของพวกเขาก็ถูกจำกัดเอาไว้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น