Elixir Supplier 511-514
511 บอกเรื่องในใจกับใครได้บ้าง?
สัตว์ส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่ามนุษย์ เช่นการมองเห็นของอินทรีย์, การได้ยินของหมาป่า, และการดมกลิ่นของสุนัข
ซานเซียนมีท่าทีที่แปลกไป มันดูลุกลี้ลุลนอยู่ไม่สุข
“เป็นอะไรไปซานเซียน? ที่นี่มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนใช้ฟันของมันคาบดึงหวังเย้าออกมา
“นายอยากให้ฉันออกไปจากที่นี่เหรอ?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง!
“รอเดี๋ยวนะ” หวังเย้าพูด เขากระโดดลงไปในหุบเขา เขาอยากจะดูต้นสนที่เขาปลูกเอาไว้อีกสักครั้ง
โฮ่ง! ซานเซียนเดินไปรอบๆหุบเขา แล้วจากนั้นมันก็กระโดดตามลงไป สัมผัสที่หกของมันได้บอกกับมันว่า ผืนดินแห่งนี้มีอันตรายอยู่ และมันก็ไม่ควรจะเข้ามาด้านในนี้ แต่ในเมื่อเจ้านายของมันเข้าไปด้านใน ดังนั้น มันจึงตัดสินใจตามเข้าไปด้วย
ไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น แต่ซานเซียนก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี
ต้นวนกำลังจะตายในไม่ช้า หวังเย้านั้นได้รดน้ำต้นสนด้วยน้ำแร่โบราณทุกวัน แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งการตายของมันได้
ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้? ทำไมฉันถึงไม่ทันสังเกตมาก่อนเลยว่าที่นี่มีปัญหาอยู่?
เขาไม่ได้มาที่หุบเขาทางทิศตะวันตกบ่อยนัก แล้วขุดที่มีปัญหาก็ล้วนแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดนี้ แต่หวังเย้าก็ไม่เคยสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในบริเวณนี้มาก่อนเลย
เขาเดินไปยังอีกจุดที่มีปัญหาเช่นกัน แล้วต้นสนที่จุดนั้นก็มีสภาพไม่ต่างจากต้นแรกมากนัก
บางทีอาจจะมีปัญหาที่ดินก็ได้? หวังเย้าตักดินขึ้นมาเก็บเป็นตัวอย่างและใส่มันลงไปในถุงพลาสติก ฉันจะลองเอามันไปทดสอบดู
โฮ่ง!โฮ่ง!โฮ่ง!
“ก็ได้ๆ เลิกเห่าได้แล้วซานเซียน เราจะกลับกันแล้ว” หวังเย้าลูบศีรษะของซานเซียนและยิ้มออกมา
ไม่นาน เขาและซานเซียนก็กลับมาถึงที่แปลงสมุนไพร
“นายไม่ต้องอยู่แต่ที่นี่ตลอดหรอก ออกไปเล่นเถอะ” หวังเย้าลูบศีรษะของซานเซียนด้วยรอยยิ้ม จากนั้น เขาก็เดินลงไปจากเนินเขาหนานชาน
ศาสตราจารย์ลู่และฉีหว่านกำลังรอคอยหวังเย้าอยู่ที่ด้านนอกคลินิกของเขา
“สวัสดีครับ มารอกันนานรึยังครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่หรอกครับ เราเพิ่งจะมาถึงเมื่อกี้นี้เอง” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เมื่อเข้าไปด้านในคลินิกแล้ว ฉีหว่านก็เอาหมวกและผ้าพันคอออก เธอดูดีกว่าเมื่อวานมาก
“วันนี้ คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ” ฉีหว่านพูด
ที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง ตั้งแต่ที่เธอป่วยด้วยภาวะไตวาย เธอก็มีอาการอ่อนแรง, เจ็บปวด, ไม่อยากอาหาร, อาเจียน, นอนไม่หลับ,และบวมน้ำ แต่หลังจากที่เธอได้กินยาของหวังเย้าและได้นวดกับเขา อาการทั้งหมดของเธอก็ลดลงไปมาก เธอรู้สึกแข็งแรงขึ้นและรู้สึกคลื่นไส้น้อยลง และเมื่อคืน เธอก็นอนหลับได้ดีขึ้นด้วย
มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างมาก ที่การรักษาแค่ครั้งเดียวกลับสร้างความแตกต่างได้มากมายขนาดนี้ ตอนนี้ เธอเริ่มเชื่อแล้วว่า หวังเย้าเป็นหมอที่มีฝีมือสูงส่งจริงๆ และมันทำให้ความหวังที่จะหายดีของเธอกลับมาอีกครั้ง เธอได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อีกครั้ง
“ดีครับ วันนี้ ผมจะให้การรักษาคุณเหมือนกับครั้งก่อนนะครับ ตอนนี้กินยาเข้าไปก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
เขาเอายาสองตัวเดิมให้ฉีหว่านดื่ม ซึ่งก็คือยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อและยาฟื้นฟูอวัยวะภายใน และยาตัวที่สองก็คือยาที่หวังเย้าเป็นผู้ปรับปรุงสูตรขึ้นมาด้วยตัวเอง มันเป็นยาที่สามารถช่วยปลอบประโลมอวัยวะสำคัญทั้งห้าในร่างกายของมนุษย์ได้
หลังจากที่เธอดื่มยาเข้าไปได้ 20 นาทีแล้ว หวังเย้าก็เริ่มต้นการนวดให้กับฉีหว่าน
สบายจัง! ฉีหว่านคิด เธอเผลอหลับไปอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะเตือนตัวเองไม่ให้เผลอหลับในคลินิกของหวังเย้าแล้วก็ตาม แต่เธอก็เหนื่อยจนเกินไป เธอรู้สึกอ่อนล้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว การนอนหลับสนิทแค่เพียงหนึ่งคืนจึงไม่สามารถเติมเต็มความต้องการทั้งหมดของเธอได้ แล้วเธอก็หลับไปนานถึงสองชั่วโมง
เครื่องทำความร้อนถูกเปิดเอาไว้ ภายในห้องจึงไม่เย็นเหมือนกับด้านนอก
หวังเย้าชงชาให้กับศาสตราจารย์ลู่
“ขอบคุณครับ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
ดูเหมือนว่า ชาที่ชงในครั้งนี้จะรสชาติดีกว่ามาก ศาสตราจารย์ลู่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของฉีหว่านได้อย่างชัดเจน มันได้สร้างความหวังให้กับเขา ว่าฉีหว่านอาจจะกลับมาหายเป็นปกติได้ เมื่อมีความหวัง ก็จะมีหนทางให้เดินต่อ เขารู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย
“ขอบคุณมากนะครับ หมอหวัง” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด เขาได้รับข้อความจากธนาคารเพื่อแจ้งว่าเขาได้รับเงินค่ารักษาจากศาสตราจารย์ลู่เรียบร้อยแล้ว และศาสตราจารย์ลู่ก็ได้จ่ายค่ายาของวันนี้ด้วย
ความสงสัยและลังเลได้หายไปจนหมด พวกเขาตัดสินใจที่จะรับการรักษาต่อไป
“ขอโทษ ที่ฉันเผลอหลับไปอีกแล้วนะคะ” เมื่อตื่นขึ้นมา ฉีหว่านก็พูดออกมาด้วยความขัดเขิน
“ไม่เป็นไรเลยครับ นอนหลับสบายดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ หลับสบายมากเลย” ฉีหว่านพูด
“พรุ่งนี้ ให้กลับมาอีกรอบนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ค่ะ” ฉีหว่านพูด จากนั้น เธอก็กลับไปพร้อมกับศาสตราจารย์ลู่
…
ภายในบ้านหลังหนึ่งที่ปักกิ่ง เมดคนหนึ่งกำลังรายงานต่อนายจ้างของเธออยู่
“คุณผู้หญิงคะ ดูเหมือนว่าคุณหนูซูจะมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจนะคะ” เมดพูด
“ฉันรู้แล้ว” ซงรุ่ยปิงถอนหายใจออกมา
ซูเสี่ยวซวีมีอาการดีขึ้นมากแล้ว เธอสามารถขยับแขนทั้งสองข้าง และยังสามารถเดินเกาะผนังได้หลายก้าวอีกด้วย เรื่องนี้ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับคนทั้งตระกูล หลังจากที่ได้ยินข่าวดีนี้ พ่อของเธอถึงกับเดินทางกลับมาที่ปักกิ่งในทันที เขาอยู่ในอารมณ์ที่ดีอย่างมาก เขาอยู่ทานอาหารเย็นที่บ้านและดื่มไวน์ไปแก้วหนึ่ง
แต่ซงรุ่ยปิงกลับเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของซูเสี่ยวซวีแทน เธอยิ้มน้อยลงทุกวันๆ และมักจะมองเหม่อออกไปนอนหน้าต่างอยู่บ่อยครั้ง เธอดูราวกับคนที่มีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
ซงรุ่ยปิงรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวของเธอนั้นคิดอะไรอยู่ แล้วฉันจะทำยังไงดี?
“ช่วยเรียกเฉินหยิงมาหาฉันทีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ได้ค่ะ” เมดพูด
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินหยิงก็มาถึงที่บ้านของตระกูลซู
“คุณผู้หญิงมีเรื่องอะไรให้ดิฉันรับใช้เหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ช่วงนี้ เธอได้คุยกับหมอหวังบ้างรึเปล่า?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ไม่ค่ะ คุณผู้หญิงอยากให้ดิฉันติดต่อกับหมอหวังเรื่องคุณหนูซูเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม
“ใช่” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุณผู้หญิงคะ ดิฉันมีเรื่องอยากจะเสนอให้คุณลองพิจารณาดูสักหน่อยน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เรื่องอะไรเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“บางที คุณผู้หญิงน่าจะพาคุณหนูซูกไปพบหมอหวังที่เหลียนชานดูนะคะ คุณหนูซูอยู่แต่ในบ้านมาเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้น เธอน่าจะพอใจที่จะได้ออกไปข้างนอก แล้วเธอยังได้รับการรักษากับหมอหวังอีกด้วย ตอนนี้ อาการของคุณหนูซูก็ดีขึ้นมากแล้ว ขนาดหมอเฉินกฺยังบอกให้เธอออกไปข้างนอกบ้าง” เฉินหยิงพูด
“อืม…” ความจริงแล้ว ซงรุ่ยปิงก็เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่อากาศในช่วงนี้หนาวเย็นจนเกินไป และเธอก็ไม่ต้องการให้ลูกสาวของเธอเป็นหวัด “ฉันจะลองคิดดู”
“มีอะไรที่คุณผู้หญิงต้องการอีกไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ไม่มีแล้วล่ะ” ซงรุ่ยปิงตอบ
“ค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณผู้หญิง” เฉินหยิงพูด
หลังจากที่เฉินหยิงไปแล้ว ซงรุ่ยปิงก็เดินขึ้นไปหาลูกสาวของเธอที่ชั้นบนของตัวบ้าน ซูเสี่ยวซวีกำลังนั่งมองดูท้องฟ้าอยู่บนรถเข็น ท่าทีของเธอดูโดดเดี่ยวอย่างมาก
ซงรุ่ยปิงรู้สึกสงสารลูกสาวของเธอขึ้นมา “เสี่ยวซวี”
“คุณแม่?” ซูเสี่ยวซวีหันหน้ากลับไปยิ้มกว้างให้กับแม่ของเธอ
“เด็กโง่” ซงรุ่ยปิงกระซิบ “คิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”
“ไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อยู่แต่บ้านทั้งวัน ลูกเบื่อรึเปล่า?” ซงรุ่ยปิงจับมือของลูกสาวเอาไว้ และถามออกไป
“ไม่เลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
คำตอบของเธอทำให้ซงรุ่ยปิงรู้สึกเศร้าใจ ฉันคงจะคิดมากเกินไปสินะ ขอแค่เธอมีความสุขก็พอแล้ว
“แม่พาลูกออกไปข้างนอกดีไหม?” ซงรุ่ยปิงเสนอขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้างนอก? ที่ไหนเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ห่ายชิวจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงตอบ
“ห่ายชิวเหรอคะ?” ดวงตาของซูเสี่ยวซวีเป็นประกายขึ้นมาในทันที
“แม่จะพาลูกไปที่หมู่บ้านที่หมอหวังอยู่ เขาก็จะได้ดูอาการของลูกด้วย ลูกคิดว่ายังไงจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เยี่ยมไปเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างยินดี เธอเฝ้ารอคอยการเดินทางในครั้งนี้มานานมากแล้ว
“แม่จะคุยกับคุณพ่อดูก่อนนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูเสี่ยวซวีมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้าของเธอ
“เด็กโง่!” ซงรุ่ยปิงลูบศีรษะของลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“เธอคิดจะพาเสี่ยวซวีไปห่ายชิวอย่างนั้นเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “แล้วเสี่ยวซวีแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้แล้วเหรอ?”
“ฉันลองปรึกษากับหมอเฉินดูแล้วค่ะ เขาบอกว่า เสี่ยวซวีสามารถเดินทางได้ แล้วห่ายชิวก็ไม่ได้ไกลจากปักกิ่งมาก” ซงรุ่ยปิงตอบ
“ก็ได้ ฉันจะจัดการเรื่องการเดินทางให้” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“อย่าให้มันเอิกเกริกมากนะคะ เพราะเราไปเป็นการส่วนตัว” ซงรุ่ยปิงพูด
“เข้าใจแล้ว แต่ฉันจะต้องทำให้มั่นใจว่า พวกเธอทั้งสองจะเดินทางกันอย่างราบรื่นที่สุด” ซูเซี่ยงฮวาพูด
…
ในตอนกลางวัน หวังเย้าได้เดินทางเข้าไปในตัวเมือง เขาต้องการนำตัวอย่างดินที่ได้มาจากหุบเขาทางทิศตะวันตกไปทำการวิเคราะห์ในห้องแล็ป หลังจากที่ได้คุยกับผู้ดูแลแล็ปแล้ว เขาไม่คิดว่า แล็ปของที่นี่จะสามารถวิเคราะห์ผลออกมาตามที่เขาต้องการได้ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้มอบตัวอย่างดินให้กับพวกเขา จากนั้น เขาก็ขับรถกลับไปที่หมู่บ้าน
เมื่อเดินลงมาจากตัวรถ หวังเย้าก็เจอเข้ากับซุนหยุนเชิงที่ออกมาเดินเล่นด้านนอก “หวังเชียนเชิง”
หวังเย้าไม่แน่ใจว่า ซุนหยุนเชิงเริ่มเรียกเขาว่าหวังเชียนเชิงตั้งแต่เมื่อไหร่ “ออกมาเดินเล่นเหรอครับ?”
“ครับ คุณออกไปข้างนอกมาเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ใช่ ผมเพิ่งจะเข้าไปในตัวเมืองมาน่ะ” หวังเย้าพูดในขณะที่มองไปที่ซุนหยุนเชิง บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่า ฉันจะสามารถเอาดินไปวิเคราะห์ได้ที่ไหน “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“บริษัทของพ่อคุณได้ทำงานกับทางมหาวิทยาลัยหรือศูนย์วิจัยที่ไหนบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“มีครับ คุณต้องการจะทำอะไรเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“พอดีผมมีตัวอย่างดินอยู่ แล้วผมก็อยากจะเอามันไปวิเคราะห์ในห้องแล็ปที่มีความพร้อมดูน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เข้าใจแล้วครับ ปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง” ซุนหยุนเชิงพูด
“โอเค ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
“ยินดีครับ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย” ซุนหยุนเชิงพูด
หลังจากที่เขากลับมาถึงที่บ้านแล้ว ซุนหยุนเชิงก็จัดการติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยในเมืองเต๋าทันที เขาได้สั่งให้คนนำตัวอย่างดินไปส่งให้กับทางมหาวิทยาลัยในคืนนั้นเลย
เช้าวันต่อมา อากาศเย็นยะเยือกแต่พระอาทิตย์กลับเจิดจ้า มันเป็นวันที่สดใสวันหนึ่ง
หวังเย้ามีแขกที่คาดไม่ถึงเดินทางมาที่คลินิก เธอเป็นหญิงสาวผมสั้น เธอดูสะอาดและน่ารัก แต่กลับมีร่างกายที่ผอมแห้ง
“ไฮ นึกยังไงถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ที่นี่ไม่ต้อนรับฉันเหรอ?” กั๋วซือหรงถามกลับไปด้วยท่าทีขี้เล่น
“แน่นอนว่าต้องต้อนรับ เชิญนั่งก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด “คุณดูผอมลงไปเยอะเลยนะ เป็นยังไงบ้าง? ทำงานหนักมากเลยเหรอ?” เขามองออกว่าเธอดูไม่ค่อยดีนัก และยังดูเหนื่อยล้าอีกด้วย
“ฉันเพิ่งกลับมาจากแอฟริกาน่ะ” กั๋วซือหรงพูด
“แอฟรกาเหรอ? คุณไปเที่ยวรอบโลกมาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ ฉันแค่อยากจะออกไปเที่ยว พร้อมกับพักผ่อนไปด้วยน่ะ” กั๋วซือหรงตอบ
“อ่อ ดื่มชาก่อนสิ” หวังเย้าชงชาให้เธอ
พวกเขาเป็นเหมือนกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันนานหลายปี พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่หวังเย้าก็ดูรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ
“ดูเหมือนคุณจะมีเรื่องในใจนะ” หวังเย้าพูด
“ใช่แล้วล่ะ” เมื่อจิบชาเข้าไปแล้ว กั๋วซือหรงก็ตอบออกไป
“มีเรื่องอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหม?” หวังเย้าถาม
“ไม่มีหรอก แต่ก็ขอบคุณนะ” กั๋วซือหรงพูดด้วยรอยยิ้ม หวังเย้ารับรู้ถึงความเศร้าได้จากคำพูดของเธอ
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ศาสตราจารย์ลู่ก็ได้พาฉีหว่านมาที่คลินิก
“รอผมครู่หนึ่งได้ไหม?” หวังเย้าถาม
“ได้สิ ตามสบายเลย” กั๋วซือหรงตอบ
หวังเย้าเอายาให้ฉีหว่านดื่มเข้าไปและนวดให้กับเธอ ครั้งนี้ ฉีหว่านไม่ได้เผลอหลับ ถึงแม้ว่าเธอจะอยากนอนมากแค่ไหนก็ตามที
“คุณไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองหรอกนะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม ฉีหว่านแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไว้ค่อยกลับไปงีบทีหลังก็ได้” ฉีหว่านตอบ เธอรู้สึกอับอายที่ตัวเองเผลอหลับที่คลินิกของหวังเย้าไปถึงสองครั้งด้วยกัน แล้ววันนี้ หวังเย้าก็ยังมีแขกอีกด้วย
“โอเคครับ ขากลับก็พยายามทำตัวให้อุ่นเข้าไว้นะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ค่ะ” ฉีหว่านพูด
“เธอป่วยเป็นอะไรเหรอ?” หลังจากที่ฉีหว่านกลับไปแล้ว กั๋วซือหรงก็ถามขึ้นมา
“ไตวาย” เมื่อจิบชาเข้าไปอึกหนึ่งแล้ว หวังเย้าก็ตอบเธอ
“นายรักษาโรคไตวายได้ด้วยเหรอ?” กั๋วซือหรงถามเขาด้วยความประหลาดใจ
“ก็กำลังพยายามอยู่” หวังเย้าพูด
*ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ตอนนี้ชีวิตเข้าที่เข้าทางดีแล้ว เราเลยกลับมาแปลต่อแล้วค่ะ*
512 แขกผู้มีเกียรติมาเยี่ยมเยือนในวันดี
“นายสุดยอดไปเลย!” กั๋วซือหรงถอนหายใจออกมา
“ชมเกินไปแล้วล่ะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
ความจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยนัก พวกเขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ แต่มิตรภาพระหว่างพวกเขาก็ยังไม่หายไปไหน
“คุณมีเรื่องอะไรในใจ ก็พูดออกมาได้เลยนะ” หวังเย้าพูด “มันเป็นการได้ปลดปล่อยอย่างหนึ่งนะ เพราะถ้าเก็บเอาไว้ในใจนานๆ มันจะทำให้คุณรู้สึกแย่เอา”
ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ต้องกังวลอยู่ทั้งนั้น แม้แต่หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยังมีเรื่องให้ต้องกลุ้มใจ
“เรื่องแต่งงานน่ะ” หลังจากที่เงียบไปสักพัก กั๋วซือหรงก็พูดออกมา
“แต่งงานเหรอ? ที่บ้านของคุณเป็นคนจัดการใช่เหรอ?” หวังเย้านึกถึงการแต่งงานระหว่างตระกูลที่ร่ำรวยกับชนชั้นสูง เช่นการแต่งงานที่จักรพรรดิได้รับสั่งให้องค์หญิงแต่งกับแม่ทัพหรือบุตรชายของมหาอำมาตย์
“ก็ประมาณนั้น” กั๋วซือหรงพูด
“คุณไม่ชอบเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ไม่เลย” กั๋วซือหรงพูด
มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่อยู่ๆก็ต้องแต่งงานที่คนที่ทางบ้านจัดหาให้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า พวกเขาทั้งคู่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่า และมันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เมื่อคนที่ต้องแต่งงานด้วยไม่ใช่คนที่ตนเองชอบพอ บางคนอาจจะพูดว่า เมื่อแต่งกันไปเดี๋ยวก็ค่อยๆรักกันไปเอง แต่ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้นล่ะ?
“ถ้าคุณไม่ชอบเขา คุณก็ปฏิเสธเรื่องการแต่งงานไปซะสิ” หวังเย้าพูด
ในมุมมองของเขา มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แล้วการแต่งงานกันคนที่ไม่ได้รัก ก็อาจจะกลายเป็นการแต่งงานที่ไร้ความสุข
“เฮ้อ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นน่ะสิ!” กั๋วซือหรงถอนหายใจ
“ตระกูลของคุณต้องการความช่วยเหลือจากเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่” กั๋วซือหรงตอบ
การแต่งงานในลักษณะนี้เกี่ยวเนื่องไปถึงความเป็นไปของทุกคนในตระกูล มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนเพียงคนเดียว
หวังเย้ารู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลกั๋วไม่มากนัก แล้วเขาก็ไม่อยากจะรู้ด้วย อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่า บางทีการเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยก็อาจจะไม่ได้มีความสุขเสมอไป พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตของตนเองได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก
“แล้วคุณได้บอกกับพ่อแม่ของคุณรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ไม่ ฉันแค่ปู่เท่านั้น เขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงาน แต่เขาก็จากไปแล้ว มันน่าเสียดายมาก” เมื่อพูดถึงปู่ของเธอ มันก็ทำให้กั๋วซือหรงมีสีหน้าที่โศกเศร้าอีกครั้ง
“คุณน่าจะลองพยายามคุยกับพวกเขาดูนะ” หวังเย้าเสนอ เขาไม่เชื่อว่า จะมีพ่อแม่คนไหนที่จะไม่สนใจความรู้สึกของลูกตัวเอง
กั๋วซือหรงทำเพียงแค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น “นายพาฉันไปที่เนินเขาหนานชานได้ไหม?”
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
พวกเขาปิดประตูคลินิก แล้วจึงพากันเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานอย่างช้าๆ
บนเนินเขามีลมพัดแรง และกั๋วซือหรงก็สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น
“หนาวรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ไม่หนาว” เธอตอบ
หวังเย้าถอดเสื้อคลุมของเขาออกและคลุมไปบนร่างของเธอ เขาเหลือแค่เสื้อตัวบางแค่ตัวเดียวเท่านั้น
“จะทำแบบนี้ได้ยังไงกัน? เดี๋ยวนายก็เป็นหวัดหรอก” กั๋วซือหรงพูด
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “จะหน้าร้อนหรือหน้าหนาว ก็ทำอะไรผมไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”
กั๋วซือหรงมองดูเขาอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าเขาสบายดี เธอก็ไม่ปฏิเสธเสื้อคลุมของเขาอีก เสื้อคลุมช่วยป้องกันลมหนาวให้กับเธอได้เป็นอย่างดี และมันทำให้เธอรู้สึกอุ่นขึ้นมาก
เนินเขาหนานชานตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ มันเป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจี
“ฤดูนี้มันก็ยังเขียวอยู่เหรอเนี่ย?” กั๋วซือหรงรู้สึกแปลกใจ
“ใช่” หวังเย้าพูด “จะขึ้นไปดูข้างบนหน่อยไหม?”
ในตอนที่พวกเขาเดินขึ้นไปจากตีนเขานั้น ยิ่งเดินขึ้นไปไกลมากเท่าไหร่ กั๋วซือหรงก็ยิ่งรู้สึกอุ่นขึ้นมากเท่านั้น จากนั้น เธอก็ไม่ต้องพึ่งพาเสื้อคลุมของหวังเย้าอีกต่อไป
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?” เธอถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เนินเขาลูกนี้ต่างจากลูกอื่นๆน่ะ” หวังเย้าพูด
พวกเขายืนอยู่ตรงไหล่เขา แล้วอยู่ๆ กั๋วซือหรงก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นรัว ราวกับไม่สามารถหายใจได้ มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า มีอะไรบางอย่างมาบีบคอของเธอเอาไว้ แล้วเธอก็เริ่มมีอาการมึนหัว
“จิบนี่สักหน่อยนะ” หวังเย้าหยิบยาออกมาขวดหนึ่ง หลังจากที่เธอดื่มยาเข้าไปแล้ว ความรู้สึกอึดอัดทั้งหลายก็จางหายไป
“นี่มันอะไรกันน่ะ?” เธอเคยขึ้นมาบนนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเกิดความรู้สึกแบบนี้
“สมุนไพรในแปลงปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวของมันออกมาน่ะ แล้วมันก็มีผลกับคนที่สูดดมมันเข้าไปด้วย” หวังเย้าพูด
สมุนไพรที่หวังเย้าพูดถึงก็คือ เซียนชิวหลัว ซึ่งเป็นสมุนไพรที่เขาปลูกเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้ที่แห่งนี้ มันเป็นสมุนไพรรากที่มีสรรพคุณหลากหลาย แต่มันก็ยังเป็นสมุนไพรที่มีพิษอีกด้วย กลิ่นที่มันปล่อยออกมานั้นส่งผลโดยตรงต่อร่างกายของมนุษย์ วิธีป้องกันนั้นง่ายมาก เพียงแค่นำใบของมันมาต้มและดื่มมันเข้าไป เมื่อดื่มเข้าไปครั้งหนึ่ง ร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันกลิ่นของสมุนไพรชนิดนี้ได้ระยะเวลาหนึ่ง
ต้นไม้ที่อยู่โดยรอบยังคงส่ายไปมาไม่หยุด เมื่อมองดูต้นไม้เหล่านี้ ก็อาจจะเกิดอาการเวียนศีรษะได้ หลังจากนั้นสักพัก ก็จะไม่สามารถยืนได้มั่นคงและรู้สึกราวกับโลกหมุน
“นี่มัน?” กั๋วซือหรงรีบหลับตาลงทันที เธอรู้จักค่ายกลและรู้ถึงอานุภาพของมันดี ครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่นี่ เธอจำได้ว่ามันไม่ได้รุนแรงถึงขนาดนี้ แต่ตอนนี้มันกลับรุนแรงขึ้นมาก
“ก้มหัวลงมองแต่ทางเดิน แล้วตามผมมา” หวังเย้าพูด
หวังเย้าเดินนำอยู่ด้านหน้า ส่วนกั๋วซือหรงก็ก้มศีรษะและเดินตามเขาไป หลังจากนั้นไม่นาน ภาพตรงหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ภาพของแปลงสมุนไพรชัดเจนขึ้น เธอมองเห็นสมุนไพรมากมายที่เธอไม่รู้จักชื่อของพวกมัน มีอ่างเก็บน้ำที่ใสสะอาดอยู่ไม่ไกลจากแปลงกสมุนไพร มันมีขนาดเล็กมาก และยังมีพืชแปลกๆเติบโตที่ใกล้กับน้ำด้วย แล้วกระท่อมหลังเล็กก็ยังคงตั้งอยู่ที่จุดเดิมของมัน
ลมหนาวพัดอยู่ด้านนอก แต่ด้านในนี้กลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาถึงด้านใน สุนัขที่ตัวโตราวกับลูกวัวก็ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าของพวกเขา มันหรี่ตามองไปที่กั๋วซือหรง
“โอ้ นั่นซานเซียนเหรอ?” กั๋วซือหรงพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “ซานเซียน ที่นี่คุณหนูกั๋ว เธอเคยมาที่นี่แล้ว นายจำเธอได้ไหม?”
โฮ่ง!โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกมา จากนั้น มันก็สูดดมกลิ่นและจ้องมองเธออยู่พักหนึ่ง
“นายไม่ต้องจ้องเธอขนาดนั้นก็ได้ ฉันดูแลเธอเอง” หวังเย้าพูด แล้วซานเซียนก็เดินออกไป หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเย้า
“สุนัขตัวนั้นสุดยอดไปเลยนะ แล้วมันก็ตัวใหญ่อย่างกับสุนัขพันธุ์ทิเบตันเลย นายทำแบบนั้นได้ยังไงเหรอ?” กั๋วซือหรงถามด้วยอาการตกตะลึง ไม่ต่างจากตอนที่เธอได้เห็นภาพของแปลงสมุนไพรเมื่อเธอได้เข้ามาด้านในนี้เลย
“พระเจ้าเป็นคนบอกวิธีกับผมน่ะ” หวังเย้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้ามีแดดจ้าและฟ้าโปร่ง
กั๋วซือหรงยิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่าเขามีความสามารถมากขนาดไหน มันก็ทำให้เธอคิดได้ว่า บางทีพระเจ้าอาจจะเป็นคนบอกเขาจริงๆก็ได้
“เข้ามาดื่มชาข้างในก่อนสิ” หวังเย้าพูด
มันเป็นชาที่หวังเย้าปลูกเองบนเนินเขาหนานชาน หวังเย้ายังคงเหลืออยู่ถึงครึ่งกระปุก หากนำไปเทียบกับชาที่เพื่อนๆของเขานำมาให้แล้ว เขารู้สึกชื่นชอบชาที่ตัวเองปลูกมากกว่า และมันก็ยังมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของมันอีกด้วย มันเป็นชาที่แตกต่างไปจากชาชนิดอื่น เพราะมันถูกบำรุงด้วยน้ำแร่โบราณอยู่เป็นประจำ
“อื้ม มันรสชาติดีมากเลย มันยังรสชาติดีกว่าชาที่ดื่มในคลินิกซะอีก” กั๋วซือหรงพูด
เมื่อมองออกไปที่ด้านนอกแปลงสมุนไพร ก็จะเห็นป่าไม้ตั้งอยู่ไม่ไกล มีภูเขาและท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ กั๋วซือหรงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของตนเองที่ดูผ่อนคลายขึ้นมาก เธอลืมเรื่องราวปัญหาต่างๆไปชั่วครู่
“มันดีจริงๆที่ได้อยู่ที่นี่” เธอพูดออกมา
“มันดีมากจริงๆ” หวังเย้าพูด
เขาชอบที่จะชงชา อ่านหนังสือสักเล่ม หรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นดูท้องฟ้าด้านนอก คิดเรื่องราวต่างๆหรือไม่คิดอะไรเลย และเหม่อมองดูท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น
ในเวลานี้ เขาแทบจะไม่มีเวลาได้ทำแบบนั้นเลย เขามีคนไข้ที่ต้องรักษา และทำให้เขายุ่งกว่าเดิม มันเป็นสถานการณ์ที่แย่กว่าแต่ก่อนมาก
“นายต้องการผู้ช่วยไหม?” กั๋วซือหรงถาม
“หา?” หวังเย้าอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็มองไปที่กั๋วซือหรง “ผมได้ยินผิดไปรึเปล่า?”
“ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง” กั๋วซือหรงพูด แต่ในเวลานั้น เธอคิดจริงๆว่าอยากจะมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้สักหลังหนึ่ง แค่เธอได้ขึ้นมาบนนี้บ่อยๆและเดินเล่นอยู่ในแปลงสมุนไพร มันก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว แต่เธอก็รู้ดีว่า มันเป็นได้แค่ความฝันที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เธอไม่สามารถไล่ตามความฝันของตนเองได้ เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ผมว่าคุณดูเหนื่อยมากเลยนะ จิตใจของคุณกำลังเหนื่อยล้า” หวังเย้าเทชาให้กับเธอ
“อืม ช่วงนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากเลย” กั๋วซือหรงพูด
“คุณน่าจะหาอะไรทำ ที่มันจะทำให้คุณมีความสุขได้นะ” หวังเย้าพูด
“ความสุขเหรอ?” กั๋วซือหรงฟังคำๆนี้แล้ว เธอก็หันออกไปมองนอกหน้าต่าง อะไรที่จะทำให้ฉันมีความสุขได้ล่ะ?
เธออาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เธอคุ้นเคย ครอบครัวที่คอยดูแลเธอ เธอทำธุรกิจ หมั้นหมายตามที่ครอบครัวจัดการให้ และทำทุกอย่างเพื่อตระกูลของเธอ นี่คือสาระสำคัญทั้งหมดในชีวิตของเธอ มันคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ เธอใช้หัวใจ, ความสามารถและความตั้งใจทั้งหมดไปกับมัน มันทำให้เธอได้รับความพึงพอใจจากคนในตระกูลและผู้อาวุโสคนอื่นๆ แล้วเธอก็ค่อยๆแบกรับภาระเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่สามารถทำตามความต้องการของหัวใจได้อีก และตอนนี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการอะไร
“นายอาจจะหัวเราะฉันก็ได้ แต่ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรที่จะทำให้ฉันมีความสุขได้” กั๋วซือหรงพูด
อยู่ๆเธอก็ค้นพบว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเธอไม่ใช่ชีวิตที่เธอต้องการจะเป็น แต่มันเป็นเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเธออยู่ต่างหาก แต่แล้วยังไงล่ะ? เธอไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ หรือแม้กระทั่งเลือกทางเดินในชีวิตของตัวเอง เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้ชายมักจะมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิงอยู่เสมอ และตระกูลของเธอก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ความจริงแล้ว มันมากกว่าครอบครัวทั่วๆไปด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น ในตระกูลของเธอนั้น ทรัพยากรส่วนใหญ่ของตระกูลจะถูกส่งต่อให้กับน้องชายของเธอเอง เพราะผู้หญิงคือผู้ที่จะต้องแต่งออกไปอยู่กับตระกูลอื่น
กั๋วซือหรงรักน้องชายของเธอมาก เธอทำเพื่อเขาไปมากมาย เพราะเธอคิดว่า มันคือหน้าที่ของพี่สาวคนโตอย่างเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถเสียสละทุกอย่างในชีวิตของเธอเพื่อเขาได้ จริงไหม?
ผ่านไปเพียงแค่ครู่เดียว เธอกลับคิดอะไรได้มากมาย เธอเหม่อมองท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าต่าง หวังเย้าไม่คิดที่จะรบกวนความคิดของเธอ
“โอ้ โทษที ฉันลืมตัวไปหน่อย” กั๋วซือหรงพูด
“ไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด
“ฉันมารบกวนนายนานแล้ว” กั๋วซือหรงพูด “ฉันควรจะกลับได้แล้วล่ะนะ” เธอรู้สึกว่าเขาคือเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เธอรู้สึกสบายเมื่อได้อยู่กับเขา
“จะไปไหนเหรอ?” หวังเย้าเผลอถามออกมา
“เอ่อ ฉันก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน แค่อยากจะไปรอบๆเพื่อพักผ่อนเท่านั้น” หวังเย้าพูด
พวกเขาเดินลงไปจากเนินเขา แล้วกั๋วซือหรงก็ขับรถปอร์เช่ของเธอออกไปจากคลินิก
“แล้วเจอกัน! คิดหาอะไรทำที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขให้ได้ล่ะ” หวังเย้าพูด
“แล้วเจอกัน” กั๋วซือหรงค่อยๆขับรถออกไปจากหมู่บ้าน
เธอมองดูชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ข้างถนน และภาพของภูเขาที่ตั้งอยู่ไกลออกไปผ่านทางกระจกมองหลัง มันเป็นชีวิตไร้กังวลที่น่าอิจฉาสำหรับเธอ
เมื่อถึงทางแยก เธอก็พบเข้ากับรถสองคันที่ขับสวนมา เพราะถนนในหมู่บ้านนั้นคับแคบ รถจึงสามารถขับผ่านได้ทีละคันเท่านั้น เมื่อรถทั้งสองขับเข้ามา กั๋วซือหรงจึงหยุดรถและขับชิดข้างทาง เพื่อให้รถสองคันไปก่อน
เอ๋? เมื่อเห็นป้ายทะเบียน เธอก็รู้สึกงุนงง พวกเขามาจากปักกิ่ง และเธอรู้สึกตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าใครที่นั่งข้างคนขับอยู่ภายในรถคันที่สอง
เฉินหยิง? ทำไมเธอถึงได้มาที่นี่กันล่ะ? แล้วเธอยังนั่งข้างคนขับอีก? แล้วยังมีใครที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นอีก?
กั๋วซือหรงเหลือบมองดูที่นั่งตอนหลังของรถคันที่สอง เธอสามารถมองเห็นเงาร่างหนึ่งผ่านกระจกทึบ คงไม่ใช่เธอหรอกนะ?
เธอไม่ได้ลดกระจกลงหรือทักทายพวกเขา เธอเพียงแค่มองดูรถทั้งสองคันขับตรงไปทางทิศใต้ของหมู่บ้านผ่านทางกระจกมองหลัง
“คุณคะ ดูเหมือนว่าจะเป็นรถของคุณหนูกั๋วนะคะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูด
“พี่ซือหรงเหรอ?” เฉินหยิงถาม
“ค่ะ” เธอพูด “เธอมาที่นี่ทำไมกัน?”
“บางทีเธออาจจะมาหาหมอหวังก็ได้” เฉินหยิงพูด
รถหยุดลงเมื่อขับไปถึงใต้สุดของหมู่บ้าน
เฉินหยิงเดินลงมาจากตัวรถและเดินเข้าไปในคลินิก หวังเย้าที่เพิ่งลงมาจากเนินเขาหนานชาน ได้เลือกตำราแพทย์เล่มหนึ่งมาอ่าน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เอ๋ ทำไมพี่ถึงได้มาที่นี่ล่ะครับ?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นเฉินหยิง เขาคิดกับตัวเอง วันนี้มันเป็นวันอะไรกัน? ทำไมถึงได้มีแต่แขกที่นานๆทีจะมาหา มาพร้อมกันแบบนี้ได้ล่ะ?
“สวัสดีค่ะ เชียนเชิง” เฉินหยิงพูด
“สวัสดีครับ เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
“ตอนนี้ คุณว่างอยู่รึเปล่าคะ?” เฉินหยิงถามด้วยรอยยิ้ม เธอรู้สึกยินดีและมีความสุขเมื่อได้พบกับหวังเย้าอีกครั้ง
“ว่างครับ แล้วทำไมพี่ถึงได้ทำตัวเป็นการเป็นงานขนาดนั้นล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“คุณผู้หญิงซงกับคุณหนูซูรออยู่ข้างนอกค่ะ” เฉินหยิงพูด
“พวกเขาก็มาที่นี่ด้วยเหรอ? ซูเสี่ยวซวีก็ด้วย?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“งั้นก็รีบพาพวกเขาเข้ามาเลยครับ” หวังเย้าพูด
“ที่นี่คือคลินิกของเขาเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีที่นั่งอยู่ภายในตัวรถ กำลังมองดูกำแพงบ้านสีขาวและหลังคาสีดำผ่านทางหน้าต่างรถ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของทางใต้ของจีน
513 พระสงฆ์ในวัดบนภูเขา
รูปแบบของตัวอาคารนั้นหาได้ยากในทางตอนเหนือของประเทศจีน แล้วยังมาตั้งอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแบบนี้อีก ทั้งยังดูงดงามราวกับเทพนิยายอีกด้วย
“มันต้องเป็นงานออกแบบของระดับอาจารย์แน่นอน” ซงรุ่ยปิงพูด
“ไปกันเถอะ เราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ถึงด้านในจะมีสีเขียวให้เห็นอยู่บ้าง ความหนาวเย็นก็ยังคงอยู่ แต่ก็สามารถมองเห็นความงดงามของตัวอาคารได้ชัดเจน
“รูปแบบของอาคารดูพิเศษมากจริงๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“สวัสดีครับ คุณซง สวัสดีครับ คุณหนูซู” หวังเย้าทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” ซงรุ่ยปิงทักตอบ
“สวัสดีค่ะ เซียนเชิง” ซูเสี่ยวซวีทัก
“เชิญเข้ามานั่งข้างในกันก่อนสิครับ ข้างนอกมันหนาว” หวังเย้าพูด
เครื่องปรับอากาศถูกเปิดเพื่อสร้างความอบอุ่นภายในห้อง เฟอร์นิเจอมีให้เห็นอยู่แค่ไม่กี่ชิ้น ซึ่งต่างไปจากความงดงามของตัวอาคารและสวนที่อยู่ด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
“เชิญดื่มชาครับ” หวังเย้าพูด ชาในถ้วยส่งกลิ่นหอมเข้มออกมา
“ครั้งนี้ อยู่ๆฉันก็มาที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกคุณเอาไว้ก่อน” ซงรุ่ยปิงพูด “ยกโทษให้ดิฉันด้วยนะคะ หมอหวัง”
“ไม่เป็นไรเลยครับ” หวังเย้าพูด “ไปปักกิ่งครั้งก่อน ผมเคยรับปากเอาไว้ว่าจะรีบไปหาพวกคุณให้เร็วที่สุด แต่ผมก็ยังติดปัญหาของทางนี้เสร็จสักที”
หวังเย้ามองดูซูเสี่ยวซวีด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูซู คุณดูแข็งแรงขึ้นมากเลยนะครับ”
จากนั้น เขาก็เริ่มใช้ขั้นตอนการวินิจฉัยตรวจดูเธอด้วยสายตา ใบหน้าของเธอมีสีแดงอย่างคนสุขภาพดี และดวงตาก็กระจ่างใสมีชีวิตชีวา รวมถึงการหายใจที่คงที่และเต็มไปด้วยพลัง
เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอ มันเป็นกลิ่นหอมที่คล้ายกับกลิ่นของดอกกล้วยไม้ มันสามารถบอกได้ว่า ร่างกายของเธอในตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากการเดินเท่านั้น
“เซียนเชิง คุณเรียกฉันว่า เสี่ยวซวี ก็ได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอกับผู้ชายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอคนนี้
“หมอหวังคะ คุณช่วยตรวจดูเธอหน่อยจะได้ไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
หวังเย้าตรวจดูร่างกายของเธออย่างละเอียด ซึ่งเป็นการตรวจที่เขาเคยทำมาก่อน
“การฟื้นตัวของคุณดีมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “ตอนนี้ ปัญหาเดียวที่เธอก็คือการเคลื่อนไหวและการประสานงานของส่วนต่างๆในร่างกาย นอกนั้น เธอถือว่าดีหมดครับ”
ซูเสี่ยวซวีนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงมาก ยกเว้นแค่เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนคนปกติทั่น้น แล้วเธอยังแข็งแรงกว่าคนปกติด้วยซ้ำ การฟื้นตัวของเธอไม่ต่างจากผีเสื้อที่โผล่พ้นออกมาจากรังไหม หรือต้นไม้ตายที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เห็นได้ว่า เธอกำลังได้รับการชดเชยจากสวรรค์หลังจากที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานาน
“จริงเหรอคะ?” ซงรุ่ยปิงได้ยินคำวินิจฉัยแบบนี้มาจากหมอเฉินแล้วที่ปักกิ่ง แล้วตอนนี้ เธอได้ยินมันจากหวังเย้าอีกครั้ง ซึ่งเขาคือคนที่เธอให้ความเชื่อถือมากกว่า เธอจึงรู้สึกยินดีอย่างมาก และสามารถปล่อยวางความกังวลทั้งหมดลงได้แล้ว
“ขอบคุณนะคะ หมอหวัง” ซงรุ่ยปิงพูด
“ชมเกินไปแล้วครับ เป็นเพราะพระเจ้าอวยพรเสี่ยวซวีต่างหากล่ะครับ” หวังเย้าตอบ
มันคงจะเป็นเพราะพระเจ้าไม่ต้องการเห็นเด็กสาวที่น่ารักงดงามและเข้มแข็งแบบเธอ ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป ดังนั้น พระองค์จึงได้ส่งหวังเย้ามาเพื่อรักษาเธอ
อีกไม่นานเธอก็จะหายดี ภายในร่างกายของเธอยังมีพลังฉีไหลเวียนอยู่อีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างมาก เพราะในอนาคต สิ่งนี้จะส่งผลดีต่อร่างกายของเธออย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น ต้องขอโทษที่มารบกวนคุณหมอนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ไม่รบกวนเลยครับ” หวังเย้าพูด การตรวจซูเสี่ยวซวีไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไรเลย
“หมอหวังคะ ในเมื่อเราเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว เราก็อยากจะไปเที่ยวห่ายชิวสักหน่อย คุณพอจะมีที่ไหนแนะนำบ้างไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เที่ยวในห่ายชิวเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกงุนงงเล็กน้อย
จุดเด่นของห่ายชิวก็คือการที่ตั้งอยู่ติดกับทะเล ในช่วงหน้าหนาว ลมทะเลจะพัดค่อนข้างแรง ในเหลียนชานมีภูเขาอยู่สองลูก แต่ด้านบนก็มีลมเย็นพัดแรง และไม่มีอะไรให้ดู หวังเย้าจึงคิดไม่ออกเลยว่า มีสถานที่ไหนที่พอจะแนะนำให้สองแม่ลูกคู่นี้ไปเที่ยวได้บ้าง
“คุณซงครับ ในฤดูกาลนี้ แมบจะไม่มีที่ให้เที่ยวในห่ายชิวเลยครับ” หวังเย้าพูด เขาไม่อยากทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง แต่เขาก็คิดหาสถานที่ที่พวกเขาสามาถไปเที่ยวไม่ได้จริงๆ
ซงรุ่ยปิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ส่วนซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเย้า
ไม่มีใครคิดว่าหวังเย้าจะตอบกลับมาแบบนี้ ความจริงแล้ว ซงรุ่ยปิงแค่ต้องการให้หวังเย้าแสดงความเป็นเจ้าบ้าน และพาพวกเธอไปเที่ยวรอบๆก็เท่านั้น
“อ่อ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอพูด
เธอเข้าใจว่า มันอาจจะไม่ใช่เพราะหวังเย้าไม่อยากจะพาพวกเธอไปเที่ยว แต่เป็นเพราะเมืองในหุบเขาแห่งนี้ค่อนข้างเล็ก แล้วในฤดูหนาวแบบนี้ พวกเธอจะสามารถไปเที่ยวที่ไหนกันได้?
“พวกคุณไม่ได้รีบกลับกันใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
หวังเย้าคิดอย่างละเอียด เขารู้ว่ามีภูเขาอยู่แค่สองลูกเท่านั้นที่พอจะไปเที่ยวได้ และยังมีวัดตั้งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งอีกด้วย “เอ่อ มันมีภูเขาอยู่สองลูกที่ค่อนข้างพิเศษอยู่ ผมสามารถพาพวกคุณไปได้นะครับ ถ้าพวกคุณสนใจ”
“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนพวกคุณแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้าขับรถอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทางพวกเขาไป โดยที่มีรถอีกสองคันตามมาด้านหลัง
“เอ๋?” ซุนหยุนเชิงเดินออกมาจากตัวบ้าน และทันได้เห็นรถป้ายทะเบียนปักกิ่งทั้งสองคันเข้าพอดี “แขกจากปักกิ่งเหรอ?”
เขาถือเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แค่มองครั้งเดียว เขาก็สามารถความแตกต่างของป้ายทะเบียนรถทั้งสองคันได้ในทันที ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาก็ตามที
“พวกเขาเป็นแขกพิเศษเหรอ?”
ภูเขาจิ่วเหลียนไม่ได้สูงมากนัก มันดูเงียบสงบและงดงามในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ หรือแม้แต่ฤดูใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้คือฤดูหนาว ที่นี่จึงมีคนอยู่ไม่มากนัก และอากาศที่ด้านบนก็หนาวมากด้วย
“เสี่ยวซวี ลูกหนาวไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หนาวค่ะ” ความจริงแล้ว ใบหน้าของเธอแดงก่ำเพราะอากาศที่เย็นจัด แต่เธอกลับมีความสุขอย่างมาก
“เด็กโง่นี่!” ซงรุ่ยปิงรู้สึกเป็นห่วงสภาพร่างกายของลูกสาว
เธอยังคงไม่สามารถเดินได้อย่างอิสระ ดังนั้น เธอจึงต้องนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีเฉินหยิงเป็นคนเข็นให้
ถนนบนเขาถูกสร้างเอาไว้ค่อนข้างดี ด้านบนนั้น การเดินไปบนทางเดินที่ราดด้วยซีเมนต์ไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนัก บางจุดก็ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งรถเข็นอีกด้วย แต่ซูเสี่ยวซวีก็ยังคงมีความสุขกับการเที่ยวในครั้งนี้ ไม่ต่างไปจากนกน้อยที่หลุดออกมาจากกรงทอง เธอมองดูรอบๆและคอยถามคำถามหวังเย้าเป็นครั้งคราว ท่าทีสดใสร่าเริงของเธอยังส่งผลต่อคนรอบข้างอีกด้วย
“บนเขามีวัดอยู่ด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีมองดูวัดที่ตั้งอยู่บนเขาด้วยความสงสัย
“มันชื่อว่า วัดกวงหมิง” หวังเย้าตอบ มันเป็นวัดที่มีชื่อที่ดูธรรมดาอย่างมาก
“มันเป็นวัดในสมัยโบราณเหรอคะ?” เธอถาม
“เคยเป็นน่ะ แต่ตอนนี้มันพังไปแล้ว” หวังเย้าพูด
พูดกันว่า วัดแห่งนั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง หรืออาจจะก่อนหน้านั้นก็ได้ หลังจากประเทศถูกก่อตั้งขึ้นมา วัดแห่งนี้ก็ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจเกิดจากการก่อสร้างที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของตัววัด
“จริงเหรอคะ? น่าเสียดายจังเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“จะลองไปดูหน่อยไหม?” หวังเย้าถาม
พวกเขาเดินขึ้นไปตามขั้นบันได แต่มันเป็นปัญหาสำหรับซูเสี่ยวซวีเล็กน้อย เฉินหยิงจึงต้องเป็นคนอุ้มเธอขึ้นไป
“นั่งดีดีนะครับ” หวังเย้ายกรถเข็นของเธอขึ้นมาด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย และแบกเอาไว้บนหลังของเขา
“คุณแข็งแรงจัง!” ซูเสี่ยวซวีอุทานออกมา
เฉินหยิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก เพราะเธอเคยเห็นพละกำลังที่เหลือล้นของเขาที่กำแพงเมืองจีนมาแล้ว
ตัววัดยังคงดูใหม่อยู่ สามารถเดาได้ว่า วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เอง มันไม่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์อยู่เลย และทำให้คนที่ขึ้นมาดูหมดความสนใจ วัดแห่งนี้ยังมีพระสงฆ์อาศัยอยู่ด้วย
“โยมจะขึ้นไปไหว้พระบนเขาเหรอ?” พระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา หลังจากที่เห็นว่าพวกเขากำลังเดินไปที่วัด เขาก็ยิ้มออกมา มันเป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาเยี่ยมเยือนวัดในช่วงเวลานี้ของปี
“สวัสดีครับ” หวังเย้ายิ้มและมองดูพระสงฆ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
“เนื้อหมาอร่อยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อะไรนะ?” ทั้งพระสงฆ์ ซงรุ่ยปิง ซูเสี่ยวซวี และเฉินหยิงต่างก็พากันตกใจ
จากนั้น เฉินหยิงก็ยิ้มออกมา เธอดูเหมือนจะคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์แบบนี้
“อาตมาไม่เข้าใจว่าโยมหมายถึงอะไร” พระสงฆ์พูด “อาตมาละแล้วซึ่งกิเลสของทางโลก”
“โอ้ เยี่ยมไปเลยครับ!” หวังเย้ายิ้ม “เราคงไม่จุดธูป เราแค่อยากจะมาดูรอบๆและไหว้พระเท่านั้น”
“ดี เชิญ” พระสงฆ์พูด
เขามองดูซูเสี่ยวซวีและเฉินหยิงด้วยสายตาที่ต่างไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่พวกเธอเป็นพิเศษ พระสงฆ์ที่อาศัยอยู่บนเขานั้นยากที่จะได้พบเห็นหญิงสาว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวๆสวยๆเลย
“เป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ” เขาเผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “หนึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและกล้าหาญ อีกหนึ่งนั้นงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์”
“ฉันสวยใช่ไหมคะ?” น้ำเสียงสดใสราวกับนกขมิ้นพูดขึ้นมา
“หา?” พระสงฆ์ตกใจ
ซูเสี่ยวซวีหัวเราะคิกคัก
“ดูทำเข้าสิ!” ซงรุ่ยปิงหัวเราะและถลึงตาใส่ซูเสี่ยวซวี
“ทุกท่านเชิญตามสบาย” พระสงฆ์พูดด้วยความโมโห
“เซียนเชิง เขากินเนื้อหมาจริงเหรอคะ?” หลังจากที่พระสงฆ์ปลีกตัวออกไป ซูเสี่ยวซวีก็ถามขึ้นมา
“ใช่ เขากินมัน แล้วก็กินเข้าไปเยอะซะด้วย” หวังเย้าพูด
พระสงฆ์รู้สึกโมโหจนตัวสั่น
514 ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ
“การกินเนื้อหมาในหน้าหนาวดีต่อร่างกายมากนะ ขนาดพระเจ้าก็ยังไม่สามารถต้านทานรสชาติของมันได้ แล้วเขาก็กินฮอทพอทเนื้อหมาด้วย” หวังเย้าพูดด้วยความมั่นใจ
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ พระสงฆ์ไม่ได้รับอนุญาตให้กินเนื้อไม่ใช่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม ถึงแม้ว่าเธอจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตามที
“เธอก็ลองถามพวกเขาดูสิ” หวังเย้าพูด
“โยม ตอนนี้พวกโยมกำลังอยู่ภายในวัด โปรดสำรวมวาจาด้วย” พระสงฆ์หันหน้ากลับมาพูดกับพวกเขา
“พระท่านไม่พอใจแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้มซุกซน
“ท่านกินเนื้อหมาไป อร่อยไหมครับ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของพระสงฆ์เต็มไปด้วยความโกรธ
ซูเสี่ยวซวีหัวเราะออกมา ตอนนี้เธออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” พระสงฆ์ที่ดูมีอายุมากกว่าและอ้วนกว่ารูปหนึ่งเดินเข้ามาหา
“เซียนเชิง เขาก็กินเนื้อหมาด้วยรึเปล่าคะ?” ซูเสี่ยวซวีมองหน้าหวังเย้าและถามขึ้นมา
ซงรุ่ยปิงและเฉินหยิงยืนอยู่ข้างๆ และมองดูพวกเขากลั่นแหล้งพระสงฆ์เหล่านั้น
“อืม เขากิน” หลังจากสังเกตดูพระสงฆ์อีกรูปแล้ว เขาก็พูดออกมา
“ท่านคะ เนื้อหมาอร่อยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูดกับพระอีกรูป
“หมา…” พระสงฆ์ร่างท้วมมองดูซูเสี่ยวซวี เขารู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าสวรรค์ถึงได้พูดออกมาโดยไม่คิดแบบนี้
“อามุตาพุทธ โยมคงล้อเล่นแล้ว ที่นี่คือวัด จะมีเนื้อหมาได้ยังไงกัน?” พระสงฆ์ร่างท้วมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้เขาดูสูงส่งขึ้นมาทันที
“ฉันคิดว่าพระจะไม่โกหกซะอีก” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อาตมาพูดความจริง” พระสงฆ์พูด
“เราเลิกพูดเรื่องเนื้อหมากันดีกว่า ไปเดินดูรอบๆกันเถอะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม การพูดกับพระสงฆ์ทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องเนื้อหมาต่อไปไม่ได้ทำให้เกิดประโยนช์อะไรขึ้นมา
“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
พระสงฆ์ทั้งสองจึงเดินจากไป
หวังเย้าและอีกสามคนได้เดินเข้าไปภายในโบสถ์ รูปปั้นของม่าจ้อโป๋(เทวีแห่งท้องทะเล)ตั้งอยู่เพื่อให้ผู้คนเข้ามาสักการะ ในเมื่อพวกเขาได้เข้ามาด้านในนี้แล้ว พวกเขาจึงทำการสักการะรูปปั้น
พวกเขาคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้นและคำนับ หวังเย้ามองสังเกตดูรูปปั้นที่ดูมีเมตตาอย่างละเอียด องค์เทวีท่านรู้รึเปล่านะ ว่าพระสงฆ์ของท่านดื่มเหล้าและกินเนื้อหมาด้วย? หวังเย้าคิดอยู่ภายในใจ จากนั้นเขาก็พนมมือและก้มศีรษะลงตรงหน้ารูปปั้น
“เราเดินไปดูเนินเขาที่อยู่ข้างหลังกันไหม?” หวังเย้าเสนอ
บนเนินเขามีรูปปั้นของพระพุทธเจ้าตั้งเด่นอยู่ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ได้มีประวัติยาวนาน แต่ตัวรูปปั้นกลับมีความขลังแฝงอยู่ หวังเย้าคิดว่ามันจะต้องเป็นรูปปั้นที่ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์สักคนหนึ่งอย่างแน่นอน
“หิมะตกแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างยินดี
เกล็ดหิมะลอยปลิวอยู่ในอากาศ
“มีตึกหนึ่งอยู่บนเนินเขานั่นด้วยใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีชี้ไปที่ยอดเขา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก และเธอก็สามารถมองเห็นมุมหนึ่งของตัวตึกได้
“ใช่ แต่มันเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นได้ไม่นานนี้เอง เธออยากจะไปดูไหม?” หวังเย้าถาม
“อยากค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ทางเดินเป็นขั้นบันไดหลายขั้น ทั้งยังไกลและชันด้วย
“คุณเหนื่อยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่หรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูเสี่ยวซวีไม่ได้หนักมากนัก ถึงเขาจะแบกวัวขึ้นมาทั้งตัว เขาก็ไม่ได้รู้สึกหนักอะไรมาก
ขั้นบันไดเหล่านั้นไม่ได้ไกลสำหรับหวังเย้าเลย ไม่นานพวกเขาก็เดินขึ้นมาถึงยอดเขา มันเป็นเนินเขาเล็กๆที่มีพื้นดินขรุขระ และด้านบนนี้ก็ยังมีบ้านหลังเล็กๆตั้งอยู่หลังหนึ่ง ตัวบ้านนั้นดูใหม่และน่าอยู่
“มีแค่นี้เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
เมื่อได้มาเห็นแล้ว เธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่นาน เธอก็พบว่าเมื่อมายืนอยู่บนยอดเขาแบบนี้แล้ว มันทำให้เธอได้เห็นภาพวิวทิวทัศน์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ซึ่งเป็นภาพที่น่ามองอย่างมาก
“ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ปักกิ่งเลย” ซงรุ่ยปิงพูด
เธอไม่ค่อยได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนสถานที่เล็กๆแบบเหลียนชานนัก เธอมองดูรอบๆ ทั้งหมดที่เธอเห็นก็มีแค่ภูเขาลูกเล็กๆตั้งอยู่โดยรอบ แต่ที่ปักกิ่ง เธอสามารถมองเห็นได้แค่ตึกรามบ้านช่องเท่านั้น เนินเขาเหล่านี้อาจไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับตึกสูง และเหลียนชานก็ไม่ใช่เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เหมือนอย่างที่ปักกิ่ง แต่มันกลับมีความพิเศษในตัวมันเอง
มันคล้ายกับคนที่ได้กินอาหารที่บ้าน หลังจากที่กินข้าวข้างนอกบ่อยเกินไป
ระหว่างทางกลับ หวังเย้าเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังแอบเดินไปด้านหลังเขา พร้อมกับถือห่อบางอย่างเอาไว้ในมือ
“เขากำลังอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความสงสัย
“ทำลายหลักฐานน่ะสิ” หวังเย้าตอบ
“หลักฐานอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“หลักฐานที่ว่าพวกเขากินเนื้อหมาน่ะสิ” หวังเย้าพูด เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นเนื้อจากห่อของในมือของพระสงฆ์รูปนั้น “พระพวกนี้ไม่รู้จักยับยั้งกิเลสของตัวเองซะเลย”
พระสงฆ์เหล่านี้อาศัยอยู่บนเขาโดยที่ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ไม่ได้มีผลอะไรต่อพวกเขาเลย พวกเขาควรได้รับโทษ
“พระสงฆ์ที่อยู่บนนี้ไม่มีใครทำตามกฎเลยสักคน” หวังเย้าพูด
เขานึกภาพของพระสงฆ์เหล่านั้นที่กินฮอทพอทเนื้อสุนัข, ดื่มของมึนเมา, และดูหนังโป๋ พวกเขาคงจะมีความสุขกันมาก
ซงรุ่ยปิงไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
ใบหน้าของซูเสี่ยวซวีแกงก่ำเพราะความเย็น แต่เธอก็อยู่ในอารมณ์ที่ดีอย่างมาก เธอไม่ได้รู้สึกมีความสุขมากขนาดนี้มานานมากแล้ว
เธอชอบภูเขา นั่นคือสิ่งที่เธอรู้สึกในเวลานี้
เมื่อพวกเขาเดินลงจากเขา ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
“คุณผู้หญิงคะ ดิฉันจะไปจัดเตรียมที่พักให้คุณผู้หญิงและคุณหนูนะคะ” เฉินหยิงพูด
“อืม” ซงรุ่ยปิงพูด “หมอหวังคะ ขอบคุณที่พาพวกเขาไปเที่ยวนะคะ”
หวังเย้าใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายกับพวกเธอทั้งสามคน
“ด้วยความยินดีครับ” เขาพูด เขาไม่คิดอยู่แล้วว่าจะมีคนไข้มารักษากับเขาในวันนี้อากาศหนาวแบบนี้ แล้วช่วงที่คนเป็นหวัดกันมากๆก็ผ่านไปแล้วด้วย “ได้เดินเที่ยวบ้างก็ดีครับ”
“พรุ่งนี้คุณยุ่งไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามเสียงเบา
“น่าจะไม่ยุ่งนะครับ” หวังเย้าตอบ
“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ระหว่างทางกลับไปที่ห่ายชิว ซูเสี่ยวซวีเอาแต่ยิ้มไปตลอดทาง ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“วันนี้มีความสุขมากไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ดีจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าลูกสาวของเธอมีความสุขมาก ซูเสี่ยวซวีไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว ซงรุ่ยปิงคิดกับตัวเองว่า เธอควรจะพาลูกสาวของเธอออกมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว
“พรุ่งนี้ คุณช่วยพาพวกเราไปเที่ยวที่อื่นจะได้ไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด
ก่อนที่จะบอกลากัน เฉินหยิงก็ได้นำของขวัญไปวางไว้ในรถของหวังเย้า
“เราเอาของฝากมาจากปักกิ่งด้วย มันเป็นแค่ของกินท้องถิ่นเท่านั้น ช่วยรับไว้ด้วยนะคะ” เฉินหยิงพูดพร้อมกับนำของฝากไปวางไว้ภายในรถของหวังเย้า
“ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
“หวังว่าคุณจะชอบนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ไหนๆพวกคุณก็มาเป็นแขกของผมแล้ว ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเย็นทุกคนนะครับ” หวังเย้าพูด
“เอ่อ…” เฉินหยิงไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้เองได้ เธอจึงหันหน้าไปมองซงรุ่ยปิง
“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะ เราหากินเองดีกว่า” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ” หวังเย้าพูด
เมื่อเขากลับไปถึงที่บ้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว และแม่ของเขาก็เตรียมอาหารเย็นพร้อมแล้วด้วย
“ทำไมถึงได้เอาของมาเยอะแยะมากมายแบบนี้ล่ะ?” เมื่อหวังเย้ากลับมาถึงที่บ้านและนำของฝากห่อใหญ่กลับมาด้วย จางซิวหยิงก็ได้ถามเขา “ลูกไปซื้อของมาเหรอจ๊ะ?”
“เปล่าหรอกครับ ผมบอกแม่ไปแล้วนี่ครับว่าผมไปข้างนอกกับเพื่อนน่ะ” หวังเย้าพูด
“แม่เห็นมีคนอยู่สองสามคนอยู่ที่คลินิกของลูก พอเห็นว่าลูกไม่อยู่พวกเขาก็เลยกลับไปกันหมด” จางซิวหยิงพูด
“ครับ ผมแขวนป้ายบอกเอาไว้ก่อนแล้ว” หวังเย้าพูด เวลาที่เขาไม่อยู่ เขาก็มักจะแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตู เพื่อให้คนที่มาหาเขาไม่ต้องมาเสียเวลารอ
“เพื่อนของลูกมาจากปักกิ่งเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ครับ เป็นคนไข้ที่ปักกิ่งที่ผมเคยเล่าให้ฟังไงครับ” หวังเย้าพูด
“เด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเธอแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้แล้วเหรอ?” จางซิวหยิงถาม เธอยังจำเด็กสาวที่ลูกชายของเธอพูดถึงได้ดี เธอรู้ว่าเด็กสาวต้องทรมานกับโรคร้ายมานาน และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย
“ครับ แต่เธอก็ยังเดินไม่ได้ ตอนนี้เธอยังต้องใช่รถเข็นอยู่ครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วอากาศหนาวขนาดนี้ ลูกพาพวกเขาไปที่ไหนกันมาเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“เขาจิ่วเหลียนครับ” หวังเย้าพูด
“ลูกพาพวกเขาขึ้นไปบนนั้นกันเหรอ?” จางซิวหยิงรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“เรากินข้าวกันก่อนดีไหม” หวังเฟิงฮวาที่สูบบุหรี่อยู่พูดขึ้นมา
“เอาสิ กินข้าวกันเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
ในตอนที่หวังเย้ากำลังทานอาหารเย็นอยู่นั้น จางซิวหยิงก็สำรวจดูของต่างๆที่หวังเย้าเอากลับมา
“นี่มันอะไรน่ะ?” จางซิวหยิงถาม หลังจากที่เจอชุดน้ำชาอยู่ในกองอาหารด้วย “ชุดน้ำชาจิ่งไท่หลาน?”
“เป็นของดีของปักกิ่งน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ขอฉันดูหน่อยสิ” หวังเฟิงฮวาหยิบชุดน้ำชาขึ้นมาดู ถ้วยน้ำชาแต่ละใบมีลวดลายที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาล้วนงดงาม หวังเฟิงฮวาดูจะชอบชุดน้ำชาชุดนี้มาก
“พ่อชอบไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม พวกมันสวยมาก” หวังเฟิงฮวาพูดด้วยรอยยิ้ม “มันน่าเสียดายถ้าจะเอาพวกเขามาใส่ชา”
“ชุดน้ำชามีไว้สำหรับใช้ดื่มชาอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
หลังจากที่อยู่คุยกับพ่อแม่ของเขาได้สักพัก เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
ในขณะเดียวกัน ซงรุ่ยปิง ซูเสี่ยวซวี และเฉินหยิงก็ได้เข้าพักที่โรงแรมที่ดีที่สุดในตัวเมืองเหลียนชาน
“คุณผู้หญิงคะ คุณหนูซูหลับไปแล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด
“ดีแล้วล่ะ การเดินทางมาที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วเธอก็เที่ยวตลอดทั้งบ่าย เธอคงจะเหนื่อยมากแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูเสี่ยวซวีนั้นเหนื่อยมาก เมื่อมาถึงที่โรงแรม เธอก็อาบน้ำและทานอาหารง่ายๆ จากนั้น เธอก็เข้านอนในทันที
“พรุ่งนี้ เรามีแผนจะทำอะไรบ้างคะคุณผู้หญิง?” เฉินหยิงถาม
“เราจะไปหาหมอหวังอีกรอบ แล้วก็กลับปักกิ่งกันวันมะรืน” ซงรุ่ยปิงพูด
“รับทราบค่ะ”
หลังจากที่เฉินหยิงออกไปแล้ว ซงรุ่ยปิงก็เดินไปนั่งที่ข้างหน้าต่าง เธอมองดูตัวเมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เธอไม่เคยมาที่เมืองนี้มาก่อน ถ้าหากไม่ใช่เพราะลูกสาวของเธอ เธอก็อาจจะไม่ได้มาเหยียบที่นี่ตลอดทั้งชีวิตของเธอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น