Divine King of All Directions 1450-1453
ตอนที่ 1450
ตราโบราณในมือของอีกฝ่ายนั้นรายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่องประกายแสงออกมา
กลิ่นอายอันทรงพลังได้ไหลทะลักออกมาไม่หยุด
“อาวุธอนันตกาล ? ที่แท้ก็เอาอาวุธระดับนี้ติดตัวมาด้วยนี่เอง ”
จระเข้เบญจธาตุได้หรี่ตาของมันลงเล็กน้อย
เป็นเพราะว่าพลังอำนาจของอาวุธระดับนี้มันทรงพลังอย่างมากถึงขั้นที่แม้ตระกูลหวูจะเป็นตระกูลที่มีเขตแดนนิรันดร์แท้จริงแต่อาวุธระดับนี้ก็ยังเป็นสมบัติที่สำคัญมากๆทำให้ชายชราสองคนนี้ไม่มีทางมีคุณสมบัติพอที่จะถือครองมัน นี่เท่ากับว่านายน้อยตระกูลหวูอย่างหวูซี่เป็นคนให้พวกมัน
หลินเทียนได้หันมองออกไปยังอาวุธในมือของอีกฝ่ายขณะที่ผมสีดำยาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลงด้วยสีหน้าที่ราบเรียบอย่างเคย
“การที่สามารถสังหารหวูเซียนได้แบบนี้ก็แสดงว่าเจ้าแข็งแกร่งไม่ธรรมดาทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธอนันตกาลแล้วเจ้ามันก็มีแค่ตายกับตายเท่านั้น ”
อีกฝ่ายส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ราบเรียบอย่างมาก
หวูเซียนที่เขาพูดถึงนั้นคือมือสังหารคนแรกที่ถูกส่งมา
“จะโทษก็โทษตัวเองที่เข้าใกล้คุณหนูแล้วกัน นายน้อยตระกูลข้าไม่สบอารมณ์กับการคงอยู่ของเจ้า ”
ชายชราอีกคนได้ส่งเสียงออกมาด้วยท่าทางเสมือนว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตัวเอง
มันเป็นตอนนี้เองที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่กลิ่นอายอันทรงพลังกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียน
มันเป็นกลิ่นอายที่หนักหน่วงถึงขั้นที่ปิดกั้นพื้นที่โดยรอบทั้งหมดเอาไว้อย่างสมบูรณ์
“พูดมากจริงๆเลยนะ ”
หลินเทียนได้ตอบกลับไป
เขาทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาพร้อมทั้งเหวี่ยงหมัดกลับไปรับเอาไว้
“ทึ้มม ~! ”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่คลื่นพลังทำลายทั้งสองอัดเข้าใส่กันอย่างจัง
ตู้มมม ~!
ตราโบราณอาวุธอนันตกาลได้สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะถูกกระแทกปลิวออกไปไกลหลายกิโลเมตรและอัดเข้าใส่ภูเขาลูกหนึ่งจนถล่มลงมา
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
ชายชราทั้งสองมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
นั่นน่ะอาวุธอนันตกาลที่ถูกใช้งานด้วยระดับพลังของพวกเขาเลยนะ ต่อให้เป็นเขตแดนนิรันดร์อมตะตอนต้นก็ไม่อยู่ในสายตาของพวกเขาทว่ามันกลับถูกหลินเทียนต่อยปลิวออกไปไกลได้แบบนี้ !
“เจ้า……..”
เมื่อมองออกไปทางหลินเทียนแล้วหัวใจของพวกเขาได้แต่สั่นไหวอย่างรุนแรง
เป็นเพราะตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกหวาดหวั่นไปตามๆกัน
การที่สามารถเหวี่ยงหมัดอัดอาวุธอนันตกาลปลิวออกไปไกลได้แบบนี้นี่มันต้องเป็นพลังที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?
มันทำให้พวกเขารีบสังเวยเอาอาวุธอนันตกาลที่ถูกกระแทกออกไปไกลกลับมาอีกครั้งพร้อมทั้งพุ่งหนีไป
เพราะเพียงแค่การโจมตีเดียวพวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าหลินเทียนนั้นแข็งแกร่งมากๆถึงขั้นที่แม้จะมีอาวุธอยู่ในมือก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขาดังนั้นการอยู่ต่อไปก็มีแต่ตายกับตาย
“หนีกันเร็วจริงๆเลยนะ ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นอายนิรันดร์อมตะตอนกลางขั้นปลายออกมาปิดกั้นพื้นที่โดยรอบทั้งหมดเอาไว้
นี่ทำให้ชายชราทั้งสองได้แต่พากันแสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาพร้อมทั้งรวมพลังอัดเข้าใส่อาวุธอนันตกาลในมือ
พวกเขาไม่ได้ส่งการโจมตีเข้าใส่ทางหลินเทียนแต่อัดเข้าใส่ม่านพลังเพื่อหนีไปจากที่นี่ให้ได้เพราะรู้ดีว่าอาวุธอนันตกาลไม่สามารถทำอันตรายหลินเทียนได้
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบพร้อมทั้งซัดฝ่ามือออกไปเล็กน้อย
ด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกายและระดับพลังของเขาในตอนนี้แล้วทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเขตแดนอนันตกาลตอนต้นถึงขั้นที่ไม่เกรงกลัวอาวุธอนันตกาลเลยแม้แต่น้อย
“บึ้สส ~! ”
ฝ่ามืออันทรงพลังของเขาส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวออกมาพร้อมทั้งกระแทกอาวุธอนันตกาลปลิวออกไปไกล
“เจ้า…..”
ชายชราทั้งสองสั่นไปด้วยความกลัว
หลินเทียนไม่พูดพร่ำทำเพลงพร้อมทั้งส่งคลื่นกระบี่อันทรงพลังทะลวงผ่านหน้าผากของทั้งสองคนเพื่อลบล้างดวงวิญญาณของอีกฝ่ายไปอย่างฉับพลัน
ตึ้กก ~ !
ร่างของชายชราทั้งสองทรุดลงกับพื้นและแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณธรรมดาๆ
“หึหึ ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมทั้งโบกมือส่งพลังอสูรออกไปห่อหุ้มร่างเหล่านั้นเอาไว้โดยทันที
หลินเทียนหันมองออกไปยังตราโบราณที่อยู่ไกลออกไปพร้อมทั้งโบกมือคว้ามันและทำลายตราประทับพลางเก็บกลับเข้าไปภายในร่างของตัวเอง
เป็นเพราะว่าอย่างน้อยๆมันก็เป็นถึงอาวุธอนันตกาลที่มีค่าไม่น้อย
“หาที่สงบๆดูดกลืนมันก่อนแล้วกัน ”
เขาหันมองไปยังศพทั้งสองพร้อมทั้งพูดออกมา
“ได้สิ ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมาด้วยรอยยิ้ม
ณ ตอนนี้หลินเทียนได้แผดจิตสัมผัสอันเข้มข้นออกไปโดยรอบเพื่อหาที่ปลอดภัยไว้ให้จระเข้เบญจธาตุหล่อหลอมศพทั้งสองโดยที่เขาคอยคุ้มกันอยู่ห่างๆ
“บึ้สส ~! ”
จระเข้เบญจธาตุได้สังเวยทักษะนี้ออกมาพร้อมทั้งเริ่มการหล่อหลอมร่างทั้งสองทำให้กลิ่นอายของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าเจ็ดวันเต็มซึ่งร่างกายทั้งสองของชายชราได้ถูกดูดกลืนไปจนหมดทำให้ระดับพลังของจระเข้เบญจธาตุตัดผ่านไปยังเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าได้ในที่สุด
“ชื่นใจจริงๆ ! ในที่สุดข้าก็ตัดผ่านได้แล้ว ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น
“ไหนๆก็อยู่ในเขตแดนนี้แล้วช่วยสำรวมหน่อยไม่ได้หรือไงกัน ? ”
หลินเทียนหันมองไปทางมันพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ใช้เวลาอีกสักพักปรับสมดุลร่างกายด้วยแล้วกัน ”
จระเข้เบญจธาตุแสดงสีหน้าป่วยๆออกมาพร้อมทั้งหมุนวนพลังของตัวเองเพื่อปรับสมดุลพลังในตอนนี้
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกเจ็ดวันเต็มอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันที่จระเข้เบญจธาตุได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าที่สมบูรณ์
“เอาล่ะ สามารถต่อกรกับเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าตอนกลางได้สบายๆแล้ว ”
หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งพยักหน้าเล็กน้อย
เป็นเพราะด้วยจิตสัมผัสที่ทรงพลังของเขาทำให้รับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าตอนกลางเลยแม้แต่น้อย
“คิดว่าข้าคนนี้เป็นใครกัน ? ”
จระเข้เบญจธาตุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยองว่า
“จะพูดก็พูดไอ้เด็กเวรตระกูลหวูนั่นมันต้องการจะให้เจ้าตายซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้แถมยังให้มาแม้กระทั่งอาวุธอนันตกาลนี่มันเหี้ยมจริงๆเลยนะ ”
“ครั้งแรกล้มเหลวแล้วก็หมายความว่าแผนการชั่วร้ายของมันได้ถูกเปิดเผยแล้วและเกรงว่าข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเหลาเหลาถึงได้ยิ่งอยากจะลบข้าให้หายไปก่อนที่ข้าจะได้พบกับนาง ”
หลินเทียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
จระเข้เบญจธาตุได้หรี่ตาลงพร้อมทั้งถามออกมาว่า
“แล้วเอาไงกันต่อ ? ”
“เอาตามที่ว่าไว้นั่นแหละ หากว่าบังเอิญพบเข้าก็ค่อยฆ่ามันแล้วกัน ”
หลินเทียนพูดออกมาพลางพูดต่อว่า
“ส่วนเรื่องของเหลาเหลานางเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่คนดีอะไรดังนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากไอ้โง่ในสายตาของนาง ”
จระเข้เบญจธาตุได้พูดต่อว่า
“น่าสังเวชจริงๆเลยนะ ”
“ไปกันเถอะ ไปที่ตระกูลเจียงกัน ”
หลินเทียนได้พูดออกมา
เสี่ยวไท่ชูเองก็ยังคงนอนกองอยู่บนหัวไหล่ของเขาขณะที่พวกเขาพากันมุ่งหน้าออกไปทางตระกูลเจียง
ไม่นานพวกเขาก็ก้าวผ่านภูเขากันไปมากมาย
และมันเป็นตอนนี้เองที่ห้วงมิติได้สั่นไหวก่อนที่จะบิดตัวอย่างรุนแรง
ร่างสามร่างปรากฏตัวออกมาซึ่งพวกเขาล้วนเป็นชายชราที่ส่งกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาเสมือนว่าเป็นเตาพลังวิญญาณที่อยู่ในเขตแดนกึ่งอนันตกาลกันทั้งหมด
“เขตแดนกึ่งอนันตกาล นี่ก็คนตระกูลหวู ? ไอ้เวรนั่นมันสามารถสั่งการได้แม้กระทั่งระดับนี้ ? ”
จระเข้เบญจธาตุได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งพูดว่า
“ไม่ใช่คนตระกูลหวู ”
เป็นเพราะว่าตัวตนระดับนี้มันเป็นตัวตนระดับผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งมีสถานะที่สูงเสียยิ่งกว่าผู้นำตระกูลทำให้แม้หวูซี่จะเป็นนายน้อยตระกูลก็ไม่มีทางส่งตัวตนระดับนี้ออกมาได้และที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายแบบเดียวกันกับของตระกูลหวูจากอีกฝ่ายได้
“แล้วมันเป็นใครกัน ? ”
หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสีหน้าที่ราบเรียบพร้อมทั้งตอบว่า
“ก็ต้องถามพวกมันดู ”
เขาตระหนักดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีอย่างแน่นอนแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ทั้งสามคนจับจ้องมาทางเขาด้วยสายตาที่เปล่งประกายอย่างมาก
“เขตแดนนิรันดร์อมตะตอนกลางงั้นรึ ไม่คิดเลยว่าจะสามารถเอาสมบัติที่แม้แต่ท่านบรรพบุรุษเองก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้”
หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงออกมา
หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับมีสีหน้าที่ตกต่ำโดยทันที
ระหว่างนี้จระเข้เบญจธาตุเองก็ได้แต่มีใบหน้าเปลี่ยนสีไป
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน ! ”
หลินเทียนส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา
“มันก็ต้องมีคนแจ้งเราอยู่แล้ว ”
หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ราบเรียบขณะที่จ้องมองหลินเทียนด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ
นี่ทำให้แววตาของหลินเทียนส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาโดยทันที
“เจียงยี่ชวน! ”
เป็นเพราะว่ามีเพียงกลุ่มพวกเขาเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้และมีเพียงเจียงยี่ชวนที่เป็นคนนอกทำให้ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้เลยว่ามันเป็นอีกฝ่ายที่หักหลังพวกเขา
“ด้วยอาวุธอนันตกาลและยาทิพย์ระดับต่ำไม่เท่าไหร่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็ถือว่าเป็นข้อตกลงที่คุ้มค่าจริงๆ ”
ชายชราพูดออกมา
นี่ช่วยยืนยันข้อสงสัยของหลินเทียนโดยทันที
“ไอ้ระยำที่แทนคุณด้วยโทษเอ้ย ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธ
ตอนที่ 1451
สายตาของหลินเทียนถึงกับส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาขณะที่จระเข้เบญจธาตุรู้สึกโกรธถึงขีดสุดเพราะไม่คิดเลยว่าคนที่พวกเขาช่วยชีวิตจะแทงข้างหลังของตัวเอง
เสี่ยวไท่ชูเองก็ยังอดแสดงท่าทางไม่พอใจพลางกำหมัดของตัวเองไปไม่ได้
เป็นเพราะว่าเจียงยี่ชวนนี่มันชั่วช้าจริงๆ !
ชาติชั่ว !
ชายชราทั้งสามคนได้ปิดกั้นพื้นที่โดยรอบทั้งหมดเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ชายชราชุดม่วงได้ส่งเสียงเสียงออกมาด้วยท่าทางที่สูงส่งว่า
“ยอมไปเป็นแขกที่ตระกูลจ้าวของข้าแต่โดยดีเสียเถอะ ไม่ต้องห่วงเพราะพวกเราแค่สงสัยว่าเจ้าเก็บเกี่ยวเอาก้อนพลังนั้นไปได้อย่างไรกัน หลังจากที่ยืนยันเรื่องทั้งหมดและสูบเอาพลังภายในร่างของเจ้าไปแล้วพวกเราจะไม่ฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน ”
หลังจากนั้นก็หันมองไปทางเสี่ยวไท่ชูและจระเข้เบญจธาตุพลางพูดว่า
“ส่วนพวกมัน พวกข้าจะทำให้ไปสบายเอง ”
ช่วงแรกที่เจียงยี่ชวนไปแจ้งข่าวเรื่องนี้นั้นทำให้เหล่าผู้คนตระกูลจ้าวต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาเพราะต้องรู้ก่อนนะว่ากลุ่มก้อนพลังนั้นมันคงอยู่มาตั้งแต่อดีตกาลซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญมากมายพยายามเก็บกู้มันกลับมาแต่ก็ไม่สำเร็จไม่เว้นแม้กระทั่งบรรพบุรุษเขตแดนอนันตกาลตอนปลายเองก็ตามที
ตอนแรกพวกเขาไม่เชื่อคำพูดนี้อย่างมากแต่หลังจากที่เจียงยี่ชวนเผยภาพร่างจิตสัมผัสออกมาแล้วพวกเขาก็ได้แต่โง่งมไปพร้อมทั้งตอบแทนอย่างงายก่อนที่บรรพบุรุษซึ่งเก็บตัวบ่มเพาะจะออกคำสั่งส่งผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามของตระกูลออกมาเพื่อจับตัวหลินเทียนกลับไปให้จงได้
พวกเขาล้วนคิดว่าหลินเทียนน่าจะมีวิธีการพิเศษบางอย่างถึงได้อยากจะจับตัวหลินเทียนกลับไปเค้นข้อมูลทั้งหมดออกมาแล้วสูบเอากลุ่มก้อนพลังภายในร่างของเขาซึ่งมันจะกลายเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อตระกูลพวกเขาเนื่องจากกลุ่มก้อนพลังนั้นมันไม่ธรรมดามากๆ
“ยอมจำนนเสียเถอะ อย่าให้พวกเราต้องลงมือด้วยตัวเองไม่งั้นจะยิ่งเจ็บปวดเปล่าๆ ”
ชายชราส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งหันมองไปทางจระเข้เบญจธาตุและเสี่ยวไท่ชูพลางพูดว่า
“ส่วนพวกเจ้าก็หายไปเสียเถอะ ”
สิ้นสุดคำพูดของเขาแล้วคลื่นกระบี่อันทรงพลังได้ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังพร้อมทั้งพุ่งเข้าใส่ทางทั้งสองคนโดยทันที
ชั่วพริบตามันก็เข้าประชิดร่างของทั้งสอง
และมันเป็นตอนนี้เองที่ความเย็นยะเยือกที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของหลินเทียนได้พุ่งสูงถึงขีดสุดก่อนที่คลื่นพลังสายฟ้าอันหนักหน่วงจะสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วชั้นฟ้า
คลื่นกระบี่ทั้งสองของชายชราได้สลายหายไปโดยทันที
นี่ทำให้สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะแม้จะไม่ได้โจมตีอย่างสุดแรงแต่ก็เป็นพลังทำลายที่สามารถลบล้างเขตแดนนิรันดร์อมตะตอนปลายได้สบายๆทว่าตอนนี้กลับถูกทำลายลงภายใต้แรงกดดันของหลินเทียน
ชายชราอีกสองคนที่อยู่ข้างๆเองก็พากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
“คิดว่าไอ้แก่อย่างพวกเจ้าจะมาอวดดีใส่ข้าได้ ? คิดว่าตัวเองเป็นใคร ? คิดว่าตระกูลจ้าวของเจ้าเป็นใคร ? ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“ตู้มมม ~! ”
เสียงฟ้าร้องคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่คลื่นสายฟ้ารายล้อมร่างกายของเขาเอาไว้
นี่ทำให้ม่านฟ้าภายในอาณาเขตนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีดำทมิฬขณะที่คลื่นสายฟ้าสีเงินรายล้อมอยู่รอบทิศทาง
กลิ่นอายทำลายล้างของทัณฑ์สวรรค์ปกคลุมอยู่ทั่วพื้นที่เสมือนว่ามันเป็นวันสิ้นโลกาก็มิปาน
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามได้แต่สั่นสะท้านไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากเพราะกลิ่นอายทำลายล้างที่หลินเทียนส่งออกมามันน่าสะพรึงเสียยิ่งกว่าของพวกเขา
นี่ทำให้ชายชราชุดม่วงได้แต่ส่งเสียงออกมาด้วยท่าทางที่ตกตะลึงว่า
“เจ้า….”
“ตู้มม ~! ”
เสียงฟ้าร้องคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่คลื่นสายฟ้าอันทรงพลังเสมือนดั่งมังกรสายฟ้าสีเงินได้กลืนกินร่างของชายชราคนนี้ลงไปโดยที่ไม่เหลือไว้แม้กระทั่งดวงวิญญาณด้วยซ้ำ
“น้องสาม ! ”
ชายชราทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังพากันส่งเสียงโห่ร้องออกมา
“นี่มัน….เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
พวกเขาได้แต่สั่นสะท้านไป
เป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญเขตแดนกึ่งอนันตกาลกลับถูกสังหารลงได้ภายในการโจมตีเดียว !
ตู้ม ~!
เสียงฟ้าร้องคำรามยังคงถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่องสร้างเป็นกลิ่นพลังทำลายล้างที่น่าสยดสยอง
ตอนนี้หลินเทียนรู้สึกโกรธจัดอย่างแท้จริงเพราะต่อให้นายน้อยตระกูลหวูส่งมือสังหารมาจัดการกับเขาแล้วก็ยังไม่โกรธเลยด้วยซ้ำแต่เขาที่เป็นผู้มีพระคุณและช่วยชีวิตมันไว้กลับถูกอีกฝ่ายแทงข้างหลังโดยการเอาข้อมูลเหล่านี้ไปขายให้กับขุมพลังใหญ่นี่มันเกิดจะทนจริงๆ !
เขาหันมองออกไปทางชายชราทั้งสองที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกขณะที่ทักษะเบญจอัสนีสะท้านฟ้าหมุนวนถึงขีดสุด
พริบตาโลกทั้งใบก็ได้ปกคลุมไปด้วยคลื่นสายฟ้าอันทรงพลัง
“พุฟฟ ~! ”
ชายชราชุดดำได้ถูกคลื่นสายฟ้ากลืนกินเข้าไปจนกลายเป็นชิ้นเนื้อและเหลือไว้เพียงดวงวิญญาณที่พุ่งหนีไปด้วยความกลัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามดวงวิญญาณที่ยังหนีไปได้ไม่ถึงไหนก็ต้องเผชิญหน้ากับลำแสงสายฟ้าอันทรงพลัง
“หยุดก่อน ข้าก็แค่….”
เสียงกรีดร้องถูกส่งออกมาอย่างดังก่อนที่ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายจะสลายหายไป
ร่างกายและดวงวิญญาณแตกดับอย่างแท้จริง
นี่ทำให้สายตาของหลินเทียนได้กวาดไปยังชายชราคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
เขาที่เป็นถึงกายราชันที่แข็งแกร่งที่สุด
ผู้ซึ่งแบกรับทัณฑ์สวรรค์มามากมายทำให้เรียกได้ว่าเป็นราชันในหมู่ผู้ที่อยู่ภายใต้เขตแดนอนันตกาลเลยก็ว่าได้
“ดะ……ได้โปรดเมตตาข้าด้วย ข้ารับประกันเลยว่าหลังจากนี้ทางเราจะไม่สร้างปัญหาให้เจ้าอีก ! ”
ชายชราส่งเสียงอ้อนวอนออกมา
หลินเทียนมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกพร้อมทั้งสร้างฝ่ามือสายฟ้ากดทับเข้าใส่ทางอีกฝ่ายก่อนที่จะส่งคลื่นจิตสัมผัสอันทรงพลังเพื่ออ่านความทรงจำเกี่ยวกับเจียงยี่ชวนทั้งหมด
“อ๊ากก ~~! ”
ชายชราได้แต่ส่งเสียงกรีดร้องออกมาจากการถูกฝืนอ่านความทรงจำครั้งนี้
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ดุร้ายออกมาขณะที่อ่านความทรงจำของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งและยืนยันได้ว่าเป็นเจียงยี่ชวนที่เป็นคนไปขายข่าวเหล่านี้ให้กับตระกูลจ้าวโดยที่ได้รับอาวุธอนันตกาลและอื่นๆเป็นรางวัล
ระหว่างนี้เขาก็ได้รู้เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายเป็นนายน้อยของตำหนักป้าว
ตำหนักป้าวนั้นเป็นขุมพลังระดับ 4 ของดาวดวงนี้ซึ่งมีบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าซึ่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักอยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์เท่านั้น
หลังจากที่ได้รับข้อมูลเหล่านี้มาแล้วเขาก็ได้สังหารชายชราอย่างไม่ปราณี
“เปลี่ยนเส้นทางไปที่ตำหนักป้าวกัน ”
เขาส่งเสียงออกมา
“เจียงยี่ชวนมันอยู่ที่นั่น ? ”
จระเข้เบญจธาตุได้ถามออกมาเพราะมันพอเดาได้ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งอธิบายข้อมูลต่างๆที่ได้รับมา
“ไปฆ่าไอ้ระยำนั่นกัน ! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา
มันที่ถูกทรยศแบบนี้ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากเช่นกัน
โดยเฉพาะการโดนทรยศจากคนที่พวกเขาช่วยชีวิตมันเอาไว้
“ย๊า ~! ”
เสี่ยงไท่ชูได้คว้ากรงเล็บของมันเอาไว้อย่างไม่พอใจ
“ไปกัน ”
หลินเทียนได้พูดออกมา
หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันเปลี่ยนเส้นทางไปยังทิศใต้ของสถานที่แห่งนี้
เป็นเพราะจากข้อมูลที่ได้รับมานั้นเขาเองก็ได้รับตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักป้าวมาเช่นกัน
ไม่นานพวกเขาก็พากันเดินทางออกไปอย่างรวดเร็ว
……………..
ตระกูลจ้าว
ตระกูลนี้เป็นตระกูลใหญ่ที่สืบเชื้อสายกันมาอย่างยาวนานและเป็นหนึ่งในสี่ขุมพลังใหญ่ของดาวนอกเหนือจากตระกูลเจียง ตระกูลหวูและนิกายสังหารเทพซึ่งเป็นขุมพลังที่มีบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเป็นนิรันดร์แท้จริงทำให้ภายในตระกูลมีพลังฉีที่เข้มข้นเป็นอย่างมาก
“ว่าไงนะ ?! ”
เสียงคำรามอย่างดังถูกส่งออกมาจากปากของผู้นำตระกูลที่อยู่ภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้
ใบหน้าของผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหลายคนเองก็ซีดลงอย่างมาก
เป็นเพราะพวกเขาเพิ่งได้ข่าวการตายของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามคน……..
“ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามคนที่ถูกส่งออกไปจับตัวมันมากลับ…..”
“ชายคนนั้นเป็นคนสังหารพวกเขา ?! ”
“แต่ละคนล้วนอยู่ในเขตแดนกึ่งอนันตกาลกันหมดและมีเพียงท่านบรรพบุรุษเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาแต่ทว่า…..”
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
“ไม่ใช่ว่าเจียงยี่ชวนจากตำหนักจ้าวมันบอกว่าระดับพลังของชายคนนั้นยังไม่อยู่ในเขตแดนอนันตกาลไม่ใช่หรือไงกัน แล้วทำไมกึ่งอนันตกาลสามคนของพวกเราถึงได้……..”
หลายๆคนพากันส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธ
เป็นเพราะตัวตนระดับผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเป็นเสาหลักของตระกูลทว่ากลับถูกสังหารไปถึงสามคนพร้อมๆกัน !
……………….
ระหว่างนี้หลินเทียนก็ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาขนาดใหญ่ไปไกลแสนไกล
ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ไปถึงภูเขานิรันดร์ที่อยู่ทางตอนใต้
หากมองออกไปแล้วจะพบได้กับตัวตำหนักมากมายที่ส่งกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาออกมาแถมยังมีฝูงสัตว์อสูรโบยบินอยู่กลางฟากฟ้า
“ตำหนักป้าว ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาด้วยแววตาที่ส่องประกายความเย็นยะเยือก
เป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งของตำหนักป้าวอันเลื่องชื่อ
“ไปสับไอ้เวรนั่นเป็นหมื่นๆชิ้นกัน! ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงคำรามออกมา
ตอนที่ 1452
หลินเทียนเดินนำเอาจระเข้เบญจธาตุและคนอื่นๆเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าแล้วก็ก้าวเข้าไปโดยที่ไม่ได้สนใจใครรอบข้างด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกโดยทันที
เป็นเพราะว่าตอนนี้เขารู้สึกโกรธจัดถึงขีดสุดแล้วเพราะหากว่าอีกฝ่ายเพียงแค่โอ้อวดว่าเขาสามารถเก็บเอากลุ่มก้อนพลังไปได้ง่ายๆเขาก็คงจะไม่สนใจมาจัดการมันด้วยซ้ำ
ทว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าตระกูลจ้าวนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากและรู้ดีว่าตระกูลจ้าวจะต้องลงมือกับเขาแต่มันก็ยังขายข่าวเรื่องนี้เพื่อแลกกับสมบัตินี่มันทำให้เขาหมดความอดทนไปทันที
“ใครกัน ?! หยุดนะ ! ”
ไม่ว่าขุมพลังไหนๆก็มักมีศิษย์คอยเฝ้าประตูเอาไว้ไม่เว้นแม้แต่ขุมพลังแห่งนี้ดังนั้นหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนและคนอื่นๆกำลังเข้าใกล้ก็พากันส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดัง
หลินเทียนยังคงก้าวเดินเข้าไปโดยที่มีสีหน้าที่เย็นยะเยือกอย่างเคย
“รนหาที่ตาย ! ”
ดวงตาของเหล่าศิษย์เองก็ส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาเช่นกันพร้อมทั้งหันปลายหอกแหลมชี้เข้าใส่ทางหลินเทียน
ทว่ากลิ่นอายที่หลินเทียนแผดออกมานั้นได้กระแทกร่างของพวกเขาจนปลิวออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือด
“เจ้ากล้าตอบโต้งั้นรึ ! ”
“กล้าสร้างปัญหาให้กับตำหนักป้าวของเรางั้นรึ ?! ”
“จับตัวมันเอาไว้ ! ”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่โกรธจัดออกมาตามๆกันพร้อมทั้งสังเวยการโจมตีทั้งหมดอัดเข้าใส่ร่างของหลินเทียน
“ไสหัวไปไกลๆ ! ”
จระเข้เบญจธาตุที่อยู่ข้างๆได้ส่งเสียงคำรามออกมาขณะที่คลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นระเบิดออกไปรอบทิศทาง
นี่ทำให้ร่างกายของเหล่าศิษย์ทั้งหลายลอยเคว้งออกไปไกลโดยที่อาวุธในมือได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นผุยผงไปในพริบตา
หลินเทียนยังคงก้าวเดินออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
แน่นอนว่ามีหลายๆคนเห็นการกระทำของหลินเทียนได้เป็นอย่างดีดังนั้นแต่ละคนถึงได้พากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกมา
“เจ้ากล้านักนะ ! คิดจะรุกล้ำเข้ามาภายในขุมพลังของเรา ?! ”
ผู้ดูแลคนหนึ่งส่งเสียงออกมาพลางพูดต่อว่า
“จับพวกมันไว้ให้หมด ! ”
“ตู้มม ~! ”
คลื่นพลังเทวะอันหนักหน่วงได้ระเบิดออกมาเข้าใส่ทางหลินเทียน
หลินเทียนได้ปลดปล่อยคลื่นพลังของเขาออกมากระแทกร่างคนเหล่านี้ปลิวออกไปไกลอีกครั้ง
“รุมมัน ! ”
ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ๆได้ออกคำสั่งออกมาพร้อมทั้งกระโจนเข้าใส่ทางหลินเทียน
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ได้ต่างกันเนื่องจากพวกเขาทุกคนล้วนถูกกระแทกออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดกันหมด
นี่ทำให้ผู้คนทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาตามๆกัน
“รีบไป….รายงานให้ท่านจ้าวตำหนักและท่านผู้อาวุโสสูงสุดทราบเร็ว ! ”
หนึ่งในผู้คนส่งเสียงออกมา
นี่ทำให้หลายๆคนพากันรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่เย็นชาออกมาโดยที่ปล่อยผ่านอีกฝ่ายไปพร้อมทั้งแผดจิตสัมผัสอันทรงพลังไปโดยรอบพร้อมค้นพบร่างของเจียงยี่ชวน
นี่ทำให้สายตาของเขาส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาอีกครั้งพร้อมทั้งก้าวเดินออกไป
……….
ภายในส่วนลึกของตำหนักแห่งนี้เจียงยี่ชวนกำลังนั่งอยู่ตรงกันข้ามชายวันกลางคนชุดเหลือง
ที่โต๊ะหยกตรงหน้าของพวกเขามียาทิพย์มากมายวางเรียงรายอยู่โดยรอบพร้อมๆกับกระบี่สีทองที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่งกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา
“เป็นไงท่านพ่อ สุดยอดไปเลยหรือเปล่าขอรับ ? ”
เจียงยี่ชวนส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
ชายวัยกลางคนได้แสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมาพร้อมๆกับพูดว่า
“ยาทิพย์พวกนี้มัน……..มีประโยชน์อย่างมากกับเขตแดนจักรพรรดิโกลาหล ! ”
หลังจากนั้นสายตาของเขาก็ได้หยุดอยู่ที่กระบี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่าจนร่างกายอดสั่นไปไม่ได้ว่า
“นี่มัน….อาวุธ…..อนันตกาล ! ”
ชายคนนี้คือพ่อของยี่ชวนซึ่งเป็นจ้าวตำหนักป้าวที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลระดับ 5 ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งไม่เบาทว่าในตอนนี้กลับมีสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุดและตื่นเต้นจากก้นบึ้งของหัวใจเพราะว่ามูลค่าของสมบัติตรงหน้าของเขามันไม่สามารถประเมินได้แถมยังมีประโยชน์ต่อเขามากๆ
ต้องรู้ก่อนนะว่าอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในขุมพลังของเขาเป็นเพียงอาวุธบรรพบุรุษตอนกลางเท่านั้น
ทว่าอาวุธที่ยี่ชวนนำกลับมาเป็นถึงอาวุธอนันตกาล !
นี่มันเป็นอาวุธอนันตกาล !
มันอยู่เหนืออาวุธบรรพบุรุษถึงสองเขตแดนใหญ่ ! ด้วยอาวุธนี้สามารถทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก !
“ทำได้ดีมากๆ ! ”
จ้าวตำหนักส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งจับมือของยี่ชวนเอาไว้แล้วถามออกมาด้วยความเป็นห่วงว่า
“ได้ยินมาจากคำพูดของเจ้าว่าอีกฝ่ายเองก็แข็งแกร่งมากๆอย่างน้อยๆก็อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าแล้วหากว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เจ้าเอาเรื่องพวกนี้ไปขายให้กับตระกูลจ้าวแบบนี้แล้วมันก็คงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วจะเป็นปัญหาใหญ่กับเราโดยทันที ! ”
เป็นเพราะว่าเขารู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของยี่ชวนมาหมดแล้ว
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ท่านไม่รู้หรือไงว่าขุมพลังใหญ่พวกนั้นให้ความสำคัญกับกลุ่มก้อนพลังงานนั้นขนาดไหนกันเพราะหลังจากที่พวกมันได้ข่าวเรื่องนี้แล้วก็ส่งตัวตนระดับผู้อาวุโสสูงสุดเขตแดนกึ่งอนันตกาลออกไปจับตัวชายคนนั้นกลับมาเพื่อสูบเอาพลังงานออกไปแล้วก็จะฆ่ามันโดยทันทีดังนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ”
หลังจากที่พูดจบก็ได้แสยะยิ้มออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“แต่มันรู้สึกผิดเล็กน้อยจริงๆเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ”
ขณะที่พูดเขาไม่ได้มีสีหน้าที่รู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำแต่เป็นการเยาะเย้ยเสียมากกว่า
นี่ทำให้เขาระลึกได้ถึงบางสิ่งก่อนที่จะพูดต่อว่า
“แล้วในเมื่อเรามีอาวุธอนันตกาลแบบนี้แล้วเราจะบุกไปยังสถานที่หวงห้ามที่เราค้นพบกันเลย ? บางทีเราอาจจะเปิดสรวงสวรรค์นั่นได้ก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วขุมพลังของเราจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจจะอยู่ในระดับเดียวกับตระกูลจ้าวเลยก็เป็นไปได้ ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วดวงตาของจ้าวตำหนักเองก็อดส่องประกายออกมาไม่ได้พลางพูดว่า
“ก็น่าจะลองดูได้แต่แม้จะมีอาวุธอนันตกาลทว่าก็ไม่ได้มีความหวังมากนักเพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็เต็มไปด้วยอาณาเขตที่อันตรายอย่างมากแถมข่ายอาคมก็มีนับไม่ถ้วนดังนั้นการจะเข้าไปได้มันมีความเป็นไปได้ที่ต่ำมากๆ ”
เป็นเพราะเมื่อสามปีก่อนพวกเขาบังเอิญค้นพบบันทึกโบราณที่นำทางพวกเขาไปสู่สถานที่แปลกๆภายในหุบเขาซึ่งรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายนิรันดร์อันทรงพลังซึ่งเป็นสถานที่ๆผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์แท้จริงทิ้งเอาไว้และดูเหมือนว่าภายในจะเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย
ณ ตอนนั้นเป็นเพราะความโลภบังตาทำให้พวกเขาพากันบุกเข้าไปภายในแต่ก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้แถมยังเกือบตายกันหมดแล้วหลังจากนั้นก็มักจะส่งตัวตนระดับจ้าวสวรรค์เข้าไปแต่ก็ยังเปล่าประโยชน์แถมยังสูญเสียผู้อาวุโสสูงสุดที่เก้าเขตแดนจ้าวสวรรค์ลงไปด้วย
นี่ทำให้จำนวนครั้งที่ส่งคนเข้าไปลดน้อยลงไปเรื่อยๆเพราะมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เก็บเรื่องนี้เอาไว้ภายในใจเสมอมาเพราะว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ๆสำคัญต่อพวกเขามากๆและตราบเท่าที่สามารถฝ่าเข้าไปได้แล้วขุมพลังของพวกเขาก็จะเติบใหญ่อย่างรวดเร็วและอย่างน้อยๆก็เทียบเคียงกับขุมพลังระดับ 2 หรือระดับ 1 เพื่อกลายเป็นหนึ่งในห้าขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเลยก็ยังได้
“แม้ว่าจะมีโอกาสไม่มากแต่ก็ควรจะลองเพราะอาจจะสำเร็จก็เป็นได้ ”
ยี่ชวนส่งเสียงออกมา
จ้าวตำหนักได้พยักหน้าพร้อมตอบว่า
“เอาล่ะ ข้าและ……..”
“ปึ้งง ~! ”
ทันใดนั้นเองที่ประตูตำหนักถูกผลักเข้ามาพร้อมๆกับศิษย์ที่วิ่งเข้ามาด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า
“แย่แล้วขอรับท่านจ้าวตำหนัก……”
“กำแหงนักนะ ! รู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหนกัน ! ”
จ้าวตำหนักได้ขัดจังหวะคำพูดของศิษย์คนนั้นไป
ศิษย์คนนั้นได้แต่คุกเข่าลงพร้อมทั้งส่งเสียงสั่นๆออกมาว่า
“ขออภัยด้วย..ขอรับท่าน……ได้โปรดให้อภัย ! ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อว่า
“แต่ว่า….มีคนบุกเข้ามาภายในตำหนักของเราซึ่งอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นที่ผู้อาวุโสเองก็ยังไม่สามารถต่อกรได้ขอรับ ! ”
“ว่าไงนะ ?! ”
จ้าวตำหนักที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับแสดงสีหน้าที่โกรธจัดออกมาโดยทันที
ยี่ชวนได้แสยะยิ้มออกมาพร้อมทั้งคว้าเอาอาวุธอนันตกาลขึ้นมาแล้วพูดว่า
“หากว่าขนาดผู้อาวุโสเองก็ยังไม่สามารถต่อกรได้แสดงว่าอย่างน้อยๆมันก็อยู่ในเขตแดนกึ่งจักรพรรดิ ก็ดี เหมาะที่จะทดสอบอาวุธนี้พอดี ”
เขาพูดออกมาพร้อมทั้งคว้ากระบี่แล้วก้าวเดินออกไป
ศิษย์ที่กำลังจ้องมองไปยังกระบี่ในมือของยี่ชวนเองก็ได้แต่สั่นสะท้านไปเพราะแม้ระดับพลังของเขาจะไม่ได้สูงมากแต่ก็ตระหนักดีว่าพลังทำลายที่ส่งออกมานั้นสามารถสะบั้นโลกใบนี้ออกได้ง่ายๆ
…..
หลินเทียนยังคงก้าวเดินเข้ามาภายในด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือกอย่างเคย
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างพากันหลักทางให้กับเขาด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นอย่างมากเพราะผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่รวมพลังกันเองก็ยังไม่สามารถต่อกรได้แม้กระทั่งกลิ่นอายของหลินเทียนด้วยซ้ำ
นี่ทำให้พวกเขาได้แต่หวาดหวั่นไปเพราะขนาดผู้อาวุโสเองก็ยังไม่สามารถรับมือกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้นี่มันน่ากลัวขนาดไหนกัน ? แล้วจะให้พวกเขาต่อกรอย่างไร ?
“ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครมันไม่ดูตามาตาเรือถึงได้กล้ารุกล้ำเข้ามาที่นี่ ”
เสียงแสยะถูกส่งออกมาขณะที่ยี่ชวนปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกับกระบี่ในมือที่ส่องประกายแสงสีทองออกมาอย่างเข้มข้นเสมือนดั่งเทพกระบี่ที่จุติลงมายังโลกใบนี้
ตอนที่ 1453
กระบี่สีทองในมือของยี่ชวนนั้นคืออาวุธอนันตกาลซึ่งการที่ถือครองอาวุธระดับนี้เอาไว้ในมือทำให้กลิ่นอายที่ยี่ชวนส่งออกมานั้นทรงพลังอย่างมาก
“กลิ่นอายของนายน้อย….”
“นี่มัน…แข็งแกร่งมาก ! ”
“กระบี่นั่นมัน ?! ”
ศิษย์หลายๆคนได้แต่พากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาตามๆกันขณะที่จ้องมองไปยังกระบี่ในมือของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน
เป็นเพราะคลื่นพลังกระบี่ที่ส่งออกมามันร้ายกาจเป็นอย่างมาก
เจียงยี่ชวนนั้นรู้สึกพึงพอใจไปกับสายตาที่ผู้คนรอบข้างมองมาทางเขาอย่างมากพลางคิดว่าการที่ขายหลินเทียนไปให้กับขุมพลังอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดจริงๆ
เขาก้าวเดินออกมาจากภายในขณะที่เหล่าศิษย์พากันหลีกทางให้กับเขาด้วยตัวเอง
นี่ทำให้สายตาของยี่ชวนได้ไปหยุดอยู่ที่ร่างของหลินเทียน เสี่ยวไท่ชูและจระเข้เบญจธาตุไปโดยทันที
และมันเป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นที่อดก้าวถอยหลังกลับไปไม่ได้
“เจ้า…….”
ใบหน้าของเขาถึงกับซีดลงโดยทันที
เป็นเพราะว่าผู้ที่รุกล้ำเข้ามาภายในขุมพลังของพวกเขานั้นคือหลินเทียนและเมื่อมองไปยังสายตาที่เย็นยะเยือกนี้แล้วก็ทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดีไปโดยทันทีเพราะนี่หรือว่า….หลินเทียนจะรู้เรื่องตระกูลจ้าวแล้ว ?
“ไอ้ระยำเลี้ยงเสียข้าวสุก กระบี่ในมือมันใช้ง่ายไหมล่ะ ? ”
จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงแสยะออกมา
เป็นเพราะวินาทีแรกที่เห็นร่างของยี่ชวนนั้นมันก็สังเกตุเห็นได้เลยว่ากระบี่ในมืออีกฝ่ายนั้นเป็นอาวุธอนันตกาลและเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นรางวัลที่ได้มาจากการขายพวกเขาให้กับตระกูลจ้าวเพราะว่าไม่มีทางเลยที่ขุมพลังระดับนี้จะถือครองอาวุธระดับนั้นได้และมันยิ่งทำให้ความเย็นยะเยือกในสายตาของมันยิ่งพุ่งสูงขึ้นขณะที่จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวไหลทะลักออกมาไม่หยุด
เสี่ยวไท่ชูเองก็เบิกตากว้างออกมาขณะที่จ้องเขม็งไปที่ร่างของยี่ชวนด้วยสีหน้าที่โกรธจัดไม่ต่างกัน
แววตาของหลินเทียนในตอนนี้ส่องประกายความเย็นยะเยือกถึงขีดสุดออกมาพลางก้าวเข้าหาร่างของอีกฝ่ายทีละก้าว
ยี่ชวนได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างรุนแรงพร้อมๆกับรีบก้าวถอยหลังกลับไป
เป็นเพราะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลินเทียนล่วงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
นี่ทำให้เขาถึงกับผงะและตกตะลึงไปในเวลาเดียวกันเพราะหลังจากที่เขารายงานเรื่องนี้ออกไปแล้วตระกูลจ้าวก็ได้ส่งกองกำลังผู้อาวุโสสูงสุดเขตแดนกึ่งอนันตกาลออกไปถึงสามคนซึ่งการที่หลินเทียนจะรู้เรื่องนี้ได้ก็แปลว่าสามคนนั้นได้พบตัวหลินเทียนและลงมือแล้วแต่ทว่าทำไมหลินเทียนถึงยังอยู่ดีแล้วยังมาที่นี่ได้ ? หรือว่าทั้งสามคนมันไม่สามารถสยบหลินเทียนลงได้ ?! มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?!
ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกแต่เมื่อเห็นว่าหลินเทียนกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆก็ยิ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด
“สหายหลิน ฟังข้าอธิบายก่อนนะ…..”
“วิ้สส ~! ”
เสียงพุ่งผ่านอากาศถูกส่งออกมาขณะที่ร่างของหลินเทียนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของอีกฝ่ายพร้อมทั้งถีบอัดหน้าอกเข้าให้อย่างจัง
ตู้มมม ~~!
ร่างของยี่ชวนลอยเคว้งออกไปกระแทกกับผนังหินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลทำให้กระอักเลือดออกมาคำโตพร้อมๆกับส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาไม่หยุดขณะที่กระดูกทั้งร่างแหลกสลาย
“นายน้อย ! ”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างพากันแสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หลินเทียนได้ลงมือด้วยตัวเอง
ยี่ชวนยังคงกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
“ยี่ชวน ! ”
จ้าวตำหนักที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้ส่งเสียงออกมาเพราะหลังจากที่เห็นยี่ชวนหยิบเอากระบี่ออกไปก็ทำให้เขาหมดห่วงเพราะรู้ดีว่าอาวุธอนันตกาลนั้นแข็งแกร่งอย่างมากและคงจะสามารถสังหารศัตรูลงได้ง่ายๆจึงใช้เวลาเก็บเอายาทิพย์ทั้งหลายอย่างระมัดระวังแล้วค่อยตามออกมาที่นี่ก่อนที่จะเห็นภาพลูกชายของเขากองอยู่กับพื้นด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือด
เขาพุ่งเข้าประชิดร่างของยี่ชวนอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งแสดงสีหน้าที่โกรธจัดออกมา
“ท่านพ่อ……”
ยี่ชวนได้ส่งเสียงออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดหลังจากที่กระดูกแตกไปทั้งร่างแถมด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้กลับไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้แม้แต่น้อย
“ระยำเอ้ย ! ใครเป็นคนทำกัน ! ”
จ้าวตำหนักส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธหลังจากที่เห็นลูกของตัวเองได้รับบาดเจ็บพร้อมทั้งปลดปล่อยจิตสังหารอันเข้มข้นของเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลออกมาพลางส่งถ่ายพลังเข้าไปในร่างของลูกชายเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแต่วินาทีที่พลังเทวะของเขาไหลเข้าไปกลับถูกคลื่นสายฟ้าอันทรงพลังที่อยู่ภายในร่างของยี่ชวนบดทำลายจนสิ้น
นี่ทำให้เขายิ่งโกรธจัดพร้อมทั้งส่งถ่ายพลังออกไปมากกว่าเก่า
ทว่าผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
หลินเทียนยังคงก้าวเดินเข้าใกล้อีกครั้งด้วยท่าทางที่สุขุมเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าลูกถีบเมื่อครู่เป็นการยั้งมือเอาไว้เพราะหากว่าฆ่าอีกฝ่ายลงง่ายๆก็คงจะสบายไป
อีกอย่างเหตุผลที่มันไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ก็เพราะว่าเขาเป็นคนทำมันเนื่องจากระหว่างที่เตะไปเมื่อครู่นั้นเขาได้ผสานพลังของสายฟ้าเอาไว้เพื่อปิดกั้นเส้นพลังทั้งหมดของอีกฝ่ายทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังเทวะภายในร่างได้ดังนั้นต่อให้จ้าวตำหนักพยายามส่งถ่ายพลังไปเท่าไหร่แต่ก็จะถูกคลื่นสายฟ้าของเขาทำลายลงและทำให้ยี่ชวนต้องแบกรับความเจ็บปวดต่อไปอย่างต่อเนื่อง
นี่ทำให้ยี่ชวนได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสายตาที่หวาดหวั่นยิ่งกว่าเก่า
“ท่านพ่อ…..ช่วย..ข้า…ด้วย…….เป็นเขา…..เขาเป็นคน…ที่ข้าเพิ่งเล่าให้ท่านฟัง ”
เขาส่งเสียงแผ่วๆออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น
แน่นอนว่าจ้าวตำหนักเองก็เข้าใจอย่างดีดังนั้นถึงได้หันมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากเนื่องจากเขาได้ยินมาแล้วว่า…..อย่างน้อยๆอีกฝ่ายก็เป็นถึงเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าและการที่อีกฝ่ายบุกมาแบบนี้ก็แสดงว่ารู้เรื่องที่ยี่ชวนเอาข้อมูลไปขายมาแล้ว ?! หรือว่าความกังวลที่เขาคิดอยู่ก่อนหน้านี้กำลังเป็นจริง ?!
“ความผิดของตัวลูกไม่เกี่ยวกับตัวพ่อ หลีกทางไป ”
หลินเทียนก้าวเดินออกไปพร้อมทั้งส่งเสียงอันทุ้มต่ำออกมา
“เจ้า…..คิดจะทำอะไรลูกชายข้ากัน ?! ”
จ้าวตำหนักส่งเสียงออกมา
“จะทำอะไร ? ”
จระเข้เบญจธาตุที่อยู่ห่างออกไปได้ส่งเสียงคำรามออกมาว่า
“เราอุส่าช่วยชีวิตไอ้ระยำนี่เอาไว้แถมยังให้ยาทิพย์กับมันมากมายแต่มันกลับกล้าแว้งกัดเราแบบนี้แล้วเจ้าคิดว่าเราจะทำอะไรมัน ?! ”
เป็นเพราะจิตสังหารอันเข้มข้นที่ไหลทะลักออกมาทำให้จ้าวตำหนักรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะฆ่ายี่ชวนดังนั้นเขาจึงอดสั่นไปไม่ได้
“เจ้า……”
“หลีกทางไป ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งส่งกลิ่นอายกระแทกร่างของอีกฝ่ายปลิวออกไปไกล
“ท่านจ้าวตำหนัก ! ”
ศิษย์ทั้งหลายพากันส่งเสียงสั่นๆออกมา
เป็นเพราะผู้จ้าวตำหนักของพวกเขาเป็นถึงเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลแต่ทว่าตอนนี้กลับถูกกลิ่นอายกระแทกปลิวออกไปไกลง่ายๆแบบนี้ ?!
ยี่ชวนที่กระดูกแตกไปทั้งตัวและกระอักเลือดออกมาไม่หยุดได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นยิ่งกว่าเก่า
“สหาย…หลิน…ข้า…ผิดไปแล้ว ! ความโลภมันบดบังตาข้าแต่ได้โปรด….อย่าลดตัวลงมาอยู่ระดับเดียวกับข้าเลย…..ไว้ชีวิตข้าเถอะ ”
เขาอ้อนวอนออกมา
หลินเทียนโบกมือส่งลำแสงสีทองทะลวงผ่านร่างของอีกฝ่ายเพื่อทำลายการบ่มเพาะไปอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นเองที่คลื่นพลังสายฟ้าเริ่มกัดกินเลือดเนื้อของอีกฝ่ายจากภายในอย่างบ้าคลั่ง
“อ๊ากก ~~! ”
ยี่ชวนส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวชเพราะเนื่องจากการที่สูญเสียการบ่มเพาะไปทำให้ความสามารถในการอดทนของเขาลดลงหลายเท่าส่งผลให้ความเจ็บปวดที่กระดูกแตกไปทั้งตัวและเลือดเนื้อที่กำลังถูกกัดกินอย่างบ้าคลั่งทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนเสียรูป
“ยี่ชวน ! ”
จ้าวตำหนักถึงกับมีดวงตาสีแดงก่ำพร้อมทั้งกระโจนเข้าใส่ทางหลินเทียน
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่มิติโดยรอบได้สั่นไหวพร้อมๆกับปรากฏร่างของชายชราห้าคนที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดเขตแดนจ้าวสวรรค์ซึ่งได้รับรายงานจากเหล่าศิษย์มาว่ามีคนบุกเข้ามาภายในขุมพลังของพวกเขา
“อวดดีนักนะ ! ”
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งห้าคนส่งเสียงคำรามออกมาหลังจากที่เห็นสภาพที่น่าสังเวชของยี่ชวนพร้อมทั้งพากันกระโจนเข้าใส่ทางหลินเทียนพร้อมๆกัน
“ไสหัวไปซะ ! ”
จระเข้เบญจธาตุที่อยู่ห่างออกไปได้ส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมๆกับระเบิดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นออกมากระแทกเข้าใส่ร่างของพวกเขา
ตู้มมม ~!
ร่างของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งห้าและจ้าวตำหนักถูกซัดลอยเคว้งออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือด
“ท่านจ้าวตำหนัก ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ! ”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้แต่พากันสั่นไปด้วยความกลัว
นี่ทำให้พวกเขาอดหันมองไปทางจระเข้เบญจธาตุด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นไม่ได้
“กลิ่นอายอสูรเขตแดนจักรพรรดิ….ว่างเปล่า นี่มัน…..”
พวกเขาพากันมีใบหน้าที่ซีดลงอย่างมาก
เป็นเพราะว่าตัวคนระดับนี้มัน…เป็นตัวตนระดับเดียวกันกับบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งพวกเขา !
นี่ขุมพลังของพวกเขาไปกระตุกหนวดตัวตนระดับนี้ ?!
“อ๊ากก ~! ”
ยี่ชวนได้แต่ส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่หยุดขณะที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดถึงขีดสุด
หลินเทียนยังคงก้มมองลงมาทางเขาด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกขณะที่ใช้กระบี่ชี้ไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย
จิตสังหารอันเย็นยะเยือกทำให้มิติโดยรอบถึงกับปริแตก
ยี่ชวนที่ยังคงส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาอย่างดังถึงกับนิ่งไปหลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับจิตสังหารระดับนี้และมันทำให้หว่างขาของเขาเปียกเป็นดวง
“นะ…ไม่ ! อย่าฆ่าข้า ! ใช่ ใช่…..ข้ารู้ตำแหน่งที่ตั้งของขุมสมบัติที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ มันมีถ้ำธรรมดาๆที่เป็นของนิรันดร์แท้จริงซึ่งภายในเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย ! ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าแล้วจะต้องสามารถเปิดเอาขุมสมบัติที่อยู่ภายในไปได้อย่างแน่นอน ได้โปรด……อย่าฆ่าข้า ! ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น