Divine King of All Directions 1434-1437

ตอนที่ 1434

 

พวกเขาใช้เวลาหนึ่งปีในการตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของเหลาเหลาเองก็ด้วยซึ่งนี่เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งหนึ่งปีมานี้ที่นางตัดผ่านมาได้ก็เป็นเพราะการช่วยเหลือของหลินเทียน เพราะถึงอย่างนางก็เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดินภาเท่านั้น ด้วยรากฐานของนางในช่วงก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้กับจี่หยูด้วยซ้ำ

“เขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 ! ”

จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมทั้งพูดว่า

“หลายสิบปีก่อนใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะตัดผ่านเขตแดนกึ่งจักรพรรดิโกลาหลตอนปลายจากเขตแดนกึ่งจักรพรรดิทว่าตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปีก็ตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 ได้แล้วนี่มัน….รู้สึกดีจริงๆโว้ย ! ”

“รู้สึกดีจริงๆนั่นแหละ ”

ฟานหยิงซ่งส่งเสียงออกมา

เขาที่เป็นกายราชันมีร่างกายใหญ่โตและเป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมาได้ส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น

เป็นเพราะใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้นแต่กลับสามารถทำให้พวกเขาตัดผ่านมาได้จากเขตแดนปรินิพพานนี่มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเลยด้วยซ้ำ

แม้กระทั่งจี่หยูและคนอื่นๆเองก็อดแสดงสีหน้าที่มีความสุขและประหลาดใจออกมาไม่ได้

“มีของดีอะไรอีกไหมเจ้าหนู ? ”

หลิงหยุนส่งเสียงออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วจระเข้เบญจธาตุเองก็ได้หันมองมาทางหลินเทียนพร้อมกับพูดว่า

“เอาของดีออกมาเร็วๆ ! ”

พวกเขาล้วนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันทำให้ถือว่าเป็นเพื่อนตายกันก็ว่าได้ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับหลินเทียนแม้แต่น้อย

“แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือออกไปสังเวยอาวุธนับสิบๆชิ้นที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายออกมา

นี่ทำให้มิติโดยรอบสถานที่แห่งนี้บิดตัวอย่างฉับพลัน

“นี่มัน ?! ”

เมื่อมองออกไปยังอาวุธเหล่านี้แล้วทุกคนก็ได้แต่ผงะไปไม่เว้นแม้กระทั่งหยางฉีและไป่จี่ฉี

“อาวุธระดับอนันตกาล ”

หลินเทียนพูดออกมา

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขายึดมาจากขุมพลังทั้งหลายจึงได้แจกจ่ายให้กับทุกคน

“ขอบคุณค่ะท่านพี่ ! ”

หลินซี่กระโดดออกมาคว้ามือของเขาเอาไว้

หลินเทียนไม่เพียงแค่ช่วยพวกเขาตัดผ่านเขตแดนใหญ่แต่ยังมอบสมบัติเช่นนี้ให้กับพวกเขา

“เจ้าเด็กโง่ กับพี่จะขอบคุณไปทำไมกัน ”

หลินเทียนพูดออกมาพร้อมทั้งดีดหน้าผากของนาง

หลังจากนั้นเขาก็ได้คว้าเอาเคล็ดวิชาบ่มเพาะต่างๆเขตแดนนิรันดร์แท้จริงที่ยึดมาได้ออกมาส่งให้กับไป่จี่ฉี หลิงหยุน ฟานหยิงซ่งและคนอื่นๆ

ส่วนทางด้านของไป่เฉียว จี่หยูและหญิงสาวคนอื่นๆไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เคล็ดวิชาเหล่านี้เพราะพวกนางล้วนบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชาจันทราหรือไม่ก็เคล็ดวิชาปรุงยากันอยู่แล้วซึ่งมันถือเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะชั้นเลิศที่ก้าวข้ามเขตแดนนิรันดร์แท้จริงไปไกลมากแล้ว

“ออกไปเที่ยวเล่นอยู่เป็นสิบปีนี่เจ้าพัฒนาไปไกลมากจริงๆเลยนะ ถึงขั้นมีแม้กระทั่งอาวุธอนันตกาลและเคล็ดวิชาเหล่านี้ ”

จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ยังมีอีกนะ ”

“ว่าไงนะ ?! ”

จระเข้เบญจธาตุได้แต่ผงะไป

“จริงๆ ”

หลินเทียนตอบกลับ

หลังจากนั้นก็ได้โบกมือคว้าเอาเตาพลังวิญญาณเปลวเพลิงธรรมะที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่งกลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงอันทรงพลังออกมา

“นี่มัน…อาวุธนิรันดร์แท้จริง ?! ”

นอกจากเหลาเหลาแล้วคนอื่นๆล้วนพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาตามๆกัน

“ใช่แล้ว อาวุธนิรันดร์แท้จริง ”

หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งโบกมือส่งมันเข้าไปภายในตำหนักราชันอมตะเพื่อเก็บไว้เป็นอาวุธประจำสำนัก

นี่ทำให้กลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงพวยพุ่งออกมารอบทิศทางส่งผลให้สัจธรรมที่อยู่รอบทิศทางสั่นไหวอย่างรุนแรง

“นี่มัน……”

หลิงหยุนได้แต่ผงะไปและได้แต่มองไปยังหลินเทียนที่กำลังเผยรอยยิ้มออกมาพลางอดถามออกมาไม่ได้ว่า

“นี่ อย่าบอกนะว่ายังมีอีก ? ”

หลินเทียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“ก็นะ ”

เขาโบกมือสังเวยเอามังกรตัวน้อยหลายร้อยตัวออกมารวมถึงบ่อวิญญาณนิรันดร์และลูกแก้วมังกรสองลูกที่ส่งกลิ่นอายอันเข้มข้นออกมาทำให้ร่างกายของทุกคนสั่นสะท้านไป

“นี่….”

หลิงหยุนและคนอื่นๆถึงกับผวาไป

พวกเขาตระหนักดีว่ามังกรตัวน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นเส้นชีพจรเทวะที่หลินเทียนใช้ทักษะพิเศษบีบอัดมันซึ่งมูลค่าของมันไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยซ้ำ ! แถมลูกแก้วมังกรและบ่อวิญญาณนิรันดร์นี้ทำให้พวกเขาได้แต่อ้าปากค้างไปเพราะมีค่าเสียยิ่งกว่าเส้นชีพจรเทวะเหล่านี้

“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหนกัน ?! ”

จระเข้เบญจธาตุได้แต่สั่นสะท้านไป

“ไปเอามาจากขุมพลังแนวหน้าของดาวดวงอื่นน่ะ ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นเขาก็ได้สังเวยทักษะฝังมังกรออกมาฉีกพื้นดินด้านใต้ออกพร้อมทั้งฝังเส้นชีพจรเทวะทั้งหลายลงไปรวมถึงจัดวางบ่อวิญญาณนิรันดร์และลูกแก้วมังกรไว้เพื่อพัฒนารากฐานขุมพลัง

นี่ทำให้พลังฉีภายในสถานที่แห่งนี้พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวถึงขั้นทำให้เหล่าศิษย์ได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา

“ความเข้มข้นระดับนี้มัน…..เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?! ”

“ต้องเป็นฝีมือท่านราชันอมตะอย่างแน่นอน ! ”

“ใช่แล้ว ! ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ! การกลับมาของท่านทำให้ความเข้มข้นของพลังฉีเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้ต้องเกี่ยวข้องกับท่านอย่างแน่นอน ! ”

ศิษย์หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

หลินเทียนที่อยู่ภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ได้ฝังเส้นชีพจรเทวะหลายร้อยเส้นลงไปก่อนที่จะวางข่ายอาคมตรามังกรเขตแดนนิรันดร์อมตะเอาไว้รอบทิศทางเพื่อทำให้พลังฉียิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกก่อนที่จะหยุดมือลง

ณ ตอนนี้สถานที่แห่งนี้แทบจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นสรวงสวรรค์เลยก็ว่าได้

“หากว่าเทียบกันด้านรากฐานของขุมพลังแล้วที่ไหนจะเทียบกับที่นี่ได้กัน ”

เหลาเหลาส่งเสียงออกมา

เป็นเพราะว่าแม้ตระกูลของนางจะเป็นขุมพลังแนวหน้าที่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายแต่หากวัดกันที่รากฐานของขุมพลังแล้วยังไม่สามารถเทียบเคียงที่นี่ได้เลยด้วยซ้ำ

“พลังฉีระดับนี้มัน……”

ผู้คนทั้งหลายพากันผงะไป

หลินเทียนได้พูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า

“เอาล่ะอย่าเอาแต่ตะลึงกันอยู่เลย ”

เอาจริงๆแล้วภายในแหวนมิติของเขาก็ยังเหลือเส้นชีพจรเทวะอยู่หลายพันเส้นแต่ก็ไม่ได้ฝังเอาไว้ที่นี่พลางหันมองออกไปพร้อมทั้งพูดว่า

“ระดับพลังของพวกเจ้าเองก็เพิ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหันดังนั้นใช้เวลาว่างในการปรับสมดุลกันก่อนแล้วกัน ”

“ก็จริง ต้องใช้เวลาปรับตัวกันหน่อย ”

จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา

เป็นเพราะการที่ใช้เวลาหนึ่งปีในการตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์จากเขตแดนปรินิพพานนั้นถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เอามากๆจึงจำเป็นต้องปรับสมดุลพลังของตัวเองไม่งั้นแล้วก็อาจจะทำให้รากฐานการบ่มเพาะสั่นคลอนได้และจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางบ่มเพาะในอนาคตไม่ใช่น้อยๆ

ณ ตอนนี้พวกเขาต่างไม่ลังเลเลยที่จะบอกลาหลินเทียนและต่างพากันเก็บตัวบ่มเพาะ

นี่ทำให้สถานที่แห่งนี้เหลือเพียงแค่หลินเทียนและเสี่ยวไท่ชูเท่านั้น

“เจ้าหนูน้อยจะไปเที่ยวที่ภูผาแห่งหมอกกันหน่อยไหม ? ”

เขาหันไปพูดกับเจ้าหนูน้อย

เป็นเพราะจากสถานที่แห่งนี้ไปนานซึ่งหลังจากที่กลับมาได้หนึ่งปีแล้วเขาก็อยากจะไปพบกับจี่จิงหลิงบ้างและแม้จะรู้ว่านางเป็นจักรพรรดิอสูรแต่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในภูผาแห่งหมอกเท่านั้น

อีกอย่างเขาเองก็อยากพบกับหวูยี่เช่นกันเพราะช่วงก่อนหน้านี้นางเก็บตัวบ่มเพาะมานานแล้วจึงคิดว่าน่าจะเสร็จสิ้นแล้ว

“ย๊า ! ”

เจ้าหนูน้อยพยักหน้าของมันพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง

หลินเทียนยิ้มออกมาพร้อมทั้งพูดว่า

“ไปกันเถอะ ”

จี่หยูและคนอื่นๆนั้นอยู่ในช่วงเก็บตัวบ่มเพาะซึ่งไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปดังนั้นถึงได้หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าขุนเขาแห่งหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มหมอกและพลังฉีอันเข้มข้น

เมื่อมาถึงแล้วเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะก้าวเดินเข้าไปภายในสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว

“ท่านพี่หลิน ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที รีบขึ้นมาเร็ว ”

น้ำเสียงของอ้ายเอ๋อถูกส่งออกมาจากด้านบน

เขาได้หันมองกลับขึ้นไปยังเด็กสาวที่สวมชุดสีแดงกำลังโบกมือให้กับเขา

ซึ่งด้านหลังของนางเองก็มีร่างสองร่างยืนอยู่คู่กัน…….จี่จิงหลิงที่ให้ความรู้สึกเสมือนเอล์ฟตัวน้อยและหวูยี่ที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาว

แน่นอนว่าทั้งสองสัมผัสได้ภายในชั่วพริบตาที่เขาก้าวเข้ามาที่นี่

หลินเทียนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมทั้งก้าวเดินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

การที่ได้พบกันหลังจากพลัดพรากกันไปหลายปีทำให้เขามีความสุขมากๆ

หลินเทียนเดินเกาศีรษะขึ้นไปด้านบนจนถึงตรงหน้าของพวกนาง

“จี่เอ๋อ หวูยี่ ”

เขาทักทายออกไปด้วยรอยยิ้ม

“หวูยี่ ”

เสี่ยวไท่ชูที่เกาะไหล่ของเขาได้ส่งเสียงทารกออกมาพร้อมทั้งบินออกไปอยู่ตรงหน้าของนาง

หวูยี่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งยื่นมือออกไปกุมมันเอาไว้

หลินเทียนได้แต่มองไปยังรอยยิ้มของนางด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่าเพราะมันช่างงดงามเสียเหลือเกิน

มันทำให้เขารู้สึกอิจฉาเจ้าหนูน้อยว่างมากเพราะหวูยี่ที่มักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นไม่พูดไม่จากลับเปลี่ยนไปเพราะเขาไม่เคยเห็นนางยิ้มให้กับใครนอกจากเจ้าหนูน้อยเลยด้วยซ้ำ

“ท่านพี่ จ้องหวูยี่ตาเป็นมันเลยนะ ”

จี่จิงหลิงส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

หลินเทียนได้แต่ทำตัวไม่ถูกพร้อมทั้งอดสำลักไปไม่ได้

จี่จิงหลิงยิ่งหัวเราะออกมามากกว่าเก่าก่อนที่จะสำรวจร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขา

ระหว่างนี้ดวงตาของนางก็ได้เปล่งประกายออกมาเล็กน้อย

“ไม่เจอกันไม่กี่ปีนี่ระดับพลังของท่านก้าวข้ามข้าไปแล้วนะ ”

นางได้แสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาก่อนที่จะกอดคอของเขาเอาไว้จากด้านหลังแล้วพูดว่า

“หลังจากนี้ก็เป็นท่านที่ต้องปกป้องข้าแล้วนะ ”

 

 

 


ตอนที่ 1435

 

แม้ว่าตัวของจี่จิงหลิงจะใช้ชีวิตมาเนิ่นนานทว่าหากดูจากรูปลักษณ์แล้วจะพบว่านางเป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยๆอายุ 11-12 ปีเท่านั้น ผมของนางยาวสลวยลงมาถึงเอวให้ความรู้สึกที่น่ารักไม่ต่างไปจากเอลฟ์ตัวน้อยเลยก็ว่าได้

หลินเทียนที่ถูกนางกอดคอเอาไว้แบบนี้ได้แต่รู้สึกอบอุ่นใจอย่างมาก

“จี่เอ๋อเองก็อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าแล้วนะ ”

เขาสำรวจนางด้วยจิตสัมผัสพร้อมทั้งพบว่าระดับพลังของนางอยู่ในเขตแดนเดียวกันกับเสี่ยวไท่ชู

“เป็นเพราะว่าปัญหาเรื่องสุขภาพในช่วงก่อนหน้านี้ทำให้แทบจะไม่สามารถตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลได้แต่หลังจากที่ปัญหาได้ถูกรักษาไปแล้วระดับพลังจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและราบรื่น ”

จี่จิงหลิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

หลินเทียนเองก็ได้แต่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปและคาดการณ์ว่าปัญหาที่นางพูดถึงนั้นหมายถึงเรื่องที่จะมีวันหนึ่งที่นางจะหลงลืมทุกสิ่งรวมถึงสูญเสียพลังทั้งหมด ?

“แล้วยังติดปัญหาอะไรอยู่ไหม ? ”

เขาได้ถามออกมา

จี่จิงหลิงเองก็รู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรดังนั้นถึงได้ตอบกลับไปว่า

“เป็นเพราะว่าแก่นพลังมีปัญหาเล็กน้อยทำให้การบ่มเพาะในเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลยากกว่าคนอื่นๆเท่านั้น ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ”

หลินเทียนเข้าใจทุกสิ่งได้ทันที

ในที่สุดเขาก็เข้าใจปัญหานี้เสียทีว่าที่แท้มันเป็นเพราะแก่นพลังของนางนี่เอง

อย่างไรก็ตามก็ยังโชคดีที่ปัญหาได้หมดไปแล้ว

“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน ? ”

หวูยี่ที่อยู่ข้างๆและกำลังกอดเสี่ยวไท่ชูเอาไว้ได้หันมองมาทางพวกเขา

แน่นอนว่าเพราะไม่อยากให้นางเป็นห่วงจิงหลิงถึงได้ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับนางไป

“เปล่าหรอกล่อนจ้อน ”

จี่จิงหลิงส่งเสียงออกมาด้วยรอยยิ้ม

หวูยี่ได้หันมองมาทางพวกเขาก่อนที่จะหยุดสายตาอยู่ที่นางแล้วพูดว่า

“ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ”

หลินเทียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้กับการโต้เถียงกันของทั้งสองคนนี้ซึ่งนี่ทำให้เขามีความสุขอย่างมาก

เขาหันมองออกไปทางหวูยี่ก่อนที่จะถามออกมาว่า

“แล้วตอนนี้ระดับพลังของเจ้าอยู่ในเขตแดนอะไรแล้วกัน ? ”

เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถสัมผัสถึงระดับพลังของนางได้แม้แต่น้อยแต่หลังจากที่กลับมาจากการออกไปท่องโลกกว้างหลายสิบปีจนอยู่ในเขตแดนนิรันดร์อมตะแล้วก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้เช่นเคย มันให้ความรู้สึกเสมือนว่าเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่ไร้ก้นบึ้ง

“ท่านพี่ ”

หวูยี่ไม่ทันจะได้พูดออกมาทว่าจี่จิงหลิงที่อยู่ข้างๆได้ปล่อยแขนที่คล้องคอของเขาเอาไว้แล้วพูดว่า

“ข้าคิดว่าท่านอย่ารู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่า ไม่งั้นท่านคงจะทนไม่ไหวแน่ๆ ”

หลังจากนั้นนางก็ได้แสดงสีหน้าที่ยิ้มแย้มออกมาพลางพูดต่อว่า

“ข้าหมายถึงว่าท่านจะรู้สึกกดดันเอามากๆ ”

เมื่อมองออกไปยังสีหน้าของจี่จิงหลิงแล้วเขาก็อดแสดงสีหน้าที่อับอายออกมาไม่ได้

เขารู้ดีว่านางเป็นคนเดียวที่รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของหวูยี่ซึ่งคำพูดนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจดีว่าระดับพลังของอีกฝ่ายนั้นอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวถึงขั้นที่ก้าวข้ามเขตแดนเขาไปไกลมากแล้ว

เขาได้แต่จ้องมองไปทางหวูยี่ด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมา

“แล้วล่อนจ้อนจะไปชงชาหน่อยได้ไหม ? ”

จี่จิงหลิงส่งเสียงออกมา

หวูยี่ได้พยักหน้าของนางพร้อมทั้งเชิญหลินเทียนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว

มันเป็นสวนที่ยังคงเรียบง่ายเหมือนเคย มีรั้วถูกกั้นเอาไว้และภายในมีโต๊ะหินถูกจัดวางไว้พร้อมๆกับเก้าอี้หลายตัวที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก

หวูยี่ที่กำลังชงชาอยู่เคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญและอ่อนโยนทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นใบชาอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนที่ได้กลิ่นของมันได้แต่รู้สึกอบอุ่นอย่างมาก

“ชาก็หอม คนชงก็สวยใช่ไหมล่ะท่านพี่ ? ”

จี่จิงหลิงหันมองมาทางเขาพร้อมทั้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

หลินเทียน

“……………”

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ดังนั้นถึงได้มีพลังฉีที่เข้มข้นอย่างมากแถมยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้นาๆชนิด

หลินเทียนที่มาถึงที่นี่ไม่ได้รีบจากไปและอาศัยอยู่กว่าหนึ่งเดือนเต็มๆ

หนึ่งเดือนมานี้หวูยี่นำเขาไปยังสถานที่ต่างๆทั่วสถานที่แห่งนี้ทำให้เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน

วันนี้เป็นวันที่เขาบอกลากับทั้งสองคนก่อนที่จะส่งมอบอาวุธอนันตกาลให้กับทั้งสอง

แต่เป็นเพราะว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของจี่จิงหลิงที่รู้ดีว่าหวูยี่นั้นแข็งแกร่งมากๆดังนั้นถึงไม่ได้มอบอะไรให้เพราะมันไม่จำเป็น

แต่ในเมื่อเขาได้มอบอาวุธให้กับจี่จิงหลิงและอ้ายเอ๋อไปแล้วก็ต้องมอบอะไรบางอย่างให้กับหวูยี่อยู่ดีดังนั้นถึงได้หยิบเอาหยกขึ้นมาพร้อมทั้งแกะสลักเป็นรูปร่างของหวูยี่ให้กับนาง

“ทำไมถึงรู้สึกว่ามันดูมีคุณค่าเสียยิ่งกว่าอาวุธอนันตกาลที่พวกเราได้กันอีกว่าไหมล่ะอ้ายเอ๋อ ? ”

จี่จิงหลิงส่งเสียงออกมา

“ใช่ๆ ”

อ้ายเอ๋อพยักหน้าซ้ำๆ

หลินเทียนได้แต่แสดงสีหน้าที่อับอายและทำตัวไม่ถูกออกมาโดยทันที

เขาหันมองไปทางทั้งสามคนก่อนที่จะบอกลาพร้อมทั้งหันหลังจากไปพร้อมๆกับเสี่ยวไท่ชู

ไม่นานเขาก็ได้ออกจากอาณาเขตนี้ไปก่อนที่จะฉีกมิติกลับไปยังสำนักนิรันดร์อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่กลับมาถึงแล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของหลายๆคนซึ่งล้วนแล้วแต่ปรับสมดุลของร่างกายในเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 6 กันได้หมดแล้ว

“ดีมาก ! ”

หลินเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อว่า

“ออกไปเที่ยวกันหน่อยไหม ? ”

“ได้สิ ”

ผู้คนทั้งหลายต่างพากันพยักหน้าของพวกเขาเพราะนอกจากเหลาเหลาแล้วคนอื่นๆนั้นล้วนมาจากสวรรค์ชั้นล่างๆกันทั้งหมดทำให้ครอบครัวหรือคนรู้จักล้วนกระจายตัวกันออกไปตามสถานที่ต่างๆดังนั้นการที่หลินเทียนชวนออกมาแบบนี้ก็ต้องอยากจะกลับไปอยู่แล้ว

“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ ”

หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

วันนี้เป็นวันที่พวกเขาพากันก้าวข้ามประตูมิติเพื่อกลับลงไปยังสวรรค์ชั้นล่างๆโดยที่ใช้การเดินเท้าและไม่ได้ฉีกมิติแม้แต่น้อยซึ่งแต่ละคนเองก็แสดงสีหน้าที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

ระหว่างนี้ก็บังเอิญได้พบเข้ากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาเพราะต้องรู้ก่อนนะว่านอกจากเหลาเหลาแล้วคนอื่นๆล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของสำนักนิรันดร์ที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วสวรรค์สิบชั้น

โดยเฉพาะหลินเทียนที่อยู่หน้าสุดที่ทำให้พวกเขาล้วนพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงและตื่นเต้นออกมา

“ท่านราชันอมตะ ! ”

“คาราวะท่านราชันอมตะ ! ”

“ขอพระเจ้าคุ้มครองท่าน ”

ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่บังเอิญพบกับเขาต่างพากันแสดงความเคารพออกมาด้วยสีหน้าที่เลื่อมใสอย่างมาก

เหลาเหลาได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาพร้อมทั้งพูดว่า

“ดูเหมือนเจ้าจะมีชื่อเสียงจริงๆเลยนะ ”

เป็นเพราะตลอดการเดินทางนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องแสดงความเคารพให้กับเขาจากใจจริงซึ่งนางเองก็ตระหนักได้ดีว่าไม่ได้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของหลินเทียนแต่เป็นความเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจ

“แน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าท่านพี่น่ะเป็นถึงวีรบุรุษของดาวดวงนี้ ! ”

หลินซี่พูดออกมาด้วยท่าทางที่ภูมิใจอย่างมาก

หลายปีก่อนหน้านี้หลินเทียนได้หยุดยั้งความโกลาหลไปมากมายแถมยังนำทัพออกไปต้านกองกำลังตระกูลยมโลกก่อนที่จะปลดผนึกสวรรค์ชั้นที่สิบก่อนที่จะถ่ายทอดข้อมูลต่างๆให้กับผู้คนทั้งสวรรค์สิบชั้น

มันเป็นขั้นตอนที่สร้างชื่อเสียงและความเคารพให้กับเขา

หลินเทียนได้แตะศีรษะของนางพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“อย่าอวดพี่นักสิ ”

“ก็มันเป็นความจริงหนิ ”

หลินซี่ตอบกลับ

หลินเทียนได้แต่ยิ้มออกมาและไม่ได้พูดอะไรต่อ

เขาและคนอื่นๆพากันเดินเท้าไปยังสถานที่ต่างๆทั่วสวรรค์ทุกชั้นก่อนที่จะไปถึงตระกูลคนป่า สำนักหยูฮัวและตระกูลไป่เพื่อเยี่ยมเพื่อนหรือผู้อาวุโสซึ่งระหว่างนี้เขาก็แจกจ่ายเส้นชีพจรเทวะให้กับขุมพลังเหล่านี้คนละ 150 เส้นรวมถึงคริสตัลวิญญาณกว่าสองหมื่นล้านกิโลกรัมและอาวุธวิญญาณเขตแดนนิรันดร์อมตะซึ่งทำให้อีกฝ่ายได้แข็งค้างไป

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขายึดเอามาจากขุมพลังต่างๆ

“เจ้าหนูนี่ได้รับสมบัติมามากมายขนาดนี้เลย ?! ข้าล่ะตกใจแทบบ้า ! ”

จระเข้เบญจธาตุส่งเสียงออกมา

เป็นเพราะเขาล้วนแล้วแต่ทำแบบเดียวกันกับขุมพลังทั้งสามแห่งและนี่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฟุ่มเฟือยเอามากๆ

“ก็งั้นๆแหละ ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

เป็นเพราะว่าเส้นชีพจรเทวะที่เขาได้รับมานั้นมีมากเสียกว่าพันๆเส้นดังนั้นแม้จะวางรากฐานให้กับสำนักเพิ่มอีกหลายร้อยเส้นแต่ก็ยังเหลืออยู่อีกมากมายแถมยังได้รับคริสตัลวิญญาณมากว่าสามแสนล้านกิโลกรัม

เขาและคนอื่นๆพากันเดินทางออกไปจนถึงนิกายอาทิตย์ผลาญฟ้าอย่างรวดเร็ว

“เด็กดีๆ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ”

ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอาทิตย์ผลาญฟ้าและคนอื่นๆได้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านจ้าวนิกาย ท่านผู้อาวุโส ”

หลินเทียนแสดงความเคารพออกมาอย่างจริงจัง

วันนี้พวกเขาหลายคนพักอาศัยอยู่ที่นี่พร้อมทั้งวางเส้นชีพจรเทวะกว่าสามร้อยเส้นลงไปเป็นรากฐานนิกายก่อนที่จะมอบอาวุธวิญญาณ คริสตัลวิญญาณกว่าห้าหมื่นล้วนกิโลกรัมและอื่นๆไว้ให้มากมาย

แน่นอนว่านี่ทำให้หลายๆคนได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจถึงขีดสุดออกมาตามๆกัน

“เจ้าหนู ข้าล่ะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแล้วจริงๆ ”

ถูโปได้ส่งเสียงออกมาพลางตบไหล่ของเขาอย่างจัง

 

 

 


ตอนที่ 1436

 

ระหว่างที่ตบไหล่ของหลินเทียนนั้นถูโปก็ระลึกกลับไปยังเรื่องที่ในช่วงหลายๆปีหลินเทียนมักจะนำสมบัติมากมายกลับมามอบให้กับนิกายเสมอๆและมันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนิกายไปไม่น้อยซึ่งการกลับมาครั้งนี้พร้อมๆกับเส้นชีพจรเทวะและอื่นๆมากมายนั้นมันไม่สามารถประเมินค่าได้เลยด้วยซ้ำ

ตอนนี้ขุมพลังของพวกเขากลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในสวรรค์ชั้นนี้และหากวัดกันที่รากฐานขุมพลังแล้วก็เรียกได้ว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของขุมพลังทั้งหมดในดาวดวงนี้

“เป็นเด็กดีจริงๆ ”

ผู้อาวุโสสูงสุดได้ส่งเสียงออกมาด้วยรอยยิ้ม

“หลินเทียน ข้าขอเป็นตัวแทนนิกายของเราขอบคุณเจ้ามากๆ ”

จ้าวนิกายแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจและตื่นเต้นออกมาก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับหลินเทียน

หลินเทียนเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่น้อยพร้อมทั้งรีบพยุงร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยพลังเทวะอ่อนๆแล้วพูดว่า

“ท่านจ้าวนิกาย ท่านเป็นถึงศิษย์น้องของอาจารย์รุ่นเยาว์แล้วจะให้รุ่นเยาว์รับการโค้งคำนับของท่านได้อย่างไรกัน ? ”

เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจังพลางพูดต่อว่า

“ยิ่งไปกว่านั้นแม้รุ่นเยาว์จะมีขุมพลังเป็นของตัวเองแล้วแต่ก็ไม่เคยลืมว่าตัวเองมาจากไหน นี่เป็นสิ่งที่รุนเยาว์ควรพึงกระทำอยู่แล้ว ”

อาจารย์ที่เขาเคารพนับถือนั้นแนะนำเขาให้กับนิกายแห่งนี้ดังนั้นสำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากพ่อแท้ๆซึ่งผู้อาวุโสสูงสุดและคนอื่นๆเองก็ดีกับเขามากๆและไม่ลังเลเลยที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับขุมพลังที่เคยแข็งแกร่งที่สุดในสวรรค์ชั้นนี้ซึ่งเขาเองก็ไม่มีวันลืมเรื่องนี้ไปเด็ดขาด

สำหรับเขาแล้วสถานที่แห่งนี้มันก็คือบ้านของเขา

จ้าวนิกายได้พยักหน้าพร้อมทั้งพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า

“งั้นข้าไม่เกรงใจแล้วกัน ”

“การที่นิกายของเรามีเจ้าศิษย์อาจารย์นี่มัน…….เป็นบุญของพวกเราจริงๆ ”

ผู้อาวุโสสูงสุดได้ส่งเสียงออกมาด้วยใบหน้าที่มีความสุข

หลินเทียนเองก็ได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมทั้งตระหนักได้ถึงบางสิ่งพลางพูดออกมาว่า

“อ่อใช่ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ เมื่อหลายสิบปีก่อนรุ่นเยาว์ได้ก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบพร้อมทั้งพบว่าท่านอาจารย์และท่านภรรยาอาจารย์ได้ทะลวงผ่านม่านฟ้าและออกไปท่องในห้วงจักรวาลแล้ว ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้อธิบายเรื่องราวต่างๆในห้วงจักรวาลก่อนที่จะถามออกมาว่า

“แล้วหลายปีมานี้เขาไม่ได้กลับมาบ้างเลย ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วคนอื่นๆก็ได้แต่ผงะไป

“นี่ด้านนอกสวรรค์ชั้นสิบคือห้วงจักรวาล ?! แถมนอกเหนือนั้นยังมีหมู่ดาวและดวงดาวที่แข็งแกร่งมากมาย ?! นี่มัน…..”

พวกเขาได้แต่ตกตะลึงไปกับสิ่งที่ได้ยินนี้และใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะทำใจรับได้

จ้าวนิกายได้ส่งเสียงออกมาว่า

“ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงไม่ได้กลับมาเลย พวกเราเองก็คิดถึงพวกเขามากๆ ”

หลินเทียนพยักหน้าของเขาด้วยความรู้สึกเสียดายเพราะคิดว่าเขาจะได้พบกับอาจารย์ตัวเอง

จระเข้เบญจธาตุที่อยู่ข้างๆเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาพร้อมทั้งพูดว่า

“ข้าเองก็คิดไว้ว่าคนที่ก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบและฝ่าห้วงจักรวาลออกไปได้จะเป็นเจ้าหนูหลินเสียอีก ”

มันพูดต้อว่า

“แต่พูดก็พูดก็สมแล้วจริงๆที่เป็นถึงเขาคนนั้น ”

“ท่านอาจารย์ปู่สุดยอดที่สุด ! ”

เย่ตงส่งเสียงออกมาพลางพูดต่อว่า

“ท่านเป็นคนแรกที่ก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบ ? ”

“นี่ก็ไม่ใช่เหมือนกัน ”

หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งพูดว่า

“เป็นเพราะเหตุผลพิเศษบางประการทำให้ข้าบังเอิญเห็นภาพความทรงจำของสถานที่แห่งนั้นซึ่งก่อนหน้าท่านอาจารย์คือหวูยี่ได้ก้าวข้ามไปก่อนแล้วและก่อนหน้าหวูยี่ก็คือจ้าวสวรรค์ทั้งเก้า”

คำพูดนี้ทำให้คนอื่นๆนอกเหนือจากเหลาเหลาต่างพากันผงะไป

“นี่แม่นางหวูยี่เคยก้าวข้ามไปก่อนแล้ว ? นี่มัน….แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ! ”

จระเข้เบญจธาตุได้แต่ผงะไปก่อนที่จะพูดต่อว่า

“แล้วนี่จ้าวสวรรค์ทั้งเก้าเองก็ล้วนก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบกันหมดก่อนที่จะทะลวงออกไปในห้วงจักรวาลงั้นรึ ? นี่…….หรือว่าข่าวลือนั่นผิดพลาด ? พวกเขา…….ยังไม่ตาย ? ”

เป็นเพราะว่าทั้งเก้าคนล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานในโลกใบนี้ซึ่งผู้คนทั้งหลายต่างคิดว่าพวกเขาตกตายลงกันไปหมดแล้วเนื่องจากถูกสยบอยู่ภายใต้สวรรค์ชั้นที่สิบทำให้ถูกกาลเวลากลืนกินไปทว่าความจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ? นี่ทั้งเก้าคนต่างก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบกันหมดแล้ว ?!

“ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้วการก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบนั้นจะต้องสามารถตัดผ่านไปยังเขตแดนที่ไม่มีวันแตกดับได้แน่ๆ ข้าคิดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ”

หลินเทียนพูดออกมาพลางพูดต่อว่า

“แต่พวกเขาทั้งเก้าคนก็ยังไม่ใช่คนแรกที่ก้าวข้ามไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นใครแต่เขาแข็งแกร่งไร้เทียมทานมากๆ ! เป็นเพราะว่าข้อมูลที่ข้าได้รับล้วนเป็นสิ่งที่เขาจาลึกเอาไว้แถมยังเป็นเพราะกลิ่นอายที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ถึงได้ทำให้ม่านพลังในสวรรค์ชั้นที่สิบไม่สามารถทำลายได้ ”

“ว่าไงนะ ?! ”

“เหตุผลที่ม่านพลังสวรรค์ชั้นที่สิบมันแข็งแกร่งมากก็เพราะว่า…….กลิ่นอายที่เขาบังเอิญทิ้งเอาไว้ ?! ”

“นี่มัน………”

หลายๆคนได้แต่ผงะไป

“จากคำพูดของเจ้านี่คนที่จาลึกเขตแดนแลนแก่นแท้ทั้งหมดเอาไว้ได้อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งทวยเทพตั้งแต่อดีตแล้ว ?! ”

หลินเทียนพยักหน้าของเขา

“น่าจะใช่ ”

“เขตแดนจักรพรรดิแห่งทวยเทพ ! นี่ดาวของเจ้าให้กำเนิดตัวตนระดับนี้ได้ด้วย ?! ”

เหลาเหลาถึงกับผงะไป

จี่หยูและคนอื่นๆเองก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกันเพราะไม่คิดเลยว่าสวรรค์สิบชั้นนี้จะมีตัวตนที่แข็งแกร่งได้ถึงขนาดนั้น

นี่ทำให้ทุกคนภายในสถานที่แห่งนี้ต่างพากันนิ่งเงียบไปโดยทันที

“อย่าไปสนใจเรื่องนี้มากเลยเพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรามากนัก ”

หลินเทียนพูดออกมา

จระเข้เบญจธาตุเองก็พยักหน้าของมันอย่างเห็นด้วยว่า

“ก็จริงแหะ ”

พวกเขาพากันสงบสติของตัวเองและล้มเลิกความคิดทั้งหมดไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกกว่าสามวันก่อนที่จะบอกลากับทุกคนแล้วก้าวเดินออกจากนิกายแห่งนี้

“ไปยังนิกายพิณใต้พิภพกันเถอะ หลังจากนั้นค่อยกลับไปยังอาณาจักรเป่ยหยานกัน ”

หลินเทียนพูดออกมา

เขาและคนอื่นๆพากันมุ่งหน้าไปยังนิกายพิณใต้พิภพก่อนที่จะวางเส้นชีพจรเทวะกว่า 150 เส้นและมอบสมบัติและทรัพยากรบ่มเพาะให้มากมายก่อนที่จะกลับไปยังอาณาจักรเป่ยหยานเพื่อเยี่ยมมู่ชิง ฉีดงและคนอื่นๆพร้อมทั้งมอบสมบัติมากมายให้กับพวกเขา

ระหว่างนั้นเขาก็ได้พบกับจูยี่ ซินเหยาและคนอื่นๆพร้อมทั้งแจกจ่ายทรัพยากรบ่มเพาะไปมากมาย

หลังจากนั้นเขาก็พากันเดินทางกลับไปยังสวรรค์ชั้นที่เก้าอย่างรวดเร็ว

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกกว่าครึ่งเดือน

วันนี้เป็นวันที่เขาเรียกเย่ตงเข้าพบพร้อมทั้งเริ่มอธิบายเกี่ยวกับพลังแห่งความเชื่อและเริ่มก่อสร้างมัน

“พลังแห่งความเชื่อเกิดจากจำนวนผู้ศรัทธา ? ไม่สามารถฝึกฝนมันได้ ? แถมยังสามารถใช้เพิ่มพลังหรือเป็นพลังโจมตีได้ ? ”

เย่ตงได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับพลังที่แปลกใหม่

“ใช่”

หลินเทียนตอบกลับไป

เขาโบกมือสังเวยเอาเจดีย์ราชันอมตะที่รายล้อมไปด้วยประกายแสงสีม่วงและคลื่นสายฟ้าออกมา

เย่ตงได้แต่ผงะไปพลางส่งเสียงออกมาว่า

“ท่านอาจารย์ เจดีย์นี่มัน……”

เป็นเพราะว่าเขาในตอนนี้อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์แล้วแถมยังอ่านตำราเก่าแก่ของหลินที่นำกลับมาจากห้วงจักรวาลไปมากมายดังนั้นวินาทีแรกที่เห็นมันก็สัมผัสได้เลยว่าประกายแสงสีม่วงมันคือพลังโกลาหลแถมยังเป็นพลังที่เข้มข้นซึ่งมีเพียงคริสตัลโกลาหลบรรพกาลเท่านั้นที่มีได้

“เจ้าคิดถูกแล้วล่ะ ”

แน่นอนว่าหลินเทียนเองก็พอเดาได้ว่าเย่ตงกำลังคิดอะไรถึงได้พูดต่อว่า

“นี่คือเจดีย์ราชันอมตะที่สร้างขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาลของข้า ”

เย่ตงผงะไปเพราะแม้จะเดาไว้ก่อนแล้วแต่หลังจากที่ได้ยินกับหูก็ยังตกตะลึงไม่น้อย

“ยินดีด้วยขอรับ ! ”

เขาพูดออกมา

เป็นเพราะว่าจากตำนานที่จาลึกเอาไว้นั้นต่อให้มันถูกทำลายก็จะสามารถก่อตัวขึ้นใหม่ได้อีกครั้งทำให้ได้ชื่อว่าเป็นสมบัติในหมู่สมบัติทว่าอาจารย์ของเขากลับได้รับมันมาแล้วหลอมเป็นเจดีย์ที่ทรงพลังแบบนี้มันทำให้เขามีความสุขอย่างมาก

หลินเทียนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมทั้งพูดด้วยท่าทางที่จริงจังว่า

“เจ้ารับมันไปแล้วเริ่มการเผยแพร่คำสอนของเราให้กับสวรรค์ทั้งสิบชั้น ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้โบกมือส่งเจดีย์ราชันอมตะออกไปแล้วพูดต่อว่า

“ระหว่างที่เผยแพร่คำสอนก็จงใช้มันเป็นตัวแทนแห่งความเชื่อของพวกเรา ”

ความเชื่อนั้นอัดแน่นอยู่ภายในร่างของมนุษย์ธรรมดาซึ่งคนๆเดียวอาจจะถือว่าเล็กน้อยด้อยค่าแต่หากว่ารวมกันเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านถึงหลายพันหลายหมื่นล้านแล้วก็จะกลายเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงขั้นสามารถทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1437

 

ความเชื่อนั้นเป็นเส้นทางการบ่มเพาะอีกเส้นทางซึ่งแม้ว่าหลินเทียนจะไม่ใช้มันสำหรับการบ่มเพาะปกติแต่มันก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาแถมยังไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อผู้ศรัทธาดังนั้นการจะสร้างความศรัทธาก็มีแต่ได้กับได้เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งจำนวนผู้ศรัทธาเพิ่มมากขึ้นพลังแห่งความเชื่อเองก็จะยิ่งเข้มข้นซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้ในอนาคต

เจดีย์ราชันอมตะโคจรอยู่รอบตัวของเย่ตงในตอนนี้ซึ่งระหว่างนั้นมันก็ส่องประกายแสงอันทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์ออกมารอบทิศทาง

“ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์จะตั้งใจเผยแพร่คำสอนของท่าน ! ”

เย่ตงตอบรับอย่างตั้งใจ

“อื้ม ไปเถอะ ”

หลินเทียนพูดออกมา

“ขอรับ ! ”

เย่ตงพยักหน้าของเขาก่อนที่จะเก็บเอาเจดีย์ราชันอมตะเข้าไปไว้ภายในทะเลความรู้ของตนแล้วทำความเคารพก่อนที่จะหันหลังกลับไป

เมื่อมองออกไปยังแผ่นหลังของเย่ตงแล้วหลินเทียนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เพราะเขาเชื่อในการสอนของตัวเองและเชื่อในความสามารถของศิษย์ตัวเองว่าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน

“อยู่กับพวกเขาสักพักแล้วกัน ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมทั้งหันมองออกไปก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังลานด้านในส่วนลึกของสำนัก

ที่นี่มีสวนที่ค่อนข้างพิเศษแถมยังรายล้อมไปด้วยดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอันเข้มข้นออกมาซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นที่อยู่ของเหล่าสตรีทั้งหลาย

เขามาถึงที่นี่พร้อมทั้งเรียก หลินซี่ จี่หยู ซูชูว ไป่เฉียว และเสวี่ยเย่ออกมาเพื่อเตรียมตัวออกไปเที่ยวกับพวกเขา

“ดีมากท่านพี่ ! ข้าเองก็อยากจะออกไปนอกห้วงจักรวาลเพื่อมองดูดาวสวรรค์สิบชั้นในระยะประชิดเหมือนๆกัน ! ”

หลินซี่ส่งเสียงออกมาด้วยท่าทางที่มีความสุขอย่างมาก

“ไม่มีปัญหา ”

หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันมองไปทางหญิงสาวคนอื่นๆแล้วพูดว่า

“พวกเจ้าล่ะ ? อยากจะไปที่ไหนไหม ? ”

“ที่สวรรค์ชั้นนี้เองก็มีสถานที่หนึ่งที่ชื่อว่าดินแดนผนึกยุคบรรพกาลซึ่งเป็นสนามรบที่เจ้าใช้ต่อสู้กับเผ่ายมโลก ข้าอยากจะไปที่นั่นหน่อยได้ไหม ? ”

ไป่เฉียวถามออกมา

จี่หยูเองก็พยักหน้าของนาง

“ข้าเองก็อยากไปเหมือนกัน ”

“งั้นข้าก็อยากไปด้วย ”

เสี่ยวเย่พูดขึ้นมา

ซูชูวส่งเสียงสะท้อนว่า

“เอาตามเสวี่ยเย่แล้วกัน ”

หลินเทียนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมทั้งพูดว่า

“เอาล่ะงั้นเราไปที่ดินแดนผนึกยุคบรรพกาลกันก่อนแล้วค่อยกลับไปเที่ยวเล่นที่ห้วงจักรวาลกัน ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้นำพวกนางก้าวข้ามไปยังดินแดนผนึกยุคบรรพกาลก่อนที่จะทะลวงผ่านม่านฟ้าออกไปยังห้วงจักรวาล

และวันนี้เป็นวันที่เย่ตงได้เกณฑ์กองกำลังออกไปเผยแพร่คำสอนตามความต้องการของเขาไปทั่วสวรรค์สิบชั้น

ด้วยสถานะบุตรแห่งสวรรค์ของเขาผนวกกับความตั้งใจและเจดีย์ราชันอมตะในมือนั้นทำให้มีผู้ศรัทธาหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

อีกอย่างก็เป็นเพราะการกระทำของหลินเทียนทำให้ผู้คนมากมายล้วนให้ความเคารพหลินเทียนอย่างมากถึงได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นผู้ศรัทธาอย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดดำเนินการต่อไปอย่างราบรื่นจนในที่สุดมันก็เป็นเหมือนเปลวเพลิงที่ลุกลามไปทั่วดาวทั้งดวง

เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่เย่ตงพยายามอย่างหนักโดยการนำเหล่าศิษย์ทั้งหลายเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกเพื่อเผยแพร่คำสอนของหลินเทียน

ระหว่างนั้นกลุ่มอื่นๆเองก็ทำหน้าที่แบบเดียวกัน

เปลวเพลิงแห่งความเชื่อได้ลุกโชนขึ้นแล้ว

…….

หลินเทียนยังคงเที่ยวเล่นอยู่กับน้องสาวและคนอื่นๆก่อนที่จะนำพวกนางไปเที่ยวทั่วจักรวาลและหกเดือนหลังจากนั้นถึงจะกลับมา

“ห้วงจักรวาลมันงดงามจริงๆ ”

หลินซี่ส่งเสียงออกมา

จี่หยูและคนอื่นๆเองก็ต่างพยักหน้าไปตามๆกันเพราะพวกนางได้แต่หลงใหลไปกับภาพของหมู่ดาวมากมายที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่รอบทิศทาง

“งดงามก็จริงแต่มันก็เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ”

หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เป็นเพราะเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้เขาได้รับตำรามามากมายทำให้เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับห้วงจักรวาลมากยิ่งขึ้นซึ่งเขาพบว่ามันอัดแน่นไปด้วยอันตรายมากมายไม่เว้นแม้กระทั่งคลื่นทำลายล้างจากหมู่ดาวที่สามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งไปได้ง่ายๆอีกทั้งยังมีสัตว์อสูรเขตแดนอนันตกาลและอื่นๆอีกมากมาย

เขานำพวกนางเหาะลงมายังสวรรค์สิบชั้นก่อนที่จะกลับไปยังสวรรค์ชั้นที่เก้าอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานก็ตรงไปยังตำหนักจักรพรรดิอสูรเพื่อวางรากฐานและแจกจ่ายทรัพยากรบ่มเพาะให้กับพวกเขาทำให้ผู้คนทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมาตามๆกันขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้แต่ขอบคุณกันยกใหญ่

“ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่ต้องเกรงใจขอรับ ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

เป็นเพราะว่าจี่จิงหลิงนั้นเป็นจักรพรรดิอสูรแห่งนี้แถมผู้อาวุโสทั้งหลายเองก็เคยให้ความช่วยเหลือเขาแล้วดังนั้นการที่จะช่วยตำหนักจักรพรรดิอสูรก็เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับเขา

ส่วนภูผาแห่งหมอกนั้นเขาไม่ได้ปรับแต่งอะไรเพิ่มเนื่องจากมันไม่จำเป็นเพราะว่าพลังฉีในสถานที่แห่งนั้นมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักนิรันดร์ของเขาเลยก็ว่าได้

เขาโบกมือลาคนอื่นๆก่อนที่จะออกเดินทางไปยังสถานที่อื่นๆพร้อมกับหญิงสาวทั้งหลายอยู่กว่าหนึ่งเดือนถึงกลับไปยังสำนักนิรันดร์อีกครั้ง

ระหว่างนั้นเขาก็มักจะเดินเท้าไปทั่วทุกสถานที่และคอยชี้แนะเหล่าศิษย์ด้วยตัวเอง

เวลาได้ผ่านไปอีกกว่าสามปีภายในชั่วพริบตา

วันนี้เป็นวันที่เขาส่งจิตสัมผัสออกไปเรียกตัวเย่ตงกลับมาเนื่องจากเขาจำเป็นต้องไปจากที่นี่เพื่อนำเหลาเหลากลับไปส่งและเก็บกู้เอาเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่กลับมาจึงจำเป็นต้องเอาเจดีย์ราชันอมตะไปด้วย

เวลาผ่านไปได้ไม่นานเย่ตงก็รีบกลับมายังสำนักนิรันดร์อีกครั้ง

“ท่านอาจารย์ ”

เย่ตงส่งเสียงออกมาพร้อมเหาะเข้ามาหาเขา

ณ ตอนนี้ประกายแสงที่มันส่งออกมานั้นเข้มข้นขึ้นกว่าเก่ามากแถมยังอัดแน่นไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ความรู้สึกลึกลับเป็นอย่างมาก

“เหนื่อยหน่อยนะ ”

เขาพูดออกมาหลังจากที่เรียกเอาเจดีย์ราชันอมตะกลับมา

ตอนนี้เจดีย์ราชันอมตะได้อัดแน่นไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันเข้มข้นซึ่งหลังจากที่เขาสำรวจแล้วก็ได้พบกับภาพของมหาสมุทรแห่งความเชื่อที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งศรัทธาที่มีมากกว่าตอนที่อยู่บนโลกหลายเท่าซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเย่ตงได้เป็นอย่างดี

แต่จะบอกว่าเซียนเซียนไม่มีความสามารถก็ไม่ใช่เพราะว่าโลกทั้งสองมันต่างกันออกไป จำนวนประชากรในสองโลกนั้นแตกต่างกับลิบลับดังนั้นถึงได้สามารถเก็บเกี่ยวพลังแห่งความเชื่อมาได้เร็วมากกว่า

“ไม่ลำบากหรอกขอรับ ศิษย์เองก็ได้รับประโยชน์มามากมาย ”

เย่ตงพูดออกมา

ในช่วงสามปีมานี้เขาเองก็ได้รับการหล่อหลอมพลังจากเจดีย์ราชันอมตะทำให้ตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 7 ได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นเขาก็ได้ถามออกมาด้วยสีหน้าที่สงสัยว่า

“ท่านอาจารย์ ในช่วงสามปีมานี้ข้าพบความผิดปกติเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าพลังงานบางส่วนที่อยู่ภายในเจดีย์ราชันอมตะจะไม่ได้มาจากโลกใบนี้เสมือนว่า…….มันมาจากที่อื่น หรือว่าท่านเองก็มีผู้ศรัทธาอยู่ที่อื่นด้วย ? ”

หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นเองก็ได้แต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มว่า

“เป็นเพราะว่าห่างออกไปไกลแสนไกลมันเป็นสถานที่ๆข้าได้เรียนรู้พลังนี้ซึ่งข้าเองก็ก่อตั้งสำนักที่นั่นและเริ่มการเผยแพร่คำสอนเป็นแห่งแรก ”

“ที่นั่นเป็นที่อยู่ของศิษย์น้องของเจ้าที่เจ้ายังไม่เคยพบกันมาก่อน เป็นแม่หนูจิ้งจอกน้อยน่ารักที่ข้ารับมา”

หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อว่า

“พลังแห่งศรัทธาที่เจ้าได้รับมาน่าจะเป็นฝีมือของศิษย์น้องหญิงของเจ้านั่นแหละ ”

ระหว่างที่กำลังพูดเขาก็อดคิดถึงเซียนเซียนที่ทำตัวน่ารักไม่ได้

เย่ตงที่ได้ยินเช่นนั้นเองก็ได้แต่พูดออกมาว่า

“ที่แท้ก็มีผู้ศรัทธาจากที่อื่นจริงๆ ข้างเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมพลังความเชื่อนี้ถึงได้รวมตัวกันที่เจดีย์ราชันอมตะกัน ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อด้วยความสงสัยว่า

“ยิ่งไปกว่านั้นคือข้ามีศิษย์น้อยหญิงด้วย ? จากสิ่งที่ท่านพูดแล้วนางน่าจะเป็นเผ่าอสูร ? แข็งแกร่งไหมขอรับ ? ”

“อื้ม เป็นเผ่าอสูรและแข็งแกร่งมากๆ ด้วยระดับพรสวรรค์ของนางแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าหรือถึงขั้นสูงกว่าเจ้าเล็กน้อยด้วยซ้ำ”

หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เป็นเพราะว่าเซียนเซียนนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมากแถมยังมีไหวพริบและหัวไวไม่แพ้กายราชันคนไหนๆจึงเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)