Divine King of All Directions 1426-1429
ตอนที่ 1426
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่ข่ายอาคมสังหารเขตแดนนิรันดร์แท้จริงเปิดทำงานซึ่งพลังทำลายล้างที่ส่งออกมานั้นเรียกได้ว่าพื้นที่โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยจิตสังหารอย่างเข้มข้น
คลื่นพลังจิตสังหารอันเข้มข้นได้แผดออกไปอย่างรุนแรง
เสื้อผ้าของหลินเทียนและคนอื่นๆโบกสะบัดไปตามสายลมขณะที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
“ขนาดบรรพบุรุษเขตแดนอนันตกาลยังชิงเอาไปไม่ได้แต่พวกเจ้าก็ยังอุส่าคิดแต่เรื่องนี้จริงๆเลยนะ ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นี่ทำให้สีหน้าของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญถึงกับตกต่ำลงขณะที่จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวไหลทะลักออกมา
“ต้องโทษที่เจ้ากล้าเข้ามาที่นี่เอง ! ”
“มันเป็นสมบัติของโลกใบนี้ ขุมพลังของข้าปกครองโลกนี้มาอย่างเนิ่นนานดังนั้นสมบัตินั่นมันไม่เหมาะที่จะอยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญระดับเจ้า ! ”
“ไม่ต้องไปเถียงกับมันให้เปลืองน้ำลาย รีบจับตัวมันเอาไว้แล้วสังหารพวกมันเพื่อล้างแค้นให้กับท่านบรรพบุรุษกัน ! ”
เหล่าผู้เชี่ยวชาญพากันส่งเสียงอันดุร้ายออกมา
“จับตัวมัน ! ”
ผู้อาวุโสสูงสุดที่หนึ่งได้ส่งเสียงออกมาขณะที่กระบี่นิรันดร์และข่ายอาคมสังหารกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียนและคนอื่นๆ
แรงกดดันอันหนักหน่วงไม่ต่างจากห้วงจักรวาลกดทับเข้าใส่ร่างของพวกเขา
หลินเทียนได้หันมองออกไปยังข่ายอาคมที่รายล้อมอยู่รอบๆด้วยสีหน้าที่ราบเรียบอย่างเคย
“เพื่อนตัวน้อย ข้าจัดการเอง ”
อสรพิษม่วงได้ส่งเสียงออกมา
หลินเทียนพยักหน้าพร้อมพูดว่า
“งั้นต้องรบกวนท่านด้วย ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ”
อสรพิษม่วงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วมันทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่รอบๆต่างพากันแสดงสีหน้าที่ดุร้ายออกมาโดยทันที
“เป็นเจ้าแล้วยังไง ต่อให้อยู่ในเขตแดนกึ่งนิรันดร์แท้จริงก็ไม่มีทางรับมือกับอาวุธนิรันดร์แท้จริงและข่ายอาคมพิทักษ์ของเราได้ ! ”
จ้าวนิกายส่งเสียงออกมา
อสรพิษม่วงหันมองออกไปทางฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยก่อนที่จะแผดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นออกมา
และหลังจากนั้นเองที่เตาพลังวิญญาณได้ถูกสังเวยออกมาจากภายในร่างของมันพร้อมทั้งแผดกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกไปรอบทิศทาง
พริบตานี้เองที่ร่างกายของเหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้แต่พากันสั่นสะท้านไปอย่างต่อเนื่อง
“เตาพลังวิญญาณจี่หยาน ! ”
พวกเขาได้แต่ผงะไปเพราะว่ารู้จักมันเป็นอย่างดีเนื่องจากว่าเป็นอาวุธประจำนิกายจี่หยาน
นี่ทำให้ศิษย์ทั้งหลายที่อยู่โดยรอบพากันโง่งมไปทันที
“อาวุธไพ่ตายของนิกายจี่หยานกลับ…..อยู่ในมือของเขา ?! ”
“นี่..ไปยืมมา ?! มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเองก็ตกตายลงด้วยเงื้อมมือของพวกมันเช่นกัน แล้วจะเป็นไปได้ไงที่จะให้ยืมมา ? ”
“งั้น…….ก็ไปชิงเอามา ?! นี่มัน…..”
เหล่าศิษย์พากันสั่นสะท้านอย่างไม่หยุดหย่อน
“ตู้มมม ~!”
กลิ่นอายทำลายล้างอันทรงพลังระเบิดมิติโดยรอบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
อสรพิษม่วงที่มีอาวุธนิรันดร์แท้จริงอยู่ในมือได้ปลดปล่อยคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งแรงกดดันของมันยิ่งใหญ่กว่าของกระบี่นิรันดร์ตั้งไม่รู้กี่เท่าตัวเลยด้วยซ้ำ
อาวุธทั้งสองล้วนเป็นอาวุธระดับเดียวกันแต่เหตุผลที่เตาพลังวิญญาณจี่หยานแข็งแกร่งกว่าก็เพราะว่ามันอยู่ในมือของกึ่งนิรันดร์แท้จริงดังนั้นความต่างชั้นนี้ถึงได้ยิ่งใหญ่อย่างมาก
“ทำไมเจ้า…..ถึงได้มีไพ่ตายของนิกายจี่หยานกัน ?! ”
ผู้คนทั้งหลายพากันส่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกที่ตกตะลึงอย่างมาก
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขามั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถสยบหลินเทียนและพวกพ้องได้ด้วยข่ายอาคมสังหารและอาวุธนิรันดร์แท้จริงทว่าหลังจากที่เห็นอาวุธในมือของอสรพิษม่วงแล้วพวกเขาก็ได้แต่สั่นไปตามๆกัน
เพราะด้วยระดับกึ่งนิรันดร์แท้จริงผนวกกับอาวุธนิรันดร์แท้จริงแล้วมันทรงพลังกว่าการผสานการโจมตีของพวกเขามาก
“เจ้า……”
อีกฝ่ายได้แต่จ้องมองไปทางอสรพิษม่วงและหลินเทียนด้วยร่างกายที่สั่นไม่หยุด
หลินเทียนหันมองกลับไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับแม้แต่น้อย
“ได้ตายอนาถแน่ๆ ”
เหลาเหลาพึมพำออกมา
เมื่อสิ้นสุดคำพูดของนางแล้วกลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงและพลังแห่งสัจธรรมได้กระเพื่อมออกมาอย่างรุนแรง
อสรพิษม่วงเขตแดนกึ่งนิรันดร์แท้จริงสังเวยทักษะโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของมันออกมาทำให้เกิดแรงปะทุไม่ต่างจากภูเขาไฟระเบิดพวยพุ่งออกมาจากร่างของมันส่งผลให้พลังทำลายที่กระบี่นิรันดร์และข่ายอาคมสังหารส่งออกมาเริ่มพังทลายลง
“ช่วยกันส่งถ่ายพลังให้กับกระบี่นิรันดร์ !”
ผู้อาวุโสสูงสุดที่หนึ่งได้ส่งเสียงโห่ร้องออกมาก่อนที่ผู้คนทั้งหลายจะพากันส่งถ่ายพลังออกไปอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตามคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาเป็นเพียงเขตแดนกึ่งอนันตกาลเท่านั้นแต่อีกฝ่ายเป็นถึงตัวตนระดับกึ่งนิรันดร์แท้จริงดังนั้นถึงได้ถูกคลื่นกระแทกปลิวออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดกันหมด
อสรพิษม่วงที่รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายอันเข้มข้นได้คว้าเข้าใส่กระบี่นิรันดร์ตรงหน้าพร้อมทั้งทำลายตราประทับของมันไป
“เพื่อนตัวน้อยรับไว้ ”
หลังจากที่ทำลายตราประทับไปแล้วมันก็ส่งให้กับหลินเทียน
หลินเทียนยกมือขึ้นมารับเอาไว้พร้อมทั้งตีตราประทับของตัวเองลงไปทันที
มันเป็นกระบี่ยาวสามฟุตที่สร้างขึ้นจากแร่ที่พิเศษอย่างมากซึ่งหลังจากที่ส่งถ่ายพลังลงไปเล็กน้อยมันก็ส่งเสียงกระบี่คำรามออกมาอย่างดังเสมือนต้องการจะฉีกม่านฟ้าออกเป็นเสี่ยงๆ
“เป็นกระบี่ที่ดี ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาเพราะว่ามันถือเป็นกระบี่ที่ล้ำค่ามากๆ !
“ไพ่ตายของนิกายเรา…..”
“มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน …..”
เหล่าศิษย์พากันผงะไปด้วยสีหน้าที่หวั่นเกรง
หลินเทียนที่เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นานกลับสามารถชิงเอาไพ่ตายของพวกเขาไปได้ง่ายๆ
นั่นน่ะไพ่ตายประจำนิกายพวกเขา !
“ไอ้เวรเอ้ย ! เอาคืนมานะ ! ”
เหล่าผู้เชี่ยวชาญพากันส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดที่หนึ่งกระโจนเข้าใส่ทางหลินเทียน
“เหอะ ! ”
อสรพิษม่วงส่งเสียงแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่จะแผดคลื่นพลังอสูรโถมเข้าใส่ร่างของอีกฝ่าย
“อ๊ากก ~~! ”
เสียงกรีดร้องถูกส่งตามกลับมาขณะที่ร่างกายและดวงวิญญาณของอีกฝ่ายสลายหายไป
เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็แค่เขตแดนกึ่งอนันตกาลเท่านั้นแล้วจะต่อกรกับกึ่งนิรันดร์แท้จริงได้อย่างไรกัน
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ! ”
จ้าวนิกายส่งเสียงสั่นๆออกมา
ผู้อาวุโสสูงสุดอีกสองคนที่เหลือเองก็ได้แต่หวาดหวั่นอยู่กับที่
“เจ้า……”
พวกเขาพากันจ้องมองออกไปทางอสรพิษม่วงพร้อมทั้งอดก้าวถอยกลับไปไม่ได้
อสรพิษม่วงแสยะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดฉากโจมตีอีกครั้ง
ตู้มมม ~!
มันไม่จำเป็นต้องใช้เตาพลังวิญญาณแม้แต่น้อยและทำเพียงแค่โบกมือส่งคลื่นพลังอสูรออกไปขยี้ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
“อ๊ากกก ~~~! ”
เสียงร้องโหยหวนถูกส่งออกมาขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดที่สองและสามแหลกสลายหายไป
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถต่อต้านพลังทำลายล้างระดับกึ่งนิรันดร์แท้จริงได้ดังนั้นจึงถูกสังหารลงภายในไม่นาน
พริบตาสถานที่แห่งนี้ก็ได้ถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงบอีกครั้งและเหลือเอาไว้เพียงเหล่าศิษย์ที่ได้แต่สั่นไปเพราะความกลัว
“แล้วจะเอายังไงกับคนเหล่านี้ดี ? ”
อสรพิษม่วงได้ส่งเสียงออกมา
“หากว่าไม่ได้คิดจะต่อต้านก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เขาหันมองออกไปยังศิษย์ทั้งหลายที่มีสภาพไม่ต่างไปจากเหล่าศิษย์นิกายจี่หยานดังนั้นถึงได้ปล่อยให้คนเหล่านี้จากไปแต่หากว่าไม่ก็สามารถอยู่ต่อซึ่งเขาจะไม่มีวันไอ้โอกาสอีกครั้งและจะฆ่าอย่างไม่ปราณี
แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ทั้งหลายล้วนเลือกที่จะหนีไปเพราะถึงอย่างไรความแข็งแกร่งที่อสรพิษม่วงแสดงออกมานั้นมันไม่มีอะไรที่พวกเขาจะสามารถต่อต้านได้เลย
เสียง วิ้ส วิ้ส วิ้สส ถูกส่งออกมาไม่หยุดขณะที่เหล่าศิษย์พากันพุ่งหนีไป
“หนีกันเร็วจริงๆเลยนะ ”
เหลาเหลาพึมพำออกมา
“เอาสมบัติกัน ”
หลินเทียนพูดออกมา
เป็นเพราะว่าผู้เชี่ยวชาญของอีกฝ่ายได้ถูกสังหารไปจนหมดแล้วแถมยังชิงเอาอาวุธนิรันดร์แท้จริงมาแล้วด้วยดังนั้นเขาและคนอื่นๆถึงได้มุ่งหน้าเข้าไปภายในส่วนลึกเพื่อเก็บเกี่ยวเอาสมบัติทั้งหมดออกมา
ในหมู่เคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้มีเคล็ดวิชาที่ล้ำค่าที่สุดอยู่ในเขตแดนนิรันดร์แท้จริงคือเคล็ดวิชาเข็มทิศล้ำลึก
หลินเทียนเก็บพวกมันเอาไว้ทั้งหมดพร้อมทั้งอาศัยพลังของอสรพิษม่วงขุดเอาเส้นชีพจรวิญญาณทั้งหมดไปไม่มีเหลือ
“ไปกันเถอะ ”
เป็นเพราะสมบัติได้ถูกเก็บกู้มาทั้งหมดแล้วดังนั้นถึงได้เหาะขึ้นไปพร้อมทั้งส่งคลื่นกระบี่อันทรงพลังเข้าทำลายสิ่งก่อสร้างทั้งหลายแล้วเหาะจากไป
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ไปถึงตรงหน้าของขุมพลังแห่งใหม่ซึ่งแน่นอนว่านี่คือตระกูลฟานที่โด่งดัง
เมื่อมาถึงที่นี่แล้วเขาไม่รอช้าเลยที่จะก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ตอนที่ 1427
ตระกูลฟานเองก็ถือเป็นหนึ่งในขุมพลังใหญ่ที่อยู่มาเนิ่นนานและตั้งอยู่บนขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหากมองดูดีๆแล้วจะพบว่ามันเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างและตำหนักมากมายและเมื่อมองเข้าไปภายในส่วนลึกจะพบได้กับกลุ่มหมอกอันน่าพิศวง
หลินเทียน เหลาเหลาและอสรพิษม่วงต่างพากันเดินทางมาถึงที่นี่พร้อมทั้งก้าวเข้าไปภายในอย่างไม่รอช้า ส่งผลให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้แต่มองมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น
มันอดทำให้ใครหลายคนก้าวถอยกลับหลังไปไม่ได้
“นี่เจ้า….ต้องการอะไรกันแน่ !? ”
หนึ่งในผู้คนได้ส่งเสียงออกมา
หลินเทียนหันมองออกไปทางอีกฝ่ายเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
และในเวลาเดียวกันนี้เองที่มีเสียงพุ่งผ่านอากาศถูกส่งออกมาอย่างดังพร้อมๆกับปรากฏร่างสามร่างขึ้นมาตรงหน้าของพวกเขา
ร่างสามร่างนี้ล้วนแล้วแต่เป็นชายชราเขตแดนนิรันดร์อมตะตอนกลางซึ่งหลังจากที่เห็นร่างของหลินเทียนและคนอื่นๆแล้วสายตาพวกเขาต่างส่องประกายความเย็นยะเยือกถึงขีดสุดออกมาโดยทันที
หลินเทียนและอสรพิษม่วงได้ลงมือสังหารผู้เชี่ยวชาญของเขาไปมากมายไม่เว้นแม้กระทั่งบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดทำให้พวกเขารู้สึกโกรธแค้นถึงขีดสุด
หลินเทียนหันมองออกไปทางกลุ่มคนเหล่านี้พลางพูดว่า
“ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกว่ามาที่นี่เพื่ออะไร ส่งอาวุธนิรันดร์แท้จริงและสมบัติทั้งหมดมาเพื่อเป็นการไถ่โทษแล้วข้าจะหันหลังจากไปไม่งั้นเจอดีแน่ ! ”
เขาส่งเสียงอันราบเรียบออกมาส่งผลให้แววตาของผู้อาวุโสทั้งหลายยิ่งส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมา
“กล้าสังหารคนของพวกเราไปมากมายแล้วยังกล้าเหยียบที่นี่เพื่อปล้นเอาสมบัติของเขาอีกงั้นรึ ?! รนหาที่ตาย ! คิดว่าที่นี่คือที่ไหนกัน ?! ”
ผู้อาวุโสใหญ่ของพวกเขาส่งเสียงกัดฟันพูดออกมาด้วยความโกรธถึงขีดสุด
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่อีกสองคนเองก็แสดงสีหน้าแบบเดียวกันออกมา
“ให้โอกาสแล้วแท้ๆแต่ไม่คว้ามันไว้เอง ”
หลินเทียนตอบกลับไป
น้ำเสียงของเขาฟังดูราบเรียบไม่ได้มีความรู้สึกใดๆแม้แต่น้อย
อีกฝ่ายเองก็ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมทั้งพูดออกมาว่า
“เปิดการทำงานของข่ายอาคมพิทักษ์ ! สังเวยเอาเตาพลังวิญญาณของตระกูลเราออกมาฆ่ามันให้…………”
“หยุด ! ”
น้ำเสียงที่ผสมผสานไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวายนี้ถูกส่งออกมาจากทางด้านหลังพร้อมทั้งขัดจังหวะคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ไปทันที
ร่างๆหนึ่งได้พุ่งเข้ามาด้วยร่างกายที่รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลัง
“นี่…ผู้อาวุโสที่ห้า ”
ศิษย์ทั้งหลายพากันส่งเสียงออกมา
หลินเทียนหันมองออกไปทางอีกฝ่ายเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่ไม่ได้สนใจอะไรด้วยซ้ำ
พริบตาผู้อาวุโสที่ห้าก็กลับไปรวมกลุ่มกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ
“น้องห้ากลับมาพอดี ! ”
ผู้อาวุโสใหญ่ได้หันมองออกไปเพราะว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายออกไปผจญภัยเมื่อหลายปีก่อนโดยที่ไม่มีข่าวคราวถูกส่งกลับมาแม้แต่น้อยแต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกลับมาในตอนนี้แถมยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
“ข้าและคนอื่นๆกำลังจะสังเวยข่ายอาคมพิทักษ์และอัญเชิญอาวุธนิรันดร์แท้จริงออกมาฆ่าพวกมันให้หมด ต้องระวังไว้ด้วยเพราะว่าหนึ่งในพวกมันเป็นถึงเขตแดนกึ่งนิรันดร์แท้จริงส่วนเรื่องราวต่างๆข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟังหลังจากนี้แล้วกัน ”
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ร่างของผู้อาวุโสที่ห้าก่อนที่จะหันมองไปทางหลินเทียนด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุด
เป็นเพราะการที่มีผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์อมตะเพิ่มมาแบบนี้ก็จะทำให้ข่ายอาคมและการโจมตีของพวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
“ไม่ ! ผู้อาวุโสใหญ่ฟังที่ข้าจะพูดก่อน ”
ผู้อาวุโสห้าหันมองออกไปทางหลินเทียนด้วยสายตาที่หวาดหวั่นก่อนที่จะรีบพูดออกมาว่า
“ไม่ว่าเขาต้องการอะไรก็โปรดตอบรับ อย่าลงมือโดยเด็ดขาด ! ”
“ว่าไงนะ ?! ”
ผู้อาวุโสใหญ่ได้แต่จ้องมองไปทางผู้อาวุโสที่ห้าด้วยสีหน้าที่โกรธจัดพลางพูดว่า
“น้องห้า สมองเจ้ามีปัญหาหรือไงกัน รู้ไหมว่าเพิ่งพูดอะไรออกมา ? ไม่มีสมองแล้วหรือไง ?! ”
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านผู้นำตระกูล ท่านผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสอีกหลายคนถูกมันสังหารไปจนหมด ! มันยังอุส่าบุกมาที่นี่เพื่อชิงเอาสมบัติของพวกเราแบบนี้เจ้าอยากจะให้พวกเรายอมมอบให้มันแต่โดยดี ?! ”
ผู้อาวุโสอีกสองคนที่อยู่ข้างๆต่างพากันจ้องมองไปทางผู้อาวุโสที่ห้าเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้พูดออกมาแบบนี้
ผู้อาวุโสที่ห้าเองก็ได้แต่รีบพูดออกมาว่า
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ! ผู้อาวุโสใหญ่เชื่อข้าเถอะไม่งั้นมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่มากๆ ! ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าใกล้ร่างของผู้อาวุโสใหญ่พร้อมทั้งกระซิบอะไรบางอย่างให้กับอีกฝ่าย
“ว่าไงนะ ?! ”
พริบตานี้เองที่ร่างกายของผู้อาวุโสใหญ่ได้แต่สั่นสะท้านไปขณะที่ใบหน้าที่เคยโกรธจัดแปรเปลี่ยนกลายเป็นความหวาดหวั่น
หลินเทียนและคนอื่นๆเองก็ยังคงจ้องมองออกไปทางอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ราบเรียบเช่นเคย
“ตกลงกันได้แล้วหรือยัง ? จะให้ไม่ให้ ? ”
เขาส่งเสียงอันราบเรียบออกมา
ร่างกายของผู้อาวุโสใหญ่ได้แต่สั่นสะท้านไปพร้อมๆกับพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า
“เรา…..ยอมรับข้อเสนอนี้ ! ”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงโดยทันที
หนึ่งในผู้อาวุโสได้ส่งเสียงออกมาอย่างดังว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่นี่มัน….”
“หุบปาก ! ”
ผู้อาวุโสใหญ่ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดัง
หลังจากนั้นเขาก็ได้สั่งการให้คนเหล่านี้กลับไปเตรียมเอาสมบัติทั้งหมดของตระกูลฟานรวมถึงอาวุธนิรันดร์แท้จริงออกมามอบให้กับหลินเทียนด้วยสีหน้าที่ฝืนๆ
“ทั้งหมดที่เจ้าต้องการอยู่นี่หมดแล้ว ”
เขากัดฟันพูดออกมา
หลินเทียนหันมองออกไปเล็กน้อยพร้อมทั้งพบว่าเตาพลังวิญญาณเปลวเพลิงธรรมมะนี้มันเป็นอาวุธนิรันดร์แท้จริงของจริงแถมยังมีอาวุธระดับอื่นๆอีกมากมายพร้อมพบกับคริสตัลวิญญาณกว่าเจ็ดหมื่นล้านกิโลกรัม
เขาโบกมือทำลายตราประทับของตระกูลฟานออกไปพร้อมทั้งตีตราลงที่อาวุธนิรันดร์แท้จริงนี้พร้อมทั้งเก็บเอาสมบัติทั้งหมดไปก่อนที่จะหันไปพูดกับคนอื่นๆแล้วหันหลังเดินจากไป
เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้แต่จ้องมองไปยังร่างของเขาที่กำลังเดินจากไปก่อนที่จะถอนหายใจออกมาหลังจากที่เห็นร่างของเขาเลือนรางหายไป
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ? ทำไมอยู่ดีๆถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ? เรามีทั้งอาวุธนิรันดร์แท้จริงและข่ายอาคมพิทักษ์มันเพียงพอจะสังหารพวกมันได้สบายๆ ! ”
ผู้อาวุโสที่สองได้ส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งหันมองไปทางผู้อาวุโสห้าแล้วถามต่อว่า
“เป็นเพราะน้องห้า ? เจ้าไปเล่าอะไรให้ผู้อาวุโสใหญ่ฟังกันแน่ !? ”
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆและศิษย์ทั้งหลายต่างหันมองมาทางเดียวกัน
เป็นเพราะว่าวินาทีที่ผู้อาวุโสห้าเข้าใกล้ผู้อาวุโสใหญ่แล้วอีกฝ่ายก็เปลี่ยนใจโดยทันที
ผู้อาวุโสห้าได้หันมองออกไปยังทิศทางที่หลินเทียนจากไปด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นพลางส่งเสียงสั่นๆออกมาว่า
“ระหว่างทางที่ข้ากลับมาก็พบว่านิกายจี่หยานและนิกายเฉินเจียวได้….ถูกทำลายลงด้วยเงื้อมมือของชายคนนั้นจนสิ้นซากหมดแล้ว ”
“ว่าไงนะ ?! ”
คำพูดนี้ส่งผลให้ผู้อาวุโสทั้งหลายได้แต่ผงะไป
เหล่าศิษย์เองก็ถึงกับแข็งค้างไปไม่ต่างกัน
“นิกายจี่หยานและนิกายเฉินเจียว…”
“นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
“นี่…..”
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันโง่งมไปตามๆกัน
เป็นเพราะว่าขุมพลังทั้งสองนั้นแข็งแกร่งเทียบเคียงกับพวกเขาและถือว่าเป็นผู้ปกครองดาวดวงนี้ทว่ากลับถูกทำลายลงด้วยเงื้อมมือของหลินเทียน ?!
“นี่…เจ้าแน่ใจ ?! ”
ผู้อาวุโสที่สองได้ส่งเสียงออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“คิดว่าข้าจะล้อเล่นกับเรื่องพวกนี้ ?! ”
ผู้อาวุโสที่ห้าได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดออกมาว่าเขาได้บังเอิญไปพบเข้ากับศิษย์กลุ่มหนึ่งที่กำลังหนีตายด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นดังนั้นถึงได้เอ่ยปากถามและรู้มาว่านิกายเฉินเจียวได้ถูกหลินเทียนทำลายลงแล้วไม่นานก็พบว่านิกายจี่หยานก็เป็นแบบเดียวกันทำให้เขาได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งรีบตรงไปยังที่ตั้งของนิกายทั้งสองก่อนที่จะพบกับซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่
ระหว่างทางเขาก็ได้รับรู้เรื่องราวความแค้นของขุมพลังทั้งสองพร้อมทั้งตระหนักได้ว่าหลินเทียนเองก็มีความแค้นกับตระกูลฟานของเขาเช่นกันดังนั้นถึงได้รีบมุ่งหน้าตรงมายังตระกูลฟานก่อนที่ทั้งตระกูลจะต้องเผชิญหน้ากับหายนะ
“หากว่าเมื่อครู่เปิดฉากโจมตีเข้าใส่เขาแล้ว………เราก็จะมีสภาพไม่ต่างจากขุมพลังทั้งสอง ”
เขาได้ส่งเสียงสั่นๆออกมา
……..
ในตอนนี้หลินเทียนได้เดินทางออกห่างจากอาณาเขตตระกูลฟานมาไกลมากแล้ว
“แล้วนี่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหันแบบนั้นกัน ? ผู้อาวุโสที่ห้านั่นบอกอะไรเขากัน ? ”
เหลาเหลาแสดงสีหน้าที่สงสัยออกมา
หลินเทียนหันมองไปทางนางพร้อมกับพูดว่า
“แม่นางตัวน้อยไม่ฉลาดเลยนะ ”
หลังจากนั้นเขาได้พูดต่อว่า
“ที่ผู้อาวุโสใหญ่เปลี่ยนใจก็เป็นเพราะคำพูดของผู้อาวุโสที่ห้าและจากสายตาที่อีกฝ่ายมองมาทางเราแล้วมันแฝงไปด้วยความกลัว มีอะไรจะทำให้พวกมันกลัวได้อีก ? แน่นอนว่าเป็นเพราะข่าวที่เราได้ทำลายล้างขุมพลังทั้งสองได้แพร่ออกไปแล้ว “
เหลาเหลาได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งพูดว่า
“เจ้าจะบอกว่าเป็นเพราะผู้อาวุโสที่ห้าได้เล่าเรื่องนั้นออกไปทำให้ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกกลัวว่ากลัวจะลงเอยแบบเดียวกันกับขุมพลังทั้งสองดังนั้นถึงได้เปลี่ยนใจและยอมสยบแต่โดยดี ? ”
นางทำความเข้าใจสิ่งต่างๆพร้อมกับพูดว่า
“คิดเป็นอื่นไปไม่ได้จริงๆ ”
ตอนที่ 1428
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลินเทียนแล้วมันทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน
“ตาแก่นั่นฉลาดไม่เบาหนิ ”
นางพูดออกมา
“ต่อให้เป็นคนธรรมดาแต่หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ต้องตัดสินใจแบบเดียวกันนั่นแหละ ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เขาและคนอื่นๆพากันเดินทางออกไปเป็นระยะทางที่ไกลเอามากๆ
“ท่านผู้อาวุโส เราไปยังหุบเขากลืนนิรันดร์กันเพราะที่นั่นมีสิ่งที่สำคัญต่อรุ่นเยาว์มากๆและต้องให้ท่านช่วยเข้าไปเอามัน ”
เขาได้หันไปพูดกับอสรพิษม่วง
เป็นเพราะว่าภายในสถานที่แห่งนั้นมีเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่อยู่แต่ก็แฝงไปด้วยอันตรายมากมายที่ต่อให้เขตแดนอนันตกาลเข้าไปก็ยังมีโอกาสรอดกลับมาไม่มากดังนั้นแม้ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้แล้วก็ยังไม่ปลอดภัยแต่หากว่ามีอสรพิษม่วงติดตามเข้าไปด้วยแล้วจะต้องไม่เป็นปัญหาอะไรอย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาเองก็ได้ชำระความแค้นทั้งหมดไปหมดแล้วก็ควรจะกลับไปเก็บเศษเสี้ยววิญญาณเหล่านั้น
“ไม่มีปัญหา ”
อสรพิษม่วงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม
เป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่หลินเทียนได้ขอเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้
“ขอบคุณท่านมาก ”
หลินเทียนตอบกลับ
เขาเดินนำทางคนอื่นๆไปยังเส้นทางแห่งหนึ่งพร้อมทั้งข้าวมิติไปหลายครั้งจนไปถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
จะบอกว่ามันเป็นหุบเขาก็ไม่น่าจะถูกเพราะมันมีพื้นที่กว้างใหญ่อย่างมากแถมยังอยู่บนเทือกเขาหลายพันลูกจึงไม่เหมาะที่จะใช้คำนี้เอามากๆ
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบกับกลุ่มหมอกที่ล่องลอยอยู่ตามอากาศเสมือนว่าเป็นดินแดนแห่งความตายก็ไม่ปาน
ความรู้สึกเดียวหลังจากที่มองไปทางมันนั้นล้วนทำให้ผู้คนผงะไป
“นี่คือสถานที่ๆเจ้าว่า ?! น่ากลัวจริงๆ ! ”
เหลาเหลาส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะระดับพลังของนางไม่ได้สูงมากก็จริงแต่จิตสัมผัสของนางก็ไม่ธรรมดาและตระหนักได้ดีว่าสถานที่แห่งนี้มันแตกต่างออกไปแถมยังอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายที่หม่นหมอง
“หากว่าไม่อันตรายข้าก็คงจะเข้าไปนานแล้ว คิดว่าจะรออยู่จนถึงตอนนี้หรือไง ”
หลินเทียนหันมองออกไปทางอสรพิษม่วงพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ท่านผู้อาวุโสรู้สึกยังไงบ้าง ? ”
“ไม่ธรรมดาจริงๆ ”
อสรพิษม่วงส่งเสียงออกมาพลางพูดต่อว่า
“แต่ก็ไม่ได้ติดขัดอะไรมาก ”
หลินเทียนยิ้มตอบกลับไปว่า
“งั้นก็ต้องขอรบกวนท่านด้วย ”
เป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนต้องห้ามจึงไม่พบมนุษย์คนอื่นแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พากันเดินเข้าไปจากมุมๆหนึ่งของสถานที่แห่งนี้
ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปก็สามารถสัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นตัวลงอย่างฉับพลันเสมือนว่าเป็นดินแดนทมิฬก็ไม่ปาน
“เย็นจริงๆ ”
เหลาเหลาอดสั่นไปไม่ได้
หลินเทียนหันมองออกไปด้วยแววตาที่ส่องประกายออกมาพลางก้าวเดินต่อเข้าไปด้านใน
ภายในสถานที่แห่งนี้มีสายลมอ่อนๆพัดผ่านเป็นระยะๆส่งผลให้อากาศเย็นตัวลงยิ่งกว่าเก่า
พื้นดินค่อนข้างเปียกชื้นแถมหลายๆที่ยังเป็นสีแดงอมน้ำตาลเสมือนว่าเคยชโลมไปด้วยเลือดอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาพากันเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยที่มีอสรพิษม่วงเป็นคนเดินนำทางเข้าไป
“โร๊ว ~! ”
เสียงกู่ร้องถูกส่งออกมาอย่างดังพร้อมทั้งปรากฏร่างของอสูรร้ายแววตาสีเขียวขจีส่งกลิ่นอายของจักรพรรดิว่างเปล่าออกมา
อสรพิษม่วงโบกมือของมันออกไปตบร่างของอีกฝ่ายปลิวออกไปไกล
เป็นเพราะสำหรับเขตแดนกึ่งนิรันดร์แท้จริงแล้วเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำ
พวกเขาพากันก้าวเดินเข้าไปภายในซึ่งระหว่างทางก็ต้องเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์อสูรมากมายแต่ก็ถูกอสรพิษม่วงเก็บกวาดไปจนหมด
ไม่นานอากาศก็ยิ่งเย็นตัวลงอย่างมากพร้อมทั้งพบกับสันเขาที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มหมอกสีดำทมิฬเข้มข้นกว่าสถานที่อื่นๆและร่างเจ็ดร่างยืนอยู่ตรงหน้า
“ยังอยู่ที่เดิมอีก ”
ดวงตาของหลินเทียนหดเล็กลงโดยทันที
เป็นเพราะเมื่อมองออกไปแล้วจะเห็นได้ว่าร่างทั้งเจ็ดร่างนี้ล้วนแล้วแต่สวมชุดที่เก่าแก่โบราณแถมยังไม่มีสัญญาณชีวิตเลยแม้แต่น้อยทำให้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีชีวิตอีกแล้วทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงและพลังสัจธรรมอันเข้มข้นที่ส่งออกมามันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“นี่มัน…….?! ”
เหลาเหลาได้แต่ผงะไปพร้อมๆกับส่งเสียงออกมาว่า
“คงไม่ใช่ซอมบี้เขตแดนนิรันดร์แท้จริง ?! ”
เป็นเพราะนางเองก็ไม่สามารถสัมผัสถึงสัญญาณชีวิตจากอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อยทว่ากลิ่นอายที่ส่งออกมานั้นทรงพลังยิ่งกว่ามาก ถึงขั้นที่กึ่งนิรันดร์แท้จริงไม่สามารถเทียบได้เลยด้วยซ้ำ
ขนาดอสรพิษม่วงเองก็ยังได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งพูดออกมาว่า
“บอกได้เลยว่าก่อนตายพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตแดนนิรันดร์แท้จริงเป็นอย่างน้อย “
มันเป็นตอนนี้เองที่ร่างทั้งเจ็ดต่างหันมองมาในทิศทางเดียวกัน
เหลาเหลาเองก็ได้แต่สั่นสะท้านไปพลางส่งเสียงออกมาว่า
“พวกเขาเห็นเราแล้ว ! ”
ไม่รู้เลยว่าร่างทั้งเจ็ดนี้คงอยู่มานานขนาดไหนแต่สภาพร่างกายกลับยังอยู่ดีสมบูรณ์ถึงขั้นที่สายตาที่เย็นชาของพวกเขาให้ความรู้สึกเสมือนว่าเป็นผู้ส่งสารทั้งเจ็ดจากขุมนรกก็ไม่ปาน
“ท่านผู้อาวุโสจัดการพวกเขาได้ไหม ? ”
หลินเทียนถามออกมา
เป็นเพราะทั้งเจ็ดร่างนี้ล้วนแข็งแกร่งอย่างมากซึ่งครั้งก่อนเองก็เป็นเพราะร่างทั้งเจ็ดนี้ทำให้เขาต้องรีบหนีกลับออกไปและตอนนี้แม้ว่าระดับพลังของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นแล้วแต่ก็ยังรู้สึกกดดันถึงขั้นที่ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
อสรพิษม่วงได้หันมองออกไปยังร่างทั้งเจ็ดพร้อมทั้งพูดว่า
“ไม่มีปัญหา ”
แม้ว่าเขตแดนนิรันดร์แท้จริงจะแข็งแกร่งและน่ากลัวทว่าอีกฝ่ายก็เป็นเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณเท่านั้นดังนั้นสำหรับเขาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก
เมื่อสิ้นสุดคำพูดแล้วมันก็บอกให้เขาถอยห่างออกไปพร้อมทั้งระเบิดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นออกมา
ร่างทั้งเจ็ดที่อยู่ห่างออกไปและเห็นว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ต่างพากันแผดกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกไปรอบทิศทาง
อสรพิษม่วงได้ส่งเสียงแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งคำรามอย่างดังก่อนที่ร่างกายจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นอสรพิษร่างยักษ์ที่ตวัดหางอันทรงพลังเข้าใส่ร่างทั้งเจ็ดอย่างไม่ปราณี
เสียงตู้มม ~! ถูกส่งออกมาขณะที่ร่างทั้งเจ็ดถูกกระแทกลอยเคว้งหายไปจากระยะสายตาของพวกเขา
“นี่…ร้ายกาจจริงๆ ! ”
เหลาเหลาถึงกับกลืนน้ำลายกลับลงไป
หลินเทียนเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่น้อยเพราะแม้จะเคยได้สัมผัสความแข็งแกร่งของอสรพิษม่วงมาก่อนแล้วแต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายสำแดงทักษะออกมาแบบนี้แล้วก็ยังอดทำให้เขาประหลาดใจไม่ได้
เขาหันมองออกไปยังร่างทั้งเจ็ดพร้อมทั้งพูดว่า
“น่าเสียดายจริงๆ ”
เป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงตัวตนระดับนิรันดร์แท้จริงดังนั้นหากว่าไม่ได้กลายเป็นซอมบี้ไปแล้วเขาก็คงจะสามารถใช้ทักษะหล่อหลอมดูดกลืนพลังจากร่างเหล่านั้นได้ทว่าตอนนี้ร่างกายของอีกฝ่ายถูกความมืดกัดกินไปหมดแล้วทำให้หากเขาดูดกลืนเข้าไปก็จะมีแต่ผลเสียเท่านั้น
“ท่านผู้อาวุโส เราเข้าไปภายในส่วนลึกกันเถอะ ”
เขาหันไปพูดกับอสรพิษม่วง
“ได้สิ ”
อีกฝ่ายตอบกลับ
หลังจากที่กระแทกร่างทั้งเจ็ดปลิวออกไปไกลแล้วพวกเขาก็พากันก้าวเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานพวกเขาก็พากันเดินลึกผ่านภูเขาเข้าไปหลายต่อหลายลูก
“ครื้นน ~! ”
เสียงนี้ถูกส่งออกมาขณะที่กรงเล็บอันแหลมคมแหวกออกมาจากพื้นดินด้วยกลิ่นอายนิรันดร์แท้จริงที่เข้มข้น
ห่างออกไปไม่ไกลก็ปรากฏร่างของหมียักษ์เขตแดนนิรันดร์แท้จริงที่ส่งกลิ่นอายอันเข้มข้นออกมาเช่นกัน
“ครื้นน ~~! ”
เสียงนี้ถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่อสูรทั้งหลายพากันกระโจนเข้าใส่ทางพวกเขาด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลังเสียยิ่งกว่าศพทั้งเจ็ดก่อนหน้านี้
“ศพเขตแดนนิรันดร์แท้จริง ?! ”
เหลาเหลาได้แต่ผงะไป
หลินเทียนเองก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจไม่ต่างกันเพราะไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีศพนิรันดร์แท้จริงอยู่มากมายขนาดนี้
“ก่อนหน้านี้มีผู้เชี่ยวชาญเขตแดนนิรันดร์แท้จริงตกตายลงมากมายขนาดนี้เลย ? ”
นี่ทำให้เขาได้แต่ระลึกถึงชื่อของสถานที่แห่งนี้
“ตู้มม ~! ”
สายลมอันเย็นยะเยือพัดผ่านเข้ามาขณะที่ร่างทั้งหลายพากันกระโจนเข้าใส่ด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของกึ่งนิรันดร์แท้จริงแม้แต่น้อยแถมยังถูกเก็บกวาดภายในไม่ช้า
ไม่นานพวกเขาก็พากันก้าวเข้าไปภายในพื้นที่ส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้
เดินเข้าไปได้ไม่นานก็จะพบกับกลุ่มหมอกสีแดงที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่พื้นดินได้สั่นไหวก่อนที่มิติโดยรอบจะบิดตัวและเผยให้เห็นอักขระมากมายที่สร้างแรงกดดันที่หนักหน่วงออกมา
หลินเทียนและคนอื่นๆได้แต่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“นี่มัน……เกิดอะไรขึ้น ?! ”
เหลาเหลาได้แต่ผงะไป
แม้กระทั่งอสรพิษม่วงเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่น้อย
หลินเทียนเบิกเนตรแห่งสัจธรรมขึ้นมาหันมองออกไปรอบๆด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมาก
“ซวยแล้วสิ ! ”
เขาส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา
เป็นเพราะหลังจากที่เบิกเนตรขึ้นมาแล้วเขาได้พบกับอาณาเขตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่ก่อตัวขึ้นจากอาณาเขตสังหารนับสิบชนิด
มันเป็นอาณาเขตสังหารที่มีพลังมากพอจะฝังร่างของนิรันดร์แท้จริงได้ทั้งเป็น
“ตู้มม ~! ”
อักขระมากมายสั่นไหวก่อนที่คลื่นลำแสงสีแดงจะกระเพื่อมออกมาและโถมเข้าใส่ทางพวกเขาด้วยพลังทำลายที่น่าหวาดหวั่น
ตอนที่ 1429
คลื่นพลังสีแดงฉานนี้อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมากถึงขั้นที่ทำลายทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในเส้นทางของมัน
อสรพิษม่วงส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังพลางระเบิดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นออกมาเพื่อรับมือการโจมตีนี้เอาไว้
ปรากฏภาพของอสรพิษขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามออกมา
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นเช่นนั้นทว่าคลื่นพลังสีแดงฉานนี้ก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดีและสามารถทำลายภาพร่างเหล่านี้ลงได้ภายในชั่วพริบตาเท่านั้น
อสรพิษม่วงได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างรุนแรงก่อนที่จะกระอักเลือดออกมาคำโต
ทว่าคลื่นพลังสีแดงฉานก็ยังคงเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ด้วยพลังทำลายที่ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
อสรพิษม่วงกัดฟันเอาไว้แน่นพร้อมทั้งสังเวยพลังทั้งหมดออกมาโดยอาศัยพลังของอาวุธนิรันดร์แท้จริงเพื่อต่อต้านการโจมตีนี้เอาไว้
พลังทำลายของทั้งสองอัดเข้าใส่กันอย่างรุนแรงพร้อมสร้างคลื่นพลังอันหนักหน่วงพัดออกไปรอบทิศทาง
“นี่มัน…..”
เหลาเหลาได้แต่ผงะไปเพราะว่าอสรพิษม่วงที่มีอาวุธนิรันดร์แท้จริงกลับไม่สามารถต่อต้านได้
อสรพิษม่วงกัดฟันเอาไว้แน่นก่อนที่จะสังเวยการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่าเก่าออกมาอีกครั้ง
แน่นอนว่าหลินเทียนเองก็เห็นภาพนี้ชัดเจนดีจึงทำให้เขากระวนกระวายอย่างมากแต่ก็พยายามสงบสติเอาไว้เพื่อส่งตรามังกรออกไปรอบๆสำหรับการสำรวจสถานการณ์โดยรอบ
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสิบลมหายใจและมันเป็นช่วงที่คลื่นพลังทำลายก็ยังคงซัดเข้าใส่ร่างของอสรพิษม่วงอย่างต่อเนื่อง
“ท่านผู้อาวุโสถอยกลับมาก่อน ข้าจัดการเอง ”
ณ ตอนนี้เสียงของหลินเทียนได้ถูกส่งออกมา
เป็นเพราะว่าระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพยายามป้องกันการโจมตีนี้เองไว้เขาก็ได้ใช้เนตรสัจธรรมค้นพบเบาะแสบางอย่างดังนั้นถึงได้กระทืบเท้าขวาลงไปเบาๆพร้อมๆกับแผดตรามังกรออกไปรอบทิศทาง
คลื่นประกายแสงสีแดงฉานยังคงพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาอย่างไม่ปราณี
“ฟึ้บบ ~! ”
เสียงนี้ถูกส่งออกมาก่อนที่คลื่นสีแดงฉานจะสลายหายไปเสมือนว่าระเหยไปเฉยๆ
ภาพเหล่านี้ทำให้เหลาเหลาและอสรพิษม่วงได้แต่ผงะไปโดยเฉพาะอสรพิษม่วงที่โง่งมอยู่กับที่
เป็นเพราะว่าขนาดตัวมันที่รีดเอาพลังทั้งหมดออกมาก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้ทว่าหลินเทียนกลับสามารถหยุดยั้งมันลงได้ง่ายๆแบบนี้
“สหายตัวน้อยนี่ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะ ”
มันถอนหายใจออกมาหลังจากที่มองมาทางเขา
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน ? คลื่นพลังนั่นขนาดผู้อาวุโสอสรพิษม่วงเขตแดนกึ่งนิรันดร์แท้จริงที่ใช้พลังของอาวุธนิรันดร์แท้จริงก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้แต่เจ้ากลับทำลายมันลงได้ง่ายๆแบบนี้นี่มันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือไง ?! ”
เหลาเหลาส่งเสียงโห่ร้องออกมา
“เคยบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือไงว่าข้าเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาณาเขตพื้นที่ ”
หลินเทียนอธิบายออกมา
เหลาเหลาได้แต่ถามออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจว่า
“หมายความว่าไง ? ”
หลังจากนั้นนางก็ได้ถามต่อว่า
“แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง ? พวกมัน……”
นางหันมองออกไปรอบๆพร้อมทั้งพบว่าพื้นที่แห่งนี้ยังคงรายล้อมไปด้วยกลุ่มหมอกสีแดงฉานผสมผสานไปด้วยอักขระมากมายที่ให้ความรู้สึกกดดันอย่างมาก
หลินเทียนพูดออกมาว่า
“คลื่นพลังสีแดงเมื่อครู่นี้เป็นหนึ่งในการโจมตีจากการรวมตัวกันของอาณาเขตต่างๆ ข้าอาศัยทักษะพิเศษดึงเอาพลังแบบเดียวกันออกมาใช้เพื่อต่อต้านมัน”
หลังจากนั้นเขาก็ได้หันมองออกไปรอบๆพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ส่วนสถานการณ์ในตอนนี้ถ้าพูดง่ายๆคือเราเหยียบเข้ามาภายในอาณาเขตสังหารนี้แล้วซึ่งมันครอบคลุมพื้นที่หลายแสนกิโลเมตรและตราบเท่าที่เป็นสิ่งมีชีวิตก็จะถูกเปิดฉากโจมตีโดยทันที ”
“อาณาเขตสังหาร ? ”
เหลาเหลาได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อว่า
“มันเป็นสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นโดยธรรมชาติ ? ”
“อื้ม ก็ใช่ ”
หลินเทียนตอบกลับ
“พลังทำลายของมันเป็นไง ? ”
“ร้ายกาจมากๆ ”
หลินเทียนตอบกลับพลางพูดต่อว่า
“สามารถสังหารเขตแดนนิรันดร์แท้จริงลงได้สบายๆ ”
เหลาเหลาที่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่จ้องมองตาค้างไป นี่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องตายแน่ๆ ?
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสีหน้าของนางก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งพร้อมทั้งถามต่อว่า
“เจ้าน่าจะสามารถจัดการมันได้ ? ”
เป็นเพราะว่าในเมื่อเห็นว่าหลินเทียนสามารถอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้แถมยังต่อต้านคลื่นพลังเมื่อครู่ได้ดังนั้นก็น่าจะมีวิธีทำลายอาณาเขตแห่งนี้เพื่อฝ่าออกไป
“สหายตัวน้อยมีวิธีการฝ่าปัญหานี้ออกไปรึไม่ ? ”
อสรพิษม่วงเองก็ได้ถามออกมาเพราะคิดว่าหลินเทียนน่าจะรู้วิธีการจัดการปัญหานี้
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า
“สามารถจัดการได้ ”
หลังจากนั้นก็ได้พูดต่อว่า
“แต่ต้องอาศัยพลังของท่าน ”
เป็นเพราะว่าเขาสามารถสัมผัสถึงสถานการณ์โดยรอบทั้งหมดได้ก็จริงแต่ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้มันไม่เพียงพอจะจัดการปัญหานี้ดังนั้นถึงได้ต้องขอยืมพลังจากกึ่งนิรันดร์แท้จริงเพื่อเพิ่มระดับพลังของตัวเองชั่วคราว
“ตู้มม ~! ”
พื้นที่โดยรอบได้สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่กลุ่มหมอกทั้งหลายจะพากันโถมเข้าใส่ทางพวกเขาเสมือนว่ามีสติปัญญาของตัวเอง
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่อักขระมากมายได้สั่นไหวก่อนที่คลื่นพลังทำลายที่หนักหน่วงกว่าเก่าจะถูกซัดออกมา
อาณาเขตสังหารได้ทำงานอย่างแท้จริง
“ผู้อาวุโส โปรดให้ข้ายืมพลังของท่านและอาวุธนิรันดร์แท้จริงของท่านด้วย ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมา
อสรพิษม่วงเองก็ไม่ลังเลเลยที่จะถ่ายเทพลังของเขาออกไปพร้อมๆกับส่งอาวุธนิรัดนร์แท้จริงในมือให้เพราะรู้ดีว่าหลินเทียนนั้นเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาณาเขตพื้นที่แบบนี้
ร่างกายของหลินเทียนได้สั่นไหวเล็กน้อยขณะที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงโถมเข้าใส่ร่างของเขาทำให้เขารีบหมุนวนทักษะฝังมังกรเพื่อส่งตรามังกรมากมายออกไปรอบทิศทาง
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาได้สังเวยเอาอาวุธนิรันดร์แท้จริงทั้งหมดออกมาไม่ว่าจะเป็นกระบี่นิรันดร์หรือแม้กระทั่งเตาพลังวิญญาณเปลวเพลิงธรรมะเพื่อปกป้องร่างกายของทุกคนเอาไว้
เสียงแกร๊ง ! ถูกส่งออกมาขณะที่อาวุธทั้งสามชิ้นปกป้องร่างของพวกเขาเอาไว้อย่างมั่นคง
“หนีไปเร็ว! ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาพร้อมๆกับรีบค้นหาจุดอ่อนของอาณาเขตแห่งนี้ก่อนที่จะรีบส่งการโจมตีอันทรงพลังออกไปยังจุดนั้น
เสียงอาวุธคำรามดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่พวกเขาต่างพากันพุ่งตามคลื่นพลังทำลายล้างนั้นไปโดยที่แบกรับการโจมตีจากรอบทิศทางก่อนที่จะหยุดอยู่ที่ขอบของอาณาเขตสังหารนี้และฝ่าออกไปในที่สุด
พริบตานี้เองที่กลุ่มหมอกและอักขระทั้งหลายได้สลายหายไปทั้งหมดขณะที่ประกายแสงที่ห่อหุ้มร่างของเขาได้จางลงและเผยให้เห็นอาวุธนิรันดร์แท้จริงทั้งสามชิ้น
“ออกมาได้แล้ว ! ”
เหลาเหลาส่งเสียงที่ประหลาดใจออกมา
เป็นเพราะว่าในตอนนี้อากาศโดยรอบไม่ได้อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอีกต่อไป
“สหายตัวน้อยนี่ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะ ”
อสรพิษม่วงส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะว่าด้วยระดับพลังของมันเองก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อยทว่าหลินเทียนกลับสามารถช่วยให้พวกเขาหนีรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
“หากว่าไม่ได้พลังของผู้อาวุโสแล้วรุ่นเยาว์ก็คงจะไม่มีโอกาสหนีรอดออกมาเหมือนกัน ”
หลินเทียนพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า
“ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องขอบคุณอาวุธทั้งสามชิ้นนี้ที่สามารถใช้พลังของมันปกป้องร่างกายและเปิดเส้นทางให้กับพวกเราได้ไม่งั้นแล้วเราก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสกันไปหมดแล้ว ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ได้หันมองไปยังอาวุธทั้งหลายที่ส่องประกายแสงอันปั่นป่วนออกมาซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไรเพราะว่าตราบเท่าที่มันยังไม่แตกสลายก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้
“นี่มันเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์แน่ๆที่ให้เราบุกไปยังขุมพลังทั้งสามก่อนมาที่นี่ ”
เหลาเหลาส่งเสียงออกมา
หลินเทียนเองก็ได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“น่าจะใช่ ”
หลินเทียนได้เก็บเอาอาวุธทั้งสองกลับไปพร้อมทั้งส่งเตาพลังวิญญาณจี่หยานคืนให้กับอสรพิษม่วงแล้วหยุดพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
พวกเขาเดินทางออกไปไม่ช้าไม่เร็วก่อนที่เวลาจะผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม
หนึ่งชั่วโมงมานี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับกลุ่มก้อนแสงสว่างที่ส่องประกายแสงเจ็ดสีออกมาด้วยพลังอันเข้มข้นที่ทำให้รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น