Divine King of All Directions - สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ 1359 - 1370
ตอนที่ 1359
เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างของราชันวิหกแหลกสลายกลายเป็นชิ้นๆ
“ท่านราชันวิหก ! ”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายพากันส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
บรรพบุรุษที่สองเองก็ได้แต่โง่งมไปไม่ต่างกัน
“โร๊ววว ! ”
อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่เศษชิ้นเนื้อก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
หลินเทียนได้แสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏกดทับลงไปด้านหน้า
“เปลวเพลิงสัจธรรม ! ”
ราชันวิหกได้กระพือปีกของเขาก่อนที่จะสังเวยทักษะสังหารอันทรงพลังผสานกับสัจธรรมนับสิบชนิดซึ่งแต่ละชนิดเองก็ทรงพลังอย่างมากพร้อมทั้งกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียนอย่างรวดเร็ว
มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปขณะที่ประกายแสงแห่งความโกลาหลพวยพุ่งออกไปรอบทิศทาง
หลินเทียนยังคงยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ราบเรียบขณะที่ดวงตาของเขามองทะลุผ่านทักษะนี้พร้อมทั้งทำลายมันก่อนที่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏของเขาจะกดทับเข้าใส่ร่างของอีกฝ่าย
พุฟฟ ! เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างกายของราชันวิหกแหลกสลายหายไปอีกครั้ง
“เจ้ามนุษย์ ! ”
อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังเพราะว่าตั้งแต่ที่เขาใช้ชีวิตมานี้ตัวเขาเรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานอย่างมากถึงขั้นที่ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดทางตะวันตกยังไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำทว่าตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์กลับสามารถทำลายร่างกายของเขาได้หลายต่อหลายครั้ง
นี่มันเป็นการความอับอายอย่างถึงที่สุด !
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่ทักษะสังหารอันทรงพลังสูบพลังจากหมู่ดาวก่อนที่จะซัดเข้าใส่ทางหลินเทียน
คลื่นพลังอันหนักหน่วงจากรอบทิศทางได้ระเบิดออกมาทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าเอาไว้
หากว่าไม่ได้เป็นเพราะดินแดนแห่งนี้มั่นคงเพียงพอแล้วก็คงจะแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว
หลินเทียนเบิกเนตรแห่งสัจธรรมของเขาขึ้นมาพร้อมทั้งจ้องมองไปยังแก่นแท้ของการโจมตีนี้ก่อนที่จะซัดวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏออกไป
ตู้มม !
ตู้ม !
ตู้มมม !
คลื่นพลังทำลายอันหนักหน่วงได้กดทับลงไปก่อนที่จะทำลายมิติที่อยู่รอบข้างสลายหายไปทั้งหมด
และมันเป็นตอนนี้เองที่การโจมตีของเขาได้กระแทกเข้าใส่ร่างของมันอีกครั้ง
พุฟฟ
เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างกายของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนกลายเป็นกองเลือดที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ
ระหว่างนี้เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเพราะถึงอย่างไรการที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
“ระยำเอ้ย !!! ”
อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่กายหยาบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
ร่างกายของหลินเทียนตอนนี้ชโลมไปด้วยเลือดก็จริงแต่ทว่าสีหน้าของเขากลับยังคงความเย็นยะเยือกเอาไว้พลางก้าวเดินออกไปพร้อมทั้งซัดวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏเข้าใส่อย่างไม่ปราณี
พุฟฟ !
ร่างกายของอีกฝ่ายแหลกสลายหายไปอีกครั้ง
“อ๊ากก ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงกู่ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธถึงขีดสุดก่อนที่จะรีบก่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
สายตาของหลินเทียนในตอนนี้ยังคงราบเรียบและเป็นเพราะว่าสูญเสียพลังเทวะไปเป็นจำนวนมากทำให้เขาเก็บเอาวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏกลับไปพร้อมทั้งพุ่งเข้าประชิดร่างของอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงหมัดรัวเข้าใส่อย่างจัง
“ตู้ม ม ! ”
“ตู้ม ! ”
“ตู้มมม ! ”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่ร่างของอีกฝ่ายร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า
นี่ทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“ท่านราชันวิหกเขา…….พ่ายแพ้ ?! ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ ท่านผู้นั้นจะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน พวกเราจะไม่มีทางแพ้ให้กับพวกดินแดนศูนย์กลาง ! ”
เหล่าศิษย์พากันส่งเสียงออกมาเพราะว่าทวยเทพที่พวกเขาบูชาจะแพ้ได้อย่างไรกัน ?!
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุดเพราะดูเหมือนว่าหลินเทียนกำลังเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในตอนนี้ !
ตู้มมม !
เสียงระเบิดถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่ราชันวิหกปลดปล่อยคลื่นพลังออกไปรอบทิศทางทำให้มิติโดยรอบฉีกขาดออกจากกัน
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพร้อมทั้งเหวี่ยงหมัดอันทรงพลังของเขาอัดเข้าใส่แก้วของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้ากว่าครึ่งแหลกสลายหายไปทั้งแถบขณะที่ฟันและกองเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว
นี่ทำให้ราชันวิหกได้แต่ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังว่า
“ไอ้ระยำ……”
ตู้มม !
เขาที่เพิ่งจะส่งเสียงออกมาได้ถูกหลินเทียนต่อยอัดไปอีกครั้งทำให้ใบหน้าอีกครึ่งที่เหลือแหลกสลายหายไปกลายเป็นสภาพที่น่าสยดสยองอย่างมาก
โร๊ววว !
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังพร้อมๆกับรีบฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็วขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธถึงขีดสุด
หลินเทียนไม่ได้สนใจอะไรก่อนที่จะเหวี่ยงขาของเขาเตะร่างของอีกฝ่ายพุ่งออกไปกระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ห่างออกไปจนระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
ต่อจากนั้นก็ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวพร้อมทั้งโบกมือส่งคลื่นกระบี่ศุกลสวรรค์จำนวนมากพวยพุ่งตามออกไป
พุฟฟ !
พุฟ !
พุฟฟ !
อีกฝ่ายที่เพิ่งพยุงตัวเองกลับขึ้นมาได้ถูกคลื่นกระบี่เหล่าทะลวงผ่านจนร่างพรุนเป็นรูโหว่
หลินเทียนซัดฝ่ามือซ้ำออกไปก่อนที่จะใช้เท้ากระทืบอัดลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างจัง
นี่ทำให้ราชันวิหกได้แต่กระอักเลือดออกมาคำโตขณะที่ร่างกายแหลกสลายด้วยสภาพที่น่าสังเวชถึงขีดสุด
“ระยำเอ้ย ! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ ! ข้าจะฆ่าเจ้า ! ”
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
หลังจากนั้นเองที่ประกายแสงเจิดจรัสได้ส่องประกายออกมาจากร่างของเขาก่อนที่มิติโดยรอบจะสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมๆกับกลิ่นอายที่ปะทุออกมาจากร่างของเขาเสมือนดั่งภูเขาไฟระบิด
นี่ทำให้สีหน้าของหลินเทียนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงพร้อมทั้งรีบเหวี่ยงหมัดอัดเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างจัง
เสียงแตกหักถูกส่งออกมาขณะที่ราชันวิหกกระอักเลือดออกมาคำโต
อย่างไรก็ตามกลิ่นอายที่พวยพุ่งออกมากลับเข้มข้นยิ่งกว่าเก่า
“ตาย !!! ”
เขาส่งเสียงคำรามออกมาด้วยสีหน้าที่ดุร้ายถึงขีดสุด
มันเป็นตอนนี้เองที่กลิ่นอายที่แผดออกมาเริ่มส่งผลให้มิติโดยรอบบิดตัวอย่างรุนแรงหลินเทียนที่อยู่ข้างๆถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงหลังจากที่สัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่เสมือนว่าอสูรร้ายกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาทำให้ท้องไส้ของเขาปั่นป่วนอย่างรุนแรง
เขาไม่ลังเลเลยที่จะกระทืบร่างของอีกฝ่ายอย่างจังพร้อมทั้งพุ่งทิ้งระยะห่างถอยออกไปไกล
“ตู้มมม ! ”
มันเป็นตอนนี้เองที่ร่างกายของอีกฝ่ายได้ระเบิดประกายแสงศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังออกมาบดขยี้ทั้งมิติและอากาศที่อยู่โดยรอยอย่างฉับพลัน
มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวถึงขั้นที่แม้แต่หลินเทียนเองก็ยังรู้สึกขนหัวลุก
“เจ้ามนุษย์ ! ”
อีกฝ่ายยืนกลับขึ้นมาด้วยสายตาที่ดุร้ายขณะที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา
มันเป็นประกายแสงที่ทรงพลังซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากศิลาหินที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมาย
สีหน้าของหลินเทียนได้เปลี่ยนไปอีกครั้งเพราะศิลานี้มันทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปได้ส่งเสียงโห่ร้องออกมาว่า
“นั่นมัน…….ศิลาหินที่ผุดออกมาจากใต้ภูเขาไท่ !! ”
ตอนที่ 1360
หลินเทียนที่ได้ยินคำพูดของพยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปเองก็ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะว่านี่คือศิลาที่ผุดขึ้นมาจากใต้ภูเขาไท่ ?!
ตู้มมม !
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาอย่างดัง
เหนือศีรษะของราชันวิหกในตอนนี้มีศิลาหินล่องลอยอยู่กลางอากาศซึ่งมันรายล้อมไปด้วยอักขระลึกลับมากมายแผดคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกมารอบทิศทาง
มันให้ความรู้สึกเสมือนว่าเป็นการจุติลงมาของผู้เชี่ยวชาญเขตแดนอนันตกาลเลยก็ว่าได้
“นี่ไอ้เวรนี่มันสามารถควบคุมศิลานั่นได้แล้ว ?! ”
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะมันสัมผัสได้เลยว่าศิลาหินชิ้นนี้มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
แม้กระทั่งหลินเทียนเองก็ยังแสดงสีหน้าที่ตึงเครียดออกมาไม่ต่างกัน
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำทว่าหลังจากที่ศิลาหินปรากฏตัวออกมาก็ทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกไปทันที
“เจ้ามนุษย์ ! ใช้ได้หนิที่ต้อนข้ามาได้ถึงขนาดนี้ ! ต้องบอกเลยว่าเจ้านี่คู่ควรให้ข้าฆ่าจริงๆ ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงออกมาด้วยสายตาที่ดุร้าย
ศิลาหินเหนือศีรษะของเขายังคงโคจรอยู่รอบตัวโดยที่ปลดปล่อยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“กล้าชิงเอาสมบัติของดินแดนศูนย์กลางพวกข้าไปแล้วยังกล้าอวดดีอีก เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ! ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาอย่างไม่แยแส
ราชันวิหกได้ตอบกลับด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกว่า
“ปากดีนักนะ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ ! ”
ตู้มม ! มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ศิลาหินสั่นไหวเล็กน้อยพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอันหนักหน่วงกวาดเข้าใส่ทางหลินเทียนด้วยพลังทำลายที่บดขยี้อากาศและมิติทั้งหมดที่อยู่ระหว่างเส้นทางของมัน
ประกายแสงนี้ทำให้ร่างกายของหลินเทียนถึงกับสั่นสะท้านไปไม่หยุดและไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยถึงได้รีบสังเวยเอาวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏออกมารับการโจมตีของอีกฝ่ายเอาไว้
พริบตาการโจมตีทั้งสองก็ได้อัดเข้าใส่กันอย่างจัง
ฟึ้บบบ !
วงเวทย์สังสารวัฏของเขาได้สั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่จะแตกออกอย่างฉับพลัน
นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะว่าเขตแดนราชันของเขากลับถูกทำลายลงได้ง่ายๆแบบนี้แถมลำแลงของอีกฝ่ายเองก็ยังคงพุ่งเข้ามาทางเขาอยู่โดยที่พลังทำลายแทบไม่ได้ลดน้อยลงด้วยซ้ำ
เขาเบี่ยงตัวหลบออกมาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า
ตู้มมม ~!
ประกายแสงได้กระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ห่างออกไปพร้อมทั้งเปลี่ยนมันกลายเป็นผุยผงไปภายในชั่วพริบตา
มันเป็นคลื่นพลังทำลายที่ให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวอย่างมากและส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นี่ทุกคนพากันสั่นสะท้านไปตามๆกัน
“นี่มัน…….น่ากลัวจริงๆ ! ”
“ท่านราชันวิหกมีแม้กระทั่งสมบัติสวรรค์แบบนี้ ! ”
“สมแล้วจริงๆที่เป็นท่านผู้นั้น ! ”
ศิษย์หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นถึงขีดสุด
บรรพบุรุษที่สองที่อยู่ห่างออกไปเองก็ยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาเป็นเพราะว่าศิลานี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งสามคนใช้พลังแย่งชิงมาจากดินแดนศูนย์กลางด้วยกันแถมยังใช้ความพยายามอย่างมากในการลงอักขระจักรพรรดิว่างเปล่าเพื่อให้สามารถควบคุมมันได้เล็กน้อยซึ่งเขาเองก็เคยเห็นพลังทำลายของมันมาแล้วว่ามันแข็งแกร่งพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้
หลินเทียนที่อยู่ห่างออกไปยังคงจ้องมองไปยังศิลาหินเหนือศีรษะของอีกฝ่ายที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายไม่เหมือนข่ายอาคมทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด
“ความรู้สึกนี้มัน……”
เขาได้แต่ขมวดคิ้วของตัวเองเข้าหากันด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมาเล็กน้อย
เป็นเพราะว่ามันเป็นความรู้สึกน่าเกรงขามแบบเดียวกันกับตอนที่เขาเข้าใกล้ภูเขาไท่ไม่มีผิด
“เจ้ามนุษย์ กลัวงั้นรึ ? ความน่าเกรงขามของเจ้าหายไปไหนหมด ? ”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกถูกส่งออกมา
ราชันวิหกที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางเสมือนดั่งทวยเทพได้ส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอัดเข้าใส่ทางหลินเทียน
หลินเทียนที่เบิกเนตรแห่งสัจธรรมอยู่เองก็สัมผัสได้ถึงพลังทำลายที่ร้ายแรงของมันดีว่าไม่สามารถต้านทานได้ถึงได้รีบเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของเขานั้นสูงอย่างมากถึงขั้นที่ทิ้งเอาไว้เพียงภาพติดตาในอากาศเท่านั้น
ตู้มมม ~!
คลื่นพลังนี้ได้อัดกระแทกเข้ากับแม่น้ำขนาดใหญ่พร้อมทั้งทำให้มันเหือดแห้งลงภายในชั่วพริบตาและสร้างไอน้ำขนาดใหญ่ขึ้นกลางอากาศ
“เป็นความเร็วที่ใช้ได้ ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะทนได้นานสักแค่ไหน ”
ราชันวิหกส่งเสียงออกมาอย่างเย็นยะเยือก
เมื่อพูดจบแล้วศิลากลางศีรษะของเขาก็ได้สั่นไหวอีกครั้งพร้อมทั้งส่งคลื่นลำแสงกว่าหลายสิบสายพวยพุ่งออกไปทางหลินเทียน
มันเป็นลำแสงที่ทรงพลังและรวดเร็วยิ่งกว่าเก่าพร้อมทั้งเข้ารายล้อมร่างของหลินเทียนเอาไว้จากทุกทิศทาง
คิ้วของหลินเทียนขมวดเข้าหากันก่อนที่จะใช้ก้าวย่างแห่งสวรรค์รีบเบี่ยงหลบออกไปอย่างรวดเร็ว
สายตาของราชันวิหกถึงกับหดเล็กลงด้วยความดุร้ายพร้อมทั้งพูดออกมาว่า
“ก็ดี มาต่อก็เลย ! ”
มันส่งเสียงออกมาขณะที่ลำแสงมากมายยังคงพวยพุ่งออกไป
พริบตาลำแสงกว่าร้อยสายได้พุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียนจากรอบทิศทาง
แม้ว่าจิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งแต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากำลำแสงจำนวนมากขนาดนี้แล้วก็ไม่สามารถเบี่ยงหลบมันได้ทั้งหมดแม้จะใช้ทักษะเทวะหรือเนตรแห่งสัจธรรมต้านทานเอาไว้
พุฟฟ ~!
ลำแสงนี้พุ่งทะลวงผ่านหน้าอกของเขาไปพร้อมทั้งลากร่างของเขาลอยเคว้งออกไปไกล
“ท่านอาจารย์ ! ”
เซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปถึงกับอดส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้
ร่างของหลินเทียนลอยเคว้งออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดพร้อมความเจ็บปวดที่แผดขยายไปทั่วอวัยวะภายในถึงขั้นที่พลังเทวะเองยังไหลเวียนได้ช้าลง
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวยิ่งกว่าเก่า
“ใช่แล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่เข้าใกล้ภูเขาไท่ไม่มีผิด ”
คิ้วของเขาได้ขมวดเข้าหากันโดยทันที
เป็นเพราะว่ามันคือแรงกดดันของเสน่ห์ที่เขาเคยสัมผัสได้
“ตู้มม ! ”
มิติโดยรอยเริ่มสั่นไหวขณะที่กลิ่นอายทำลายล้างปลดปล่อยออกมา
ศิลาหินที่อยู่เหนือศีรษะของราชันวิหกได้ส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาอย่างเข้มข้นเสมือนว่ามันแปรเปลี่ยนกลางเป็นดวงอาทิตย์ที่แผดรังสีอันตรายออกไปรอบทิศทาง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคลื่นพลังนี้แล้วมันทำให้ผู้คนโดยรอบต่างพากันสั่นสะท้านไปตามๆกัน
เป็นเพราะว่ามันคือกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“ไอ้หนูน้อย ข้าจะรีบเก็บกวาดเจ้าแล้วกัน ”
ราชันวิหกส่งเสียงอันไม่แยแสออกมาเสมือนว่าเป็นจักรพรรดิที่กำลังก้มมองลงไปยังหลินเทียนพลางโบกมือออกไปทำให้ศิลาหินส่องประกายแสงอันทรงพลังพุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียน
ตู้มมม ! คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้บดขยี้มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปโดยทันที
“นี่มัน…แข็งแกร่งมากๆ ! ”
“ท่านราชันวิหกไร้เทียมทาน ! ”
“การโจมตีนี้ต้องสังหารไอ้โจรชั่วนั่นได้อย่างแน่นอน ! ”
เหล่าศิษย์พากันส่งเสียงอันตื่นเต้นออกมา
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากเพราะความรู้สึกขณะที่คลื่นพลังนี้กดทับลงมามันไม่ต่างกับการกดทับของห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่เลยแม้แต่น้อย
หลินเทียนที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของมันได้อย่างดีว่ามันอันตรายถึงขั้นทำให้ดวงวิญญาณของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด
ทว่าตอนนี้เขากลับมีท่าทางที่ดูใจเย็นอย่างมากขณะที่ดวงตาส่องประกายออกมา
“ในเมื่อมันมีเสน่ห์แบบเดียวกันก็แสดงว่าเสน่ห์นี้จะสามารถส่งผลกระทบต่อมันได้ ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้แล้วเขาไม่ได้เบี่ยงหลบไปไหนทว่ากลับใช้สมาธิอยู่กับการทำความเข้าใจเสน่ห์ของมันและเริ่มปลดปล่อยเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาจากร่างของเขา
ไม่นานพลังนี้ก็ได้แผดขยายไปทั่วร่างของเขาก่อนที่ประกายแสงสีทองและกลิ่นอายของเขาจะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก
และเป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่ศิลาหินได้สั่นสะท้านอย่างรุนแรงพร้อมทั้งหยุดการโจมตีของมันเสมือนว่าสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
นี่ทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาเพราะว่าเสน่ห์ของภูเขาไท่ใช้ได้ผลจริงๆ !
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่สีหน้าของราชันวิหกได้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“เกิดอะไรขึ้น ?! ”
เป็นเพราะว่าเขาได้ตีตราลงไปในศิลานี้แล้วทว่ามันกลับหยุดยั้งการโจมตีด้วยตัวเองเสมือนว่าได้รับผลกระทบบางอย่าง
นี่ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเหมือนๆกัน
“นี่ศิลาหินนั่นไม่สามารถกดทับลงมาได้ ?! ”
พยัคฆ์ขาวงส่งเสียงที่ประหลาดใจออกมา
“มัน…..เกิดอะไรขึ้น ? ”
เซียนเซียนเองก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจไม่ต่างกันและด้วยระดับมันสมองของนางแล้วก็พอเดาได้ว่ามันเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
ณ ตอนนี้สายตาของราชันวิหกนั้นดูซับซ้อนอย่างมากและแม้จะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงหยุดการโจมตีด้วยตัวเองแต่ก็มั่นใจว่าเหตุผลมาจากทางหลินเทียนและนี่ยิ่งทำให้สายตาของเขาเย็นชาขึ้นไปอีกก่อนที่จะระเบิดคลื่นพลังออกมาโถมเข้าใส่ศิลาหินพร้อมทั้งบังคับมัน
“ฆ่ามัน ! ”
ศิลาหินได้สั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งเคลื่อนไหวอีกครั้งแม้ว่าจะช้าก็ตามแต่ก็ยังคงกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียนอยู่ดี
มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปโดยทันที
สายตาของหลินเทียนยังคงความไม่แยแสแม้แต่น้อยขณะที่เสน่ห์ของภูเขาไท่ได้สลักลงภายในทะเลความรู้ของเขาอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งแผดมันออกมาอย่างเข้มข้น
นี่ทำให้การเคลื่อนไหวของศิลาหินถูกหยุดลงอีกครั้ง
“มันเป็นสมบัติของดินแดนศูนย์กลางของพวกเรา ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์สินะ ”
เขาส่งเสียงที่ไม่แยแสออกมา
หลังจากนั้นเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันก็ได้หมุนวนพร้อมทั้งแผดเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
นี่ทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่อักขระทั้งหลายจะส่องประกายแสงออกมาพลางเคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ
ทว่ามันต่างจากตอนที่มันกดทับลงมาเพราะมันไม่ได้ส่งคลื่นพลังทำลายอะไรออกมาแต่กลับเคลื่อนที่เข้าหาหลินเทียนเสมือนว่าเป็นเด็กน้อยพลัดหลงที่พบกับครอบครัวอีกครั้ง
มันทำให้สีหน้าของราชันวิหกเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงพร้อมทั้งส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธว่า
“นี่เจ้า !!! ”
เป็นเพราะเขาตระหนักได้ดีกว่าใครว่าศิลาหินกำลังหลุดออกจากการควบคุมของตนเองอย่างช้าๆถึงขั้นที่อักขระตราประทับที่วางเอาไว้มันสั่นไหวอย่างรุนแรง
ตอนที่ 1361
ศิลาหินได้สั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่อักขระที่รายล้อมมันเอาไว้ส่องประกายออกมาอย่างนุ่มนวล
มันเคลื่อนที่เข้าหาหลินเทียนเสมือนว่าเป็นเด็กน้อยที่พลัดหลงจากครอบครัว
“ระยำเอ้ย ! เจ้าทำอะไรลงไปกัน ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดัง
เป็นเพราะว่าศิลานี้หลุดออกจากการควบคุมของเขา !
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาขณะที่เสน่ห์ของภูเขาไท่ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก
นี่ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของศิลาหินเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ภาพเหล่านี้ทำให้สีหน้าของราชันวิหกตกต่ำลงถึงขีดสุด
“มันเป็นของข้า ! ”
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่พลังเทวะภายในร่างสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งพยายามควบคุมอักขระที่ตีตราเอาไว้ทำให้ศิลาหินหยุดการเคลื่อนไหวของมัน
“กลับมา ! ”
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังโดยที่ทิ้งความคิดเรื่องที่จะฆ่าหลินเทียนไปทั้งหมดเพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆในตอนนี้
เป็นเพราะว่าศิลาหินได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงดังนั้นทำให้มันไม่สามารถสำแดงพลังทำลายล้างออกมาได้
มันทำให้เขาทำได้เพียงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเอามันกลับมา
“กลับมา ! !! ”
เขาส่งเสียงออกมาอย่างดัง
ตราบเท่าที่ดึงมันกลับมาได้แล้วเขาก็เชื่อว่าหลินเทียนจะไม่สามารถแทรกแซงมันได้อีก
ศิลาหินได้สั่นไหวอย่างรุนแรงเนื่องจากตราประทับที่สลักเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหวกลับมาหาเขา
หลินเทียนกัดฟันเอาไว้แน่นพร้อมทั้งหมุดวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันอย่างบ้าคลั่งทำให้แผดเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาอย่างเข้มข้นส่งผลให้ศิลาหินที่กำลังเคลื่อนที่กลับไปหาราชันวิหกได้หันกลับมาทางเขาอีกครั้ง
“ระยำเอ้ย ! ”
ราชันวิหกได้ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธขณะที่พลังเทวะระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่งส่งผลให้อักขระส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมา
แน่นอนเองว่าหลินเทียนก็ไม่มีทางยอมถอยดังนั้นถึงได้ยิ่งแผดกลิ่นอายอันทรงพลังยิ่งกว่าเก่าออกมาเช่นกัน
นี่ทำให้ศิลาหินสั่นไหวไม่หยุก่อนที่จะพุ่งเข้าหาทางหลินเทียน
ภาพเหล่านี้ทำให้ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ได้แต่ผงะไป
“นี่เจ้าหนูนี่กำลังแย่งชิงศิลาหินนั่นจากเจ้านกนั่น ?! ทำได้อย่างไรกัน ?! ไม่ใช่ว่ามันถูกเจ้านกนั่นควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้ว ? เขาชิงเอามาได้ไงกัน ?! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างถึงขีดสุด
บึ้สสส !!
มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่อักขระมากมายส่องประกายแสงออกมาเป็นพักๆก่อนที่จะหม่นหมองลง
หลินเทียนและราชันวิหกยังคงแย่งชิงกันอย่างต่อเนื่อง
คนหนึ่งสามารถผสานเข้ากับเสน่ห์ของภูเขาไท่ได้ส่วนอีกคนได้ตีตราประทับลงบนศิลาหินขณะที่พยายามแย่งชิงการควบคุมองมันทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้มิติโดยรอบฉีกขาดออกจากกัน
“พอกันที ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมาก่อนที่จะพูดต่อว่า
“มันเป็นของข้า ! ”
เขาคำรามออกมาเสียงดังพร้อมทั้งประสานมือเข้าหากัน
นี่ทำให้มิติโดยรอบสั่นไหวอีกครั้งก่อนที่ร่างกายของเหล่าศิษย์ทั้งหลายจะสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่พลังเทวะของพวกเขาเริ่มปั่นป่วนถึงขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้
“พวกเจ้าจงเป็นพลังให้กับข้า ! ”
พุฟฟ !
เขาได้ส่งเสียงออกมาก่อนที่ร่างของศิษย์ทั้งหลายจะระเบิดออกกลายเป็นกองเลือดและผสานเข้ากับร่างกายของเขาทำให้กลิ่นอายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายเหล่านี้ทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงโดยทันที
“ท่าน…ราชันวิหก…….ท่านกำลังทำอะไรกัน ! ”
หลายๆคนส่งเสียงโห่ร้องออกมา
เป็นเพราะหลายๆคนได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นกองเลือดและถูกกลืนกินไปโดยบรรพบุรุษของพวกเขา
พุฟฟ !
พุฟ !
พุฟฟฟ !
กองเลือดระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่เหล่าศิษย์หลายคนเริ่มตกตายลง
นี่ทำให้กลิ่นอายที่แผดออกมาจากร่างของราชันวิหกพุ่งสูงขึ้นไปอีก
“ท่าน….”
“ได้โปรด….เมตตา……”
“ท่าน………..ท่านทำอะไรกัน ?! ไม่ใช่ว่าจะนำพวกเราไปยังดินแดนแห่งนิรันดร์ ?! ทำไมถึงได้…….”
ศิษย์ทั้งหลายพากันส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด
เป็นเพราะว่าบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งพวกเขาเคารพบูชากลับกำลังกลืนกินพวกเขาเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง
“นำพวกเจ้าไปยังดินแดนนิรันดร์ ? ตลกหน่า ! อย่าพวกเจ้าน่ะเรอะ ! พวกเจ้าเป็นเพียงแค่หมากของข้าสำหรับการสังเวยก็แค่นั้นแหละ ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาพลางพูดต่อว่า
“ถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้วดังนั้นจงมาเป็นพลังให้กับข้าซะเถอะ ! ”
เป็นเพราะว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ถ่ายทอดกันภายในนิกายนั้นได้ถูกเขาดัดแปลงและใส่ตราประทับลงไปทำให้สามารถเปลี่ยนคนเหล่านั้นกลายเป็นกองเลือดและกลืนกินพลังของพวกเขาไปได้
คำพูดเหล่านี้ทำให้บรรพบุรุษที่สองและคนอื่นๆต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
ไม่เว้นแม้กระทั่งพยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนเองก็ด้วย
เพราะจากบทสนทนาของคนเหล่านี้แล้วพวกเขาล้วนได้ยินคำพูดว่า…..ดินแดนนิรันดร์กันอย่างชัดเจน
“ดินแดนนิรันดร์ ? สรวงสวรรค์ ? ดินแดนที่อยู่เหนือหมู่ดาวและโลกทั้งปวงมันมีอยู่จริง ?! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
สีหน้าของหลินเทียนที่กำลังแย่งชิงศิลาหินอยู่เองก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
“ดินแดนนิรันดร์นี่มัน…..”
ดวงตาของเขาได้หดเล็กลง
เนื่องจากว่าดินแดนแห่งนั้นถูกเรียกว่าเป็นสรวงสวรรค์ซึ่งเป็นดินแดนที่เป็นที่อยู่ของเหล่านิรันด์และมีพื้นที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าห้วงจักรวาลและอยู่เหนือหมู่ดาวทั้งปวง
เขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่สร้างขึ้นเท่านั้นแต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเหล่าศิษย์ทั้งหลายแล้วก็พบว่ามันมีความเป็นไปได้สูงมากๆแถมความฝันของคนเหล่านี้คือการก้าวไปยังดินแดนนิรันดร์โดยการชักใยอยู่เบื้องหลังขุมพลังต่างๆ
พุฟฟ!
พุฟ !
พุฟฟ !
ศิษย์ทั้งหลายที่มีพลังเทวะปั่นป่วนต่างระเบิดออกเป็นกองเลือด
เลือดมากมายที่เจิ่งนอกอยู่รอบทิศทางได้ถูกสูบเข้าไปในร่างของราชันวิหกจนไม่มีเหลือ
“ไม่ ไม่ ไม่ ! ”
ศิษย์ทั้งหลายพากันสั่นสะท้านไปอย่างมากพร้อมทั้งก้าวถอยหลังกลับไปด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด
เป็นเพราะว่าเพื่อเป้าหมายในการไปยังดินแดนนิรันดร์นี้ทำให้พวกเขาซื่อสัตย์และเชื่อฟังราชันวิหกอย่างมากและหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ก้าวข้ามไปยังดินแดนแห่งนั้นทว่ากลับต้องพบว่าคนที่พวกเขานับถือบูชากลับไม่เคยคิดจะนำพวกเขาไปทั้งแต่แรกแถมยังใช้พวกเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น
“เจ้า…….หลอกใช้พวกเรา ?! ”
หนึ่งในศิษย์ได้ส่งเสียงสั่นๆออกมา
เป็นเพราะว่าพลังเทวะภายในร่างปั่นป่วนอย่างมากและแม้จะพยายามยับยั้งมันเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“การที่สามารถเป็นหมากของข้าได้ก็ถือว่าพวกเจ้ามีคุณค่าแล้ว ”
ราชันวิหกส่งเสียงแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่จะพูดต่อว่า
“หากว่าไม่มีเคล็ดวิชาที่ข้ามอบให้พวกเจ้าจะมาถึงจุดนี้ได้ ? การที่ตายเพื่อข้านั้นถือเป็นเกียรติของพวกเจ้า ! ”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดแล้วร่างกายของเหล่าศิษย์ทั้งหลายก็ยิ่งสั่นไหวขณะที่พลังเทวะปั่นป่วนถึงขีดสุด
“พุฟฟ ! ”
“พุฟ ! ”
“พุฟฟฟฟ ! ”
กองเลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทาง
พริบตานี้เองที่นอกเหนือจากบรรพบุรุษที่สองแล้วคนอื่นๆล้วนตกตายลงกันหมดอย่างสมบูรณ์
……
กองเลือดทั้งหลายจับตัวเป็นกลุ่มก้อนพร้อมทั้งถูกสูบเข้าไปภายในร่างของอีกฝ่าย
นี่ทำให้กลิ่นอายของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แม่เจ้าโว้ย….มันเหี้ยมได้ใจจริงๆ ! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
ร่างกายของหลินเทียนเองก็สั่นไหวอย่างรุนแรงเพราะตอนนี้พลังเทวะภายในร่างของเขาเหลืออยู่อีกไม่มากแล้วแถมยังได้รับบาดเจ็บอย่างหนักทว่าอีกฝ่ายที่กลืนกินเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์ไปทำให้ความแข็งแกร่งกลับมาอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้งถึงขั้นที่แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยซ้ำซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเลื่อมล้ำด้านพลังอย่างมาก
ราชันวิหกที่ร่างกายส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมานั้นได้หันมองมาทางเขาพร้อมทั้งพูดว่า
“ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นของข้า อย่าฝันไปหน่อยเลยว่าจะสามารถชิงมันจากข้าได้ ! ”
เขาส่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกก่อนที่จะพูดต่อขณะที่ศิลาหินลอยกลับมาหาเขาว่า
“ถึงแม้ว่าแผนการของข้าจะถูกเจ้าทำลายจนหมดแต่ก็ไม่เป็นอะไร ที่ข้าเลือกทำแบบนั้นแต่แรกก็เพราะไม่อยากให้มันยุ่งยากแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องลงมือด้วยตัวเอง ข้าจะเอาจับผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดไปรวมกันไว้ที่ดินแดนศูนย์กลางแล้วทำการสังเวยพวกมันเพื่อเปิดเส้นทางไปยังดินแดนนิรันดร์ ! ”
เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“ส่วนเจ้า ข้าจะยกที่นี่ให้เป็นที่ฝังศพเจ้าแล้วกัน ! ”
“ตู้มมม ~! ”
คลื่นพลังอันหนักหน่วงแผดออกมาทำให้ศิลาหินเคลื่อนที่เขาหาเขาอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนกัดฟันเอาไว้แน่นพร้อมทั้งพยายามแผดเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาจนถึงขีดสุด
ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชันวิหกที่กลืนกินเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์จำนวนมากไปก็ทำให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นมากถึงขั้นที่เขาไม่มีความสามารถต่อกรได้อีกเนื่องจากความต่างชั้นของระดับพลังที่สูงเกินไป
“ในเมื่อโลกนี้มีแสงสว่างก็ย่อมต้องมีความมืด โปรดมอบพลังให้ข้าเพื่อทำลายล้างความมืดที่โสมมนี้ ! ”
มันเป็นตอนนี้เองที่มีเสียงสวดภาวนาถูกส่งออกมาขณะที่ปรากฏร่างของชายชราชุดคลุมที่ห้อมล้อมไปด้วยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์
หลินเทียนหันมองออกไปก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ร่างของอีกฝ่าย
“พระสันตะปาปาจากขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ ?! ”
สีหน้าของพยัคฆ์ขาวเปลี่ยนไปทันที
ร่างกายของชายชรารายล้อมไปด้วยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างเข้มข้นแม้ว่าจะไม่ได้ส่งกลิ่นอายทำลายล้างที่ทรงพลังออกมาทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก
“สหายจากดินแดนศูนย์กลางโปรดรับมันเอาไว้และเป็นพลังให้เจ้าได้ขจัดความชั่วร้าย ! ”
พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมา
ระหว่างที่พูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงสีขาวายในร่างพุ่งผ่านอากาศอัดเข้าใส่ร่างของหลินเทียนอย่างจัง
มันเป็นประกายแสงที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังถึงขั้นทำให้อาการบาดเจ็บและพลังเทวะของเขาฟื้นตัวด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว
เพียงชั่วพริบตานี้บาดแผลทั้งหมดและระดับพลังของเขาพุ่งสูงถึงขีดสุดอีกครั้ง
“นี่มัน ?! ”
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาได้แต่สั่นสะท้านไปเพราะไม่เพียงแค่จะสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ทว่ามันกลับเป็นพลังที่เขาคุ้นเคยแบบเดียวกันกับตอนที่ได้รับภายในสวรรค์สิบชั้น
ตอนที่ 1362
หลินเทียนเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาไม่น้อยเพราะว่าพลังที่อีกฝ่ายใช้มันเป็นพลังที่เขาคุ้นเคยอย่างมาก
เนื่องจากเมื่อเขาได้หยุดยั้งความโกลาหลภายในดินแดนสวรรค์สิบชั้นไปแล้วประกายแสงสีขาวเหล่านี้ก็พุ่งผ่านข้ามสวรรค์แต่ละชั้นเข้ามาหาเขาและครั้งที่สองคือตอนที่เขาอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สิบและแต่ละครั้งมันก็ให้ประโยชน์กับเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
ทว่าหลังจากที่กลับมาถึงโลกแล้วเขาก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นมันอีกแถมยังเป็นพลังที่เข้มข้นกว่ามากแต่อีกฝ่ายกลับมอบมันให้กับเขา
นี่ทำให้เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเพราะว่าผู้นำเนตรศักดิ์สิทธิ์กลับครอบครองพลังที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้เอาไว้ !
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ราชันวิหกได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปพลางหันมองออกไปพร้อมทั้งส่งเสียงคำรามออกมาว่า
“ไอ้แก่ อย่ามาขวางทางข้า !”
แกร๊ง !
เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาขณะที่คลื่นกระบี่เขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าพวยพุ่งเข้าใส่ทางพระสันตะปาปา
คลื่นกระบี่นี้ได้บดขยี้มิติโดยรอบออกเป็นเสี่ยงๆโดยทันที
หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นเองก็ดึงสติกลับมาก่อนที่จะฟาดฟันคลื่นกระบี่ออกไปตรงหน้า
เป็นเพราะประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์ที่ได้รับมาทำให้อาการบาดเจ็บและพลังเทวะของเขาฟื้นตัวกลับมาเหมือนเก่าแถมยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“พระสันตะปาปา ข้าขอขอบคุณ ”
หลินเทียนส่งเสียงออกไป
หากว่าไม่ได้เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายแล้วเขาก็คงจะกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอย่างมาก
“ไม่ต้องสุภาพไปหรอกสหาย การกำจัดความชั่วร้ายเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ”
พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะหลังจากที่หลินเทียนได้สังหารชายชุดดำลงแล้วก็มาถึงที่นี่ด้วยความเร็วที่สูงมากๆซึ่งหลังจากที่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายได้ดูดกลืนเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์เพื่อเพิ่มพลังแล้วจึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้ประกายแสงสีขาวนี้กับหลินเทียนเพื่อช่วยในการต่อสู้ครั้งนี้
เหตุผลที่เขาไม่ได้ใช้มันเพื่อต่อกรกับอีกฝ่ายก็เพราะว่าราชันวิหกนั้นอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าดังนั้นต่อให้เขาใช้มันกับระดับพลังของตัวเองในตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่มือของอีกฝ่าย
“คุณพระสันตะปาปานี่…..คือพลังแห่งความเชื่อของขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ ?! ”
เซียนเซียนที่กำลังมองไปยังประกายแสงเหล่านั้นได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาพร้อมทั้งอดถามออกมาไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วสีหน้าของหลินเทียนเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อยและอดหันมองออกไปไม่ได้
พระสันตะปาปาที่สวมชุดคลุมยาวแผดกลิ่นอายที่เข้มข้นออกมาไม่ได้ปิดบังอะไรพร้อมทั้งตอบกลับว่า
“ถูกต้องแล้วล่ะ ”
“มันมีพลังแบบนี้อยู่ในโลกจริงๆ ?! ”
เซียนเซียนได้แต่ส่งเสียงอุทานออกมา
เป็นเพราะว่ามีข่าวลืออยู่ว่าเหตุผลที่ชาวตะวันตกนั้นแข็งแกร่งก็เพราะว่ามีผู้เชื่อถือเป็นจำนวนมากและนั่นก่อให้เกิดเป็นพลังแห่งความเชื่อที่มีสรรพคุณมากมายแต่หลักๆคือการบ่มเพาะที่เป็นพลังงานที่เข้มข้นเสียยิ่งกว่าพลังฉีที่สามารถเพิ่มระดับพลังอย่างมากได้อย่างฉับพลันแถมยังไม่มีผลข้างเคียงอะไรด้วย
“ไม่ธรรมดาจริงๆ ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ดวงตาของหลินเทียนได้ส่องประกายออกมาเพราะว่าประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์เหล่านี้คือพลังแห่งความเชื่อ ?
“กลับมา ! ”
เสียงนี้ถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรง
มันเป็นราชันวิหกที่ส่งเสียงคำรามออกมาขณะที่แผดพลังออกไปทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่พลังเทวะของเขาจะระเบิดออกมาพร้อมๆกับเสน่ห์ของภูเขาไท่ที่เข้มข้นกว่าเดิมทำให้ศิลาหินที่กำลังเคลื่อนไหวได้แต่หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
“พระสันตะปาปา ข้ามีคำถามอย่างจะถามเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความเชื่อหลังจากนี้จะได้ไหม ? ”
เขาหันมองออกไป
เป็นเพราะว่ามันเป็นพลังที่เขาให้ความสำคัญอย่างมากและอยากจะรู้เกี่ยวกับมันทั้งหมด
เนื่องจากมันเป็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก
“แน่นอน ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ ”
พระสันตะปาปาตอบกลับ
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งพูดว่า
“ขอรบกวนด้วย ”
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้หันมองออกไปทางราชันวิหกอีกครั้ง
มันเป็นสายตาที่ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
“ตู้มม ~! ”
พลังแห่งความเชื่อที่เขาได้รับมานั้นได้รักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาไปแล้วแถมยังทำให้ระดับพลังของเขาสูงขึ้นกว่าเก่ามากดังนั้นจึงไม่ลังเลเลยที่จะแผดคลื่นพลังทั้งหมดออกมาทำให้ดินแดนลับแห่งนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง
แรงกดดันอันหนักหน่วงกระจายตัวออกไปรอบทิศทาง
นี่ทำให้สีหน้าของราชันวิหกถึงกับเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะนี่คือพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงขั้นที่เขาเองก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตามสายตาของเขาก็ยังคงส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาขณะที่พยายามดึงเอาศิลาหินกลับมาอย่างเจ็มกำลัง
“มันเป็นของข้า ยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องตาย ! ”
เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา
“อยากได้งั้นรึ ! ”
หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชา
หลังจากนั้นเขาได้กำหมัดเอาไว้แน่นก่อนที่จะหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันจนถึงขีดสุดพร้อมทั้งผสานมันเข้ากับเสน่ห์ของภูเขาไท่พลางสังเวยทักษะควบคุมอาวุธออกมาเพื่อฝืนทำลายตราประทับของราชันวิหก
หลังจากนั้นดวงวิญญาณของเขาได้สั่นไหวก่อนที่สัจธรรมและวงเวทย์สังสารวัฏของเขาจะผสานเข้าด้วยกันพร้อมทั้งซัดเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี
พริบตาที่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏปรากฏขึ้นมันก็ได้กดทับเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัวโดยทันที
สีหน้าของราชันวิหกเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะไม่คิดเลยว่าระหว่างที่กำลังแย่งชิงศิลาหินกันอยู่นี้หลินเทียนยังมีพลังมากพอที่จะสังเวยการโจมตีแบบนี้ออกมานี่มันต้องใช้พลังขนาดไหนกัน ?!
“ไอ้ระยำเอ้ย ! ”
เขากัดฟันพูดออกมาพร้อมทั้งแบ่งพลังส่วนหนึ่งออกมารับการโจมตีนี้เอาไว้
และมันเป็นตอนนี้เองที่พลังในการควบคุมศิลาหินของเขาได้ลดลงอย่างมาก
“กลับมา ! ”
เสียงอันเย็นยะเยือกถูกส่งออกมาอย่างดัง
มันเป็นเสียงของหลินเทียนที่หมุนวนทักษะควบคุมอาวุธถึงขีดสุดทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะเริ่มแทรกแซงการทำงานของตราประทับของราชันวิหก
“เหอะ ”
หลินเทียนแสยะออกมาพร้อมทั้งทำลายตราประทับของอีกฝ่ายไปก่อนที่จะทำให้ศิลาหินพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า
“อั๊ก ! ”
การที่ถูกฝืนทำลายตราประทับไปแบบนี้ทำให้ราชันวิหกได้รับความเสียหายถึงขั้นที่กระอักเลือดออกมาคำโต
“ไม่ !!! ”
เขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธพร้อมทั้งอัดพลังเข้าใส่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏพร้อมทั้งคว้ามือออกไปยังศิลาหินที่พุ่งหนีไป
ตอนที่ 1363
หลังจากที่เห็นว่าศิลาหินกำลังพุ่งไปหาทางหลินเทียนอย่างรวดเร็วนั้นดวงตาของราชันวิหกก็ถึงกับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่คว้ามือออกไปหามัน
เป็นเพราะว่าเขาได้ลงแรงและเวลากับมันไปมากกว่าจะชิงมาจากดินแดนศูนย์กลางได้ดังนั้นสมบัติชิ้นนี้ถึงได้มีความหมายกับเขาเอามากๆ
“บึ้สส ~! ”
เขาคว้ามือออกไปก่อนที่สัจธรรมมากมายจะส่องประกายออกมา
หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งโบกมือส่งคลื่นกระบี่ศุกลสวรรค์อันทรงพลังพุ่งผ่านเข้าใส่ทางอีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาได้ส่งความคิดออกไปพร้อมทั้งซัดวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏกดทับเข้าใส่ไปพร้อมๆกัน
ตู้มม !
คลื่นพลังทำลายอันหนักหน่วงระเบิดออกมาอย่างดัง
ร่างกายของราชันวิหกถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนที่จะรีบก้าวถอยกลับไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมาก
และมันเป็นตอนนี้เองที่หลินเทียนได้อาศัยพลังเสน่ห์ของภูเขาไท่ดึงเอาศิลาหินเข้ามาใกล้ได้อย่างแท้จริง
มันมีขนาดไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นซึ่งวินาทีที่มันเข้าใกล้นี้ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังเสน่ห์ของภูเขาไท่ได้มากยิ่งขึ้นเสมือนว่ามันมีดวงวิญญาณเป็นของตัวมันเอง
“ชิงเอามาได้แล้ว ! ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
ตัวมันตระหนักเป็นอย่างดีว่าศิลานี้เป็นของที่ไม่ธรรมดาดังนั้นการที่เห็นว่าหลินเทียนสามารถชิงเอามันมาได้แล้วก็อดแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมาไม่ได้
ตู้มม ~!
ประกายแสงสีเงินอันเข้มข้นระเบิดออกมาจากสถานที่ๆห่างออกไปขณะที่กลิ่นอายอันทรงพลังพวยพุ่งออกจากร่างของราชันวิหก
“เอามันคืนมา ! ”
อีกฝ่ายส่งเสียงกู่ร้องอย่างดังก่อนที่ดวงตาบนหน้าผากของเขาจะส่องประกายพร้อมทั้งสร้างอาณาเขตสังหารขึ้นอีกครั้ง
อาณาเขตอันน่าสะพรึงกลัวได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งปรากฏฝูงผีร้ายและหลุมศพมากมายขึ้นรายล้อมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้
กลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้นบนบังฟากฟ้าเอาไว้อย่างสมบูรณ์
หลินเทียนหันมองออกไปก่อนที่จะใช้มือขวาถือเอาศิลาขึ้นมาพร้อมทั้งส่งถ่ายพลังเข้าใส่มัน
บึ้สสส ~!
ศิลาหินส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่จะส่งคลื่นลำแสงอันทรงพลังพุ่งผ่านออกไป
ฟึ้บบบ ~!
เสียงนี้ถูกส่งออกมาขณะที่อาณาเขตสังหารได้ถูกบดขยี้แหลกสลายหายไปอย่างฉับพลัน
และลำแสงนี้ก็ยังคงพุ่งออกไปด้วยพลังทำลายที่ไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อยพลางทะลวงหน้าอกของอีกฝ่ายไปอย่างจัง
เลือดของเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าสาดกระจายออกไปทั่วทิศทาง
“แข็งแกร่งมากๆ ! ”
หลินเทียนได้แต่มองไปยังศิลาหินในมือด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างหนัก
แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าในช่วงที่อยู่ในมือของราชันวิหกนั้นมันเป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างมากทว่าหลังจากที่ได้ใช้มันกับมือตัวเองแล้วก็ยังอดอุทานออกมาไม่ได้เพราะว่าคนหนึ่งฝืนควบคุมมันด้วยวิธีพิเศษส่วนเขานั้นใช้ความสามารถควบคุมมันทำให้เข้าใจมันได้มากกว่า
เขาเรียกสติกลับมาก่อนที่จะหันมองไปยังร่างของอีกฝ่ายที่ถูกกระแทกออกไปไกลด้วยสีหน้าที่ราบเรียบก่อนที่จะก้าวเดินออกไป
“ไอ้ระยำเอ้ย ! เอามันคืนมานะ ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังด้วยดวงตาสีแดงก่ำขณะที่คลื่นพลังทำลายอันหนักหน่วงกวาดออกไปรอบทิศทาง
หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งอาศัยเสน่ห์ของภูเขาไท่ภายในร่างตีตราประทับลงในศิลาหินทำให้มันส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่จะใช้มันสร้างลำแสงอันทรงพลังพวยพุ่งออกไป
“เจ้า ! ”
ราชันวิหกได้แต่แสดงสีหน้าที่โกรธและหวาดกลัวออกมาเพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็เสียสละไปมากกว่าจะตีตราประทับลงไปได้ถึงได้สามารถฝืนควบคุมมันได้เล็กน้อยทว่าการที่หลินเทียนสามารถตีตราลงไปแบบนี้ได้มันทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อไปทันทีแถมประกายแสงที่ศิลาหินส่องประกายออกมายังเข้มข้นกว่าตอนที่เขาควบคุมมันหลายเท่าจึงอดทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกไปไม่ได้
และมันเป็นตอนนี้เองที่ลำแสงเหล่านี้ได้บดขยี้พลังสัจธรรมทั้งหลายสลายหายไปอย่างฉับพลัน
ภาพเหล่านี้ทำให้ท้องไส้ของเขารู้สึกปั่นป่วนอย่างหนัก
“เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก ! ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมาขณะที่พุ่งออกไปเข้าประชิดร่างของอีกฝ่ายด้วยก้าวย่างแห่งสวรรค์ในชั่วพริบตา
“เจ้า…….”
“ตู้มม ! ”
หลินเทียนเหวี่ยงหมัดอันทรงพลังออกไปอัดกระแทกร่างของอีกฝ่ายปลิวออกไปไกล
หลังจากนั้นลำแสงที่กำลังพุ่งเข้ามาก็ได้อัดเข้าใส่ร่างของราชันวิหกอย่างจัง
พุฟฟ !
เลือดสาดกระจายไปทั่วขณะที่ร่างกายของราชันวิหกแหลกสลายหายไป
“พี่ใหญ่ ! ”
บรรพบุรุษที่สองที่อยู่ห่างออกไปอดส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้พลางพุ่งเข้ามาใกล้
“อย่ามาเกะกะ ”
หลินเทียนสังเวยลำแสงสังหารพุ่งผ่านอากาศอัดเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า
พุฟฟ ! ร่างกายและดวงวิญญาณของอีกฝ่ายระเบิดออกไม่มีเหลือ
หลินเทียนไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำก่อนที่จะเหาะเข้าหาร่างของราชันวิหกอีกครั้ง
กองเลือดที่สาดกระจายไปทั่วได้ก่อตัวขึ้นมาเป็นกายหยาบของราชันวิหกอีกครั้งก่อนที่เขาจะรีบพุ่งถอยกลับไป
ณ ตอนนี้แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างแท้จริงเพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถต่อกรกับหลินเทียนได้
“สักวันข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ! ”
เขาส่งเสียงอันโกรธแค้นออกมาก่อนที่จะฉีกมิติตรงหน้าออกแล้วพุ่งออกไปเพื่อพยายามหนีไปจากที่นี่
หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่ศิลานี้จะสั่นไหวพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกไปทำลายมิติที่อีกฝ่ายกำลังพุ่งผ่านเข้าไป
นี่ทำให้ราชันวิหกได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาเพราะไม่คิดเลยว่าเขาที่หนีเข้าไปในห้วงมิติแล้วก็ยังถูกดึงกลับมาได้
“เจ้า………”
ตู้มมม !
หลินเทียนได้พุ่งเข้าประชิดร่างของเขาก่อนที่จะเหวี่ยงฝ่ามืออันทรงพลังเข้าใส่
หลังจากนั้นเขาก็ได้ก้าวเข้าประชิดร่างของอีกฝ่ายพร้อมทั้งกดทับวงเวทย์หยินหยางและศิลาลงไปพร้อมๆกัน
“ระยำเอ้ย ! ปล่อยข้า ! ”
ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมา
หลินเทียนยกเท้าของเขาขึ้นมากระทืบลงกลางหน้าอกของอีกฝ่ายทำให้ต้องกระอักเลือดออกมาคำโต
“เป็นเชลยยังกล้าส่งเสียงอีกนะ ”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
อีกฝ่ายได้แต่ส่งเสียงสั่นๆออกมาว่า
“เจ้า……”
หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งสังเวยจิตสัมผัสอันทรงพลังทะลวงเข้าใส่ทะเลความรู้ของอีกฝ่ายโดยทันที
ไม่นานเขาก็ดึงเอาความทรงจำมากมายออกมา
“ดินแดนนิรันดร์ การต่อสู้ยุคบรรพกาล ภูเขาไท่และวิหกนิรันดร์”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาโดยทันที
เป็นเพราะว่าจากความทรงจำที่ได้มานั้นเขาได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นมากมาย………ตอนที่อีกฝ่ายได้ปลุกสายเลือดของตัวเองขึ้นก็ได้รับรู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกทว่าเป็นคนจากตระกูลวิหกนิรันดร์ในดินแดนนิรันดร์ที่ทิ้งไข่เอาไว้บนโลกนี้
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ได้ชิงเอาศิลามาจากภูเขาไท่พร้อมทั้งพบว่าภาพความทรงจำของพวกเขานั้นเป็นของจริงทำให้รู้ว่ามันมีดินแดนนิรันดร์อยู่จริงๆแถมยังพบว่าเส้นทางไปสู้ดินแดนนิรันดร์ที่เคยมีสะพานเชื่อมอยู่ในภูเขาไท่ได้ถูกทำลายลงเนื่องจากก่อนหน้านี้มันมีสมบัติสวรรค์ตกลงมายังโลกใบนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายแห่กันออกมาจากดินแดนนิรันดร์พร้อมทั้งฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงมัน
เป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ดวงดาวที่ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิทางช้างเผือกถูกทำลายไปกว่าเก้าในสิบส่วนและท้ายที่สุดแล้วผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งคนหนึ่งก็ได้ปิดผนึกทางเชื่อมต่อไปยังดินแดนนิรันดร์อีกครั้งทำให้สงครามครั้งนี้จบลง
ในตอนนั้นมีขุมพลังมากมายที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ซึ่งหลายๆคนเองก็หลงเหลืออยู่ในดาวดวงนี้เนื่องจากไม่สามารถกลับไปได้ดังนั้นจึงได้ขยายพันธุ์และทำให้มีลูกหลาน…………พวกเขาทั้งสามคนล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานที่ผู้เชี่ยวชาญตระกูลวิหกนิรันดร์ได้ทิ้งเอาไว้บนโลกใบนี้
หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องนี้แล้วพวกเขาทั้งสามก็อยากจะกลับไปยังดินแดนนิรันดร์อย่างมากดังนั้นถึงได้ก่อตั้งนิกายขึ้นและเตรียมแผนการสังเวยดวงวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเพื่อทำลายผนึกที่อยู่ภายในภูเขาไท่สำหรับการเชื่อมต่อไปยังดินแดนนิรันดร์อีกครั้ง
“ไม่คิดเลยว่าการที่โลกนี้ถูกทำลายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับดินแดนนิรันดร์ด้วย ”
หลินเทียนแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
“ดินแดนนิรันดร์มีอยู่จริงๆ ! ไม่คิดเลยว่าภูเขาไท่จะเป็นสะพานเชื่อม ?! ”
พยัคฆ์ขาวถึงกับอ้าปากค้างด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมากขณะที่เซียนเซียนและพระสันตะปาปาต่างโง่งมไปตามๆกัน
“นี่มัน……….”
เซียนเซียนส่งเสียงออกมา
พระสันตะปาปาเองก็ผงะไปไม่ได้เพราะว่าเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นดีแต่ไม่คิดเลยว่าจะมีดินแดนนิรันดร์อยู่จริงๆแถมภูเขาไท่ยังเป็นสะพานเชื่อมไปยังสถานที่แห่งนั้น
“เจ้ามนุษย์ ! ”
ราชันวิหกพยายามดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
แผนการทำลายผนึกของดินแดนนิรันดร์ได้ถูกหลินเทียนทำลายไปหมด ศิลาหินก็ถูกชิงไปแถมหลินเทียนยังเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและรับรู้ความลับทั้งหมดที่มีของเขา
“อ๊ากก ”
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่ดิ้นพล่านอยู่กับพื้นโดยที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้
หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่วงเวทย์หยินหยางจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นฝ่ามือที่บดขยี้ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี
“ตาย ! ”
เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ชั่วร้ายเกินไปดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่เขาจะปล่อยมันไปได้
พลังของวงเวทย์หยินหยางผสานศิลาหินได้บดทำลายดวงวิญญาณของอีกฝ่ายไปอย่างฉับพลัน
“ไม่ !!! ”
ราชันวิหกได้แต่สั่นสะท้านไปขณะที่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนก่อนที่ดวงตาของเขาจะหม่นหมองลง
กายหยาบยังถูกเก็บเอาไว้ขณะที่ดวงวิญญาณดับสูญ
ตอนที่ 1364
ราชันวิหกได้ตกตายลงไปแล้วเหลือไว้เพียงร่างกายหยาบเปล่าๆเท่านั้น
หลินเทียนโบกมือของเขาออกไปเก็บเอาร่างๆนี้เอาไว้
นี่เป็นความตั้งใจแต่แรกของเขาอยู่แล้วเพราะถึงอย่างไรเลือดเนื้อของอีกฝ่ายเองก็ถือว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากๆและหากว่าเขาหล่อหลอมเข้ากับมันแล้วก็คงทำให้ระดับพลังของเขาตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 9 ได้อย่างแน่นอน
“ไอ้นกเฒ่าจากดินแดนนิรันดร์สามตัวทิ้งไข่เอาไว้ภายในโลกนี้แบบนี้นี่มัน…….”
พยัคฆ์ขาวได้แต่ผงะไป
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มันก็เคยได้เห็นความแข็งแกร่งของทั้งสามคนมาก่อนแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะเป็นลูกหลานของผู้เชี่ยวชาญจากดินแดนนิรันดร์ที่อยู่บนโลกใบนี้
“ดินแดนนิรันดร์ สรวงสวรรค์ ”
มันถอนหายใจออกมา
หลินเทียนเองก็ไม่ต่างกันเพราะไม่คิดเลยว่าจะมีโลกอันกว้างใหญ่ที่อยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ด้วย
“ไม่รู้เลยว่ามันจะกว้างใหญ่ขนาดไหนกัน อยากจะก้าวข้ามไปในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ”
เซียนเซียนส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอย่างมาก
หลินเทียนถอนหายใจของเขาออกมาและเมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อดเขกหัวนางพลางพูดออกมาไม่ได้ว่า
“เจ้าหนูน้อย อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นอยู่เลย ควรจะคิดถึงเรื่องตัดผ่านเขตแดนเพื่อสามารถออกไปท่องในห้วงจักรวาลให้ได้เสียก่อน ”
แม้ว่าการบ่มเพาะจะเป็นสิ่งที่ดูลึกลับและไร้เทียมทานสำหรับผู้คนธรรมดาทว่าหลังจากที่ก้าวเดินบนเส้นทางนี้แล้วจะรู้ว่ามันเป็นเส้นทางที่ทรหดและยากเย็นแสนเข็นอย่างมากดังนั้นเขาถึงไม่อยากจะให้นางตั้งเป้าหมายสูงเกินไปเพราะถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนวิญญาณนิรันด์เท่านั้น การที่คิดถึงเรื่องการก้าวข้ามไปยังดินแดนนิรันดร์มันมีแต่จะทำให้รากฐานการบ่มเพาะของนางไม่มั่นคงเท่านั้น
เซียนเซียนเองที่เป็นคนมีไหวพริบเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนนั้นเป็นห่วงนางดังนั้นถึงได้รีบคว้าแขนของเขาแกว่งไปมาอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า
“ขอบคุณท่านอาจารย์มากๆ ข้าจะตั้งใจและไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน ”
“ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยสีหน้าที่หมดคำพูด
เซียนเซียนได้หัวเราะออกมาว่า
“แหม ท่านก็ยังเขินอายอยู่เหมือนเคยเลยนะ ”
หลินเทียนได้แต่หันหน้าหนีโดยที่ไม่ตอบกลับแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าศิษย์อาจารย์สนิทกันดีหนิ ”
พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลินเทียนเองก็อยากจะอธิบายว่าเขาไม่ใช่อาจารย์ของแม่หนูน้อยคนนี้ทว่าหลังจากที่คิดๆดูแล้วก็ทิ้งความคิดนี้ไป
พระสันตะปาปาหัวเราะออกมาก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังและเคารพว่า
“ต้นตอแห่งหายนะได้ถูกทำลายลงแล้ว ต้องขอขอบคุณสหายจากดินแดนศูนย์กลางจริงๆที่ช่วยพวกเราถอนรากถอนโคนพวกมัน ไม่สิ ต้องบอกว่าขอบคุณที่ช่วยโลกใบนี้เอาไว้ ”
เป็นเพราะว่าจากแผนการอันชั่วร้ายของอีกฝ่ายนั้นอยากจะใช้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวยและหากว่าไม่ได้หลินเทียนช่วยเอาไว้แล้วเขาก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย
หลินเทียนโบกมือของเขาพร้อมกับพูดว่า
“พระสันตะปาปา ท่านเองก็สุภาพเกินไป การที่สังหารพวกมันเป็นหน้าที่ของข้าและเป็นสิ่งที่ควรจะพึงกระทำอยู่แล้ว ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อว่า
“ยิ่งไปกว่านั้นหากว่าไม่ใช่เพราะท่านแล้วข้าก็คงจะตกตายลงไปนานแล้ว ”
นี่ไม่ใช่การตอบกลับอย่างถ่อมตัวทว่าความเป็นจริงมันเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะหากว่าไม่ได้รับพลังจากพระสันตะปาปามาในตอนที่อีกฝ่ายฟื้นคืนพลังจากการดูดกลืนเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์แล้วเขาก็คงจะตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตไปแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ได้เก็บเอาศิลาหินกลับไปพร้อมทั้งหันมองออกไปพลางถามด้วยท่าทางที่สุภาพว่า
“อ่อใช่ โปรดช่วยชี้แนะข้าเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความเชื่อด้วย ”
เป็นเพราะว่าเขาให้ความสำคัญกับพลังอันลึกลับนี้มากๆ
“สหาย เจ้าเองก็สุภาพเกินไปแล้ว ชี้แนะอะไรกัน เรียกว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่า ”
พระสันตะปาปาส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งพูดออกมาว่า
“พลังแห่งความเชื่อก็เป็นอย่างที่มันว่าเอาไว้ หากว่าใครคนใดเกิดรู้สึกเชื่อและบูชาคนนั้นจริงๆแล้วพลังนี้ก็จะถือกำเนิดขึ้น”
“ความเข้มข้นของพลังก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ศรัทธาซึ่งจะทำให้พลังเหล่านี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังให้กับผู้ถูกศรัทธา”
พระสันตะปาปาอธิบายเรื่องราวต่างๆออกมารวมถึงวิธีการใช้งานมันอย่างละเอียด
“พลังแห่งความเชื่อนี้เกิดจากผู้ให้ความศรัทธา แล้วมันจะมีผลข้างเคียงอะไรกับพวกเขาไหม ? ”
หลินเทียนถามออกมา
“ไม่ สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีผลเสียอะไร ”
พระสันตะปาปาส่ายศีรษะพร้อมทั้งพูดว่า
“แถมหากว่าศรัทธาถึงจุดหนึ่งแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะหรือผู้คนธรรมดาก็จะได้รับประโยชน์ทางด้านจิตใจไม่น้อยทำให้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าเลยก็ว่าได้ ”
หลินเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะเขาเองก็เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบเดียวกันมาก่อนในสวรรค์สิบชั้นซึ่งเขาเองก็ตรวจสอบผู้คนที่ส่งถ่ายพลังแห่งความเชื่อมาให้เขาแล้วว่าไม่ได้รับผลเสียอะไรและคำพูดของพระสันตะปาปาก็เป็นเหมือนการยืนยันเรื่องนี้
เขานั่งขัดสมาธิลงกับที่ก่อนที่จะเริ่มการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อนี้ซึ่งพระสันตะปาปาเองก็อธิบายให้กับฟังอย่างละเอียดในแต่ละหัวข้อโดยที่ไม่หมกเม็ดแม้แต่น้อย
ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าหนึ่งวันเต็ม
วันนี้เป็นวันที่เขาได้รับประโยชน์มาอย่างมากมายก่ายกองซึ่งระหว่างที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนี้เขาก็ได้ชี้แนะในด้านต่างๆให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“ขอบคุณมากๆ ”
เขาได้ยืนขึ้นพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาอย่างจริงจัง
ในหนึ่งเดือนมานี้ให้ความรู้สึกเสมือนว่าเขาได้เปิดเส้นทางใหม่ขึ้นเลยก็ว่าได้
ตอนที่ 1365
ประโยชน์จากพลังแห่งความเชื่อนั้นยิ่งใหญ่กว่าพลังทั้งปวงถึงขั้นที่เรียกได้ว่าจะเป็นพลังให้กับเส้นทางการบ่มเพาะของเขาอย่างมาก
ดังนั้นแล้วเขาถึงได้รู้สึกขอบคุณพระสันตะปาปาอย่างจริงใจ
“สหาย ไม่ต้องสุภาพไปหรอก ”
พระสันตะปาปาส่ายศีรษะก่อนที่จะยืนขึ้นด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“ข้าเองก็ต้องขอขอบคุณเช่นกัน ในหนึ่งเดือนมานี้ข้าได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมามากมาย ”
ในช่วงหนึ่งเดือนมานี้แม้ว่าเขาจะอธิบายสิ่งต่างๆให้กับหลินเทียนไปมากมายแต่ทางฝ่ายหลินเทียนเองก็ช่วยแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการบ่มเพาะให้เขามากมายโดยที่ไม่ได้หมกเม็ดแม้แต่น้อยทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างใหญ่หลวงถึงขั้นที่สามารถก้าวเดินบนเส้นทางบ่มเพาะในอนาคตได้มั่นคงและไกลขึ้น
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“แค่เพียงความคิดเห็นเล็กน้อยเท่านั้นแหละ หากว่ามันมีประโยชน์ต่อเจ้าข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ”
เขาตอบกลับอย่างนอบน้อมก่อนที่จะสนทนากันอยู่นาน
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกกว่าหกชั่วโมงและมันเป็นตอนที่พวกเขาบอกลากันและกันเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังดินแดนศูนย์กลาง
“ลาก่อน ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของเจ้า ”
พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมา
หลินเทียนพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งโบกมือให้แล้วจากไปพร้อมๆกับคนอื่นๆ
พระสันตะปาปาได้แต่มองไปทางหลินเทียนก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแล้วหัวหลังเดินจากไป
……..
หลินเทียนและพระสันตะปาปาได้แยกทางกันตรงนี้ขณะที่เขาเดินนำทางคนอื่นๆกลับไปยังดินแดนศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว
ตัวเขาไม่ได้เหาะไปทว่ากลับเดินเท้ากลับโดยผ่านภูเขาและแม่น้ำระหว่างทางไปมากมาย
“พลังแห่งความเชื่อ ”
ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมา
เป็นเพราะว่ามันคือพลังที่ลึกลับและน่าทึ่งอย่างมาก
เขาเริ่มคิดว่าเขาควรจะเริ่มจัดการเกี่ยวกับพลังเหล่านี้
แม้ว่ามันจะไม่ใช่พลังหลักของเขาแต่ก็เป็นส่วนช่วยผลักดันได้มาก
“ท่านอาจารย์ ท่านอยากจะสร้างขุมพลังเพื่อเก็บเกี่ยวความเชื่อและผู้ศรัทธา ? ”
เซียนเซียนนั้นเป็นเด็กที่ฉลาดมากๆดังนั้นหลังจากที่เห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงได้ถามออกมา
หลินเทียนพยักหน้าของเขาโดยที่ไม่ปิดบังอะไรพร้อมกับตอบว่า
“อื้ม ”
“งั้นก็ดีไปเลย ! ท่านรีบก่อตั้งขุมพลังขึ้นมาเลย ไม่นานจะต้องสามารถก้าวข้ามขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน ”
เซียนเซียนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างมาก
หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนี้ก็อดเผยยิ้มออกมาไม่ได้
เป็นเพราะว่าสำนักนิรันดร์ที่เขาก่อตั้งขึ้นมันแข็งแกร่งกว่าขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นพันเป็นหมื่นเท่าอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามหากว่าวัดกันเรื่องพลังแห่งความเชื่อนั้นสำนักนิรันดร์ของเขายังห่างชั้นกันอยู่มากเพราะถึงอย่างไรทางเขาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพลังแขนงนี้
“การก่อตั้งขุมพลังมันเป็นเรื่องง่ายๆทว่าสิ่งสำคัญคือการโฆษณาและชักชวนผู้ศรัทธา ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับมาได้ง่ายๆ สิ่งที่สำคัญคือการโฆษณาเป็นวงกว้างที่ต่อให้ขุมพลังยิ่งใหญ่ขนาดไหนแต่หากว่ามันไม่ฝังลงไปภายในรากลึกของจิตใจแล้วก็ไม่มีทางเลยที่จะได้รับพลังแห่งความเชื่อนี้มา
เขาเคยได้รับพลังเหล่านี้มาสองครั้งในดินแดนสวรรค์สิบชั้นซึ่งครั้งแรกเกิดจากการที่เขาหยุดยั้งหายนะและครั้งที่สองคือตอนที่เขาทำลายม่านพลังไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบซึ่งถือได้ว่าเป็นการทำประโยชน์แก่ส่วนรวมครั้งยิ่งใหญ่ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขา
“การที่จะรวบรวมพลังแห่งความเชื่อนี้จะต้องโฆษณาอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ศรัทธาถือกำเนิดขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น”
สิ่งที่เขาพูดคือส่วนสำคัญที่สุดของมัน
“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะท่านอาจารย์ ! หลังจากที่ท่านก่อตั้งขุมพลังเสร็จแล้วก็ยกหน้าที่โฆษณาให้กับเซียนเซียนได้เลย ขุนเขาสีครามของเรามีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายดังนั้นศิษย์สามารถดึงเอาพวกเขามาช่วยโฆษณาไปทั่วทุกมุมโลกได้”
เซียนเซียนพูดออกมาพลางกำหมัดอย่างตื่นเต้น
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ข้างๆเองก็ได้ส่งเสียงออกมาว่า
“ใช่เจ้าหนู แม่หนูจิ้งจอกนี้สามารถทำได้อย่างแน่นอน ”
หลินเทียนได้หันไปทางมันก่อนที่จะพูดว่า
“ข้าขอคิด………..”
เขาได้พยักหน้าออกมาก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมากถึงขั้นที่ผงะไปพร้อมทั้งหันมองออกไป
เป็นเพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังที่ไม่ธรรมดาในทิศทางนั้น
“มีอะไร ? ”
พยัคฆ์ขาวถามออกมา
เซียนเซียนเองก็มองมาทางเขาด้วยท่าทางที่สงสัยไม่แพ้กัน
“ทางตะวันออกเฉียงใต้มีบางสิ่งที่พิเศษอยู่ ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะเบิกเนตรแห่งสัจธรรมแล้วมองออกไป
มันเป็นการผันผวนที่ทำให้เขารู้สึกเสมือนว่ามันเป็นสมบัติที่เกิดขึ้นในยุคบรรพกาลเลยก็ว่าได้
“ไปตรวจสอบกันหน่อย ”
เขาพูดออกมาก่อนที่จะฉีกมิติตรงหน้าออกแล้วก้าวออกไปพร้อมๆกัน
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นภายในสถานที่แห่งหนึ่ง
“ซึ้มมม ~~ !”
เสียงน้ำกระเซ็นถูกส่งออกมาขณะที่เกลียวคลื่นซัดออกไปรอบทิศทาง
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับพื้นที่ทะเลสีครามที่มีสายลมอ่อนๆพัดผ่าน
หลินเทียนที่มาถึงที่นี่พร้อมกับอีกสองคนได้หันมองออกไปพร้อมสัมผัสได้ถึงการผันผวนที่รุนแรงขึ้นก่อนที่จะพบว่ามันถูกส่งออกมาจากภายใต้ส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้
“นี่มัน……..สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ”
เซียนเซียนที่กำลังมองออกไปถึงกับผงะไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมาก
“ข้าพอจำได้ว่ามันมีอยู่ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลแล้ว รู้สึกว่าจะเป็นดินแดนต้องห้ามถ้าจำไม่ผิด ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
“เป็นดินเดนต้องห้าม”
เซียนเซียนพูดออกมาพลางพูดต่อว่า
“มันเรียกได้ว่าเป็นสถานที่อันตายที่คร่าชีวิตของมนุษย์ธรรมดาไปมากมายถึงขนาดที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลที่มาที่นี่เองก็ยังถูกกลืนกินไปในพริบตาโดยที่ไม่มีใครรู้เหตุผลเลยด้วยซ้ำ ”
หลินเทียนหันมองลงไปซึ่งตัวเขาเองก็รู้จักมันตั้งแต่สมัยที่เคยอยู่บนโลกใบนี้มาแล้วว่ามันเป็นสถานที่ๆมีพลังพิเศษสามารถดูดเรือทั้งลำลงไปโดยที่แม้แต่วิทยาศาสตร์เองก็ไม่สามารถอธิบายได้แต่ไม่คิดเลยว่าเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลก็ยังถูกดูดลงไป
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้สนใจข่าวลือเหล่านี้แม้แต่น้อยพลางเบิกเนตรแห่งสัจธรรมขึ้นมาพร้อมทั้งจ้องมองลงไป
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ ”
เขาพูดออกมาพลางก้าวออกไป
เซียนเซียนได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านคิดจะลงไป ? ลงไปทำอะไร ? มันอันตรายมากๆนะ ! ”
นางรู้ดีว่าหลินเทียนนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถสังหารเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าได้ก็จริงทว่าสถานที่แห่งนี้มันสถานที่ๆอันตรายอย่างมากทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่ต้องกังวลไป ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เป็นเพราะว่าการผันผวนที่ส่งออกมาจากใต้ทะเลลึกมันดึงดูดความสนใจของเขามากๆดังนั้นถึงได้อยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
เขาให้ทั้งสองคนรออยู่ด้านบนพร้อมทั้งดำลึกลงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเขาก็ได้พบกับแหล่งแสงที่อยู่เบื้องล่าง
เขาปกป้องร่างกายเอาไว้ด้วยประกายแสงสีทองขณะที่ดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ
พริบตาคลื่นพลังอันหนักหน่วงก็ได้อัดกระแทกเข้ากับม่านพลังสีทองของเขาทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเสมือนว่าเป็นฝ่ามือของยมโลกที่กำลังคว้าเข้าใส่เขา
“เปรี้ย ! ”
ม่านพลังสีทองส่งเสียงปริแตกออกมาก่อนที่รอยแตกร้าวจะแผดขยายออกไปรอบทิศทาง
สีหน้าของเขาได้แต่เปลี่ยนไปก่อนที่จะผงะไป
ต้องรู้ก่อนนะว่าตอนนี้เขาอยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิว่างเปล่าตอนต้นดังนั้นม่านพลังป้องกันนี้ไม่มีทางเลยที่จะสามารถทำลายลงได้ง่ายๆทว่าตอนนี้คลื่นพลังที่ส่งออกมาจากใต้ทะเลกลับสามารถทำลายมันลงได้ในพริบตา
มันเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
เขาได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนที่จะหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อสร้างม่านพลังขึ้นมาอีกครั้งแต่มันก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและปริแตกอีกครั้ง
มันยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้นกว่าเก่าเพราะว่าคลื่นพลังใต้น้ำนี้มันทรงพลังถึงขั้นที่สามารถสังหารจ้าวสวรรค์ลงได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
“เป็นอาณาเขตสังหารที่ทรงพลังอย่างมาก ”
เขาพึมพำอยู่ภายในใจ
ตัวเขาที่เชี่ยวชาญทักษะฝังมังกรนั้นได้กวาดสายตาออกไปรอบๆก่อนที่จะพบว่าคลื่นพลังอันหนักหน่วงนี้เกิดจากอาณาเขตอันน่าสะพรึงกลัว
แถมภายในอาณาเขตนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับกลิ่นอายบรรพกาลที่เขาสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง
ตอนที่ 1366
คลื่นพลังอันหนักหน่วงส่งออกมาจากพื้นที่ด้านใต้ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าทำให้ม่านพลังของเขาปริแตกอย่างต่อเนื่องเสมือนว่าต้องการจะบดขยี้ร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ
คิ้วของหลินเทียนขมวดเข้าหากันอย่างมากพร้อมทั้งโบกมือส่งตรามังกรมากมายออกมาปกป้องร่างกายเอาไว้
การปรากฏตัวของตรามังกรนี้ช่วยลดแรงกดดันที่เขาได้รับลงอย่างมาก
เพราะถึงอย่างไรแล้วตรามังกรเหล่านี้ก็มีคุณสมบัติแบบเดียวกันกับอาณาเขตเหล่านี้
หลินเทียนอาศัยตรามังกรของเขาปกป้องร่างกายเอาไว้ขณะที่ดำดิ่งลึกลงไปมากขึ้นๆพร้อมทั้งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้ดวงวิญญาณของเขาต้องสั่นสะท้าน
“หากว่าไม่ได้เป็นเพราะว่าเชี่ยวชาญทักษะฝังมังกรแล้วต่อให้เป็นจักรพรรดิว่างเปล่าตอนปลายก็คงไม่มีทางต่อต้านคลื่นพลังนี้ได้แน่ๆ ”
หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง
อาณาเขตสังหารนี้มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
ทักษะฝังมังกรหมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะดำดิ่งลงไปถึงก้นของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอย่างแท้จริง
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับเศษซากท้องเรือรวมถึงโครงกระดูกของมนุษย์และสัตว์มากมาย
“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ถูกสูบลงมาจากเบื้องบน ”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าแรงดึงดูดในจุดนี้มันรุนแรงถึงขึ้นที่ให้ความรู้สึกเสมือนสามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่ง
หากว่าเขาไม่ได้เชี่ยวชาญทักษะฝังมังกรก็คงจะถูกบดขยี้จนแหลกสลายหายไปนานแล้ว
“ด้วยระดับพลังของเราในตอนนี้และทักษะฝังมังกรน่าจะอยู่ได้ประมาณสองชั่วโมงเท่านั้น”
เขาพึมพำออกมา
ตัวเขายืนอยู่ด้วยสีหน้าที่จริงจังอย่างมากขณะที่ทักษะฝังมังกรหมุนวนอยู่ภายในร่างพร้อมทั้งแผดตรามังกรออกไปรอบทิศทางเพื่อค้นหากลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ให้เร็วที่สุด
เป็นเพราะว่าเขาตระหนักได้ดีว่ามันจะต้องไม่ใช่อะไรธรรมดาๆอย่างแน่นอน
“บึ้สส ! ”
ตรามังกรส่องสว่างออกมาเสมือนดั่งมังกรที่เวียนว่ายออกไปรอบทิศทางพร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ
ไม่นานเมื่อถึงตอนที่ตรามังกรของเขาได้เวียนว่ายออกไปไกลมากๆแล้วก็เกิดการตอบสนองบางสิ่งที่ทำให้ใต้ทะเลลึกสั่นไหวพร้อมทั้งมีฟองอากาศระเบิดออกมา
โขดหินที่อยู่ใต้ก้นทะเลแหลกสลายเสมือนว่าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมๆกับกลิ่นอายที่พวยพุ่งออกมาอย่างเข้มข้น
“พบแล้ว ! ”
ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาพร้อมทั้งก้าวเข้าใกล้ขณะที่ใช้ตรามังกรปกป้องร่างกายเอาไว้
พริบตาเขาก็เข้าไปใกล้โขดหินที่แหลกสลายนั้นก่อนที่จะหันมองไปรอบๆพร้อมทั้งพบกับคริสตัลสีม่วงที่ส่องประกายแสงเจิดจรัสอันอบอุ่นออกมา
กลิ่นอายเก่าแก่ที่เขาสัมผัสได้นี้ถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่มัน…….คริสตัลโกลาหลบรรพกาล ?! ”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะว่าก่อนที่โลกจะถูกสร้างขึ้นนั้นทุกสิ่งล้วนเกิดจากความโกลาหลซึ่งเพียงแค่เศษเสี้ยวกลิ่นอายของมันก็เพียงพอจะบดทำลายทุกสิ่งและหากว่ามันมีน้ำหนักมากๆก็จะถูกรียกว่ากลิ่นอายโกลาหลซึ่งคริสตัลนี้เกิดจากการรวมตัวกันของกลิ่นอายเหล่านี้
มันคือวัตถุดิบหลอมอาวุธชั้นเลิศ !
“นี่มัน…..”
หลินเทียนได้แต่โง่งมไปทันทีเพราะเขาเองก็เคยอ่านเกี่ยวกับข้อมูลของมันมาจากบันทึกเก่าแก่ภายในสวรรค์สิบชั้นแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นกับตาตัวเองบนโลกใบนี้
มันเป็นสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ถึงขั้นที่ไม่มีทางจะหาดูได้ง่ายๆ
การที่หลอมอาวุธขึ้นจากมันจะทำให้อาวุธนั้นให้กำเนิดตราเทวะขึ้นด้วยตัวมันเอง
แถมอาวุธนี้มันยังสามารถวิวัฒนาการไปได้เรื่อยๆไม่ต่างจากเปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันมีขีดจำกัด
หลินเทียนได้แต่มองไปทางมันด้วยดวงตาที่ส่องประกายเจิดจรัสออกมา
เป็นเพราะว่าเขาได้พบสุดยอดสมบัติบนโลกใบนี้ !
“ต้องพูดว่าสมแล้วจริงๆที่เคยถูกเรียกว่าดาวจักรพรรดิทางช้างเผือก ไม่คิดเลยว่าจะให้กำเนิดสมบัติชนิดนี้ได้ ! ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา
เขาได้แต่มองไปทางมันพร้อมทั้งพยายามรวบรวมสติของตัวเองอีกครั้งพร้อมทั้งก้าวเดินออกไป
ไม่นานเขาก็ได้เข้าไปใกล้มันพร้อมทั้งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเสมือนว่ามีภูเขากำลังกดทับลงที่ร่างของเขาทำให้ร่างกายของเขากำลังจะแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ
นี่ทำให้เขายิ่งตระหนักได้ถึงความวิเศษของมันส่งผลให้ดวงตาของเขายิ่งเปล่งประกายออกมา
เขายกมือทั้งสองขึ้นพร้อมทั้งส่งถ่ายพลังทั้งหมดออกไปเพื่อสังเวยทักษะฝังมังกรออกมารายล้อมคริสตัลนี้เอาไว้
ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงและมันเป็นตอนนี้เองที่ตรามังกรได้ยับยั้งแรงกดดันแทบทั้งหมดของมันก่อนที่เขาจะเก็บมันเอาไว้ภายในโลกใบเล็กของตัวเอง
วินาทีนี้เองที่แรงกดดันอันหนักหน่วงได้สลายหายไปอย่างฉับพลัน
“อาณาเขตสังหารพวกนี้ก่อตัวขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาลจริงๆด้วย เมื่อเคลื่อนย้ายมันแล้วอาณาเขตก็จะสลายตัวเองโดยทันที ”
หลินเทียนพึมพำอยู่ในใจ
เป็นเพราะเขาได้คิดเอาไว้ก่อนแล้วว่ากลิ่นอายที่อาณาเขตสังหารนี้ส่งออกมามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอน
เขาได้กวาดสายตาออกไปรอบๆและหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มเดินทางกลับขึ้นไปสู่ผิวน้ำอีกครั้ง
ไม่นานตัวเขาก็กลับขึ้นมาเหนือน่านน้ำอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ ! ”
เซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปได้โบกมือให้กับเขา
พยัคฆ์ขาวเองก็หันมองมาทางเขาเช่นกัน
หลินเทียนหันมองไปทางพวกเขาก่อนที่จะก้าวเดินออกไป
“ก้นทะเลมีอะไรงั้นรึท่านอาจารย์ เมื่อครู่มันเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? ”
เซียนเซียนรีบถามออกมา
“ไม่มีอะไร ค้นพบสมบัติอยู่ก้นทะเล ”
หลินเทียนพูดออกมา
เขารู้ดีว่าการสั่นไหวเมื่อครู่นั้นเกิดจากการที่ตรามังกรของเขาได้สัมผัสเข้ากับคริสตัลโกลาหลบรรพกาล
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ”
เซียนเซียนถอนหายใจออกมา
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ข้างๆได้ถามออกมาว่า
“แล้วพบสมบัติอะไรกัน ? ”
สำหรับหลินเทียนแล้วนั้นเขาไม่ได้เห็นสมบัติสวรรค์อยู่ในสายตาด้วยซ้ำดังนั้นถึงได้รู้สึกสงสัยอย่างมากว่าอะไรกันที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติในสายตาของหลินเทียน ?
“แร่ล้ำค่า ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เขารู้สึกมีความสุขอยู่ภายในใจพร้อมทั้งเปิดโลกใบเล็กออกและหยิบเอาคริสตัลโกลาหลบรรพกาลออกมา
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนๆได้แต่จ้องมองไปทางมันด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมาก
“นี่มัน…..นี่……….”
พยัคฆ์ขาวอุทานออกมา
“คริสตัล…..โกลาหลบรรพกาลในตำนาน ?! ”
เซียนเซียนส่งเสียงออกมา
แน่นอนว่าพวกเขาล้วนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมันมาก่อน
หลินเทียนพยักหน้าของเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งปิดโลกใบเล็กของเขา
“เหตุผลที่สถานที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนต้องห้ามก็เพราะว่าอาณาเขตสังหารได้ก่อตัวขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาล หลังจากนี้มันจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง ”
เขาพูดออกมา
เป็นเพราะว่าการที่เขาเอาคริสตัลโกลาหลบรรพกาลออกมาด้วยนั้นทำให้อาณาเขตสังหารได้พังทลายลง
ในอนาคตมันจะกลับมาเป็นสถานที่ธรรมดาๆอย่างที่ควรจะเป็น
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนได้แต่ผงะไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมาก
“ท่านอาจารย์จะโชคดีเกินไปไหม ?! นี่น่ะมันวัตถุดิบทำอาวุธชั้นเลิศเลยนะ ! ”
เซียนเซียนได้แต่อ้าปากค้าง
เป็นเพราะว่าคริสตัลนี้เกิดจากการก่อตัวขึ้นของกลิ่นอายโกลาหลที่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญได้แต่ฝันถึงและเป็นเพราะว่ามีคนบางคนค้นพบมันขนาดเท่าหัวนิ้วมือจึงก่อให้เกิดมหาสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทว่าตอนนี้หลินเทียนกลับพบคริสตัลนี้แถมยังมีขนาดเท่ากับกำปั้น
นี่มันเป็นความโชคดีขนาดไหนกัน ?!
“เป็นเพราะว่าเป็นคนดีไงล่ะถึงได้มีโชคที่ดี ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่ได้ถ่อมตัวในเรื่องนี้เพราะตั้งแต่บ่มเพาะมาเขาก็มักจะเป็นคนที่โชคดีเสมอ
หลังจากนั้นก็หันมองออกไปทางทั้งสองคนแล้วหันหลังเหาะออกไปทางดินแดนศูนย์กลางต่อไป
ไม่นานพวกเขาก็ได้ไปถึงอาณาเขตของดินแดนศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว
“ท่านอาจารย์แล้วเราจะทำอะไรกันต่อ ? ก่อตั้งขุมพลังกันเถอะ ! หลังจากนั้นเซียนเซียนก็จะออกไปโฆษณาเพื่อเพิ่มผู้ศรัทธาให้แล้วขุมพลังของเราจะกลายเป็นขุมพลังอันดับหนึ่ง ! “
เซียนเซียนกำหมัดเอาไว้แน่นพร้อมทั้งแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมา
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันก่อน ข้าจะทำเรื่องอื่นก่อนแล้วค่อยก่อตั้งขุมพลังหลังจากนั้น ”
หลินเทียนพูดออกมา
เป็นเพราะว่าได้รับคริสตัลนี้มาแล้วดังนั้นเขาถึงได้คิดจะหลอมมันขึ้นมาเป็นอาวุธวิญญาณของเขา
ตอนที่ 1367
เป็นเพราะว่าคริสตัลโกลาหลบรรพกาลนั้นเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่งโดยที่ถือว่าเป็นสมบัติที่เหมาะแก่การนำมาหลอมเป็นอาวุธโดยที่ไม่มีวัสดุไหนเทียบเคียงได้ดังนั้นในเมื่อเขาได้รับมันมาแล้วก็อยากจะเอามันไปหลอมเป็นอาวุธโดยทันที
เขาได้หันไปพูดกับทั้งสองคนก่อนที่จะเหาะออกไปยังสันเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับต้นไม้มากมายที่เหี่ยวเฉาเป็นส่วนใหญ่แถมพื้นดินเองก็ยังแตกระแหงอยู่รอบทิศทาง
“ท่านอาจารย์มาที่นี่ทำไมกัน ? ”
เซียนเซียนได้ถามออกมา
“หลอมอาวุธ ”
หลินเทียนได้ตอบกลับไป
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้เปิดโลกใบเล็กของตัวเองเพื่อหยิบเอาวัตถุดิบออกมาอย่างรวดเร็ว
คริสตัลโกลาหลบรรพกาลขนาดเท่ากำปั้นรายล้อมไปด้วยตรามังกรมากมายส่องประกายแสงเจิดจรัสสีม่วงออกมาเสมือนว่าเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆก็สามารถบดขยี้ขุนเขาได้อย่างง่ายดาย
“นี่แหละคือมรดกอย่างแท้จริง หากว่าหลอมขึ้นด้วยเจ้าสิ่งนี้แล้วต่อให้แหลกเป็นเสี่ยงๆก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ง่ายๆ ”
ดวงตาของพยัคฆ์ขาวส่องประกายออกมาโดยทันที
เป็นเพราะว่าหากอาวุธธรรมดาถูกทำลายลงนั้นก็ยังต้องใช้เวลาและสังเวยแก่นชีวิตและดวงวิญญาณของผู้ใช้เพื่อฟื้นฟูดังนั้นจึงได้ไม่เท่าเสียทว่ามันต่างออกไปกับคริสตัลโกลาหลบรรพกาลนี้เพราะแม้ว่ามันจะก่อตัวขึ้นจากกลิ่นอายโกลาหลทำให้แทบจะไม่มีอะไรสามารถทำลายมันได้และต่อให้มันถูกทำลายก็สามารถฟื้นฟูตัวเองดือย่างรวดเร็วโดยที่ไม่จำเป็นต้องสังเวยดวงวิญญาณหรือแก่นชีวิตแม้แต่น้อย นี่ทำให้มันถูกเรียกว่าเป็นอาวุธมรดกเลยก็ว่าได้
“พวกเจ้าถอยห่างออกไปหน่อย ”
หลินเทียนหันมองไปทางเซียนเซียนและพยัคฆ์ขาว
เป็นเพราะตอนนี้เขาต้องเริ่มการหลอมอาวุธขึ้นแล้วซึ่งในระหว่างนี้จำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดไปกับมันและไม่มีเวลาพอที่จะให้ความสนใจกับทั้งสองคนนี้ซึ่งการที่พวกเขาอยู่ใกล้เกินไปก็อาจจะไม่สามารถต้านทานกลิ่นอายของมันได้
ทั้งสองคนเองก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบพากันถอยห่างออกไป
หลินเทียนที่เห็นว่าพวกเขาถอยห่างออกไปไกลแล้วก็ได้สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเริ่มลบล้างตรามังกรทั้งหลายออกไป
“เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเองก่อนที่จะส่งความคิดออกไปทำให้เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ลุกโชนขึ้น
มันคือเปลวเพลิงเทวะที่แข็งแกร่งอย่างมากก่อนที่จะโอบตัวคริสตัลนี้เอาไว้
และในเวลาเดียวกันนี้เองที่ตรามังกรเริ่มสลายหายไป
ทันใดนั้นเองที่เกิดเสียงระเบิดขึ้นมาอย่างดังขณะที่กลิ่นอายอันทรงพลังไหลทะลักออกไปรอบทิศทางทำให้มิติแห่งนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง
“นี่มัน…….”
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปได้แต่แข็งค้างไป
“นี่มัน…..น่ากลัวเกินไปแล้ว ! ”
เซียนเซียนเองก็ได้แต่คอหดอยู่กับที่
เป็นเพราะก่อนหน้านี้หลินเทียนได้ผนึกกลิ่นอายของมันเอาไว้ทำให้พวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันรุนแรงของมันมากนักทว่าหลังจากที่หลินเทียนได้ปลดปล่อยตรามังกรแล้วกลิ่นอายที่ไหลทะลักออกมาก็อดทำให้พวกเขารู้สึกขนหัวลุกไปไม่ได้
เป็นเพราะว่ากลิ่นอายที่รายล้อมมันเอาไว้ช่างทรงพลังเหลือเกินและแม้พวกเขาจะอยู่ห่างออกไปไกลหลายกิโลเมตรทว่าก็ยังรู้สึกเสมือนว่าร่างกายกำลังจะแหลกสลายหายไปอยู่ดี
“บึ้สสส ! ”
เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ได้ส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่คริสตัลโกลาหลบรรพกาลจะเริ่มผสานเข้ากับมัน
เป็นเพราะว่าสิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำคือการหลอมละลายมัน
แต่แน่นอนว่าด้วยความที่มันมีความแข็งอย่างมากดังนั้นการจะหลอมมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยและต่อให้ใช้เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ด้วยระดับพลังของเขาแล้วก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เวลามากๆ
นี่ทำให้เขาหมุนวนเปลวเพลิงอยู่อย่างเต็มกำลังขณะที่เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสามเดือนเต็มซึ่งสามเดือนมานี้เขาก็สามารถทำให้มันหลอมละลายได้เสียที
เมื่อมองออกไปยังของเหลวสีม่วงตรงหน้าที่ไม่มีสิ่งสกปรกอะไรผสมอยู่แล้วมันให้ความรู้สึกที่ดูงดงามเป็นอย่างมาก
“ขนาดใช้เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ก็ยังกินเวลาไปถึงสามเดือนเต็ม ! ”
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปได้ส่งเสียงออกมา
เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอจะอธิบายได้ถึงความไม่ธรรมดาของมันแล้ว
“ไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์คิดจะหลอมอาวุธแบบไหนกัน ”
ดวงตาของเซียนเซียนจับจ้องอยู่กับภาพเบื้องหน้า
เป็นเพราะว่าอาวุธในโลกนี้มีอยู่มากมายหลายแขนงไม่ว่าจะเป็น ดาบ กระบี่ ง้าว กระบอก เตาพลังวิญญาณและอื่นๆอีกมากมายหลายชนิดดังนั้นถึงได้รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
“บึ้สส ! ”
เปลวเพลิงหยางยังคงส่องประกายแสงสีทองโชติช่วงอยู่อย่างต่อเนื่อง
ของเหลวสีม่วงที่ผสมผสานไปด้วยเปลวเพลิงนี้ให้ความรู้สึกที่งดงามเป็นอย่างมาก
หลินเทียนที่กำลังจ้องมองไปทางมันเองก็ตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
เป็นเพราะว่าเขาคิดจะใช้มันหลอมขึ้นมาเป็นเจดีย์ !
มันเป็นสิ่งที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายโปรดปรานตั้งแต่อดีตเพราะสามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านการโจมตีและการสยบศัตรู
“หล่อหลอม ! ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะส่งเสียงออกมาเบาๆ
เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ของเขายิ่งแผดกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมาขณะที่หน้าผากส่องประกายแสงพร้อมๆกับเริ่มการหล่อหลอมและบีบอัดของเหลวทั้งหลายขึ้นเป็นรูปทรงอาวุธ
“บึ้สส ! ”
กลิ่นอายสีม่วงแผดขยายออกไปรอบทิศทางขณะที่แสงสะท้อนส่องประกายไปทั่ว
ไม่นานกลิ่นอายอันทรงพลังก็ได้พวยพุ่งออกมาส่งผลให้มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงเสมือนว่าทุกสิ่งกำลังจะถูกบดขยี้ไป
“นี่มัน…..คือคริสตัลโกลาหลบรรพกาล ขนาดยังไม่เสร็จสมบูรณ์กลับยังสามารถส่งกลิ่นอายขนาดนี้ออกมาได้ ! ”
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์สั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่หลินเทียนกำลังตั้งใจอยู่กับการบีบอัดมันอย่างเต็มที่
หลังจากนั้นเขาก็ได้เบิกเนตรแห่งสัจธรรมขึ้นมาพร้อมทั้งตั้งใจสังเกตทุกความเปลี่ยนแปลงของมัน
ตู้มมม !
ประกายแสงที่ส่งออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่พลังของมันจะพุ่งสูงถึงจุดสูงสุด
“กลิ่นอายระดับนี้มันก้าวข้ามระดับอาวุธสวรรค์ตอนปลายไปแล้ว ! ”
สายตาของพยัคฆ์ขาวหดเล็กลงโดยทันที
ความจริงที่ว่าแม้อาวุธของหลินเทียนยังไม่ก่อรูปขึ้นมาแต่พลังทำลายที่มันส่งออกมาไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธสวรรค์ตอนปลายเลยด้วยซ้ำนี้ทำให้มันได้แต่ใจสั่นไปเพราะกลิ่นอายที่รุนแรงขนาดนี้แล้วหากว่ามันเสร็จสมบูรณ์แล้วจะทรงพลังขนาดไหนกัน ?
เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ก็ยังคงส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาอย่างต่อเนื่อง
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่า 14 ชั่วโมงเต็ม
“บีบอัดขึ้นรูป ! ”
น้ำเสียงนี้ถูกส่งออกมาจากปากของหลินเทียน
ไม่นานเปลวเพลิงที่ทรงพลังก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกก่อนที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงจะระเบิดออกมา
มันทำให้สันเขาแห่งนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีทองอร่ามขณะที่ประกายแสงสีม่วงระเบิดออกไปรอบทิศทางและเผยให้เห็นรูปลักษณ์ของมัน
มันเป็นเจดีย์สีม่วงเก้าชั้นที่มีความใสบริสุทธิ์ไม่ต่างจากน้ำรายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาเสมือนว่าสามารถสยบได้ทุกสรรพสิ่ง
เจดีย์นี้ให้ความรู้สึกที่หนักหน่วงไม่ต่างจากห้วงจักรวาลส่งผลให้มิติโดยรอบปริแตกโดยทันที
“ดีมาก ! ”
ดวงตาของหลินเทียนส่องประกายออกมาเพราะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมันดีว่ามันสามารถทำลายได้แม้กระทั่งห้วงจักรวาล
ทั้งสองคนที่อยู่ห่างออกไปต่างพากันผงะไปเพราะพวกเขาเองก็ตกตะลึงไปกับกลิ่นอายของมัน
“สมบูรณ์แล้วงั้นรึเจ้าหนู ? ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
“ยังขาดอยู่นิดหน่อย ”
หลินเทียนพูดออกมา
เขาได้มองออกไปทางมันก่อนที่จะแย่งดวงวิญญาณและแก่นโลหิตของตัวเองออกไปผสานเข้ากับมันพร้อมทั้งเปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์หล่อหลอมมันอีกครั้ง
เป็นเพราะสิ่งที่เขากำลังจะหลอมคืออาวุธวิญญาณของตัวเองดังนั้นจึงจำเป็นต้องสังเวยดวงวิญญาณและแก่นพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้กับมันเพื่อให้มันสามารถวิวัฒนาการไปพร้อมๆกับเขาได้
อีกอย่างมันก็ถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุชั้นเลิศอย่างคริสตัลโกลาหลบรรพกาลดังนั้นมันจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาและหากว่าเขายังไม่ตายมันก็จะไม่ถูกทำลายเด็ดขาด
“บึ้สสส ~! ”
สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูสุขุมอย่างมากขณะที่เปลวเพลิงหล่อหลอมมัน
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกกว่าหนึ่งเดือนเต็ม
ตู้มมม !
วันนี้มันเป็นวันที่กลิ่นอายอันหนักหน่วงได้ระเบิดออกมาทำให้โลกทั้งใบสั่นไหวอย่างรุนแรง
เปลวเพลิงได้สลายหายไปก่อนที่เจดีย์นี้จะล่องลอยเข้ามาอยู่เหนือศีรษะของเขาส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาปกคลุมร่างของเขาเอาไว้
หลินเทียนมองกลับขึ้นไปด้วยความรู้สึกที่ใกล้ชิดเสมือนว่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของเขา
หลังจากนั้นเขาก็ได้โบกมือและส่งความคิดออกไปทำให้มิติโดยรอบสลายหายไปพร้อมแปรเปลี่ยนกลายเป็นห้วงความโกลาหลขณะที่เจดีย์ขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นหลายสิบเมตรสร้างความรู้สึกที่สามารถสยบได้ทุกสิ่งออกมาก่อนที่จะสั่งให้มันหดและกลับมาอยู่เหนือศีรษะของเขาอีกครั้ง
เพียงแค่ความคิดของเขาก็สามารถควบคุมมันได้ประหนึ่งว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ทว่าพลังทำลายของมันนั้นเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัวเลยก็ว่าได้
“เยี่ยม ”
ดวงตาของเขาส่องประกายความสุขออกมา
เป็นเพราะว่านี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้
ตอนที่ 1368
ประกายแสงสีม่วงรายล้อมเจดีย์นี้เอาไว้พร้อมๆกับอักขระมากมายที่ส่องประกายออกมาด้วยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาส่งผลให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล
หลินเทียนรู้สึกพึงพอใจกับมันมากๆเพราะเขาเชื่อว่าด้วยอาวุธชิ้นนี้แล้วเส้นทางการบ่มเพาะของเขาจะต้องยิ่งสุดยอดขึ้นไปอีก
“ยินดีด้วยค่ะท่านอาจารย์ ! ”
เซียนเซียนที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ส่งเสียงออกมาพลางรีบเหาะเข้ามาใกล้
นางได้แต่มองไปยังเจดีย์เหนือศีรษะของหลินเทียนด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
มันเป็นเพราะว่าเจดีย์เก้าชั้นนี้มันให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามอย่างมาก
พยัคฆ์ขาวที่กำลังเหาะเข้ามาเองก็ได้แต่มองไปทางมันพร้อมทั้งอดส่งเสียงชื่นชมออกมาไม่ได้
ณ ตอนนี้มันรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นระรัว
“น่ากลัวจริงๆ แม้ว่าจะเป็นอาวุธสวรรค์เท่านั้นแต่พลังทำลายของมันเทียบได้พอๆกับอาวุธบรรพบุรุษของจักรพรรดิว่างเปล่าเลยด้วยซ้ำ ! ”
ดวงตาของมันส่องประกายออกมา
หลังจากอาวุธระดับจ้าวสวรรค์ขึ้นไปแล้วยังมีอาวุธระดับบรรพบุรุษ อาวุธวิญญาณสมบัติ อาวุธอนันตกาล อาวุธนิรันดร์ที่แท้จริง อาวุธนิรันดร์ทองคำ อาวุธนิรันดร์ล้ำลึก อาวุธนิรันดร์สวรรค์ อาวุธราชาแห่งนิรันดร์ก่อนที่จะเป็นอาวุธเทวะที่แท้จริงอาวุธบรรพบุรุษเทวะ อาวุธปราชญ์เทวะและอาวุธจักรพรรดิเทวะซึ่งแบ่งออกตามเขตแดนต่างๆ
ตอนนี้แม้เจดีย์ของเขาจะอยู่ในระดับอาวุธสวรรค์ก็จริงทว่าพลังทำลายของมันก้าวข้ามระดับของมันเองแล้วทำให้สามารถต่อกรกับอาวุธบรรพบุรุษได้อย่างแน่นอน
“ถึงอย่างไรมันก็หลอมขึ้นมาจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาล ดังนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ ”
หลินเทียนพูดออกมา
เพราะด้วยพลังทำลายที่รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังนี้แถมยังควบคุมได้ดั่งใจนึกนั้นทำให้เขาชื่นชอบมันอย่างมาก
เซียนเซียนที่อยู่ข้างๆเองก็ได้แต่มองไปทางมันด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเสมือนว่าต้องการจะคว้ามันไปเล่น
“ท่านอาจารย์จะตั้งชื่อมันว่าอะไรรึคะ ? ”
นางถามออกไป
หลินเทียนตอบกลับว่า
“เจดีย์ราชันอมตะ ”
“เป็นชื่อที่น่าเกรงขามมากๆแต่นี่มันสร้างขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาลไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้ตั้งชื่อนี้ ? ”
พยัคฆ์ขาวถามออกมา
เซียนเซียนเองก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเช่นกันเพราะตอนที่นางกำลังถามชื่อออกไปนี้ในสมองของนางก็ปรากฏชื่อเจดีย์บรรพกาลขึ้นมาเช่นกันแต่ไม่คิดเลยว่าหลินเทียนจะตั้งชื่ออื่น
หลินเทียนหันมองไปยังใบหน้าที่สงสัยของพวกเขาทำให้อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้พลางตอบกลับไปว่า
“ข้ายังไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือไงว่าข้าเป็นจ้าวสำนักนิรันดร์มีสถานที่เป็นราชันอมตะดังนั้นอาวุธวิญญาณของข้าถึงได้ชื่อเจดีย์ราชันอมตะไง ”
“อะไรนะ ?! ”
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
“จ้าวสำนักนิรันดร์ ? ราชันอมตะ ? ”
เซียนเซียนได้แสดงสีหน้าที่สงสัยออกมาพร้อมกับพึมพำออกมาว่า
“ดูเหมือนโลกนี้จะไม่มีขุมพลังชื่อนี้อยู่นะ ”
“ในอดีตเองก็ไม่เคยมี ”
ทั้งสองคนส่งเสียงออกมา
“ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพลางพูดต่อว่า
“มันตั้งอยู่บนดวงดาวเก่าแก่ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากสถานที่แห่งนี้มากๆ ”
“ว่าไงนะ ?! ”
ทั้งสองคนยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีก
“ท่าน…อาจารย์……ท่านหมายความว่า…..ท่านเคยออกจากดาวดวงนี้ไปยังดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาลแล้วก่อตั้งขุมพลังขึ้นที่นั่น ?! ”
เซียนเซียนที่เป็นเด็กมีไหวพริบได้เข้าใจความหมายของเขาโดยทันที
“ก็เกือบทั้งหมดล่ะนะ ”
หลินเทียนตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำยืนยันเช่นนี้แล้วทั้งสองก็อดสั่นสะท้านไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นไม่ได้…….หลินเทียนเคยออกจากโลกใบนี้แล้วแถมยังก่อตั้งขุมพลังที่แข็งแกร่งแล้วยังเป็นราชันอมตะของคนเหล่านั้น !
“นี่มัน……”
พวกเขาได้แต่แข็งค้างไป
เป็นเพราะด้วยระดับพลังของหลินเทียนนั้นการจะออกจากโลกใบนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากนักแต่การที่ได้ยินเรื่องที่เขาสามารถก่อตั้งขุมพลังได้นี่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
หลังจากที่ผ่านไปได้สักพักอาการของพวกเขาก็ดีขึ้นก่อนที่จะรู้สึกตื่นเต้นไปกับมันพร้อมทั้งถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของดาวสวรรค์สิบชั้นด้วยความรู้สึกสนใจอย่างมาก
“แบ่งออกเป็นสวรรค์สิบชั้น ทุกชั้นล้วนเป็นโลกอันกว้างใหญ่และหลังจากที่ตัดผ่านสวรรค์ชั้นที่ 10 ไปได้แล้วก็จะออกมาจากโลกใบนั้นได้ ”
หลินเทียนไม่ได้ปิดบังอะไรพร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับดาวสวรรค์สิบชั้นทั้งหมดพลางพูดต่อว่า
“มันเป็นโลกแห่งผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริงที่เต็มไปด้วยขุมพลังอันยิ่งใหญ่มากมายส่งผลให้การต่อสู้ดุเดือนและเข้มข้นมากๆ ”
“สวรรค์สิบชั้น โลกของผู้บ่มเพาะนี่มัน…….”
ทั้งสองคนต่างมีดวงตาเปล่งประกายออกมา
แม้ว่าคำพูดของหลินเทียนจะไม่ได้ลงรายละเอียดขนาดนั้นแต่ก็ยังทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของมัน
“แล้วขุมพลังของท่านอาจารย์แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ? ”
เซียนเซียนได้ถามออกมาด้วยความรู้สึกสนใจ
“ก็งั้นๆแหละ ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุด…..”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับขุมพลังของตัวเอง
นี่ทำให้ร่างกายของทั้งสองคนอดสั่นสะท้านไปไม่ได้
“กองกำลังกว่าล้านและกายราชันอีกมากมายนี่มัน……….”
พยัคฆ์ขาวได้แต่สูดหายใจเข้าลึกเพราะว่าขุมพลังระดับนี้มันสามารถครองโลกได้เลย ?!
“ขะ……แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ! ”
เซียนเซียนได้แต่โง่งมไปก่อนที่จะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นว่า
“ท่านอาจารย์รีบก่อสร้างสำนักนิรันดร์ในโลกนี้เร็วๆเลย ! ”
เป็นเพราะว่าเมื่อได้ยินคำอธิบายเกี่ยวกับสวรรค์สิบชั้นแล้วมันทำให้นางรู้สึกโหยหามันอย่างมากดังนั้นถึงได้แต่กำหมัดเอาไว้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า
“ได้ ”
เป็นเพราะเขาเองก็ตั้งใจเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะก่อตั้งขุมพลังและเผยแพร่คำสอนเพื่อเพิ่มผู้ศรัทธาสำหรับเก็บเกี่ยวพลังแห่งความเชื่อ
เขาเก็บเอาเจดีย์ราชันอมตะกลับไปก่อนที่จะหันไปพูดกับทั้งสองคนแล้วเหาะจากไป
เป็นเพราะการจะก่อตั้งขุมพลังก็จำเป็นต้องเลือกสถานที่ตั้งที่เหมาะสม
เขาได้นำทั้งสองคนไปจนถึงสถานที่ๆอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก
เมื่อมองดูดีๆแล้วมันจะพบว่าสถานที่แห่งนี้แห้งแล้งอย่างมากถึงขั้นไม่สามารถมองเห็นต้นไม้สีเขียวชอุ่มได้เลยด้วยซ้ำ
“ท่านจะเลือกที่นี่ ? ”
เซียนเซียนถามออกมา
“ใช่ ”
หลินเทียนพยักหน้าของเขา
เป็นเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ของมันนั้นตั้งอยู่ในทิศเหนือของดินแดนศูนย์กลางซึ่งแม้ว่ามันจะดูรกร้างทว่ามันก็เคยเป็นสถานที่ๆเต็มไปด้วยอารยธรรมมาก่อน
“ที่นี่มันดูไม่เหมาะเลยไหมคะ ? มันรกร้างเกินไปพลังฉีก็แทบไม่มีแล้วศิษย์จะบ่มเพาะกันอย่างไรล่ะคะ ? ”
เซียนเซียนถามออกมาพลางพูดต่อว่า
“ยิ่งไปกว่านั้นท่านคิดจะก่อตั้งมันอย่างโจ่งแจ้งโดยที่ไม่คิดจะสร้างมันไว้ในดินแดนลับ ? ”
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ข้างๆเองก็หันมองมาทางเขาด้วยสีหน้าแปลกๆเหมือนกัน
เป็นเพราะมันเองก็มีความคิดแบบๆเดียวกันกับเซียนเซียน
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพลางพูดว่า
“ไม่เป็นไร ต่อให้มันรกร้างแต่วางเส้นชีพจรเทวะลงไปเดี๋ยวมันก็ดีเอง ”
หลังจากที่พูดจบแล้วก็คว้าเอาเส้นชีพจรเทวะที่ชิงเอามาจากสวรรค์สิบชั้นที่เหลืออยู่สามเส้นสุดท้านออกมาทำให้พลังฉีเข้มข้นขึ้นอย่างมากพร้อมพูดต่อว่า
“ส่วนเรื่องบังหน้าก็ไม่จำเป็นเพราะว่าการที่เราจะก่อตั้งขุมพลังก็ควรจะเปิดเผยต่อโลกใบนี้ ”
นี่ทำให้ร่างกายของทั้งสองคนอดสั่นไปไม่ได้ก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
“เส้นชีพจรเทวะ ?! สามเส้น ?! ”
เซียนเซียนแข็งค้างไปทันที
“นี่มัน………”
พยัคฆ์ขาวเองก็มีอาการที่ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เป็นเพราะว่าในมือของหลินเทียนกลับมีสิ่งของที่ล้ำค่าอยู่ขนาดนี้
หลินเทียนได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งหมุนวนทักษะฝังมังกรพลางฉีกพื้นดินออกแล้วฝังมันลงไป
ทันใดนั้นเองที่พลังฉีอันเข้มข้นได้พวยพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อนทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังฉีที่หนาแน่นโดยทันที
มันส่งผลให้ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉากลับมามีชีวิตชีวาและเขียวชอุ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองคนได้แต่มองออกไปด้วยสีหน้าที่โง่งมอย่างมากเพราะสถานที่แห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสรวงสวรรค์ภายในชั่วพริบตาโดยที่ไม่มีสถานที่ไหนในโลกนี้สามารถเทียบเคียงได้
หลินเทียนเผยรอยยิ้มจางๆออกมาพร้อมทั้งโบกมือเรียกเอาสมบัติทั้งหลายที่ได้รับจากการทำลายขุมพลังต่างๆในสวรรค์สิบชั้นออกมาพลางวางสิ่งก่อสร้างลงไปไม่ว่าจะเป็นลานฝึกหรือตำหนักอื่นๆพร้อมทั้งวางข่ายอาคมสังหารออกไปรอบทิศทางโดยที่รับประกันได้ว่าหากไม่ใช่เขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าแล้วก็ไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้
ท้ายที่สุดเขาก็ได้สลักป้ายอักษรเอาไว้หน้าประตูทางเข้าว่า
“สำนักนิรันดร์ ”
“เรียบร้อย ”
เขาพูดออกมา
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้ว่าสถานที่ๆเคยรกร้างได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่ๆอัดแน่นไปด้วยพลังฉีอันเข้มข้นขณะที่ต้นไม้มากมายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่พร้อมๆกับกลิ่นอายพลังชีวิตที่แผดไปทั่วทิศทาง
สำนักนิรันดร์ได้ก่อตั้งขึ้นภายในดวงดาวที่เคยได้ชื่อว่าเป็นดาวจักรพรรดิทางช้างเผือกแล้ว !
ตอนที่ 1369
ตำหนักมากมายเรียงรายกันอยู่รอบทิศทางขณะที่ต้นไม้มากมายเจริญเติบโตขึ้นหลังจากที่ได้รับพลังฉีอันเข้มข้น
“นี่มัน…..ดูมหัศจรรย์จริงๆ ! ”
เซียนเซียนได้ส่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกตกตะลึงถึงขีดสุด
“สุดยอดไปเลย ! ”
พยัคฆ์ขาวเองก็ได้ส่งเสียงออกมาเช่นเดียวกัน
เป็นเพราะมันเองก็ใช้ชีวิตมานานทว่าก็เพิ่งจะเคยได้เห็นอะไรที่มันดูยิ่งใหญ่อย่างตำหนักกว่าร้อยหลังและเส้นชีพจรเทวะกว่าสามเส้นที่เป็นรากฐานของขุมพลัง
“ท่านอาจารย์สุดยอดเกินไปแล้ว ด้วยความยิ่งใหญ่ระดับนี้มันก้าวข้ามขุมพลังทั้งหลายในโลกไปหมดแล้ว ! ”
เซียนเซียนส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หลินเทียนได้ตอบกลับไปว่า
“อย่าเพิ่งประหลาดใจไปเลย นี่ยังถือว่าธรรมดาๆและเทียบไม่ได้กับสาขาย่อยของสำนักภายในสวรรค์สิบชั้นเลยด้วยซ้ำ ”
เขาโบกมือออกไปพร้อมทั้งสังเวยเอาทรัพยากรบ่มเพาะจำนวนมากออกมาส่งออกไป
ไม่นานเขาได้โบกมือมือฉีกเอาแผ่นไม้มาสร้างเป็นตำราพร้อมทั้งสลักทักษะเทวะและเคล็ดวิชาบ่มเพาะต่างๆลงไปอย่างรวดเร็ว
นับจากนี้ที่นี่จะถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
“เหลือเพียงแค่การป่าวประกาศให้โลกนี้เท่านั้น ”
หลินเทียนพูดออกมา
“ท่านอาจารย์ยกหน้าที่นี้ให้ข้าเถอะ ข้าจะรีบป่าวประกาศไปทั่วโลกให้เร็วที่สุด ”
เซียนเซียนรีบพูดออกมา
“ไม่ต้องลำบากหรอก ”
หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งพูดว่า
“ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเอง ”
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ยังคงยืนอยู่กับที่ขณะที่ส่งจิตสัมผัสออกไปรอบทิศทางเพื่อป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปทั่ว
มันเป็นเสียงจิตสัมผัสจากเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ของเขาทำให้สามารถแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกได้อย่างรวดเร็วโดยที่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนลับหรืออื่นๆก็ล้วนได้รับข้อความนี้
มันทำให้ดวงดาวทั้งดวงถึงกับเกิดแรงสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่สีหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
จ้าวขุนเขาต่างๆที่ได้ยินข่าวนี้ถึงกับพากันรีบออกเดินทางอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่มัน……..”
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าที่ดูยิ่งใหญ่และอัดแน่นไปด้วยพลังฉีอันเข้มข้นแล้วพวกเขาต่างพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“สหายหลินนี่ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะ ”
ผู้อาวุโสสูงสุดขุนเขาคุนหลุนได้ส่งเสียงพลางถอนหายใจออกมา
คนอื่นๆเองก็ต่างส่งเสียงออกมาไม่ต่างกัน
เป็นเพราะว่าพวกเขาเองก็ได้ยินเรื่องที่หลินเทียนเพิ่งก่อขึ้นไม่นานมานี้ดีแต่ไม่คิดเลยว่าไม่กี่เดือนหลังจากนั้นหลินเทียนจะก่อสร้างขุมพลังใหญ่แบบนี้
“ต่อให้เป็นช่วงกาลก่อนก็ยังไม่มีแบบนี้ ”
เหล่าจ้าวขุมเขาทั้งหลายส่งเสียงออกมา
“ไม่ต้องสุภาพเกินไปก็ได้ ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เป็นวันที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกันจากทั่วทุกมุมโลกซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาตามๆกันโดยเฉพาะมนุษย์ธรรมดาที่ไม่รู้จักการบ่มเพาะ
ขนาดที่ว่ากองกำลังทางทหารทั้งหลายเองก็ยังตื่นตัวอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งแห่กันมาที่นี่แต่ก็ต้องล่าถอยกลับไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้าวขุนเขาต่างๆ
เพราะถึงอย่างไรเส้นสายของพวกเขาในโลกนี้ก็มียิ่งใหญ่มากๆ
“ไม่คิดเลยว่าสหายจะก่อตั้งขุมพลังขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้แถมยังเปิดเผยต่อสายตาคนทั้งโลก ”
จ้าวขุนเขาเพ็งไล่ส่งเสียงออกมา
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“เส้นทางบ่มเพาะนั้นแม้จะยากเย็นแต่ก็เป็นสิ่งที่ดี มันเป็นสิ่งที่คู่ควรกับทุกคนบนโลก ”
นี่ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่หลบซ่อนตัวบ่มเพาะอยู่ภายในดินแดนลับดังนั้นหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนกล้าก่อตั้งขุมพลังอย่างเปิดเผยแบบนี้แล้วก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยแต่เมื่อได้ยินความคิดเห็นของหลินเทียนแล้วก็พบว่าการกระทำของพวกเขาไม่ต่างกับการดูถูกมนุษย์ธรรมดาแม้แต่น้อยเพราะพวกเขาไม่อยากจะให้คนเหล่านี้รู้ถึงการมีอยู่ของตนเองและเกี่ยวข้องกับโลกของพวกเขา
แต่ตัวหลินเทียนนั้นต่างกันออกไปเพราะขุมพลังของเขาถ่ายทอดพลังให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะหรือมนุษย์ธรรมดาก็ตามที
“สหายนี่มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจริงๆ ”
จ้าวขุนเขาทั้งหลายส่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกละอายใจ
แม้ว่าอายุของหลินเทียนจะไม่แก่ไปกว่าพวกเขาแต่ทัศนวิสัยกลับก้าวไกลกว่าพวกเขามากดังนั้นถึงได้รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและทำเพียงแค่ยิ้มตอบเท่านั้น
“ฉันจะเข้าร่วมกับขุมพลังนี้ ! ”
“ได้โปรดให้ฉันได้เข้าร่วมด้วยเถอะ ! ”
“ฉันอยากจะบ่มเพาะ ! ”
ผู้คนมากมายพากันส่งเสียงออกมาด้วยความตั้งใจเข้าร่วมกับสำนักนิรันดแห่งนี้
เพียงแค่วันเดียวสำนักแห่งนี้ก็มีศิษย์นับหมื่นคน
หลินเทียนเองก็ใช้เวลาอยู่กับจ้าวขุมพลังต่างๆก่อนที่วันรุ่งขึ้นพวกเขาจะแยกย้ายกันกลับไป
หลินเทียนออกไปส่งพวกเขาก่อนที่จะยกหน้าที่ทั้งหมดให้กับเซียนเซียนเป็นคนดูแลพร้อมทั้งเก็บตัวพลางเอาร่างกายหยาบของราชันวิหกออกมาเพื่อเริ่มการหล่อหลอม
ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนและมันเป็นวันที่เขาได้ตัดผ่านไปยังเขตแดนจ้าวสวรรค์ตอนปลาย
“อีกแค่ครึ่งก้าวก็ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าได้แล้ว ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะเรียกเซียนเซียนเข้ามา
ช่วงเวลากว่าครึ่งเดือนมานี้เซียนเซียนทำได้อย่างดีมาก
“เซียนเซียน เจ้าเริ่มการเผยแพร่คำสอนของเราได้เลย ”
เขาเรียกนางเข้าพบพร้อมๆกับส่งเจดีย์ราชันอมตะให้กับนางขณะที่ประกายแสงสีม่วงโอบร่างของนางเอาไว้
“เจ้าเอามันติดตัวไปด้วยระหว่างที่เผยแพร่คำสอนแล้วกัน ระหว่างนี้หน้าที่ดูแลสำนักก็ยังคงเป็นของเจ้าเพราะข้าจำเป็นต้องเก็บตัวบ่มเพาะอีกสักระยะ ”
ตอนที่ 1370
สำนักนิรันด์ได้ถูกก่อตั้งขึ้นกว่าครึ่งเดือนแล้วแถมยังอยู่ในสภาวะที่คงที่แล้วดังนั้นก็ควรจะเริ่มการเผยแพร่คำสอนได้แล้ว
ระหว่างนี้ระดับพลังของเขาเองก็อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์ตอนปลายแล้วด้วยดังนั้นถึงได้คิดจะเก็บตัวบ่มเพาะเพื่อตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าให้ได้
ก่อนที่จะเก็บตัวบ่มเพาะนี้เขาได้ส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดให้กับเซียนเซียนไป
“ให้ไอ้เสือโง่นั่นเป็นผู้ช่วยของเจ้าแล้วกัน ”
เขาพูดออกมา
“ได้ค่ะท่านอาจารย์ ”
ทางได้พยักหน้าพร้อมทั้งแหงนมองไปยังเจดีย์ราชันอมตะเหนือศีรษะของตัวเองพลางถามออกมาด้วยใบหน้าที่มีความสุขอย่างมากว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านยอมรับข้าเป็นศิษย์แล้ว ? ”
เป็นเพราะการที่หลินเทียนส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดของสำนักให้กับนางแบบนี้แถมยังยกอาวุธวิญญาณให้นางดูแลนี้มันมีความหมายที่ลึกซึ้งมากๆ
“ถึงตอนนี้แล้วยังจะถามอีกงั้นรึ ”
หลินเทียนได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเขาจะพูดไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วพรสวรรค์ของเซียนเซียนเองก็สูงส่งมากๆแถมยังตั้งใจเกี่ยวกับเรื่องของเขาทุกเรื่องดังนั้นหากว่าเขาไม่ยอมรับเป็นศิษย์ก็คงจะดูไม่มีเหตุผลอย่างมาก
“ขอบคุณค่ะท่านอาจารย์ ”
นางได้ส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุขพร้อมทั้งคาราวะลงกับพื้น
หลินเทียนโบกมือส่งพลังออกไปพยุงร่างนางกลับขึ้นมาพร้อมทั้งพูดว่า
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีนักก็ได้ เชื้อสายของเราเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ”
หลังจากนั้นเขาได้พูดต่อว่า
“ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่เผยแพร่คำสอนก็ช่วยหาตัวเฉินหลินแล้วนำกลับมาที่สำนักของเราด้วยแล้วกัน นางเป็นลูกหลานผู้มีพระคุณของอาจารย์ ”
เขาพูดออกมาพร้อมทั้งโบกมือสร้างภาพร่างของเฉินหลินขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เขาได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาและมอบยาทิพย์ให้นางไว้มากมายเพราะเขายังไม่มีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมายดังนั้นการที่เอานางติดตัวไปด้วยจึงไม่เหมาะเท่าไหร่ทว่าตอนนี้มันต่างกันออกไปแล้วเพราะเขาก่อตั้งขุมพลังขึ้นมาแล้วดังนั้นถึงได้คิดจะนำนางกลับมา
ตัวเขาจำเป็นต้องทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณของเขา
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะท่านอาจารย์ ! ”
เซียนเซียนตอบรับอย่างจริงจัง
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งพูดว่า
“หลังจากที่หาตัวนางพบแล้วก็ให้นางช่วยเจ้าเผยแพร่คำสอนแล้วกัน ”
“อื้ม ! ”
เซียนเซียนพยักหน้าของนาง
“ไปเถอะ ”
หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เซียนเซียนพยักหน้าของนางพร้อมทั้งก้าวถอยกลับออกไปด้านนอก
หลินเทียนที่กำลังมองออกไปได้แต่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่ดวงตาจะส่องประกายออกมา
“อีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถตัดผ่านได้แล้ว ”
เขาพึมพำออกมาพร้อมทั้งเริ่มการบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว
วันนี้เป็นวันเดียวกันกับที่เซียนเซียนได้สั่งการให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายออกไปเผยแพร่คำสอนของสำนัก
ระหว่างที่กำลังออกเดินทางก็ได้พบตัวเฉินหลินพร้อมทั้งนำนางท่องโลกกว้างไปด้วยกันเพื่อเพิ่มผู้ศรัทธาของสำนักอย่างตั้งใจ
พริบตาชื่อเสียงของสำนักนิรันด์ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก
เซียนเซียนที่เดินทางไปทั่วทั้งโลกพร้อมๆกับเฉินหลินเองก็ตั้งใจอย่างมากซึ่งระหว่างนั้นก็จะสำแดงทักษะเทวะออกมาให้มนุษย์ธรรมดาได้ดูเป็นครั้งๆเพื่อช่วยพวกเขารักษาโรคร้ายและฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อเอาไว้ในจิตใจของคนเหล่านี้
เวลาได้ผ่านไปกว่าสามปีอย่างรวดเร็ว
ด้วยความพยายามตลอดสามปีมานี้ทำให้ชื่อเสียงของสำนักโด่งดังอย่างมากแถมยังมีผู้ศรัทธาอยู่ทั่วทุกมุมโลกถึงแม้จะไม่สามารถเทียบเคียงได้กับขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ได้ในตอนนี้ทว่าเหล่าศิษย์ของสำนักจากสองหมื่นคนได้เพิ่มกลายเป็นสามแสนคนแล้ว
นี่คือผลลัพธ์จากความพยายามของเซียนเซียนรวมถึงเป็นเพราะการที่หลินเทียนเปิดเผยตัวตนของสำนักให้โลกรู้ทำให้เหล่าศิษย์และผู้ศรัทธาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ทึ้มมม ! ”
วันนี้เป็นวันที่มีเสียงฟ้าร้องคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังทำให้ม่านฟ้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีดำทมิฬ
หลังจากนั้นก็ปรากฏวังน้ำวนสายฟ้าขึ้นพร้อมทั้งแผดขยายออกไปรอบทิศทาง
กลิ่นอายทำลายล้างอันทรงพลังสร้างความสะพรึงกลัวให้กับทุกชีวิตบนโลกใบนี้
โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ที่อยู่ภายในสำนักที่ได้แต่พากันสั่นสะท้านไปอย่างรุนแรง
“นี่มัน…..ทัณฑ์สวรรค์ ?! ”
เซียนเซียนที่เพิ่งกลับมาถึงสำนักเองก็ได้แต่จ้องมองกลับขึ้นไปด้วยสายตาที่ตกตะลึงอย่างมาก
พยัคฆ์ขาวเองก็ถึงกับพูดออกมาด้วยความรู้สึกขนหัวลุกว่า
“นี่มัน….ทัณฑ์สวรรค์อะไรกัน ?! ”
หัวใจของมันสั่นไหวไม่หยุดเพราะว่ากลิ่นอายทำลายล้างระดับนี้ต่อให้เป็นจักรพรรดิว่างเปล่าก็ไม่มีทางต่อต้านได้แน่ๆ
ทึ้มม ~!
เสียงฟ้าร้องคำรามยังคงถูกส่งออกมาขณะที่กลิ่นอายทำลายล้างพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามมันเป็นตอนนี้เองที่ม่านฟ้าได้สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่วังวนสายฟ้าจะสลายหายไปพร้อมๆกับกลิ่นอายทำลายล้าง
หลินเทียนที่อยู่ภายในส่วนลึกของสำนักได้เหาะอยู่ใจกลางสำนักในตอนนี้
“ท่านอาจารย์ ?! ท่านออกมาแล้ว ? ”
เซียนเซียนหันมองออกมาทางเขา
หลังจากนั้นเหล่าศิษย์ทั้งหลายก็พากันแสดงความเคารพออกมาอย่างจริงจัง
หลินเทียนเผยรอยยิ้มจางๆของเขาออกมาพร้อมทั้งสั่งการให้เหล่าศิษย์แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“เจ้าหนูดูแข็งแกร่งขึ้นหนิ ”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา
“ก็งั้นๆแหละ ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เขาหันมองไปทางเซียนเซียนก่อนที่จะโบกมือทำให้เจดีย์ราชันอมตะเคลื่อนที่กลับเข้ามาอยู่ข้างกายของเขา
สามปีมานี้มันได้เก็บเกี่ยวพลังแห่งความเชื่อเอาไว้มากมายถึงขั้นที่อักขระเทวะทั้งหลายส่องประกายแสงเจิดจรัสหลากสีออกมา
ตัวเขาสัมผัสได้เลยว่าความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธบรรพบุรุษตอนปลายเลยก็ว่าได้
นี่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของเซียนเซียนในช่วงตลอดสามปีมานี้
“เหนื่อยหน่อยนะจิ้งจอกน้อย ”
เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ”
เซียนเซียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
สามปีมานี้แม้นางจะออกไปเผยแพร่คำสอนทว่าระดับพลังของนางเองก็ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะครอบครองพลังแห่งศรัทธารวมถึงสัจธรรมขากเจดีย์ราชันอมตะของหลินเทียนทำให้อีกเพียงแค่ครึ่งก้าวก็สามารถตัดผ่านเขตแดนจ้าวแห่งเต๋าได้แล้วทว่าความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวแห่งเต๋าระดับ 2 เลยด้วยซ้ำ
แถมชื่อเสียงของนางเองก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกและได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงแห่งสำนักนิรันด์
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งหันมองไปยังเฉินหลินที่เขาสั่งการให้เซียนเซียนออกไปตามตัวนางกลับมาที่สำนัก
“ปรับตัวกับสำนักได้หรือยัง ? ”
เขาถามออกมา
“พี่สาวถูดูแลฉันได้ดีมากๆ ”
เฉินหลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระซิบอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอก คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเลยก็ได้ ”
หลินเทียนพูดออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ได้เหาะลงมาจากฟากฟ้าพร้อมทั้งสนทนากับคนเหล่านี้อยู่นานเพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้พูดคุยกันกว่าสามปีเต็มๆ
สามปีมันไม่ถือว่าเป็นเวลาสั้นๆเลยด้วย
“หลังจากนี้ข้าต้องออกไปยังห้วงอวกาศเพื่อก้าวข้ามการลงทัณฑ์ดังนั้นคงกินเวลาสักพัก ”
เขาหันไปพูดกับเซียนเซียนและคนอื่นๆ
นี่ทำให้พวกเขาได้แต่พยักหน้าก่อนที่จะผงะไป
“ก้าวข้ามการลงทัณฑ์ ? ทัณฑ์อะไรกัน ? ”
เซียนเซียนถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ทัณฑ์สวรรค์ ”
หลินเทียนตอบกลับไป
คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์แล้วหรือไงกัน ? แล้วยังจะได้รับทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างไรกัน ?! ไม่ใช่ว่ามันมีเพียงเฉพาะตอนที่ตัดผ่านเขตแดนวิญญาณนิรันด์หรือไง ?! ”
เซียนเซียนได้ผงะไป
พยัคฆ์ขาวและเฉินหลินก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน
“ทำไงได้ ก็ข้ามันโชคดีหนิที่เป็นที่อิจฉาของสวรรค์ถึงได้ถูกฟ้าฝ่ามาตั้งแต่ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภาและทุกๆคนเขตแดนใหญ่ก็จะถูกทัณฑ์สวรรค์ผ่าไปเรื่อยๆ ”
เขาพูดออกมา
“ว่าไงนะ ?! ”
พยัคฆ์ขาวและคนอื่นๆได้แต่ผวาไป
“รับทัณฑ์สวรรค์ตั้งแต่ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภา ?! และทุกๆครั้งที่ตัดผ่านเขตแดนใหญ่ ? ”
เซียนเซียนได้ส่งเสียงออกมาด้วยความตกตะลึงว่า
“นี่หรือว่าบรรพบุรุษของท่านเป็นปีศาจร้ายกัน ? ”
หลินเทียนได้แต่ดีดหน้าผากของนางพร้อมทั้งพูดว่า
“มันใช่เรื่องที่จะพูดไหมน่ะ ? ”
เซียนเซียนกุมหน้าผากของนางเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดและโอดครวญออกมา
หลินเทียนได้พยักหน้าของเขาโดยที่ไม่ได้ปิดบังอะไร
“ข้าได้ยับยั้งกลิ่นอายเอาไว้ชั่วคราวแล้วจะรีบออกไปยังห้วงจักรวาลเพื่อก้าวข้ามมัน ”
เขาพูดออกมา
เป็นเพราะว่าเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีว่าสามารถทำลายดินแดนแห่งนี้ได้และจะทำให้เกิดผู้เสียชีวิตมากมายดังนั้นจึงไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้
เขายืนอยู่กับที่พร้อมทั้งสั่งการออกไปเล็กน้อยก่อนที่จะเหาะจากไป
ความเร็วของเขาสูงเป็นอย่างมากถึงขั้นที่ออกจากชั้นบรรยากาศได้อย่างรวดเร็วพลางมุ่งหน้าไปยังดาวสีเหลืองดวงหนึ่ง
เมื่อสำรวจดูแล้วจะพบว่ามันเป็นดวงดาวที่เต็มไปด้วยทะเลทรายโดยที่ไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายชีวิตได้แม้แต่น้อย
“ที่นี่แหละ ”
เขาพึมพำออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายก่อนที่จะปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาอย่างเต็มกำลังพร้อมทั้งตัดผ่านไปยังเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่า
กลิ่นอายอันหนักหน่วงส่งผลให้ม่านฟ้าถูกย้อมเป็นสีทองไปในชั่วพริบตา
“ทึ้มมม ~! ”
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งตามออกมาขณะที่ทัณฑ์สวรรค์ก่อตัวขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น