Divine King of All Directions - สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ 1359 - 1370


ตอนที่ 1359

 

เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างของราชันวิหกแหลกสลายกลายเป็นชิ้นๆ

“ท่านราชันวิหก ! ”

เหล่าศิษย์ทั้งหลายพากันส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

บรรพบุรุษที่สองเองก็ได้แต่โง่งมไปไม่ต่างกัน

“โร๊ววว ! ”

อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่เศษชิ้นเนื้อก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง

หลินเทียนได้แสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏกดทับลงไปด้านหน้า

“เปลวเพลิงสัจธรรม ! ”

ราชันวิหกได้กระพือปีกของเขาก่อนที่จะสังเวยทักษะสังหารอันทรงพลังผสานกับสัจธรรมนับสิบชนิดซึ่งแต่ละชนิดเองก็ทรงพลังอย่างมากพร้อมทั้งกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียนอย่างรวดเร็ว

มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปขณะที่ประกายแสงแห่งความโกลาหลพวยพุ่งออกไปรอบทิศทาง

หลินเทียนยังคงยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ราบเรียบขณะที่ดวงตาของเขามองทะลุผ่านทักษะนี้พร้อมทั้งทำลายมันก่อนที่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏของเขาจะกดทับเข้าใส่ร่างของอีกฝ่าย

พุฟฟ ! เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างกายของราชันวิหกแหลกสลายหายไปอีกครั้ง

“เจ้ามนุษย์ ! ”

อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังเพราะว่าตั้งแต่ที่เขาใช้ชีวิตมานี้ตัวเขาเรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานอย่างมากถึงขั้นที่ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดทางตะวันตกยังไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำทว่าตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์กลับสามารถทำลายร่างกายของเขาได้หลายต่อหลายครั้ง

นี่มันเป็นการความอับอายอย่างถึงที่สุด !

เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่ทักษะสังหารอันทรงพลังสูบพลังจากหมู่ดาวก่อนที่จะซัดเข้าใส่ทางหลินเทียน

คลื่นพลังอันหนักหน่วงจากรอบทิศทางได้ระเบิดออกมาทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าเอาไว้

หากว่าไม่ได้เป็นเพราะดินแดนแห่งนี้มั่นคงเพียงพอแล้วก็คงจะแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว

หลินเทียนเบิกเนตรแห่งสัจธรรมของเขาขึ้นมาพร้อมทั้งจ้องมองไปยังแก่นแท้ของการโจมตีนี้ก่อนที่จะซัดวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏออกไป

ตู้มม !

ตู้ม !

ตู้มมม !

คลื่นพลังทำลายอันหนักหน่วงได้กดทับลงไปก่อนที่จะทำลายมิติที่อยู่รอบข้างสลายหายไปทั้งหมด

และมันเป็นตอนนี้เองที่การโจมตีของเขาได้กระแทกเข้าใส่ร่างของมันอีกครั้ง

พุฟฟ

เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่ร่างกายของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนกลายเป็นกองเลือดที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ

ระหว่างนี้เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเพราะถึงอย่างไรการที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

“ระยำเอ้ย !!! ”

อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่กายหยาบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

ร่างกายของหลินเทียนตอนนี้ชโลมไปด้วยเลือดก็จริงแต่ทว่าสีหน้าของเขากลับยังคงความเย็นยะเยือกเอาไว้พลางก้าวเดินออกไปพร้อมทั้งซัดวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏเข้าใส่อย่างไม่ปราณี

พุฟฟ !

ร่างกายของอีกฝ่ายแหลกสลายหายไปอีกครั้ง

“อ๊ากก ! ”

ราชันวิหกส่งเสียงกู่ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธถึงขีดสุดก่อนที่จะรีบก่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

สายตาของหลินเทียนในตอนนี้ยังคงราบเรียบและเป็นเพราะว่าสูญเสียพลังเทวะไปเป็นจำนวนมากทำให้เขาเก็บเอาวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏกลับไปพร้อมทั้งพุ่งเข้าประชิดร่างของอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงหมัดรัวเข้าใส่อย่างจัง

“ตู้ม ม ! ”

“ตู้ม ! ”

“ตู้มมม ! ”

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่ร่างของอีกฝ่ายร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า

นี่ทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

“ท่านราชันวิหกเขา…….พ่ายแพ้ ?! ”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”

“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ ท่านผู้นั้นจะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน พวกเราจะไม่มีทางแพ้ให้กับพวกดินแดนศูนย์กลาง ! ”

เหล่าศิษย์พากันส่งเสียงออกมาเพราะว่าทวยเทพที่พวกเขาบูชาจะแพ้ได้อย่างไรกัน ?!

พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุดเพราะดูเหมือนว่าหลินเทียนกำลังเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในตอนนี้ !

ตู้มมม !

เสียงระเบิดถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่ราชันวิหกปลดปล่อยคลื่นพลังออกไปรอบทิศทางทำให้มิติโดยรอบฉีกขาดออกจากกัน

หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพร้อมทั้งเหวี่ยงหมัดอันทรงพลังของเขาอัดเข้าใส่แก้วของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้ากว่าครึ่งแหลกสลายหายไปทั้งแถบขณะที่ฟันและกองเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว

นี่ทำให้ราชันวิหกได้แต่ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังว่า

“ไอ้ระยำ……”

ตู้มม !

เขาที่เพิ่งจะส่งเสียงออกมาได้ถูกหลินเทียนต่อยอัดไปอีกครั้งทำให้ใบหน้าอีกครึ่งที่เหลือแหลกสลายหายไปกลายเป็นสภาพที่น่าสยดสยองอย่างมาก

โร๊ววว !

เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังพร้อมๆกับรีบฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็วขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธถึงขีดสุด

หลินเทียนไม่ได้สนใจอะไรก่อนที่จะเหวี่ยงขาของเขาเตะร่างของอีกฝ่ายพุ่งออกไปกระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ห่างออกไปจนระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

ต่อจากนั้นก็ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวพร้อมทั้งโบกมือส่งคลื่นกระบี่ศุกลสวรรค์จำนวนมากพวยพุ่งตามออกไป

พุฟฟ !

พุฟ !

พุฟฟ !

อีกฝ่ายที่เพิ่งพยุงตัวเองกลับขึ้นมาได้ถูกคลื่นกระบี่เหล่าทะลวงผ่านจนร่างพรุนเป็นรูโหว่

หลินเทียนซัดฝ่ามือซ้ำออกไปก่อนที่จะใช้เท้ากระทืบอัดลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างจัง

นี่ทำให้ราชันวิหกได้แต่กระอักเลือดออกมาคำโตขณะที่ร่างกายแหลกสลายด้วยสภาพที่น่าสังเวชถึงขีดสุด

“ระยำเอ้ย ! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ ! ข้าจะฆ่าเจ้า ! ”

เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

หลังจากนั้นเองที่ประกายแสงเจิดจรัสได้ส่องประกายออกมาจากร่างของเขาก่อนที่มิติโดยรอบจะสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมๆกับกลิ่นอายที่ปะทุออกมาจากร่างของเขาเสมือนดั่งภูเขาไฟระบิด

นี่ทำให้สีหน้าของหลินเทียนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงพร้อมทั้งรีบเหวี่ยงหมัดอัดเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างจัง

เสียงแตกหักถูกส่งออกมาขณะที่ราชันวิหกกระอักเลือดออกมาคำโต

อย่างไรก็ตามกลิ่นอายที่พวยพุ่งออกมากลับเข้มข้นยิ่งกว่าเก่า

“ตาย !!! ”

เขาส่งเสียงคำรามออกมาด้วยสีหน้าที่ดุร้ายถึงขีดสุด

มันเป็นตอนนี้เองที่กลิ่นอายที่แผดออกมาเริ่มส่งผลให้มิติโดยรอบบิดตัวอย่างรุนแรงหลินเทียนที่อยู่ข้างๆถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงหลังจากที่สัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่เสมือนว่าอสูรร้ายกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาทำให้ท้องไส้ของเขาปั่นป่วนอย่างรุนแรง

เขาไม่ลังเลเลยที่จะกระทืบร่างของอีกฝ่ายอย่างจังพร้อมทั้งพุ่งทิ้งระยะห่างถอยออกไปไกล

“ตู้มมม ! ”

มันเป็นตอนนี้เองที่ร่างกายของอีกฝ่ายได้ระเบิดประกายแสงศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังออกมาบดขยี้ทั้งมิติและอากาศที่อยู่โดยรอยอย่างฉับพลัน

มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวถึงขั้นที่แม้แต่หลินเทียนเองก็ยังรู้สึกขนหัวลุก

“เจ้ามนุษย์ ! ”

อีกฝ่ายยืนกลับขึ้นมาด้วยสายตาที่ดุร้ายขณะที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา

มันเป็นประกายแสงที่ทรงพลังซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากศิลาหินที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมาย

สีหน้าของหลินเทียนได้เปลี่ยนไปอีกครั้งเพราะศิลานี้มันทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปได้ส่งเสียงโห่ร้องออกมาว่า

“นั่นมัน…….ศิลาหินที่ผุดออกมาจากใต้ภูเขาไท่ !! ”

 

 

 


ตอนที่ 1360

 

หลินเทียนที่ได้ยินคำพูดของพยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปเองก็ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที


เป็นเพราะว่านี่คือศิลาที่ผุดขึ้นมาจากใต้ภูเขาไท่ ?!


ตู้มมม !


เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาอย่างดัง


เหนือศีรษะของราชันวิหกในตอนนี้มีศิลาหินล่องลอยอยู่กลางอากาศซึ่งมันรายล้อมไปด้วยอักขระลึกลับมากมายแผดคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกมารอบทิศทาง


มันให้ความรู้สึกเสมือนว่าเป็นการจุติลงมาของผู้เชี่ยวชาญเขตแดนอนันตกาลเลยก็ว่าได้


“นี่ไอ้เวรนี่มันสามารถควบคุมศิลานั่นได้แล้ว ?! ”


พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที


เป็นเพราะมันสัมผัสได้เลยว่าศิลาหินชิ้นนี้มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก


แม้กระทั่งหลินเทียนเองก็ยังแสดงสีหน้าที่ตึงเครียดออกมาไม่ต่างกัน


เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำทว่าหลังจากที่ศิลาหินปรากฏตัวออกมาก็ทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกไปทันที


“เจ้ามนุษย์ ! ใช้ได้หนิที่ต้อนข้ามาได้ถึงขนาดนี้ ! ต้องบอกเลยว่าเจ้านี่คู่ควรให้ข้าฆ่าจริงๆ ! ”


ราชันวิหกส่งเสียงออกมาด้วยสายตาที่ดุร้าย


ศิลาหินเหนือศีรษะของเขายังคงโคจรอยู่รอบตัวโดยที่ปลดปล่อยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา


“กล้าชิงเอาสมบัติของดินแดนศูนย์กลางพวกข้าไปแล้วยังกล้าอวดดีอีก เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ! ”


หลินเทียนส่งเสียงออกมาอย่างไม่แยแส


ราชันวิหกได้ตอบกลับด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกว่า


“ปากดีนักนะ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ ! ”


ตู้มม ! มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ศิลาหินสั่นไหวเล็กน้อยพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอันหนักหน่วงกวาดเข้าใส่ทางหลินเทียนด้วยพลังทำลายที่บดขยี้อากาศและมิติทั้งหมดที่อยู่ระหว่างเส้นทางของมัน


ประกายแสงนี้ทำให้ร่างกายของหลินเทียนถึงกับสั่นสะท้านไปไม่หยุดและไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยถึงได้รีบสังเวยเอาวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏออกมารับการโจมตีของอีกฝ่ายเอาไว้


พริบตาการโจมตีทั้งสองก็ได้อัดเข้าใส่กันอย่างจัง


ฟึ้บบบ !


วงเวทย์สังสารวัฏของเขาได้สั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่จะแตกออกอย่างฉับพลัน


นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะว่าเขตแดนราชันของเขากลับถูกทำลายลงได้ง่ายๆแบบนี้แถมลำแลงของอีกฝ่ายเองก็ยังคงพุ่งเข้ามาทางเขาอยู่โดยที่พลังทำลายแทบไม่ได้ลดน้อยลงด้วยซ้ำ


เขาเบี่ยงตัวหลบออกมาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า


ตู้มมม ~!


ประกายแสงได้กระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ห่างออกไปพร้อมทั้งเปลี่ยนมันกลายเป็นผุยผงไปภายในชั่วพริบตา


มันเป็นคลื่นพลังทำลายที่ให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวอย่างมากและส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นี่ทุกคนพากันสั่นสะท้านไปตามๆกัน


“นี่มัน…….น่ากลัวจริงๆ ! ”


“ท่านราชันวิหกมีแม้กระทั่งสมบัติสวรรค์แบบนี้ ! ”


“สมแล้วจริงๆที่เป็นท่านผู้นั้น ! ”


ศิษย์หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นถึงขีดสุด


บรรพบุรุษที่สองที่อยู่ห่างออกไปเองก็ยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาเป็นเพราะว่าศิลานี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งสามคนใช้พลังแย่งชิงมาจากดินแดนศูนย์กลางด้วยกันแถมยังใช้ความพยายามอย่างมากในการลงอักขระจักรพรรดิว่างเปล่าเพื่อให้สามารถควบคุมมันได้เล็กน้อยซึ่งเขาเองก็เคยเห็นพลังทำลายของมันมาแล้วว่ามันแข็งแกร่งพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้


หลินเทียนที่อยู่ห่างออกไปยังคงจ้องมองไปยังศิลาหินเหนือศีรษะของอีกฝ่ายที่รายล้อมไปด้วยอักขระมากมายไม่เหมือนข่ายอาคมทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด


“ความรู้สึกนี้มัน……”


เขาได้แต่ขมวดคิ้วของตัวเองเข้าหากันด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมาเล็กน้อย


เป็นเพราะว่ามันเป็นความรู้สึกน่าเกรงขามแบบเดียวกันกับตอนที่เขาเข้าใกล้ภูเขาไท่ไม่มีผิด


“เจ้ามนุษย์ กลัวงั้นรึ ? ความน่าเกรงขามของเจ้าหายไปไหนหมด ? ”


น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกถูกส่งออกมา


ราชันวิหกที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางเสมือนดั่งทวยเทพได้ส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอัดเข้าใส่ทางหลินเทียน


หลินเทียนที่เบิกเนตรแห่งสัจธรรมอยู่เองก็สัมผัสได้ถึงพลังทำลายที่ร้ายแรงของมันดีว่าไม่สามารถต้านทานได้ถึงได้รีบเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว


ความเร็วของเขานั้นสูงอย่างมากถึงขั้นที่ทิ้งเอาไว้เพียงภาพติดตาในอากาศเท่านั้น


ตู้มมม ~!


คลื่นพลังนี้ได้อัดกระแทกเข้ากับแม่น้ำขนาดใหญ่พร้อมทั้งทำให้มันเหือดแห้งลงภายในชั่วพริบตาและสร้างไอน้ำขนาดใหญ่ขึ้นกลางอากาศ


“เป็นความเร็วที่ใช้ได้ ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะทนได้นานสักแค่ไหน ”


ราชันวิหกส่งเสียงออกมาอย่างเย็นยะเยือก


เมื่อพูดจบแล้วศิลากลางศีรษะของเขาก็ได้สั่นไหวอีกครั้งพร้อมทั้งส่งคลื่นลำแสงกว่าหลายสิบสายพวยพุ่งออกไปทางหลินเทียน


มันเป็นลำแสงที่ทรงพลังและรวดเร็วยิ่งกว่าเก่าพร้อมทั้งเข้ารายล้อมร่างของหลินเทียนเอาไว้จากทุกทิศทาง


คิ้วของหลินเทียนขมวดเข้าหากันก่อนที่จะใช้ก้าวย่างแห่งสวรรค์รีบเบี่ยงหลบออกไปอย่างรวดเร็ว


สายตาของราชันวิหกถึงกับหดเล็กลงด้วยความดุร้ายพร้อมทั้งพูดออกมาว่า


“ก็ดี มาต่อก็เลย  ! ”


มันส่งเสียงออกมาขณะที่ลำแสงมากมายยังคงพวยพุ่งออกไป


พริบตาลำแสงกว่าร้อยสายได้พุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียนจากรอบทิศทาง


แม้ว่าจิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งแต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากำลำแสงจำนวนมากขนาดนี้แล้วก็ไม่สามารถเบี่ยงหลบมันได้ทั้งหมดแม้จะใช้ทักษะเทวะหรือเนตรแห่งสัจธรรมต้านทานเอาไว้


พุฟฟ ~!


ลำแสงนี้พุ่งทะลวงผ่านหน้าอกของเขาไปพร้อมทั้งลากร่างของเขาลอยเคว้งออกไปไกล


“ท่านอาจารย์ ! ”


เซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปถึงกับอดส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้


ร่างของหลินเทียนลอยเคว้งออกไปไกลด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือดพร้อมความเจ็บปวดที่แผดขยายไปทั่วอวัยวะภายในถึงขั้นที่พลังเทวะเองยังไหลเวียนได้ช้าลง


ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวยิ่งกว่าเก่า


“ใช่แล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่เข้าใกล้ภูเขาไท่ไม่มีผิด ”


คิ้วของเขาได้ขมวดเข้าหากันโดยทันที


เป็นเพราะว่ามันคือแรงกดดันของเสน่ห์ที่เขาเคยสัมผัสได้


“ตู้มม ! ”


มิติโดยรอยเริ่มสั่นไหวขณะที่กลิ่นอายทำลายล้างปลดปล่อยออกมา


ศิลาหินที่อยู่เหนือศีรษะของราชันวิหกได้ส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาอย่างเข้มข้นเสมือนว่ามันแปรเปลี่ยนกลางเป็นดวงอาทิตย์ที่แผดรังสีอันตรายออกไปรอบทิศทาง


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคลื่นพลังนี้แล้วมันทำให้ผู้คนโดยรอบต่างพากันสั่นสะท้านไปตามๆกัน


เป็นเพราะว่ามันคือกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก


“ไอ้หนูน้อย ข้าจะรีบเก็บกวาดเจ้าแล้วกัน ”


ราชันวิหกส่งเสียงอันไม่แยแสออกมาเสมือนว่าเป็นจักรพรรดิที่กำลังก้มมองลงไปยังหลินเทียนพลางโบกมือออกไปทำให้ศิลาหินส่องประกายแสงอันทรงพลังพุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียน


ตู้มมม !  คลื่นพลังอันหนักหน่วงได้บดขยี้มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปโดยทันที


“นี่มัน…แข็งแกร่งมากๆ ! ”


“ท่านราชันวิหกไร้เทียมทาน ! ”


“การโจมตีนี้ต้องสังหารไอ้โจรชั่วนั่นได้อย่างแน่นอน ! ”


เหล่าศิษย์พากันส่งเสียงอันตื่นเต้นออกมา


พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากเพราะความรู้สึกขณะที่คลื่นพลังนี้กดทับลงมามันไม่ต่างกับการกดทับของห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่เลยแม้แต่น้อย


หลินเทียนที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของมันได้อย่างดีว่ามันอันตรายถึงขั้นทำให้ดวงวิญญาณของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด


ทว่าตอนนี้เขากลับมีท่าทางที่ดูใจเย็นอย่างมากขณะที่ดวงตาส่องประกายออกมา


“ในเมื่อมันมีเสน่ห์แบบเดียวกันก็แสดงว่าเสน่ห์นี้จะสามารถส่งผลกระทบต่อมันได้ ”


เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้แล้วเขาไม่ได้เบี่ยงหลบไปไหนทว่ากลับใช้สมาธิอยู่กับการทำความเข้าใจเสน่ห์ของมันและเริ่มปลดปล่อยเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาจากร่างของเขา


ไม่นานพลังนี้ก็ได้แผดขยายไปทั่วร่างของเขาก่อนที่ประกายแสงสีทองและกลิ่นอายของเขาจะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก


และเป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่ศิลาหินได้สั่นสะท้านอย่างรุนแรงพร้อมทั้งหยุดการโจมตีของมันเสมือนว่าสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง


นี่ทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาเพราะว่าเสน่ห์ของภูเขาไท่ใช้ได้ผลจริงๆ !


ในเวลาเดียวกันนี้เองที่สีหน้าของราชันวิหกได้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง


“เกิดอะไรขึ้น ?! ”


เป็นเพราะว่าเขาได้ตีตราลงไปในศิลานี้แล้วทว่ามันกลับหยุดยั้งการโจมตีด้วยตัวเองเสมือนว่าได้รับผลกระทบบางอย่าง


นี่ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเหมือนๆกัน


“นี่ศิลาหินนั่นไม่สามารถกดทับลงมาได้ ?! ”


พยัคฆ์ขาวงส่งเสียงที่ประหลาดใจออกมา


“มัน…..เกิดอะไรขึ้น ? ”


เซียนเซียนเองก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจไม่ต่างกันและด้วยระดับมันสมองของนางแล้วก็พอเดาได้ว่ามันเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น


ณ ตอนนี้สายตาของราชันวิหกนั้นดูซับซ้อนอย่างมากและแม้จะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงหยุดการโจมตีด้วยตัวเองแต่ก็มั่นใจว่าเหตุผลมาจากทางหลินเทียนและนี่ยิ่งทำให้สายตาของเขาเย็นชาขึ้นไปอีกก่อนที่จะระเบิดคลื่นพลังออกมาโถมเข้าใส่ศิลาหินพร้อมทั้งบังคับมัน


“ฆ่ามัน ! ”


ศิลาหินได้สั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งเคลื่อนไหวอีกครั้งแม้ว่าจะช้าก็ตามแต่ก็ยังคงกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียนอยู่ดี


มิติโดยรอบแหลกสลายหายไปโดยทันที


สายตาของหลินเทียนยังคงความไม่แยแสแม้แต่น้อยขณะที่เสน่ห์ของภูเขาไท่ได้สลักลงภายในทะเลความรู้ของเขาอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งแผดมันออกมาอย่างเข้มข้น


นี่ทำให้การเคลื่อนไหวของศิลาหินถูกหยุดลงอีกครั้ง


“มันเป็นสมบัติของดินแดนศูนย์กลางของพวกเรา ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์สินะ ”


เขาส่งเสียงที่ไม่แยแสออกมา


หลังจากนั้นเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันก็ได้หมุนวนพร้อมทั้งแผดเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาอย่างต่อเนื่อง


นี่ทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่อักขระทั้งหลายจะส่องประกายแสงออกมาพลางเคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ


ทว่ามันต่างจากตอนที่มันกดทับลงมาเพราะมันไม่ได้ส่งคลื่นพลังทำลายอะไรออกมาแต่กลับเคลื่อนที่เข้าหาหลินเทียนเสมือนว่าเป็นเด็กน้อยพลัดหลงที่พบกับครอบครัวอีกครั้ง


มันทำให้สีหน้าของราชันวิหกเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงพร้อมทั้งส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธว่า


“นี่เจ้า !!! ”


เป็นเพราะเขาตระหนักได้ดีกว่าใครว่าศิลาหินกำลังหลุดออกจากการควบคุมของตนเองอย่างช้าๆถึงขั้นที่อักขระตราประทับที่วางเอาไว้มันสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

 

 


ตอนที่ 1361

 

ศิลาหินได้สั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่อักขระที่รายล้อมมันเอาไว้ส่องประกายออกมาอย่างนุ่มนวล

มันเคลื่อนที่เข้าหาหลินเทียนเสมือนว่าเป็นเด็กน้อยที่พลัดหลงจากครอบครัว

“ระยำเอ้ย ! เจ้าทำอะไรลงไปกัน ! ”

ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดัง

เป็นเพราะว่าศิลานี้หลุดออกจากการควบคุมของเขา !

หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาขณะที่เสน่ห์ของภูเขาไท่ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก

นี่ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของศิลาหินเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

ภาพเหล่านี้ทำให้สีหน้าของราชันวิหกตกต่ำลงถึงขีดสุด

“มันเป็นของข้า ! ”

เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่พลังเทวะภายในร่างสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งพยายามควบคุมอักขระที่ตีตราเอาไว้ทำให้ศิลาหินหยุดการเคลื่อนไหวของมัน

“กลับมา ! ”

เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังโดยที่ทิ้งความคิดเรื่องที่จะฆ่าหลินเทียนไปทั้งหมดเพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆในตอนนี้

เป็นเพราะว่าศิลาหินได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงดังนั้นทำให้มันไม่สามารถสำแดงพลังทำลายล้างออกมาได้

มันทำให้เขาทำได้เพียงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเอามันกลับมา

“กลับมา ! !! ”

เขาส่งเสียงออกมาอย่างดัง

ตราบเท่าที่ดึงมันกลับมาได้แล้วเขาก็เชื่อว่าหลินเทียนจะไม่สามารถแทรกแซงมันได้อีก

ศิลาหินได้สั่นไหวอย่างรุนแรงเนื่องจากตราประทับที่สลักเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหวกลับมาหาเขา

หลินเทียนกัดฟันเอาไว้แน่นพร้อมทั้งหมุดวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันอย่างบ้าคลั่งทำให้แผดเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาอย่างเข้มข้นส่งผลให้ศิลาหินที่กำลังเคลื่อนที่กลับไปหาราชันวิหกได้หันกลับมาทางเขาอีกครั้ง

“ระยำเอ้ย ! ”

ราชันวิหกได้ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธขณะที่พลังเทวะระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่งส่งผลให้อักขระส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมา

แน่นอนเองว่าหลินเทียนก็ไม่มีทางยอมถอยดังนั้นถึงได้ยิ่งแผดกลิ่นอายอันทรงพลังยิ่งกว่าเก่าออกมาเช่นกัน

นี่ทำให้ศิลาหินสั่นไหวไม่หยุก่อนที่จะพุ่งเข้าหาทางหลินเทียน

ภาพเหล่านี้ทำให้ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ได้แต่ผงะไป

“นี่เจ้าหนูนี่กำลังแย่งชิงศิลาหินนั่นจากเจ้านกนั่น ?! ทำได้อย่างไรกัน ?! ไม่ใช่ว่ามันถูกเจ้านกนั่นควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้ว ? เขาชิงเอามาได้ไงกัน ?! ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างถึงขีดสุด

บึ้สสส !!

มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่อักขระมากมายส่องประกายแสงออกมาเป็นพักๆก่อนที่จะหม่นหมองลง

หลินเทียนและราชันวิหกยังคงแย่งชิงกันอย่างต่อเนื่อง

คนหนึ่งสามารถผสานเข้ากับเสน่ห์ของภูเขาไท่ได้ส่วนอีกคนได้ตีตราประทับลงบนศิลาหินขณะที่พยายามแย่งชิงการควบคุมองมันทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้มิติโดยรอบฉีกขาดออกจากกัน

“พอกันที ! ”

ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมาก่อนที่จะพูดต่อว่า

“มันเป็นของข้า ! ”

เขาคำรามออกมาเสียงดังพร้อมทั้งประสานมือเข้าหากัน

นี่ทำให้มิติโดยรอบสั่นไหวอีกครั้งก่อนที่ร่างกายของเหล่าศิษย์ทั้งหลายจะสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่พลังเทวะของพวกเขาเริ่มปั่นป่วนถึงขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้

“พวกเจ้าจงเป็นพลังให้กับข้า ! ”

พุฟฟ !

เขาได้ส่งเสียงออกมาก่อนที่ร่างของศิษย์ทั้งหลายจะระเบิดออกกลายเป็นกองเลือดและผสานเข้ากับร่างกายของเขาทำให้กลิ่นอายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภายเหล่านี้ทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงโดยทันที

“ท่าน…ราชันวิหก…….ท่านกำลังทำอะไรกัน ! ”

หลายๆคนส่งเสียงโห่ร้องออกมา

เป็นเพราะหลายๆคนได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นกองเลือดและถูกกลืนกินไปโดยบรรพบุรุษของพวกเขา

พุฟฟ !

พุฟ !

พุฟฟฟ !

กองเลือดระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่เหล่าศิษย์หลายคนเริ่มตกตายลง

นี่ทำให้กลิ่นอายที่แผดออกมาจากร่างของราชันวิหกพุ่งสูงขึ้นไปอีก

“ท่าน….”

“ได้โปรด….เมตตา……”

“ท่าน………..ท่านทำอะไรกัน ?! ไม่ใช่ว่าจะนำพวกเราไปยังดินแดนแห่งนิรันดร์ ?! ทำไมถึงได้…….”

ศิษย์ทั้งหลายพากันส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด

เป็นเพราะว่าบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งพวกเขาเคารพบูชากลับกำลังกลืนกินพวกเขาเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง

“นำพวกเจ้าไปยังดินแดนนิรันดร์ ? ตลกหน่า ! อย่าพวกเจ้าน่ะเรอะ ! พวกเจ้าเป็นเพียงแค่หมากของข้าสำหรับการสังเวยก็แค่นั้นแหละ ! ”

ราชันวิหกส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาพลางพูดต่อว่า

“ถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้วดังนั้นจงมาเป็นพลังให้กับข้าซะเถอะ ! ”

เป็นเพราะว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ถ่ายทอดกันภายในนิกายนั้นได้ถูกเขาดัดแปลงและใส่ตราประทับลงไปทำให้สามารถเปลี่ยนคนเหล่านั้นกลายเป็นกองเลือดและกลืนกินพลังของพวกเขาไปได้

คำพูดเหล่านี้ทำให้บรรพบุรุษที่สองและคนอื่นๆต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

ไม่เว้นแม้กระทั่งพยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนเองก็ด้วย

เพราะจากบทสนทนาของคนเหล่านี้แล้วพวกเขาล้วนได้ยินคำพูดว่า…..ดินแดนนิรันดร์กันอย่างชัดเจน

“ดินแดนนิรันดร์ ? สรวงสวรรค์ ? ดินแดนที่อยู่เหนือหมู่ดาวและโลกทั้งปวงมันมีอยู่จริง ?! ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา

สีหน้าของหลินเทียนที่กำลังแย่งชิงศิลาหินอยู่เองก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

“ดินแดนนิรันดร์นี่มัน…..”

ดวงตาของเขาได้หดเล็กลง

เนื่องจากว่าดินแดนแห่งนั้นถูกเรียกว่าเป็นสรวงสวรรค์ซึ่งเป็นดินแดนที่เป็นที่อยู่ของเหล่านิรันด์และมีพื้นที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าห้วงจักรวาลและอยู่เหนือหมู่ดาวทั้งปวง

เขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่สร้างขึ้นเท่านั้นแต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเหล่าศิษย์ทั้งหลายแล้วก็พบว่ามันมีความเป็นไปได้สูงมากๆแถมความฝันของคนเหล่านี้คือการก้าวไปยังดินแดนนิรันดร์โดยการชักใยอยู่เบื้องหลังขุมพลังต่างๆ

พุฟฟ!

พุฟ !

พุฟฟ !

ศิษย์ทั้งหลายที่มีพลังเทวะปั่นป่วนต่างระเบิดออกเป็นกองเลือด

เลือดมากมายที่เจิ่งนอกอยู่รอบทิศทางได้ถูกสูบเข้าไปในร่างของราชันวิหกจนไม่มีเหลือ

“ไม่ ไม่ ไม่ ! ”

ศิษย์ทั้งหลายพากันสั่นสะท้านไปอย่างมากพร้อมทั้งก้าวถอยหลังกลับไปด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด

เป็นเพราะว่าเพื่อเป้าหมายในการไปยังดินแดนนิรันดร์นี้ทำให้พวกเขาซื่อสัตย์และเชื่อฟังราชันวิหกอย่างมากและหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ก้าวข้ามไปยังดินแดนแห่งนั้นทว่ากลับต้องพบว่าคนที่พวกเขานับถือบูชากลับไม่เคยคิดจะนำพวกเขาไปทั้งแต่แรกแถมยังใช้พวกเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น

“เจ้า…….หลอกใช้พวกเรา ?! ”

หนึ่งในศิษย์ได้ส่งเสียงสั่นๆออกมา

เป็นเพราะว่าพลังเทวะภายในร่างปั่นป่วนอย่างมากและแม้จะพยายามยับยั้งมันเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถทำได้

“การที่สามารถเป็นหมากของข้าได้ก็ถือว่าพวกเจ้ามีคุณค่าแล้ว ”

ราชันวิหกส่งเสียงแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่จะพูดต่อว่า

“หากว่าไม่มีเคล็ดวิชาที่ข้ามอบให้พวกเจ้าจะมาถึงจุดนี้ได้ ? การที่ตายเพื่อข้านั้นถือเป็นเกียรติของพวกเจ้า ! ”

เมื่อสิ้นสุดคำพูดแล้วร่างกายของเหล่าศิษย์ทั้งหลายก็ยิ่งสั่นไหวขณะที่พลังเทวะปั่นป่วนถึงขีดสุด

“พุฟฟ ! ”

“พุฟ ! ”

“พุฟฟฟฟ ! ”

กองเลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทาง

พริบตานี้เองที่นอกเหนือจากบรรพบุรุษที่สองแล้วคนอื่นๆล้วนตกตายลงกันหมดอย่างสมบูรณ์

……

กองเลือดทั้งหลายจับตัวเป็นกลุ่มก้อนพร้อมทั้งถูกสูบเข้าไปภายในร่างของอีกฝ่าย

นี่ทำให้กลิ่นอายของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“แม่เจ้าโว้ย….มันเหี้ยมได้ใจจริงๆ ! ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา

ร่างกายของหลินเทียนเองก็สั่นไหวอย่างรุนแรงเพราะตอนนี้พลังเทวะภายในร่างของเขาเหลืออยู่อีกไม่มากแล้วแถมยังได้รับบาดเจ็บอย่างหนักทว่าอีกฝ่ายที่กลืนกินเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์ไปทำให้ความแข็งแกร่งกลับมาอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้งถึงขั้นที่แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยซ้ำซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเลื่อมล้ำด้านพลังอย่างมาก

ราชันวิหกที่ร่างกายส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมานั้นได้หันมองมาทางเขาพร้อมทั้งพูดว่า

“ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นของข้า อย่าฝันไปหน่อยเลยว่าจะสามารถชิงมันจากข้าได้ ! ”

เขาส่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกก่อนที่จะพูดต่อขณะที่ศิลาหินลอยกลับมาหาเขาว่า

“ถึงแม้ว่าแผนการของข้าจะถูกเจ้าทำลายจนหมดแต่ก็ไม่เป็นอะไร ที่ข้าเลือกทำแบบนั้นแต่แรกก็เพราะไม่อยากให้มันยุ่งยากแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องลงมือด้วยตัวเอง ข้าจะเอาจับผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดไปรวมกันไว้ที่ดินแดนศูนย์กลางแล้วทำการสังเวยพวกมันเพื่อเปิดเส้นทางไปยังดินแดนนิรันดร์ ! ”

เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า

“ส่วนเจ้า ข้าจะยกที่นี่ให้เป็นที่ฝังศพเจ้าแล้วกัน ! ”

“ตู้มมม ~! ”

คลื่นพลังอันหนักหน่วงแผดออกมาทำให้ศิลาหินเคลื่อนที่เขาหาเขาอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนกัดฟันเอาไว้แน่นพร้อมทั้งพยายามแผดเสน่ห์ของภูเขาไท่ออกมาจนถึงขีดสุด

ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชันวิหกที่กลืนกินเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์จำนวนมากไปก็ทำให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นมากถึงขั้นที่เขาไม่มีความสามารถต่อกรได้อีกเนื่องจากความต่างชั้นของระดับพลังที่สูงเกินไป

“ในเมื่อโลกนี้มีแสงสว่างก็ย่อมต้องมีความมืด โปรดมอบพลังให้ข้าเพื่อทำลายล้างความมืดที่โสมมนี้ ! ”

มันเป็นตอนนี้เองที่มีเสียงสวดภาวนาถูกส่งออกมาขณะที่ปรากฏร่างของชายชราชุดคลุมที่ห้อมล้อมไปด้วยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์

หลินเทียนหันมองออกไปก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ร่างของอีกฝ่าย

“พระสันตะปาปาจากขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ ?! ”

สีหน้าของพยัคฆ์ขาวเปลี่ยนไปทันที

ร่างกายของชายชรารายล้อมไปด้วยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างเข้มข้นแม้ว่าจะไม่ได้ส่งกลิ่นอายทำลายล้างที่ทรงพลังออกมาทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก

“สหายจากดินแดนศูนย์กลางโปรดรับมันเอาไว้และเป็นพลังให้เจ้าได้ขจัดความชั่วร้าย ! ”

พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมา

ระหว่างที่พูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงสีขาวายในร่างพุ่งผ่านอากาศอัดเข้าใส่ร่างของหลินเทียนอย่างจัง

มันเป็นประกายแสงที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังถึงขั้นทำให้อาการบาดเจ็บและพลังเทวะของเขาฟื้นตัวด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว

เพียงชั่วพริบตานี้บาดแผลทั้งหมดและระดับพลังของเขาพุ่งสูงถึงขีดสุดอีกครั้ง


“นี่มัน ?! ”

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาได้แต่สั่นสะท้านไปเพราะไม่เพียงแค่จะสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ทว่ามันกลับเป็นพลังที่เขาคุ้นเคยแบบเดียวกันกับตอนที่ได้รับภายในสวรรค์สิบชั้น

 

 

 


ตอนที่ 1362

 

หลินเทียนเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาไม่น้อยเพราะว่าพลังที่อีกฝ่ายใช้มันเป็นพลังที่เขาคุ้นเคยอย่างมาก

เนื่องจากเมื่อเขาได้หยุดยั้งความโกลาหลภายในดินแดนสวรรค์สิบชั้นไปแล้วประกายแสงสีขาวเหล่านี้ก็พุ่งผ่านข้ามสวรรค์แต่ละชั้นเข้ามาหาเขาและครั้งที่สองคือตอนที่เขาอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สิบและแต่ละครั้งมันก็ให้ประโยชน์กับเขาไม่น้อยเลยทีเดียว

ทว่าหลังจากที่กลับมาถึงโลกแล้วเขาก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นมันอีกแถมยังเป็นพลังที่เข้มข้นกว่ามากแต่อีกฝ่ายกลับมอบมันให้กับเขา

นี่ทำให้เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเพราะว่าผู้นำเนตรศักดิ์สิทธิ์กลับครอบครองพลังที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้เอาไว้ !

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ราชันวิหกได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปพลางหันมองออกไปพร้อมทั้งส่งเสียงคำรามออกมาว่า

“ไอ้แก่ อย่ามาขวางทางข้า !”

แกร๊ง !

เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาขณะที่คลื่นกระบี่เขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าพวยพุ่งเข้าใส่ทางพระสันตะปาปา

คลื่นกระบี่นี้ได้บดขยี้มิติโดยรอบออกเป็นเสี่ยงๆโดยทันที

หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นเองก็ดึงสติกลับมาก่อนที่จะฟาดฟันคลื่นกระบี่ออกไปตรงหน้า

เป็นเพราะประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์ที่ได้รับมาทำให้อาการบาดเจ็บและพลังเทวะของเขาฟื้นตัวกลับมาเหมือนเก่าแถมยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“พระสันตะปาปา ข้าขอขอบคุณ ”

หลินเทียนส่งเสียงออกไป

หากว่าไม่ได้เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายแล้วเขาก็คงจะกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอย่างมาก

“ไม่ต้องสุภาพไปหรอกสหาย การกำจัดความชั่วร้ายเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ”

พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมา

เป็นเพราะหลังจากที่หลินเทียนได้สังหารชายชุดดำลงแล้วก็มาถึงที่นี่ด้วยความเร็วที่สูงมากๆซึ่งหลังจากที่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายได้ดูดกลืนเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์เพื่อเพิ่มพลังแล้วจึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้ประกายแสงสีขาวนี้กับหลินเทียนเพื่อช่วยในการต่อสู้ครั้งนี้

เหตุผลที่เขาไม่ได้ใช้มันเพื่อต่อกรกับอีกฝ่ายก็เพราะว่าราชันวิหกนั้นอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าดังนั้นต่อให้เขาใช้มันกับระดับพลังของตัวเองในตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่มือของอีกฝ่าย

“คุณพระสันตะปาปานี่…..คือพลังแห่งความเชื่อของขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ ?! ”

เซียนเซียนที่กำลังมองไปยังประกายแสงเหล่านั้นได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาพร้อมทั้งอดถามออกมาไม่ได้

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วสีหน้าของหลินเทียนเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อยและอดหันมองออกไปไม่ได้

พระสันตะปาปาที่สวมชุดคลุมยาวแผดกลิ่นอายที่เข้มข้นออกมาไม่ได้ปิดบังอะไรพร้อมทั้งตอบกลับว่า

“ถูกต้องแล้วล่ะ ”

“มันมีพลังแบบนี้อยู่ในโลกจริงๆ ?! ”

เซียนเซียนได้แต่ส่งเสียงอุทานออกมา

เป็นเพราะว่ามีข่าวลืออยู่ว่าเหตุผลที่ชาวตะวันตกนั้นแข็งแกร่งก็เพราะว่ามีผู้เชื่อถือเป็นจำนวนมากและนั่นก่อให้เกิดเป็นพลังแห่งความเชื่อที่มีสรรพคุณมากมายแต่หลักๆคือการบ่มเพาะที่เป็นพลังงานที่เข้มข้นเสียยิ่งกว่าพลังฉีที่สามารถเพิ่มระดับพลังอย่างมากได้อย่างฉับพลันแถมยังไม่มีผลข้างเคียงอะไรด้วย

“ไม่ธรรมดาจริงๆ ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ดวงตาของหลินเทียนได้ส่องประกายออกมาเพราะว่าประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์เหล่านี้คือพลังแห่งความเชื่อ ?

“กลับมา ! ”

เสียงนี้ถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรง

มันเป็นราชันวิหกที่ส่งเสียงคำรามออกมาขณะที่แผดพลังออกไปทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมทั้งพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่พลังเทวะของเขาจะระเบิดออกมาพร้อมๆกับเสน่ห์ของภูเขาไท่ที่เข้มข้นกว่าเดิมทำให้ศิลาหินที่กำลังเคลื่อนไหวได้แต่หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ

“พระสันตะปาปา ข้ามีคำถามอย่างจะถามเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความเชื่อหลังจากนี้จะได้ไหม ? ”

เขาหันมองออกไป

เป็นเพราะว่ามันเป็นพลังที่เขาให้ความสำคัญอย่างมากและอยากจะรู้เกี่ยวกับมันทั้งหมด

เนื่องจากมันเป็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก

“แน่นอน ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ ”

พระสันตะปาปาตอบกลับ

หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งพูดว่า

“ขอรบกวนด้วย ”

หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้หันมองออกไปทางราชันวิหกอีกครั้ง

มันเป็นสายตาที่ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย

“ตู้มม ~! ”

พลังแห่งความเชื่อที่เขาได้รับมานั้นได้รักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาไปแล้วแถมยังทำให้ระดับพลังของเขาสูงขึ้นกว่าเก่ามากดังนั้นจึงไม่ลังเลเลยที่จะแผดคลื่นพลังทั้งหมดออกมาทำให้ดินแดนลับแห่งนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง

แรงกดดันอันหนักหน่วงกระจายตัวออกไปรอบทิศทาง

นี่ทำให้สีหน้าของราชันวิหกถึงกับเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะนี่คือพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงขั้นที่เขาเองก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตามสายตาของเขาก็ยังคงส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาขณะที่พยายามดึงเอาศิลาหินกลับมาอย่างเจ็มกำลัง

“มันเป็นของข้า ยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องตาย ! ”

เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา

“อยากได้งั้นรึ ! ”

หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชา

หลังจากนั้นเขาได้กำหมัดเอาไว้แน่นก่อนที่จะหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันจนถึงขีดสุดพร้อมทั้งผสานมันเข้ากับเสน่ห์ของภูเขาไท่พลางสังเวยทักษะควบคุมอาวุธออกมาเพื่อฝืนทำลายตราประทับของราชันวิหก

หลังจากนั้นดวงวิญญาณของเขาได้สั่นไหวก่อนที่สัจธรรมและวงเวทย์สังสารวัฏของเขาจะผสานเข้าด้วยกันพร้อมทั้งซัดเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี

พริบตาที่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏปรากฏขึ้นมันก็ได้กดทับเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัวโดยทันที

สีหน้าของราชันวิหกเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะไม่คิดเลยว่าระหว่างที่กำลังแย่งชิงศิลาหินกันอยู่นี้หลินเทียนยังมีพลังมากพอที่จะสังเวยการโจมตีแบบนี้ออกมานี่มันต้องใช้พลังขนาดไหนกัน ?!

“ไอ้ระยำเอ้ย ! ”

เขากัดฟันพูดออกมาพร้อมทั้งแบ่งพลังส่วนหนึ่งออกมารับการโจมตีนี้เอาไว้

และมันเป็นตอนนี้เองที่พลังในการควบคุมศิลาหินของเขาได้ลดลงอย่างมาก

“กลับมา ! ”

เสียงอันเย็นยะเยือกถูกส่งออกมาอย่างดัง

มันเป็นเสียงของหลินเทียนที่หมุนวนทักษะควบคุมอาวุธถึงขีดสุดทำให้ศิลาหินสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะเริ่มแทรกแซงการทำงานของตราประทับของราชันวิหก

“เหอะ ”

หลินเทียนแสยะออกมาพร้อมทั้งทำลายตราประทับของอีกฝ่ายไปก่อนที่จะทำให้ศิลาหินพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า

“อั๊ก ! ”

การที่ถูกฝืนทำลายตราประทับไปแบบนี้ทำให้ราชันวิหกได้รับความเสียหายถึงขั้นที่กระอักเลือดออกมาคำโต

“ไม่ !!! ”

เขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธพร้อมทั้งอัดพลังเข้าใส่วงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏพร้อมทั้งคว้ามือออกไปยังศิลาหินที่พุ่งหนีไป

 

 

 


ตอนที่ 1363

 

หลังจากที่เห็นว่าศิลาหินกำลังพุ่งไปหาทางหลินเทียนอย่างรวดเร็วนั้นดวงตาของราชันวิหกก็ถึงกับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่คว้ามือออกไปหามัน

เป็นเพราะว่าเขาได้ลงแรงและเวลากับมันไปมากกว่าจะชิงมาจากดินแดนศูนย์กลางได้ดังนั้นสมบัติชิ้นนี้ถึงได้มีความหมายกับเขาเอามากๆ

“บึ้สส ~! ”

เขาคว้ามือออกไปก่อนที่สัจธรรมมากมายจะส่องประกายออกมา

หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งโบกมือส่งคลื่นกระบี่ศุกลสวรรค์อันทรงพลังพุ่งผ่านเข้าใส่ทางอีกฝ่าย

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาได้ส่งความคิดออกไปพร้อมทั้งซัดวงเวทย์สัจธรรมสังสารวัฏกดทับเข้าใส่ไปพร้อมๆกัน

ตู้มม !

คลื่นพลังทำลายอันหนักหน่วงระเบิดออกมาอย่างดัง

ร่างกายของราชันวิหกถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนที่จะรีบก้าวถอยกลับไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมาก

และมันเป็นตอนนี้เองที่หลินเทียนได้อาศัยพลังเสน่ห์ของภูเขาไท่ดึงเอาศิลาหินเข้ามาใกล้ได้อย่างแท้จริง

มันมีขนาดไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นซึ่งวินาทีที่มันเข้าใกล้นี้ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังเสน่ห์ของภูเขาไท่ได้มากยิ่งขึ้นเสมือนว่ามันมีดวงวิญญาณเป็นของตัวมันเอง

“ชิงเอามาได้แล้ว ! ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

ตัวมันตระหนักเป็นอย่างดีว่าศิลานี้เป็นของที่ไม่ธรรมดาดังนั้นการที่เห็นว่าหลินเทียนสามารถชิงเอามันมาได้แล้วก็อดแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมาไม่ได้

ตู้มม ~!

ประกายแสงสีเงินอันเข้มข้นระเบิดออกมาจากสถานที่ๆห่างออกไปขณะที่กลิ่นอายอันทรงพลังพวยพุ่งออกจากร่างของราชันวิหก

“เอามันคืนมา ! ”

อีกฝ่ายส่งเสียงกู่ร้องอย่างดังก่อนที่ดวงตาบนหน้าผากของเขาจะส่องประกายพร้อมทั้งสร้างอาณาเขตสังหารขึ้นอีกครั้ง

อาณาเขตอันน่าสะพรึงกลัวได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งปรากฏฝูงผีร้ายและหลุมศพมากมายขึ้นรายล้อมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้

กลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้นบนบังฟากฟ้าเอาไว้อย่างสมบูรณ์

หลินเทียนหันมองออกไปก่อนที่จะใช้มือขวาถือเอาศิลาขึ้นมาพร้อมทั้งส่งถ่ายพลังเข้าใส่มัน

บึ้สสส ~!

ศิลาหินส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่จะส่งคลื่นลำแสงอันทรงพลังพุ่งผ่านออกไป

ฟึ้บบบ ~!

เสียงนี้ถูกส่งออกมาขณะที่อาณาเขตสังหารได้ถูกบดขยี้แหลกสลายหายไปอย่างฉับพลัน

และลำแสงนี้ก็ยังคงพุ่งออกไปด้วยพลังทำลายที่ไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อยพลางทะลวงหน้าอกของอีกฝ่ายไปอย่างจัง

เลือดของเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าสาดกระจายออกไปทั่วทิศทาง

“แข็งแกร่งมากๆ ! ”

หลินเทียนได้แต่มองไปยังศิลาหินในมือด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างหนัก

แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าในช่วงที่อยู่ในมือของราชันวิหกนั้นมันเป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างมากทว่าหลังจากที่ได้ใช้มันกับมือตัวเองแล้วก็ยังอดอุทานออกมาไม่ได้เพราะว่าคนหนึ่งฝืนควบคุมมันด้วยวิธีพิเศษส่วนเขานั้นใช้ความสามารถควบคุมมันทำให้เข้าใจมันได้มากกว่า

เขาเรียกสติกลับมาก่อนที่จะหันมองไปยังร่างของอีกฝ่ายที่ถูกกระแทกออกไปไกลด้วยสีหน้าที่ราบเรียบก่อนที่จะก้าวเดินออกไป

“ไอ้ระยำเอ้ย ! เอามันคืนมานะ ! ”

ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังด้วยดวงตาสีแดงก่ำขณะที่คลื่นพลังทำลายอันหนักหน่วงกวาดออกไปรอบทิศทาง

หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งอาศัยเสน่ห์ของภูเขาไท่ภายในร่างตีตราประทับลงในศิลาหินทำให้มันส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่จะใช้มันสร้างลำแสงอันทรงพลังพวยพุ่งออกไป

“เจ้า ! ”

ราชันวิหกได้แต่แสดงสีหน้าที่โกรธและหวาดกลัวออกมาเพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็เสียสละไปมากกว่าจะตีตราประทับลงไปได้ถึงได้สามารถฝืนควบคุมมันได้เล็กน้อยทว่าการที่หลินเทียนสามารถตีตราลงไปแบบนี้ได้มันทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อไปทันทีแถมประกายแสงที่ศิลาหินส่องประกายออกมายังเข้มข้นกว่าตอนที่เขาควบคุมมันหลายเท่าจึงอดทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกไปไม่ได้

และมันเป็นตอนนี้เองที่ลำแสงเหล่านี้ได้บดขยี้พลังสัจธรรมทั้งหลายสลายหายไปอย่างฉับพลัน

ภาพเหล่านี้ทำให้ท้องไส้ของเขารู้สึกปั่นป่วนอย่างหนัก

“เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก ! ”

หลินเทียนส่งเสียงออกมาขณะที่พุ่งออกไปเข้าประชิดร่างของอีกฝ่ายด้วยก้าวย่างแห่งสวรรค์ในชั่วพริบตา

“เจ้า…….”

“ตู้มม ! ”

หลินเทียนเหวี่ยงหมัดอันทรงพลังออกไปอัดกระแทกร่างของอีกฝ่ายปลิวออกไปไกล

หลังจากนั้นลำแสงที่กำลังพุ่งเข้ามาก็ได้อัดเข้าใส่ร่างของราชันวิหกอย่างจัง

พุฟฟ !

เลือดสาดกระจายไปทั่วขณะที่ร่างกายของราชันวิหกแหลกสลายหายไป

“พี่ใหญ่ ! ”

บรรพบุรุษที่สองที่อยู่ห่างออกไปอดส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้พลางพุ่งเข้ามาใกล้

“อย่ามาเกะกะ ”

หลินเทียนสังเวยลำแสงสังหารพุ่งผ่านอากาศอัดเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า

พุฟฟ ! ร่างกายและดวงวิญญาณของอีกฝ่ายระเบิดออกไม่มีเหลือ

หลินเทียนไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำก่อนที่จะเหาะเข้าหาร่างของราชันวิหกอีกครั้ง

กองเลือดที่สาดกระจายไปทั่วได้ก่อตัวขึ้นมาเป็นกายหยาบของราชันวิหกอีกครั้งก่อนที่เขาจะรีบพุ่งถอยกลับไป

ณ ตอนนี้แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างแท้จริงเพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถต่อกรกับหลินเทียนได้

“สักวันข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ! ”

เขาส่งเสียงอันโกรธแค้นออกมาก่อนที่จะฉีกมิติตรงหน้าออกแล้วพุ่งออกไปเพื่อพยายามหนีไปจากที่นี่

หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่ศิลานี้จะสั่นไหวพร้อมทั้งส่งคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกไปทำลายมิติที่อีกฝ่ายกำลังพุ่งผ่านเข้าไป

นี่ทำให้ราชันวิหกได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาเพราะไม่คิดเลยว่าเขาที่หนีเข้าไปในห้วงมิติแล้วก็ยังถูกดึงกลับมาได้

“เจ้า………”

ตู้มมม !

หลินเทียนได้พุ่งเข้าประชิดร่างของเขาก่อนที่จะเหวี่ยงฝ่ามืออันทรงพลังเข้าใส่

หลังจากนั้นเขาก็ได้ก้าวเข้าประชิดร่างของอีกฝ่ายพร้อมทั้งกดทับวงเวทย์หยินหยางและศิลาลงไปพร้อมๆกัน

“ระยำเอ้ย ! ปล่อยข้า ! ”

ราชันวิหกส่งเสียงคำรามออกมา

หลินเทียนยกเท้าของเขาขึ้นมากระทืบลงกลางหน้าอกของอีกฝ่ายทำให้ต้องกระอักเลือดออกมาคำโต

“เป็นเชลยยังกล้าส่งเสียงอีกนะ ”

เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

อีกฝ่ายได้แต่ส่งเสียงสั่นๆออกมาว่า

“เจ้า……”

หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งสังเวยจิตสัมผัสอันทรงพลังทะลวงเข้าใส่ทะเลความรู้ของอีกฝ่ายโดยทันที

ไม่นานเขาก็ดึงเอาความทรงจำมากมายออกมา

“ดินแดนนิรันดร์ การต่อสู้ยุคบรรพกาล ภูเขาไท่และวิหกนิรันดร์”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาโดยทันที

เป็นเพราะว่าจากความทรงจำที่ได้มานั้นเขาได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นมากมาย………ตอนที่อีกฝ่ายได้ปลุกสายเลือดของตัวเองขึ้นก็ได้รับรู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกทว่าเป็นคนจากตระกูลวิหกนิรันดร์ในดินแดนนิรันดร์ที่ทิ้งไข่เอาไว้บนโลกนี้

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ได้ชิงเอาศิลามาจากภูเขาไท่พร้อมทั้งพบว่าภาพความทรงจำของพวกเขานั้นเป็นของจริงทำให้รู้ว่ามันมีดินแดนนิรันดร์อยู่จริงๆแถมยังพบว่าเส้นทางไปสู้ดินแดนนิรันดร์ที่เคยมีสะพานเชื่อมอยู่ในภูเขาไท่ได้ถูกทำลายลงเนื่องจากก่อนหน้านี้มันมีสมบัติสวรรค์ตกลงมายังโลกใบนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายแห่กันออกมาจากดินแดนนิรันดร์พร้อมทั้งฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงมัน

เป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ดวงดาวที่ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิทางช้างเผือกถูกทำลายไปกว่าเก้าในสิบส่วนและท้ายที่สุดแล้วผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งคนหนึ่งก็ได้ปิดผนึกทางเชื่อมต่อไปยังดินแดนนิรันดร์อีกครั้งทำให้สงครามครั้งนี้จบลง

ในตอนนั้นมีขุมพลังมากมายที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ซึ่งหลายๆคนเองก็หลงเหลืออยู่ในดาวดวงนี้เนื่องจากไม่สามารถกลับไปได้ดังนั้นจึงได้ขยายพันธุ์และทำให้มีลูกหลาน…………พวกเขาทั้งสามคนล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานที่ผู้เชี่ยวชาญตระกูลวิหกนิรันดร์ได้ทิ้งเอาไว้บนโลกใบนี้

หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องนี้แล้วพวกเขาทั้งสามก็อยากจะกลับไปยังดินแดนนิรันดร์อย่างมากดังนั้นถึงได้ก่อตั้งนิกายขึ้นและเตรียมแผนการสังเวยดวงวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเพื่อทำลายผนึกที่อยู่ภายในภูเขาไท่สำหรับการเชื่อมต่อไปยังดินแดนนิรันดร์อีกครั้ง

“ไม่คิดเลยว่าการที่โลกนี้ถูกทำลายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับดินแดนนิรันดร์ด้วย ”

หลินเทียนแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

“ดินแดนนิรันดร์มีอยู่จริงๆ ! ไม่คิดเลยว่าภูเขาไท่จะเป็นสะพานเชื่อม ?! ”

พยัคฆ์ขาวถึงกับอ้าปากค้างด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมากขณะที่เซียนเซียนและพระสันตะปาปาต่างโง่งมไปตามๆกัน

“นี่มัน……….”

เซียนเซียนส่งเสียงออกมา

พระสันตะปาปาเองก็ผงะไปไม่ได้เพราะว่าเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นดีแต่ไม่คิดเลยว่าจะมีดินแดนนิรันดร์อยู่จริงๆแถมภูเขาไท่ยังเป็นสะพานเชื่อมไปยังสถานที่แห่งนั้น

“เจ้ามนุษย์ ! ”

ราชันวิหกพยายามดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

แผนการทำลายผนึกของดินแดนนิรันดร์ได้ถูกหลินเทียนทำลายไปหมด ศิลาหินก็ถูกชิงไปแถมหลินเทียนยังเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและรับรู้ความลับทั้งหมดที่มีของเขา

“อ๊ากก ”

เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดังขณะที่ดิ้นพล่านอยู่กับพื้นโดยที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้

หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่วงเวทย์หยินหยางจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นฝ่ามือที่บดขยี้ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี

“ตาย ! ”

เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ชั่วร้ายเกินไปดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่เขาจะปล่อยมันไปได้

พลังของวงเวทย์หยินหยางผสานศิลาหินได้บดทำลายดวงวิญญาณของอีกฝ่ายไปอย่างฉับพลัน

“ไม่ !!! ”

ราชันวิหกได้แต่สั่นสะท้านไปขณะที่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนก่อนที่ดวงตาของเขาจะหม่นหมองลง

กายหยาบยังถูกเก็บเอาไว้ขณะที่ดวงวิญญาณดับสูญ

 

 

 


ตอนที่ 1364

 

ราชันวิหกได้ตกตายลงไปแล้วเหลือไว้เพียงร่างกายหยาบเปล่าๆเท่านั้น

หลินเทียนโบกมือของเขาออกไปเก็บเอาร่างๆนี้เอาไว้

นี่เป็นความตั้งใจแต่แรกของเขาอยู่แล้วเพราะถึงอย่างไรเลือดเนื้อของอีกฝ่ายเองก็ถือว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากๆและหากว่าเขาหล่อหลอมเข้ากับมันแล้วก็คงทำให้ระดับพลังของเขาตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 9 ได้อย่างแน่นอน

“ไอ้นกเฒ่าจากดินแดนนิรันดร์สามตัวทิ้งไข่เอาไว้ภายในโลกนี้แบบนี้นี่มัน…….”

พยัคฆ์ขาวได้แต่ผงะไป

เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มันก็เคยได้เห็นความแข็งแกร่งของทั้งสามคนมาก่อนแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะเป็นลูกหลานของผู้เชี่ยวชาญจากดินแดนนิรันดร์ที่อยู่บนโลกใบนี้

“ดินแดนนิรันดร์ สรวงสวรรค์ ”

มันถอนหายใจออกมา

หลินเทียนเองก็ไม่ต่างกันเพราะไม่คิดเลยว่าจะมีโลกอันกว้างใหญ่ที่อยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ด้วย

“ไม่รู้เลยว่ามันจะกว้างใหญ่ขนาดไหนกัน อยากจะก้าวข้ามไปในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ”

เซียนเซียนส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอย่างมาก

หลินเทียนถอนหายใจของเขาออกมาและเมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อดเขกหัวนางพลางพูดออกมาไม่ได้ว่า

“เจ้าหนูน้อย อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นอยู่เลย ควรจะคิดถึงเรื่องตัดผ่านเขตแดนเพื่อสามารถออกไปท่องในห้วงจักรวาลให้ได้เสียก่อน ”

แม้ว่าการบ่มเพาะจะเป็นสิ่งที่ดูลึกลับและไร้เทียมทานสำหรับผู้คนธรรมดาทว่าหลังจากที่ก้าวเดินบนเส้นทางนี้แล้วจะรู้ว่ามันเป็นเส้นทางที่ทรหดและยากเย็นแสนเข็นอย่างมากดังนั้นเขาถึงไม่อยากจะให้นางตั้งเป้าหมายสูงเกินไปเพราะถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนวิญญาณนิรันด์เท่านั้น การที่คิดถึงเรื่องการก้าวข้ามไปยังดินแดนนิรันดร์มันมีแต่จะทำให้รากฐานการบ่มเพาะของนางไม่มั่นคงเท่านั้น

เซียนเซียนเองที่เป็นคนมีไหวพริบเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนนั้นเป็นห่วงนางดังนั้นถึงได้รีบคว้าแขนของเขาแกว่งไปมาอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า

“ขอบคุณท่านอาจารย์มากๆ ข้าจะตั้งใจและไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน ”

“ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยสีหน้าที่หมดคำพูด

เซียนเซียนได้หัวเราะออกมาว่า

“แหม ท่านก็ยังเขินอายอยู่เหมือนเคยเลยนะ ”

หลินเทียนได้แต่หันหน้าหนีโดยที่ไม่ตอบกลับแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าศิษย์อาจารย์สนิทกันดีหนิ ”

พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมาด้วยรอยยิ้ม

หลินเทียนเองก็อยากจะอธิบายว่าเขาไม่ใช่อาจารย์ของแม่หนูน้อยคนนี้ทว่าหลังจากที่คิดๆดูแล้วก็ทิ้งความคิดนี้ไป

พระสันตะปาปาหัวเราะออกมาก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังและเคารพว่า

“ต้นตอแห่งหายนะได้ถูกทำลายลงแล้ว ต้องขอขอบคุณสหายจากดินแดนศูนย์กลางจริงๆที่ช่วยพวกเราถอนรากถอนโคนพวกมัน ไม่สิ ต้องบอกว่าขอบคุณที่ช่วยโลกใบนี้เอาไว้ ”

เป็นเพราะว่าจากแผนการอันชั่วร้ายของอีกฝ่ายนั้นอยากจะใช้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวยและหากว่าไม่ได้หลินเทียนช่วยเอาไว้แล้วเขาก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย

หลินเทียนโบกมือของเขาพร้อมกับพูดว่า

“พระสันตะปาปา ท่านเองก็สุภาพเกินไป การที่สังหารพวกมันเป็นหน้าที่ของข้าและเป็นสิ่งที่ควรจะพึงกระทำอยู่แล้ว ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อว่า

“ยิ่งไปกว่านั้นหากว่าไม่ใช่เพราะท่านแล้วข้าก็คงจะตกตายลงไปนานแล้ว ”

นี่ไม่ใช่การตอบกลับอย่างถ่อมตัวทว่าความเป็นจริงมันเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะหากว่าไม่ได้รับพลังจากพระสันตะปาปามาในตอนที่อีกฝ่ายฟื้นคืนพลังจากการดูดกลืนเลือดเนื้อของเหล่าศิษย์แล้วเขาก็คงจะตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตไปแล้ว

หลังจากนั้นเขาก็ได้เก็บเอาศิลาหินกลับไปพร้อมทั้งหันมองออกไปพลางถามด้วยท่าทางที่สุภาพว่า

“อ่อใช่ โปรดช่วยชี้แนะข้าเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งความเชื่อด้วย ”

เป็นเพราะว่าเขาให้ความสำคัญกับพลังอันลึกลับนี้มากๆ

“สหาย เจ้าเองก็สุภาพเกินไปแล้ว ชี้แนะอะไรกัน เรียกว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่า ”

พระสันตะปาปาส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งพูดออกมาว่า

“พลังแห่งความเชื่อก็เป็นอย่างที่มันว่าเอาไว้ หากว่าใครคนใดเกิดรู้สึกเชื่อและบูชาคนนั้นจริงๆแล้วพลังนี้ก็จะถือกำเนิดขึ้น”

“ความเข้มข้นของพลังก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ศรัทธาซึ่งจะทำให้พลังเหล่านี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังให้กับผู้ถูกศรัทธา”

พระสันตะปาปาอธิบายเรื่องราวต่างๆออกมารวมถึงวิธีการใช้งานมันอย่างละเอียด

“พลังแห่งความเชื่อนี้เกิดจากผู้ให้ความศรัทธา แล้วมันจะมีผลข้างเคียงอะไรกับพวกเขาไหม ? ”

หลินเทียนถามออกมา

“ไม่ สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีผลเสียอะไร ”

พระสันตะปาปาส่ายศีรษะพร้อมทั้งพูดว่า

“แถมหากว่าศรัทธาถึงจุดหนึ่งแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะหรือผู้คนธรรมดาก็จะได้รับประโยชน์ทางด้านจิตใจไม่น้อยทำให้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าเลยก็ว่าได้ ”

หลินเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะเขาเองก็เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบเดียวกันมาก่อนในสวรรค์สิบชั้นซึ่งเขาเองก็ตรวจสอบผู้คนที่ส่งถ่ายพลังแห่งความเชื่อมาให้เขาแล้วว่าไม่ได้รับผลเสียอะไรและคำพูดของพระสันตะปาปาก็เป็นเหมือนการยืนยันเรื่องนี้

เขานั่งขัดสมาธิลงกับที่ก่อนที่จะเริ่มการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อนี้ซึ่งพระสันตะปาปาเองก็อธิบายให้กับฟังอย่างละเอียดในแต่ละหัวข้อโดยที่ไม่หมกเม็ดแม้แต่น้อย

ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าหนึ่งวันเต็ม

วันนี้เป็นวันที่เขาได้รับประโยชน์มาอย่างมากมายก่ายกองซึ่งระหว่างที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนี้เขาก็ได้ชี้แนะในด้านต่างๆให้อีกฝ่ายเช่นกัน

“ขอบคุณมากๆ ”

เขาได้ยืนขึ้นพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาอย่างจริงจัง

ในหนึ่งเดือนมานี้ให้ความรู้สึกเสมือนว่าเขาได้เปิดเส้นทางใหม่ขึ้นเลยก็ว่าได้

 

 

 


ตอนที่ 1365

 

ประโยชน์จากพลังแห่งความเชื่อนั้นยิ่งใหญ่กว่าพลังทั้งปวงถึงขั้นที่เรียกได้ว่าจะเป็นพลังให้กับเส้นทางการบ่มเพาะของเขาอย่างมาก

ดังนั้นแล้วเขาถึงได้รู้สึกขอบคุณพระสันตะปาปาอย่างจริงใจ

“สหาย ไม่ต้องสุภาพไปหรอก ”

พระสันตะปาปาส่ายศีรษะก่อนที่จะยืนขึ้นด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมาพร้อมทั้งพูดว่า

“ข้าเองก็ต้องขอขอบคุณเช่นกัน ในหนึ่งเดือนมานี้ข้าได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมามากมาย ”

ในช่วงหนึ่งเดือนมานี้แม้ว่าเขาจะอธิบายสิ่งต่างๆให้กับหลินเทียนไปมากมายแต่ทางฝ่ายหลินเทียนเองก็ช่วยแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการบ่มเพาะให้เขามากมายโดยที่ไม่ได้หมกเม็ดแม้แต่น้อยทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างใหญ่หลวงถึงขั้นที่สามารถก้าวเดินบนเส้นทางบ่มเพาะในอนาคตได้มั่นคงและไกลขึ้น

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“แค่เพียงความคิดเห็นเล็กน้อยเท่านั้นแหละ หากว่ามันมีประโยชน์ต่อเจ้าข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ”

เขาตอบกลับอย่างนอบน้อมก่อนที่จะสนทนากันอยู่นาน

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกกว่าหกชั่วโมงและมันเป็นตอนที่พวกเขาบอกลากันและกันเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังดินแดนศูนย์กลาง

“ลาก่อน ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของเจ้า ”

พระสันตะปาปาส่งเสียงออกมา

หลินเทียนพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งโบกมือให้แล้วจากไปพร้อมๆกับคนอื่นๆ

พระสันตะปาปาได้แต่มองไปทางหลินเทียนก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแล้วหัวหลังเดินจากไป

……..

หลินเทียนและพระสันตะปาปาได้แยกทางกันตรงนี้ขณะที่เขาเดินนำทางคนอื่นๆกลับไปยังดินแดนศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว

ตัวเขาไม่ได้เหาะไปทว่ากลับเดินเท้ากลับโดยผ่านภูเขาและแม่น้ำระหว่างทางไปมากมาย

“พลังแห่งความเชื่อ ”

ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมา

เป็นเพราะว่ามันคือพลังที่ลึกลับและน่าทึ่งอย่างมาก

เขาเริ่มคิดว่าเขาควรจะเริ่มจัดการเกี่ยวกับพลังเหล่านี้

แม้ว่ามันจะไม่ใช่พลังหลักของเขาแต่ก็เป็นส่วนช่วยผลักดันได้มาก

“ท่านอาจารย์ ท่านอยากจะสร้างขุมพลังเพื่อเก็บเกี่ยวความเชื่อและผู้ศรัทธา ? ”

เซียนเซียนนั้นเป็นเด็กที่ฉลาดมากๆดังนั้นหลังจากที่เห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงได้ถามออกมา

หลินเทียนพยักหน้าของเขาโดยที่ไม่ปิดบังอะไรพร้อมกับตอบว่า

“อื้ม ”

“งั้นก็ดีไปเลย ! ท่านรีบก่อตั้งขุมพลังขึ้นมาเลย ไม่นานจะต้องสามารถก้าวข้ามขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน ”

เซียนเซียนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างมาก

หลินเทียนที่ได้ยินเช่นนี้ก็อดเผยยิ้มออกมาไม่ได้

เป็นเพราะว่าสำนักนิรันดร์ที่เขาก่อตั้งขึ้นมันแข็งแกร่งกว่าขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นพันเป็นหมื่นเท่าอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามหากว่าวัดกันเรื่องพลังแห่งความเชื่อนั้นสำนักนิรันดร์ของเขายังห่างชั้นกันอยู่มากเพราะถึงอย่างไรทางเขาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพลังแขนงนี้

“การก่อตั้งขุมพลังมันเป็นเรื่องง่ายๆทว่าสิ่งสำคัญคือการโฆษณาและชักชวนผู้ศรัทธา ”

หลินเทียนตอบกลับไป

เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับมาได้ง่ายๆ สิ่งที่สำคัญคือการโฆษณาเป็นวงกว้างที่ต่อให้ขุมพลังยิ่งใหญ่ขนาดไหนแต่หากว่ามันไม่ฝังลงไปภายในรากลึกของจิตใจแล้วก็ไม่มีทางเลยที่จะได้รับพลังแห่งความเชื่อนี้มา

เขาเคยได้รับพลังเหล่านี้มาสองครั้งในดินแดนสวรรค์สิบชั้นซึ่งครั้งแรกเกิดจากการที่เขาหยุดยั้งหายนะและครั้งที่สองคือตอนที่เขาทำลายม่านพลังไปยังสวรรค์ชั้นที่สิบซึ่งถือได้ว่าเป็นการทำประโยชน์แก่ส่วนรวมครั้งยิ่งใหญ่ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขา

“การที่จะรวบรวมพลังแห่งความเชื่อนี้จะต้องโฆษณาอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ศรัทธาถือกำเนิดขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น”

สิ่งที่เขาพูดคือส่วนสำคัญที่สุดของมัน

“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะท่านอาจารย์ ! หลังจากที่ท่านก่อตั้งขุมพลังเสร็จแล้วก็ยกหน้าที่โฆษณาให้กับเซียนเซียนได้เลย ขุนเขาสีครามของเรามีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายดังนั้นศิษย์สามารถดึงเอาพวกเขามาช่วยโฆษณาไปทั่วทุกมุมโลกได้”

เซียนเซียนพูดออกมาพลางกำหมัดอย่างตื่นเต้น

พยัคฆ์ขาวที่อยู่ข้างๆเองก็ได้ส่งเสียงออกมาว่า

“ใช่เจ้าหนู แม่หนูจิ้งจอกนี้สามารถทำได้อย่างแน่นอน ”

หลินเทียนได้หันไปทางมันก่อนที่จะพูดว่า

“ข้าขอคิด………..”

เขาได้พยักหน้าออกมาก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมากถึงขั้นที่ผงะไปพร้อมทั้งหันมองออกไป

เป็นเพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังที่ไม่ธรรมดาในทิศทางนั้น

“มีอะไร ? ”

พยัคฆ์ขาวถามออกมา

เซียนเซียนเองก็มองมาทางเขาด้วยท่าทางที่สงสัยไม่แพ้กัน

“ทางตะวันออกเฉียงใต้มีบางสิ่งที่พิเศษอยู่ ”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะเบิกเนตรแห่งสัจธรรมแล้วมองออกไป

มันเป็นการผันผวนที่ทำให้เขารู้สึกเสมือนว่ามันเป็นสมบัติที่เกิดขึ้นในยุคบรรพกาลเลยก็ว่าได้

“ไปตรวจสอบกันหน่อย ”

เขาพูดออกมาก่อนที่จะฉีกมิติตรงหน้าออกแล้วก้าวออกไปพร้อมๆกัน

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นภายในสถานที่แห่งหนึ่ง

“ซึ้มมม ~~ !”

เสียงน้ำกระเซ็นถูกส่งออกมาขณะที่เกลียวคลื่นซัดออกไปรอบทิศทาง

เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับพื้นที่ทะเลสีครามที่มีสายลมอ่อนๆพัดผ่าน

หลินเทียนที่มาถึงที่นี่พร้อมกับอีกสองคนได้หันมองออกไปพร้อมสัมผัสได้ถึงการผันผวนที่รุนแรงขึ้นก่อนที่จะพบว่ามันถูกส่งออกมาจากภายใต้ส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้

“นี่มัน……..สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ”

เซียนเซียนที่กำลังมองออกไปถึงกับผงะไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมาก

“ข้าพอจำได้ว่ามันมีอยู่ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลแล้ว รู้สึกว่าจะเป็นดินแดนต้องห้ามถ้าจำไม่ผิด ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา

“เป็นดินเดนต้องห้าม”

เซียนเซียนพูดออกมาพลางพูดต่อว่า

“มันเรียกได้ว่าเป็นสถานที่อันตายที่คร่าชีวิตของมนุษย์ธรรมดาไปมากมายถึงขนาดที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลที่มาที่นี่เองก็ยังถูกกลืนกินไปในพริบตาโดยที่ไม่มีใครรู้เหตุผลเลยด้วยซ้ำ ”

หลินเทียนหันมองลงไปซึ่งตัวเขาเองก็รู้จักมันตั้งแต่สมัยที่เคยอยู่บนโลกใบนี้มาแล้วว่ามันเป็นสถานที่ๆมีพลังพิเศษสามารถดูดเรือทั้งลำลงไปโดยที่แม้แต่วิทยาศาสตร์เองก็ไม่สามารถอธิบายได้แต่ไม่คิดเลยว่าเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลก็ยังถูกดูดลงไป

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้สนใจข่าวลือเหล่านี้แม้แต่น้อยพลางเบิกเนตรแห่งสัจธรรมขึ้นมาพร้อมทั้งจ้องมองลงไป

“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ ”

เขาพูดออกมาพลางก้าวออกไป

เซียนเซียนได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาว่า

“ท่านอาจารย์ ท่านคิดจะลงไป ? ลงไปทำอะไร ? มันอันตรายมากๆนะ ! ”

นางรู้ดีว่าหลินเทียนนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถสังหารเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าได้ก็จริงทว่าสถานที่แห่งนี้มันสถานที่ๆอันตรายอย่างมากทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้

“ไม่ต้องกังวลไป ”

หลินเทียนตอบกลับไป

เป็นเพราะว่าการผันผวนที่ส่งออกมาจากใต้ทะเลลึกมันดึงดูดความสนใจของเขามากๆดังนั้นถึงได้อยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

เขาให้ทั้งสองคนรออยู่ด้านบนพร้อมทั้งดำลึกลงไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานเขาก็ได้พบกับแหล่งแสงที่อยู่เบื้องล่าง

เขาปกป้องร่างกายเอาไว้ด้วยประกายแสงสีทองขณะที่ดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ

พริบตาคลื่นพลังอันหนักหน่วงก็ได้อัดกระแทกเข้ากับม่านพลังสีทองของเขาทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเสมือนว่าเป็นฝ่ามือของยมโลกที่กำลังคว้าเข้าใส่เขา

“เปรี้ย ! ”

ม่านพลังสีทองส่งเสียงปริแตกออกมาก่อนที่รอยแตกร้าวจะแผดขยายออกไปรอบทิศทาง

สีหน้าของเขาได้แต่เปลี่ยนไปก่อนที่จะผงะไป

ต้องรู้ก่อนนะว่าตอนนี้เขาอยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิว่างเปล่าตอนต้นดังนั้นม่านพลังป้องกันนี้ไม่มีทางเลยที่จะสามารถทำลายลงได้ง่ายๆทว่าตอนนี้คลื่นพลังที่ส่งออกมาจากใต้ทะเลกลับสามารถทำลายมันลงได้ในพริบตา

มันเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

เขาได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนที่จะหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อสร้างม่านพลังขึ้นมาอีกครั้งแต่มันก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและปริแตกอีกครั้ง

มันยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้นกว่าเก่าเพราะว่าคลื่นพลังใต้น้ำนี้มันทรงพลังถึงขั้นที่สามารถสังหารจ้าวสวรรค์ลงได้ง่ายๆอย่างแน่นอน

“เป็นอาณาเขตสังหารที่ทรงพลังอย่างมาก ”

เขาพึมพำอยู่ภายในใจ

ตัวเขาที่เชี่ยวชาญทักษะฝังมังกรนั้นได้กวาดสายตาออกไปรอบๆก่อนที่จะพบว่าคลื่นพลังอันหนักหน่วงนี้เกิดจากอาณาเขตอันน่าสะพรึงกลัว

แถมภายในอาณาเขตนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับกลิ่นอายบรรพกาลที่เขาสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง

 

 

 


ตอนที่ 1366

 

คลื่นพลังอันหนักหน่วงส่งออกมาจากพื้นที่ด้านใต้ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าทำให้ม่านพลังของเขาปริแตกอย่างต่อเนื่องเสมือนว่าต้องการจะบดขยี้ร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ

คิ้วของหลินเทียนขมวดเข้าหากันอย่างมากพร้อมทั้งโบกมือส่งตรามังกรมากมายออกมาปกป้องร่างกายเอาไว้

การปรากฏตัวของตรามังกรนี้ช่วยลดแรงกดดันที่เขาได้รับลงอย่างมาก

เพราะถึงอย่างไรแล้วตรามังกรเหล่านี้ก็มีคุณสมบัติแบบเดียวกันกับอาณาเขตเหล่านี้

หลินเทียนอาศัยตรามังกรของเขาปกป้องร่างกายเอาไว้ขณะที่ดำดิ่งลึกลงไปมากขึ้นๆพร้อมทั้งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้ดวงวิญญาณของเขาต้องสั่นสะท้าน

“หากว่าไม่ได้เป็นเพราะว่าเชี่ยวชาญทักษะฝังมังกรแล้วต่อให้เป็นจักรพรรดิว่างเปล่าตอนปลายก็คงไม่มีทางต่อต้านคลื่นพลังนี้ได้แน่ๆ ”

หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง

อาณาเขตสังหารนี้มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

ทักษะฝังมังกรหมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะดำดิ่งลงไปถึงก้นของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอย่างแท้จริง

เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับเศษซากท้องเรือรวมถึงโครงกระดูกของมนุษย์และสัตว์มากมาย

“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ถูกสูบลงมาจากเบื้องบน ”

เขาพึมพำออกมา

เป็นเพราะว่าแรงดึงดูดในจุดนี้มันรุนแรงถึงขึ้นที่ให้ความรู้สึกเสมือนสามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่ง

หากว่าเขาไม่ได้เชี่ยวชาญทักษะฝังมังกรก็คงจะถูกบดขยี้จนแหลกสลายหายไปนานแล้ว

“ด้วยระดับพลังของเราในตอนนี้และทักษะฝังมังกรน่าจะอยู่ได้ประมาณสองชั่วโมงเท่านั้น”

เขาพึมพำออกมา

ตัวเขายืนอยู่ด้วยสีหน้าที่จริงจังอย่างมากขณะที่ทักษะฝังมังกรหมุนวนอยู่ภายในร่างพร้อมทั้งแผดตรามังกรออกไปรอบทิศทางเพื่อค้นหากลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ให้เร็วที่สุด

เป็นเพราะว่าเขาตระหนักได้ดีว่ามันจะต้องไม่ใช่อะไรธรรมดาๆอย่างแน่นอน

“บึ้สส ! ”

ตรามังกรส่องสว่างออกมาเสมือนดั่งมังกรที่เวียนว่ายออกไปรอบทิศทางพร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ

ไม่นานเมื่อถึงตอนที่ตรามังกรของเขาได้เวียนว่ายออกไปไกลมากๆแล้วก็เกิดการตอบสนองบางสิ่งที่ทำให้ใต้ทะเลลึกสั่นไหวพร้อมทั้งมีฟองอากาศระเบิดออกมา

โขดหินที่อยู่ใต้ก้นทะเลแหลกสลายเสมือนว่าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมๆกับกลิ่นอายที่พวยพุ่งออกมาอย่างเข้มข้น

“พบแล้ว ! ”

ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาพร้อมทั้งก้าวเข้าใกล้ขณะที่ใช้ตรามังกรปกป้องร่างกายเอาไว้

พริบตาเขาก็เข้าไปใกล้โขดหินที่แหลกสลายนั้นก่อนที่จะหันมองไปรอบๆพร้อมทั้งพบกับคริสตัลสีม่วงที่ส่องประกายแสงเจิดจรัสอันอบอุ่นออกมา

กลิ่นอายเก่าแก่ที่เขาสัมผัสได้นี้ถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง

“นี่มัน…….คริสตัลโกลาหลบรรพกาล ?! ”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยทันที

เป็นเพราะว่าก่อนที่โลกจะถูกสร้างขึ้นนั้นทุกสิ่งล้วนเกิดจากความโกลาหลซึ่งเพียงแค่เศษเสี้ยวกลิ่นอายของมันก็เพียงพอจะบดทำลายทุกสิ่งและหากว่ามันมีน้ำหนักมากๆก็จะถูกรียกว่ากลิ่นอายโกลาหลซึ่งคริสตัลนี้เกิดจากการรวมตัวกันของกลิ่นอายเหล่านี้

มันคือวัตถุดิบหลอมอาวุธชั้นเลิศ !

“นี่มัน…..”

หลินเทียนได้แต่โง่งมไปทันทีเพราะเขาเองก็เคยอ่านเกี่ยวกับข้อมูลของมันมาจากบันทึกเก่าแก่ภายในสวรรค์สิบชั้นแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นกับตาตัวเองบนโลกใบนี้

มันเป็นสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ถึงขั้นที่ไม่มีทางจะหาดูได้ง่ายๆ

การที่หลอมอาวุธขึ้นจากมันจะทำให้อาวุธนั้นให้กำเนิดตราเทวะขึ้นด้วยตัวมันเอง

แถมอาวุธนี้มันยังสามารถวิวัฒนาการไปได้เรื่อยๆไม่ต่างจากเปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันมีขีดจำกัด

หลินเทียนได้แต่มองไปทางมันด้วยดวงตาที่ส่องประกายเจิดจรัสออกมา

เป็นเพราะว่าเขาได้พบสุดยอดสมบัติบนโลกใบนี้ !

“ต้องพูดว่าสมแล้วจริงๆที่เคยถูกเรียกว่าดาวจักรพรรดิทางช้างเผือก ไม่คิดเลยว่าจะให้กำเนิดสมบัติชนิดนี้ได้ ! ”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา

เขาได้แต่มองไปทางมันพร้อมทั้งพยายามรวบรวมสติของตัวเองอีกครั้งพร้อมทั้งก้าวเดินออกไป

ไม่นานเขาก็ได้เข้าไปใกล้มันพร้อมทั้งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเสมือนว่ามีภูเขากำลังกดทับลงที่ร่างของเขาทำให้ร่างกายของเขากำลังจะแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ

นี่ทำให้เขายิ่งตระหนักได้ถึงความวิเศษของมันส่งผลให้ดวงตาของเขายิ่งเปล่งประกายออกมา

เขายกมือทั้งสองขึ้นพร้อมทั้งส่งถ่ายพลังทั้งหมดออกไปเพื่อสังเวยทักษะฝังมังกรออกมารายล้อมคริสตัลนี้เอาไว้

ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงและมันเป็นตอนนี้เองที่ตรามังกรได้ยับยั้งแรงกดดันแทบทั้งหมดของมันก่อนที่เขาจะเก็บมันเอาไว้ภายในโลกใบเล็กของตัวเอง

วินาทีนี้เองที่แรงกดดันอันหนักหน่วงได้สลายหายไปอย่างฉับพลัน

“อาณาเขตสังหารพวกนี้ก่อตัวขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาลจริงๆด้วย เมื่อเคลื่อนย้ายมันแล้วอาณาเขตก็จะสลายตัวเองโดยทันที ”

หลินเทียนพึมพำอยู่ในใจ

เป็นเพราะเขาได้คิดเอาไว้ก่อนแล้วว่ากลิ่นอายที่อาณาเขตสังหารนี้ส่งออกมามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอน

เขาได้กวาดสายตาออกไปรอบๆและหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มเดินทางกลับขึ้นไปสู่ผิวน้ำอีกครั้ง

ไม่นานตัวเขาก็กลับขึ้นมาเหนือน่านน้ำอีกครั้ง

“ท่านอาจารย์ ! ”

เซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปได้โบกมือให้กับเขา

พยัคฆ์ขาวเองก็หันมองมาทางเขาเช่นกัน

หลินเทียนหันมองไปทางพวกเขาก่อนที่จะก้าวเดินออกไป

“ก้นทะเลมีอะไรงั้นรึท่านอาจารย์ เมื่อครู่มันเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? ”

เซียนเซียนรีบถามออกมา

“ไม่มีอะไร ค้นพบสมบัติอยู่ก้นทะเล ”

หลินเทียนพูดออกมา

เขารู้ดีว่าการสั่นไหวเมื่อครู่นั้นเกิดจากการที่ตรามังกรของเขาได้สัมผัสเข้ากับคริสตัลโกลาหลบรรพกาล

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ”

เซียนเซียนถอนหายใจออกมา

พยัคฆ์ขาวที่อยู่ข้างๆได้ถามออกมาว่า

“แล้วพบสมบัติอะไรกัน ? ”

สำหรับหลินเทียนแล้วนั้นเขาไม่ได้เห็นสมบัติสวรรค์อยู่ในสายตาด้วยซ้ำดังนั้นถึงได้รู้สึกสงสัยอย่างมากว่าอะไรกันที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติในสายตาของหลินเทียน ?

“แร่ล้ำค่า ”

หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เขารู้สึกมีความสุขอยู่ภายในใจพร้อมทั้งเปิดโลกใบเล็กออกและหยิบเอาคริสตัลโกลาหลบรรพกาลออกมา

พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนๆได้แต่จ้องมองไปทางมันด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมาก

“นี่มัน…..นี่……….”

พยัคฆ์ขาวอุทานออกมา

“คริสตัล…..โกลาหลบรรพกาลในตำนาน ?! ”

เซียนเซียนส่งเสียงออกมา

แน่นอนว่าพวกเขาล้วนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมันมาก่อน

หลินเทียนพยักหน้าของเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งปิดโลกใบเล็กของเขา

“เหตุผลที่สถานที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนต้องห้ามก็เพราะว่าอาณาเขตสังหารได้ก่อตัวขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาล หลังจากนี้มันจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง ”

เขาพูดออกมา

เป็นเพราะว่าการที่เขาเอาคริสตัลโกลาหลบรรพกาลออกมาด้วยนั้นทำให้อาณาเขตสังหารได้พังทลายลง

ในอนาคตมันจะกลับมาเป็นสถานที่ธรรมดาๆอย่างที่ควรจะเป็น

พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนได้แต่ผงะไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงอย่างมาก

“ท่านอาจารย์จะโชคดีเกินไปไหม ?! นี่น่ะมันวัตถุดิบทำอาวุธชั้นเลิศเลยนะ ! ”

เซียนเซียนได้แต่อ้าปากค้าง

เป็นเพราะว่าคริสตัลนี้เกิดจากการก่อตัวขึ้นของกลิ่นอายโกลาหลที่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญได้แต่ฝันถึงและเป็นเพราะว่ามีคนบางคนค้นพบมันขนาดเท่าหัวนิ้วมือจึงก่อให้เกิดมหาสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทว่าตอนนี้หลินเทียนกลับพบคริสตัลนี้แถมยังมีขนาดเท่ากับกำปั้น

นี่มันเป็นความโชคดีขนาดไหนกัน ?!

“เป็นเพราะว่าเป็นคนดีไงล่ะถึงได้มีโชคที่ดี ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

เขาไม่ได้ถ่อมตัวในเรื่องนี้เพราะตั้งแต่บ่มเพาะมาเขาก็มักจะเป็นคนที่โชคดีเสมอ

หลังจากนั้นก็หันมองออกไปทางทั้งสองคนแล้วหันหลังเหาะออกไปทางดินแดนศูนย์กลางต่อไป

ไม่นานพวกเขาก็ได้ไปถึงอาณาเขตของดินแดนศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว

“ท่านอาจารย์แล้วเราจะทำอะไรกันต่อ ? ก่อตั้งขุมพลังกันเถอะ ! หลังจากนั้นเซียนเซียนก็จะออกไปโฆษณาเพื่อเพิ่มผู้ศรัทธาให้แล้วขุมพลังของเราจะกลายเป็นขุมพลังอันดับหนึ่ง ! “

เซียนเซียนกำหมัดเอาไว้แน่นพร้อมทั้งแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมา

“เรื่องนั้นค่อยว่ากันก่อน ข้าจะทำเรื่องอื่นก่อนแล้วค่อยก่อตั้งขุมพลังหลังจากนั้น ”

หลินเทียนพูดออกมา

เป็นเพราะว่าได้รับคริสตัลนี้มาแล้วดังนั้นเขาถึงได้คิดจะหลอมมันขึ้นมาเป็นอาวุธวิญญาณของเขา

 

 

 


ตอนที่ 1367

 

เป็นเพราะว่าคริสตัลโกลาหลบรรพกาลนั้นเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่งโดยที่ถือว่าเป็นสมบัติที่เหมาะแก่การนำมาหลอมเป็นอาวุธโดยที่ไม่มีวัสดุไหนเทียบเคียงได้ดังนั้นในเมื่อเขาได้รับมันมาแล้วก็อยากจะเอามันไปหลอมเป็นอาวุธโดยทันที

เขาได้หันไปพูดกับทั้งสองคนก่อนที่จะเหาะออกไปยังสันเขาแห่งหนึ่ง

เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับต้นไม้มากมายที่เหี่ยวเฉาเป็นส่วนใหญ่แถมพื้นดินเองก็ยังแตกระแหงอยู่รอบทิศทาง

“ท่านอาจารย์มาที่นี่ทำไมกัน ? ”

เซียนเซียนได้ถามออกมา

“หลอมอาวุธ ”

หลินเทียนได้ตอบกลับไป

หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้เปิดโลกใบเล็กของตัวเองเพื่อหยิบเอาวัตถุดิบออกมาอย่างรวดเร็ว

คริสตัลโกลาหลบรรพกาลขนาดเท่ากำปั้นรายล้อมไปด้วยตรามังกรมากมายส่องประกายแสงเจิดจรัสสีม่วงออกมาเสมือนว่าเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆก็สามารถบดขยี้ขุนเขาได้อย่างง่ายดาย

“นี่แหละคือมรดกอย่างแท้จริง หากว่าหลอมขึ้นด้วยเจ้าสิ่งนี้แล้วต่อให้แหลกเป็นเสี่ยงๆก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ง่ายๆ ”

ดวงตาของพยัคฆ์ขาวส่องประกายออกมาโดยทันที

เป็นเพราะว่าหากอาวุธธรรมดาถูกทำลายลงนั้นก็ยังต้องใช้เวลาและสังเวยแก่นชีวิตและดวงวิญญาณของผู้ใช้เพื่อฟื้นฟูดังนั้นจึงได้ไม่เท่าเสียทว่ามันต่างออกไปกับคริสตัลโกลาหลบรรพกาลนี้เพราะแม้ว่ามันจะก่อตัวขึ้นจากกลิ่นอายโกลาหลทำให้แทบจะไม่มีอะไรสามารถทำลายมันได้และต่อให้มันถูกทำลายก็สามารถฟื้นฟูตัวเองดือย่างรวดเร็วโดยที่ไม่จำเป็นต้องสังเวยดวงวิญญาณหรือแก่นชีวิตแม้แต่น้อย นี่ทำให้มันถูกเรียกว่าเป็นอาวุธมรดกเลยก็ว่าได้

“พวกเจ้าถอยห่างออกไปหน่อย ”

หลินเทียนหันมองไปทางเซียนเซียนและพยัคฆ์ขาว

เป็นเพราะตอนนี้เขาต้องเริ่มการหลอมอาวุธขึ้นแล้วซึ่งในระหว่างนี้จำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดไปกับมันและไม่มีเวลาพอที่จะให้ความสนใจกับทั้งสองคนนี้ซึ่งการที่พวกเขาอยู่ใกล้เกินไปก็อาจจะไม่สามารถต้านทานกลิ่นอายของมันได้

ทั้งสองคนเองก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบพากันถอยห่างออกไป

หลินเทียนที่เห็นว่าพวกเขาถอยห่างออกไปไกลแล้วก็ได้สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเริ่มลบล้างตรามังกรทั้งหลายออกไป

“เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเองก่อนที่จะส่งความคิดออกไปทำให้เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ลุกโชนขึ้น

มันคือเปลวเพลิงเทวะที่แข็งแกร่งอย่างมากก่อนที่จะโอบตัวคริสตัลนี้เอาไว้

และในเวลาเดียวกันนี้เองที่ตรามังกรเริ่มสลายหายไป

ทันใดนั้นเองที่เกิดเสียงระเบิดขึ้นมาอย่างดังขณะที่กลิ่นอายอันทรงพลังไหลทะลักออกไปรอบทิศทางทำให้มิติแห่งนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง

“นี่มัน…….”

พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปได้แต่แข็งค้างไป

“นี่มัน…..น่ากลัวเกินไปแล้ว ! ”

เซียนเซียนเองก็ได้แต่คอหดอยู่กับที่

เป็นเพราะก่อนหน้านี้หลินเทียนได้ผนึกกลิ่นอายของมันเอาไว้ทำให้พวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันรุนแรงของมันมากนักทว่าหลังจากที่หลินเทียนได้ปลดปล่อยตรามังกรแล้วกลิ่นอายที่ไหลทะลักออกมาก็อดทำให้พวกเขารู้สึกขนหัวลุกไปไม่ได้

เป็นเพราะว่ากลิ่นอายที่รายล้อมมันเอาไว้ช่างทรงพลังเหลือเกินและแม้พวกเขาจะอยู่ห่างออกไปไกลหลายกิโลเมตรทว่าก็ยังรู้สึกเสมือนว่าร่างกายกำลังจะแหลกสลายหายไปอยู่ดี

“บึ้สสส ! ”

เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ได้ส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่คริสตัลโกลาหลบรรพกาลจะเริ่มผสานเข้ากับมัน

เป็นเพราะว่าสิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำคือการหลอมละลายมัน

แต่แน่นอนว่าด้วยความที่มันมีความแข็งอย่างมากดังนั้นการจะหลอมมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยและต่อให้ใช้เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ด้วยระดับพลังของเขาแล้วก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เวลามากๆ

นี่ทำให้เขาหมุนวนเปลวเพลิงอยู่อย่างเต็มกำลังขณะที่เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสามเดือนเต็มซึ่งสามเดือนมานี้เขาก็สามารถทำให้มันหลอมละลายได้เสียที

เมื่อมองออกไปยังของเหลวสีม่วงตรงหน้าที่ไม่มีสิ่งสกปรกอะไรผสมอยู่แล้วมันให้ความรู้สึกที่ดูงดงามเป็นอย่างมาก

“ขนาดใช้เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ก็ยังกินเวลาไปถึงสามเดือนเต็ม ! ”

พยัคฆ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปได้ส่งเสียงออกมา

เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอจะอธิบายได้ถึงความไม่ธรรมดาของมันแล้ว

“ไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์คิดจะหลอมอาวุธแบบไหนกัน ”

ดวงตาของเซียนเซียนจับจ้องอยู่กับภาพเบื้องหน้า

เป็นเพราะว่าอาวุธในโลกนี้มีอยู่มากมายหลายแขนงไม่ว่าจะเป็น ดาบ กระบี่ ง้าว กระบอก เตาพลังวิญญาณและอื่นๆอีกมากมายหลายชนิดดังนั้นถึงได้รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

“บึ้สส ! ”

เปลวเพลิงหยางยังคงส่องประกายแสงสีทองโชติช่วงอยู่อย่างต่อเนื่อง

ของเหลวสีม่วงที่ผสมผสานไปด้วยเปลวเพลิงนี้ให้ความรู้สึกที่งดงามเป็นอย่างมาก

หลินเทียนที่กำลังจ้องมองไปทางมันเองก็ตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

เป็นเพราะว่าเขาคิดจะใช้มันหลอมขึ้นมาเป็นเจดีย์ !

มันเป็นสิ่งที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายโปรดปรานตั้งแต่อดีตเพราะสามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านการโจมตีและการสยบศัตรู

“หล่อหลอม ! ”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะส่งเสียงออกมาเบาๆ

เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ของเขายิ่งแผดกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมาขณะที่หน้าผากส่องประกายแสงพร้อมๆกับเริ่มการหล่อหลอมและบีบอัดของเหลวทั้งหลายขึ้นเป็นรูปทรงอาวุธ

“บึ้สส ! ”

กลิ่นอายสีม่วงแผดขยายออกไปรอบทิศทางขณะที่แสงสะท้อนส่องประกายไปทั่ว

ไม่นานกลิ่นอายอันทรงพลังก็ได้พวยพุ่งออกมาส่งผลให้มิติโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงเสมือนว่าทุกสิ่งกำลังจะถูกบดขยี้ไป

“นี่มัน…..คือคริสตัลโกลาหลบรรพกาล ขนาดยังไม่เสร็จสมบูรณ์กลับยังสามารถส่งกลิ่นอายขนาดนี้ออกมาได้ ! ”

พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนที่อยู่ห่างออกไปได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์สั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่หลินเทียนกำลังตั้งใจอยู่กับการบีบอัดมันอย่างเต็มที่

หลังจากนั้นเขาก็ได้เบิกเนตรแห่งสัจธรรมขึ้นมาพร้อมทั้งตั้งใจสังเกตทุกความเปลี่ยนแปลงของมัน

ตู้มมม !

ประกายแสงที่ส่งออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่พลังของมันจะพุ่งสูงถึงจุดสูงสุด

“กลิ่นอายระดับนี้มันก้าวข้ามระดับอาวุธสวรรค์ตอนปลายไปแล้ว ! ”

สายตาของพยัคฆ์ขาวหดเล็กลงโดยทันที

ความจริงที่ว่าแม้อาวุธของหลินเทียนยังไม่ก่อรูปขึ้นมาแต่พลังทำลายที่มันส่งออกมาไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธสวรรค์ตอนปลายเลยด้วยซ้ำนี้ทำให้มันได้แต่ใจสั่นไปเพราะกลิ่นอายที่รุนแรงขนาดนี้แล้วหากว่ามันเสร็จสมบูรณ์แล้วจะทรงพลังขนาดไหนกัน ?

เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์ก็ยังคงส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาอย่างต่อเนื่อง

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่า 14 ชั่วโมงเต็ม

“บีบอัดขึ้นรูป ! ”

น้ำเสียงนี้ถูกส่งออกมาจากปากของหลินเทียน

ไม่นานเปลวเพลิงที่ทรงพลังก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกก่อนที่คลื่นพลังอันหนักหน่วงจะระเบิดออกมา

มันทำให้สันเขาแห่งนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีทองอร่ามขณะที่ประกายแสงสีม่วงระเบิดออกไปรอบทิศทางและเผยให้เห็นรูปลักษณ์ของมัน

มันเป็นเจดีย์สีม่วงเก้าชั้นที่มีความใสบริสุทธิ์ไม่ต่างจากน้ำรายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาเสมือนว่าสามารถสยบได้ทุกสรรพสิ่ง

เจดีย์นี้ให้ความรู้สึกที่หนักหน่วงไม่ต่างจากห้วงจักรวาลส่งผลให้มิติโดยรอบปริแตกโดยทันที

“ดีมาก ! ”

ดวงตาของหลินเทียนส่องประกายออกมาเพราะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมันดีว่ามันสามารถทำลายได้แม้กระทั่งห้วงจักรวาล

ทั้งสองคนที่อยู่ห่างออกไปต่างพากันผงะไปเพราะพวกเขาเองก็ตกตะลึงไปกับกลิ่นอายของมัน

“สมบูรณ์แล้วงั้นรึเจ้าหนู ? ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา

“ยังขาดอยู่นิดหน่อย ”

หลินเทียนพูดออกมา

เขาได้มองออกไปทางมันก่อนที่จะแย่งดวงวิญญาณและแก่นโลหิตของตัวเองออกไปผสานเข้ากับมันพร้อมทั้งเปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์หล่อหลอมมันอีกครั้ง

เป็นเพราะสิ่งที่เขากำลังจะหลอมคืออาวุธวิญญาณของตัวเองดังนั้นจึงจำเป็นต้องสังเวยดวงวิญญาณและแก่นพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้กับมันเพื่อให้มันสามารถวิวัฒนาการไปพร้อมๆกับเขาได้

อีกอย่างมันก็ถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุชั้นเลิศอย่างคริสตัลโกลาหลบรรพกาลดังนั้นมันจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาและหากว่าเขายังไม่ตายมันก็จะไม่ถูกทำลายเด็ดขาด

“บึ้สสส ~! ”

สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูสุขุมอย่างมากขณะที่เปลวเพลิงหล่อหลอมมัน

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกกว่าหนึ่งเดือนเต็ม

ตู้มมม !


วันนี้มันเป็นวันที่กลิ่นอายอันหนักหน่วงได้ระเบิดออกมาทำให้โลกทั้งใบสั่นไหวอย่างรุนแรง

เปลวเพลิงได้สลายหายไปก่อนที่เจดีย์นี้จะล่องลอยเข้ามาอยู่เหนือศีรษะของเขาส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาปกคลุมร่างของเขาเอาไว้

หลินเทียนมองกลับขึ้นไปด้วยความรู้สึกที่ใกล้ชิดเสมือนว่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของเขา

หลังจากนั้นเขาก็ได้โบกมือและส่งความคิดออกไปทำให้มิติโดยรอบสลายหายไปพร้อมแปรเปลี่ยนกลายเป็นห้วงความโกลาหลขณะที่เจดีย์ขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นหลายสิบเมตรสร้างความรู้สึกที่สามารถสยบได้ทุกสิ่งออกมาก่อนที่จะสั่งให้มันหดและกลับมาอยู่เหนือศีรษะของเขาอีกครั้ง

เพียงแค่ความคิดของเขาก็สามารถควบคุมมันได้ประหนึ่งว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

ทว่าพลังทำลายของมันนั้นเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัวเลยก็ว่าได้

“เยี่ยม ”

ดวงตาของเขาส่องประกายความสุขออกมา

เป็นเพราะว่านี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้

 

 

 


ตอนที่ 1368

 

ประกายแสงสีม่วงรายล้อมเจดีย์นี้เอาไว้พร้อมๆกับอักขระมากมายที่ส่องประกายออกมาด้วยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาส่งผลให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล

หลินเทียนรู้สึกพึงพอใจกับมันมากๆเพราะเขาเชื่อว่าด้วยอาวุธชิ้นนี้แล้วเส้นทางการบ่มเพาะของเขาจะต้องยิ่งสุดยอดขึ้นไปอีก

“ยินดีด้วยค่ะท่านอาจารย์ ! ”

เซียนเซียนที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ส่งเสียงออกมาพลางรีบเหาะเข้ามาใกล้

นางได้แต่มองไปยังเจดีย์เหนือศีรษะของหลินเทียนด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

มันเป็นเพราะว่าเจดีย์เก้าชั้นนี้มันให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามอย่างมาก

พยัคฆ์ขาวที่กำลังเหาะเข้ามาเองก็ได้แต่มองไปทางมันพร้อมทั้งอดส่งเสียงชื่นชมออกมาไม่ได้

ณ ตอนนี้มันรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นระรัว

“น่ากลัวจริงๆ แม้ว่าจะเป็นอาวุธสวรรค์เท่านั้นแต่พลังทำลายของมันเทียบได้พอๆกับอาวุธบรรพบุรุษของจักรพรรดิว่างเปล่าเลยด้วยซ้ำ ! ”

ดวงตาของมันส่องประกายออกมา

หลังจากอาวุธระดับจ้าวสวรรค์ขึ้นไปแล้วยังมีอาวุธระดับบรรพบุรุษ อาวุธวิญญาณสมบัติ อาวุธอนันตกาล อาวุธนิรันดร์ที่แท้จริง อาวุธนิรันดร์ทองคำ อาวุธนิรันดร์ล้ำลึก อาวุธนิรันดร์สวรรค์ อาวุธราชาแห่งนิรันดร์ก่อนที่จะเป็นอาวุธเทวะที่แท้จริงอาวุธบรรพบุรุษเทวะ อาวุธปราชญ์เทวะและอาวุธจักรพรรดิเทวะซึ่งแบ่งออกตามเขตแดนต่างๆ

ตอนนี้แม้เจดีย์ของเขาจะอยู่ในระดับอาวุธสวรรค์ก็จริงทว่าพลังทำลายของมันก้าวข้ามระดับของมันเองแล้วทำให้สามารถต่อกรกับอาวุธบรรพบุรุษได้อย่างแน่นอน

“ถึงอย่างไรมันก็หลอมขึ้นมาจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาล ดังนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ ”

หลินเทียนพูดออกมา

เพราะด้วยพลังทำลายที่รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังนี้แถมยังควบคุมได้ดั่งใจนึกนั้นทำให้เขาชื่นชอบมันอย่างมาก

เซียนเซียนที่อยู่ข้างๆเองก็ได้แต่มองไปทางมันด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเสมือนว่าต้องการจะคว้ามันไปเล่น

“ท่านอาจารย์จะตั้งชื่อมันว่าอะไรรึคะ ? ”

นางถามออกไป

หลินเทียนตอบกลับว่า

“เจดีย์ราชันอมตะ ”

“เป็นชื่อที่น่าเกรงขามมากๆแต่นี่มันสร้างขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาลไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้ตั้งชื่อนี้ ? ”

พยัคฆ์ขาวถามออกมา

เซียนเซียนเองก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเช่นกันเพราะตอนที่นางกำลังถามชื่อออกไปนี้ในสมองของนางก็ปรากฏชื่อเจดีย์บรรพกาลขึ้นมาเช่นกันแต่ไม่คิดเลยว่าหลินเทียนจะตั้งชื่ออื่น

หลินเทียนหันมองไปยังใบหน้าที่สงสัยของพวกเขาทำให้อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้พลางตอบกลับไปว่า

“ข้ายังไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือไงว่าข้าเป็นจ้าวสำนักนิรันดร์มีสถานที่เป็นราชันอมตะดังนั้นอาวุธวิญญาณของข้าถึงได้ชื่อเจดีย์ราชันอมตะไง ”

“อะไรนะ ?! ”

พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

“จ้าวสำนักนิรันดร์ ? ราชันอมตะ ? ”

เซียนเซียนได้แสดงสีหน้าที่สงสัยออกมาพร้อมกับพึมพำออกมาว่า

“ดูเหมือนโลกนี้จะไม่มีขุมพลังชื่อนี้อยู่นะ ”

“ในอดีตเองก็ไม่เคยมี ”

ทั้งสองคนส่งเสียงออกมา

“ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพลางพูดต่อว่า

“มันตั้งอยู่บนดวงดาวเก่าแก่ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากสถานที่แห่งนี้มากๆ ”

“ว่าไงนะ ?! ”

ทั้งสองคนยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีก

“ท่าน…อาจารย์……ท่านหมายความว่า…..ท่านเคยออกจากดาวดวงนี้ไปยังดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาลแล้วก่อตั้งขุมพลังขึ้นที่นั่น ?! ”

เซียนเซียนที่เป็นเด็กมีไหวพริบได้เข้าใจความหมายของเขาโดยทันที

“ก็เกือบทั้งหมดล่ะนะ ”

หลินเทียนตอบกลับ

เมื่อได้ยินคำยืนยันเช่นนี้แล้วทั้งสองก็อดสั่นสะท้านไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นไม่ได้…….หลินเทียนเคยออกจากโลกใบนี้แล้วแถมยังก่อตั้งขุมพลังที่แข็งแกร่งแล้วยังเป็นราชันอมตะของคนเหล่านั้น !

“นี่มัน……”

พวกเขาได้แต่แข็งค้างไป

เป็นเพราะด้วยระดับพลังของหลินเทียนนั้นการจะออกจากโลกใบนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากนักแต่การที่ได้ยินเรื่องที่เขาสามารถก่อตั้งขุมพลังได้นี่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

หลังจากที่ผ่านไปได้สักพักอาการของพวกเขาก็ดีขึ้นก่อนที่จะรู้สึกตื่นเต้นไปกับมันพร้อมทั้งถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของดาวสวรรค์สิบชั้นด้วยความรู้สึกสนใจอย่างมาก

“แบ่งออกเป็นสวรรค์สิบชั้น ทุกชั้นล้วนเป็นโลกอันกว้างใหญ่และหลังจากที่ตัดผ่านสวรรค์ชั้นที่ 10 ไปได้แล้วก็จะออกมาจากโลกใบนั้นได้ ”

หลินเทียนไม่ได้ปิดบังอะไรพร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับดาวสวรรค์สิบชั้นทั้งหมดพลางพูดต่อว่า

“มันเป็นโลกแห่งผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริงที่เต็มไปด้วยขุมพลังอันยิ่งใหญ่มากมายส่งผลให้การต่อสู้ดุเดือนและเข้มข้นมากๆ ”

“สวรรค์สิบชั้น โลกของผู้บ่มเพาะนี่มัน…….”

ทั้งสองคนต่างมีดวงตาเปล่งประกายออกมา

แม้ว่าคำพูดของหลินเทียนจะไม่ได้ลงรายละเอียดขนาดนั้นแต่ก็ยังทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของมัน

“แล้วขุมพลังของท่านอาจารย์แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ? ”

เซียนเซียนได้ถามออกมาด้วยความรู้สึกสนใจ

“ก็งั้นๆแหละ ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุด…..”

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับขุมพลังของตัวเอง

นี่ทำให้ร่างกายของทั้งสองคนอดสั่นสะท้านไปไม่ได้

“กองกำลังกว่าล้านและกายราชันอีกมากมายนี่มัน……….”

พยัคฆ์ขาวได้แต่สูดหายใจเข้าลึกเพราะว่าขุมพลังระดับนี้มันสามารถครองโลกได้เลย ?!

“ขะ……แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ! ”

เซียนเซียนได้แต่โง่งมไปก่อนที่จะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นว่า

“ท่านอาจารย์รีบก่อสร้างสำนักนิรันดร์ในโลกนี้เร็วๆเลย ! ”

เป็นเพราะว่าเมื่อได้ยินคำอธิบายเกี่ยวกับสวรรค์สิบชั้นแล้วมันทำให้นางรู้สึกโหยหามันอย่างมากดังนั้นถึงได้แต่กำหมัดเอาไว้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า

“ได้ ”

เป็นเพราะเขาเองก็ตั้งใจเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะก่อตั้งขุมพลังและเผยแพร่คำสอนเพื่อเพิ่มผู้ศรัทธาสำหรับเก็บเกี่ยวพลังแห่งความเชื่อ

เขาเก็บเอาเจดีย์ราชันอมตะกลับไปก่อนที่จะหันไปพูดกับทั้งสองคนแล้วเหาะจากไป

เป็นเพราะการจะก่อตั้งขุมพลังก็จำเป็นต้องเลือกสถานที่ตั้งที่เหมาะสม

เขาได้นำทั้งสองคนไปจนถึงสถานที่ๆอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก

เมื่อมองดูดีๆแล้วมันจะพบว่าสถานที่แห่งนี้แห้งแล้งอย่างมากถึงขั้นไม่สามารถมองเห็นต้นไม้สีเขียวชอุ่มได้เลยด้วยซ้ำ

“ท่านจะเลือกที่นี่ ? ”

เซียนเซียนถามออกมา

“ใช่ ”

หลินเทียนพยักหน้าของเขา

เป็นเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ของมันนั้นตั้งอยู่ในทิศเหนือของดินแดนศูนย์กลางซึ่งแม้ว่ามันจะดูรกร้างทว่ามันก็เคยเป็นสถานที่ๆเต็มไปด้วยอารยธรรมมาก่อน

“ที่นี่มันดูไม่เหมาะเลยไหมคะ ? มันรกร้างเกินไปพลังฉีก็แทบไม่มีแล้วศิษย์จะบ่มเพาะกันอย่างไรล่ะคะ ? ”

เซียนเซียนถามออกมาพลางพูดต่อว่า

“ยิ่งไปกว่านั้นท่านคิดจะก่อตั้งมันอย่างโจ่งแจ้งโดยที่ไม่คิดจะสร้างมันไว้ในดินแดนลับ ? ”

พยัคฆ์ขาวที่อยู่ข้างๆเองก็หันมองมาทางเขาด้วยสีหน้าแปลกๆเหมือนกัน

เป็นเพราะมันเองก็มีความคิดแบบๆเดียวกันกับเซียนเซียน

หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพลางพูดว่า

“ไม่เป็นไร ต่อให้มันรกร้างแต่วางเส้นชีพจรเทวะลงไปเดี๋ยวมันก็ดีเอง ”

หลังจากที่พูดจบแล้วก็คว้าเอาเส้นชีพจรเทวะที่ชิงเอามาจากสวรรค์สิบชั้นที่เหลืออยู่สามเส้นสุดท้านออกมาทำให้พลังฉีเข้มข้นขึ้นอย่างมากพร้อมพูดต่อว่า

“ส่วนเรื่องบังหน้าก็ไม่จำเป็นเพราะว่าการที่เราจะก่อตั้งขุมพลังก็ควรจะเปิดเผยต่อโลกใบนี้ ”

นี่ทำให้ร่างกายของทั้งสองคนอดสั่นไปไม่ได้ก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา

“เส้นชีพจรเทวะ ?! สามเส้น ?! ”

เซียนเซียนแข็งค้างไปทันที

“นี่มัน………”

พยัคฆ์ขาวเองก็มีอาการที่ไม่ได้ต่างกันมากนัก

เป็นเพราะว่าในมือของหลินเทียนกลับมีสิ่งของที่ล้ำค่าอยู่ขนาดนี้

หลินเทียนได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งหมุนวนทักษะฝังมังกรพลางฉีกพื้นดินออกแล้วฝังมันลงไป

ทันใดนั้นเองที่พลังฉีอันเข้มข้นได้พวยพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อนทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังฉีที่หนาแน่นโดยทันที

มันส่งผลให้ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉากลับมามีชีวิตชีวาและเขียวชอุ่มขึ้นอีกครั้ง

ทั้งสองคนได้แต่มองออกไปด้วยสีหน้าที่โง่งมอย่างมากเพราะสถานที่แห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสรวงสวรรค์ภายในชั่วพริบตาโดยที่ไม่มีสถานที่ไหนในโลกนี้สามารถเทียบเคียงได้

หลินเทียนเผยรอยยิ้มจางๆออกมาพร้อมทั้งโบกมือเรียกเอาสมบัติทั้งหลายที่ได้รับจากการทำลายขุมพลังต่างๆในสวรรค์สิบชั้นออกมาพลางวางสิ่งก่อสร้างลงไปไม่ว่าจะเป็นลานฝึกหรือตำหนักอื่นๆพร้อมทั้งวางข่ายอาคมสังหารออกไปรอบทิศทางโดยที่รับประกันได้ว่าหากไม่ใช่เขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าแล้วก็ไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้

ท้ายที่สุดเขาก็ได้สลักป้ายอักษรเอาไว้หน้าประตูทางเข้าว่า

“สำนักนิรันดร์ ”

“เรียบร้อย ”

เขาพูดออกมา

เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้ว่าสถานที่ๆเคยรกร้างได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่ๆอัดแน่นไปด้วยพลังฉีอันเข้มข้นขณะที่ต้นไม้มากมายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่พร้อมๆกับกลิ่นอายพลังชีวิตที่แผดไปทั่วทิศทาง

สำนักนิรันดร์ได้ก่อตั้งขึ้นภายในดวงดาวที่เคยได้ชื่อว่าเป็นดาวจักรพรรดิทางช้างเผือกแล้ว !

 

 

 


ตอนที่ 1369

 

ตำหนักมากมายเรียงรายกันอยู่รอบทิศทางขณะที่ต้นไม้มากมายเจริญเติบโตขึ้นหลังจากที่ได้รับพลังฉีอันเข้มข้น

“นี่มัน…..ดูมหัศจรรย์จริงๆ ! ”

เซียนเซียนได้ส่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกตกตะลึงถึงขีดสุด

“สุดยอดไปเลย ! ”

พยัคฆ์ขาวเองก็ได้ส่งเสียงออกมาเช่นเดียวกัน

เป็นเพราะมันเองก็ใช้ชีวิตมานานทว่าก็เพิ่งจะเคยได้เห็นอะไรที่มันดูยิ่งใหญ่อย่างตำหนักกว่าร้อยหลังและเส้นชีพจรเทวะกว่าสามเส้นที่เป็นรากฐานของขุมพลัง

“ท่านอาจารย์สุดยอดเกินไปแล้ว ด้วยความยิ่งใหญ่ระดับนี้มันก้าวข้ามขุมพลังทั้งหลายในโลกไปหมดแล้ว ! ”

เซียนเซียนส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

หลินเทียนได้ตอบกลับไปว่า

“อย่าเพิ่งประหลาดใจไปเลย นี่ยังถือว่าธรรมดาๆและเทียบไม่ได้กับสาขาย่อยของสำนักภายในสวรรค์สิบชั้นเลยด้วยซ้ำ ”

เขาโบกมือออกไปพร้อมทั้งสังเวยเอาทรัพยากรบ่มเพาะจำนวนมากออกมาส่งออกไป

ไม่นานเขาได้โบกมือมือฉีกเอาแผ่นไม้มาสร้างเป็นตำราพร้อมทั้งสลักทักษะเทวะและเคล็ดวิชาบ่มเพาะต่างๆลงไปอย่างรวดเร็ว

นับจากนี้ที่นี่จะถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์

“เหลือเพียงแค่การป่าวประกาศให้โลกนี้เท่านั้น ”

หลินเทียนพูดออกมา

“ท่านอาจารย์ยกหน้าที่นี้ให้ข้าเถอะ ข้าจะรีบป่าวประกาศไปทั่วโลกให้เร็วที่สุด ”

เซียนเซียนรีบพูดออกมา

“ไม่ต้องลำบากหรอก ”

หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาพร้อมทั้งพูดว่า

“ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเอง ”

หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ยังคงยืนอยู่กับที่ขณะที่ส่งจิตสัมผัสออกไปรอบทิศทางเพื่อป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปทั่ว

มันเป็นเสียงจิตสัมผัสจากเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ของเขาทำให้สามารถแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกได้อย่างรวดเร็วโดยที่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนลับหรืออื่นๆก็ล้วนได้รับข้อความนี้

มันทำให้ดวงดาวทั้งดวงถึงกับเกิดแรงสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่สีหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

จ้าวขุนเขาต่างๆที่ได้ยินข่าวนี้ถึงกับพากันรีบออกเดินทางอย่างรวดเร็ว

“ที่นี่มัน……..”

เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าที่ดูยิ่งใหญ่และอัดแน่นไปด้วยพลังฉีอันเข้มข้นแล้วพวกเขาต่างพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

“สหายหลินนี่ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะ ”

ผู้อาวุโสสูงสุดขุนเขาคุนหลุนได้ส่งเสียงพลางถอนหายใจออกมา

คนอื่นๆเองก็ต่างส่งเสียงออกมาไม่ต่างกัน

เป็นเพราะว่าพวกเขาเองก็ได้ยินเรื่องที่หลินเทียนเพิ่งก่อขึ้นไม่นานมานี้ดีแต่ไม่คิดเลยว่าไม่กี่เดือนหลังจากนั้นหลินเทียนจะก่อสร้างขุมพลังใหญ่แบบนี้

“ต่อให้เป็นช่วงกาลก่อนก็ยังไม่มีแบบนี้ ”

เหล่าจ้าวขุมเขาทั้งหลายส่งเสียงออกมา

“ไม่ต้องสุภาพเกินไปก็ได้ ”

หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

วันนี้เป็นวันที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกันจากทั่วทุกมุมโลกซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาตามๆกันโดยเฉพาะมนุษย์ธรรมดาที่ไม่รู้จักการบ่มเพาะ

ขนาดที่ว่ากองกำลังทางทหารทั้งหลายเองก็ยังตื่นตัวอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งแห่กันมาที่นี่แต่ก็ต้องล่าถอยกลับไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้าวขุนเขาต่างๆ

เพราะถึงอย่างไรเส้นสายของพวกเขาในโลกนี้ก็มียิ่งใหญ่มากๆ

“ไม่คิดเลยว่าสหายจะก่อตั้งขุมพลังขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้แถมยังเปิดเผยต่อสายตาคนทั้งโลก ”

จ้าวขุนเขาเพ็งไล่ส่งเสียงออกมา

หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“เส้นทางบ่มเพาะนั้นแม้จะยากเย็นแต่ก็เป็นสิ่งที่ดี มันเป็นสิ่งที่คู่ควรกับทุกคนบนโลก ”

นี่ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่หลบซ่อนตัวบ่มเพาะอยู่ภายในดินแดนลับดังนั้นหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนกล้าก่อตั้งขุมพลังอย่างเปิดเผยแบบนี้แล้วก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยแต่เมื่อได้ยินความคิดเห็นของหลินเทียนแล้วก็พบว่าการกระทำของพวกเขาไม่ต่างกับการดูถูกมนุษย์ธรรมดาแม้แต่น้อยเพราะพวกเขาไม่อยากจะให้คนเหล่านี้รู้ถึงการมีอยู่ของตนเองและเกี่ยวข้องกับโลกของพวกเขา

แต่ตัวหลินเทียนนั้นต่างกันออกไปเพราะขุมพลังของเขาถ่ายทอดพลังให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะหรือมนุษย์ธรรมดาก็ตามที

“สหายนี่มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจริงๆ ”

จ้าวขุนเขาทั้งหลายส่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกละอายใจ

แม้ว่าอายุของหลินเทียนจะไม่แก่ไปกว่าพวกเขาแต่ทัศนวิสัยกลับก้าวไกลกว่าพวกเขามากดังนั้นถึงได้รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและทำเพียงแค่ยิ้มตอบเท่านั้น

“ฉันจะเข้าร่วมกับขุมพลังนี้ ! ”

“ได้โปรดให้ฉันได้เข้าร่วมด้วยเถอะ ! ”

“ฉันอยากจะบ่มเพาะ ! ”

ผู้คนมากมายพากันส่งเสียงออกมาด้วยความตั้งใจเข้าร่วมกับสำนักนิรันดแห่งนี้

เพียงแค่วันเดียวสำนักแห่งนี้ก็มีศิษย์นับหมื่นคน

หลินเทียนเองก็ใช้เวลาอยู่กับจ้าวขุมพลังต่างๆก่อนที่วันรุ่งขึ้นพวกเขาจะแยกย้ายกันกลับไป

หลินเทียนออกไปส่งพวกเขาก่อนที่จะยกหน้าที่ทั้งหมดให้กับเซียนเซียนเป็นคนดูแลพร้อมทั้งเก็บตัวพลางเอาร่างกายหยาบของราชันวิหกออกมาเพื่อเริ่มการหล่อหลอม

ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนและมันเป็นวันที่เขาได้ตัดผ่านไปยังเขตแดนจ้าวสวรรค์ตอนปลาย

“อีกแค่ครึ่งก้าวก็ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าได้แล้ว ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะเรียกเซียนเซียนเข้ามา

ช่วงเวลากว่าครึ่งเดือนมานี้เซียนเซียนทำได้อย่างดีมาก

“เซียนเซียน เจ้าเริ่มการเผยแพร่คำสอนของเราได้เลย ”

เขาเรียกนางเข้าพบพร้อมๆกับส่งเจดีย์ราชันอมตะให้กับนางขณะที่ประกายแสงสีม่วงโอบร่างของนางเอาไว้

“เจ้าเอามันติดตัวไปด้วยระหว่างที่เผยแพร่คำสอนแล้วกัน ระหว่างนี้หน้าที่ดูแลสำนักก็ยังคงเป็นของเจ้าเพราะข้าจำเป็นต้องเก็บตัวบ่มเพาะอีกสักระยะ ”

 

 

 


ตอนที่ 1370

 

สำนักนิรันด์ได้ถูกก่อตั้งขึ้นกว่าครึ่งเดือนแล้วแถมยังอยู่ในสภาวะที่คงที่แล้วดังนั้นก็ควรจะเริ่มการเผยแพร่คำสอนได้แล้ว

ระหว่างนี้ระดับพลังของเขาเองก็อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์ตอนปลายแล้วด้วยดังนั้นถึงได้คิดจะเก็บตัวบ่มเพาะเพื่อตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าให้ได้

ก่อนที่จะเก็บตัวบ่มเพาะนี้เขาได้ส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดให้กับเซียนเซียนไป

“ให้ไอ้เสือโง่นั่นเป็นผู้ช่วยของเจ้าแล้วกัน ”

เขาพูดออกมา

“ได้ค่ะท่านอาจารย์ ”

ทางได้พยักหน้าพร้อมทั้งแหงนมองไปยังเจดีย์ราชันอมตะเหนือศีรษะของตัวเองพลางถามออกมาด้วยใบหน้าที่มีความสุขอย่างมากว่า

“ท่านอาจารย์ ท่านยอมรับข้าเป็นศิษย์แล้ว ? ”

เป็นเพราะการที่หลินเทียนส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดของสำนักให้กับนางแบบนี้แถมยังยกอาวุธวิญญาณให้นางดูแลนี้มันมีความหมายที่ลึกซึ้งมากๆ

“ถึงตอนนี้แล้วยังจะถามอีกงั้นรึ ”

หลินเทียนได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าเขาจะพูดไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วพรสวรรค์ของเซียนเซียนเองก็สูงส่งมากๆแถมยังตั้งใจเกี่ยวกับเรื่องของเขาทุกเรื่องดังนั้นหากว่าเขาไม่ยอมรับเป็นศิษย์ก็คงจะดูไม่มีเหตุผลอย่างมาก

“ขอบคุณค่ะท่านอาจารย์ ”

นางได้ส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุขพร้อมทั้งคาราวะลงกับพื้น

หลินเทียนโบกมือส่งพลังออกไปพยุงร่างนางกลับขึ้นมาพร้อมทั้งพูดว่า

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีนักก็ได้ เชื้อสายของเราเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ”

หลังจากนั้นเขาได้พูดต่อว่า

“ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่เผยแพร่คำสอนก็ช่วยหาตัวเฉินหลินแล้วนำกลับมาที่สำนักของเราด้วยแล้วกัน นางเป็นลูกหลานผู้มีพระคุณของอาจารย์ ”

เขาพูดออกมาพร้อมทั้งโบกมือสร้างภาพร่างของเฉินหลินขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาและมอบยาทิพย์ให้นางไว้มากมายเพราะเขายังไม่มีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมายดังนั้นการที่เอานางติดตัวไปด้วยจึงไม่เหมาะเท่าไหร่ทว่าตอนนี้มันต่างกันออกไปแล้วเพราะเขาก่อตั้งขุมพลังขึ้นมาแล้วดังนั้นถึงได้คิดจะนำนางกลับมา

ตัวเขาจำเป็นต้องทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณของเขา

“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะท่านอาจารย์ ! ”

เซียนเซียนตอบรับอย่างจริงจัง

หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งพูดว่า

“หลังจากที่หาตัวนางพบแล้วก็ให้นางช่วยเจ้าเผยแพร่คำสอนแล้วกัน ”

“อื้ม ! ”

เซียนเซียนพยักหน้าของนาง

“ไปเถอะ ”

หลินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เซียนเซียนพยักหน้าของนางพร้อมทั้งก้าวถอยกลับออกไปด้านนอก

หลินเทียนที่กำลังมองออกไปได้แต่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่ดวงตาจะส่องประกายออกมา

“อีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถตัดผ่านได้แล้ว ”

เขาพึมพำออกมาพร้อมทั้งเริ่มการบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว

วันนี้เป็นวันเดียวกันกับที่เซียนเซียนได้สั่งการให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายออกไปเผยแพร่คำสอนของสำนัก

ระหว่างที่กำลังออกเดินทางก็ได้พบตัวเฉินหลินพร้อมทั้งนำนางท่องโลกกว้างไปด้วยกันเพื่อเพิ่มผู้ศรัทธาของสำนักอย่างตั้งใจ

พริบตาชื่อเสียงของสำนักนิรันด์ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก

เซียนเซียนที่เดินทางไปทั่วทั้งโลกพร้อมๆกับเฉินหลินเองก็ตั้งใจอย่างมากซึ่งระหว่างนั้นก็จะสำแดงทักษะเทวะออกมาให้มนุษย์ธรรมดาได้ดูเป็นครั้งๆเพื่อช่วยพวกเขารักษาโรคร้ายและฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อเอาไว้ในจิตใจของคนเหล่านี้

เวลาได้ผ่านไปกว่าสามปีอย่างรวดเร็ว

ด้วยความพยายามตลอดสามปีมานี้ทำให้ชื่อเสียงของสำนักโด่งดังอย่างมากแถมยังมีผู้ศรัทธาอยู่ทั่วทุกมุมโลกถึงแม้จะไม่สามารถเทียบเคียงได้กับขุมพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ได้ในตอนนี้ทว่าเหล่าศิษย์ของสำนักจากสองหมื่นคนได้เพิ่มกลายเป็นสามแสนคนแล้ว

นี่คือผลลัพธ์จากความพยายามของเซียนเซียนรวมถึงเป็นเพราะการที่หลินเทียนเปิดเผยตัวตนของสำนักให้โลกรู้ทำให้เหล่าศิษย์และผู้ศรัทธาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ทึ้มมม ! ”

วันนี้เป็นวันที่มีเสียงฟ้าร้องคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังทำให้ม่านฟ้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีดำทมิฬ

หลังจากนั้นก็ปรากฏวังน้ำวนสายฟ้าขึ้นพร้อมทั้งแผดขยายออกไปรอบทิศทาง

กลิ่นอายทำลายล้างอันทรงพลังสร้างความสะพรึงกลัวให้กับทุกชีวิตบนโลกใบนี้

โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ที่อยู่ภายในสำนักที่ได้แต่พากันสั่นสะท้านไปอย่างรุนแรง

“นี่มัน…..ทัณฑ์สวรรค์ ?! ”

เซียนเซียนที่เพิ่งกลับมาถึงสำนักเองก็ได้แต่จ้องมองกลับขึ้นไปด้วยสายตาที่ตกตะลึงอย่างมาก

พยัคฆ์ขาวเองก็ถึงกับพูดออกมาด้วยความรู้สึกขนหัวลุกว่า

“นี่มัน….ทัณฑ์สวรรค์อะไรกัน ?! ”

หัวใจของมันสั่นไหวไม่หยุดเพราะว่ากลิ่นอายทำลายล้างระดับนี้ต่อให้เป็นจักรพรรดิว่างเปล่าก็ไม่มีทางต่อต้านได้แน่ๆ

ทึ้มม ~!

เสียงฟ้าร้องคำรามยังคงถูกส่งออกมาขณะที่กลิ่นอายทำลายล้างพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามมันเป็นตอนนี้เองที่ม่านฟ้าได้สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่วังวนสายฟ้าจะสลายหายไปพร้อมๆกับกลิ่นอายทำลายล้าง

หลินเทียนที่อยู่ภายในส่วนลึกของสำนักได้เหาะอยู่ใจกลางสำนักในตอนนี้

“ท่านอาจารย์ ?! ท่านออกมาแล้ว ? ”

เซียนเซียนหันมองออกมาทางเขา

หลังจากนั้นเหล่าศิษย์ทั้งหลายก็พากันแสดงความเคารพออกมาอย่างจริงจัง

หลินเทียนเผยรอยยิ้มจางๆของเขาออกมาพร้อมทั้งสั่งการให้เหล่าศิษย์แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

“เจ้าหนูดูแข็งแกร่งขึ้นหนิ ”

พยัคฆ์ขาวส่งเสียงออกมา

“ก็งั้นๆแหละ ”

หลินเทียนตอบกลับไป

เขาหันมองไปทางเซียนเซียนก่อนที่จะโบกมือทำให้เจดีย์ราชันอมตะเคลื่อนที่กลับเข้ามาอยู่ข้างกายของเขา

สามปีมานี้มันได้เก็บเกี่ยวพลังแห่งความเชื่อเอาไว้มากมายถึงขั้นที่อักขระเทวะทั้งหลายส่องประกายแสงเจิดจรัสหลากสีออกมา

ตัวเขาสัมผัสได้เลยว่าความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธบรรพบุรุษตอนปลายเลยก็ว่าได้

นี่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของเซียนเซียนในช่วงตลอดสามปีมานี้

“เหนื่อยหน่อยนะจิ้งจอกน้อย ”

เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ”

เซียนเซียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

สามปีมานี้แม้นางจะออกไปเผยแพร่คำสอนทว่าระดับพลังของนางเองก็ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะครอบครองพลังแห่งศรัทธารวมถึงสัจธรรมขากเจดีย์ราชันอมตะของหลินเทียนทำให้อีกเพียงแค่ครึ่งก้าวก็สามารถตัดผ่านเขตแดนจ้าวแห่งเต๋าได้แล้วทว่าความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวแห่งเต๋าระดับ 2 เลยด้วยซ้ำ

แถมชื่อเสียงของนางเองก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกและได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงแห่งสำนักนิรันด์

หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมทั้งหันมองไปยังเฉินหลินที่เขาสั่งการให้เซียนเซียนออกไปตามตัวนางกลับมาที่สำนัก

“ปรับตัวกับสำนักได้หรือยัง ? ”

เขาถามออกมา

“พี่สาวถูดูแลฉันได้ดีมากๆ ”

เฉินหลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระซิบอย่างระมัดระวัง

“ไม่ต้องคิดมากไปหรอก คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเลยก็ได้ ”

หลินเทียนพูดออกมา

หลังจากนั้นเขาก็ได้เหาะลงมาจากฟากฟ้าพร้อมทั้งสนทนากับคนเหล่านี้อยู่นานเพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้พูดคุยกันกว่าสามปีเต็มๆ

สามปีมันไม่ถือว่าเป็นเวลาสั้นๆเลยด้วย

“หลังจากนี้ข้าต้องออกไปยังห้วงอวกาศเพื่อก้าวข้ามการลงทัณฑ์ดังนั้นคงกินเวลาสักพัก ”

เขาหันไปพูดกับเซียนเซียนและคนอื่นๆ

นี่ทำให้พวกเขาได้แต่พยักหน้าก่อนที่จะผงะไป

“ก้าวข้ามการลงทัณฑ์ ? ทัณฑ์อะไรกัน ? ”

เซียนเซียนถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ทัณฑ์สวรรค์ ”

หลินเทียนตอบกลับไป

คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงอีกครั้ง

“ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์แล้วหรือไงกัน ? แล้วยังจะได้รับทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างไรกัน ?! ไม่ใช่ว่ามันมีเพียงเฉพาะตอนที่ตัดผ่านเขตแดนวิญญาณนิรันด์หรือไง ?! ”

เซียนเซียนได้ผงะไป

พยัคฆ์ขาวและเฉินหลินก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน

“ทำไงได้ ก็ข้ามันโชคดีหนิที่เป็นที่อิจฉาของสวรรค์ถึงได้ถูกฟ้าฝ่ามาตั้งแต่ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภาและทุกๆคนเขตแดนใหญ่ก็จะถูกทัณฑ์สวรรค์ผ่าไปเรื่อยๆ ”

เขาพูดออกมา

“ว่าไงนะ ?! ”

พยัคฆ์ขาวและคนอื่นๆได้แต่ผวาไป

“รับทัณฑ์สวรรค์ตั้งแต่ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภา ?! และทุกๆครั้งที่ตัดผ่านเขตแดนใหญ่ ? ”

เซียนเซียนได้ส่งเสียงออกมาด้วยความตกตะลึงว่า

“นี่หรือว่าบรรพบุรุษของท่านเป็นปีศาจร้ายกัน ? ”

หลินเทียนได้แต่ดีดหน้าผากของนางพร้อมทั้งพูดว่า

“มันใช่เรื่องที่จะพูดไหมน่ะ ? ”

เซียนเซียนกุมหน้าผากของนางเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดและโอดครวญออกมา

หลินเทียนได้พยักหน้าของเขาโดยที่ไม่ได้ปิดบังอะไร

“ข้าได้ยับยั้งกลิ่นอายเอาไว้ชั่วคราวแล้วจะรีบออกไปยังห้วงจักรวาลเพื่อก้าวข้ามมัน ”

เขาพูดออกมา

เป็นเพราะว่าเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีว่าสามารถทำลายดินแดนแห่งนี้ได้และจะทำให้เกิดผู้เสียชีวิตมากมายดังนั้นจึงไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้

เขายืนอยู่กับที่พร้อมทั้งสั่งการออกไปเล็กน้อยก่อนที่จะเหาะจากไป

ความเร็วของเขาสูงเป็นอย่างมากถึงขั้นที่ออกจากชั้นบรรยากาศได้อย่างรวดเร็วพลางมุ่งหน้าไปยังดาวสีเหลืองดวงหนึ่ง

เมื่อสำรวจดูแล้วจะพบว่ามันเป็นดวงดาวที่เต็มไปด้วยทะเลทรายโดยที่ไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายชีวิตได้แม้แต่น้อย

“ที่นี่แหละ ”

เขาพึมพำออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายก่อนที่จะปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาอย่างเต็มกำลังพร้อมทั้งตัดผ่านไปยังเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่า

กลิ่นอายอันหนักหน่วงส่งผลให้ม่านฟ้าถูกย้อมเป็นสีทองไปในชั่วพริบตา

“ทึ้มมม ~! ”

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งตามออกมาขณะที่ทัณฑ์สวรรค์ก่อตัวขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)