Divine King of All Directions - สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ 1328 - 1340

 1328

“ไปที่นั่นก่อนดีกว่า”

เขาพึมพำออกมา

เป็นเพราะว่าเขาเติบโตขึ้นภายในบ้านเด็กกำพร้าดังนั้นถึงได้อยากจะกลับไปที่นั่น

เมื่อมองลงไปแล้วเขาก็ได้เหาะกลับลงมาอย่างรวดเร็ว

ทว่ามันเป็นตอนนี้เองที่ร่างกายของเขาได้สั่นไหวก่อนที่จะหันมองออกไปยังม่านฟ้า

“ก่อนหน้านี้นี่มัน ?! ”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา

เป็นเพราะว่าพลังฉีของสถานที่แห่งนี้มันแผ่วเบามากก็จริงทว่าเมื่อครู่นี้เขากลับสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังอันเข้มข้นที่ทำให้เขาเองก็ยังต้องผงะไปแต่สัมผัสได้เลยว่ามันเป็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก

เขาหยุดเท้าลงตัวเองลงก่อนที่จะแผดจิตสัมผัสออกไปรอบทิศทางแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกก่อนหน้านี้ได้

นี่ทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีอะไรมากกว่าโลกที่มีพลังฉีและสัจธรรมอันเบาบางเท่านั้น

เขายืนอยู่กับที่พร้อมทั้งแผดจิตสัมผัสออกไปโดยรอบอีกครั้งแต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงอะไรได้

“ช่างเถอะ ”

เขายืนอยู่นานก่อนที่จะเหาะลงมาเบื้องล่าง

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้หยุดอยู่บนภูเขาสูงบนโลกใบนี้

หากเทียบกับภูเขาภายในสวรรค์สิบชั้นแล้วจะพบว่าภูเขาสูงของที่นี่มันดูเล็กและธรรมดามากๆแถมยังเต็มไปด้วยต้นหญ้าและดอกไม้ธรรมดาๆมากมาย

อย่างไรก็ตามมันกลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก

เขาก้าวเดินออกไปด้วยความเร็วที่สูงอย่างมากก่อนที่จะไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่อีกฝั่ง

เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับตึงถูก ถนนหนทางและกลุ่มคนมากมาย

“ข้ากลับมาแล้ว ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง

เมืองนี้มีชื่อว่าเป่ยหลี่เป็นเมืองคึกคักที่เป็นที่รู้จักกันดี

ตัวเขาเกิดและเติบโตขึ้นที่เมืองนี้

เมื่อมองออกไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินสัญจรไปมาแล้วจะพบว่าเสื้อผ้าของพวกเขาแตกต่างจากเขามาก

“ควรจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อน ”

เขาพึมพำออกมา

เป็นเพราะว่าเขาก้าวเดินบนเส้นทางบ่มเพาะภายในสวรรค์สิบซึ่งสังคมและวัฒนะธรรมของทั้งสองโลกมันต่างกันอย่างสิ้นเชิงดังนั้นการกลับมาของเขาจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้สวมเสื้อผ้าโบราณของผู้บ่มเพาะเนื่องจากมันจะดูแปลกแยกอย่างมาก

ร่างกายของเขาส่องประกายแสงออกมาเล็กน้อยก่อนที่เสื้อผ้าของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

สำหรับเขาที่อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์แล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้ถือว่ายากแม้แต่น้อย

เป็นเพราะการบ่มเพาะทำให้ผมของเขามีความยาวอย่างมากและต่างออกไปจากผู้คนในโลกใบนี้ดังนั้นเขาถึงได้ตัดมันออกจนสั้น

“เรียบร้อย ”

เขาส่งเสียงกระซิบออกมา

ตอนนี้เขาแปลงโฉมเรียบร้อยแล้วทำให้ดูไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุ 20 ปีของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่กับที่อยู่นานก่อนที่จะเดินตามเส้นทางออกไป

ไม่นานเขาก็ได้ไปถึงสถานที่ๆอยู่ทางตอนใต้ของเมืองนี้

เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับตึกสูงมากมายรายล้อมไปด้วยบ้านพัก

“ที่นี่…..”

เขาได้มาถึงก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน

เป็นเพราะก่อนหน้านี้มันเคยเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อนทว่าตอนนี้มันกลายแปรเปลี่ยนกลายเป็นตึกขนาดใหญ่เสียแล้ว

“กาลเวลา ”

เขาพึมพำออกมา

เป็นเพราะว่าเขาจากโลกนี้ไปกว่า 50 ปีแล้วซึ่งมันมากพอจะเปลี่ยนแปลงได้หลายๆสิ่ง คนดูแลของเขาเป็นชายชราที่เปลี่ยนบ้านของตัวเองเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกทิ้งหรือหลงซึ่งเขาเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น

ตอนนี้เวลาได้ผ่านมาหลายต่อหลายปีดังนั้นชายชราก็คงจะตายไปแล้วและการที่สถานรับเลี้ยงจะหายไปก็เป็นเรื่องที่ปกติ

เขายืนอยู่กับที่อยู่นาน

ตัวเขาพอเดาได้ตั้งแต่ที่กลับมาแล้วว่าชายชราคนนั้นคงจะเสียชีวิตไปแล้วเพราะถึงอย่างไรเขาก็จากโลกนี้ไปกว่า 50 ปี แถมก่อนที่จะจากไปอีกฝ่ายก็มีอายุกว่า 80 ปีแล้วดังนั้นเมื่อบวกกับ 50 ปีเข้าไปมันเป็นเรื่องยากมากๆที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้สำหรับคนบนโลกนี้

สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือความเปลี่ยนแปลงของบ้านของชายชรา

เขากลับมาที่นี่เพื่อจะกลับมาดูสถานที่ๆเขาเติบโตขึ้นและกลับมาไหว้หลุมศพของชายชราและหากว่าบ้านหลังนั้นยังอยู่ก็คงจะพอสอบถามกับลูกหลานของชายชราได้

ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วมันทำให้เขารู้สึกเสียใจและเคว้งคว้างอย่างมาก

“นี่ ได้ยินมาว่าที่ชั้น 31 โดนผีหลอกอีกแล้วนะ ”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครจะไม่ได้ยินบ้าง ได้ยินมาว่าเป็นผีสาวที่ถูกเผาในบ้านพักเมื่อสามปีก่อน ”

ห่างออกไปไม่ไกลมีชายชราสองคนกำลังชี้ออกไปด้านหน้าพร้อมทั้งส่งเสียงออกมา

หลินเทียนที่กำลังยืนอยู่ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที

เป็นเพราะว่าคำว่าบ้านพักนี้มันมีความสำคัญกับเขาอย่างมาก

ชายชราทั้งสองคนดูมีอายุประมาณ 75 ปีและกำลังพูดคุยอยู่กับหนุ่มสาวที่กำลังเดินผ่านไปมาซึ่งพวกเขาต่างพากันส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

“คุณลุง นี่มันยุคไหนกันแล้วครับ มันจะยังไปมีพวกผีสางได้อย่างไรกัน ”

ชายหนุ่มส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งเดินตากไป

คนอื่นๆที่เดินผ่านไปมาเองก็ต่างพากันส่ายศีรษะของพวกเขา

ไม่มีใครคนไหนเลยที่เชื่อเรื่องผีสางเหล่านี้

หลินเทียนได้หันมองออกไปทางชายชราทั้งสองคนที่กำลังนั่งเก้าอีไม้อยู่ด้านหน้า

“คุณลุงครับ ช่วยเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ผมฟังแบบละเอียดหน่อยได้ไหมครับ ? ”

เขาถามออกมา

เป็นเพราะว่าบ้านพักที่อยู่แถวนี้มันมีเพียงของชายชราที่รับเลี้ยงเขาเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำว่าหญิงสาวที่ถูกไฟคลอกในบ้านพักและผีสาวมันทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมาก

“สนใจงั้นหรอเจ้าหนุ่ม ? ”

ชายชราทั้งสองหันมองมาทางเขา

“ครับ ”

หลินเทียนพยักหน้าตอบกลับ

เมื่อเห็นว่าหลินเทียนต้องการจะฟังแล้วทั้งสองถึงได้แสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา

“ก่อนหน้านี้น่ะที่นี่มันไม่ได้คึกคักอะไรแบบนี้หรอก ณ ตอนนี้มันมีบ้านพักที่บังที่ดินสวยๆแถมนี้เอาไว้และเมื่อประมาณสามปีก่อนพวกบริษัทกิเลนก็อยากจะซื้อที่แถวนี้แต่ไม่มีใครต้องการขายทำให้พวกมันจ้างพวกอันธพาลมาสร้างปัญหาอยู่เป็นพักๆส่งผลให้ทุกคนต้องพากันยอมก้มหัวให้แต่เป็นเพราะว่าเจ้าของบ้านพักนี้ใจแข็งมากๆแม้ว่าจะได้รับคำขู่มากมายแต่ก็ยังไม่ยินยอมขายที่ของเขา ”

ชายชราอีกคนได้ส่งเสียงออกมาว่า

“เป็นเพราะว่าที่นั่นมันมีความหมายกับเขามากๆแล้วคิดว่าเขาจะยอมขาย ? อย่าว่าแต่เรื่องที่กดราคาเลย ได้ยินมาว่าราคาที่เสนอมามันไม่ถึงหนึ่งในสิบของราคาบ้านด้วยซ้ำและเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้หลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็เกิดไฟไหม้ขึ้นจากไฟรั่วทำให้ผู้คนทั้งหมดภายในบ้านพักนั้นตกตายลง ”

“ไฟรั่วอะไรกัน มีหลายคนเป็นพยานว่าเห็นพวกอันธพาลที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทกิเลนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ! ”

ชายชราอีกคนส่งเสียงออกมา

“เรื่องนี้ก็พอจะเดากันได้ ”

ชายชราได้ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งมองมาทางหลินเทียนพลางพูดต่อว่า

“หลังจากนั้นสามปีที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจนคึกคักมาถึงตอนนี้ ”

ชายชราได้ชี้ออกไปยังตึกสูงกว่าร้อยเมตรพร้อมทั้งพูดต่อว่า

“ได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนนี้มีเจ้าของห้องถูกผีหลอกมาด้วยล่ะ ”

ชายชราพูดต่อว่า

“มันอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันเคยเป็นที่ตั้งของบ้านพักหลังนั้นทำให้เจ้าของห้องหลายๆห้องต้องพบเจอกับผีนางนั้นซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับลูกสาวของเจ้ามองบ้านพักคนก่อนมากๆ ”

หลินเทียนได้แต่มองขึ้นไปยังตึกสูงที่ถูกสร้างทับที่ของบ้านพักสถานรับเลี้ยงเด็กของเขาซึ่งแม้ว่ามันจะผ่านไปหลายปีมาแล้วแต่เขาก็ยังจดจำได้อย่างดี

“คุณลุงครับ ครอบครัวสามคนที่ตายมีบรรพบุรุษชื่อว่าเฉินชีหยวนที่เคยรับอุปถัมภ์เด็กกำพร้าหรือเปล่าครับ ? ”

เขาถามออกไป

คำพูดนี้ทำให้ชายชราทั้งสองผงะไปทันที

“ใช่ๆ เจ้าหนุ่มรู้เรื่องพวกนี้ด้วยงั้นเรอะ ? มันผ่านมากว่า 50 ปีแล้วนะ เธอดูมีอายุราวๆ 20 ต้นๆเองเท่านั้นแล้วรู้เรื่องนี้ได้ไงกัน ? ไปได้ยินข่าวลือแถวนี้มางั้นเรอะ ? ”


1329 

ชายชราทั้งสองคนต่างจ้องมองมาทางเขาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจเพราะหลินเทียนนั้นยังดูมีอายุราวๆ 20 ปีเท่านั้นแต่กลับรู้ชื่อของบรรพบุรุษบ้านตระกูลเฉินอย่างเฉินฉีหยวนได้อย่างละเอียด

แต่แม้จะคิดว่ามันแปลกๆแต่ก็มีข่าวลือแพร่ออกไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ดังนั้นถึงไม่ได้สนใจอะไรมากนักและคิดว่าหลินเทียนน่าจะไปได้ยินข่าวลือเหล่านั้นมา

“ได้ยินมาว่าแต่ก่อนเฉินฉีหยวนนั้นเป็นคนที่ช่วยรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งหลายโดยการเปลี่ยนบ้านพักของตัวเองเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กหลายๆคนดังนั้นจะเรียกว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้แถมลูกหลานของเขาก็เป็นคนที่ทำงานสุจริตแต่กลับต้องตกตายลงเมื่อสามปีก่อน นี่มัน…….เป็นเวรกรรมจริงๆ ”

ชายชราถอนหายใจออกมา

ชายชราอีกคนเองก็ได้แต่ก่นด่าออกมาว่า

“เวรกรรมอะไรกัน ! ข้าบอกแล้วไงว่ามันเกี่ยวข้องกับไอ้บริษัทกิเลนนั่นอย่างแน่นอน ! พวกมันต่ำช้ายิ่งกว่าหมูกว่าหมา อีกไม่นานพวกมันก็คงจะได้ตายกันไปหมดแล้ว ”

หลินเทียนได้หันมองออกไปยังตึกตรงหน้าพร้อมทั้งกำหมัดเอาไว้แน่น

เป็นเพราะว่าลูกหลานของผู้ที่เคยเลี้ยงดูเขากลับถูกกระทำแบบนี้จนตายอย่างน่าอนาถภายในบ้านของตัวเอง

เขาได้แต่มองออกไปด้วยแววตาที่ส่องประกายจิตสังหารออกมาอย่างเข้มข้น

“ขอบคุณลุงทั้งสองมากๆ ”

เขาส่งเสียงออกมาก่อนที่จะขอตัวลาแล้วหันหลังเดินเข้าไปภายในตึกนั้น

ไม่นานเขาก็เข้าไปด้านใน

เป็นเพราะว่าเขาต้องยืนยันให้ได้ว่าผีที่ว่านี่มีความเกี่ยวข้องกับลูกหลานของชายชราคนนั้นไหม

ตึกนี้มีความสูงกว่าร้อยเมตรและถูกสร้างขึ้นกว่า 39 ชั้นเหนือที่ดินของบ้านพัก

หลินเทียนที่ได้มาถึงก็ได้ก้าวเข้าไปก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เย็นยะเยือก

เขากวาดจิตสัมผัสออกไปทั่วไม่เว้นบันไดขึ้นไปจนถึงชั้นบนทุกชั้น

พริบตาเขาก็ขึ้นไปจนถึงที่ชั้นที่ 4

“ผีร้าย ! ”

“ท่านนักบวชช่วยปัดเป่ามันไปเร็ว ! ”

เขาที่ขึ้นไปถึงด้านบนก็ได้ยินเสียงที่หวาดหวั่นถูกส่งออกมา

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบกับนักบวชที่กำลังแสดงสีหน้าที่หวาดผวากำลังวิ่งผ่านมาเสมือนว่าเพิ่งพบเจอกับสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต

“ท่านนักบวช….กลับมาก่อน ! ”

“ผีร้ายมันกำลังออกมาแล้ว ! ”

“หนีเร็ว ! ”

เสียงกรีดร้องถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง

หลินเทียนได้ก้าวเดินออกไปทางทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเล

เขาได้พบกับกลุ่มคนนับสิบที่กำลังยืนรวมตัวกันอยู่ตรงทางเดินด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านขณะที่กำลังมองเข้าไปภายในห้องที่เปิดอยู่ด้วยสายตาที่หวาดหวั่น

หลินเทียนที่มาถึงที่นี่ได้เดินผ่านกลุ่มคนเหล่านี้ไปอย่างไม่สนใจก่อนที่จะเข้าไปภายในห้องใหญ่ห้องนั้น

มันมีกลิ่นอายหยินที่เข้มข้นอย่างมากบ่งบอกได้ถึงการคงอยู่ของดวงวิญญาณ

“เจ้าหนุ่มอย่าเข้าไปนะ ! ภายในนั้นมันมีผีร้ายสิงอยู่ ! ”

“ใช่ รีบกลับมาแล้ว ! ผีร้ายตัวนั้นมันน่ากลัวสุดๆ……..ขนาดนักบวชยังหมดปัญญาเลย ! ”

“กลับมาเร็ว ! อย่าไปทางนั้น ”

เหล่าผู้คนทั้งหลายที่กำลังสั่นอยู่ต่างพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปพร้อมทั้งส่งเสียงเตือนออกมาซึ่งเจ้าของห้องนี้เป็นชายวัยกลางคนและภรรยาของเขาซึ่งหลังจากที่ได้ซื้อห้องนี้มาแล้วก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะได้พบกับผีร้ายภายในห้องก่อนที่จะว่าจ้างนักบวชด้วยเงินจำนวนมากเพื่อปัดเป่ามันแต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเปล่าประโยชน์เนื่องจากวินาทีแรกที่อีกฝ่ายได้เห็นห้องพักก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาพร้อมทั้งหันหลังหนีไปทันที

ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหลินเทียนกำลังเดินเข้าไปใกล้สองสามีภรรยาถึงได้ส่งเสียงออกมาโดยทันที

หลินเทียนไม่ได้สนใจเสียงเหล่านี้แม้แต่น้อยก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปภายในห้องพร้อมทั้งปิดประตูห้องเอาไว้ด้วยพลังเทวะของเขาพร้อมวางข่ายอาคมปิดกั้นทำให้คนธรรมดาไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้แม้จะมีกุญแจก็ตามที

“นี่มัน….ประตูปิดเอง ?! ”

“เป็นผีนางนั้นแน่ๆ ! ต้องเป็นไอ้ผีร้ายตัวนั้น เจ้าหนุ่มนั่น……ตายแน่ ! ”

“ทำไมคนหนุ่มแบบนั้นถึงได้กล้าเข้าไปกัน ?! ไม่เห็นหรือไงว่ามันผิดปกติ……..”

เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกและเห็นว่าหลินเทียนได้เดินเข้าไปก่อนที่ประตูจะปิดเองต่างคิดว่าเป็นฝีมือของผีร้ายทำให้พวกเขายิ่งหวาดหวั่นขึ้นไปอีกโดยเฉพาะสองสามีภรรยาคู่นั้นเพราะหากว่ามีคนตายในห้องพวกเขาเพิ่มก็จะกลายเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา

…………….

หลินเทียนที่ปิดกั้นห้องนี้เอาไว้ด้วยพลังเทวะแล้วก็ได้กวาดสายตาออกไปรอบๆ

ภายในห้องนี้หน้าต่างทุกบานถูกปิดเอาไว้ทำให้ค่อนข้างมืดและมีเพียงแสงจากเทียนรวมถึงข้าวสารและป้ายยันต์สีเหลืองกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

“โร๊ววว ~! ”

เสียงกู่ร้องของผีร้ายได้ถูกส่งออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว

ที่มุมห้องมีร่างๆหนึ่งกำลังยืนอยู่ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกมันคือร่างวิญญาณของหญิงสาว

บนร่างของนางเต็มไปด้วยเลือดขณะที่ร่างกายถูกเผาจนเกรียมรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายสีดำเข้มมีนิ้วยาวเหมือนตะเกียบ

อีกฝ่ายที่กำลังมองมาทางเขาได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความแค้นพร้อมทั้งกระโจนเข้าใส่โดยทันที

วินาทีที่เข้ามาใกล้ข้าวสารเสกนี้ทำให้ดวงวิญญาณของนางถูกผนึกเอาไว้ก่อนที่นางจะพยายามขัดขืนแต่ก็เปล่าประโยชน์

หลินเทียนได้มองออกไปยังร่างที่ถูกเผาจนเกรียมใบหน้ากว่าครึ่งเน่าเปื่อยดวงตาสีแดงก่ำอันดุร้าย

แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยของชายชรา

นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นดวงวิญญาณของลูกหลานผู้มีพระคุณของเขาอย่างแน่นอน !

อีกฝ่ายส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งขณะที่กำลังจ้องมองมาทางเขา

ตอนนี้ดวงวิญญาณของนางมีเพียงความแค้นเท่านั้น

เขาที่กำลังมองออกไปก็รู้สึกแย่ไม่ได้ต่างกันนัก

ไม่คิดเลยว่าลูกหลานของผู้มีพระคุณของเขาจะจบชีวิตลงด้วยสภาพแบบนี้

เขาโบกมือส่งคลื่นพลังกลีบดอกบัวหยินหยางออกไปโอบร่างของนางเอาไว้

พริบตานี้เองที่ร่างวิญญาณของนางได้สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา

แต่ไม่นานหลังจากนั้นความดุร้ายก็สลายหายไปก่อนที่สติปัญญาจะเริ่มกลับคืนมา

ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปหลายสิบลมหายใจ

มันเป็นช่วงที่ความชั่วร้ายที่อัดแน่นอยู่ภายในห้องรวมถึงรอยเผาไหม้และบาดแผลตามร่างกายของนางก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์

ณ ตอนนี้นอกจากการที่ไม่มีกายหยาบแล้วก็ดูไม่ได้ต่างไปจากเด็กสาวอายุ 22 ปีทั่วไปเลยด้วยซ้ำ

มันเป็นตอนนี้เองที่หลินเทียนได้โบกมือคลายผนึกให้กับนาง

นางได้หันมองไปรอบๆเสมือนคนที่เพิ่งตื่นขึ้นก่อนที่จะระลึกถึงภาพเหตุการณ์บางอย่างได้

“คุณพ่อ ! คุณแม่ ! ”

นางส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างดังด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วนพลางหันมองไปรอบๆก่อนที่ร่างกายของนางจะสั่นสะท้านไม่หยุด

หลินเทียนที่กำลังมองนางอยู่ได้พบว่าเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างทำให้ดวงวิญญาณของนางยังคงถูกรักษาเอาไว้และแปรเปลี่ยนกลายเป็นผีร้ายไปแต่เขาได้อาศัยเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันขจัดความชั่วร้ายไปพร้อมทั้งปกป้องดวงวิญญาณของนางเอาไว้ด้วยกลีบดอกบัวหยินหยางทำให้นางอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

ร่างกายของนางได้แต่สั่นสะท้านอยู่นานกว่าจะหยุด

“คุณ….เป็นใครกัน ? ”

นางหันมองมาทางเขา

เป็นเพราะเรื่องเหล่านี้ทำให้รู้ว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดาๆ

“หลินเทียน , เด็กกำพร้าที่ปู่ทวดของคุณเคยชุบเลี้ยง ”

หลินเทียนตอบกลับไป

หญิงสาวได้แต่สั่นสะท้านไปพร้อมๆกับส่งเสียงออกมาว่า

“คะ..คุณ ”

นางส่งเสียงต่อว่า

“ปู่ทวดตายไปตั้ง 30 กว่าปีแล้วเด็กที่ปู่เลี้ยงไว้มันจะดูหนุ่มขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ?! คุณดู…..มีอายุพอๆกับฉันเลยด้วยซ้ำ ”

นางรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วและตระหนักได้ว่าหลินเทียนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาๆที่สามารถสยบวิญญาณร้ายของนางเอาไว้ได้ง่ายๆแถมยังเรียกสติของนางได้อีกก็จริงแต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเทียนแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้

“เกือบเท่าเธอ ? ”

หลินเทียนมองออกไปพร้อมทั้งพูดต่อว่า

“ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเธอจะไม่ค่อยตรงนะ ”

เป็นเพราะหากวัดตามอายุจริงๆแล้วตอนนี้เขาน่าจะมีอายุราวๆ 70-80 ปีแต่เป็นเพราะระดับพลังที่สูงส่งทำให้รูปลักษณ์ของเขาไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

“คุณ……..”

นางได้แต่สั่นสะท้านไป

เมื่อมองออกไปยังหลินเทียนแล้วกลิ่นอายที่เขาส่งออกมามันทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นจากเบื้องลึกของหัวใจ

แน่นอนว่าหลินเทียนเองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้ดีดังนั้นถึงได้โบกมือส่งประกายแสงสีทองออกไปโอบร่างวิญญาณของนางเพื่อพยุงอาการและปรับสภาพอารมณ์

“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก ฉันจะไม่ทำร้ายเธอ ”

เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า

“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อสามปีก่อน ”


1330 

การกลับมาหลังจากที่จากไปหลายปีนี้ทำให้เขาอยากจะกลับมาในที่ๆเขาเคยอยู่เพื่อไหว้หลุมศพของผู้มีพระคุณของเขาแต่สิ่งที่รอเขาอยู่คือการที่บ้านพักของชายชราได้หายไปก่อนที่จะรู้มาว่าอีกฝ่ายถูกจ้างวานฆ่ายกครัวแถมยังได้เห็นภาพของหญิงสาวที่เป็นลูกหลานของชายชรากลายเป็นร่างวิญญาณอยู่ตรงหน้าตัวเองนี่มันทำให้เขาโกรธถึงขีดสุด

เขายืนยันได้เลยว่ามันจะต้องเป็นบริษัทกิเลนที่ลุงทั้งสองได้พูดถึงก่อนหน้านี้แต่ก็ยังอยากจะถามจากปากของนางว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อสามปีก่อนจะได้รับรู้ความจริงที่แท้จริง

เมื่อได้ยินคำถามของหลินเทียนแล้วนางก็ได้แต่ผงะไปก่อนที่ร่างกายจะสั่นสะท้าน

“สามปีก่อน…..”

นางระลึกถึงภาพเหตุการณ์อันเจ็บปวดก่อนที่จะเล่าเหตุการณ์แบบเดียวกันกับที่เขาได้ยินมาเพียงแค่ละเอียดกว่า…….เป็นเพราะพ่อแม่ของนางไม่ต้องการจะขายที่แห่งนี้ให้กับทางบริษัทกิเลนด้วยราคาที่ต่ำกว่ามาตรฐานกว่าสิบเท่าเพราะนี่คือบ้านของพวกเขา

หลังจากนั้นพวกอันธพาลก็เริ่มมาก่อกวนเป็นพักๆพร้อมทั้งข่มขู่พวกเขาซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ขาของพ่อเธอต้องหักไปแต่ครั้งนี้พวกมันไม่ได้มาข่มขู่อีกแล้วเพราะพวกมันลงมืออย่างโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเก่า

“พวกมันใช้ยาบางอย่างทำให้พวกเรารู้สึกชาไปทั้งตัวทำให้ไม่สามารถขยับไปไหนได้ก่อนที่จะเข้าไปในห้องครัวของเราแล้วเปิดแก๊สทิ้งไว้ก่อนที่จะ……จุดไฟ……”

นางส่งเสียงสั่นๆออกมา

หากว่าร่างวิญญาณสามารถร้องไห้ได้นางก็คงจะร้องไห้ไปแล้ว

ระหว่างนี้ดวงตาของเขาก็แสดงให้เห็นถึงแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความแค้น

ครอบครัวของนางถูกทำลาย พ่อแม่ถูกสังหารไปพร้อมๆกัน

ทว่านางกลับไม่ได้สลายไปอย่างสมบูรณ์แต่กลับหลงเหลือร่างวิญญาณที่แปรเปลี่ยนไปด้วยความแค้นจนกลายเป็นผีร้าย

“คุณพ่อ คุณแม่ ”

นางส่งเสียงสะอื้นออกมา

การที่ต้องเสียพ่อแม่ไปจะให้ใครไม่รู้สึกเศร้าบ้าง

อย่าว่าแต่เรื่องที่ทั้งสองถูกสังหารลงอย่างโหดเหี้ยมจนตายทั้งเป็น

สายตาของหลินเทียนส่องประกายความเย็นยะเยือกถึงขีดสุดออกมา

เป็นเพราะเขาเองก็พอเดาได้จากคำพูดของลุงทั้งสองคนก่อนหน้านี้ไปแล้วแต่หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็อดทำให้เขาโกรธไม่ได้

“เธอมีชื่อว่าอะไร ? ”

เขาถามออกไป

“เฉิน….เฉินหลิน ”

หญิงสาวตอบกลับ

“อื้ม ”

หลินเทียนพยักหน้าพร้อมทั้งพูดว่า

“ยืนอยู่นิ่งๆอย่าขยับไปไหน ”

“อื้ม อื้ม ”

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหลินเทียนจะให้นางยืนนิ่งทำไมแต่เป็นเพราะกลิ่นอายอันแข็งแกร่งของหลินเทียนที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากภูเขาใหญ่ทำให้นางเชื่อฟังอย่างมาก

เมื่อเห็นว่านางกำลังยืนนิ่งแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงสีทองออกไปโอบร่างของนางเอาไว้ทั้งตัว

ประกายแสงสีเลือดส่องประกายออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นเลือดเนื้อให้กับนางอย่างช้าๆ

“นี่มัน…..?! ”

เฉินหลินส่งเสียงสั่นๆออกมา

นางเห็นกับตาตัวเองเลยว่าเลือดเนื้อกำลังเติบโตขึ้นตามร่างวิญญาณของนางอย่างช้าๆ

“อย่าขยับไปไหน ”

หลินเทียนส่งเสียงออกมา

เป็นเพราะว่านางตกตายลงไปกว่าสามปีแต่ดวงวิญญาณยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ดังนั้นด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้การจะช่วยนางก่อสร้างร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากนักแถมนางเองก็ไม่ถือว่าตายอย่างแท้จริงแต่ต้องเรียกว่าสูญเสียกายหยาบไปดังนั้นมันก็เหมือนกับผู้บ่มเพาะที่การจะสร้างร่างใหม่อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

อย่างน้อยๆสำหรับเขาที่อยู่ในระดับพลังนี้ก็ถือเป็นเรื่องง่ายๆ

เขาแค่ต้องช่วยนางก่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“บึ้สส ~! ”

ประกายแสงโอบร่างของนางเอาไว้พร้อมทั้งส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่จะจุดประกายเปลวเพลิงสีแดงฉานทำให้เลือดเนื้อก่อตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม

“เรียบร้อย ”

เขาพูดออกมาพลางวางมือลง

ร่างกายของนางได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสมบูรณ์แล้วดังนั้นนางในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากคนปกติเลยด้วยซ้ำแถมเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังถูกสร้างขึ้นจากพลังเทวะของเขา

นางได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งมองไปยังมือทั้งสองของตัวเองด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุด

เป็นเพราะนางได้ตายลงไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้วเหลือไว้เพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในอากาศแต่ตอนนี้นางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งไม่ต่างจากเมื่อสามปีก่อนเลยด้วยซ้ำ

“นี่ฉัน…..มีชีวิตอีกครั้ง ?! ”

นางส่งเสียงออกมา

“อื้ม ”

หลินเทียนตอบกลับไป

ร่างกายของนางยิ่งสั่นสะท้านเข้าไปอีกเพราะมันเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างมาก

แม้นางที่เคยเป็นวิญญาณจะรู้ว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่ลี้ลับอยู่มากมายและรู้ว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดาแต่เรื่องพวกนี้มันก็ยังน่าตกตะลึงอย่างเคย

“ขะ….ขอบคุณ ! ”

นางขอบคุณเขาซ้ำๆก่อนที่จะจะขอร้องออกมาด้วยใบหน้าที่มีความหวังว่า

“คุณ….ช่วยชุบชีวิตให้กับพ่อแม่ของฉันด้วยได้ไหม ? ได้…….ได้โปรด ! ”

นางคิดว่าในเมื่อหลินเทียนสามารถช่วยนางได้ก็คงจะสามารถช่วยพ่อแม่ของนางได้เช่นกัน

เขาได้ส่ายศีรษะพร้อมทั้งตอบกลับไปว่า

“สถานการณ์ของเธอและพ่อแม่มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะเธอยังไม่ถูกนับว่าตายอย่างสมบูรณ์แต่เป็นการสูญเสียกายหยาบไปเท่านั้นดังนั้นฉันถึงสามารถช่วยสร้างกายหยาบใหม่ได้แต่ดวงวิญญาณของพ่อแม่เธอได้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์แล้วทำให้หมดโอกาสที่จะคืนชีพกลับมาได้”

เขาได้แต่คิดถึงความกตัญญูของนางดังนั้นถึงได้อธิบายออกมาอย่างระมัดระวัง

ร่างกายของนางได้แต่สั่นสะท้านไปก่อนที่จะร้องไห้ออกมา

แม้ว่านางจะรู้ดีว่ามันเป็นคำขอที่เป็นไปได้ยากแต่เมื่อได้ยินคำตอบที่สิ้นหวังนี้แล้วนางก็ยังคงเศร้าอย่างเคย

หลินเทียนได้แต่มองไปทางนางที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่กว่าสองชั่วโมงก่อนที่จะพูดขึ้นหลังจากที่นางสงบสติได้ว่า

“ตามข้ามา ”

เขาพูดออกมาพร้อมทั้งหันหลังเดินออกจากห้องนี้ไป

เฉินหลินที่กำลังสะอื้นอยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาแต่ก็สงบสติลงได้แล้วจึงเดินตามหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนได้เดินมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าก่อนที่จะส่งพลังเทวะออกไปเล็กน้อยทำให้ข่ายอาคมปิดกั้นสลายหายไปก่อนที่ประตูจะเปิดออกด้วยตัวเอง

เขาก้าวเดินออกไปพร้อมทั้งมุ่งหน้าไปยังบันไดที่อยู่ห่างออกไป

“เจ้าหนุ่ม……….ไม่เป็นอะไรแน่นะ ?”

ผู้คนทั้งหลายที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกและเห็นว่าเขาเดินออกมาจากบ้านผีสิงโดยที่ยังอยู่ดีได้ถามออกมาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ

ทว่าหลังจากนั้นเองที่สีหน้าของพวกเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้งหลังจากที่เห็นร่างของเฉินหลินที่เดินตามออกมา

“ผี ! เป็น…ผีตัวนั้น ! ”

“มัน….ออกมาแล้ว ! ”

“เป็นคนๆนั้น …..”

ผู้คนพากันส่งเสียงโหวกเหวกออกมา

แม้ว่าเฉินหลินในตอนนี้จะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้มากเพราะนางไม่ได้เป็นผีร้ายที่มีเล็บยาวเป็นตะเกียบหรือร่างกายที่เน่าเปื่อยอีกต่อไปก็จริงแต่ผู้คนเองก็ยังจดจำรูปลักษณ์ของนางได้อย่างดี

พวกเขาเองก็เคยได้เห็นวิญญาณร้ายของนางมาก่อนแล้วดังนั้นถึงได้จดจำได้อย่างแม่นยำแม้ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปอย่างมากแต่โดยรวมก็คล้ายๆกัน

นี่ทำให้ใบหน้าของผู้คนพากันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยขาที่สั่นไม่หยุดจนไม่สามารถขยับไปไหนได้

หลินเทียนได้หยุดเท้าลงพลางหันมองไปทางกลุ่มคนเหล่านี้แล้วหันมองไปทางคู่สามีภรรยาก่อนที่จะพูดว่า

“หลังจากนี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้วนะ ”

เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ได้ก้าวเดินออกไปโดยทันที

เฉินหลินที่กำลังเดินตามหลังเองก็ยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้างถึงได้หันมองไปทางคู่สามีภรรยาแล้วพูดขึ้นว่า

“ขอโทษที่สร้างปัญหาให้พวกคุณนะคะ ”

เมื่อพูดจบแล้วนางก็รีบเดินตามหลังหลินเทียนไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานหลินเทียนก็เดินลงบันไดไปจากชั้นนี้

จนถึงตอนนี้เองที่ผู้คนทั่วทั้งทางเดินต่างถอนหายใจออกมา

“นี่หนุ่มน้อยคนนั้น……สามารถสยบผีร้ายได้ ?! ”

“ดูเหมือน..จะเป็นแบบนั้นนะ ! ”

“นี่มัน..สุดยอดไปเลย ! เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ?! ”

“นี่……..”

ผู้คนพากันส่งเสียงออกมา

“หลังจากนี้……เราไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ?”

ทั้งสองสามีภรรยาต่างพากันส่งเสียงอันตื่นเต้นออกมา

…….

หลินเทียนเดินตามเส้นทางออกไปจนออกไปนอกตึกโดยที่มีเฉินหลินเดินตามหลังเขามา

เขาหันมองกลับไปยังตึกที่เคยเป็นบ้านพักที่ลับเลี้ยงเขาก่อนที่ลูกหลานของผู้มีพระคุณจะถูกวางแผนฆ่าตายกันหมด

สายตาของเขาเย็นยะเยือกถึงขีดสุด

เขาจ้องมองอยู่นานก่อนที่จะหันมองกลับมาทางเฉินหลินพร้อมทั้งพูดขึ้นว่า

“หลุมศพของปู่ทวดเธออยู่ที่ไหนกัน ? ฉันอยากจะไปกราบไหว้เสียหน่อย ”


1331

การกลับมาและได้พบกับเฉินหลินนี้ก็ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายเองก็น่าจะรู้ที่อยู่ของหลุมศพชายชราเป็นอย่างดี

“อื้ม รู้”

เฉินหลินตอบกลับ

เป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นางเองก็ไหว้หลุมศพของปู่ทวดทุกๆปีอยู่แล้ว

หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า

“นำทางฉันไปหน่อย ”

เฉินหลินตอบรับกลับพร้อมทั้งหันมองกลับไปทางตึกด้านหลังด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเพราะนี่เคยเป็นที่อยู่ของนางทว่าตอนนี้นางกลับไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว

นางปาดคราบน้ำตาออกพร้อมทั้งเดินนำทางหลินเทียนออกไปจากละแวกนี้อย่างรวดเร็ว

สามปีมานี้หลายๆสิ่งเปลี่ยนไปอย่างมากแต่นางเองก็ยังจดจำเส้นทางได้อย่างดีเนื่องจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้มากว่า 20 ปีแล้ว

“หลุมศพของคุณปู่ทวดถูกฝังเอาไว้ภายในป่าที่อยู่รอบนอก มันน่าจะใช้เวลาเดินทางนานมากๆ ”

นางส่งเสียงออกมา

“ไม่เป็นไร ”

หลินเทียนตอบกลับไป

เฉินหลินได้ตอบกลับก่อนที่จะเดินนำทางเขาต่อไป

หลินเทียนก้าวเดินตามหลังของนางไปอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าความเร็วของนางจะต่ำมากๆแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแม้แต่น้อย

หลังจากที่เวลาผ่านไปได้ประมาณสองชั่วโมงพวกเขาก็ได้ไปถึงภูเขาที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกของเมืองนี้

“ด้านหน้านี้แหละ ”

นางส่งเสียงออกมา

หลินเทียนที่เดินตามหลังเองก็ได้ก้าวออกไปยังพื้นที่ๆเต็มไปด้วยของเส้นไหว้

เฉินหลินเดินนำทางเขาไปเรื่อยๆก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า

“ถึงแล้ว…..”

ระหว่างที่ชี้ออกไปนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมากถึงขั้นที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้

เป็นเพราะว่าหลุมศพด้านหน้าได้ถูกขุดทำลายออกมาทำให้โครงกระดูกมากมายกระจัดกระจายออกไปทั่วพื้นดินและเมื่องมองไปยังป้ายหลุมศพแล้วจะเห็นว่ามันมีชื่อของ……เฉินฉีหยวนถูกสลักเอาไว้

หลินเทียนได้แต่มองออกไปด้วยร่างกายที่อดสั่นไปไม่ได้

เป็นเพราะว่ามีคนมาทำลายหลุมศพแห่งนี้ !

“คุณ….ปู่ ”

เฉินหลินอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้พร้อมทั้งส่งเสียงออกมาว่า

“เป็นพวกมันแน่ๆ ! ก่อนหน้านี้พวกมันเองก็ข่มขู่พวกเราว่าหากไม่ยอมขายก็จะขุดหลุมศพบรรพบุรุษของพวกเรา ! ”

หลุมศพได้ถูกขุดขึ้นมาขณะที่โลงศพถูกทำลายทำให้พื้นดินโดยรอบอยู่ในสภาพที่เละเทะอย่างมากแถมยังสามารถบอกได้เลยว่าอย่างน้อยๆก็ถูกทำลายมานานหลายปีแล้ว

เฉินหลินไม่ใช่คนโง่ดังนั้นจึงตระหนักได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของอันธพาลเหล่านั้นทำให้นางได้แต่ร้องไห้ออกมา

สำหรับทุกคนแล้วหลุมศพของบรรพบุรุษนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความหมายมากๆแต่ตอนนี้นอกจากบ้านจะถูกทำลายและพ่อแม่ถูกฆ่าแล้วอีกฝ่ายยังทำลายหลุมศพบรรพบุรุษของนาง

นางส่งเสียงสะอื้นออกมาและก้าวออกไปเพื่อเตรียมจะจัดการหลุมศพให้กับปู่ของตัวเองทว่าหลินเทียนได้ยื่นมือออกมาขวางนางเอาไว้

“ให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ”

เขาพูดออกมา

เขาให้นางยืนอยู่กับที่ก่อนที่จะก้าวออกไปพร้อมทั้งใช้มือค่อยๆเก็บเอาเศษกระดูกที่กระจัดกระจายไปทั่วกลับลงไปภายในโลงศพที่แตกหักก่อนที่จะปิดมันโดยที่ไม่ได้ใช้พลังเทวะแม้แต่น้อยก่อนที่จะกลบดินทั้งหลายเพื่อฝังศพกลับลงไปอย่างช้าๆ

เฉินฉีหยวนนั้นเคยเป็นทหารเก่าที่ไม่ได้มียศสูงมากนักและหลังจากที่เกษียณราชการออกมาแล้วแม้ว่าจะไม่ได้มีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไรแต่สำหรับเขากลับคิดว่าชายชราคนนั้นเป็นทหารที่คู่ควรและยิ่งใหญ่อย่างมาก

“ปีนั้นฉันมีอายุ 12 ขวบ….”

เขาย่อตัวลงพร้อมทั้งโปรยดินลงบนโลงศพก่อนที่จะหันมองกลับไปทางเฉินหลินแล้วพูดต่อว่า

“เพื่อนของปู่เธอมาเยี่ยมปู่เธอที่บ้านเด็กกำพร้าซึ่งฉันเองก็ได้ยินการบทสนทนาของพวกเขาดีแม้ว่าจะไม่มีอะไรมากอย่างการที่เพื่อนของเขาถามเขาว่าทั้งๆที่มีเงินเก็บอยู่ไม่มากแล้วทำไมถึงได้เอาเงินมาเสียกับกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องอะไรกับเขา ”

เฉินหลินที่อยู่ด้านหลังเองก็เชื่อปักใจแล้วว่าหลินเทียนที่ดูมีอายุประมาณ 20 ปีนี้เป็นเด็กกำพร้าที่ปู่ทวดของนางเก็บมาเลี้ยงและเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็อดถามออกมาไม่ได้ว่า

“คุณปู่ตอบว่าไงงั้นหรอคะ ? ”

เป็นเพราะว่าความต่างด้านอายุของนางและปู่ทำให้ไม่เคยได้พบหน้ากับเลยด้วยซ้ำแต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบรรพบุรุษของนางดังนั้นจึงอยากจะรู้เรื่องของเขาอย่างมาก

หลินเทียนได้หยิบเอากองดินขึ้นมาพร้อมๆกับโปรยลงไปก่อนที่จะทำความสะอาดฝุ่นทั้งหลายพร้อมทั้งตอบกลับไปว่า

“เขาตอบกลับไปว่า ฉันอยากจะทำให้เด็กๆพวกนี้รู้ว่าโลกใบนี้มันงดงามแงะมหัศจรรย์”

ร่างกายของเฉินหลินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับสั่นสะท้านไปทันที

ตัวนางนั้นมีอาชีพเป็นครูเกี่ยวกับภาษาดังนั้นจึงเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของคำพูดนี้ดี

เป็นเพราะการที่ปู่ของนางรับเลี้ยงเด็กเหล่านี้เอาไว้ก็เพื่ออยากจะให้พวกเขารู้ว่าโลกนี้ยังมีความหวังและเต็มไปด้วยสิ่งสวยงามและความอบอุ่น

“คุณปู่ ”

นางส่งเสียงสั่นๆออกมาเพราะตระหนักได้แล้วว่าบรรพบุรุษของนางเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด

หลินเทียนไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนที่จะปัดฝุ่นทั้งหลายตามป้ายหลุมศพพร้อมทั้งจัดระเบียบมันใหม่อีกครั้ง

ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดขณะที่หมู่ดาวรายล้อมม่านฟ้าเอาไว้พร้อมปรากฏดวงจันทร์ขนาดใหญ่ส่องประกายแสงระยิบระยับลงมายังพื้นโลก

หลินเทียนยังคงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ต่างจากก้อนหินโดยที่ไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อย

เฉินหลินเองก็ยืนอยู่ข้างๆเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรขณะที่มองไปยังป้ายหลุมศพตรงหน้าอย่างสงบ

เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงที่ดวงจันทร์ได้ลับฟ้า

ไม่นานดวงอาทิตย์ก็สาดแสงอันอบอุ่นปกคลุมไปทั่งทั้งพื้นโลกใบนี้

มันเป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่จิตสังหารอันเข้มข้นได้แผดขยายออกไปรอบทิศทางถึงขั้นทำให้อากาศโดยรอบเย็นตัวลงอย่างรุนแรง

ร่างกายของหลินเทียนในตอนนี้รายล้อมไปด้วยประจุสายฟ้าที่โลดแล่นไปทั่วร่างขณะที่แววตาส่องประกายความเย็นยะเยือกถึงขีดสุดออกมา

“เล่าเรื่องเกี่ยวกับอันธพาลและทุกคนที่ไปสร้างปัญหาที่บ้านเธอมาให้ฉันฟังทั้งหมด ”

เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างมาก

การกลับมาในครั้งนี้กลับพบว่าที่อยู่ของผู้มีพระคุณของเขากลับถูกทำลาย ลูกหลานถูกสังหารแถมหลุมศพเองก็ยังถูกขุดทำลายนี่มันทำให้เขาหมดความอดทนโดยทันที

ร่างกายของเฉินหลินได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างรุนแรงถึงขั้นที่ขาอ่อนแรงลงอย่างฉับพลัน

เป็นเพราะว่าสายตาของหลินเทียนในตอนนี้มันทำให้นางรู้สึกกลัวเสมือนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น

นางส่งเสียงตอบรับสั่นๆออกมาก่อนที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับหลินเทียนและรู้ดีว่าที่อยู่ของพวกอันธพาลมันอยู่ไหน

ดวงตาของหลินเทียนส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่จะหันมองไปทางหลุมศพเล็กน้อยพร้อมทั้งแผดคลื่นพลังออกมาโอบร่างของเฉินหลินเอาไว้พร้อมทั้งปรากฏตัวขึ้นใจกลางห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง

มันเป็นอาคารสูงประมาณ 40 เมตร มีทั้งหมด 12 ชั้นซึ่งสายตาของผู้คนทั้งหลายต่างพากันจ้องมองมาทางเขาและเฉินหลินด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

“ทั้งสองคนนี้มัน……อยู่ดีๆโผล่ออกมาได้ไงกัน ?! นี่มัน….เรื่องบ้าอะไรกัน ?! ”

หนึ่งในผู้คนส่งเสียงออกมา

ณ ตอนนี้พวกเขาสังเกตเห็นเพียงแค่ประกายแสงเล็กน้อยก่อนที่ร่างของหลินเทียนและเฉินหลินจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขา

เฉินหลินเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่ต่างกัน

เป็นเพราะว่านางเองก็รู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้กับหลุมศพของปู่นางห่างไกลกันมากทว่าหลินเทียนกลับนำนางมาที่นี่ได้ภายในชั่วพริบตา

หากว่าใช้เวลาเดินอย่างน้อยๆก็กินเวลาเป็นครึ่งวัน !

ทว่าตอนนี้มันกลับเคลื่อนที่มาได้ภายในชั่วพริบตา !

“นี่……”

นางได้แต่สั่นสะท้านไป

นางรู้ดีว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับหลินเทียนแต่ก็ยังทำให้นางตกตะลึงไม่น้อยแม้จะรู้อยู่แล้วว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดา

การเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาแบบนี้มันไม่ต่างไปจากเทพเจ้าเลยด้วยซ้ำ !

หลินเทียนไม่ได้สนใจสีหน้าที่ตกตะลึงของคนรอบข้างแม้แต่น้อยก่อนที่จะแผดจิตสัมผัสอันทรงพลังออกไปโดยรอบด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกพลางก้าวเดินออกไป

แม้ว่าเฉินหลินจะยังอยู่ในอาการที่ตกตะลึงแต่ก็รีบก้าวเดินตามหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนก้าวเดินเข้าไปภายในห้องขนาดใหญ่ที่มีหญิงสาวรูปร่างเร่าร้อนกำลังเต้นอยู่ท่ามกลางแสงสี

“หนุ่มหล่อดูไม่คุ้นหน้าเลย ครั้งแรกงั้นหรอ ? อยากจะเล่นอะไรกันล่ะ ? ที่นี่มีทุกอย่างที่อยากได้เลยนะ ”

หญิงสาวรูปร่างยั่วเย้าได้ก้าวเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะส่งเสียงกระซิบออกมาว่า

“โดยเฉพาะสาวๆอันเร่าร้อนและทรงเสน่ห์ที่จะดูแลคุณอย่างดี ! ”


1332

หญิงสาวรูปร่างยั่วยวนที่เป็นคนของที่นี่ได้ก้าวเดินเข้ามาทางเขา

หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาโดยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยก่อนที่จะก้าวเดินออกไปด้านหน้า

บันไดตรงหน้าของเขาทอดยาวขึ้นไปยังชั้นด้านบน

“นี่หนุ่มหล่อคิดจะไปไหนงั้นหรอ ? ”

หญิงสาวได้ส่งเสียงออกมาและหลังจากที่พบว่าหลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมาโดยที่ไม่สนใจนางและกำลังเดินขึ้นไปด้านบนโดยที่มีเฉินหลินเดินตามหลังก็ทำให้สีหน้าของนางตกต่ำลงทันทีก่อนที่จะส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาว่า

“อยากจะมาหาเรื่องหรือไงกัน ? ”

ระหว่างที่พูดนางก็ได้หันไปส่งสัญญาณให้กับชายรูปร่างกำยำทั้งหลายที่อยู่ห่างออกไป

แน่นอนว่าภายในห้องบันเทิงพิเศษนี้ก็ย่อมมีการรักษาความปลอดภัยที่พิเศษเช่นกัน

“เจ้าหนูจะมาสร้างปัญหา ? ”

หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาพลางล้อมร่างของหลินเทียนและเฉินหลินเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ดุร้าย

ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้เองที่ต่างพากันหันมองมาในทิศทางเดียวกัน

“มีคนมาสร้างปัญหา ? ”

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ไหม ? ที่นี่เป็นถึงถิ่นของพี่ชายฮู ใครจะกล้าสร้างปัญหากัน ? นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ ? ”

“ร่างกายผอมบางแบบนั้นกล้าสร้างปัญหา ? ”

กลุ่มอันธพาลพากันหันมองมาทางหลินเทียนพร้อมทั้งส่งเสียงเยาะเย้ยออกมาแต่ความจริงแล้วรูปร่างของหลินเทียนเองก็ดูไม่ได้แข็งแรงอะไรมากนัก

“ดูไม่ได้เอาซะเลย ”

ผู้คนพากันส่งเสียงออกมา

หลายๆคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอรับชมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

เพราะถึงอย่างไรพวกเขาเองก็มาที่นี่เพื่อจะรับชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว

การต่อสู้นั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ

ณ ตอนนี้กลุ่มชายรูปร่างกำยำเองก็ตั้งท่าเหมือนว่ากำลังจะต่อสู้กับหลินเทียน

เสียงจังหวะเพลงยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกเสมือนผู้จัดพบว่าหลายๆคนกำลังล้อมร่างของหลินเทียนเอาไว้ถึงได้เปิดเพลงปลุกกำลังใจให้กับเหล่าชายรูปร่างกำยำ

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่หญิงสาวทั้งหลายก็ยังคงเต้นยั่วยวนอยู่ด้วยเครื่องแต่งกายที่เปิดเผย

สีหน้าของหลินเทียนที่ถูกขวางทางเอาไว้โดยกลุ่มคนยังคงราบเรียบอย่างเคย

สายตาของชายรูปร่างกำยำทั้งหลายเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่าเพราะแค่มองดูก็รู้ว่าหลินเทียนจงใจจะมาสร้างปัญหาดังนั้นถึงได้เปิดฉากโจมตีเข้าใส่โดยทันที

ชายรูปร่างกำยำปล่อยหมัดเข้าใส่ทางเขาอย่างไม่ปราณีแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตามมันเป็นตอนนี้เองที่ร่างกายของพวกเขาต่างสั่นสะท้านไปอย่างรุนแรงเสมือนโดนฟ้าผ่าเข้าใส่ก่อนที่จะสลบลงกับพื้นอย่างกะทันหัน

สายตาของหลินเทียนยังคงความเย็นยะเยือกขณะที่ก้าวเดินต่อขึ้นไปด้านบนพร้อมๆกับเฉินหลิน

“นี่มัน…..”

“ทุกคน…….ล้มลงหมด ?! ”

“เกิดอะไรขึ้นกัน ? ”

กลุ่มคนที่อยู่ภายในห้องนี้ต่างพากันผงะไปขณะที่หญิงสาวที่กำลังเต้นยั่วยวนได้แต่สั่นสะท้านด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นอย่างมาก

เป็นเพราะพวกเขาไม่เห็นการเคลื่อนไหวของหลินเทียนแม้แต่น้อยทว่าชายรูปร่างกำยำทั้งหลายกลับสลบไป

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่หญิงสาวรูปร่างเร่าร้อนได้ส่งเสียงสั่นๆออกมาว่า

“นะ…นาย…….”

เมื่อมองไปทางหลินเทียนแล้วมันทำให้นางได้แต่สั่นไปพลางก้าวถอยกลับไปทรุดอยู่ด้านหลังโดยที่ไม่กล้าปริปากอีกแม้แต่น้อยแม้ว่าจะไม่รู้ว่าชายรูปร่างกำยำหมดสติไปได้อย่างไรแต่มันต้องเกี่ยวข้องกับหลินเทียนอย่างแน่นอนแล้วจะให้นางกล้าหยุดหลินเทียนได้ไงกัน ?

หลินเทียนใช้เพียงแรงกดดันอ่อนๆทำให้ชายรูปร่างกำยำทั้งหลายสลบไปก่อนที่จะก้าวเดินต่อขึ้นไปโดยที่ไม่ได้สนใจคนอื่นๆแม้แต่น้อย

จนถึงช่วงที่ร่างของเขาและเฉินหลินได้เดินจากไปแล้วอย่างแท้จริงแต่คนที่อยู่ภายในห้องก็ยังตกตะลึงไม่หาย

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”

หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเห็นไป

……….

หลินเทียนก้าวเดินต่อขึ้นไปจนถึงที่ชั้น 12 อย่างรวดเร็ว

มันเป็นชั้นที่สูงที่สุดซึ่งมีห้องกว้างที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนรวมถึงคนเฝ้าตามทางเดิน

“ใครกัน ?! ใครปล่อยให้นายขึ้นมาได้กัน ! ”

สีหน้าของยามเฝ้าทางเดินได้เปลี่ยนไปหลังจากที่พบว่าหลินเทียนและเฉินหลินกำลังเดินเข้ามา

แน่นอนว่ามันเป็นสถานที่ๆคนธรรมดาไม่สามารถเข้ามาได้

หลินเทียนยังคงมีสีหน้าที่เย็นยะเยือกขณะที่ก้าวเดินออกไปโดยที่ร่างกายปลดปล่อยแรงกดดันอ่อนๆออกมาทำให้ยามทั้งหลายสลบไป

เขาก้าวเดินเข้าไปภายในห้องอย่างไม่รอช้า

ที่นี่มีผู้คนอยู่กว่าร้อยคนซึ่งหลังจากที่เห็นการปรากฏตัวของหลินเทียนและเฉินหลินรวมถึงร่างของยามที่นอนสลบอยู่กับพื้นแล้วสีหน้าของพวกเขาก็พากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

“แก ! ”

ชายผมเหลืองส่งเสียงโห่ร้องออกมาขณะที่มองไปยังใบหน้าของเฉินหลินด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

ชายคนนี้มีอายุประมาณ 29 ปีและกำลังจ้องมองไปทางเฉินหลินด้วยร่างกายที่แข็งค้างไป

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ชายผมแดงและชายที่กำลังถือโทรศัพท์เองก็ต่างโง่งมไปเช่นกัน

“เฉินหลิน ?! ”

พวกเขาส่งเสียงออกมา

เฉินหลินที่อยู่ด้านหลังและกำลังสบสายตากับคนเหล่านี้เองก็ได้แต่สั่นสะท้านไป

“พวกแก…”

นางถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยใบหน้าที่โกรธแค้นอย่างมากเพราะไม่มีทางเลยที่จะลบเลือนใบหน้าของคนเหล่านี้ไปได้เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนที่มาข่มขู่ครอบครัวของนางก่อนที่จะวางยาและเผาบ้านจนตายยกครัว

“แก …..”

ชายผมเหลือง ผมแดงและชายที่กำลังถือโทรศัพท์ล้วนจ้องเขม็งไปทางเฉินหลินด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น

เป็นเพราะว่าคนที่พวกเขาสังหารไปเมื่อสามปีก่อนกลับมายืนอยู่ตรงหน้านี้ !

ผู้คนที่เห็นเช่นนั้นเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่สงสัยออกมาพร้อมๆกับหนึ่งในนั้นที่ถามชายผมเหลืองว่า

“พี่ชายจ้าว มีอะไรกัน ? คนรู้จักของพวกพี่ ? ”

ชายผมเหลืองนี้มีสกุลว่าจ้าวซึ่งทั้งสามคนนี้ล้วนแล้วแต่มีสถานะที่ไม่ธรรมดาในหมู่ผู้คน

“เอะอะอะไรกัน ! ”

เสียงคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่ชายรูปร่างกำยำที่รายล้อมไปด้วยผู้คุ้มกันหลายคนเดินเข้ามาภายในห้องด้วยรูปลักษณ์ประมาณ 42 ปีมีแผลเป็นที่ใบหน้า

ผู้คนที่เห็นเช่นนั้นต่างพากันหันมองออกไปพร้อมทั้งทำความเคารพพลางพูดว่า

“พี่ชายฮู ! ”

ชายหน้าบากคนนี้มีชื่อเต็มว่าเฮอฮูเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาที่ทรงอำนาจในอาณาเขตนี้ซึ่งผับที่อยู่เบื้องล่างเองก็เป็นหนึ่งในธุรกิจของเขาที่มีมูลค่าไม่น้อย

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่สายตาของเขาได้หันมองออกไปทางหลินเทียนและเฉินหลินก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงสีหน้าที่ราบเรียบทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีจึงได้ส่งเสียงออกมาว่า

“มาสร้างปัญหา ? ”

ชายผมเหลืองรีบเข้าใกล้เฮอฮูก่อนที่จะหันมองไปทางเฉินหลินแล้วพูดว่า

“พี่ชายฮู ผู้หญิงคนนั้นคือเฉินหลินที่บริษัทกิเลนได้จ้างพวกเราไปจัดการครอบครัวของมันเมื่อสามปีก่อน……. ”

ชายผมเหลืองได้อธิบายเรื่องราวทั้งหลายออกไปอย่างรวดเร็ว

“อะไรนะ ?! ”

ดวงตาของเฮอฮูถึงกับหดเล็กลงก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า

“แน่ใจนะว่าเป็นครอบครัวของทั้งสามคนที่ตาย ?! ”

“ไม่ผิดแน่นอนครับ ! ”

ชายผมเหลืองส่งเสียงออกมา

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่คนอื่นๆเองก็อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่วางยาพร้อมทั้งให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุจนบ้านระเบิดก่อนที่บริษัทกิเลนจะทำการก่อสร้างทับที่แห่งนั้น

เฮอฮูได้แต่มองไปทางเฉินหลินด้วยดวงตาที่หดเล็กลงอย่างมากเพราะว่าคนที่ตายไปเมื่อสามปีก่อนกลับมายืนอยู่ตรงหน้าของเขา

นี่มันคน ? หรือผีกัน ?

เขาได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกว่า

“ช่างเถอะว่ามันจะเป็นผีหรือคน ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับออกไป ”

เป็นเพราะว่ากลุ่มอันธพาลของเขาเองก็ไม่ใช่กระจอกๆ

“จัดการ ! ”

เฮอฮูออกคำสั่งอย่างดัง

นี่ทำให้กลุ่มผู้คนทั้งหลายพากันรายล้อมร่างของหลินเทียนและเฉินหลินเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้ชายผมเหลือง ผมแดงและคนที่กำลังถือโทรศัพท์เองก็ต่างมีสีหน้าที่ตกตะลึงหลังจากที่ได้เห็นหน้าของเฉินหลินแต่เมื่อได้ยินคำสั่งของเฮอฮูแล้วความตกตะลึงในจิตใจก็ได้สลายหายไปโดยทันที

ชายชุดเหลืองได้ก้าวออกมาพร้อมทั้งส่งเสียงอันดุร้ายออกมาว่า

“ไม่สนหรอกว่าจะเป็นผีหรือคนแต่พ่อคนนี้จะฆ่าแกเอง ! หากว่าเรื่องอุบัติเหตุนั่นถูกเปิดเผยโดยนังโสเภณีนี่ก็คงเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อย ฉันไม่อยากไปขึ้นโรงขึ้นศาลหรอกนะ แต่ต่อให้ไปแจ้งความก็เปล่าประโยชน์เพราะว่าที่โรงพักมีคนของพี่ชายฮูอยู่ด้วย ! ”

ชายคนนั้นส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งหยิบเอามีดออกมาจากเอวก่อนที่จะ พูดต่อว่า

“มาลองลิ้มรสชาติคมมีดของฉันดูหน่อยไหมล่ะ ! ฮ่า ! ”

กองกำลังอันธพาลรายล้อมร่างของหลินเทียนและเฉินหลินเอาไว้จากรอบทิศทางขณะที่ชายผมเหลืองก้าวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ดุร้ายนี้ทำให้นางอดรู้สึกสั่นกลัวไปไม่ได้เนื่องจากภาพความทรงจำจากเมื่อสามปีก่อนที่ผุดขึ้นมา

มันเป็นตอนนี้เองที่ร่างของหลินเทียนได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน

นี่ทำให้อีกฝ่ายได้แต่สั่นสะท้านไปกับความเร็วระดับนี้ถึงขั้นที่อดก้าวถอยกลับไปไม่ได้พร้อมทั้งอุทานออกมาว่า

“แก…”

หลินเทียนโบกมือชิงเอามีดในมือของอีกฝ่ายมาพร้อมทั้งฟาดฟันออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก

“พุฟฟ ~! ”

เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่อวัยวะภายในของชายผมเหลืองกระจัดกระจายออกไปทั่วโดยที่ไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ

นี่ทำให้สีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงไม่เว้นแม้แต่ตัวของเฮอฮูเองก็ด้วยเพราะความเร็วของหลินเทียนนั้นมันสูงเกินไปแถมยังฉีกร่างของอีกฝ่ายออกภายในพริบตา

“กล้างั้นรึ ! ”

เฮอฮูส่งเสียงคำรามออกมาหลังจากที่เรียกสติกลับมา

สายตาของหลินเทียนในตอนนี้ยังคงเย็นยะเยือกถึงขีดสุดพร้อมทั้งฟาดฟันมีดในมือเข้าใส่ทางชายผมแดงที่อยู่ห่างออกไปโดยที่ไม่สนใจแม้แต่น้อย

แกร๊ง ! เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่คลื่นกระบี่สีทองพวยพุ่งผ่านอากาศเข้าใส่ทางชายผมแดง

“พุฟฟ ~! ”

เลือดสาดกระจายออกไปรอบพื้นที่ขณะที่เศษชิ้นเนื้อกระเด็นกระดอนไปทั่ว

ตั้งแต่ก้าวเดินบนเส้นทางบ่มเพาะนี้เขาเคยตั้งกฎเหล็กเอาไว้หลังจากที่ก่อสร้างสำนักว่าศิษย์สำนักไม่สามารถลงไม้ลงมือกับมนุษย์ธรรมดาได้แต่ทั้งสามคนนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปทว่าเป็นคนที่ชั่วช้าซึ่งสมควรตาย !

ในเมื่ออีกฝ่ายรนหาที่ตายเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะไม่ปราณีเพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีคุณค่าในสายตาของเขาอยู่แต่แรกแล้ว !


1333

หลังจากที่ทำการสังหารชายผมเหลืองและผมแดงไปแล้วก็ยังเหลือแค่ชายที่กำลังถือโทรศัพท์เอาไว้เท่านั้น

เมื่อต้องสบสายตาอันเย็นยะเยือกของหลินเทียนแล้วอีกฝ่ายก็ได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างไม่หยุดหย่อนถึงขั้นที่ฉี่แตกออกมาพลางก้าวถอยกลับไปหาชายหน้าบากแล้วพูดว่า

“พี่ใหญ่ฮู ช่วย……..ผมด้วย ! ……ฆ่ามัน ! ”

แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นคนที่ชั่วช้าทว่าก็ไม่ใช่คนโง่ดังนั้นแม้จะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆเฉินหลินถึงได้กลับมาหลังจากที่ถูกสังหารไปเมื่อสามปีก่อนแต่หลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนได้สังหารชายทั้งสองคนไปแล้วก็รู้ดีแจ่มแจ้งเลยว่าหลินเทียนสังหารชายทั้งสองเพื่อนางและไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอนแถมทักษะสังหารที่หลินเทียนใช้ยังสุดยอดมากๆถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่หลงเหลือซากศพที่สมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ

เฮอฮูที่ได้ยินเช่นนี้ก็ได้หันมองไปทางหลินเทียนพร้อมทั้งอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก เขาที่เป็นลูกพี่ขององกรใต้ดินเองก็เคยเห็นภาพอันน่าตกตะลึงมามากมายแต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำเนื่องจากหลินเทียนนั้นสามารถสังหารคนของเขาได้แม้จะฟาดฟันอยู่ห่างออกไปนี่มันใช่อะไรที่คนสามารถทำได้ ? นี่ทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกไปทันที

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่คนอื่นๆขององกรเองก็ต่างพากันสั่นสะท้านไปไม่ต่างกันก่อนที่จะก้าวถอยกลับไปด้วยสายตาที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด

หลินเทียนหันมองไปยังชายตรงหน้าก่อนที่จะกวัดแกว่งมีดในมือเพื่อส่งคลื่นกระบี่ออกไปพุ่งผ่านร่างของอีกฝ่ายก่อนที่จะลากร่างของมันทะลุผ่านผนังห้องนี้แล้วร่วงลงไปแหลกสลายอยู่เบื้องล่าง

นี่ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างพากันแสดงสีหน้าที่หวาดผวาออกมา

“…………ฆาตกร ! ”

หญิงสาวคนหนึ่งส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างดัง

นี่ทำให้สถานที่แห่งนี้ปั่นป่วนโดยทันทีขณะที่พากันมองกลับขึ้นไปด้านบนตึกตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว

“รีบแจ้งตำรวจเร็ว ! ”

หนึ่งในผู้คนส่งเสียงออกมา

……….

ระหว่างนี้อันธพาลทั้งหลายที่อยู่ด้านบนเองก็ต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

พวกเขาได้แต่พากันจ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านไม่หยุดเพราะว่าหลินเทียนทำเพียงแค่กวัดแกว่งเล็กน้อยทว่ากลับมีพลังทำลายผนังที่อยู่ด้านหลังพร้อมลากร่างของคนออกไปนี่มันเป็นความแข็งแกร่งระดับไหนกัน ? นี่ยังใช่คนอยู่อีก ?

เฉินหลินเองก็สั่นสะท้านด้วยความตกตะลึงไม่แพ้กันก่อนที่จะหลั่งน้ำตาออกมาหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนได้สังหารทั้งสามคนลงแล้ว

ทั้งสามคนนี้เป็นคนสังหารยกครัวของเธอดังนั้นการที่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายได้ตกตายลงแบบนี้ก็หมายความว่าความแค้นได้ถูกชำระแล้ว

หลินเทียนหันหน้ามองไปทางหัวหน้าองกรอย่างเฮอฮูเป็นรายต่อไป

“แก……..แกต้องการจะทำอะไรกันแน่ ?! ”

เฮอฮูส่งเสียงออกมาด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากหนูตัวน้อยๆที่กำลังแสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาพลางก้าวถอยหลังกลับไปพร้อมพูดได้เสียงสั่นๆว่า

“คะ…..การตายของครอบครัวนั่นไม่ใช่ฝีมือของฉันนะ เป็นพวกมันนั่นแหละ …….ทั้งสามคนนั้น ”

หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของอีกฝ่ายในชั่วพริบตาพลางคว้าคอของมันเอาไว้ก่อนที่จะตรวจสอบความทรงจำด้วยจิตสัมผัสอันทรงพลังพร้อมพบว่า…….เรื่องของบ้านพักตระกูลเฉินนั้นเป็นอย่างที่ลุงสองคนที่อยู่หน้าตึกเคยเล่าให้เขาฟังไม่มีผิดเนื่องจากองกรนี้เป็นองกรที่ทางผู้จัดการของบริษัทกิเลนได้สร้างเอาไว้แบบลับๆ

ดวงตาของเขาส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่จะบดขยี้ร่างของอีกฝ่ายแหลกสลายหายไปกลายเป็นเพียงแค่กองเลือด

หลังจากที่ตรวจสอบความทรงจำของอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้เขาได้รู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดถูกบริษัทกิเลนชักใยอยู่เบื้องหลังและระหว่างนี้เขาก็ได้พบกับภาพความทรงจำอื่นๆของเฮอฮูที่สังหารผู้คนมากมายดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บมันเอาไว้

“พี่ใหญ่ฮู……..”

“นี่มัน…”

“ผี…..ปีศาจ ! ”

ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ต่างพากันส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งหันหลังวิ่งหนีไปด้วยความกลัว

สำหรับพวกเขาแล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาๆจะสามารถทำได้เลยด้วยซ้ำ

ทุกคนได้แต่หวาดหวั่นระหว่างที่วิ่งเข้าหาลิฟท์ หลายๆคนวิ่งลงบันไดและอีกหลายๆคนที่หกลมคลุกคลานอยู่กับพื้นแต่ก็รีบคลานหนีไปด้วยความหวาดกลัว

พริบตาสถานที่แห่งนี้ก็เหลืองเพียงแค่หลินเทียนและเฉินหลินที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่กับที่เพราะแม้จะรู้ว่าหลินเทียนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเพราะสามารถช่วยให้เธอฟื้นคืนชีพกลับมาได้แต่หลังจากที่เห็นภาพที่เขาแปรสภาพร่างกายของเฮอฮูกลายเป็นกองเลือดไปแล้วก็ยังอดสั่นไปไม่ได้

หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมพร้อมทั้งเดินออกไปยังรูใหญ่ตรงผนังที่เขาสร้างเอาไว้ก่อนที่จะมองไปยังตึกสูงขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่มีความสูงกว่าสองกิโลเมตรจึงเรียกได้ว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองนี้เลยก็ว่าได้

เมื่อมองออกไปแล้วสีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่าเพราะช่วงก่อนที่เขาจะจากโลกใบนี้ไปตึกที่สูงที่สุดในเมืองนี้ยังมีความสูงไม่ถึงสามร้อยเมตรเลยด้วยซ้ำแต่ผ่านมาห้าสิบปีกลับแปรเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องเป็นสถานที่ๆโด่งดังและรู้จักกันดีอย่างแน่นอน

ที่นั่นคือตึกของบริษัทกิเลน

เขายืนอยู่ที่ชั้นสิบสองขณะที่มองออกไปก่อนที่จะเรียกให้เฉินหลินเดินเข้ามาใกล้พร้อมทั้งหายตัวไปจากจุดนี้ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นเหนือน่าฟ้าของตึกกิเลนที่สร้างขึ้นด้วยกระจกกันกระสุน

ร่างกายของเฉินหลินได้แต่สั่นสะท้านไปเพราะเพียงพริบตาเดียวนางกลับมาอยู่ที่จุดนี้

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางกำลังยืนอยู่กลางอากาศ !

“นี่….”

นางได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุด

นี่ปู่นางรับเลี้ยงคนแบบไหนเอาไว้กัน !?

นี่มันไม่ต่างกับเทพเจ้าแล้ว !

หลินเทียนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของกระจกกันกระสุนขณะที่ภายในมีกลุ่มคนกำลังนั่งสนทนาบางอย่างทว่าเมื่อเห็นร่างของหลินเทียนและเฉินหลินที่อยู่กลางอากาศแล้วก็ได้แต่ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตกตะลึงทำให้สีหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

“นี่มัน….”

เป็นเพราะภาพตรงหน้าของพวกเขาคือมีคนกำลังยืนอยู่กลางอากาศ !

หลินเทียนหันมองเข้าไปภายในห้องทำงานแห่งนี้ก่อนที่จะแผดคลื่นพลังออกไปทำลายกระจกตรงหน้าแล้วเหาะลงมาตรงหน้าของชายวัยกลางคนทั้งสองที่เป็นประธานและผู้จัดการของบริษัทนี้

เขารู้มาจากความทรงจำของเฮอฮูว่าเรื่องทั้งหมดมันมาจากสองคนนี้ดังนั้นจึงรู้จักรูปลักษณ์ของทั้งสองเป็นอย่างดี

“แก….เป็นใครกัน ?! ”

ผู้คนทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

มันเป็นตอนนี้เองที่ประตูทางเข้าได้ถูกเปิดเข้ามาพร้อมๆกับปรากฏร่างของชายหนุ่มอมนุษย์ที่ส่งเสียงออกมาว่า

“ไอ้แก่ ครั้งนี้รสชาติของชั้นดีมันไม่เท่าไหร่เลยนะ นี่กำลังเอาของส่งๆมาให้ฉันงั้นรึ ? ”

เมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายแล้วประธานและผู้จัดการเองก็ได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งทิ้งเรื่องของหลินเทียนไปก่อนที่จะรีบก้าวเดินออกไปต้อนรับ

“ท่าน…….เทพพระเจ้าโปรดเมตตา ! เรารับประกันเลยสินค้าที่ส่งไปทุกครั้งล้วนเป็นของชั้นดีที่คัดสรรค์สำหรับท่าน ! ครั้งนี้……หากว่าท่านไม่พอใจกระผมจะไปเลือกสินค้าที่ดีที่สุดให้ท่านด้วยตัวเอง ! ”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอมนุษย์คนนี้แล้วประธานก็ได้แต่แสดงท่าทางที่ระมัดระวังออกมาและไม่กล้าเสียมารยาทแม้แต่น้อยเพราะว่าการที่บริษัทของเขาเติบโตขึ้นมาได้จนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะการอาศัยพลังของชายหนุ่มตรงหน้าที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ไม่ต่างจากเทพเจ้าเลยแม้แต่น้อย

เมื่ออยู่ต่อหน้าของชายหนุ่มคนนี้แล้วเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากข้ารับใช้ที่ไม่กล้าขัดใจอีกฝ่าย

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่หลินเทียนได้หันมองไปยังอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ส่องประกายเล็กน้อย

เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังอสูรจากมันทำให้ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์

เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับสัตว์อสูรภายในใจกลางเมืองแบบนี้แถมยังเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้

ประธานเองก็ยังคงขอขมาแก่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าที่ระมัดระวังและเคารพอย่างมาก

ชายหนุ่มหันมองออกไปเล็กน้อยพร้อมทั้งพูดว่า

“ก็ดี ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่กล้าทำส่งๆให้กับข้า ครั้งนี้ข้าจะอภัยให้ ”

หลังจากนั้นก็หันมองมาทางหลินเทียนและเฉินหลินพร้อมๆกับภาพของกระจกที่แตกกระจายพลางเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาว่า

“ดูเหมือนว่ากำลังเจอปัญหางั้นรึ นี่พวกมันมาสร้างปัญหา ? ”


1334

เมื่อฟังจากคำพูดของชายหนุ่มอมนุษย์แล้วประธานบริษัทได้พยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า

“ท่านเทพเจ้ามีช่างมีสายตาที่แหลมคมเสียเหลือเกิน ได้โปรดช่วยพวกเราจัดการด้วย ทั้งสองคนนี้มันไม่ใช่คนธรรมดา ”

ประธานเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนนั้นตั้งใจจะมาสร้างปัญหาไม่งั้นจะพังกระจกเข้ามา ? อีกอย่างเขาเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเพราะหากเป็นคนธรรมดามันจะเหาะได้อย่างไรกัน ?

“ข้าจะช่วยจัดการให้แล้วกันแต่ขอบอกก่อนเลยนะว่าสินค้าครั้งหน้าต้องดีกว่านี้ไม่งั้นเจ้าก็คงจะรู้ถึงผลที่ตามมาดีสินะ ”

อมนุษย์ส่งเสียงออกมา

ประธานพยักหน้าของเขาซ้ำๆพร้อมทั้งตอบกลับด้วยความเคารพว่า

“ไดโปรดวางใจได้เลยครับ เราจะคัดสรรค์เฉพาะหญิงสาวที่ยังบริสุทธิ์และงดงามเหมาะกับความต้องการของท่านแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแม้แต่น้อยเพราะข้าน้อยเพิ่มให้อีกเป็นสองเท่าตัว ”

“อื้ม พูดได้ดี ”

ชายหนุ่มอมนุษย์ได้ส่งเสียงออกมาพลางพยักหน้าของเขา

เมื่อพูดจบแล้วก็เดินเข้าหาทางหลินเทียนและเฉินหลินด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสแม้แต่น้อย

หลินเทียนที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นเองก็ได้ส่งเสียงออกมาว่า

“สินค้าชั้นดี บริสุทธิ์ มีใบหน้าที่งดงาม ”

พลางถามต่อว่า

“เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่ ? ”

จากคำพูดของอีกฝ่ายแล้วอมนุษย์คนนี้มันจะเอาตัวหญิงสาวเหล่านั้นไปทำอะไรกัน ?

ไม่บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

อมนุษย์ได้ยิ้มพลางส่งเสียงอันชั่วร้ายออกมาว่า

“คนที่กำลังจะตายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ”

เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงสีดำที่อัดแน่นไปด้วยพลังอสูรเข้าใส่ทางหน้าผากของหลินเทียนอย่างไม่รอช้า

สีหน้าของหลินเทียนเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่าขณะที่การโจมตีของอีกฝ่ายแหลกสลายลงโดยที่เขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อยเนื่องจากมันไม่สามารถแบกรับแรงกดดันของเขาได้

นี่ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะตระหนักได้แล้วว่าหลินเทียนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาเพราะสามารถทำลายการโจมตีของเขาลงได้ง่ายๆ

“เจ้าเป็นใครกัน ?”

เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา

หลินเทียนไม่ได้ตอบกลับอะไรขณะที่ประกายแสงสีทองพุ่งผ่านอากาศเข้าทะลวงใส่หน้าผากของอีกฝ่ายพลางอ่านความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับสินค้าชั้นเลิศทั้งหลาย

นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยทันที

เป็นเพราะว่าสินค้าที่พวกมันพูดถึงคือเด็กสาวอายุ 16 ปีที่ยังคงบริสุทธิ์ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งพลังของมันก่อนที่จะกลายเป็นอาหารในที่สุด

“กล้านักนะ ! ”

เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาขณะที่จิตสังหารอันเข้มข้นระเบิดออกมารอบทิศทางพร้อมกระแทกร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล

นี่ทำให้สีหน้าของประธานและผู้จัดการต่างเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

“ท่าน !!! ”

ประธานส่งเสียงออกมา

เขารู้ดีว่าชายหนุ่มอมนุษย์คนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนเพราะเคยได้เห็นความสามารถที่เหนือมนุษย์ของอีกฝ่ายมากับตาทว่าตอนนี้กลับถูกกระแทกปลิวออกไปด้วยร่างกายที่โลกไปด้วยเลือดเพียงเพราะคำพูดของหลินเทียนนี่มันทำให้เขาตัวสั่นไปทันที

“อั๊ก ~! ”

ชายหนุ่มอมนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปได้กระแทกเลือดออกมาขณะที่อัญมณีกลางหน้าอกส่องประกายแสงออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งแหลกสลายหายไปหลังจากที่ป้องกันจิตสังหารของหลินเทียน

“เศษเสี้ยวอาวุธเทวะ ”

สีหน้าของหลินเทียนเย็นชายิ่งกว่าเก่า

จิตสังหารที่เขาปลดปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้รุนแรงมากนักดังนั้นการเศษเสี้ยวอาวุธเทวะถึงได้ช่วยชีวิตของอีกฝ่ายเอาไว้

ชายหนุ่มได้ยืนกลับขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุดเพราะเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตสังหารของหลินเทียนกลับทำให้เขาได้รับบาดเจ็บขนาดที่ว่าอัญมณีป้องกันตัวที่เสี่ยงชีวิตจนได้รับมาจากสุสานโบราณกลับแหลกสลายนี่มันทำให้เขาได้แต่หวาดหวั่นไปทันทีเพราะว่าเขาไม่สามารถต่อต้านหลินเทียนได้อย่างแน่นอน

วิ้สสส ! เสียงพุ่งผ่านอากาศออกมาขณะที่เขาลุกขึ้นพร้อมทั้งพุ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกแต่ก็ไม่ได้ไล่ตามไป

“ต่อให้หนีออกไปสุดขอบฟ้าก็หนีข้าไม่พ้นหรอก ! ”

เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา

เป็นเพราะอายุ 16 ปีนั้นเป็นช่วงอายุที่กำลังเบ่งบานทว่าความบริสุทธิ์ของเด็กสาวทั้งหลายต้องกลับกลายเป็นพลังให้กับมันแถมหลังจากที่สูบพลังจนหมดแล้วก็ยังเอาร่างของพวกนางไปกลั่นไปยา !

เขาไม่มีทางไว้ชีวิตมันอย่างแน่นอน !

เขาหันมองออกไปทางประธานและผู้จัดการโดยที่ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่ประกายแสงสีทองจะพุ่งผ่านร่างของพวกเขาและระเบิดออกกลายเป็นกองเลือดทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นที่เป็นลมล้มพับไป

คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดเกี่ยวกับแผนการฆ่ายกครัวตระกูลเฉินล้วนถูกสังหารลงโดยไม่มีเหลือ

เขาหันมองออกไปทางชายหนุ่มที่กำลังพุ่งหนีไปโดยที่ไม่ได้ล่าตามออกไปเพราะเขาจดจำกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้ดีแถมยังรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหนเลยไม่ได้ไล่ตามไป

เป็นเพราะว่าเขาจำเป็นต้องทำให้เฉินหลินสงบสติลงก่อนที่จะฆ่าอีกฝ่ายลง

“ไปกัน ”

เขาหันมองไปทางนางพร้อมๆกับส่งประกายแสงสีทองออกไปห่อหุ้มร่างของนางเอาไว้ก่อนที่จะหายตัวไปทันที

หลังจากนั้นเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของหลุมศพของเฉินฉีหยวนที่อยู่รอบนอกของเมืองแห่งนี้

เขาได้แต่มองออกไปก่อนที่จะคาราวะหลุมศพนี้

เฉินหลินเองก็ทำแบบเดียวกันก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับเขา

“ขอบคุณมากๆ ! ”

เป็นเพราะหลินเทียนไม่เพียงแค่ชุบชีวิตเธอเท่านั้นทว่ายังช่วยชำระความแค้นของตระกูลให้ด้วย !

มันเป็นบุญคุณที่ทั้งชีวิตก็ไม่สามารถทดแทนได้

หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาเพราะในอดีตปู่ของนางเคยช่วยชุบเลี้ยงเขามาก่อนดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะดูแลลูกหลานของคนๆนั้น

“เธอเองก็น่าจะสังเกตได้ว่าฉันไม่ใช่คนธรรมดาและมีพลังที่เหนือมนุษย์ซึ่งนี่คือพลังจากการบ่มเพาะ ”

เขามองไปทางนางก่อนที่ร่างกายของเขาจะเปล่งประกายแสงอ่อนๆออกมา

“ตอนนี้ฉันจะถ่ายทอดการบ่มเพาะให้กับเธอ ”

เขาโบกมือส่งประกายแสงเหล่านั้นออกไปห่อหุ้มร่างกายของเฉินหลินเอาไว้พร้อมๆกับใช้พลังเทวะหล่อหลอมร่างกายของนาง

หลังจากนั้นเขาก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาจันทราที่ได้รับมาจากไป่เฉียวให้กับนางพร้อมช่วยหมุนวนพลังทำให้ร่างกายของนางเปล่งประกายแสงออกมา

หลังจากนั้นเขาได้โบกมือคว้าเอาก้อนคริสตัลวิญญาณขนาดใหญ่ออกมาให้นางดูดซึมพลังของมัน

จากการที่เขาช่วยหมุนวนพลัง หล่อหลอมร่างกายและให้ทรัพยากรบ่มเพาะอย่างคริสตัลวิญญาณทำให้ไม่นานระดับพลังของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

บึ้สส ~!

ประกายแสงเจิดจรัสส่องประกายออกมาจากร่างของนางขณะที่ใบหน้าของเฉินหลินเปลี่ยนสีไปทันที

“นี่มัน……”

ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

เป็นเพราะนี่คือครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับการบ่มเพาะและหลังจากทีรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองแล้วก็ได้แต่โง่งมไปทันที

“ตั้งสติเอาไว้แล้วจดจำสิ่งที่ฉันถ่ายทอดไปให้ดี ”

หลินเทียนพูดออกมา

เขาช่วยนางหมุนวนพลังอยู่เก้ารอบก่อนที่จะให้นางเริ่มหมุนวนมันด้วยตัวเอง

เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ธรรมดาของนางทำให้แม้เขาจะช่วยหมุนวนไปเก้าครั้งแล้วหลังจากนั้นเมื่อปล่อยให้นางหมุนวนด้วยตัวเองก็มีปัญหาอยู่หลายครั้งทว่าเขาก็ช่วยสั่งสอนด้วยตัวเองซึ่งหลังจากที่ผ่านไปได้ประมาณ 12 ชั่วโมงนางก็สามารถหมุนวนพลังด้วยตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

“เส้นทางบ่มเพาะมันยาวไกลมากๆ เขตแดนหล่อหลอมร่างกาย ชีพจรเทวะ ผู้รอบรู้ จักรพรรดินภา วิญญาณนิรันด์ จ้าวแห่งเต๋า ปลุกพลัง ปรินิพพาน…..”

หลินเทียนอธิบายถึงเขตแดนต่างๆของระดับพลังขณะที่ช่วยนางเกี่ยวกับการบ่มเพาะ

บึ้สสส ~!

นางหมุนวนพลังต่อไปขณะที่ดูดกลืนพลังจากคริสตัลวิญญาณทำให้ระดับพลังของนางสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งตัดผ่านเขตแดนหล่อหลอมร่างกายก่อนที่จะกลายเป็นชีพจรเทวะ ผู้รอบรู้และจักรพรรดินภาซึ่งหลังจากนั้นประมาณครึ่งเดือนก็สามารถตัดผ่านเขตแดนวิญญาณนิรันด์ได้ทำให้ชักนำทัณฑ์สวรรค์อันทรงพลังลงมา

หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพร้อมทั้งส่งคลื่นกระบี่ศุกลสวรรค์พุ่งออกไปทำลายล้างทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้น

หลังจากนั้นเวลาก็ได้ผ่านไปอีกสามวันเต็มๆ

วันนี้เป็นวันที่เฉินหลินได้หยุดการบ่มเพาะด้วยร่างกายที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

“นี่คือฉัน…..”

นางกำหมัดเอาไว้ด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านไม่หยุดหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

หลังจากนั้นก็หันมองมาทางหลินเทียนพร้อมทั้งรีบขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง

เป็นเพราะว่านางแตกต่างออกไปจากเมื่อเดือนก่อนอย่างลิบลับ

“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ”

หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาก่อนที่จะหยิบเอาแหวนมิติส่งให้นางแล้วพูดต่อว่า

“ภายในมียาทิพย์ คริสตัลวิญญาณ ทักษะเทวะและอื่นๆอยู่ เธอรับเอาไว้แล้วกัน ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้อธิบายเกี่ยวกับจิตสัมผัส การใช้แหวนมิติ การเหาะเหินเดินอากาศและอื่นๆให้กับนาง

“ขอบคุณมากๆ ! ”

เฉินหลินพูดขอบคุณออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เป็นเพราะการกระทำของหลินเทียนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของนางอย่างสิ้นเชิง

นางได้เห็นโลกใบใหม่ !

หลินเทียนได้ส่ายศีรษะของเขาพร้อมกับพูดว่า

“ฉันไม่สามารถให้เธอติดตามข้างกายได้ตลอด หลังจากนี้ก็อยู่ที่ตัวเธอแล้วล่ะ ”

การที่ทำให้นางอยู่ในเขตแดนวิญญาณนิรันด์ได้แถมยังมีทักษะต่างๆที่เขาถ่ายทอดไปซึ่งโลกนี้มีพลังฉีและสัจธรรมที่เบาบางดังนั้นคนที่เป็นอันตรายต่อนางจึงมีไม่มากนัก

“เราแยกกันตรงนี้แล้วกัน ”

หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้หันมองไปยังป้ายหลุมศพของเฉินฉีหยวนด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเล็กน้อย

ไม่นานเขาก็ถอนสายตากลับมา

“ลาก่อน ”

เขาพูดออกมาก่อนที่จะเหาะออกไปก่อนที่ร่างของเขาจะหายลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

เฉินหลินที่กำลังมองมาทางเขาได้คุกเข่าลงพร้อมทั้งโขกศีรษะให้กับเขา

…………..

หลังจากที่บอกลาเฉินหลินมาแล้วเขาได้เหาะขึ้นไปยังจุดที่สูงถึงขั้นที่คนธรรมดาไม่สามารถสังเกตเห็นได้

เขาเหาะออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยที่ใช้เวลากว่าหกชั่วโมงจึงไปถึงตรงหน้าของบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง

เป็นเพราะว่ากลิ่นอายของอมนุษย์หนุ่มที่หนีไปคนนั้นอยู่ภายในบ้านหลังนี้


1335

หลินเทียนได้มาถึงบ้านหลังนี้และหากมองออกไปแล้วจะพบว่ามันตั้งอยู่ที่ตีนเขาซึ่งรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามแงะเงียบสงบซึ่งบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่สถานที่ๆคนธรรมดาจะสามารถซื้อได้

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้อาศัยที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อสูรเนื่องจากมันมีกลิ่นอายอสูรรายล้อมอยู่รอบทิศทางทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าสถานที่แห่งนี้เป็นถิ่นของชายหนุ่มอมนุษย์อย่างแน่นอน

เขาก้าวออกไปโดยทันที

กลิ่นอายของชายหนุ่มคนนั้นอยู่ภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ซึ่งเป้าหมายในการมาของเขาก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่มาคิดบัญชีเท่านั้น

“หนุ่มน้อย มีอะไรงั้นหรอ ? เธอดูไม่เหมือนกับคนแถวนี้เลยนะ ”

ชายชราส่งเสียงถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของหลินเทียนในตอนนี้ยังคงราบเรียบซึ่งด้วยระดับพลังของเขาแล้วสามารถบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญเผ่าอสูรที่อยู่ในเขตแดนหล่อหลอมร่างกายระดับ 9

“ไม่ต้องมาเล่นแง่กับข้าหรอก ส่งตัวไอ้เด็กเมื่อครึ่งเดือนก่อนที่แอบอยู่ที่นี่มาซะ ”

เขาส่งเสียงออกมา

เป็นเพราะว่าเขาพอจะคาดเดาได้เลยว่าผู้คนภายในสถานที่แห่งนี้ล้วนรู้เห็นกับชายหนุ่มคนนั้น

อย่างน้อยๆก็น่าจะรู้เรื่องที่เขาเป็นคนสร้างบาดแผลให้อีกฝ่าย

ดวงตาของชายชราส่องประกายออกมาเล็กน้อยขณะที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาว่า

“หนุ่มน้อย เธอหมายความว่าไง ? ลุงไม่เข้าใจเลย ”

หลินเทียนหันมองไปทางชายชราคนนั้นเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเดินออกไปอย่างไม่สนใจ

“หนุ่มน้อย ส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ”

ชายชราก้าวออกมาขวางทางของเขาเอาไว้

หลินเทียนยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่สนใจ

นี่ทำให้อีกฝ่ายก้าวออกมาขวางทางของเขาอีกครั้งหลังจากนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงว่า

“เฒ่าคนนี้บอกแล้วว่าไม่อนุญาตให้เข้าไป หากว่าคิดจะบุกเข้าไปฉันคงต้องแจ้งตำรวจนะ ”

หลินเทียนยังคงก้าวออกไปพร้อมทั้งแผดกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกมากระแทกร่างของอีกฝ่ายลอยเคว้งออกไปไกล

เขาก้าวเดินต่อไปเลยๆจนไปถึงภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว

ภายในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพืชพันธุ์มากมายที่หาได้ยากยิ่งแถมยังออกผลเป็นผลไม้สีแดงขนาดเท่ากำปั้นให้ความรู้สึกที่ลึกลับอย่างมาก

“ต้นไม้จำแลงร่าง ”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาเล็กน้อย

มันเป็นต้นไม้ที่สามารถทำให้สัตว์อสูรเปิดภูมิปัญญาและจำแลงร่างมนุษย์ได้ซึ่งเขาเองก็เคยได้อ่านบันทึกโบราณเกี่ยวกับต้นไม้นี้แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับมันที่โลกใบนี้

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่มันทำให้เขาเข้าใจได้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายที่อยู่ในเขตแดนหล่อหลอมร่างกายกลับสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้

“เอี้ยดด ~! ”

ประตูทางเข้าได้เปิดออกพร้อมๆกับปรากฏร่างของชายชราหลายคน

“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับผู้ที่มีความเชื่อแบบเดียวกันในยุคนี้ ”

ชายชราชุดม่วงส่งเสียงหัวเราะออกมาขณะที่พลังอสูรที่เอ่อล้นออกมาแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในเขตแดนชีพจรเทวะพลางกวักมือเรียกหลินเทียนเข้าไปด้านใน

“สหายเข้ามาก่อนสิ ”

ชายชราคนอื่นๆเองก็เปิดปากเชิญหลินเทียนเข้าไปเช่นกัน

ณ ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ปิดบังอะไรอีกต่อไปแล้วเพราะว่าหลินเทียนได้เข้ามาถึงที่นี่แล้วจึงไม่มีประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้

“ไม่จำเป็น ส่งตัวมันมา ”

หลินเทียนพูดออกมา

ชายชราทั้งหลายได้แต่แสดงสีหน้าที่ทำตัวไม่ถูกออกมาก่อนที่ชายชราชุดม่วงจะพูดออกมาว่า

“ซิ่วเซอเขายังหนุ่มถึงได้ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไป ได้โปรดให้อภัยเขาด้วย เมตตาเขาหน่อยได้ไหม ? ”

แน่นอนว่าซิ่วเซอนั้นคือชื่อของชายหนุ่มอมนุษย์เมื่อครึ่งเดือนก่อนซึ่งหลังจากที่หนีกลับมาที่นี่แล้วก็รู้เรื่องราวทั้งหมดที่อีกฝ่ายได้ไปสร้างขึ้นรวมถึงเรื่องที่หลินเทียนเป็นคนสร้างบาดแผลให้กับเขา

“ปล่อยมันไป ? แล้วเด็กสาวบริสุทธิ์อายุ 16 ทั้งหลายที่ถูกช่วงชิงความบริสุทธิ์ไปแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นอาหารให้กับมัน ? จะให้ข้าปล่อยพวกเขาไปเฉยๆ ? ”

หลินเทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

เป็นเพราะการกระทำของอีกฝ่ายนั้นโหดเหี้ยมเกินไปเพราะนอกจากจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ของพวกนางแล้วยังกลืนกินอีกฝ่ายแม้ว่าพวกนางจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแต่เขาก็ยังรู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก

ถึงอย่างไรเขาก็ต้องฆ่ามันให้ได้เพราะหากว่าปล่อยมันเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างความเสียหายให้ผู้คนอีกมากมายขนาดไหน

ถึงขั้นที่ว่าหากเขาไม่ลงมือฆ่ามันแล้วจะกลายเป็นตราบาปของตัวเอง

“โปรดสงบสติอารมณ์ก่อน ”

ชายชราชุดม่วงป้องมือของเขาพร้อมทั้งพูดต่อว่า

“หลังจากนี้เราจะเข้งวดกับเขาไม่ให้ทำเรื่องแบบนั้นอีก ! ”

“ไม่จำเป็น ข้าจะสั่งสอนมันเอง ส่งมันมาซะหรืออยากจะให้ข้าลงมือด้วยตัวเอง ? ”

หลินเทียนส่งเสียงออกมา

นี่ทำให้สีหน้าของชายชราชุดม่วงเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะว่าเขาเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนต้องการจะฆ่าชายหนุ่มคนนั้น

ชายชราที่อยู่ข้างๆได้ส่งเสียงที่ไม่พอใจออกมาว่า

“เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนะ ! ถึงอย่างไรหญิงสาวพวกนั้นมันก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น มันจะมาเทียบอะไรกับผู้บ่มเพาะอย่างเราได้ ? มันต่างกันราวฟ้ากับเหว ! เจ้าคิดจะมาทวงความยุติธรรมให้กับพวกมันไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับตัวเองบ้าง ? ”

หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งแผดกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกกระแทกร่างของอีกฝ่ายลอยเคว้งออกไปไกลพลางกระอักเลือดออกมาซึ่งแน่นอนว่าเขาออมแรงเอาไว้ไม่งั้นอีกฝ่ายก็คงจะตายลงไปแล้ว

ชายชราที่เลือดกลบปากได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่โกรธจัดพลางส่งเสียงออกมาว่า

“นี่เจ้า……”

คนอื่นๆเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่ต่างกัน

“จะส่งมันมาไหม ”

หลินเทียนหันมองไปทางชายชราชุดม่วง

เขาส่งเสียงอันราบเรียบและไม่แยแสออกมา

นี่ทำให้สีหน้าของผู้คนทั้งหลายตกต่ำลงอย่างมากและไม่ได้สุภาพอีกต่อไป

ชายชราชุดม่วงส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาว่า

“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีพรสวรรค์มากก็จริงแต่อย่าให้มันมากเกินไปนะ ! เผ่าจิ้งจอกครามของข้าสืบเชื้อสายกันมาอย่างยาวนาน แม้ว่าที่นี่จะเป็นเพียงสาขาย่อยแต่ก็ไม่ใช่ที่ๆใครจะมาสร้างปัญหาได้ ! ”

“จิ้งจอกคราม ? ”

สายตาของหลินเทียนได้หดเล็กลงก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ลูกหลานของจิ้งจอกเก้าหาง ? ”

จากข้อมูลที่ได้มานั้นเมืองภูเขาครามเป็นของเผ่าจิ้งจอกครามซึ่งมีบรรพบุรุษเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่เป็นจักรพรรดิอสูรอันแข็งแกร่งแต่ก็ไม่คิดเลยว่าเผ่าพันธุ์นี้ยังหลงเหลืออยู่แถมยังอยู่ตรงหน้าของเขา

“ในเมื่อรู้จักเผ่าพันธุ์ข้าดีงั้นก็อย่าอวดดีให้มันมาก ! ”

ชายชราชุดม่วงส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งพูดว่า

“พวกข้าจะไม่เอาความเรื่องในวันนี้แต่เจ้าจงรีบออกไปซะไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ”

หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกขณะที่กลิ่นอายของเขาแผดออกไปกระแทกร่างของอีกฝ่ายจนลอยเคว้งออกไปไกล

“ต่อให้เป็นบรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ยังไม่คณนามือข้าแล้วยังกล้าข่มขู่ข้าอีกนะ ! ”

เขาส่งเสียงอันไม่แยแสออกมา

นี่ทำให้สีหน้าของชายชรายิ่งตกต่ำลงก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า

“อวดดีจริงๆนะที่กล้าสร้างปัญหาให้พวกข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ! ”

ณ ตอนนี้เองที่มีเสียงอันเย็นยะเยือกถูกส่งออกมาว่า

“ขนาดบรรพบุรุษของพวกข้ายังไม่คณนามือเจ้า ? ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครมันอวดดีได้ขนาดนี้ ! ”

ชายชราชุดเทาที่อยู่ในเขตแดนผู้รอบรู้ได้ก้าวออกมาด้วยกลิ่นอายที่เข้มข้น

ณ ตอนนี้ข้างๆของชายชรามีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่หนีไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน

ชายหนุ่มคนนั้นได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่ดุร้ายพลางส่งเสียงออกมาว่า

“ท่านปู่ มันเป็นคนที่ทำร้ายข้าแถมยังทำลายอัญมณีปกป้องร่างกายของข้า อย่าให้มันรอดไปได้เด็ดขาด ! ข้าจะเอาเลือดเนื้อมันมากลั่นเป็นยาเพิ่มพลังให้กับข้า ! ”

เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เขารู้สึกเกรงกลัวหลินเทียนอย่างมากทว่าตอนนี้มันต่างกันออกไปเพราะว่าปู่ของเขานั้นอยู่ในเขตแดนผู้รอบรู้ซึ่งเป็นผู้ที่มอบสมบัติต่างๆให้กับเขาจึงไม่ได้รู้สึกกลัวอีกต่อไป

หลินเทียนหันมองออกไปทางชายหนุ่มคนนั้นเล็กน้อยพร้อมทั้งตวัดนิ้วส่งประกายแสงสีทองออกไป

“พุฟฟ ~! ”

เลือดสาดกระจายออกมารอบทิศทางขณะที่หน้าผากของชายหนุ่มกลายเป็นรูเลือดขนาดใหญ่

“เจ้า….”

ชายชราชุดเทาถึงกับโกรธถึงขีดสุดเพราะว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นหลานแท้ๆที่มีพรสวรรค์อย่างมากถึงขั้นที่ตัดผ่านเขตแดนหล่อหลอมร่างกายตอนปลายได้และอีกเพียงก้าวเดียวก็จะตัดผ่านเขตแดนชีพจรเทวะซึ่งภายในสถานที่ๆมีพลังฉีและสัจธรรมเบาบางแบบนี้มันเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ไร้เทียมทานแต่กลับถูกหลินเทียนสังหารลงตรงหน้าของเขา

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ชายชราคนอื่นๆล้วนพากันแสดงสีหน้าที่โกรธจัดออกมาเนื่องจากผู้มีพรสวรรค์ของพวกเขากลับถูกสังหารลง

แถมยังตรงหน้าพวกเขา !

“ไอ้ระยำ ! ”

ชายชราชุดเทาส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมทั้งซัดฝ่ามือเข้าใส่ทางหลินเทียนพลางสังเวยเอาตะเกียงสมบัติออกมา

มันเป็นตะเกียงสีเขียวรายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่องประกายแสงเจิดจรัสและกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา


1336

ตะเกียงสมบัติส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมารอบทิศทางไม่ต่างกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อมพลางกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียน

นี่คืออาวุธเทวะที่ทรงพลังอย่างมากถึงขั้นที่ไม่สามารถสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้แต่ก็ยังทำให้มิติโดยรอบบิดตัวอย่างรุนแรง

ระหว่างนี้เองที่มือของชายชราที่อัดแน่นไปด้วยพลังอสูรได้คว้าเข้าใส่ทางหลินเทียนจากอีกทาง

หลินเทียนหันมองไปทางอีกฝ่ายเล็กน้อยโดยที่ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไป

เขาก้าวเดินออกไปช้าๆทว่ากลับสามารถหลบการโจมตีทั้งหมดของชายชราชุดเทาได้อย่างง่ายดาย

อีกฝ่ายเองก็ได้แต่ผงะไปกับความเร็วของหลินเทียนที่สามารถหลบการโจมตีของเขาทำให้จิตสังหารยิ่งทรงพลังขึ้นมากกว่าเก่า

ร่างกายของเขาระเบิดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นออกมาก่อนที่จะหยิบเอาตะเกียงนี้ฟาดฟันเข้าใส่ทางหลินเทียน

“ต่อให้เจ้าเป็นใครแต่กล้าฆ่าหลานชายของข้าก็อย่าหวังเลยว่าจะรอดไปได้”

เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุร้ายถึงขีดสุดพลางซัดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นเข้าใส่ทางหลินเทียน

หลินเทียนที่ทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายไปได้หยุดเท้าลงก่อนที่จะหันมองกลับไปแล้วพูดว่า

“ข้าไม่สามารถสังหารหลานชายเจ้าที่ทำเรื่องชั่วๆมามากมาย ? แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ ? ”

เขาพูดออกมา

“เพียงแค่พวกมนุษย์มดปลวกธรรมดาจะฆ่ามันแล้วยังไง ?! ”

ชายชราส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชาพลางพูดต่อว่า

“กับพวกมดปลวกพวกนั้นกลับกล้าสังหารหลานของข้า ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ”

หลินเทียนส่งเสียงอันไม่แยแสออกมาว่า

“งั้นรึ ? ”

เมื่อพูดจบแล้วเขาได้โบกมือออกไปเพื่อทำลายอาวุธเทวะของอีกฝ่ายพร้อมทั้งส่งประกายแสงสีทองทะลวงเข้าใส่ร่างของชายชราเพื่อทำลายการบ่มเพาะของเขา

ชายชราได้แต่สั่นสะท้านไปก่อนที่จะอุทานออกมาว่า

“เจ้า….เจ้า…..ทำลายการบ่มเพาะของข้า !? ”

เขากลัวและโกรธจัดอย่างมากเพราะการตวัดนิ้วเพียงครั้งเดียวของหลินเทียนกลับสามารถทำลายอาวุธเทวะที่เขาได้รับมาจากโบราณสถานแถมยังทำลายการบ่มเพาะของเขาทำให้พลังอสูรหายไปอย่างฉับพลัน

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ? ”

ชายชราชุดม่วงและคนอื่นๆเองก็ได้แต่สั่นสะท้านไปไม่ต่างกันเพราะว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตแดนผู้รอบรู้ของพวกเขากลับถูกทำลายอาวุธและการบ่มเพาะลงได้ง่ายๆแบบนี้นี่ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?

“เจ้า……”

ชายชราชุดเทาส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด

หลินเทียนมองกลับไปพร้อมทั้งพูดว่า

“ตอนนี้เจ้าเองก็ไม่มีการบ่มเพาะอีกต่อไปแล้วดังนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาที่เจ้าพูดว่าตายก็ตายไปสินะ ”

เมื่อพูดจบแล้วเขาได้ตวัดนิ้วส่งคลื่นพลังสีของออกไปทะลวงผ่านหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า

พุฟฟ ~! เลือดสาดกระจายออกมารอบทิศทางขณะที่ร่างของอีกฝ่ายลอยเคว้งออกไปไกลโดยที่ไม่มีสัญญาชีวิตเหลืออยู่อีกต่อไป

นี่ทำให้ชายชราชุดม่วงและคนอื่นๆได้แต่สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว

เป็นเพราะว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือชายชราชุดเทาทว่ากลับถูกตวัดนิ้วสังหารลงได้ง่ายๆ

หลินเทียนได้หันมองไปทางพวกเขาเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป

ชายชราชุดม่วงและคนอื่นๆได้แต่มองตามหลังของหลินเทียนไปโดยที่ไม่มีใครกล้าหยุดยั้ง ใครจะกล้าล่ะ ? รนหาที่ตายชัดๆ

หลินเทียนก้าวเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเหาะจากไปในไม่ช้า

“ถึงเวลาต้องค้นหาบางสิ่งแล้วสิ ”

เขาพูดออกมา

เป็นเพราะว่าหลังจากที่จัดการเรื่องการเป็นอยู่ของลูกหลานเฉินฉีหยวนและสังหารชายหนุ่มอมนุษย์ไปแล้วเขาก็ควรจะเริ่มออกตามหาสิ่งที่กระบี่เทวะตอบสนองที่อยู่ในโลกนี้

“มันเป็นความรู้สึกเสมือนว่าเป็นเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่แถมยังมากกว่าหนึ่งชิ้น ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง

เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้กระบี่เทวะได้เกิดการตอบสนองบางอย่างและชี้นำมายังโลกใบนี้ทำให้เขาพอเดาได้ว่ามันน่าจะสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่ซึ่งถือว่าเป็นการตอบสนองที่รุนแรงกว่าครั้งอื่นๆมากดังนั้นเขาจึงคาดการณ์เอาไว้ว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะมีอยู่สองชิ้น

เขาเหาะต่อไปโดยที่แผดจิตสัมผัสออกไปโดยรอบด้วยความเร็วที่สูงขึ้นอย่างมาก

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน

ครึ่งเดือนนี้เขาได้ก้าวผ่านพื้นที่ไปมากมายแต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเศษเสี้ยวกระบี่แม้แต่น้อย

“อยู่ที่ไหนกัน ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง

ตัวเขาเหาะอยู่กลางอากาศและกำลังจ้องมองกลับลงไปยังพื้นดิน

ห่างออกไปไม่ไกลมีเคลื่อนบินลำหนึ่งกำลังแล่นผ่านซึ่งนักบินได้แต่ผงะไปหลังจากที่เห็นว่ามีคนสามารถยืนอยู่กลางอากาศได้ทำให้ผู้โดยสารทั้งหลายต่างแตกตื่นถึงขั้นที่ตัวเครื่องดิ่งลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนที่เห็นเช่นนั้นเองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นใต้ท้องเครื่องก่อนที่จะส่งพลังเทวะของตัวเองออกไปรับมันเอาไว้แล้วทำให้มันกลับมาอยู่ในสภาพสมดุลอีกครั้งก่อนที่จะหายตัวไป

เขาทิ้งระยะออกมาไกลมากๆก่อนที่จะเหาะกลับลงมาที่พื้นพร้อมทั้งกวาดจิตสัมผัสออกไปรอบๆ

พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

วันนี้เป็นวันที่กระบี่เทวะภายในทะเลความรู้ของเขาได้สั่นไหวพร้อมทั้งส่องประกายแสงเจ็ดสีออกมา

“พบแล้ว ! ”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

เขาเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าภูเขาลูกใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นสนและก้อนหินมากมายให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก

กระบี่เทวะภายในทะเลความรู้ของเขากำลังชี้นำไปทางมัน

“ภูเขาไท่”

สายตาของหลินเทียนหดเล็กลงทันที

เป็นเพราะว่ามันเป็นภูเขาที่ถือเป็นตำนานหนึ่งของประเทศจีนที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการกราบไหว้องค์จักรพรรดิ

เขาได้หยุดเท้าลงก่อนที่จะก้าวเดินเข้าใกล้มัน

ระหว่างที่เดินเข้าไปมันอดทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปไม่ได้

“ที่นี่มัน…..”

เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

เมื่อมองออกไปแล้วเขาไม่คิดเลยว่ามันจะมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามขนาดนี้ซึ่งเมื่อก้าวออกไปแล้วร่างกายของเขาถึงกับอดสั่นสะท้านไปไม่ได้ขณะที่รู้สึกได้ว่าตรงหน้าของเขาไม่ใช่ภูเขาแต่เป็นโลกอันกว้างใหญ่

“นี่มัน…..”

หัวใจของเขาได้สั่นไหวไม่หยุดขณะที่มองออกไปยังภูเขาใหญ่ตรงหน้าซึ่งหากว่าเทียบกับภูเขาภายในสวรรค์สิบชั้นแล้วก็ยังเทียบไม่ได้ทว่ามันกลับทำให้เขาที่เป็นจ้าวสวรรค์รู้สึกใจสั่น


1337

ภูเขาไท่นั้นตั้งอยู่ในซานตงซึ่งทุกวันจะมีผู้มาเที่ยวชมจากทั่วทุกหนแห่ง

เป็นเพราะว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อไปทั่วทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ

หลินเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาลูกนี้มีดวงตาที่เปล่งประกายออกมาเล็กน้อยและไม่คิดเลยว่าภูเขาที่สูงไม่เท่าไหร่นี้กลับสามารถทำให้เขาที่เป็นจ้าวสวรรค์ถึงกับรู้สึกสั่นสะท้านไปได้

นี่ทำให้เขายังไม่ได้ขยับไปไหนและเอาแต่จ้องมองไปทางมันอย่างจริงจังพร้อมทั้งแผดตรามังกรออกไปโดยรอบเพื่อสำรวจสถานที่แห่งนี้

“เป็นสถานที่ธรรมดามากๆ ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง

เป็นเพราะว่าตรามังกรของเขากลับไม่สามารถตรวจพบอาณาเขตที่ผิดปกติโดยรอบแม้แต่น้อยถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ต่างอะไรไปกับภูเขาธรรมดาๆเลยด้วยซ้ำ

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ยังตกตะลึงไม่หายพลางคิดว่ามันเป็นสถานที่ๆไม่ธรรมดาอย่างมากถึงขั้นที่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการเอาไว้หลายเท่าเพราะแม้แต่ตรามังกรของเขาก็ยังไม่สามารถตรวจจับได้ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะแตะต้องความลับของสถานที่แห่งนี้

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะก้าวเดินออกไป

เป็นเพราะว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทำให้มีผู้คนรวมตัวกันอยู่มากมายและหากมองออกไปแล้วจะพบว่าอย่างน้อยๆก็มีอยู่มากกว่าหมื่นคน

หลินเทียนก้าวเดินออกไปเรื่อยๆขณะที่รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“เป็นความรู้สึกเสมือนโลกใบใหญ่จริงๆ ”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาพลางพูดต่อว่า

“ภูเขานี่มันอะไรกัน ? ”

คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสถึงความแตกต่างนี้ได้แต่มีเพียงคนที่มีระดับพลังสูงถึงจุดหนึ่งเท่านั้นซึ่งเขาในตอนนี้ที่ยิ่งก้าวออกไปก็ยิ่งรู้สึกใจสั่นมากยิ่งขึ้นทำให้เขาอดเบิกเนตรแห่งสัจธรรมออกมาสำรวจความลับของมันไม่ได้ทว่าผลลัพธ์ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี

“แปลกจริงๆ ”

เขาพึมพำออกมา

ระหว่างที่ก้าวเดินขึ้นไปนั้นเขาก็ทำการตรวจสอบอยู่หลายๆครั้งโดยที่ไม่สามารถพบสิ่งผิดปกติอะไรแม้แต่น้อย

ท้ายที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปพลางก้าวเดินขึ้นไป

ด้านบนไม่ได้มีต้นไม้อยู่มากนักซึ่งเมื่อก้าวมาถึงใจกลางของสถานที่แห่งนี้แล้วกระบี่เทวะภายในทะเลความรู้ของเขาก็ได้สั่นไหวและชี้นำเขาไปยังจุดที่ไม่โดดเด่นอะไรและเต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย

มันสั่นไหวอีกครั้งพร้อมทั้งชี้ลงไปด้านใต้

นี่ทำให้ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาพลางส่งเสียงพึมพำออกมาว่า

“ที่นั่น ? ”

เขาแผดตรามังกรออกไปลึกพร้อมทั้งหยุดอยู่ที่ใจกลางของสถานที่แห่งนี้พลางพบกับกลุ่มก้อนพลังงานเจ็ดสีที่ฝังอยู่ด้านใต้

“พบแล้ว ”

เขาแสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมาโดยทันที

เป็นเพราะกระบี่เทวะอันลึกลับมันทรงพลังอย่างมากดังนั้นเศษเสี้ยววิญญาณของมันถึงได้มีความสำคัญอย่างมากและเขาต้องรวบรวมพวกมันทั้งหมดเพื่อให้กระบี่เทวะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งดังนั้นการที่ได้พบมันที่นี่ก็ทำให้เขาอดรู้สึกมีความสุขไม่ได้

ตรามังกรของเขาได้พุ่งฉีกชั้นดินลงไปก่อนที่จะเข้าใกล้ตัวกลุ่มก้อนแสงเจ็ดสีอย่างรวดเร็ว

การเข้าใกล้ของเขาทำให้กระบี่เทวะยิ่งสั่นไหวพร้อมทั้งปลดปล่อยประกายแสงเจ็ดสีออกมาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้

ระหว่างนี้เองที่เสียงสะท้อนของกระบี่เทวะและก้อนพลังงานได้ถูกส่งออกมาก่อนที่ส่งระลอกคลื่นออกมา

เขาได้โบกมือขวาที่มีตรากระบี่ออกไปทางกลุ่มก้อนพลังงานเจ็ดสีตรงหน้า

บึ้สสส ~ !

กลุ่มก้อนพลังงานเจ็ดสีขนาดเท่ากำปั้นได้สั่นไหวเล็กน้อยขณะที่ประกายแสงที่ส่งออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นพร้อมทั้งเริ่มเคลื่อนที่เข้าหาหลินเทียน

เมื่อเข้าถึงตัวหลินเทียนแล้วมันก็ส่องประกายแสงออกมาก่อนที่จะโคจรอยู่รอบตัวของเขาไม่ต่างจากเด็กพลัดลงที่ได้พบกับครอบครัวก่อนที่จะผสานเข้ากับมือขวาของเขาแล้วพุ่งตรงเข้าสู่กระบี่เทวะที่อยู่ภายในทะเลความรู้อย่างรวดเร็ว

ตัวกระบี่ได้สั่นไหวพร้อมทั้งส่องประกายแสงเจ็ดสีออกมาโดยทันที

นี่ทำให้ประกายแสงเจ็ดสีที่ส่งออกมาจากร่างของเขายิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกขณะที่กลิ่นอายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บึ้สสส ~!

กลุ่มก้อนพลังได้ผสานเข้ากับกระบี่เทวะของเขาทำให้ประกายแสงเจ็ดสีสาดส่องออกไปทั่วทะเลความรู้ของเขา

สำหรับเขาที่รู้สึกเคยชินกับมันแล้วไม่ได้แปลกใจอะไรแม้แต่น้อยเพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งและให้ประโยชน์กับเขามากมาย

เขายืนอยู่นิ่งๆพร้อมทั้งหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อเริ่มการหล่อหลอมประกายแสงเจ็ดสีภายในร่างของตัวเอง

นี่ทำให้ร่างกายของเขาเปล่งประกายแสงสีทองออกมาขณะที่กลิ่นอายของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ระดับพลังของเขากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 จากระดับ 7 อย่างรวดเร็ว

บึ้สสส ~!

ประกายแสงสีทองที่อาบร่างของเขาเอาไว้ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก

ทะเลความรู้ที่รายล้อมไปด้วยประกายแสงเจ็ดสีเองก็ยิ่งให้ความรู้สึกที่ศักดิ์สิทธิ์ออกมามากกว่าเก่า

และมันเป็นตอนนี้เองที่มีภาพมากมายปรากฏขึ้นภายในสมองของเขา

มันเป็นภาพของเทือกเขาขนาดใหญ่อย่างน้อยๆกว่าหมื่นๆลูกที่กินพื้นที่กว้างซึ่งแต่ละลูกล้วนแล้วแต่มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามถึงขั้นที่เป็นกลิ่นอายของเทพโบราณโดยเฉพาะภูเขาสูงทะลุชั้นฟ้าที่อยู่ใจกลางซึ่งให้ความรู้สึกเสมือนกำลังแบกโลกทั้งใบเอาไว้

“นี่มัน ?! ”

เขาที่กำลังหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อบ่มเพาะได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างรุนแรง

เป็นเพราะว่าภาพภายในทะเลความรู้ของเขานั้นมันเลือนรางก็จริงแต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากมัน

“นี่มันคือ……ภูเขาไท่ ?! ”

หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงหลังจากที่สัมผัสได้ถึงจุดนี้เพราะแม้ว่าขนาดของมันจะต่างกันไปมากทว่าโครงร่างของมันยังเหมือนเดิม

“นี่มัน………เป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน ? ”

เขาได้แต่ผงะไป

เป็นเพราะว่าภาพภายในสมองที่เขาเห็นคือภูเขาใหญ่ที่มีความสูงไม่ต่างกับจักรพรรดิในหมู่ภูเขาทั้งปวงมันทำให้เขาอดแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมาไม่ได้เพราะนี่คือภูเขาไท่ ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ! ต้องรู้ก่อนนะว่าโลกนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบสองล้างกิโลเมตราทว่าภูเขาไท่กลับมีขนาดใหญ่กว่ามาก

นี่มันผิดปกติอย่างมาก !

มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่ภูเขาในโลกมันจะใหญ่กว่าโลกทั้งใบ ?!

“นี่……..”

เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่งงงวยออกมา

“หรือว่าโลกเคยใหญ่กว่านี้ ? แล้วทำไมถึงได้เหลืออยู่แค่นี้กัน ? ”

เขารู้สึกสงสัยอย่างมากพลางคิดถึงภาพของภูเขาไท่ที่เคยยิ่งใหญ่แต่กลับเหลือเพียงเท่านี้

เขาใช้เวลาคิดอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้และไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตอนที่เข้าใกล้ถึงได้รู้สึกใจสั่นแต่น่าจะเป็นเพราะว่ารูปลักษณ์ดั้งเดิมของมันที่น่าเกรงขามแม้จะแปรเปลี่ยนไปแต่ก็ยังคงเสน่ห์เอาไว้

“จากภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าในยุคก่อนหน้านี้สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่บ่มเพาะของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายและ………”

เขาผงึไป

เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มันต้องเป็นสถานที่บ่มเพาะและอาจถึงขั้นเป็นขุมพลังอมตะแล้วนี่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?

อย่างน้อยๆก็ต้องอยู่สูงกว่าเขตแดนอนันตกาลอย่างแน่นอน

เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาเพราะไม่คิดเลยว่าโลกใบนี้มันไม่ธรรมดาเหมือนที่เขาเห็นเลยแม้แต่น้อย

ภาพที่ปรากฏขึ้นค่อนข้างเลือนรางและไม่นานก็สลายหายไปเหลือไว้เพียงประกายแสงเจ็ดสีที่แผดไปทั่วร่างของเขา

ดวงตาของหลินเทียนส่องประกายออกมาด้วยความตกตะลึงอย่างมากก่อนที่จะเรียกสติกลับคืนมา

เขายับยั้งความรู้สึกตกตะลึงของตัวเองเอาไว้พลางหมุนวนพลังเพื่อดูดซับพลังงานทั้งหลายเข้าไปภายในร่าง

ไม่นานประกายแสงสีทองและพลังแห่งสัจธรรมที่แผดออกมาก็ยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก

พริบตาเวลากว่าครึ่งเดือนก็ได้ผ่านพ้นไป

“ตู้มม ~! ”

วันนี้เป็นวันที่ร่างกายของเขาได้ระเบิดคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกมาหลังจากที่ตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8ไปได้


1338

เมื่อตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ได้แล้วเขาได้กำหมัดเล็กน้อยพลางสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของร่างกาย พลังเทวะและอื่นๆ

“อีกไม่ไกลก็ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าและตามด้วยอนันตกาล ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง

หลังจากที่ตัดผ่านเขตแดนอนันตกาลแล้วเขาก็จะสามารถค้นหาที่อยู่ของดินแดนสวรรค์สิบชั้นเพื่อกลับไปได้เพราะครอบครัวและพวกพ้องของเขาอยู่ที่นั่น

อีกด้านหนึ่งหลังจากตัดผ่านเขตแดนอนันตกาลได้แล้วก็จะหลุดพ้นจากการตายตามธรรมชาติที่ถือเป็นเป้าหมายหลักของการบ่มเพาะ

“ต้องพยายามมากกว่านี้ ”

เขาส่งเสียงออกมา

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ประกายแสงเจ็ดสีภายในทะเลความรู้ของเขาได้สงบลงพร้อมๆกับอักขระบนคมกระบี่ที่ส่งคลื่นพลังออกมาเป็นระลอกๆ

เขาพยายามสำรวจมันอย่างจริงจังทว่าก็ยังไม่พบอะไรและไม่สามารถเข้าใจมันได้ดังนั้นพยายามไปก็เปล่าประโยชน์

“ช่างเถอะ ”

เขาพึมพำออกมากับตัวเองก่อนที่จะล้มเลิกการสังเกตนี้แล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่มีผู้คนอยู่โดยรอบแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะก้าวเดินไปออกไปทั่วๆภูเขาลูกนี้

เขายังคงได้รับความรู้สึกกดดันอยู่อย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรสำหรับเขามากนักพลางสำรวจสถานที่ต่างๆที่อยู่โดยรอบ

“ก่อนหน้านี้ภูเขาไท่มีความสูงกว่าหลายกิโลเมตรที่เปรียบเสมือนดั่งจักรพรรดิในหมู่ขุนเขาทว่าตอนนี้กลับ……”

ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา

เป็นเพราะว่าภูเขาสูงใหญ่ขนาดนั้นกลับอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วเสียได้

มันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง !

เขาก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ถึงได้ก้าวเดินต่อไปรอบๆพลางหมุนวนพลังของตัวเองเพื่อปรับสมดุลพลังในตอนนี้

ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงก่อนที่เขาจะเดินไปถึงสถานที่ๆอยู่ห่างไกลออกไป

มันเป็นทางทิศตะวันตกของภูเขาแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีชีวิตชีวาซึ่งห่างออกไปไม่ไกลก็พบกับชายท่าทางแปลกๆที่ต่างออกไปจากกลุ่มนักท่องเที่ยว

เขาเป็นชายตะวันตกสองสองเมตรกำลังซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆด้วยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดากว่าสิบเท่า

“ผู้บ่มเพาะ ”

ดวงตาของเขาหดเล็กลงเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทว่ากลับมีระดับพลังอยู่ในเขตแดนชีพจรเทวะ

เมื่อได้ก้าวเดินออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรทำให้อีกฝ่ายตระหนักได้ถึงการมาของเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองไปทางหลินเทียนแล้วชายชาวตะวันตกก็ได้แต่ผงะไปด้วยดวงตาที่ส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่พร้อมทั้งตวัดดาบสั้นเข้าใส่ทางศีรษะของหลินเทียนอย่างไม่รอช้า

มันเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างมาก

คิ้วของหลินเทียนได้ขมวดเข้าหากันก่อนที่จะยกมือขึ้นมาคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วถามว่า

“บ้าหรือเปล่า ? อยากตายงั้นรึ ? ”

“ไม่ใช่คนธรรมดา หรือว่าเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะของดินแดนศูนย์กลาง ?! ”

อีกฝ่ายได้แข็งค้างไปเพราะการที่หลินเทียนสามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้มันแสดงให้เห็นว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดา

“ลงมือทำไม ? ”

หลินเทียนถามออกมา

ดวงตาของอีกฝ่ายส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาพลางโบกมือสร้างกระบี่ด้วยพลังฉีอันเข้มข้นแทงเข้าใส่หัวใจของหลินเทียน

หลินเทียนได้แต่มองด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสขณะที่กระบี่พลังฉีของอีกฝ่ายแหลกสลายหายไป

“เจ้า…….”

อีกฝ่ายได้แต่ผงะไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงเพราะว่านี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาทว่าหลินเทียนที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนกลับสามารถทำลายมันลงได้ง่ายๆ

มันทำให้เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกพร้อมทั้งคว้าเอายันต์ออกมาพลางหันหลังพุ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนหันมองออกไปเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้นว่า

“คิดจะทำอะไร ? แล้วมาทำอะไรที่นี่ ? ”

เขาถามออกมา

เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายมีท่าทางที่ระมัดระวังอย่างมากแถมยังเปิดฉากโจมตีสังหารเข้าใส่เขาอย่างไม่ลังเลนี่แสดงให้เห็นว่ามันมีเป้าหมายบางอย่าง

“คิดว่าข้าจะบอก ? ตลกหน่า ! ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า

“เจ้าอยู่ได้อีกไม่นานหรอก ! ”

เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของหลินเทียนว่าตัวเขาไม่สามารถสู้ได้ดังนั้นถึงได้แต่หันหลังหนีไปด้วยสีหน้าที่ดุร้ายอย่างมาก

หลินเทียนที่กำลังมองออกไปยังอีกฝ่ายกลับรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะสละชีพที่ขุมพลังในสวรรค์สิบชั้นฝึกฝนมาไม่มีผิด

“คิดว่าไม่บอกแล้วข้าจะหาคำตอบไม่ได้ ? ”

เขาพูดออกมา

หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงออกไปคว้าร่างของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมทั้งอ่านความทรงจำของอีกฝ่ายโดยทันที

“ดินแดนลับภูเขาไท่ การรวมตัวของผู้บ่มเพาะ”

นี่ทำให้ดวงตาของเขาหดเล็กลงโดยทันที

เป็นเพราะว่าข้อมูลที่เขาได้รับมานั้นมีอยู่มากมายซึ่งความจริงแล้วเชื้อสายของผู้บ่มเพาะก็ยังคงสืบต่อกันมาและพวกเขาจะจัดงานรวมตัวกันของผู่บ่มเพาะในทุกๆสามปีซึ่งสถานที่ๆพบกันคือภูเขาไท่แห่งนี้

แน่นอนว่ามันเป็นมิติพิเศษที่คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสหรือเข้าไปได้จึงเรียกว่าดินแดนลับและทุกๆสามปีพวกเขาจะรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นรวมถึงจัดการประลองระหว่างผู้มีพรสวรรค์ของแต่ละขุมพลัง

ชายชาวตะวันตกคนนี้ได้รับคำสั่งให้มาค้นหาตำแหน่งของดินแดนลับภูเขาไท่ก่อนที่กองกำลังผู้บ่มเพาะชาวตะวันตกจะบุกเข้าไปแล้วสังหารผู้บ่มเพาะของดินแดนศูนย์กลางให้สิ้นซาก

หากว่าผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งและศิษย์ที่มีพรสวรรค์ชองดินแดนศูนย์กลางได้ตกตายลงทั้งหมดแล้วผู้เชี่ยวชาญดินแดนศูนย์กลางก็จะอ่อนแอลงทำให้ไม่สามารถป้องการการรุกรานของผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตกได้

เป้าหมายหลักของพวกเขาก็เพื่อการชิงเอาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

“ภูเขาไท่ ภูเขาคุนหลุน ภูเขาเพ็งไล่ ภูเขาหลงฮู ภูเขาชิงเฉิง ภูเขาอู่ตัง …………… ”

คิ้วของเขาได้ขมวดเข้าหากันเพราะว่าภูเขาทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นภูเขาที่โด่งดังของจีนแถมยังมีตำนานที่เล่าขานกันมานานทว่าผู้เชี่ยวชาญตะวันตกเหล่านี้กลับต้องการจะชิงเอาทั้งหมดไป

“ทำไปเพื่ออะไรกัน ? ”

เขาหันมองออกไปพร้อมทั้งถามออกมา

เขารู้สึกสงสัยอย่างมากว่าอีกฝ่ายจะต้องการเอามันไปทำอะไร มันจะต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน

“เจ้า…..”

ฝ่ายตรงข้ามได้แต่แสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านไม่หยุดก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า

“เจ้าคือ……ผู้เชี่ยวชาญจากยุคกาลก่อน ?! เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”

การที่ฝืนตรวจสอบความทรงจำของเขาได้แบบนี้มันไม่ใช่ความสามารถที่ผู้เชี่ยวชาญปกติจะสามารถทำได้แน่ๆ

หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพลางส่งจิตสัมผัสออกไปตรวจสอบความทรงจำของอีกฝ่ายอีกครั้ง

น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้มีสถานที่ยิ่งใหญ่อะไรภายในองกรมากทำให้ไม่รู้ว่าจะชิงเอาภูเขาเหล่านี้ไปทำไม

“เจ้า……”

ชายคนนั้นได้แต่สั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้กลัวตายก็จริงทว่าหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนสามารถอ่านความทรงจำของเขาได้แบบนี้แล้วจะไม่ให้เขากลัวมันก็เป็นไปไม่ได้

หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งบดขยี้ร่างกายของอีกฝ่ายจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นกองเลือดไปทันที

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะชิงเอาไปทำไมแต่หากว่ากล้าโผล่มาข้าจะฆ่าให้เกลี้ยงเลยคอยดู ! ”

เขาหันมองออกไปทางตะวันตกด้วยสายตาที่ไม่แยแสแม้แต่น้อย

แม้ว่าเขาจะอยู่ในสวรรค์สิบชั้นจนตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ทว่ารากเดิมของเขาคือคนของดินแดนศูนย์กลางดังนั้นหากว่ามีคนกล้าคิดจะรุกรานดินแดนแห่งนี้เขาก็ยินดีจะฆ่าพวกมันทั้งหมด

เขายืนอยู่กับที่อยู่นานก่อนที่จะแผดตรามังกรออกไปโดยรอบพื้นที่

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ก้าวออกไปด้วยร่างกายที่แผดคลื่นพลังสีทองออกมาทำให้มิติกระเพื่อมเล็กน้อยแล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นภายในสถานที่แห่งใหม่ที่มีกลุ่มเมฆรายล้อมภูเขาอยู่รอบทิศทางแถมยังมีพลังฉีที่ถือว่าพอใช้ได้

เมื่อมองออกไปแล้วดวงตาของเขาได้หดเล็กลงโดยทันที

“ดินแดนบ่มเพาะ ”

มันคือโลกใบเล็กที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทำให้มีพลังฉีที่เข้มข้นแถมยังอาจจะมีสมบัติถือกำเนิดขึ้น

ก่อนหน้านี้เขาก็ได้สำรวจภูเขาไท่มาก่อนแล้วแต่กลับไม่พบเลยว่ามันจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ภายใน


1339

หลังจากที่เข้ามาภายในดินแดนลับภูเขาไท่แล้วเขาก็ได้กวาดสายตาออกไปรอบๆก่อนที่จะพบกับภูเขาเตี้ยๆหลายสิบโลกรวมถึงกลุ่มคนที่มีกลิ่นอายที่ทรงพลังกว่ามนุษย์ธรรมดาอยู่หลายเท่าตัว

“ผู้บ่มเพาะ ”

เขาพึมพำออกมา

เป็นเพราะว่าการรวมตัวยังไม่ได้เริ่มขึ้นดังนั้นถึงได้กวาดสายตาไปทางคนเหล่านี้ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปทางอื่น

สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เล็กๆแถมยังให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าภูเขาไท่หลายเท่าตัวถึงขั้นที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

เขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวนั้นเป็นเพราะว่าเสน่ห์ที่ยังเหลืออยู่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งสัจธรรมซึ่งภายในสถานที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าภายนอกอยู่มากจึงได้แผดจิตสัมผัสออกไป

ไม่นานเขาก็ได้เดินขึ้นไปยังภูเขาลูกเล็กๆก่อนที่หัวใจของเขาจะสั่นสะท้านไปอีกครั้งหลังจากที่สัมผัสได้ถึงพลังสัจธรรมที่ไหลเวียนอยู่รอบทิศทาง

เขานั่งลงกับพื้นก่อนที่จะแผดจิตสัมผัสออกไปรอบๆเพื่อค้นหาต้นตอที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว

ร่างกายของเขาได้เปล่งประกายแสงสีทองออกไปซึ่งหลังจากที่ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงเขาก็ได้ค้นพบเสน่ห์ที่หลงเหลืออยู่ของมัน

เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันเบาบางทว่ากลับให้ความรู้สึกเสมือนกำลังอยู่ต่อหน้าโลกอันกว้างใหญ่ที่ทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวไม่หยุดพลางระลึกถึงภาพของขุนเขามากมายที่รายล้อมจ้าวแห่งขุนเขาอย่างภูเขาไท่อีกครั้ง

มันเป็นภาพของขุนเขาขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเสมือนกำลังแบกโลกทั้งใบเอาไว้ทำให้ทะเลความรู้ของเขาสั่นสะท้าน

“ช่างยิ่งใหญ่อะไรขนาดนี้ ”

เขาพึมพำออกมา

หลังจากนั้นก็หลับตาลงด้วยความรู้สึกที่อวัยวะภายในกำลังสั่นไหวพลางสัมผัสถึงเสน่ห์ของมันต่อไป

มันเป็นเสน่ห์ที่ไม่รู้เลยว่าผ่านพ้นมานานขนาดไหนแถมยังอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งสัจธรรมที่ทำให้ร่างกาย ดวงวิญญาณและทะเลความรู้ของเขาสั่นไหวพร้อมทั้งส่งผลให้กลิ่นอายของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าเขาเองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้ดีก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเพราะว่าเพียงแค่เสน่ห์ที่หลงเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยล้านทว่ากลับทำประโยชน์ให้เขาได้มากมายขนาดนี้

“ภูเขาไท่ในช่วงก่อนหน้านี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ?! ”

เขาผงะไป

เขาสัมผัสถึงเสน่ห์เหล่านี้พร้อมทั้งหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันไปในเวลาเดียวกัน

หลังจากนั้นไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน

ครึ่งเดือนนี้เขาได้ลืมตากลับขึ้นมาด้วยดวงตาที่เป็นประกายออกมา

“ไม่มีความรู้สึกใจสั่นเหลืออยู่อีกแล้ว ”

เขาพึมพำออกมา

เป็นเพราะหลังจากที่ได้สัมผัสถึงเสน่ห์ที่หลงเหลืออยู่ก็ทำให้แรงกดดันที่ได้รับสลายหายไปเสมือนว่าได้รับการยอมรับจากภูเขาไท่แถมยังได้รับประโยชน์มาอย่างมากมายถึงขั้นตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ตอนกลางจากตอนต้น

ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาพร้อมทั้งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเองที่เพิ่มมากขึ้น

“จ้าวขุนเขาเพ็งไล่มาถึงแล้ว ! ”

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาจากสถานที่ๆอยู่ห่างออกไป

ร่างหลายร่างพากันก้าวเดินเข้ามาภายในสถานที่แห่งนี้โดยที่มีชายวัยกลางคนชุดขาวที่ส่งกลิ่นอายอันทรงพลังเป็นผู้นำ

นี่ทำให้ผู้คนทั้งหลายรีบพากันออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว

ที่นี่มีทั้งผู้เชี่ยวชาญเร่ร่อนรวมถึงตระกูลผู้บ่มเพาะเล็กๆที่มาที่นี่ล่วงหน้าดังนั้นหลังจากที่เห็นการมาถึงของจ้าวขุนเขาแล้วพวกเขาก็ต่างพากันต้อนรับด้วยความเคารพเพราะว่าสถานะของขุนเขาเพ็งไล่นั้นไม่ธรรมดาเหมือนๆกับขุนเขาคุนหลุนมาตั้งแต่ช่วงอดีตกาลแล้ว

หลินเทียนหันมองออกไปทางฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย

ตัวเขาที่เข้ามาที่นี่มีเป้าหมายหลักๆอยู่สองอย่าง ข้อแรกคือการมาเที่ยวชมการรวมตัวกันของผู้บ่มเพาะจากดินแดนศูนย์กลางเพื่อประเมินความแข็งแกร่งโดยรวม

อีกเป้าหมายคือการที่มาดักรอผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตก

“เขตแดนวิญญาณนิรันด์ระดับ 3 ”

เขาพยักหน้าเล็กน้อย

เป็นเพราะว่าด้วยสภาพของโลกในตอนนี้นั้นการบ่มเพาะไปถึงเขตแดนวิญญาณนิรันด์มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

แน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่เพราะรู้ดีว่าที่ขุนเขาเพ็งไล่เองก็แตกต่างออกไปจากสถานที่อื่นๆในโลกที่น่าจะมีเส้นชีพจรวิญญาณหรือไม่ก็เส้นชีพจรนิรันด์เป็นรากฐานผนวกกับยาทิพย์ที่ช่วยเร่งการบ่มเพาะทำให้แข็งแกร่งกว่าขุมพลังอื่นๆในโลก

“คนจากขุนเขาคุนหลุนมาถึงแล้ว ! ”

“ขุนเขาเทียนฉี ! ”

“นิกายกระบี่ซูซานมาถึงแล้ว ! ”

“ตระกูลจิ้งจอกครามมาถึงแล้ว ! ”

“สำนักไทชิมาถึงแล้ว ! ”

นี่ทำให้เหล่าผู้คนทั้งหลายพากันออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว

มันส่งผลให้สถานที่แห่งนี้คึกคักขึ้นโดยทันที

หลินเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เองก็ได้หันมองออกไปเล็กน้อยพร้อมทั้งพบว่าขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นของขุนเขาคุนหลุนที่มีผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ในเขตแดนจ้าวแห่งเต๋าที่มาร่วมงานด้วยเช่นกัน

“แค่นี้เองงั้นรึ คนที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนศูนย์กลางเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจ้าวแห่งเต๋า ”

เขาถอนหายใจออกมา

มันอดทำให้เขารู้สึกซึมๆออกมาไม่ได้เพราะว่าโลกนี้มันไม่เหมาะกับการบ่มเพาะจริงๆนั่นแหละ

“ไม่รู้เลยว่าพวกชาวตะวันตกมันจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ? ”

เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง

หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้แต่ส่ายศีรษะและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

การปรากฏตัวของขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งหกนั้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างพากันรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของแต่ละคน

มันเป็นการแลกเปลี่ยนทฤษฎีการบ่มเพาะของแต่ละคนและอีกสามวันจะถึงช่วงการประลองของขุมพลังต่างๆ

เป็นเพราะว่าการรวมตัวกันนี้ไม่มีทางจัดขึ้นก็เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

การบ่มเพาะมันจำเป็นต้องแข่งขัน

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญอาวุโสทั้งหลายจะไม่ลงมือและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้มีพรสวรรค์รุ่นใหม่ๆ

“แกร๊ง ! ”

“ตู้มม ~! ”

เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้

หลินเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เองก็ได้แต่มองออกไปยังเหล่าศิษย์ที่อ่อนแอไม่ได้อยู่ในสายตาของจ้าวสวรรค์อย่างเขาทว่าเขาก็ยังรู้สึกสนใจเพราะถึงอย่างไรเขาเองก็ก้าวผ่านจุดเดียวกันกับคนเหล่านี้มาก่อน

“ตู้มม ~! ”

คลื่นพลังอันหนักหน่วงระเบิดออกไปรอบทิศทา

“กู่จี่ซวนจากขุนเขาเพ็งไล่แข็งแกร่งจริงๆ ! อายุเพียงแค่ 26 ปีแต่กลับอยู่ในเขตแดนจักรพรรดินภาแล้ว นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นมังกรในหมู่ผู้คนได้เลยนะ ! ”

“หยานเหวินจ้าวจากขุนเขาคุนหลุนเองก็ร้ายกาจไม่เบา เขาเองก็ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภาแล้วเช่นกันแถมยังได้ชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในรุ่นนี้ของคุนหลุนด้วย ! ”

“จูหวานเฉิงของนิกายซูซาน จางหยิงซินของขุนเขาเทียนฉี และหลุยชิงเฮอจากสำนักไทชิเองก็ไม่ธรรมดา ได้ยินว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของทั้งสามขุมพลัง ”

หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมา

เป็นเพราะห้าคนนี้ล้วนแสดงศักยภาพออกมาในการประลองโดยการสามารถเอาชนะผู้เข้าร่วมได้มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า

“ทั้งห้าคนนี้แข็งแกร่งก็จริงทว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในรุ่นเยาว์นั้นต้องเป็นของถูเซียนเซียนจากเผ่าจิ้งจอกครามอย่างแน่นอน ได้ยินว่านางตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภาระดับ 9 ได้แล้วแถมยังอยู่ห่างจากเขตแดนวิญญาณนิรันด์อีกไม่ไกล ข้าได้ยินข่าวลือมาว่านางสามารถเอาชนะผู้อาวุโสสูงสุดเขตแดนวิญญาณนิรันด์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลได้ด้วย ”

“ใช่แล้ว ได้ยินว่าสายเลือดของนางได้วิวัฒนาการไปเป็นสายเลือดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอย่างบรรพบุรุษผู้ก่อตั้ง ! ”

ผู้คนพากันส่งเสียงออกมา

ระหว่างนี้พวกเขาก็พากันหันมองออกไปทางทิศที่ถูเซียนเซียนกำลังต่อสู่อยู่ด้วยผมสีดำยาวสลัว รูปร่างที่ผอมบางสมส่วนและรูปลักษณ์ที่งดงามขณะที่กำลังกวัดแกว่นกระบี่ในมือโดยที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้

“แข็ง….แกร่งมากๆ ! ”

“ขุมพลังทั้งหลายอย่างขุนเขาต่างๆนั้นได้ชื่อว่าสืบเชื้อสายกันมาอย่างยาวนานกว่าเผ่าตระกูลจิ้งจอกครามมากๆทว่ารุ่นเยาว์ของพวกเขากลับไม่มีใครสามารถเทียบเคียงนางได้แม้แต่น้อย ”

“ใช่ ! ”

หลายๆคนพากันถอนหายใจออกมาขณะที่จ้องมองไปทางนางด้วยสายตาที่สรรเสริญ

แม้กระทั่งจ้าวขุนเขาและขุมพลังต่างๆเองก็พากันถอนหายใจออกมาเพราะว่าพรสวรรค์ของนางมันแข็งแกร่งไร้เทียมทาจริงๆ

“สหายถู ดูเหมือนว่าขุนเขาของเจ้าจะมีอัญมณีนิรันด์ล้ำค่าถือกำเนิดขึ้นแล้วนะ ”

ผู้อาวุโสสูงสุดของคุนหลุนได้หันไปพูดกับผู้นำขุนเขาคราม

จ้าวขุนเขาครามที่เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ที่งดงามได้ตอบกลับอย่างถ่อมตัวว่า

“ผู้อาวุโสก็พูดเกินไป ”

นางพูดออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอย่างมากเพราะการที่คนในตระกูลมีพรสวรรค์แบบนี้มันทำให้นางมีความสุขอย่างมาก

หลินเทียนที่อยู่ห่างออกไปได้หันมองไปทางถูเซียนเซียนเล็กน้อยพร้อมทั้งพึมพำออกมาว่า

“ใช้ได้ ”

เขาที่อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์สามารถสัมผัสได้ถึงสายเลือดที่ไม่ธรรมดาอันบริสุทธิ์ของนางแถมยังมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งและหากว่านางอยู่ในดาวสวรรค์สิบชั้นแล้วก็คงจะแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่ากายราชันเลยแม้แต่น้อย

ร่างกายของถูเซียนเซียนที่รายล้อมไปด้วยคลื่นกระบี่โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ในระยะสามเมตรได้หันมองออกไปทางหลินเทียนที่นั่งอยู่บนภูเขาที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

“เป็นเจ้า ! ”

นางผงะไปทันที


1340

เป็นเพราะไม่นานมานี้หลินเทียนเพิ่งจะสังหารชายหนุ่มและปู่ของเขาที่อยู่ในหนึ่งในสาขาของเผ่าจิ้งจอกครามไปซึ่งรายงานได้ถูกส่งกลับไปที่ตระกูลหลักอย่างรวดเร็วดังนั้นเมื่อได้พบกับหลินเทียนอีกครั้งแล้วถูเซียนเซียนและคนอื่นๆเองก็จดจำได้ทันที

ผู้นำตระกูลได้หันมองตามสายตาของถูเซียนเซียนไปก่อนที่คิ้วของนางจะขมวดเข้าหากัน

ในเวลาเดียวกันนี้เองที่คนอื่นๆก็ต่างพากันหันมองไปทางหลินเทียนเป็นสายตาเดียวกัน

“ชายคนนี้มัน………”

หนึ่งในผู้คนได้ส่งเสียงกระซิบออกมาว่า

“ได้ยินมาว่าไม่นานมานี้มีผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์สังหารผู้อาวุโสเขตแดนผู้รอบรู้และรุ่นเยาว์ภายในตระกูลของพวกเขา หรือว่าชายคนนี้จะเป็นคนๆนั้น ? ”

“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย ? ”

“แน่นอนสิ เพิ่งได้ยินมาไม่นานมานี้ ”

หนึ่งในผู้คนได้ส่งเสียงออกมา

ข่าวเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่คิดเลยว่าจะบุกไปที่ตระกูลสาขาจิ้งจอกครามเพื่อสังหารคน กล้าดีจริงๆ ! ”

“แต่เขาดูหนุ่มขนาดนี้ อายุน่าจะราวๆ 20 ปีทว่ากลับสามารถสังหารเขตแดนผู้รอบรู้ได้ ? ”

“แข็งแกร่งมากๆ ! ”

“สุดยอดไปเลย แต่หากว่าเทียบกับผู้มีพรสวรรค์ของทั้งหกขุมพลังแล้วก็ยังต่างชั้นกันอยู่ดี ”

หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมา

ผู้นำขุมพลังต่างๆเองก็พากันหันมองไปทางหลินเทียนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย

หลินเทียนไม่ได้นั่งขัดสมาธิอยู่อีกต่อไปก่อนที่จะยืดเท้าออกไปด้านหน้าด้วยท่าทางที่สบายอารมณ์โดยที่ไม่ได้สนใจคำพูดของผู้คนแม้แต่น้อยก่อนที่จะหันมองไปทางผู้นำตระกูลจิ้งจอกครามและคนอื่นๆพร้อมทั้งหยุดอยู่ที่ร่างของถูเซียนเซียนแล้วพูดว่า

“อยากจะล้างแค้น ? ”

เขาส่งเสียงอันราบเรียบออกมา

“ล้างแค้น ? ใครจะล้างแค้นกัน ! เรารู้เรื่องที่ไอ้ชาติชั่วนั่นทำลงไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ฆ่ามันเราก็จะฆ่ามันอยู่ดี ! ”

ถูเซียนเซียนส่งเสียงแสยะออกมาเพราะว่าทางตระกูลหลักได้ทำการสืบสวนเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว

คำพูดของนางทำให้ผู้คนโดยรอบได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา

“เจ้าไม่ฆ่าพวกเราก็จะฆ่า ? ”

“หมายความว่าไงกัน ? ”

“แม่นาง…..เขาพูดอะไรกัน ? ”

หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมา

เหล่าศิษย์ธรรมดาๆของตระกูลจิ้งจอกครามเองก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาไม่ต่างกัน

หลินเทียนหันมองออกไปทางนางด้วยท่าทางที่ผงะไปเล็กน้อยเพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่านางจะล้างแค้นให้กับคนในตระกูลแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้

“แล้วเจ้าจะเอายังไง ? ”

เขาถามออกไป

ถูเซียนเซียนได้ตอบกลับว่า

“แม้ว่าไอ้ระยำนั่นมันสมควรตายแล้วแต่ผู้คนมากมายก็รู้ข่าวที่เจ้าบุกเข้าไปในตระกูลสาขาของเราเพื่อฆ่าคนแล้วทำให้ตระกูลของเราเสื่อมเสียอย่างมาก เราไม่สามารถปล่อยเอาไว้เฉยๆได้ ”

หลินเทียนพยักหน้าของเขาเพราะเขาเองก็พอเจ้าใจได้เกี่ยวกับเหตุผลที่ต้องรักษาภาพพจน์ของขุมพลัง

“แล้วไง ? ”

“อึก..”

“เจ้านี่มันใจเย็นจริงๆ ”

“นี่มัน….”

หลายๆคนได้แต่หมดคำพูดไปทันทีเพราะไม่คิดเลยว่าหลินเทียนจะเยือกเย็นขณะที่เผชิญหน้ากับผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลจิ้งจอกครามได้ขนาดนี้

ถูเซียนเซียนเองก็ได้แต่มองไปยังท่าทางที่หลินเทียนแสดงออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สบอารมณ์

นางแสยะออกมาว่า

“ง่ายมากๆ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญดังนั้นเรามาสู้กับ หากว่าเจ้าชนะก็ถือว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรติดค้างกันเพราะข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลซึ่งหากว่าแพ้เจ้าแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสร้างปัญหาให้เจ้าอีก ”

“เจ้าคิดได้รอบคอบดีหนิ ”

หลินเทียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้พร้อมกับถามต่อว่า

“แล้วหากว่าข้าแพ้ ? ”

“แพ้ ? ก็ไม่มีอะไรมาก ”

นางได้หรี่ตาลงพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า

“ข้าจะขอตีก้นเจ้าไม่กี่ครั้งแล้วจบเรื่องนี้เหมือนเดิม ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะ พี่สาวคนนี้จะอ่อนโยนกับเจ้าเอง ! ”

หลินเทียน

“……….”

ทำไมลักษณะนิสัยของนางถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันแบบนี้

นี่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหนุ่มทั้งหลายที่อยู่โดยรอบอดส่งเสียงกู่ร้องออกมาไม่ได้

“นี่มัน……..เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ! ”

“ไม่นะ ! ห้ามให้เจ้านั่นเป็นฝ่ายได้ไปเด็ดขาด ! ”

“ได้โปรดช่วยตีข้าด้วย ข้าจะไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ! ”

ผู้คนพากันส่งเสียงออกมาเพราะแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะก็จริงทว่ามันก็อยู่ในยุคสมัยใหม่แล้วดังนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามสังคม ณ ปัจจุบันส่งผลให้ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายออกมาระหว่างที่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยความโกรธแค้น

หลินเทียน

“………….”

เขาได้แต่มองไปทางนางด้วยสีหน้าที่มีความสุขเพราะว่านางคนนี้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาแถมนิสัยเองก็ยังไม่ได้เลวร้ายทำให้เขานึกถึงใบหน้าของไป่เฉียวขึ้นมา

เมื่อนึกถึงนางแล้วมันทำให้เขาคิดว่านางดูน่ารักขึ้นมาทันที

“มา ข้าจะเล่นกับเจ้าหน่อยแล้วกัน ”

เขาพูดออกมา

ท่าทางของเขาทำให้สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญที่อยู่โดยรอบเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ท่าทางแบบนี้มันอะไรกัน เหมือนว่าเป็นผู้อาวุโสที่กำลังคุยอยู่กับรุ่นเยาว์อย่างไรอย่างนั้น ? ”

“นั่นน่ะถูเซียนเซียนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขุนเขาสีครามเลยนะ ! ”

“หมดคำจะพูดจริงๆแล้วสิ ”

หลายๆคนพากันแสดงสีหน้าป่วยๆออกมา

ถูเซียนเซียนที่กำลังถือกระบี่นิรันดร์เอาไว้ได้พูดขึ้นว่า

“งั้นก็เชิญ ”

“ไม่จำเป็น ”

หลินเทียนตอบกลับพลางพูดว่า

“ข้านั่งอยู่นี่แหละ เจ้าโจมตีมาได้เลย ”

“เฮือก…..”

“เจ้านี่มัน……”

“นี่มัน…..อวดดีจริงๆ ! ”

“บ้าไปแล้ว ? ”

“ดูไม่เหมือนเลยนะ ”

ผู้คนยิ่งพากันโง่งมเข้าไปอีก

ถูเซียนเซียนถึงกับกัดฟันเอาไว้แน่นพลางก้าวเดินออกไปพร้อมทั้งฟาดฟันกระบี่ในมือออกไป

กระบี่นี้ส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาขณะที่พลังฉีอันเข้มข้นแต่ไม่ได้รุนแรงได้พุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียนเนื่องจากนางได้ออมแรงเอาไว้

อย่างไรก็ตามมันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้มิติโดยรอบบิดตัวอย่างรุนแรงถึงขั้นส่งผลให้สีหน้าผู้คนเปลี่ยนไปอย่างมาก

“คลื่นกระบี่ระดับนี้มัน…สุดยอดไปเลย ! ”

“สมแล้วจริงๆที่เป็นที่หนึ่งในรุ่นนี้ ! ”

“แข็งแกร่งมากๆ ! ”

ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายรวมถึงนายน้อยของขุมพลังต่างๆพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสที่อยู่ในเขตแดนวิญญาณนิรันดร์ระดับ 2 ได้ส่งเสียงออกมาว่า

“หากว่าสู้กันจริงๆแล้วข้าต้องไม่ใช่คู่มือของแม่หนูน้อยนี่แน่ๆ ”

“อื้มม เยี่ยมมากๆ ”

ผู้อาวุโสสูงสุดของคุนหลุนได้ส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายพลางพูดต่อว่า

“แม้ว่ามันจะเป็นการโจมตีที่ไม่ได้รุนแรงทว่ากลับแฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ผู้เชี่ยวชาญภายใต้เขตแดนวิญญาณนิรันดร์ไม่สามารถรับได้อย่างแน่นอน ”

ผู้นำตระกูลจิ้งจอกครามที่อยู่ข้างๆได้แต่เผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมากับเกียรติยศครั้งนี้

คลื่นกระบี่ของถูเซียนเซียนที่ไม่ได้ทรงพลังมากนักได้เข้าประชิดร่างของหลินเทียนอย่างรวดเร็ว

เป็นกระบี่ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

“รับไม่ได้แน่ๆ ! ไม่มีใครที่อยู่ภายใต้เขตแดนวิญญาณนิรันดร์สามารถรับได้อย่างแน่นอน ! ”

หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาเพราะคิดว่าหลินเทียนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามมันเป็นตอนนี้เองที่สีหน้าของพวกเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

หลินเทียนที่กำลังนั่งอยู่บนก้อนหินด้วยสีหน้าที่ราบเรียบไม่ได้ลุกไปไหนทว่ากลับยื่นนิ้วชี้ออกมารับการโจมตีนี้เอาไว้

“นี่มัน ?! ”

“เป็นไปไม่ได้ ?! ”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”

ผู้คนพากันโห่ร้องออกมา

ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสเองก็ยังต้องผงะไปเพราะว่าคลื่นกระบี่ที่ลึกลับนี้กลับถูกรับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย !

ถูเซียนเซียนแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเพราะแม้ว่านางจะยั้งมือเอาไว้ทว่าก็รู้ดีว่ามันเป็นการโจมตีที่ทรงพลังถึงขั้นที่คนธรรมดาไม่มีทางรับได้ทว่าหลินเทียนกลับสามารถรับเอาไว้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น

“เจ้า…….”

นางส่งเสียงออกมา

“ถือว่าใช้ได้ ”

หลินเทียนพูดออกมาเพราะด้วยระดับพลังของนางในตอนนี้แล้วการที่สามารถส่งการโจมตีโดยที่ยั้งมือได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย

“มาสิ ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกต่อไป ”

ถูเซียนเซียนแข็งค้างไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลินเทียนก่อนที่จะตวัดกระบี่ในมือส่งคลื่นกระบี่อันทรงพลังพร้อมๆกับสังเวยทักษะเทวะออกไปทำให้สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญเขตแดนวิญญาณนิรันดร์ที่อยู่ห่างออกไปถึงกับเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

หลินเทียนยังคงนั่งอยู่กับที่โดยที่ใช้นิ้วชี้ของเขารับการโจมตีเหล่านี้เอาไว้เช่นเคย

นี่ทำให้ผู้คนโดยรอบพากันผวาไปทันที

“นี่มัน……”

“มือเปล่า…… ไม่ ! นิ้วเดียวสามารถ….รับการโจมตีของอาวุธนิรันดร์ได้นี่มัน…….”

“ดูเหมือนว่า….เขาจะแข็งแกร่งมากๆ! ”

“คนที่ดูหนุ่มขนาดนี้กลับแข็งแกร่งกว่าถูเซียนเซียน ?! นี่มันเป็นไปได้ไงกัน ………”

“เขา…….แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ! ”

หลายๆคนส่งเสียงออกมา

ตอนนี้ขนาดที่ว่าผู้นำขุมพลังต่างๆเองก็ได้แต่โง่งมไปกับภาพตรงหน้าของพวกเขา

โดยเฉพาะผู้นำตระกูลจิ้งจอกครามจ้าวขุนเขาสีครามที่แข็งค้างไปกับที่

“แกร๊ง ! ”

“แกร๊ง ! ”

“แกร๊ง ! ”

เสียงกระบี่คำรามดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่ถูเซียนเซียนฟาดฟันกระบี่ในมือของนางพลางสังเวยปรากฏการณ์ทะเลความรู้ออกมาแต่ก็ยังถูกหลินเทียนรับเอาไว้ด้วยนิ้วชี้เพียงแค่นิ้วเดียวที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากกระบี่ของจักรพรรดินิรันดร์

“ก็พอใช้ได้แต่มันดูแปลกๆแหะ ”

หลินเทียนหันมองไปทางนางที่กำลังเปิดฉากโจมตีเข้าใส่ทางเขาพร้อมกับส่งเสียงออกมาว่า

“บรรพบุรุษที่หนึ่งของเจ้าเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลดังนั้นก็น่าจะทิ้งมรดกจำพวกทักษะเทวะหรือเคล็ดวิชาเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลเอาไว้บ้างแต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้เรียนรู้มันเลย ? ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)