Divine King of All Directions - สิบย่านฟ้าราชาสวรรค์ 1328 - 1340
1328
“ไปที่นั่นก่อนดีกว่า”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าเขาเติบโตขึ้นภายในบ้านเด็กกำพร้าดังนั้นถึงได้อยากจะกลับไปที่นั่น
เมื่อมองลงไปแล้วเขาก็ได้เหาะกลับลงมาอย่างรวดเร็ว
ทว่ามันเป็นตอนนี้เองที่ร่างกายของเขาได้สั่นไหวก่อนที่จะหันมองออกไปยังม่านฟ้า
“ก่อนหน้านี้นี่มัน ?! ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา
เป็นเพราะว่าพลังฉีของสถานที่แห่งนี้มันแผ่วเบามากก็จริงทว่าเมื่อครู่นี้เขากลับสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังอันเข้มข้นที่ทำให้เขาเองก็ยังต้องผงะไปแต่สัมผัสได้เลยว่ามันเป็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เขาหยุดเท้าลงตัวเองลงก่อนที่จะแผดจิตสัมผัสออกไปรอบทิศทางแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกก่อนหน้านี้ได้
นี่ทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีอะไรมากกว่าโลกที่มีพลังฉีและสัจธรรมอันเบาบางเท่านั้น
เขายืนอยู่กับที่พร้อมทั้งแผดจิตสัมผัสออกไปโดยรอบอีกครั้งแต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงอะไรได้
“ช่างเถอะ ”
เขายืนอยู่นานก่อนที่จะเหาะลงมาเบื้องล่าง
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้หยุดอยู่บนภูเขาสูงบนโลกใบนี้
หากเทียบกับภูเขาภายในสวรรค์สิบชั้นแล้วจะพบว่าภูเขาสูงของที่นี่มันดูเล็กและธรรมดามากๆแถมยังเต็มไปด้วยต้นหญ้าและดอกไม้ธรรมดาๆมากมาย
อย่างไรก็ตามมันกลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
เขาก้าวเดินออกไปด้วยความเร็วที่สูงอย่างมากก่อนที่จะไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่อีกฝั่ง
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับตึงถูก ถนนหนทางและกลุ่มคนมากมาย
“ข้ากลับมาแล้ว ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
เมืองนี้มีชื่อว่าเป่ยหลี่เป็นเมืองคึกคักที่เป็นที่รู้จักกันดี
ตัวเขาเกิดและเติบโตขึ้นที่เมืองนี้
เมื่อมองออกไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินสัญจรไปมาแล้วจะพบว่าเสื้อผ้าของพวกเขาแตกต่างจากเขามาก
“ควรจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อน ”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าเขาก้าวเดินบนเส้นทางบ่มเพาะภายในสวรรค์สิบซึ่งสังคมและวัฒนะธรรมของทั้งสองโลกมันต่างกันอย่างสิ้นเชิงดังนั้นการกลับมาของเขาจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้สวมเสื้อผ้าโบราณของผู้บ่มเพาะเนื่องจากมันจะดูแปลกแยกอย่างมาก
ร่างกายของเขาส่องประกายแสงออกมาเล็กน้อยก่อนที่เสื้อผ้าของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับเขาที่อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์แล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้ถือว่ายากแม้แต่น้อย
เป็นเพราะการบ่มเพาะทำให้ผมของเขามีความยาวอย่างมากและต่างออกไปจากผู้คนในโลกใบนี้ดังนั้นเขาถึงได้ตัดมันออกจนสั้น
“เรียบร้อย ”
เขาส่งเสียงกระซิบออกมา
ตอนนี้เขาแปลงโฉมเรียบร้อยแล้วทำให้ดูไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุ 20 ปีของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย
เขายืนอยู่กับที่อยู่นานก่อนที่จะเดินตามเส้นทางออกไป
ไม่นานเขาก็ได้ไปถึงสถานที่ๆอยู่ทางตอนใต้ของเมืองนี้
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้กับตึกสูงมากมายรายล้อมไปด้วยบ้านพัก
“ที่นี่…..”
เขาได้มาถึงก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน
เป็นเพราะก่อนหน้านี้มันเคยเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อนทว่าตอนนี้มันกลายแปรเปลี่ยนกลายเป็นตึกขนาดใหญ่เสียแล้ว
“กาลเวลา ”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าเขาจากโลกนี้ไปกว่า 50 ปีแล้วซึ่งมันมากพอจะเปลี่ยนแปลงได้หลายๆสิ่ง คนดูแลของเขาเป็นชายชราที่เปลี่ยนบ้านของตัวเองเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกทิ้งหรือหลงซึ่งเขาเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้เวลาได้ผ่านมาหลายต่อหลายปีดังนั้นชายชราก็คงจะตายไปแล้วและการที่สถานรับเลี้ยงจะหายไปก็เป็นเรื่องที่ปกติ
เขายืนอยู่กับที่อยู่นาน
ตัวเขาพอเดาได้ตั้งแต่ที่กลับมาแล้วว่าชายชราคนนั้นคงจะเสียชีวิตไปแล้วเพราะถึงอย่างไรเขาก็จากโลกนี้ไปกว่า 50 ปี แถมก่อนที่จะจากไปอีกฝ่ายก็มีอายุกว่า 80 ปีแล้วดังนั้นเมื่อบวกกับ 50 ปีเข้าไปมันเป็นเรื่องยากมากๆที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้สำหรับคนบนโลกนี้
สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือความเปลี่ยนแปลงของบ้านของชายชรา
เขากลับมาที่นี่เพื่อจะกลับมาดูสถานที่ๆเขาเติบโตขึ้นและกลับมาไหว้หลุมศพของชายชราและหากว่าบ้านหลังนั้นยังอยู่ก็คงจะพอสอบถามกับลูกหลานของชายชราได้
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วมันทำให้เขารู้สึกเสียใจและเคว้งคว้างอย่างมาก
“นี่ ได้ยินมาว่าที่ชั้น 31 โดนผีหลอกอีกแล้วนะ ”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครจะไม่ได้ยินบ้าง ได้ยินมาว่าเป็นผีสาวที่ถูกเผาในบ้านพักเมื่อสามปีก่อน ”
ห่างออกไปไม่ไกลมีชายชราสองคนกำลังชี้ออกไปด้านหน้าพร้อมทั้งส่งเสียงออกมา
หลินเทียนที่กำลังยืนอยู่ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะว่าคำว่าบ้านพักนี้มันมีความสำคัญกับเขาอย่างมาก
ชายชราทั้งสองคนดูมีอายุประมาณ 75 ปีและกำลังพูดคุยอยู่กับหนุ่มสาวที่กำลังเดินผ่านไปมาซึ่งพวกเขาต่างพากันส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
“คุณลุง นี่มันยุคไหนกันแล้วครับ มันจะยังไปมีพวกผีสางได้อย่างไรกัน ”
ชายหนุ่มส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งเดินตากไป
คนอื่นๆที่เดินผ่านไปมาเองก็ต่างพากันส่ายศีรษะของพวกเขา
ไม่มีใครคนไหนเลยที่เชื่อเรื่องผีสางเหล่านี้
หลินเทียนได้หันมองออกไปทางชายชราทั้งสองคนที่กำลังนั่งเก้าอีไม้อยู่ด้านหน้า
“คุณลุงครับ ช่วยเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ผมฟังแบบละเอียดหน่อยได้ไหมครับ ? ”
เขาถามออกมา
เป็นเพราะว่าบ้านพักที่อยู่แถวนี้มันมีเพียงของชายชราที่รับเลี้ยงเขาเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำว่าหญิงสาวที่ถูกไฟคลอกในบ้านพักและผีสาวมันทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมาก
“สนใจงั้นหรอเจ้าหนุ่ม ? ”
ชายชราทั้งสองหันมองมาทางเขา
“ครับ ”
หลินเทียนพยักหน้าตอบกลับ
เมื่อเห็นว่าหลินเทียนต้องการจะฟังแล้วทั้งสองถึงได้แสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา
“ก่อนหน้านี้น่ะที่นี่มันไม่ได้คึกคักอะไรแบบนี้หรอก ณ ตอนนี้มันมีบ้านพักที่บังที่ดินสวยๆแถมนี้เอาไว้และเมื่อประมาณสามปีก่อนพวกบริษัทกิเลนก็อยากจะซื้อที่แถวนี้แต่ไม่มีใครต้องการขายทำให้พวกมันจ้างพวกอันธพาลมาสร้างปัญหาอยู่เป็นพักๆส่งผลให้ทุกคนต้องพากันยอมก้มหัวให้แต่เป็นเพราะว่าเจ้าของบ้านพักนี้ใจแข็งมากๆแม้ว่าจะได้รับคำขู่มากมายแต่ก็ยังไม่ยินยอมขายที่ของเขา ”
ชายชราอีกคนได้ส่งเสียงออกมาว่า
“เป็นเพราะว่าที่นั่นมันมีความหมายกับเขามากๆแล้วคิดว่าเขาจะยอมขาย ? อย่าว่าแต่เรื่องที่กดราคาเลย ได้ยินมาว่าราคาที่เสนอมามันไม่ถึงหนึ่งในสิบของราคาบ้านด้วยซ้ำและเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้หลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็เกิดไฟไหม้ขึ้นจากไฟรั่วทำให้ผู้คนทั้งหมดภายในบ้านพักนั้นตกตายลง ”
“ไฟรั่วอะไรกัน มีหลายคนเป็นพยานว่าเห็นพวกอันธพาลที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทกิเลนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ! ”
ชายชราอีกคนส่งเสียงออกมา
“เรื่องนี้ก็พอจะเดากันได้ ”
ชายชราได้ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งมองมาทางหลินเทียนพลางพูดต่อว่า
“หลังจากนั้นสามปีที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจนคึกคักมาถึงตอนนี้ ”
ชายชราได้ชี้ออกไปยังตึกสูงกว่าร้อยเมตรพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนนี้มีเจ้าของห้องถูกผีหลอกมาด้วยล่ะ ”
ชายชราพูดต่อว่า
“มันอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันเคยเป็นที่ตั้งของบ้านพักหลังนั้นทำให้เจ้าของห้องหลายๆห้องต้องพบเจอกับผีนางนั้นซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับลูกสาวของเจ้ามองบ้านพักคนก่อนมากๆ ”
หลินเทียนได้แต่มองขึ้นไปยังตึกสูงที่ถูกสร้างทับที่ของบ้านพักสถานรับเลี้ยงเด็กของเขาซึ่งแม้ว่ามันจะผ่านไปหลายปีมาแล้วแต่เขาก็ยังจดจำได้อย่างดี
“คุณลุงครับ ครอบครัวสามคนที่ตายมีบรรพบุรุษชื่อว่าเฉินชีหยวนที่เคยรับอุปถัมภ์เด็กกำพร้าหรือเปล่าครับ ? ”
เขาถามออกไป
คำพูดนี้ทำให้ชายชราทั้งสองผงะไปทันที
“ใช่ๆ เจ้าหนุ่มรู้เรื่องพวกนี้ด้วยงั้นเรอะ ? มันผ่านมากว่า 50 ปีแล้วนะ เธอดูมีอายุราวๆ 20 ต้นๆเองเท่านั้นแล้วรู้เรื่องนี้ได้ไงกัน ? ไปได้ยินข่าวลือแถวนี้มางั้นเรอะ ? ”
1329
ชายชราทั้งสองคนต่างจ้องมองมาทางเขาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจเพราะหลินเทียนนั้นยังดูมีอายุราวๆ 20 ปีเท่านั้นแต่กลับรู้ชื่อของบรรพบุรุษบ้านตระกูลเฉินอย่างเฉินฉีหยวนได้อย่างละเอียด
แต่แม้จะคิดว่ามันแปลกๆแต่ก็มีข่าวลือแพร่ออกไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ดังนั้นถึงไม่ได้สนใจอะไรมากนักและคิดว่าหลินเทียนน่าจะไปได้ยินข่าวลือเหล่านั้นมา
“ได้ยินมาว่าแต่ก่อนเฉินฉีหยวนนั้นเป็นคนที่ช่วยรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งหลายโดยการเปลี่ยนบ้านพักของตัวเองเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กหลายๆคนดังนั้นจะเรียกว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้แถมลูกหลานของเขาก็เป็นคนที่ทำงานสุจริตแต่กลับต้องตกตายลงเมื่อสามปีก่อน นี่มัน…….เป็นเวรกรรมจริงๆ ”
ชายชราถอนหายใจออกมา
ชายชราอีกคนเองก็ได้แต่ก่นด่าออกมาว่า
“เวรกรรมอะไรกัน ! ข้าบอกแล้วไงว่ามันเกี่ยวข้องกับไอ้บริษัทกิเลนนั่นอย่างแน่นอน ! พวกมันต่ำช้ายิ่งกว่าหมูกว่าหมา อีกไม่นานพวกมันก็คงจะได้ตายกันไปหมดแล้ว ”
หลินเทียนได้หันมองออกไปยังตึกตรงหน้าพร้อมทั้งกำหมัดเอาไว้แน่น
เป็นเพราะว่าลูกหลานของผู้ที่เคยเลี้ยงดูเขากลับถูกกระทำแบบนี้จนตายอย่างน่าอนาถภายในบ้านของตัวเอง
เขาได้แต่มองออกไปด้วยแววตาที่ส่องประกายจิตสังหารออกมาอย่างเข้มข้น
“ขอบคุณลุงทั้งสองมากๆ ”
เขาส่งเสียงออกมาก่อนที่จะขอตัวลาแล้วหันหลังเดินเข้าไปภายในตึกนั้น
ไม่นานเขาก็เข้าไปด้านใน
เป็นเพราะว่าเขาต้องยืนยันให้ได้ว่าผีที่ว่านี่มีความเกี่ยวข้องกับลูกหลานของชายชราคนนั้นไหม
ตึกนี้มีความสูงกว่าร้อยเมตรและถูกสร้างขึ้นกว่า 39 ชั้นเหนือที่ดินของบ้านพัก
หลินเทียนที่ได้มาถึงก็ได้ก้าวเข้าไปก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เย็นยะเยือก
เขากวาดจิตสัมผัสออกไปทั่วไม่เว้นบันไดขึ้นไปจนถึงชั้นบนทุกชั้น
พริบตาเขาก็ขึ้นไปจนถึงที่ชั้นที่ 4
“ผีร้าย ! ”
“ท่านนักบวชช่วยปัดเป่ามันไปเร็ว ! ”
เขาที่ขึ้นไปถึงด้านบนก็ได้ยินเสียงที่หวาดหวั่นถูกส่งออกมา
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบกับนักบวชที่กำลังแสดงสีหน้าที่หวาดผวากำลังวิ่งผ่านมาเสมือนว่าเพิ่งพบเจอกับสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต
“ท่านนักบวช….กลับมาก่อน ! ”
“ผีร้ายมันกำลังออกมาแล้ว ! ”
“หนีเร็ว ! ”
เสียงกรีดร้องถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลินเทียนได้ก้าวเดินออกไปทางทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเล
เขาได้พบกับกลุ่มคนนับสิบที่กำลังยืนรวมตัวกันอยู่ตรงทางเดินด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านขณะที่กำลังมองเข้าไปภายในห้องที่เปิดอยู่ด้วยสายตาที่หวาดหวั่น
หลินเทียนที่มาถึงที่นี่ได้เดินผ่านกลุ่มคนเหล่านี้ไปอย่างไม่สนใจก่อนที่จะเข้าไปภายในห้องใหญ่ห้องนั้น
มันมีกลิ่นอายหยินที่เข้มข้นอย่างมากบ่งบอกได้ถึงการคงอยู่ของดวงวิญญาณ
“เจ้าหนุ่มอย่าเข้าไปนะ ! ภายในนั้นมันมีผีร้ายสิงอยู่ ! ”
“ใช่ รีบกลับมาแล้ว ! ผีร้ายตัวนั้นมันน่ากลัวสุดๆ……..ขนาดนักบวชยังหมดปัญญาเลย ! ”
“กลับมาเร็ว ! อย่าไปทางนั้น ”
เหล่าผู้คนทั้งหลายที่กำลังสั่นอยู่ต่างพากันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปพร้อมทั้งส่งเสียงเตือนออกมาซึ่งเจ้าของห้องนี้เป็นชายวัยกลางคนและภรรยาของเขาซึ่งหลังจากที่ได้ซื้อห้องนี้มาแล้วก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะได้พบกับผีร้ายภายในห้องก่อนที่จะว่าจ้างนักบวชด้วยเงินจำนวนมากเพื่อปัดเป่ามันแต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเปล่าประโยชน์เนื่องจากวินาทีแรกที่อีกฝ่ายได้เห็นห้องพักก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาพร้อมทั้งหันหลังหนีไปทันที
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหลินเทียนกำลังเดินเข้าไปใกล้สองสามีภรรยาถึงได้ส่งเสียงออกมาโดยทันที
หลินเทียนไม่ได้สนใจเสียงเหล่านี้แม้แต่น้อยก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปภายในห้องพร้อมทั้งปิดประตูห้องเอาไว้ด้วยพลังเทวะของเขาพร้อมวางข่ายอาคมปิดกั้นทำให้คนธรรมดาไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้แม้จะมีกุญแจก็ตามที
“นี่มัน….ประตูปิดเอง ?! ”
“เป็นผีนางนั้นแน่ๆ ! ต้องเป็นไอ้ผีร้ายตัวนั้น เจ้าหนุ่มนั่น……ตายแน่ ! ”
“ทำไมคนหนุ่มแบบนั้นถึงได้กล้าเข้าไปกัน ?! ไม่เห็นหรือไงว่ามันผิดปกติ……..”
เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกและเห็นว่าหลินเทียนได้เดินเข้าไปก่อนที่ประตูจะปิดเองต่างคิดว่าเป็นฝีมือของผีร้ายทำให้พวกเขายิ่งหวาดหวั่นขึ้นไปอีกโดยเฉพาะสองสามีภรรยาคู่นั้นเพราะหากว่ามีคนตายในห้องพวกเขาเพิ่มก็จะกลายเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา
…………….
หลินเทียนที่ปิดกั้นห้องนี้เอาไว้ด้วยพลังเทวะแล้วก็ได้กวาดสายตาออกไปรอบๆ
ภายในห้องนี้หน้าต่างทุกบานถูกปิดเอาไว้ทำให้ค่อนข้างมืดและมีเพียงแสงจากเทียนรวมถึงข้าวสารและป้ายยันต์สีเหลืองกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
“โร๊ววว ~! ”
เสียงกู่ร้องของผีร้ายได้ถูกส่งออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
ที่มุมห้องมีร่างๆหนึ่งกำลังยืนอยู่ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกมันคือร่างวิญญาณของหญิงสาว
บนร่างของนางเต็มไปด้วยเลือดขณะที่ร่างกายถูกเผาจนเกรียมรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายสีดำเข้มมีนิ้วยาวเหมือนตะเกียบ
อีกฝ่ายที่กำลังมองมาทางเขาได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความแค้นพร้อมทั้งกระโจนเข้าใส่โดยทันที
วินาทีที่เข้ามาใกล้ข้าวสารเสกนี้ทำให้ดวงวิญญาณของนางถูกผนึกเอาไว้ก่อนที่นางจะพยายามขัดขืนแต่ก็เปล่าประโยชน์
หลินเทียนได้มองออกไปยังร่างที่ถูกเผาจนเกรียมใบหน้ากว่าครึ่งเน่าเปื่อยดวงตาสีแดงก่ำอันดุร้าย
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยของชายชรา
นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นดวงวิญญาณของลูกหลานผู้มีพระคุณของเขาอย่างแน่นอน !
อีกฝ่ายส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งขณะที่กำลังจ้องมองมาทางเขา
ตอนนี้ดวงวิญญาณของนางมีเพียงความแค้นเท่านั้น
เขาที่กำลังมองออกไปก็รู้สึกแย่ไม่ได้ต่างกันนัก
ไม่คิดเลยว่าลูกหลานของผู้มีพระคุณของเขาจะจบชีวิตลงด้วยสภาพแบบนี้
เขาโบกมือส่งคลื่นพลังกลีบดอกบัวหยินหยางออกไปโอบร่างของนางเอาไว้
พริบตานี้เองที่ร่างวิญญาณของนางได้สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา
แต่ไม่นานหลังจากนั้นความดุร้ายก็สลายหายไปก่อนที่สติปัญญาจะเริ่มกลับคืนมา
ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปหลายสิบลมหายใจ
มันเป็นช่วงที่ความชั่วร้ายที่อัดแน่นอยู่ภายในห้องรวมถึงรอยเผาไหม้และบาดแผลตามร่างกายของนางก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์
ณ ตอนนี้นอกจากการที่ไม่มีกายหยาบแล้วก็ดูไม่ได้ต่างไปจากเด็กสาวอายุ 22 ปีทั่วไปเลยด้วยซ้ำ
มันเป็นตอนนี้เองที่หลินเทียนได้โบกมือคลายผนึกให้กับนาง
นางได้หันมองไปรอบๆเสมือนคนที่เพิ่งตื่นขึ้นก่อนที่จะระลึกถึงภาพเหตุการณ์บางอย่างได้
“คุณพ่อ ! คุณแม่ ! ”
นางส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างดังด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วนพลางหันมองไปรอบๆก่อนที่ร่างกายของนางจะสั่นสะท้านไม่หยุด
หลินเทียนที่กำลังมองนางอยู่ได้พบว่าเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างทำให้ดวงวิญญาณของนางยังคงถูกรักษาเอาไว้และแปรเปลี่ยนกลายเป็นผีร้ายไปแต่เขาได้อาศัยเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันขจัดความชั่วร้ายไปพร้อมทั้งปกป้องดวงวิญญาณของนางเอาไว้ด้วยกลีบดอกบัวหยินหยางทำให้นางอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ร่างกายของนางได้แต่สั่นสะท้านอยู่นานกว่าจะหยุด
“คุณ….เป็นใครกัน ? ”
นางหันมองมาทางเขา
เป็นเพราะเรื่องเหล่านี้ทำให้รู้ว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดาๆ
“หลินเทียน , เด็กกำพร้าที่ปู่ทวดของคุณเคยชุบเลี้ยง ”
หลินเทียนตอบกลับไป
หญิงสาวได้แต่สั่นสะท้านไปพร้อมๆกับส่งเสียงออกมาว่า
“คะ..คุณ ”
นางส่งเสียงต่อว่า
“ปู่ทวดตายไปตั้ง 30 กว่าปีแล้วเด็กที่ปู่เลี้ยงไว้มันจะดูหนุ่มขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ?! คุณดู…..มีอายุพอๆกับฉันเลยด้วยซ้ำ ”
นางรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วและตระหนักได้ว่าหลินเทียนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาๆที่สามารถสยบวิญญาณร้ายของนางเอาไว้ได้ง่ายๆแถมยังเรียกสติของนางได้อีกก็จริงแต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเทียนแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้
“เกือบเท่าเธอ ? ”
หลินเทียนมองออกไปพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเธอจะไม่ค่อยตรงนะ ”
เป็นเพราะหากวัดตามอายุจริงๆแล้วตอนนี้เขาน่าจะมีอายุราวๆ 70-80 ปีแต่เป็นเพราะระดับพลังที่สูงส่งทำให้รูปลักษณ์ของเขาไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
“คุณ……..”
นางได้แต่สั่นสะท้านไป
เมื่อมองออกไปยังหลินเทียนแล้วกลิ่นอายที่เขาส่งออกมามันทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นจากเบื้องลึกของหัวใจ
แน่นอนว่าหลินเทียนเองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้ดีดังนั้นถึงได้โบกมือส่งประกายแสงสีทองออกไปโอบร่างวิญญาณของนางเพื่อพยุงอาการและปรับสภาพอารมณ์
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก ฉันจะไม่ทำร้ายเธอ ”
เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า
“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อสามปีก่อน ”
1330
การกลับมาหลังจากที่จากไปหลายปีนี้ทำให้เขาอยากจะกลับมาในที่ๆเขาเคยอยู่เพื่อไหว้หลุมศพของผู้มีพระคุณของเขาแต่สิ่งที่รอเขาอยู่คือการที่บ้านพักของชายชราได้หายไปก่อนที่จะรู้มาว่าอีกฝ่ายถูกจ้างวานฆ่ายกครัวแถมยังได้เห็นภาพของหญิงสาวที่เป็นลูกหลานของชายชรากลายเป็นร่างวิญญาณอยู่ตรงหน้าตัวเองนี่มันทำให้เขาโกรธถึงขีดสุด
เขายืนยันได้เลยว่ามันจะต้องเป็นบริษัทกิเลนที่ลุงทั้งสองได้พูดถึงก่อนหน้านี้แต่ก็ยังอยากจะถามจากปากของนางว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อสามปีก่อนจะได้รับรู้ความจริงที่แท้จริง
เมื่อได้ยินคำถามของหลินเทียนแล้วนางก็ได้แต่ผงะไปก่อนที่ร่างกายจะสั่นสะท้าน
“สามปีก่อน…..”
นางระลึกถึงภาพเหตุการณ์อันเจ็บปวดก่อนที่จะเล่าเหตุการณ์แบบเดียวกันกับที่เขาได้ยินมาเพียงแค่ละเอียดกว่า…….เป็นเพราะพ่อแม่ของนางไม่ต้องการจะขายที่แห่งนี้ให้กับทางบริษัทกิเลนด้วยราคาที่ต่ำกว่ามาตรฐานกว่าสิบเท่าเพราะนี่คือบ้านของพวกเขา
หลังจากนั้นพวกอันธพาลก็เริ่มมาก่อกวนเป็นพักๆพร้อมทั้งข่มขู่พวกเขาซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ขาของพ่อเธอต้องหักไปแต่ครั้งนี้พวกมันไม่ได้มาข่มขู่อีกแล้วเพราะพวกมันลงมืออย่างโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเก่า
“พวกมันใช้ยาบางอย่างทำให้พวกเรารู้สึกชาไปทั้งตัวทำให้ไม่สามารถขยับไปไหนได้ก่อนที่จะเข้าไปในห้องครัวของเราแล้วเปิดแก๊สทิ้งไว้ก่อนที่จะ……จุดไฟ……”
นางส่งเสียงสั่นๆออกมา
หากว่าร่างวิญญาณสามารถร้องไห้ได้นางก็คงจะร้องไห้ไปแล้ว
ระหว่างนี้ดวงตาของเขาก็แสดงให้เห็นถึงแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความแค้น
ครอบครัวของนางถูกทำลาย พ่อแม่ถูกสังหารไปพร้อมๆกัน
ทว่านางกลับไม่ได้สลายไปอย่างสมบูรณ์แต่กลับหลงเหลือร่างวิญญาณที่แปรเปลี่ยนไปด้วยความแค้นจนกลายเป็นผีร้าย
“คุณพ่อ คุณแม่ ”
นางส่งเสียงสะอื้นออกมา
การที่ต้องเสียพ่อแม่ไปจะให้ใครไม่รู้สึกเศร้าบ้าง
อย่าว่าแต่เรื่องที่ทั้งสองถูกสังหารลงอย่างโหดเหี้ยมจนตายทั้งเป็น
สายตาของหลินเทียนส่องประกายความเย็นยะเยือกถึงขีดสุดออกมา
เป็นเพราะเขาเองก็พอเดาได้จากคำพูดของลุงทั้งสองคนก่อนหน้านี้ไปแล้วแต่หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็อดทำให้เขาโกรธไม่ได้
“เธอมีชื่อว่าอะไร ? ”
เขาถามออกไป
“เฉิน….เฉินหลิน ”
หญิงสาวตอบกลับ
“อื้ม ”
หลินเทียนพยักหน้าพร้อมทั้งพูดว่า
“ยืนอยู่นิ่งๆอย่าขยับไปไหน ”
“อื้ม อื้ม ”
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหลินเทียนจะให้นางยืนนิ่งทำไมแต่เป็นเพราะกลิ่นอายอันแข็งแกร่งของหลินเทียนที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากภูเขาใหญ่ทำให้นางเชื่อฟังอย่างมาก
เมื่อเห็นว่านางกำลังยืนนิ่งแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงสีทองออกไปโอบร่างของนางเอาไว้ทั้งตัว
ประกายแสงสีเลือดส่องประกายออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นเลือดเนื้อให้กับนางอย่างช้าๆ
“นี่มัน…..?! ”
เฉินหลินส่งเสียงสั่นๆออกมา
นางเห็นกับตาตัวเองเลยว่าเลือดเนื้อกำลังเติบโตขึ้นตามร่างวิญญาณของนางอย่างช้าๆ
“อย่าขยับไปไหน ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะว่านางตกตายลงไปกว่าสามปีแต่ดวงวิญญาณยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ดังนั้นด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้การจะช่วยนางก่อสร้างร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากนักแถมนางเองก็ไม่ถือว่าตายอย่างแท้จริงแต่ต้องเรียกว่าสูญเสียกายหยาบไปดังนั้นมันก็เหมือนกับผู้บ่มเพาะที่การจะสร้างร่างใหม่อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
อย่างน้อยๆสำหรับเขาที่อยู่ในระดับพลังนี้ก็ถือเป็นเรื่องง่ายๆ
เขาแค่ต้องช่วยนางก่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“บึ้สส ~! ”
ประกายแสงโอบร่างของนางเอาไว้พร้อมทั้งส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาก่อนที่จะจุดประกายเปลวเพลิงสีแดงฉานทำให้เลือดเนื้อก่อตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม
“เรียบร้อย ”
เขาพูดออกมาพลางวางมือลง
ร่างกายของนางได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสมบูรณ์แล้วดังนั้นนางในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากคนปกติเลยด้วยซ้ำแถมเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังถูกสร้างขึ้นจากพลังเทวะของเขา
นางได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งมองไปยังมือทั้งสองของตัวเองด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุด
เป็นเพราะนางได้ตายลงไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้วเหลือไว้เพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในอากาศแต่ตอนนี้นางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งไม่ต่างจากเมื่อสามปีก่อนเลยด้วยซ้ำ
“นี่ฉัน…..มีชีวิตอีกครั้ง ?! ”
นางส่งเสียงออกมา
“อื้ม ”
หลินเทียนตอบกลับไป
ร่างกายของนางยิ่งสั่นสะท้านเข้าไปอีกเพราะมันเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างมาก
แม้นางที่เคยเป็นวิญญาณจะรู้ว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่ลี้ลับอยู่มากมายและรู้ว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดาแต่เรื่องพวกนี้มันก็ยังน่าตกตะลึงอย่างเคย
“ขะ….ขอบคุณ ! ”
นางขอบคุณเขาซ้ำๆก่อนที่จะจะขอร้องออกมาด้วยใบหน้าที่มีความหวังว่า
“คุณ….ช่วยชุบชีวิตให้กับพ่อแม่ของฉันด้วยได้ไหม ? ได้…….ได้โปรด ! ”
นางคิดว่าในเมื่อหลินเทียนสามารถช่วยนางได้ก็คงจะสามารถช่วยพ่อแม่ของนางได้เช่นกัน
เขาได้ส่ายศีรษะพร้อมทั้งตอบกลับไปว่า
“สถานการณ์ของเธอและพ่อแม่มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะเธอยังไม่ถูกนับว่าตายอย่างสมบูรณ์แต่เป็นการสูญเสียกายหยาบไปเท่านั้นดังนั้นฉันถึงสามารถช่วยสร้างกายหยาบใหม่ได้แต่ดวงวิญญาณของพ่อแม่เธอได้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์แล้วทำให้หมดโอกาสที่จะคืนชีพกลับมาได้”
เขาได้แต่คิดถึงความกตัญญูของนางดังนั้นถึงได้อธิบายออกมาอย่างระมัดระวัง
ร่างกายของนางได้แต่สั่นสะท้านไปก่อนที่จะร้องไห้ออกมา
แม้ว่านางจะรู้ดีว่ามันเป็นคำขอที่เป็นไปได้ยากแต่เมื่อได้ยินคำตอบที่สิ้นหวังนี้แล้วนางก็ยังคงเศร้าอย่างเคย
หลินเทียนได้แต่มองไปทางนางที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่กว่าสองชั่วโมงก่อนที่จะพูดขึ้นหลังจากที่นางสงบสติได้ว่า
“ตามข้ามา ”
เขาพูดออกมาพร้อมทั้งหันหลังเดินออกจากห้องนี้ไป
เฉินหลินที่กำลังสะอื้นอยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาแต่ก็สงบสติลงได้แล้วจึงเดินตามหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนได้เดินมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าก่อนที่จะส่งพลังเทวะออกไปเล็กน้อยทำให้ข่ายอาคมปิดกั้นสลายหายไปก่อนที่ประตูจะเปิดออกด้วยตัวเอง
เขาก้าวเดินออกไปพร้อมทั้งมุ่งหน้าไปยังบันไดที่อยู่ห่างออกไป
“เจ้าหนุ่ม……….ไม่เป็นอะไรแน่นะ ?”
ผู้คนทั้งหลายที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกและเห็นว่าเขาเดินออกมาจากบ้านผีสิงโดยที่ยังอยู่ดีได้ถามออกมาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
ทว่าหลังจากนั้นเองที่สีหน้าของพวกเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้งหลังจากที่เห็นร่างของเฉินหลินที่เดินตามออกมา
“ผี ! เป็น…ผีตัวนั้น ! ”
“มัน….ออกมาแล้ว ! ”
“เป็นคนๆนั้น …..”
ผู้คนพากันส่งเสียงโหวกเหวกออกมา
แม้ว่าเฉินหลินในตอนนี้จะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้มากเพราะนางไม่ได้เป็นผีร้ายที่มีเล็บยาวเป็นตะเกียบหรือร่างกายที่เน่าเปื่อยอีกต่อไปก็จริงแต่ผู้คนเองก็ยังจดจำรูปลักษณ์ของนางได้อย่างดี
พวกเขาเองก็เคยได้เห็นวิญญาณร้ายของนางมาก่อนแล้วดังนั้นถึงได้จดจำได้อย่างแม่นยำแม้ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปอย่างมากแต่โดยรวมก็คล้ายๆกัน
นี่ทำให้ใบหน้าของผู้คนพากันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยขาที่สั่นไม่หยุดจนไม่สามารถขยับไปไหนได้
หลินเทียนได้หยุดเท้าลงพลางหันมองไปทางกลุ่มคนเหล่านี้แล้วหันมองไปทางคู่สามีภรรยาก่อนที่จะพูดว่า
“หลังจากนี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้วนะ ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ได้ก้าวเดินออกไปโดยทันที
เฉินหลินที่กำลังเดินตามหลังเองก็ยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้างถึงได้หันมองไปทางคู่สามีภรรยาแล้วพูดขึ้นว่า
“ขอโทษที่สร้างปัญหาให้พวกคุณนะคะ ”
เมื่อพูดจบแล้วนางก็รีบเดินตามหลังหลินเทียนไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลินเทียนก็เดินลงบันไดไปจากชั้นนี้
จนถึงตอนนี้เองที่ผู้คนทั่วทั้งทางเดินต่างถอนหายใจออกมา
“นี่หนุ่มน้อยคนนั้น……สามารถสยบผีร้ายได้ ?! ”
“ดูเหมือน..จะเป็นแบบนั้นนะ ! ”
“นี่มัน..สุดยอดไปเลย ! เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ?! ”
“นี่……..”
ผู้คนพากันส่งเสียงออกมา
“หลังจากนี้……เราไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ?”
ทั้งสองสามีภรรยาต่างพากันส่งเสียงอันตื่นเต้นออกมา
…….
หลินเทียนเดินตามเส้นทางออกไปจนออกไปนอกตึกโดยที่มีเฉินหลินเดินตามหลังเขามา
เขาหันมองกลับไปยังตึกที่เคยเป็นบ้านพักที่ลับเลี้ยงเขาก่อนที่ลูกหลานของผู้มีพระคุณจะถูกวางแผนฆ่าตายกันหมด
สายตาของเขาเย็นยะเยือกถึงขีดสุด
เขาจ้องมองอยู่นานก่อนที่จะหันมองกลับมาทางเฉินหลินพร้อมทั้งพูดขึ้นว่า
“หลุมศพของปู่ทวดเธออยู่ที่ไหนกัน ? ฉันอยากจะไปกราบไหว้เสียหน่อย ”
1331
การกลับมาและได้พบกับเฉินหลินนี้ก็ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายเองก็น่าจะรู้ที่อยู่ของหลุมศพชายชราเป็นอย่างดี
“อื้ม รู้”
เฉินหลินตอบกลับ
เป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นางเองก็ไหว้หลุมศพของปู่ทวดทุกๆปีอยู่แล้ว
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า
“นำทางฉันไปหน่อย ”
เฉินหลินตอบรับกลับพร้อมทั้งหันมองกลับไปทางตึกด้านหลังด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเพราะนี่เคยเป็นที่อยู่ของนางทว่าตอนนี้นางกลับไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว
นางปาดคราบน้ำตาออกพร้อมทั้งเดินนำทางหลินเทียนออกไปจากละแวกนี้อย่างรวดเร็ว
สามปีมานี้หลายๆสิ่งเปลี่ยนไปอย่างมากแต่นางเองก็ยังจดจำเส้นทางได้อย่างดีเนื่องจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้มากว่า 20 ปีแล้ว
“หลุมศพของคุณปู่ทวดถูกฝังเอาไว้ภายในป่าที่อยู่รอบนอก มันน่าจะใช้เวลาเดินทางนานมากๆ ”
นางส่งเสียงออกมา
“ไม่เป็นไร ”
หลินเทียนตอบกลับไป
เฉินหลินได้ตอบกลับก่อนที่จะเดินนำทางเขาต่อไป
หลินเทียนก้าวเดินตามหลังของนางไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าความเร็วของนางจะต่ำมากๆแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแม้แต่น้อย
หลังจากที่เวลาผ่านไปได้ประมาณสองชั่วโมงพวกเขาก็ได้ไปถึงภูเขาที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกของเมืองนี้
“ด้านหน้านี้แหละ ”
นางส่งเสียงออกมา
หลินเทียนที่เดินตามหลังเองก็ได้ก้าวออกไปยังพื้นที่ๆเต็มไปด้วยของเส้นไหว้
เฉินหลินเดินนำทางเขาไปเรื่อยๆก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า
“ถึงแล้ว…..”
ระหว่างที่ชี้ออกไปนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมากถึงขั้นที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้
เป็นเพราะว่าหลุมศพด้านหน้าได้ถูกขุดทำลายออกมาทำให้โครงกระดูกมากมายกระจัดกระจายออกไปทั่วพื้นดินและเมื่องมองไปยังป้ายหลุมศพแล้วจะเห็นว่ามันมีชื่อของ……เฉินฉีหยวนถูกสลักเอาไว้
หลินเทียนได้แต่มองออกไปด้วยร่างกายที่อดสั่นไปไม่ได้
เป็นเพราะว่ามีคนมาทำลายหลุมศพแห่งนี้ !
“คุณ….ปู่ ”
เฉินหลินอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้พร้อมทั้งส่งเสียงออกมาว่า
“เป็นพวกมันแน่ๆ ! ก่อนหน้านี้พวกมันเองก็ข่มขู่พวกเราว่าหากไม่ยอมขายก็จะขุดหลุมศพบรรพบุรุษของพวกเรา ! ”
หลุมศพได้ถูกขุดขึ้นมาขณะที่โลงศพถูกทำลายทำให้พื้นดินโดยรอบอยู่ในสภาพที่เละเทะอย่างมากแถมยังสามารถบอกได้เลยว่าอย่างน้อยๆก็ถูกทำลายมานานหลายปีแล้ว
เฉินหลินไม่ใช่คนโง่ดังนั้นจึงตระหนักได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของอันธพาลเหล่านั้นทำให้นางได้แต่ร้องไห้ออกมา
สำหรับทุกคนแล้วหลุมศพของบรรพบุรุษนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความหมายมากๆแต่ตอนนี้นอกจากบ้านจะถูกทำลายและพ่อแม่ถูกฆ่าแล้วอีกฝ่ายยังทำลายหลุมศพบรรพบุรุษของนาง
นางส่งเสียงสะอื้นออกมาและก้าวออกไปเพื่อเตรียมจะจัดการหลุมศพให้กับปู่ของตัวเองทว่าหลินเทียนได้ยื่นมือออกมาขวางนางเอาไว้
“ให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ”
เขาพูดออกมา
เขาให้นางยืนอยู่กับที่ก่อนที่จะก้าวออกไปพร้อมทั้งใช้มือค่อยๆเก็บเอาเศษกระดูกที่กระจัดกระจายไปทั่วกลับลงไปภายในโลงศพที่แตกหักก่อนที่จะปิดมันโดยที่ไม่ได้ใช้พลังเทวะแม้แต่น้อยก่อนที่จะกลบดินทั้งหลายเพื่อฝังศพกลับลงไปอย่างช้าๆ
เฉินฉีหยวนนั้นเคยเป็นทหารเก่าที่ไม่ได้มียศสูงมากนักและหลังจากที่เกษียณราชการออกมาแล้วแม้ว่าจะไม่ได้มีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไรแต่สำหรับเขากลับคิดว่าชายชราคนนั้นเป็นทหารที่คู่ควรและยิ่งใหญ่อย่างมาก
“ปีนั้นฉันมีอายุ 12 ขวบ….”
เขาย่อตัวลงพร้อมทั้งโปรยดินลงบนโลงศพก่อนที่จะหันมองกลับไปทางเฉินหลินแล้วพูดต่อว่า
“เพื่อนของปู่เธอมาเยี่ยมปู่เธอที่บ้านเด็กกำพร้าซึ่งฉันเองก็ได้ยินการบทสนทนาของพวกเขาดีแม้ว่าจะไม่มีอะไรมากอย่างการที่เพื่อนของเขาถามเขาว่าทั้งๆที่มีเงินเก็บอยู่ไม่มากแล้วทำไมถึงได้เอาเงินมาเสียกับกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องอะไรกับเขา ”
เฉินหลินที่อยู่ด้านหลังเองก็เชื่อปักใจแล้วว่าหลินเทียนที่ดูมีอายุประมาณ 20 ปีนี้เป็นเด็กกำพร้าที่ปู่ทวดของนางเก็บมาเลี้ยงและเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็อดถามออกมาไม่ได้ว่า
“คุณปู่ตอบว่าไงงั้นหรอคะ ? ”
เป็นเพราะว่าความต่างด้านอายุของนางและปู่ทำให้ไม่เคยได้พบหน้ากับเลยด้วยซ้ำแต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบรรพบุรุษของนางดังนั้นจึงอยากจะรู้เรื่องของเขาอย่างมาก
หลินเทียนได้หยิบเอากองดินขึ้นมาพร้อมๆกับโปรยลงไปก่อนที่จะทำความสะอาดฝุ่นทั้งหลายพร้อมทั้งตอบกลับไปว่า
“เขาตอบกลับไปว่า ฉันอยากจะทำให้เด็กๆพวกนี้รู้ว่าโลกใบนี้มันงดงามแงะมหัศจรรย์”
ร่างกายของเฉินหลินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับสั่นสะท้านไปทันที
ตัวนางนั้นมีอาชีพเป็นครูเกี่ยวกับภาษาดังนั้นจึงเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของคำพูดนี้ดี
เป็นเพราะการที่ปู่ของนางรับเลี้ยงเด็กเหล่านี้เอาไว้ก็เพื่ออยากจะให้พวกเขารู้ว่าโลกนี้ยังมีความหวังและเต็มไปด้วยสิ่งสวยงามและความอบอุ่น
“คุณปู่ ”
นางส่งเสียงสั่นๆออกมาเพราะตระหนักได้แล้วว่าบรรพบุรุษของนางเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด
หลินเทียนไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนที่จะปัดฝุ่นทั้งหลายตามป้ายหลุมศพพร้อมทั้งจัดระเบียบมันใหม่อีกครั้ง
ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดขณะที่หมู่ดาวรายล้อมม่านฟ้าเอาไว้พร้อมปรากฏดวงจันทร์ขนาดใหญ่ส่องประกายแสงระยิบระยับลงมายังพื้นโลก
หลินเทียนยังคงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ต่างจากก้อนหินโดยที่ไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อย
เฉินหลินเองก็ยืนอยู่ข้างๆเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรขณะที่มองไปยังป้ายหลุมศพตรงหน้าอย่างสงบ
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงที่ดวงจันทร์ได้ลับฟ้า
ไม่นานดวงอาทิตย์ก็สาดแสงอันอบอุ่นปกคลุมไปทั่งทั้งพื้นโลกใบนี้
มันเป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่จิตสังหารอันเข้มข้นได้แผดขยายออกไปรอบทิศทางถึงขั้นทำให้อากาศโดยรอบเย็นตัวลงอย่างรุนแรง
ร่างกายของหลินเทียนในตอนนี้รายล้อมไปด้วยประจุสายฟ้าที่โลดแล่นไปทั่วร่างขณะที่แววตาส่องประกายความเย็นยะเยือกถึงขีดสุดออกมา
“เล่าเรื่องเกี่ยวกับอันธพาลและทุกคนที่ไปสร้างปัญหาที่บ้านเธอมาให้ฉันฟังทั้งหมด ”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างมาก
การกลับมาในครั้งนี้กลับพบว่าที่อยู่ของผู้มีพระคุณของเขากลับถูกทำลาย ลูกหลานถูกสังหารแถมหลุมศพเองก็ยังถูกขุดทำลายนี่มันทำให้เขาหมดความอดทนโดยทันที
ร่างกายของเฉินหลินได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างรุนแรงถึงขั้นที่ขาอ่อนแรงลงอย่างฉับพลัน
เป็นเพราะว่าสายตาของหลินเทียนในตอนนี้มันทำให้นางรู้สึกกลัวเสมือนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น
นางส่งเสียงตอบรับสั่นๆออกมาก่อนที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับหลินเทียนและรู้ดีว่าที่อยู่ของพวกอันธพาลมันอยู่ไหน
ดวงตาของหลินเทียนส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่จะหันมองไปทางหลุมศพเล็กน้อยพร้อมทั้งแผดคลื่นพลังออกมาโอบร่างของเฉินหลินเอาไว้พร้อมทั้งปรากฏตัวขึ้นใจกลางห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง
มันเป็นอาคารสูงประมาณ 40 เมตร มีทั้งหมด 12 ชั้นซึ่งสายตาของผู้คนทั้งหลายต่างพากันจ้องมองมาทางเขาและเฉินหลินด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ทั้งสองคนนี้มัน……อยู่ดีๆโผล่ออกมาได้ไงกัน ?! นี่มัน….เรื่องบ้าอะไรกัน ?! ”
หนึ่งในผู้คนส่งเสียงออกมา
ณ ตอนนี้พวกเขาสังเกตเห็นเพียงแค่ประกายแสงเล็กน้อยก่อนที่ร่างของหลินเทียนและเฉินหลินจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
เฉินหลินเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่ต่างกัน
เป็นเพราะว่านางเองก็รู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้กับหลุมศพของปู่นางห่างไกลกันมากทว่าหลินเทียนกลับนำนางมาที่นี่ได้ภายในชั่วพริบตา
หากว่าใช้เวลาเดินอย่างน้อยๆก็กินเวลาเป็นครึ่งวัน !
ทว่าตอนนี้มันกลับเคลื่อนที่มาได้ภายในชั่วพริบตา !
“นี่……”
นางได้แต่สั่นสะท้านไป
นางรู้ดีว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับหลินเทียนแต่ก็ยังทำให้นางตกตะลึงไม่น้อยแม้จะรู้อยู่แล้วว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดา
การเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาแบบนี้มันไม่ต่างไปจากเทพเจ้าเลยด้วยซ้ำ !
หลินเทียนไม่ได้สนใจสีหน้าที่ตกตะลึงของคนรอบข้างแม้แต่น้อยก่อนที่จะแผดจิตสัมผัสอันทรงพลังออกไปโดยรอบด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกพลางก้าวเดินออกไป
แม้ว่าเฉินหลินจะยังอยู่ในอาการที่ตกตะลึงแต่ก็รีบก้าวเดินตามหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนก้าวเดินเข้าไปภายในห้องขนาดใหญ่ที่มีหญิงสาวรูปร่างเร่าร้อนกำลังเต้นอยู่ท่ามกลางแสงสี
“หนุ่มหล่อดูไม่คุ้นหน้าเลย ครั้งแรกงั้นหรอ ? อยากจะเล่นอะไรกันล่ะ ? ที่นี่มีทุกอย่างที่อยากได้เลยนะ ”
หญิงสาวรูปร่างยั่วเย้าได้ก้าวเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะส่งเสียงกระซิบออกมาว่า
“โดยเฉพาะสาวๆอันเร่าร้อนและทรงเสน่ห์ที่จะดูแลคุณอย่างดี ! ”
1332
หญิงสาวรูปร่างยั่วยวนที่เป็นคนของที่นี่ได้ก้าวเดินเข้ามาทางเขา
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาโดยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยก่อนที่จะก้าวเดินออกไปด้านหน้า
บันไดตรงหน้าของเขาทอดยาวขึ้นไปยังชั้นด้านบน
“นี่หนุ่มหล่อคิดจะไปไหนงั้นหรอ ? ”
หญิงสาวได้ส่งเสียงออกมาและหลังจากที่พบว่าหลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมาโดยที่ไม่สนใจนางและกำลังเดินขึ้นไปด้านบนโดยที่มีเฉินหลินเดินตามหลังก็ทำให้สีหน้าของนางตกต่ำลงทันทีก่อนที่จะส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาว่า
“อยากจะมาหาเรื่องหรือไงกัน ? ”
ระหว่างที่พูดนางก็ได้หันไปส่งสัญญาณให้กับชายรูปร่างกำยำทั้งหลายที่อยู่ห่างออกไป
แน่นอนว่าภายในห้องบันเทิงพิเศษนี้ก็ย่อมมีการรักษาความปลอดภัยที่พิเศษเช่นกัน
“เจ้าหนูจะมาสร้างปัญหา ? ”
หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาพลางล้อมร่างของหลินเทียนและเฉินหลินเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ดุร้าย
ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้เองที่ต่างพากันหันมองมาในทิศทางเดียวกัน
“มีคนมาสร้างปัญหา ? ”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ไหม ? ที่นี่เป็นถึงถิ่นของพี่ชายฮู ใครจะกล้าสร้างปัญหากัน ? นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ ? ”
“ร่างกายผอมบางแบบนั้นกล้าสร้างปัญหา ? ”
กลุ่มอันธพาลพากันหันมองมาทางหลินเทียนพร้อมทั้งส่งเสียงเยาะเย้ยออกมาแต่ความจริงแล้วรูปร่างของหลินเทียนเองก็ดูไม่ได้แข็งแรงอะไรมากนัก
“ดูไม่ได้เอาซะเลย ”
ผู้คนพากันส่งเสียงออกมา
หลายๆคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอรับชมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เพราะถึงอย่างไรพวกเขาเองก็มาที่นี่เพื่อจะรับชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว
การต่อสู้นั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ
ณ ตอนนี้กลุ่มชายรูปร่างกำยำเองก็ตั้งท่าเหมือนว่ากำลังจะต่อสู้กับหลินเทียน
เสียงจังหวะเพลงยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกเสมือนผู้จัดพบว่าหลายๆคนกำลังล้อมร่างของหลินเทียนเอาไว้ถึงได้เปิดเพลงปลุกกำลังใจให้กับเหล่าชายรูปร่างกำยำ
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่หญิงสาวทั้งหลายก็ยังคงเต้นยั่วยวนอยู่ด้วยเครื่องแต่งกายที่เปิดเผย
สีหน้าของหลินเทียนที่ถูกขวางทางเอาไว้โดยกลุ่มคนยังคงราบเรียบอย่างเคย
สายตาของชายรูปร่างกำยำทั้งหลายเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่าเพราะแค่มองดูก็รู้ว่าหลินเทียนจงใจจะมาสร้างปัญหาดังนั้นถึงได้เปิดฉากโจมตีเข้าใส่โดยทันที
ชายรูปร่างกำยำปล่อยหมัดเข้าใส่ทางเขาอย่างไม่ปราณีแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามมันเป็นตอนนี้เองที่ร่างกายของพวกเขาต่างสั่นสะท้านไปอย่างรุนแรงเสมือนโดนฟ้าผ่าเข้าใส่ก่อนที่จะสลบลงกับพื้นอย่างกะทันหัน
สายตาของหลินเทียนยังคงความเย็นยะเยือกขณะที่ก้าวเดินต่อขึ้นไปด้านบนพร้อมๆกับเฉินหลิน
“นี่มัน…..”
“ทุกคน…….ล้มลงหมด ?! ”
“เกิดอะไรขึ้นกัน ? ”
กลุ่มคนที่อยู่ภายในห้องนี้ต่างพากันผงะไปขณะที่หญิงสาวที่กำลังเต้นยั่วยวนได้แต่สั่นสะท้านด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นอย่างมาก
เป็นเพราะพวกเขาไม่เห็นการเคลื่อนไหวของหลินเทียนแม้แต่น้อยทว่าชายรูปร่างกำยำทั้งหลายกลับสลบไป
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่หญิงสาวรูปร่างเร่าร้อนได้ส่งเสียงสั่นๆออกมาว่า
“นะ…นาย…….”
เมื่อมองไปทางหลินเทียนแล้วมันทำให้นางได้แต่สั่นไปพลางก้าวถอยกลับไปทรุดอยู่ด้านหลังโดยที่ไม่กล้าปริปากอีกแม้แต่น้อยแม้ว่าจะไม่รู้ว่าชายรูปร่างกำยำหมดสติไปได้อย่างไรแต่มันต้องเกี่ยวข้องกับหลินเทียนอย่างแน่นอนแล้วจะให้นางกล้าหยุดหลินเทียนได้ไงกัน ?
หลินเทียนใช้เพียงแรงกดดันอ่อนๆทำให้ชายรูปร่างกำยำทั้งหลายสลบไปก่อนที่จะก้าวเดินต่อขึ้นไปโดยที่ไม่ได้สนใจคนอื่นๆแม้แต่น้อย
จนถึงช่วงที่ร่างของเขาและเฉินหลินได้เดินจากไปแล้วอย่างแท้จริงแต่คนที่อยู่ภายในห้องก็ยังตกตะลึงไม่หาย
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเห็นไป
……….
หลินเทียนก้าวเดินต่อขึ้นไปจนถึงที่ชั้น 12 อย่างรวดเร็ว
มันเป็นชั้นที่สูงที่สุดซึ่งมีห้องกว้างที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนรวมถึงคนเฝ้าตามทางเดิน
“ใครกัน ?! ใครปล่อยให้นายขึ้นมาได้กัน ! ”
สีหน้าของยามเฝ้าทางเดินได้เปลี่ยนไปหลังจากที่พบว่าหลินเทียนและเฉินหลินกำลังเดินเข้ามา
แน่นอนว่ามันเป็นสถานที่ๆคนธรรมดาไม่สามารถเข้ามาได้
หลินเทียนยังคงมีสีหน้าที่เย็นยะเยือกขณะที่ก้าวเดินออกไปโดยที่ร่างกายปลดปล่อยแรงกดดันอ่อนๆออกมาทำให้ยามทั้งหลายสลบไป
เขาก้าวเดินเข้าไปภายในห้องอย่างไม่รอช้า
ที่นี่มีผู้คนอยู่กว่าร้อยคนซึ่งหลังจากที่เห็นการปรากฏตัวของหลินเทียนและเฉินหลินรวมถึงร่างของยามที่นอนสลบอยู่กับพื้นแล้วสีหน้าของพวกเขาก็พากันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“แก ! ”
ชายผมเหลืองส่งเสียงโห่ร้องออกมาขณะที่มองไปยังใบหน้าของเฉินหลินด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
ชายคนนี้มีอายุประมาณ 29 ปีและกำลังจ้องมองไปทางเฉินหลินด้วยร่างกายที่แข็งค้างไป
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ชายผมแดงและชายที่กำลังถือโทรศัพท์เองก็ต่างโง่งมไปเช่นกัน
“เฉินหลิน ?! ”
พวกเขาส่งเสียงออกมา
เฉินหลินที่อยู่ด้านหลังและกำลังสบสายตากับคนเหล่านี้เองก็ได้แต่สั่นสะท้านไป
“พวกแก…”
นางถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยใบหน้าที่โกรธแค้นอย่างมากเพราะไม่มีทางเลยที่จะลบเลือนใบหน้าของคนเหล่านี้ไปได้เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนที่มาข่มขู่ครอบครัวของนางก่อนที่จะวางยาและเผาบ้านจนตายยกครัว
“แก …..”
ชายผมเหลือง ผมแดงและชายที่กำลังถือโทรศัพท์ล้วนจ้องเขม็งไปทางเฉินหลินด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น
เป็นเพราะว่าคนที่พวกเขาสังหารไปเมื่อสามปีก่อนกลับมายืนอยู่ตรงหน้านี้ !
ผู้คนที่เห็นเช่นนั้นเองก็ได้แต่แสดงสีหน้าที่สงสัยออกมาพร้อมๆกับหนึ่งในนั้นที่ถามชายผมเหลืองว่า
“พี่ชายจ้าว มีอะไรกัน ? คนรู้จักของพวกพี่ ? ”
ชายผมเหลืองนี้มีสกุลว่าจ้าวซึ่งทั้งสามคนนี้ล้วนแล้วแต่มีสถานะที่ไม่ธรรมดาในหมู่ผู้คน
“เอะอะอะไรกัน ! ”
เสียงคำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่ชายรูปร่างกำยำที่รายล้อมไปด้วยผู้คุ้มกันหลายคนเดินเข้ามาภายในห้องด้วยรูปลักษณ์ประมาณ 42 ปีมีแผลเป็นที่ใบหน้า
ผู้คนที่เห็นเช่นนั้นต่างพากันหันมองออกไปพร้อมทั้งทำความเคารพพลางพูดว่า
“พี่ชายฮู ! ”
ชายหน้าบากคนนี้มีชื่อเต็มว่าเฮอฮูเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาที่ทรงอำนาจในอาณาเขตนี้ซึ่งผับที่อยู่เบื้องล่างเองก็เป็นหนึ่งในธุรกิจของเขาที่มีมูลค่าไม่น้อย
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่สายตาของเขาได้หันมองออกไปทางหลินเทียนและเฉินหลินก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงสีหน้าที่ราบเรียบทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีจึงได้ส่งเสียงออกมาว่า
“มาสร้างปัญหา ? ”
ชายผมเหลืองรีบเข้าใกล้เฮอฮูก่อนที่จะหันมองไปทางเฉินหลินแล้วพูดว่า
“พี่ชายฮู ผู้หญิงคนนั้นคือเฉินหลินที่บริษัทกิเลนได้จ้างพวกเราไปจัดการครอบครัวของมันเมื่อสามปีก่อน……. ”
ชายผมเหลืองได้อธิบายเรื่องราวทั้งหลายออกไปอย่างรวดเร็ว
“อะไรนะ ?! ”
ดวงตาของเฮอฮูถึงกับหดเล็กลงก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า
“แน่ใจนะว่าเป็นครอบครัวของทั้งสามคนที่ตาย ?! ”
“ไม่ผิดแน่นอนครับ ! ”
ชายผมเหลืองส่งเสียงออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่คนอื่นๆเองก็อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่วางยาพร้อมทั้งให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุจนบ้านระเบิดก่อนที่บริษัทกิเลนจะทำการก่อสร้างทับที่แห่งนั้น
เฮอฮูได้แต่มองไปทางเฉินหลินด้วยดวงตาที่หดเล็กลงอย่างมากเพราะว่าคนที่ตายไปเมื่อสามปีก่อนกลับมายืนอยู่ตรงหน้าของเขา
นี่มันคน ? หรือผีกัน ?
เขาได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกว่า
“ช่างเถอะว่ามันจะเป็นผีหรือคน ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับออกไป ”
เป็นเพราะว่ากลุ่มอันธพาลของเขาเองก็ไม่ใช่กระจอกๆ
“จัดการ ! ”
เฮอฮูออกคำสั่งอย่างดัง
นี่ทำให้กลุ่มผู้คนทั้งหลายพากันรายล้อมร่างของหลินเทียนและเฉินหลินเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ชายผมเหลือง ผมแดงและคนที่กำลังถือโทรศัพท์เองก็ต่างมีสีหน้าที่ตกตะลึงหลังจากที่ได้เห็นหน้าของเฉินหลินแต่เมื่อได้ยินคำสั่งของเฮอฮูแล้วความตกตะลึงในจิตใจก็ได้สลายหายไปโดยทันที
ชายชุดเหลืองได้ก้าวออกมาพร้อมทั้งส่งเสียงอันดุร้ายออกมาว่า
“ไม่สนหรอกว่าจะเป็นผีหรือคนแต่พ่อคนนี้จะฆ่าแกเอง ! หากว่าเรื่องอุบัติเหตุนั่นถูกเปิดเผยโดยนังโสเภณีนี่ก็คงเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อย ฉันไม่อยากไปขึ้นโรงขึ้นศาลหรอกนะ แต่ต่อให้ไปแจ้งความก็เปล่าประโยชน์เพราะว่าที่โรงพักมีคนของพี่ชายฮูอยู่ด้วย ! ”
ชายคนนั้นส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งหยิบเอามีดออกมาจากเอวก่อนที่จะ พูดต่อว่า
“มาลองลิ้มรสชาติคมมีดของฉันดูหน่อยไหมล่ะ ! ฮ่า ! ”
กองกำลังอันธพาลรายล้อมร่างของหลินเทียนและเฉินหลินเอาไว้จากรอบทิศทางขณะที่ชายผมเหลืองก้าวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ดุร้ายนี้ทำให้นางอดรู้สึกสั่นกลัวไปไม่ได้เนื่องจากภาพความทรงจำจากเมื่อสามปีก่อนที่ผุดขึ้นมา
มันเป็นตอนนี้เองที่ร่างของหลินเทียนได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน
นี่ทำให้อีกฝ่ายได้แต่สั่นสะท้านไปกับความเร็วระดับนี้ถึงขั้นที่อดก้าวถอยกลับไปไม่ได้พร้อมทั้งอุทานออกมาว่า
“แก…”
หลินเทียนโบกมือชิงเอามีดในมือของอีกฝ่ายมาพร้อมทั้งฟาดฟันออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก
“พุฟฟ ~! ”
เลือดสาดกระจายออกไปรอบทิศทางขณะที่อวัยวะภายในของชายผมเหลืองกระจัดกระจายออกไปทั่วโดยที่ไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ
นี่ทำให้สีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงไม่เว้นแม้แต่ตัวของเฮอฮูเองก็ด้วยเพราะความเร็วของหลินเทียนนั้นมันสูงเกินไปแถมยังฉีกร่างของอีกฝ่ายออกภายในพริบตา
“กล้างั้นรึ ! ”
เฮอฮูส่งเสียงคำรามออกมาหลังจากที่เรียกสติกลับมา
สายตาของหลินเทียนในตอนนี้ยังคงเย็นยะเยือกถึงขีดสุดพร้อมทั้งฟาดฟันมีดในมือเข้าใส่ทางชายผมแดงที่อยู่ห่างออกไปโดยที่ไม่สนใจแม้แต่น้อย
แกร๊ง ! เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาอย่างดังขณะที่คลื่นกระบี่สีทองพวยพุ่งผ่านอากาศเข้าใส่ทางชายผมแดง
“พุฟฟ ~! ”
เลือดสาดกระจายออกไปรอบพื้นที่ขณะที่เศษชิ้นเนื้อกระเด็นกระดอนไปทั่ว
ตั้งแต่ก้าวเดินบนเส้นทางบ่มเพาะนี้เขาเคยตั้งกฎเหล็กเอาไว้หลังจากที่ก่อสร้างสำนักว่าศิษย์สำนักไม่สามารถลงไม้ลงมือกับมนุษย์ธรรมดาได้แต่ทั้งสามคนนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปทว่าเป็นคนที่ชั่วช้าซึ่งสมควรตาย !
ในเมื่ออีกฝ่ายรนหาที่ตายเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะไม่ปราณีเพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีคุณค่าในสายตาของเขาอยู่แต่แรกแล้ว !
1333
หลังจากที่ทำการสังหารชายผมเหลืองและผมแดงไปแล้วก็ยังเหลือแค่ชายที่กำลังถือโทรศัพท์เอาไว้เท่านั้น
เมื่อต้องสบสายตาอันเย็นยะเยือกของหลินเทียนแล้วอีกฝ่ายก็ได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างไม่หยุดหย่อนถึงขั้นที่ฉี่แตกออกมาพลางก้าวถอยกลับไปหาชายหน้าบากแล้วพูดว่า
“พี่ใหญ่ฮู ช่วย……..ผมด้วย ! ……ฆ่ามัน ! ”
แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นคนที่ชั่วช้าทว่าก็ไม่ใช่คนโง่ดังนั้นแม้จะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆเฉินหลินถึงได้กลับมาหลังจากที่ถูกสังหารไปเมื่อสามปีก่อนแต่หลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนได้สังหารชายทั้งสองคนไปแล้วก็รู้ดีแจ่มแจ้งเลยว่าหลินเทียนสังหารชายทั้งสองเพื่อนางและไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอนแถมทักษะสังหารที่หลินเทียนใช้ยังสุดยอดมากๆถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่หลงเหลือซากศพที่สมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ
เฮอฮูที่ได้ยินเช่นนี้ก็ได้หันมองไปทางหลินเทียนพร้อมทั้งอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก เขาที่เป็นลูกพี่ขององกรใต้ดินเองก็เคยเห็นภาพอันน่าตกตะลึงมามากมายแต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำเนื่องจากหลินเทียนนั้นสามารถสังหารคนของเขาได้แม้จะฟาดฟันอยู่ห่างออกไปนี่มันใช่อะไรที่คนสามารถทำได้ ? นี่ทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกไปทันที
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่คนอื่นๆขององกรเองก็ต่างพากันสั่นสะท้านไปไม่ต่างกันก่อนที่จะก้าวถอยกลับไปด้วยสายตาที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด
หลินเทียนหันมองไปยังชายตรงหน้าก่อนที่จะกวัดแกว่งมีดในมือเพื่อส่งคลื่นกระบี่ออกไปพุ่งผ่านร่างของอีกฝ่ายก่อนที่จะลากร่างของมันทะลุผ่านผนังห้องนี้แล้วร่วงลงไปแหลกสลายอยู่เบื้องล่าง
นี่ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างพากันแสดงสีหน้าที่หวาดผวาออกมา
“…………ฆาตกร ! ”
หญิงสาวคนหนึ่งส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างดัง
นี่ทำให้สถานที่แห่งนี้ปั่นป่วนโดยทันทีขณะที่พากันมองกลับขึ้นไปด้านบนตึกตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
“รีบแจ้งตำรวจเร็ว ! ”
หนึ่งในผู้คนส่งเสียงออกมา
……….
ระหว่างนี้อันธพาลทั้งหลายที่อยู่ด้านบนเองก็ต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
พวกเขาได้แต่พากันจ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านไม่หยุดเพราะว่าหลินเทียนทำเพียงแค่กวัดแกว่งเล็กน้อยทว่ากลับมีพลังทำลายผนังที่อยู่ด้านหลังพร้อมลากร่างของคนออกไปนี่มันเป็นความแข็งแกร่งระดับไหนกัน ? นี่ยังใช่คนอยู่อีก ?
เฉินหลินเองก็สั่นสะท้านด้วยความตกตะลึงไม่แพ้กันก่อนที่จะหลั่งน้ำตาออกมาหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนได้สังหารทั้งสามคนลงแล้ว
ทั้งสามคนนี้เป็นคนสังหารยกครัวของเธอดังนั้นการที่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายได้ตกตายลงแบบนี้ก็หมายความว่าความแค้นได้ถูกชำระแล้ว
หลินเทียนหันหน้ามองไปทางหัวหน้าองกรอย่างเฮอฮูเป็นรายต่อไป
“แก……..แกต้องการจะทำอะไรกันแน่ ?! ”
เฮอฮูส่งเสียงออกมาด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากหนูตัวน้อยๆที่กำลังแสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาพลางก้าวถอยหลังกลับไปพร้อมพูดได้เสียงสั่นๆว่า
“คะ…..การตายของครอบครัวนั่นไม่ใช่ฝีมือของฉันนะ เป็นพวกมันนั่นแหละ …….ทั้งสามคนนั้น ”
หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของอีกฝ่ายในชั่วพริบตาพลางคว้าคอของมันเอาไว้ก่อนที่จะตรวจสอบความทรงจำด้วยจิตสัมผัสอันทรงพลังพร้อมพบว่า…….เรื่องของบ้านพักตระกูลเฉินนั้นเป็นอย่างที่ลุงสองคนที่อยู่หน้าตึกเคยเล่าให้เขาฟังไม่มีผิดเนื่องจากองกรนี้เป็นองกรที่ทางผู้จัดการของบริษัทกิเลนได้สร้างเอาไว้แบบลับๆ
ดวงตาของเขาส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่จะบดขยี้ร่างของอีกฝ่ายแหลกสลายหายไปกลายเป็นเพียงแค่กองเลือด
หลังจากที่ตรวจสอบความทรงจำของอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้เขาได้รู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดถูกบริษัทกิเลนชักใยอยู่เบื้องหลังและระหว่างนี้เขาก็ได้พบกับภาพความทรงจำอื่นๆของเฮอฮูที่สังหารผู้คนมากมายดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บมันเอาไว้
“พี่ใหญ่ฮู……..”
“นี่มัน…”
“ผี…..ปีศาจ ! ”
ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ต่างพากันส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งหันหลังวิ่งหนีไปด้วยความกลัว
สำหรับพวกเขาแล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาๆจะสามารถทำได้เลยด้วยซ้ำ
ทุกคนได้แต่หวาดหวั่นระหว่างที่วิ่งเข้าหาลิฟท์ หลายๆคนวิ่งลงบันไดและอีกหลายๆคนที่หกลมคลุกคลานอยู่กับพื้นแต่ก็รีบคลานหนีไปด้วยความหวาดกลัว
พริบตาสถานที่แห่งนี้ก็เหลืองเพียงแค่หลินเทียนและเฉินหลินที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่กับที่เพราะแม้จะรู้ว่าหลินเทียนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเพราะสามารถช่วยให้เธอฟื้นคืนชีพกลับมาได้แต่หลังจากที่เห็นภาพที่เขาแปรสภาพร่างกายของเฮอฮูกลายเป็นกองเลือดไปแล้วก็ยังอดสั่นไปไม่ได้
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมพร้อมทั้งเดินออกไปยังรูใหญ่ตรงผนังที่เขาสร้างเอาไว้ก่อนที่จะมองไปยังตึกสูงขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่มีความสูงกว่าสองกิโลเมตรจึงเรียกได้ว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองนี้เลยก็ว่าได้
เมื่อมองออกไปแล้วสีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่าเพราะช่วงก่อนที่เขาจะจากโลกใบนี้ไปตึกที่สูงที่สุดในเมืองนี้ยังมีความสูงไม่ถึงสามร้อยเมตรเลยด้วยซ้ำแต่ผ่านมาห้าสิบปีกลับแปรเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องเป็นสถานที่ๆโด่งดังและรู้จักกันดีอย่างแน่นอน
ที่นั่นคือตึกของบริษัทกิเลน
เขายืนอยู่ที่ชั้นสิบสองขณะที่มองออกไปก่อนที่จะเรียกให้เฉินหลินเดินเข้ามาใกล้พร้อมทั้งหายตัวไปจากจุดนี้ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นเหนือน่าฟ้าของตึกกิเลนที่สร้างขึ้นด้วยกระจกกันกระสุน
ร่างกายของเฉินหลินได้แต่สั่นสะท้านไปเพราะเพียงพริบตาเดียวนางกลับมาอยู่ที่จุดนี้
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางกำลังยืนอยู่กลางอากาศ !
“นี่….”
นางได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุด
นี่ปู่นางรับเลี้ยงคนแบบไหนเอาไว้กัน !?
นี่มันไม่ต่างกับเทพเจ้าแล้ว !
หลินเทียนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของกระจกกันกระสุนขณะที่ภายในมีกลุ่มคนกำลังนั่งสนทนาบางอย่างทว่าเมื่อเห็นร่างของหลินเทียนและเฉินหลินที่อยู่กลางอากาศแล้วก็ได้แต่ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตกตะลึงทำให้สีหน้าของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“นี่มัน….”
เป็นเพราะภาพตรงหน้าของพวกเขาคือมีคนกำลังยืนอยู่กลางอากาศ !
หลินเทียนหันมองเข้าไปภายในห้องทำงานแห่งนี้ก่อนที่จะแผดคลื่นพลังออกไปทำลายกระจกตรงหน้าแล้วเหาะลงมาตรงหน้าของชายวัยกลางคนทั้งสองที่เป็นประธานและผู้จัดการของบริษัทนี้
เขารู้มาจากความทรงจำของเฮอฮูว่าเรื่องทั้งหมดมันมาจากสองคนนี้ดังนั้นจึงรู้จักรูปลักษณ์ของทั้งสองเป็นอย่างดี
“แก….เป็นใครกัน ?! ”
ผู้คนทั้งหลายพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
มันเป็นตอนนี้เองที่ประตูทางเข้าได้ถูกเปิดเข้ามาพร้อมๆกับปรากฏร่างของชายหนุ่มอมนุษย์ที่ส่งเสียงออกมาว่า
“ไอ้แก่ ครั้งนี้รสชาติของชั้นดีมันไม่เท่าไหร่เลยนะ นี่กำลังเอาของส่งๆมาให้ฉันงั้นรึ ? ”
เมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายแล้วประธานและผู้จัดการเองก็ได้แต่ผงะไปพร้อมทั้งทิ้งเรื่องของหลินเทียนไปก่อนที่จะรีบก้าวเดินออกไปต้อนรับ
“ท่าน…….เทพพระเจ้าโปรดเมตตา ! เรารับประกันเลยสินค้าที่ส่งไปทุกครั้งล้วนเป็นของชั้นดีที่คัดสรรค์สำหรับท่าน ! ครั้งนี้……หากว่าท่านไม่พอใจกระผมจะไปเลือกสินค้าที่ดีที่สุดให้ท่านด้วยตัวเอง ! ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอมนุษย์คนนี้แล้วประธานก็ได้แต่แสดงท่าทางที่ระมัดระวังออกมาและไม่กล้าเสียมารยาทแม้แต่น้อยเพราะว่าการที่บริษัทของเขาเติบโตขึ้นมาได้จนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะการอาศัยพลังของชายหนุ่มตรงหน้าที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ไม่ต่างจากเทพเจ้าเลยแม้แต่น้อย
เมื่ออยู่ต่อหน้าของชายหนุ่มคนนี้แล้วเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากข้ารับใช้ที่ไม่กล้าขัดใจอีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่หลินเทียนได้หันมองไปยังอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ส่องประกายเล็กน้อย
เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังอสูรจากมันทำให้ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์
เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับสัตว์อสูรภายในใจกลางเมืองแบบนี้แถมยังเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้
ประธานเองก็ยังคงขอขมาแก่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าที่ระมัดระวังและเคารพอย่างมาก
ชายหนุ่มหันมองออกไปเล็กน้อยพร้อมทั้งพูดว่า
“ก็ดี ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่กล้าทำส่งๆให้กับข้า ครั้งนี้ข้าจะอภัยให้ ”
หลังจากนั้นก็หันมองมาทางหลินเทียนและเฉินหลินพร้อมๆกับภาพของกระจกที่แตกกระจายพลางเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาว่า
“ดูเหมือนว่ากำลังเจอปัญหางั้นรึ นี่พวกมันมาสร้างปัญหา ? ”
1334
เมื่อฟังจากคำพูดของชายหนุ่มอมนุษย์แล้วประธานบริษัทได้พยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า
“ท่านเทพเจ้ามีช่างมีสายตาที่แหลมคมเสียเหลือเกิน ได้โปรดช่วยพวกเราจัดการด้วย ทั้งสองคนนี้มันไม่ใช่คนธรรมดา ”
ประธานเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนนั้นตั้งใจจะมาสร้างปัญหาไม่งั้นจะพังกระจกเข้ามา ? อีกอย่างเขาเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเพราะหากเป็นคนธรรมดามันจะเหาะได้อย่างไรกัน ?
“ข้าจะช่วยจัดการให้แล้วกันแต่ขอบอกก่อนเลยนะว่าสินค้าครั้งหน้าต้องดีกว่านี้ไม่งั้นเจ้าก็คงจะรู้ถึงผลที่ตามมาดีสินะ ”
อมนุษย์ส่งเสียงออกมา
ประธานพยักหน้าของเขาซ้ำๆพร้อมทั้งตอบกลับด้วยความเคารพว่า
“ไดโปรดวางใจได้เลยครับ เราจะคัดสรรค์เฉพาะหญิงสาวที่ยังบริสุทธิ์และงดงามเหมาะกับความต้องการของท่านแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแม้แต่น้อยเพราะข้าน้อยเพิ่มให้อีกเป็นสองเท่าตัว ”
“อื้ม พูดได้ดี ”
ชายหนุ่มอมนุษย์ได้ส่งเสียงออกมาพลางพยักหน้าของเขา
เมื่อพูดจบแล้วก็เดินเข้าหาทางหลินเทียนและเฉินหลินด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสแม้แต่น้อย
หลินเทียนที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นเองก็ได้ส่งเสียงออกมาว่า
“สินค้าชั้นดี บริสุทธิ์ มีใบหน้าที่งดงาม ”
พลางถามต่อว่า
“เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่ ? ”
จากคำพูดของอีกฝ่ายแล้วอมนุษย์คนนี้มันจะเอาตัวหญิงสาวเหล่านั้นไปทำอะไรกัน ?
ไม่บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
อมนุษย์ได้ยิ้มพลางส่งเสียงอันชั่วร้ายออกมาว่า
“คนที่กำลังจะตายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงสีดำที่อัดแน่นไปด้วยพลังอสูรเข้าใส่ทางหน้าผากของหลินเทียนอย่างไม่รอช้า
สีหน้าของหลินเทียนเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่าขณะที่การโจมตีของอีกฝ่ายแหลกสลายลงโดยที่เขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อยเนื่องจากมันไม่สามารถแบกรับแรงกดดันของเขาได้
นี่ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเพราะตระหนักได้แล้วว่าหลินเทียนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาเพราะสามารถทำลายการโจมตีของเขาลงได้ง่ายๆ
“เจ้าเป็นใครกัน ?”
เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา
หลินเทียนไม่ได้ตอบกลับอะไรขณะที่ประกายแสงสีทองพุ่งผ่านอากาศเข้าทะลวงใส่หน้าผากของอีกฝ่ายพลางอ่านความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับสินค้าชั้นเลิศทั้งหลาย
นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยทันที
เป็นเพราะว่าสินค้าที่พวกมันพูดถึงคือเด็กสาวอายุ 16 ปีที่ยังคงบริสุทธิ์ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งพลังของมันก่อนที่จะกลายเป็นอาหารในที่สุด
“กล้านักนะ ! ”
เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาขณะที่จิตสังหารอันเข้มข้นระเบิดออกมารอบทิศทางพร้อมกระแทกร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล
นี่ทำให้สีหน้าของประธานและผู้จัดการต่างเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“ท่าน !!! ”
ประธานส่งเสียงออกมา
เขารู้ดีว่าชายหนุ่มอมนุษย์คนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนเพราะเคยได้เห็นความสามารถที่เหนือมนุษย์ของอีกฝ่ายมากับตาทว่าตอนนี้กลับถูกกระแทกปลิวออกไปด้วยร่างกายที่โลกไปด้วยเลือดเพียงเพราะคำพูดของหลินเทียนนี่มันทำให้เขาตัวสั่นไปทันที
“อั๊ก ~! ”
ชายหนุ่มอมนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปได้กระแทกเลือดออกมาขณะที่อัญมณีกลางหน้าอกส่องประกายแสงออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งแหลกสลายหายไปหลังจากที่ป้องกันจิตสังหารของหลินเทียน
“เศษเสี้ยวอาวุธเทวะ ”
สีหน้าของหลินเทียนเย็นชายิ่งกว่าเก่า
จิตสังหารที่เขาปลดปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้รุนแรงมากนักดังนั้นการเศษเสี้ยวอาวุธเทวะถึงได้ช่วยชีวิตของอีกฝ่ายเอาไว้
ชายหนุ่มได้ยืนกลับขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุดเพราะเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตสังหารของหลินเทียนกลับทำให้เขาได้รับบาดเจ็บขนาดที่ว่าอัญมณีป้องกันตัวที่เสี่ยงชีวิตจนได้รับมาจากสุสานโบราณกลับแหลกสลายนี่มันทำให้เขาได้แต่หวาดหวั่นไปทันทีเพราะว่าเขาไม่สามารถต่อต้านหลินเทียนได้อย่างแน่นอน
วิ้สสส ! เสียงพุ่งผ่านอากาศออกมาขณะที่เขาลุกขึ้นพร้อมทั้งพุ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกแต่ก็ไม่ได้ไล่ตามไป
“ต่อให้หนีออกไปสุดขอบฟ้าก็หนีข้าไม่พ้นหรอก ! ”
เขาส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมา
เป็นเพราะอายุ 16 ปีนั้นเป็นช่วงอายุที่กำลังเบ่งบานทว่าความบริสุทธิ์ของเด็กสาวทั้งหลายต้องกลับกลายเป็นพลังให้กับมันแถมหลังจากที่สูบพลังจนหมดแล้วก็ยังเอาร่างของพวกนางไปกลั่นไปยา !
เขาไม่มีทางไว้ชีวิตมันอย่างแน่นอน !
เขาหันมองออกไปทางประธานและผู้จัดการโดยที่ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่ประกายแสงสีทองจะพุ่งผ่านร่างของพวกเขาและระเบิดออกกลายเป็นกองเลือดทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นที่เป็นลมล้มพับไป
คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดเกี่ยวกับแผนการฆ่ายกครัวตระกูลเฉินล้วนถูกสังหารลงโดยไม่มีเหลือ
เขาหันมองออกไปทางชายหนุ่มที่กำลังพุ่งหนีไปโดยที่ไม่ได้ล่าตามออกไปเพราะเขาจดจำกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้ดีแถมยังรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหนเลยไม่ได้ไล่ตามไป
เป็นเพราะว่าเขาจำเป็นต้องทำให้เฉินหลินสงบสติลงก่อนที่จะฆ่าอีกฝ่ายลง
“ไปกัน ”
เขาหันมองไปทางนางพร้อมๆกับส่งประกายแสงสีทองออกไปห่อหุ้มร่างของนางเอาไว้ก่อนที่จะหายตัวไปทันที
หลังจากนั้นเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของหลุมศพของเฉินฉีหยวนที่อยู่รอบนอกของเมืองแห่งนี้
เขาได้แต่มองออกไปก่อนที่จะคาราวะหลุมศพนี้
เฉินหลินเองก็ทำแบบเดียวกันก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับเขา
“ขอบคุณมากๆ ! ”
เป็นเพราะหลินเทียนไม่เพียงแค่ชุบชีวิตเธอเท่านั้นทว่ายังช่วยชำระความแค้นของตระกูลให้ด้วย !
มันเป็นบุญคุณที่ทั้งชีวิตก็ไม่สามารถทดแทนได้
หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาเพราะในอดีตปู่ของนางเคยช่วยชุบเลี้ยงเขามาก่อนดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะดูแลลูกหลานของคนๆนั้น
“เธอเองก็น่าจะสังเกตได้ว่าฉันไม่ใช่คนธรรมดาและมีพลังที่เหนือมนุษย์ซึ่งนี่คือพลังจากการบ่มเพาะ ”
เขามองไปทางนางก่อนที่ร่างกายของเขาจะเปล่งประกายแสงอ่อนๆออกมา
“ตอนนี้ฉันจะถ่ายทอดการบ่มเพาะให้กับเธอ ”
เขาโบกมือส่งประกายแสงเหล่านั้นออกไปห่อหุ้มร่างกายของเฉินหลินเอาไว้พร้อมๆกับใช้พลังเทวะหล่อหลอมร่างกายของนาง
หลังจากนั้นเขาก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาจันทราที่ได้รับมาจากไป่เฉียวให้กับนางพร้อมช่วยหมุนวนพลังทำให้ร่างกายของนางเปล่งประกายแสงออกมา
หลังจากนั้นเขาได้โบกมือคว้าเอาก้อนคริสตัลวิญญาณขนาดใหญ่ออกมาให้นางดูดซึมพลังของมัน
จากการที่เขาช่วยหมุนวนพลัง หล่อหลอมร่างกายและให้ทรัพยากรบ่มเพาะอย่างคริสตัลวิญญาณทำให้ไม่นานระดับพลังของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
บึ้สส ~!
ประกายแสงเจิดจรัสส่องประกายออกมาจากร่างของนางขณะที่ใบหน้าของเฉินหลินเปลี่ยนสีไปทันที
“นี่มัน……”
ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เป็นเพราะนี่คือครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับการบ่มเพาะและหลังจากทีรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองแล้วก็ได้แต่โง่งมไปทันที
“ตั้งสติเอาไว้แล้วจดจำสิ่งที่ฉันถ่ายทอดไปให้ดี ”
หลินเทียนพูดออกมา
เขาช่วยนางหมุนวนพลังอยู่เก้ารอบก่อนที่จะให้นางเริ่มหมุนวนมันด้วยตัวเอง
เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ธรรมดาของนางทำให้แม้เขาจะช่วยหมุนวนไปเก้าครั้งแล้วหลังจากนั้นเมื่อปล่อยให้นางหมุนวนด้วยตัวเองก็มีปัญหาอยู่หลายครั้งทว่าเขาก็ช่วยสั่งสอนด้วยตัวเองซึ่งหลังจากที่ผ่านไปได้ประมาณ 12 ชั่วโมงนางก็สามารถหมุนวนพลังด้วยตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
“เส้นทางบ่มเพาะมันยาวไกลมากๆ เขตแดนหล่อหลอมร่างกาย ชีพจรเทวะ ผู้รอบรู้ จักรพรรดินภา วิญญาณนิรันด์ จ้าวแห่งเต๋า ปลุกพลัง ปรินิพพาน…..”
หลินเทียนอธิบายถึงเขตแดนต่างๆของระดับพลังขณะที่ช่วยนางเกี่ยวกับการบ่มเพาะ
บึ้สสส ~!
นางหมุนวนพลังต่อไปขณะที่ดูดกลืนพลังจากคริสตัลวิญญาณทำให้ระดับพลังของนางสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งตัดผ่านเขตแดนหล่อหลอมร่างกายก่อนที่จะกลายเป็นชีพจรเทวะ ผู้รอบรู้และจักรพรรดินภาซึ่งหลังจากนั้นประมาณครึ่งเดือนก็สามารถตัดผ่านเขตแดนวิญญาณนิรันด์ได้ทำให้ชักนำทัณฑ์สวรรค์อันทรงพลังลงมา
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพร้อมทั้งส่งคลื่นกระบี่ศุกลสวรรค์พุ่งออกไปทำลายล้างทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้น
หลังจากนั้นเวลาก็ได้ผ่านไปอีกสามวันเต็มๆ
วันนี้เป็นวันที่เฉินหลินได้หยุดการบ่มเพาะด้วยร่างกายที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“นี่คือฉัน…..”
นางกำหมัดเอาไว้ด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านไม่หยุดหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้
หลังจากนั้นก็หันมองมาทางหลินเทียนพร้อมทั้งรีบขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
เป็นเพราะว่านางแตกต่างออกไปจากเมื่อเดือนก่อนอย่างลิบลับ
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ”
หลินเทียนส่ายศีรษะของเขาก่อนที่จะหยิบเอาแหวนมิติส่งให้นางแล้วพูดต่อว่า
“ภายในมียาทิพย์ คริสตัลวิญญาณ ทักษะเทวะและอื่นๆอยู่ เธอรับเอาไว้แล้วกัน ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้อธิบายเกี่ยวกับจิตสัมผัส การใช้แหวนมิติ การเหาะเหินเดินอากาศและอื่นๆให้กับนาง
“ขอบคุณมากๆ ! ”
เฉินหลินพูดขอบคุณออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เป็นเพราะการกระทำของหลินเทียนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของนางอย่างสิ้นเชิง
นางได้เห็นโลกใบใหม่ !
หลินเทียนได้ส่ายศีรษะของเขาพร้อมกับพูดว่า
“ฉันไม่สามารถให้เธอติดตามข้างกายได้ตลอด หลังจากนี้ก็อยู่ที่ตัวเธอแล้วล่ะ ”
การที่ทำให้นางอยู่ในเขตแดนวิญญาณนิรันด์ได้แถมยังมีทักษะต่างๆที่เขาถ่ายทอดไปซึ่งโลกนี้มีพลังฉีและสัจธรรมที่เบาบางดังนั้นคนที่เป็นอันตรายต่อนางจึงมีไม่มากนัก
“เราแยกกันตรงนี้แล้วกัน ”
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้หันมองไปยังป้ายหลุมศพของเฉินฉีหยวนด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเล็กน้อย
ไม่นานเขาก็ถอนสายตากลับมา
“ลาก่อน ”
เขาพูดออกมาก่อนที่จะเหาะออกไปก่อนที่ร่างของเขาจะหายลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
เฉินหลินที่กำลังมองมาทางเขาได้คุกเข่าลงพร้อมทั้งโขกศีรษะให้กับเขา
…………..
หลังจากที่บอกลาเฉินหลินมาแล้วเขาได้เหาะขึ้นไปยังจุดที่สูงถึงขั้นที่คนธรรมดาไม่สามารถสังเกตเห็นได้
เขาเหาะออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยที่ใช้เวลากว่าหกชั่วโมงจึงไปถึงตรงหน้าของบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
เป็นเพราะว่ากลิ่นอายของอมนุษย์หนุ่มที่หนีไปคนนั้นอยู่ภายในบ้านหลังนี้
1335
หลินเทียนได้มาถึงบ้านหลังนี้และหากมองออกไปแล้วจะพบว่ามันตั้งอยู่ที่ตีนเขาซึ่งรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามแงะเงียบสงบซึ่งบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่สถานที่ๆคนธรรมดาจะสามารถซื้อได้
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้อาศัยที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อสูรเนื่องจากมันมีกลิ่นอายอสูรรายล้อมอยู่รอบทิศทางทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าสถานที่แห่งนี้เป็นถิ่นของชายหนุ่มอมนุษย์อย่างแน่นอน
เขาก้าวออกไปโดยทันที
กลิ่นอายของชายหนุ่มคนนั้นอยู่ภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ซึ่งเป้าหมายในการมาของเขาก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่มาคิดบัญชีเท่านั้น
“หนุ่มน้อย มีอะไรงั้นหรอ ? เธอดูไม่เหมือนกับคนแถวนี้เลยนะ ”
ชายชราส่งเสียงถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของหลินเทียนในตอนนี้ยังคงราบเรียบซึ่งด้วยระดับพลังของเขาแล้วสามารถบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญเผ่าอสูรที่อยู่ในเขตแดนหล่อหลอมร่างกายระดับ 9
“ไม่ต้องมาเล่นแง่กับข้าหรอก ส่งตัวไอ้เด็กเมื่อครึ่งเดือนก่อนที่แอบอยู่ที่นี่มาซะ ”
เขาส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะว่าเขาพอจะคาดเดาได้เลยว่าผู้คนภายในสถานที่แห่งนี้ล้วนรู้เห็นกับชายหนุ่มคนนั้น
อย่างน้อยๆก็น่าจะรู้เรื่องที่เขาเป็นคนสร้างบาดแผลให้อีกฝ่าย
ดวงตาของชายชราส่องประกายออกมาเล็กน้อยขณะที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาว่า
“หนุ่มน้อย เธอหมายความว่าไง ? ลุงไม่เข้าใจเลย ”
หลินเทียนหันมองไปทางชายชราคนนั้นเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเดินออกไปอย่างไม่สนใจ
“หนุ่มน้อย ส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ”
ชายชราก้าวออกมาขวางทางของเขาเอาไว้
หลินเทียนยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่สนใจ
นี่ทำให้อีกฝ่ายก้าวออกมาขวางทางของเขาอีกครั้งหลังจากนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงว่า
“เฒ่าคนนี้บอกแล้วว่าไม่อนุญาตให้เข้าไป หากว่าคิดจะบุกเข้าไปฉันคงต้องแจ้งตำรวจนะ ”
หลินเทียนยังคงก้าวออกไปพร้อมทั้งแผดกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกมากระแทกร่างของอีกฝ่ายลอยเคว้งออกไปไกล
เขาก้าวเดินต่อไปเลยๆจนไปถึงภายในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ภายในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพืชพันธุ์มากมายที่หาได้ยากยิ่งแถมยังออกผลเป็นผลไม้สีแดงขนาดเท่ากำปั้นให้ความรู้สึกที่ลึกลับอย่างมาก
“ต้นไม้จำแลงร่าง ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาเล็กน้อย
มันเป็นต้นไม้ที่สามารถทำให้สัตว์อสูรเปิดภูมิปัญญาและจำแลงร่างมนุษย์ได้ซึ่งเขาเองก็เคยได้อ่านบันทึกโบราณเกี่ยวกับต้นไม้นี้แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับมันที่โลกใบนี้
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่มันทำให้เขาเข้าใจได้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายที่อยู่ในเขตแดนหล่อหลอมร่างกายกลับสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้
“เอี้ยดด ~! ”
ประตูทางเข้าได้เปิดออกพร้อมๆกับปรากฏร่างของชายชราหลายคน
“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับผู้ที่มีความเชื่อแบบเดียวกันในยุคนี้ ”
ชายชราชุดม่วงส่งเสียงหัวเราะออกมาขณะที่พลังอสูรที่เอ่อล้นออกมาแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในเขตแดนชีพจรเทวะพลางกวักมือเรียกหลินเทียนเข้าไปด้านใน
“สหายเข้ามาก่อนสิ ”
ชายชราคนอื่นๆเองก็เปิดปากเชิญหลินเทียนเข้าไปเช่นกัน
ณ ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ปิดบังอะไรอีกต่อไปแล้วเพราะว่าหลินเทียนได้เข้ามาถึงที่นี่แล้วจึงไม่มีประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ไม่จำเป็น ส่งตัวมันมา ”
หลินเทียนพูดออกมา
ชายชราทั้งหลายได้แต่แสดงสีหน้าที่ทำตัวไม่ถูกออกมาก่อนที่ชายชราชุดม่วงจะพูดออกมาว่า
“ซิ่วเซอเขายังหนุ่มถึงได้ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไป ได้โปรดให้อภัยเขาด้วย เมตตาเขาหน่อยได้ไหม ? ”
แน่นอนว่าซิ่วเซอนั้นคือชื่อของชายหนุ่มอมนุษย์เมื่อครึ่งเดือนก่อนซึ่งหลังจากที่หนีกลับมาที่นี่แล้วก็รู้เรื่องราวทั้งหมดที่อีกฝ่ายได้ไปสร้างขึ้นรวมถึงเรื่องที่หลินเทียนเป็นคนสร้างบาดแผลให้กับเขา
“ปล่อยมันไป ? แล้วเด็กสาวบริสุทธิ์อายุ 16 ทั้งหลายที่ถูกช่วงชิงความบริสุทธิ์ไปแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นอาหารให้กับมัน ? จะให้ข้าปล่อยพวกเขาไปเฉยๆ ? ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
เป็นเพราะการกระทำของอีกฝ่ายนั้นโหดเหี้ยมเกินไปเพราะนอกจากจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ของพวกนางแล้วยังกลืนกินอีกฝ่ายแม้ว่าพวกนางจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแต่เขาก็ยังรู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องฆ่ามันให้ได้เพราะหากว่าปล่อยมันเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างความเสียหายให้ผู้คนอีกมากมายขนาดไหน
ถึงขั้นที่ว่าหากเขาไม่ลงมือฆ่ามันแล้วจะกลายเป็นตราบาปของตัวเอง
“โปรดสงบสติอารมณ์ก่อน ”
ชายชราชุดม่วงป้องมือของเขาพร้อมทั้งพูดต่อว่า
“หลังจากนี้เราจะเข้งวดกับเขาไม่ให้ทำเรื่องแบบนั้นอีก ! ”
“ไม่จำเป็น ข้าจะสั่งสอนมันเอง ส่งมันมาซะหรืออยากจะให้ข้าลงมือด้วยตัวเอง ? ”
หลินเทียนส่งเสียงออกมา
นี่ทำให้สีหน้าของชายชราชุดม่วงเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะว่าเขาเองก็รู้ดีว่าหลินเทียนต้องการจะฆ่าชายหนุ่มคนนั้น
ชายชราที่อยู่ข้างๆได้ส่งเสียงที่ไม่พอใจออกมาว่า
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนะ ! ถึงอย่างไรหญิงสาวพวกนั้นมันก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น มันจะมาเทียบอะไรกับผู้บ่มเพาะอย่างเราได้ ? มันต่างกันราวฟ้ากับเหว ! เจ้าคิดจะมาทวงความยุติธรรมให้กับพวกมันไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับตัวเองบ้าง ? ”
หลินเทียนหันมองออกไปพร้อมทั้งแผดกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกกระแทกร่างของอีกฝ่ายลอยเคว้งออกไปไกลพลางกระอักเลือดออกมาซึ่งแน่นอนว่าเขาออมแรงเอาไว้ไม่งั้นอีกฝ่ายก็คงจะตายลงไปแล้ว
ชายชราที่เลือดกลบปากได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่โกรธจัดพลางส่งเสียงออกมาว่า
“นี่เจ้า……”
คนอื่นๆเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่ต่างกัน
“จะส่งมันมาไหม ”
หลินเทียนหันมองไปทางชายชราชุดม่วง
เขาส่งเสียงอันราบเรียบและไม่แยแสออกมา
นี่ทำให้สีหน้าของผู้คนทั้งหลายตกต่ำลงอย่างมากและไม่ได้สุภาพอีกต่อไป
ชายชราชุดม่วงส่งเสียงอันเย็นยะเยือกออกมาว่า
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีพรสวรรค์มากก็จริงแต่อย่าให้มันมากเกินไปนะ ! เผ่าจิ้งจอกครามของข้าสืบเชื้อสายกันมาอย่างยาวนาน แม้ว่าที่นี่จะเป็นเพียงสาขาย่อยแต่ก็ไม่ใช่ที่ๆใครจะมาสร้างปัญหาได้ ! ”
“จิ้งจอกคราม ? ”
สายตาของหลินเทียนได้หดเล็กลงก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ลูกหลานของจิ้งจอกเก้าหาง ? ”
จากข้อมูลที่ได้มานั้นเมืองภูเขาครามเป็นของเผ่าจิ้งจอกครามซึ่งมีบรรพบุรุษเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่เป็นจักรพรรดิอสูรอันแข็งแกร่งแต่ก็ไม่คิดเลยว่าเผ่าพันธุ์นี้ยังหลงเหลืออยู่แถมยังอยู่ตรงหน้าของเขา
“ในเมื่อรู้จักเผ่าพันธุ์ข้าดีงั้นก็อย่าอวดดีให้มันมาก ! ”
ชายชราชุดม่วงส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งพูดว่า
“พวกข้าจะไม่เอาความเรื่องในวันนี้แต่เจ้าจงรีบออกไปซะไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ”
หลินเทียนหันมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกขณะที่กลิ่นอายของเขาแผดออกไปกระแทกร่างของอีกฝ่ายจนลอยเคว้งออกไปไกล
“ต่อให้เป็นบรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ยังไม่คณนามือข้าแล้วยังกล้าข่มขู่ข้าอีกนะ ! ”
เขาส่งเสียงอันไม่แยแสออกมา
นี่ทำให้สีหน้าของชายชรายิ่งตกต่ำลงก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า
“อวดดีจริงๆนะที่กล้าสร้างปัญหาให้พวกข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ! ”
ณ ตอนนี้เองที่มีเสียงอันเย็นยะเยือกถูกส่งออกมาว่า
“ขนาดบรรพบุรุษของพวกข้ายังไม่คณนามือเจ้า ? ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครมันอวดดีได้ขนาดนี้ ! ”
ชายชราชุดเทาที่อยู่ในเขตแดนผู้รอบรู้ได้ก้าวออกมาด้วยกลิ่นอายที่เข้มข้น
ณ ตอนนี้ข้างๆของชายชรามีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่หนีไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน
ชายหนุ่มคนนั้นได้แต่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่ดุร้ายพลางส่งเสียงออกมาว่า
“ท่านปู่ มันเป็นคนที่ทำร้ายข้าแถมยังทำลายอัญมณีปกป้องร่างกายของข้า อย่าให้มันรอดไปได้เด็ดขาด ! ข้าจะเอาเลือดเนื้อมันมากลั่นเป็นยาเพิ่มพลังให้กับข้า ! ”
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เขารู้สึกเกรงกลัวหลินเทียนอย่างมากทว่าตอนนี้มันต่างกันออกไปเพราะว่าปู่ของเขานั้นอยู่ในเขตแดนผู้รอบรู้ซึ่งเป็นผู้ที่มอบสมบัติต่างๆให้กับเขาจึงไม่ได้รู้สึกกลัวอีกต่อไป
หลินเทียนหันมองออกไปทางชายหนุ่มคนนั้นเล็กน้อยพร้อมทั้งตวัดนิ้วส่งประกายแสงสีทองออกไป
“พุฟฟ ~! ”
เลือดสาดกระจายออกมารอบทิศทางขณะที่หน้าผากของชายหนุ่มกลายเป็นรูเลือดขนาดใหญ่
“เจ้า….”
ชายชราชุดเทาถึงกับโกรธถึงขีดสุดเพราะว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นหลานแท้ๆที่มีพรสวรรค์อย่างมากถึงขั้นที่ตัดผ่านเขตแดนหล่อหลอมร่างกายตอนปลายได้และอีกเพียงก้าวเดียวก็จะตัดผ่านเขตแดนชีพจรเทวะซึ่งภายในสถานที่ๆมีพลังฉีและสัจธรรมเบาบางแบบนี้มันเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ไร้เทียมทานแต่กลับถูกหลินเทียนสังหารลงตรงหน้าของเขา
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ชายชราคนอื่นๆล้วนพากันแสดงสีหน้าที่โกรธจัดออกมาเนื่องจากผู้มีพรสวรรค์ของพวกเขากลับถูกสังหารลง
แถมยังตรงหน้าพวกเขา !
“ไอ้ระยำ ! ”
ชายชราชุดเทาส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมทั้งซัดฝ่ามือเข้าใส่ทางหลินเทียนพลางสังเวยเอาตะเกียงสมบัติออกมา
มันเป็นตะเกียงสีเขียวรายล้อมไปด้วยอักขระมากมายส่องประกายแสงเจิดจรัสและกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา
1336
ตะเกียงสมบัติส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมารอบทิศทางไม่ต่างกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อมพลางกดทับเข้าใส่ทางหลินเทียน
นี่คืออาวุธเทวะที่ทรงพลังอย่างมากถึงขั้นที่ไม่สามารถสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้แต่ก็ยังทำให้มิติโดยรอบบิดตัวอย่างรุนแรง
ระหว่างนี้เองที่มือของชายชราที่อัดแน่นไปด้วยพลังอสูรได้คว้าเข้าใส่ทางหลินเทียนจากอีกทาง
หลินเทียนหันมองไปทางอีกฝ่ายเล็กน้อยโดยที่ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไป
เขาก้าวเดินออกไปช้าๆทว่ากลับสามารถหลบการโจมตีทั้งหมดของชายชราชุดเทาได้อย่างง่ายดาย
อีกฝ่ายเองก็ได้แต่ผงะไปกับความเร็วของหลินเทียนที่สามารถหลบการโจมตีของเขาทำให้จิตสังหารยิ่งทรงพลังขึ้นมากกว่าเก่า
ร่างกายของเขาระเบิดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นออกมาก่อนที่จะหยิบเอาตะเกียงนี้ฟาดฟันเข้าใส่ทางหลินเทียน
“ต่อให้เจ้าเป็นใครแต่กล้าฆ่าหลานชายของข้าก็อย่าหวังเลยว่าจะรอดไปได้”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุร้ายถึงขีดสุดพลางซัดคลื่นพลังอสูรอันเข้มข้นเข้าใส่ทางหลินเทียน
หลินเทียนที่ทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายไปได้หยุดเท้าลงก่อนที่จะหันมองกลับไปแล้วพูดว่า
“ข้าไม่สามารถสังหารหลานชายเจ้าที่ทำเรื่องชั่วๆมามากมาย ? แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ ? ”
เขาพูดออกมา
“เพียงแค่พวกมนุษย์มดปลวกธรรมดาจะฆ่ามันแล้วยังไง ?! ”
ชายชราส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชาพลางพูดต่อว่า
“กับพวกมดปลวกพวกนั้นกลับกล้าสังหารหลานของข้า ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ”
หลินเทียนส่งเสียงอันไม่แยแสออกมาว่า
“งั้นรึ ? ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาได้โบกมือออกไปเพื่อทำลายอาวุธเทวะของอีกฝ่ายพร้อมทั้งส่งประกายแสงสีทองทะลวงเข้าใส่ร่างของชายชราเพื่อทำลายการบ่มเพาะของเขา
ชายชราได้แต่สั่นสะท้านไปก่อนที่จะอุทานออกมาว่า
“เจ้า….เจ้า…..ทำลายการบ่มเพาะของข้า !? ”
เขากลัวและโกรธจัดอย่างมากเพราะการตวัดนิ้วเพียงครั้งเดียวของหลินเทียนกลับสามารถทำลายอาวุธเทวะที่เขาได้รับมาจากโบราณสถานแถมยังทำลายการบ่มเพาะของเขาทำให้พลังอสูรหายไปอย่างฉับพลัน
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ? ”
ชายชราชุดม่วงและคนอื่นๆเองก็ได้แต่สั่นสะท้านไปไม่ต่างกันเพราะว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตแดนผู้รอบรู้ของพวกเขากลับถูกทำลายอาวุธและการบ่มเพาะลงได้ง่ายๆแบบนี้นี่ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?
“เจ้า……”
ชายชราชุดเทาส่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด
หลินเทียนมองกลับไปพร้อมทั้งพูดว่า
“ตอนนี้เจ้าเองก็ไม่มีการบ่มเพาะอีกต่อไปแล้วดังนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาที่เจ้าพูดว่าตายก็ตายไปสินะ ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาได้ตวัดนิ้วส่งคลื่นพลังสีของออกไปทะลวงผ่านหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า
พุฟฟ ~! เลือดสาดกระจายออกมารอบทิศทางขณะที่ร่างของอีกฝ่ายลอยเคว้งออกไปไกลโดยที่ไม่มีสัญญาชีวิตเหลืออยู่อีกต่อไป
นี่ทำให้ชายชราชุดม่วงและคนอื่นๆได้แต่สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
เป็นเพราะว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือชายชราชุดเทาทว่ากลับถูกตวัดนิ้วสังหารลงได้ง่ายๆ
หลินเทียนได้หันมองไปทางพวกเขาเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป
ชายชราชุดม่วงและคนอื่นๆได้แต่มองตามหลังของหลินเทียนไปโดยที่ไม่มีใครกล้าหยุดยั้ง ใครจะกล้าล่ะ ? รนหาที่ตายชัดๆ
หลินเทียนก้าวเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเหาะจากไปในไม่ช้า
“ถึงเวลาต้องค้นหาบางสิ่งแล้วสิ ”
เขาพูดออกมา
เป็นเพราะว่าหลังจากที่จัดการเรื่องการเป็นอยู่ของลูกหลานเฉินฉีหยวนและสังหารชายหนุ่มอมนุษย์ไปแล้วเขาก็ควรจะเริ่มออกตามหาสิ่งที่กระบี่เทวะตอบสนองที่อยู่ในโลกนี้
“มันเป็นความรู้สึกเสมือนว่าเป็นเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่แถมยังมากกว่าหนึ่งชิ้น ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้กระบี่เทวะได้เกิดการตอบสนองบางอย่างและชี้นำมายังโลกใบนี้ทำให้เขาพอเดาได้ว่ามันน่าจะสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของเศษเสี้ยววิญญาณกระบี่ซึ่งถือว่าเป็นการตอบสนองที่รุนแรงกว่าครั้งอื่นๆมากดังนั้นเขาจึงคาดการณ์เอาไว้ว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะมีอยู่สองชิ้น
เขาเหาะต่อไปโดยที่แผดจิตสัมผัสออกไปโดยรอบด้วยความเร็วที่สูงขึ้นอย่างมาก
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน
ครึ่งเดือนนี้เขาได้ก้าวผ่านพื้นที่ไปมากมายแต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเศษเสี้ยวกระบี่แม้แต่น้อย
“อยู่ที่ไหนกัน ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
ตัวเขาเหาะอยู่กลางอากาศและกำลังจ้องมองกลับลงไปยังพื้นดิน
ห่างออกไปไม่ไกลมีเคลื่อนบินลำหนึ่งกำลังแล่นผ่านซึ่งนักบินได้แต่ผงะไปหลังจากที่เห็นว่ามีคนสามารถยืนอยู่กลางอากาศได้ทำให้ผู้โดยสารทั้งหลายต่างแตกตื่นถึงขั้นที่ตัวเครื่องดิ่งลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนที่เห็นเช่นนั้นเองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นใต้ท้องเครื่องก่อนที่จะส่งพลังเทวะของตัวเองออกไปรับมันเอาไว้แล้วทำให้มันกลับมาอยู่ในสภาพสมดุลอีกครั้งก่อนที่จะหายตัวไป
เขาทิ้งระยะออกมาไกลมากๆก่อนที่จะเหาะกลับลงมาที่พื้นพร้อมทั้งกวาดจิตสัมผัสออกไปรอบๆ
พริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
วันนี้เป็นวันที่กระบี่เทวะภายในทะเลความรู้ของเขาได้สั่นไหวพร้อมทั้งส่องประกายแสงเจ็ดสีออกมา
“พบแล้ว ! ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้
เขาเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าภูเขาลูกใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นสนและก้อนหินมากมายให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก
กระบี่เทวะภายในทะเลความรู้ของเขากำลังชี้นำไปทางมัน
“ภูเขาไท่”
สายตาของหลินเทียนหดเล็กลงทันที
เป็นเพราะว่ามันเป็นภูเขาที่ถือเป็นตำนานหนึ่งของประเทศจีนที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการกราบไหว้องค์จักรพรรดิ
เขาได้หยุดเท้าลงก่อนที่จะก้าวเดินเข้าใกล้มัน
ระหว่างที่เดินเข้าไปมันอดทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปไม่ได้
“ที่นี่มัน…..”
เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
เมื่อมองออกไปแล้วเขาไม่คิดเลยว่ามันจะมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามขนาดนี้ซึ่งเมื่อก้าวออกไปแล้วร่างกายของเขาถึงกับอดสั่นสะท้านไปไม่ได้ขณะที่รู้สึกได้ว่าตรงหน้าของเขาไม่ใช่ภูเขาแต่เป็นโลกอันกว้างใหญ่
“นี่มัน…..”
หัวใจของเขาได้สั่นไหวไม่หยุดขณะที่มองออกไปยังภูเขาใหญ่ตรงหน้าซึ่งหากว่าเทียบกับภูเขาภายในสวรรค์สิบชั้นแล้วก็ยังเทียบไม่ได้ทว่ามันกลับทำให้เขาที่เป็นจ้าวสวรรค์รู้สึกใจสั่น
1337
ภูเขาไท่นั้นตั้งอยู่ในซานตงซึ่งทุกวันจะมีผู้มาเที่ยวชมจากทั่วทุกหนแห่ง
เป็นเพราะว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อไปทั่วทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ
หลินเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาลูกนี้มีดวงตาที่เปล่งประกายออกมาเล็กน้อยและไม่คิดเลยว่าภูเขาที่สูงไม่เท่าไหร่นี้กลับสามารถทำให้เขาที่เป็นจ้าวสวรรค์ถึงกับรู้สึกสั่นสะท้านไปได้
นี่ทำให้เขายังไม่ได้ขยับไปไหนและเอาแต่จ้องมองไปทางมันอย่างจริงจังพร้อมทั้งแผดตรามังกรออกไปโดยรอบเพื่อสำรวจสถานที่แห่งนี้
“เป็นสถานที่ธรรมดามากๆ ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
เป็นเพราะว่าตรามังกรของเขากลับไม่สามารถตรวจพบอาณาเขตที่ผิดปกติโดยรอบแม้แต่น้อยถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ต่างอะไรไปกับภูเขาธรรมดาๆเลยด้วยซ้ำ
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ยังตกตะลึงไม่หายพลางคิดว่ามันเป็นสถานที่ๆไม่ธรรมดาอย่างมากถึงขั้นที่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการเอาไว้หลายเท่าเพราะแม้แต่ตรามังกรของเขาก็ยังไม่สามารถตรวจจับได้ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะแตะต้องความลับของสถานที่แห่งนี้
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาก่อนที่จะก้าวเดินออกไป
เป็นเพราะว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทำให้มีผู้คนรวมตัวกันอยู่มากมายและหากมองออกไปแล้วจะพบว่าอย่างน้อยๆก็มีอยู่มากกว่าหมื่นคน
หลินเทียนก้าวเดินออกไปเรื่อยๆขณะที่รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เป็นความรู้สึกเสมือนโลกใบใหญ่จริงๆ ”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาพลางพูดต่อว่า
“ภูเขานี่มันอะไรกัน ? ”
คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสถึงความแตกต่างนี้ได้แต่มีเพียงคนที่มีระดับพลังสูงถึงจุดหนึ่งเท่านั้นซึ่งเขาในตอนนี้ที่ยิ่งก้าวออกไปก็ยิ่งรู้สึกใจสั่นมากยิ่งขึ้นทำให้เขาอดเบิกเนตรแห่งสัจธรรมออกมาสำรวจความลับของมันไม่ได้ทว่าผลลัพธ์ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี
“แปลกจริงๆ ”
เขาพึมพำออกมา
ระหว่างที่ก้าวเดินขึ้นไปนั้นเขาก็ทำการตรวจสอบอยู่หลายๆครั้งโดยที่ไม่สามารถพบสิ่งผิดปกติอะไรแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปพลางก้าวเดินขึ้นไป
ด้านบนไม่ได้มีต้นไม้อยู่มากนักซึ่งเมื่อก้าวมาถึงใจกลางของสถานที่แห่งนี้แล้วกระบี่เทวะภายในทะเลความรู้ของเขาก็ได้สั่นไหวและชี้นำเขาไปยังจุดที่ไม่โดดเด่นอะไรและเต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย
มันสั่นไหวอีกครั้งพร้อมทั้งชี้ลงไปด้านใต้
นี่ทำให้ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาพลางส่งเสียงพึมพำออกมาว่า
“ที่นั่น ? ”
เขาแผดตรามังกรออกไปลึกพร้อมทั้งหยุดอยู่ที่ใจกลางของสถานที่แห่งนี้พลางพบกับกลุ่มก้อนพลังงานเจ็ดสีที่ฝังอยู่ด้านใต้
“พบแล้ว ”
เขาแสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมาโดยทันที
เป็นเพราะกระบี่เทวะอันลึกลับมันทรงพลังอย่างมากดังนั้นเศษเสี้ยววิญญาณของมันถึงได้มีความสำคัญอย่างมากและเขาต้องรวบรวมพวกมันทั้งหมดเพื่อให้กระบี่เทวะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งดังนั้นการที่ได้พบมันที่นี่ก็ทำให้เขาอดรู้สึกมีความสุขไม่ได้
ตรามังกรของเขาได้พุ่งฉีกชั้นดินลงไปก่อนที่จะเข้าใกล้ตัวกลุ่มก้อนแสงเจ็ดสีอย่างรวดเร็ว
การเข้าใกล้ของเขาทำให้กระบี่เทวะยิ่งสั่นไหวพร้อมทั้งปลดปล่อยประกายแสงเจ็ดสีออกมาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้
ระหว่างนี้เองที่เสียงสะท้อนของกระบี่เทวะและก้อนพลังงานได้ถูกส่งออกมาก่อนที่ส่งระลอกคลื่นออกมา
เขาได้โบกมือขวาที่มีตรากระบี่ออกไปทางกลุ่มก้อนพลังงานเจ็ดสีตรงหน้า
บึ้สสส ~ !
กลุ่มก้อนพลังงานเจ็ดสีขนาดเท่ากำปั้นได้สั่นไหวเล็กน้อยขณะที่ประกายแสงที่ส่งออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นพร้อมทั้งเริ่มเคลื่อนที่เข้าหาหลินเทียน
เมื่อเข้าถึงตัวหลินเทียนแล้วมันก็ส่องประกายแสงออกมาก่อนที่จะโคจรอยู่รอบตัวของเขาไม่ต่างจากเด็กพลัดลงที่ได้พบกับครอบครัวก่อนที่จะผสานเข้ากับมือขวาของเขาแล้วพุ่งตรงเข้าสู่กระบี่เทวะที่อยู่ภายในทะเลความรู้อย่างรวดเร็ว
ตัวกระบี่ได้สั่นไหวพร้อมทั้งส่องประกายแสงเจ็ดสีออกมาโดยทันที
นี่ทำให้ประกายแสงเจ็ดสีที่ส่งออกมาจากร่างของเขายิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกขณะที่กลิ่นอายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บึ้สสส ~!
กลุ่มก้อนพลังได้ผสานเข้ากับกระบี่เทวะของเขาทำให้ประกายแสงเจ็ดสีสาดส่องออกไปทั่วทะเลความรู้ของเขา
สำหรับเขาที่รู้สึกเคยชินกับมันแล้วไม่ได้แปลกใจอะไรแม้แต่น้อยเพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งและให้ประโยชน์กับเขามากมาย
เขายืนอยู่นิ่งๆพร้อมทั้งหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อเริ่มการหล่อหลอมประกายแสงเจ็ดสีภายในร่างของตัวเอง
นี่ทำให้ร่างกายของเขาเปล่งประกายแสงสีทองออกมาขณะที่กลิ่นอายของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระดับพลังของเขากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 จากระดับ 7 อย่างรวดเร็ว
บึ้สสส ~!
ประกายแสงสีทองที่อาบร่างของเขาเอาไว้ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก
ทะเลความรู้ที่รายล้อมไปด้วยประกายแสงเจ็ดสีเองก็ยิ่งให้ความรู้สึกที่ศักดิ์สิทธิ์ออกมามากกว่าเก่า
และมันเป็นตอนนี้เองที่มีภาพมากมายปรากฏขึ้นภายในสมองของเขา
มันเป็นภาพของเทือกเขาขนาดใหญ่อย่างน้อยๆกว่าหมื่นๆลูกที่กินพื้นที่กว้างซึ่งแต่ละลูกล้วนแล้วแต่มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามถึงขั้นที่เป็นกลิ่นอายของเทพโบราณโดยเฉพาะภูเขาสูงทะลุชั้นฟ้าที่อยู่ใจกลางซึ่งให้ความรู้สึกเสมือนกำลังแบกโลกทั้งใบเอาไว้
“นี่มัน ?! ”
เขาที่กำลังหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันเพื่อบ่มเพาะได้แต่สั่นสะท้านไปอย่างรุนแรง
เป็นเพราะว่าภาพภายในทะเลความรู้ของเขานั้นมันเลือนรางก็จริงแต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากมัน
“นี่มันคือ……ภูเขาไท่ ?! ”
หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงหลังจากที่สัมผัสได้ถึงจุดนี้เพราะแม้ว่าขนาดของมันจะต่างกันไปมากทว่าโครงร่างของมันยังเหมือนเดิม
“นี่มัน………เป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน ? ”
เขาได้แต่ผงะไป
เป็นเพราะว่าภาพภายในสมองที่เขาเห็นคือภูเขาใหญ่ที่มีความสูงไม่ต่างกับจักรพรรดิในหมู่ภูเขาทั้งปวงมันทำให้เขาอดแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมาไม่ได้เพราะนี่คือภูเขาไท่ ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ! ต้องรู้ก่อนนะว่าโลกนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบสองล้างกิโลเมตราทว่าภูเขาไท่กลับมีขนาดใหญ่กว่ามาก
นี่มันผิดปกติอย่างมาก !
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่ภูเขาในโลกมันจะใหญ่กว่าโลกทั้งใบ ?!
“นี่……..”
เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่งงงวยออกมา
“หรือว่าโลกเคยใหญ่กว่านี้ ? แล้วทำไมถึงได้เหลืออยู่แค่นี้กัน ? ”
เขารู้สึกสงสัยอย่างมากพลางคิดถึงภาพของภูเขาไท่ที่เคยยิ่งใหญ่แต่กลับเหลือเพียงเท่านี้
เขาใช้เวลาคิดอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้และไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตอนที่เข้าใกล้ถึงได้รู้สึกใจสั่นแต่น่าจะเป็นเพราะว่ารูปลักษณ์ดั้งเดิมของมันที่น่าเกรงขามแม้จะแปรเปลี่ยนไปแต่ก็ยังคงเสน่ห์เอาไว้
“จากภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าในยุคก่อนหน้านี้สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่บ่มเพาะของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายและ………”
เขาผงึไป
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มันต้องเป็นสถานที่บ่มเพาะและอาจถึงขั้นเป็นขุมพลังอมตะแล้วนี่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?
อย่างน้อยๆก็ต้องอยู่สูงกว่าเขตแดนอนันตกาลอย่างแน่นอน
เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาเพราะไม่คิดเลยว่าโลกใบนี้มันไม่ธรรมดาเหมือนที่เขาเห็นเลยแม้แต่น้อย
ภาพที่ปรากฏขึ้นค่อนข้างเลือนรางและไม่นานก็สลายหายไปเหลือไว้เพียงประกายแสงเจ็ดสีที่แผดไปทั่วร่างของเขา
ดวงตาของหลินเทียนส่องประกายออกมาด้วยความตกตะลึงอย่างมากก่อนที่จะเรียกสติกลับคืนมา
เขายับยั้งความรู้สึกตกตะลึงของตัวเองเอาไว้พลางหมุนวนพลังเพื่อดูดซับพลังงานทั้งหลายเข้าไปภายในร่าง
ไม่นานประกายแสงสีทองและพลังแห่งสัจธรรมที่แผดออกมาก็ยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก
พริบตาเวลากว่าครึ่งเดือนก็ได้ผ่านพ้นไป
“ตู้มม ~! ”
วันนี้เป็นวันที่ร่างกายของเขาได้ระเบิดคลื่นพลังอันหนักหน่วงออกมาหลังจากที่ตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8ไปได้
1338
เมื่อตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ได้แล้วเขาได้กำหมัดเล็กน้อยพลางสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของร่างกาย พลังเทวะและอื่นๆ
“อีกไม่ไกลก็ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าและตามด้วยอนันตกาล ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
หลังจากที่ตัดผ่านเขตแดนอนันตกาลแล้วเขาก็จะสามารถค้นหาที่อยู่ของดินแดนสวรรค์สิบชั้นเพื่อกลับไปได้เพราะครอบครัวและพวกพ้องของเขาอยู่ที่นั่น
อีกด้านหนึ่งหลังจากตัดผ่านเขตแดนอนันตกาลได้แล้วก็จะหลุดพ้นจากการตายตามธรรมชาติที่ถือเป็นเป้าหมายหลักของการบ่มเพาะ
“ต้องพยายามมากกว่านี้ ”
เขาส่งเสียงออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ประกายแสงเจ็ดสีภายในทะเลความรู้ของเขาได้สงบลงพร้อมๆกับอักขระบนคมกระบี่ที่ส่งคลื่นพลังออกมาเป็นระลอกๆ
เขาพยายามสำรวจมันอย่างจริงจังทว่าก็ยังไม่พบอะไรและไม่สามารถเข้าใจมันได้ดังนั้นพยายามไปก็เปล่าประโยชน์
“ช่างเถอะ ”
เขาพึมพำออกมากับตัวเองก่อนที่จะล้มเลิกการสังเกตนี้แล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่มีผู้คนอยู่โดยรอบแม้แต่น้อย
เขายืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะก้าวเดินไปออกไปทั่วๆภูเขาลูกนี้
เขายังคงได้รับความรู้สึกกดดันอยู่อย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรสำหรับเขามากนักพลางสำรวจสถานที่ต่างๆที่อยู่โดยรอบ
“ก่อนหน้านี้ภูเขาไท่มีความสูงกว่าหลายกิโลเมตรที่เปรียบเสมือนดั่งจักรพรรดิในหมู่ขุนเขาทว่าตอนนี้กลับ……”
ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา
เป็นเพราะว่าภูเขาสูงใหญ่ขนาดนั้นกลับอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วเสียได้
มันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง !
เขาก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ถึงได้ก้าวเดินต่อไปรอบๆพลางหมุนวนพลังของตัวเองเพื่อปรับสมดุลพลังในตอนนี้
ไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงก่อนที่เขาจะเดินไปถึงสถานที่ๆอยู่ห่างไกลออกไป
มันเป็นทางทิศตะวันตกของภูเขาแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีชีวิตชีวาซึ่งห่างออกไปไม่ไกลก็พบกับชายท่าทางแปลกๆที่ต่างออกไปจากกลุ่มนักท่องเที่ยว
เขาเป็นชายตะวันตกสองสองเมตรกำลังซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆด้วยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดากว่าสิบเท่า
“ผู้บ่มเพาะ ”
ดวงตาของเขาหดเล็กลงเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทว่ากลับมีระดับพลังอยู่ในเขตแดนชีพจรเทวะ
เมื่อได้ก้าวเดินออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรทำให้อีกฝ่ายตระหนักได้ถึงการมาของเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปทางหลินเทียนแล้วชายชาวตะวันตกก็ได้แต่ผงะไปด้วยดวงตาที่ส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่พร้อมทั้งตวัดดาบสั้นเข้าใส่ทางศีรษะของหลินเทียนอย่างไม่รอช้า
มันเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างมาก
คิ้วของหลินเทียนได้ขมวดเข้าหากันก่อนที่จะยกมือขึ้นมาคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วถามว่า
“บ้าหรือเปล่า ? อยากตายงั้นรึ ? ”
“ไม่ใช่คนธรรมดา หรือว่าเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะของดินแดนศูนย์กลาง ?! ”
อีกฝ่ายได้แข็งค้างไปเพราะการที่หลินเทียนสามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้มันแสดงให้เห็นว่าหลินเทียนไม่ใช่คนธรรมดา
“ลงมือทำไม ? ”
หลินเทียนถามออกมา
ดวงตาของอีกฝ่ายส่องประกายความเย็นยะเยือกออกมาพลางโบกมือสร้างกระบี่ด้วยพลังฉีอันเข้มข้นแทงเข้าใส่หัวใจของหลินเทียน
หลินเทียนได้แต่มองด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสขณะที่กระบี่พลังฉีของอีกฝ่ายแหลกสลายหายไป
“เจ้า…….”
อีกฝ่ายได้แต่ผงะไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงเพราะว่านี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาทว่าหลินเทียนที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนกลับสามารถทำลายมันลงได้ง่ายๆ
มันทำให้เขาได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกพร้อมทั้งคว้าเอายันต์ออกมาพลางหันหลังพุ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนหันมองออกไปเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้นว่า
“คิดจะทำอะไร ? แล้วมาทำอะไรที่นี่ ? ”
เขาถามออกมา
เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายมีท่าทางที่ระมัดระวังอย่างมากแถมยังเปิดฉากโจมตีสังหารเข้าใส่เขาอย่างไม่ลังเลนี่แสดงให้เห็นว่ามันมีเป้าหมายบางอย่าง
“คิดว่าข้าจะบอก ? ตลกหน่า ! ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“เจ้าอยู่ได้อีกไม่นานหรอก ! ”
เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของหลินเทียนว่าตัวเขาไม่สามารถสู้ได้ดังนั้นถึงได้แต่หันหลังหนีไปด้วยสีหน้าที่ดุร้ายอย่างมาก
หลินเทียนที่กำลังมองออกไปยังอีกฝ่ายกลับรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะสละชีพที่ขุมพลังในสวรรค์สิบชั้นฝึกฝนมาไม่มีผิด
“คิดว่าไม่บอกแล้วข้าจะหาคำตอบไม่ได้ ? ”
เขาพูดออกมา
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้โบกมือส่งประกายแสงออกไปคว้าร่างของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมทั้งอ่านความทรงจำของอีกฝ่ายโดยทันที
“ดินแดนลับภูเขาไท่ การรวมตัวของผู้บ่มเพาะ”
นี่ทำให้ดวงตาของเขาหดเล็กลงโดยทันที
เป็นเพราะว่าข้อมูลที่เขาได้รับมานั้นมีอยู่มากมายซึ่งความจริงแล้วเชื้อสายของผู้บ่มเพาะก็ยังคงสืบต่อกันมาและพวกเขาจะจัดงานรวมตัวกันของผู่บ่มเพาะในทุกๆสามปีซึ่งสถานที่ๆพบกันคือภูเขาไท่แห่งนี้
แน่นอนว่ามันเป็นมิติพิเศษที่คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสหรือเข้าไปได้จึงเรียกว่าดินแดนลับและทุกๆสามปีพวกเขาจะรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นรวมถึงจัดการประลองระหว่างผู้มีพรสวรรค์ของแต่ละขุมพลัง
ชายชาวตะวันตกคนนี้ได้รับคำสั่งให้มาค้นหาตำแหน่งของดินแดนลับภูเขาไท่ก่อนที่กองกำลังผู้บ่มเพาะชาวตะวันตกจะบุกเข้าไปแล้วสังหารผู้บ่มเพาะของดินแดนศูนย์กลางให้สิ้นซาก
หากว่าผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งและศิษย์ที่มีพรสวรรค์ชองดินแดนศูนย์กลางได้ตกตายลงทั้งหมดแล้วผู้เชี่ยวชาญดินแดนศูนย์กลางก็จะอ่อนแอลงทำให้ไม่สามารถป้องการการรุกรานของผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตกได้
เป้าหมายหลักของพวกเขาก็เพื่อการชิงเอาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
“ภูเขาไท่ ภูเขาคุนหลุน ภูเขาเพ็งไล่ ภูเขาหลงฮู ภูเขาชิงเฉิง ภูเขาอู่ตัง …………… ”
คิ้วของเขาได้ขมวดเข้าหากันเพราะว่าภูเขาทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นภูเขาที่โด่งดังของจีนแถมยังมีตำนานที่เล่าขานกันมานานทว่าผู้เชี่ยวชาญตะวันตกเหล่านี้กลับต้องการจะชิงเอาทั้งหมดไป
“ทำไปเพื่ออะไรกัน ? ”
เขาหันมองออกไปพร้อมทั้งถามออกมา
เขารู้สึกสงสัยอย่างมากว่าอีกฝ่ายจะต้องการเอามันไปทำอะไร มันจะต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน
“เจ้า…..”
ฝ่ายตรงข้ามได้แต่แสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านไม่หยุดก่อนที่จะส่งเสียงออกมาว่า
“เจ้าคือ……ผู้เชี่ยวชาญจากยุคกาลก่อน ?! เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
การที่ฝืนตรวจสอบความทรงจำของเขาได้แบบนี้มันไม่ใช่ความสามารถที่ผู้เชี่ยวชาญปกติจะสามารถทำได้แน่ๆ
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพลางส่งจิตสัมผัสออกไปตรวจสอบความทรงจำของอีกฝ่ายอีกครั้ง
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้มีสถานที่ยิ่งใหญ่อะไรภายในองกรมากทำให้ไม่รู้ว่าจะชิงเอาภูเขาเหล่านี้ไปทำไม
“เจ้า……”
ชายคนนั้นได้แต่สั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้กลัวตายก็จริงทว่าหลังจากที่เห็นว่าหลินเทียนสามารถอ่านความทรงจำของเขาได้แบบนี้แล้วจะไม่ให้เขากลัวมันก็เป็นไปไม่ได้
หลินเทียนแสยะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งบดขยี้ร่างกายของอีกฝ่ายจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นกองเลือดไปทันที
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะชิงเอาไปทำไมแต่หากว่ากล้าโผล่มาข้าจะฆ่าให้เกลี้ยงเลยคอยดู ! ”
เขาหันมองออกไปทางตะวันตกด้วยสายตาที่ไม่แยแสแม้แต่น้อย
แม้ว่าเขาจะอยู่ในสวรรค์สิบชั้นจนตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ทว่ารากเดิมของเขาคือคนของดินแดนศูนย์กลางดังนั้นหากว่ามีคนกล้าคิดจะรุกรานดินแดนแห่งนี้เขาก็ยินดีจะฆ่าพวกมันทั้งหมด
เขายืนอยู่กับที่อยู่นานก่อนที่จะแผดตรามังกรออกไปโดยรอบพื้นที่
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ก้าวออกไปด้วยร่างกายที่แผดคลื่นพลังสีทองออกมาทำให้มิติกระเพื่อมเล็กน้อยแล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นภายในสถานที่แห่งใหม่ที่มีกลุ่มเมฆรายล้อมภูเขาอยู่รอบทิศทางแถมยังมีพลังฉีที่ถือว่าพอใช้ได้
เมื่อมองออกไปแล้วดวงตาของเขาได้หดเล็กลงโดยทันที
“ดินแดนบ่มเพาะ ”
มันคือโลกใบเล็กที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทำให้มีพลังฉีที่เข้มข้นแถมยังอาจจะมีสมบัติถือกำเนิดขึ้น
ก่อนหน้านี้เขาก็ได้สำรวจภูเขาไท่มาก่อนแล้วแต่กลับไม่พบเลยว่ามันจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ภายใน
1339
หลังจากที่เข้ามาภายในดินแดนลับภูเขาไท่แล้วเขาก็ได้กวาดสายตาออกไปรอบๆก่อนที่จะพบกับภูเขาเตี้ยๆหลายสิบโลกรวมถึงกลุ่มคนที่มีกลิ่นอายที่ทรงพลังกว่ามนุษย์ธรรมดาอยู่หลายเท่าตัว
“ผู้บ่มเพาะ ”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะว่าการรวมตัวยังไม่ได้เริ่มขึ้นดังนั้นถึงได้กวาดสายตาไปทางคนเหล่านี้ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปทางอื่น
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เล็กๆแถมยังให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าภูเขาไท่หลายเท่าตัวถึงขั้นที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
เขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวนั้นเป็นเพราะว่าเสน่ห์ที่ยังเหลืออยู่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งสัจธรรมซึ่งภายในสถานที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าภายนอกอยู่มากจึงได้แผดจิตสัมผัสออกไป
ไม่นานเขาก็ได้เดินขึ้นไปยังภูเขาลูกเล็กๆก่อนที่หัวใจของเขาจะสั่นสะท้านไปอีกครั้งหลังจากที่สัมผัสได้ถึงพลังสัจธรรมที่ไหลเวียนอยู่รอบทิศทาง
เขานั่งลงกับพื้นก่อนที่จะแผดจิตสัมผัสออกไปรอบๆเพื่อค้นหาต้นตอที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว
ร่างกายของเขาได้เปล่งประกายแสงสีทองออกไปซึ่งหลังจากที่ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงเขาก็ได้ค้นพบเสน่ห์ที่หลงเหลืออยู่ของมัน
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันเบาบางทว่ากลับให้ความรู้สึกเสมือนกำลังอยู่ต่อหน้าโลกอันกว้างใหญ่ที่ทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวไม่หยุดพลางระลึกถึงภาพของขุนเขามากมายที่รายล้อมจ้าวแห่งขุนเขาอย่างภูเขาไท่อีกครั้ง
มันเป็นภาพของขุนเขาขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเสมือนกำลังแบกโลกทั้งใบเอาไว้ทำให้ทะเลความรู้ของเขาสั่นสะท้าน
“ช่างยิ่งใหญ่อะไรขนาดนี้ ”
เขาพึมพำออกมา
หลังจากนั้นก็หลับตาลงด้วยความรู้สึกที่อวัยวะภายในกำลังสั่นไหวพลางสัมผัสถึงเสน่ห์ของมันต่อไป
มันเป็นเสน่ห์ที่ไม่รู้เลยว่าผ่านพ้นมานานขนาดไหนแถมยังอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งสัจธรรมที่ทำให้ร่างกาย ดวงวิญญาณและทะเลความรู้ของเขาสั่นไหวพร้อมทั้งส่งผลให้กลิ่นอายของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าเขาเองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้ดีก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเพราะว่าเพียงแค่เสน่ห์ที่หลงเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยล้านทว่ากลับทำประโยชน์ให้เขาได้มากมายขนาดนี้
“ภูเขาไท่ในช่วงก่อนหน้านี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ?! ”
เขาผงะไป
เขาสัมผัสถึงเสน่ห์เหล่านี้พร้อมทั้งหมุนวนเคล็ดวิชาดวงใจสุริยันไปในเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน
ครึ่งเดือนนี้เขาได้ลืมตากลับขึ้นมาด้วยดวงตาที่เป็นประกายออกมา
“ไม่มีความรู้สึกใจสั่นเหลืออยู่อีกแล้ว ”
เขาพึมพำออกมา
เป็นเพราะหลังจากที่ได้สัมผัสถึงเสน่ห์ที่หลงเหลืออยู่ก็ทำให้แรงกดดันที่ได้รับสลายหายไปเสมือนว่าได้รับการยอมรับจากภูเขาไท่แถมยังได้รับประโยชน์มาอย่างมากมายถึงขั้นตัดผ่านเขตแดนจ้าวสวรรค์ระดับ 8 ตอนกลางจากตอนต้น
ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาพร้อมทั้งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเองที่เพิ่มมากขึ้น
“จ้าวขุนเขาเพ็งไล่มาถึงแล้ว ! ”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาจากสถานที่ๆอยู่ห่างออกไป
ร่างหลายร่างพากันก้าวเดินเข้ามาภายในสถานที่แห่งนี้โดยที่มีชายวัยกลางคนชุดขาวที่ส่งกลิ่นอายอันทรงพลังเป็นผู้นำ
นี่ทำให้ผู้คนทั้งหลายรีบพากันออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว
ที่นี่มีทั้งผู้เชี่ยวชาญเร่ร่อนรวมถึงตระกูลผู้บ่มเพาะเล็กๆที่มาที่นี่ล่วงหน้าดังนั้นหลังจากที่เห็นการมาถึงของจ้าวขุนเขาแล้วพวกเขาก็ต่างพากันต้อนรับด้วยความเคารพเพราะว่าสถานะของขุนเขาเพ็งไล่นั้นไม่ธรรมดาเหมือนๆกับขุนเขาคุนหลุนมาตั้งแต่ช่วงอดีตกาลแล้ว
หลินเทียนหันมองออกไปทางฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย
ตัวเขาที่เข้ามาที่นี่มีเป้าหมายหลักๆอยู่สองอย่าง ข้อแรกคือการมาเที่ยวชมการรวมตัวกันของผู้บ่มเพาะจากดินแดนศูนย์กลางเพื่อประเมินความแข็งแกร่งโดยรวม
อีกเป้าหมายคือการที่มาดักรอผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตก
“เขตแดนวิญญาณนิรันด์ระดับ 3 ”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย
เป็นเพราะว่าด้วยสภาพของโลกในตอนนี้นั้นการบ่มเพาะไปถึงเขตแดนวิญญาณนิรันด์มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
แน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่เพราะรู้ดีว่าที่ขุนเขาเพ็งไล่เองก็แตกต่างออกไปจากสถานที่อื่นๆในโลกที่น่าจะมีเส้นชีพจรวิญญาณหรือไม่ก็เส้นชีพจรนิรันด์เป็นรากฐานผนวกกับยาทิพย์ที่ช่วยเร่งการบ่มเพาะทำให้แข็งแกร่งกว่าขุมพลังอื่นๆในโลก
“คนจากขุนเขาคุนหลุนมาถึงแล้ว ! ”
“ขุนเขาเทียนฉี ! ”
“นิกายกระบี่ซูซานมาถึงแล้ว ! ”
“ตระกูลจิ้งจอกครามมาถึงแล้ว ! ”
“สำนักไทชิมาถึงแล้ว ! ”
นี่ทำให้เหล่าผู้คนทั้งหลายพากันออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว
มันส่งผลให้สถานที่แห่งนี้คึกคักขึ้นโดยทันที
หลินเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เองก็ได้หันมองออกไปเล็กน้อยพร้อมทั้งพบว่าขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นของขุนเขาคุนหลุนที่มีผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ในเขตแดนจ้าวแห่งเต๋าที่มาร่วมงานด้วยเช่นกัน
“แค่นี้เองงั้นรึ คนที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนศูนย์กลางเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจ้าวแห่งเต๋า ”
เขาถอนหายใจออกมา
มันอดทำให้เขารู้สึกซึมๆออกมาไม่ได้เพราะว่าโลกนี้มันไม่เหมาะกับการบ่มเพาะจริงๆนั่นแหละ
“ไม่รู้เลยว่าพวกชาวตะวันตกมันจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ? ”
เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
หลังจากที่พูดจบแล้วเขาก็ได้แต่ส่ายศีรษะและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
การปรากฏตัวของขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งหกนั้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างพากันรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของแต่ละคน
มันเป็นการแลกเปลี่ยนทฤษฎีการบ่มเพาะของแต่ละคนและอีกสามวันจะถึงช่วงการประลองของขุมพลังต่างๆ
เป็นเพราะว่าการรวมตัวกันนี้ไม่มีทางจัดขึ้นก็เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
การบ่มเพาะมันจำเป็นต้องแข่งขัน
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญอาวุโสทั้งหลายจะไม่ลงมือและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้มีพรสวรรค์รุ่นใหม่ๆ
“แกร๊ง ! ”
“ตู้มม ~! ”
เสียงกระบี่คำรามถูกส่งออกมาทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้
หลินเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เองก็ได้แต่มองออกไปยังเหล่าศิษย์ที่อ่อนแอไม่ได้อยู่ในสายตาของจ้าวสวรรค์อย่างเขาทว่าเขาก็ยังรู้สึกสนใจเพราะถึงอย่างไรเขาเองก็ก้าวผ่านจุดเดียวกันกับคนเหล่านี้มาก่อน
“ตู้มม ~! ”
คลื่นพลังอันหนักหน่วงระเบิดออกไปรอบทิศทา
“กู่จี่ซวนจากขุนเขาเพ็งไล่แข็งแกร่งจริงๆ ! อายุเพียงแค่ 26 ปีแต่กลับอยู่ในเขตแดนจักรพรรดินภาแล้ว นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นมังกรในหมู่ผู้คนได้เลยนะ ! ”
“หยานเหวินจ้าวจากขุนเขาคุนหลุนเองก็ร้ายกาจไม่เบา เขาเองก็ตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภาแล้วเช่นกันแถมยังได้ชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในรุ่นนี้ของคุนหลุนด้วย ! ”
“จูหวานเฉิงของนิกายซูซาน จางหยิงซินของขุนเขาเทียนฉี และหลุยชิงเฮอจากสำนักไทชิเองก็ไม่ธรรมดา ได้ยินว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของทั้งสามขุมพลัง ”
หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมา
เป็นเพราะห้าคนนี้ล้วนแสดงศักยภาพออกมาในการประลองโดยการสามารถเอาชนะผู้เข้าร่วมได้มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ทั้งห้าคนนี้แข็งแกร่งก็จริงทว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในรุ่นเยาว์นั้นต้องเป็นของถูเซียนเซียนจากเผ่าจิ้งจอกครามอย่างแน่นอน ได้ยินว่านางตัดผ่านเขตแดนจักรพรรดินภาระดับ 9 ได้แล้วแถมยังอยู่ห่างจากเขตแดนวิญญาณนิรันด์อีกไม่ไกล ข้าได้ยินข่าวลือมาว่านางสามารถเอาชนะผู้อาวุโสสูงสุดเขตแดนวิญญาณนิรันด์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลได้ด้วย ”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าสายเลือดของนางได้วิวัฒนาการไปเป็นสายเลือดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอย่างบรรพบุรุษผู้ก่อตั้ง ! ”
ผู้คนพากันส่งเสียงออกมา
ระหว่างนี้พวกเขาก็พากันหันมองออกไปทางทิศที่ถูเซียนเซียนกำลังต่อสู่อยู่ด้วยผมสีดำยาวสลัว รูปร่างที่ผอมบางสมส่วนและรูปลักษณ์ที่งดงามขณะที่กำลังกวัดแกว่นกระบี่ในมือโดยที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้
“แข็ง….แกร่งมากๆ ! ”
“ขุมพลังทั้งหลายอย่างขุนเขาต่างๆนั้นได้ชื่อว่าสืบเชื้อสายกันมาอย่างยาวนานกว่าเผ่าตระกูลจิ้งจอกครามมากๆทว่ารุ่นเยาว์ของพวกเขากลับไม่มีใครสามารถเทียบเคียงนางได้แม้แต่น้อย ”
“ใช่ ! ”
หลายๆคนพากันถอนหายใจออกมาขณะที่จ้องมองไปทางนางด้วยสายตาที่สรรเสริญ
แม้กระทั่งจ้าวขุนเขาและขุมพลังต่างๆเองก็พากันถอนหายใจออกมาเพราะว่าพรสวรรค์ของนางมันแข็งแกร่งไร้เทียมทาจริงๆ
“สหายถู ดูเหมือนว่าขุนเขาของเจ้าจะมีอัญมณีนิรันด์ล้ำค่าถือกำเนิดขึ้นแล้วนะ ”
ผู้อาวุโสสูงสุดของคุนหลุนได้หันไปพูดกับผู้นำขุนเขาคราม
จ้าวขุนเขาครามที่เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ที่งดงามได้ตอบกลับอย่างถ่อมตัวว่า
“ผู้อาวุโสก็พูดเกินไป ”
นางพูดออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอย่างมากเพราะการที่คนในตระกูลมีพรสวรรค์แบบนี้มันทำให้นางมีความสุขอย่างมาก
หลินเทียนที่อยู่ห่างออกไปได้หันมองไปทางถูเซียนเซียนเล็กน้อยพร้อมทั้งพึมพำออกมาว่า
“ใช้ได้ ”
เขาที่อยู่ในเขตแดนจ้าวสวรรค์สามารถสัมผัสได้ถึงสายเลือดที่ไม่ธรรมดาอันบริสุทธิ์ของนางแถมยังมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งและหากว่านางอยู่ในดาวสวรรค์สิบชั้นแล้วก็คงจะแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่ากายราชันเลยแม้แต่น้อย
ร่างกายของถูเซียนเซียนที่รายล้อมไปด้วยคลื่นกระบี่โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ในระยะสามเมตรได้หันมองออกไปทางหลินเทียนที่นั่งอยู่บนภูเขาที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
“เป็นเจ้า ! ”
นางผงะไปทันที
1340
เป็นเพราะไม่นานมานี้หลินเทียนเพิ่งจะสังหารชายหนุ่มและปู่ของเขาที่อยู่ในหนึ่งในสาขาของเผ่าจิ้งจอกครามไปซึ่งรายงานได้ถูกส่งกลับไปที่ตระกูลหลักอย่างรวดเร็วดังนั้นเมื่อได้พบกับหลินเทียนอีกครั้งแล้วถูเซียนเซียนและคนอื่นๆเองก็จดจำได้ทันที
ผู้นำตระกูลได้หันมองตามสายตาของถูเซียนเซียนไปก่อนที่คิ้วของนางจะขมวดเข้าหากัน
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่คนอื่นๆก็ต่างพากันหันมองไปทางหลินเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
“ชายคนนี้มัน………”
หนึ่งในผู้คนได้ส่งเสียงกระซิบออกมาว่า
“ได้ยินมาว่าไม่นานมานี้มีผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์สังหารผู้อาวุโสเขตแดนผู้รอบรู้และรุ่นเยาว์ภายในตระกูลของพวกเขา หรือว่าชายคนนี้จะเป็นคนๆนั้น ? ”
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย ? ”
“แน่นอนสิ เพิ่งได้ยินมาไม่นานมานี้ ”
หนึ่งในผู้คนได้ส่งเสียงออกมา
ข่าวเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่คิดเลยว่าจะบุกไปที่ตระกูลสาขาจิ้งจอกครามเพื่อสังหารคน กล้าดีจริงๆ ! ”
“แต่เขาดูหนุ่มขนาดนี้ อายุน่าจะราวๆ 20 ปีทว่ากลับสามารถสังหารเขตแดนผู้รอบรู้ได้ ? ”
“แข็งแกร่งมากๆ ! ”
“สุดยอดไปเลย แต่หากว่าเทียบกับผู้มีพรสวรรค์ของทั้งหกขุมพลังแล้วก็ยังต่างชั้นกันอยู่ดี ”
หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมา
ผู้นำขุมพลังต่างๆเองก็พากันหันมองไปทางหลินเทียนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย
หลินเทียนไม่ได้นั่งขัดสมาธิอยู่อีกต่อไปก่อนที่จะยืดเท้าออกไปด้านหน้าด้วยท่าทางที่สบายอารมณ์โดยที่ไม่ได้สนใจคำพูดของผู้คนแม้แต่น้อยก่อนที่จะหันมองไปทางผู้นำตระกูลจิ้งจอกครามและคนอื่นๆพร้อมทั้งหยุดอยู่ที่ร่างของถูเซียนเซียนแล้วพูดว่า
“อยากจะล้างแค้น ? ”
เขาส่งเสียงอันราบเรียบออกมา
“ล้างแค้น ? ใครจะล้างแค้นกัน ! เรารู้เรื่องที่ไอ้ชาติชั่วนั่นทำลงไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ฆ่ามันเราก็จะฆ่ามันอยู่ดี ! ”
ถูเซียนเซียนส่งเสียงแสยะออกมาเพราะว่าทางตระกูลหลักได้ทำการสืบสวนเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว
คำพูดของนางทำให้ผู้คนโดยรอบได้แต่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
“เจ้าไม่ฆ่าพวกเราก็จะฆ่า ? ”
“หมายความว่าไงกัน ? ”
“แม่นาง…..เขาพูดอะไรกัน ? ”
หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมา
เหล่าศิษย์ธรรมดาๆของตระกูลจิ้งจอกครามเองก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาไม่ต่างกัน
หลินเทียนหันมองออกไปทางนางด้วยท่าทางที่ผงะไปเล็กน้อยเพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่านางจะล้างแค้นให้กับคนในตระกูลแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้
“แล้วเจ้าจะเอายังไง ? ”
เขาถามออกไป
ถูเซียนเซียนได้ตอบกลับว่า
“แม้ว่าไอ้ระยำนั่นมันสมควรตายแล้วแต่ผู้คนมากมายก็รู้ข่าวที่เจ้าบุกเข้าไปในตระกูลสาขาของเราเพื่อฆ่าคนแล้วทำให้ตระกูลของเราเสื่อมเสียอย่างมาก เราไม่สามารถปล่อยเอาไว้เฉยๆได้ ”
หลินเทียนพยักหน้าของเขาเพราะเขาเองก็พอเจ้าใจได้เกี่ยวกับเหตุผลที่ต้องรักษาภาพพจน์ของขุมพลัง
“แล้วไง ? ”
“อึก..”
“เจ้านี่มันใจเย็นจริงๆ ”
“นี่มัน….”
หลายๆคนได้แต่หมดคำพูดไปทันทีเพราะไม่คิดเลยว่าหลินเทียนจะเยือกเย็นขณะที่เผชิญหน้ากับผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลจิ้งจอกครามได้ขนาดนี้
ถูเซียนเซียนเองก็ได้แต่มองไปยังท่าทางที่หลินเทียนแสดงออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สบอารมณ์
นางแสยะออกมาว่า
“ง่ายมากๆ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญดังนั้นเรามาสู้กับ หากว่าเจ้าชนะก็ถือว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรติดค้างกันเพราะข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลซึ่งหากว่าแพ้เจ้าแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสร้างปัญหาให้เจ้าอีก ”
“เจ้าคิดได้รอบคอบดีหนิ ”
หลินเทียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้พร้อมกับถามต่อว่า
“แล้วหากว่าข้าแพ้ ? ”
“แพ้ ? ก็ไม่มีอะไรมาก ”
นางได้หรี่ตาลงพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า
“ข้าจะขอตีก้นเจ้าไม่กี่ครั้งแล้วจบเรื่องนี้เหมือนเดิม ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะ พี่สาวคนนี้จะอ่อนโยนกับเจ้าเอง ! ”
หลินเทียน
“……….”
ทำไมลักษณะนิสัยของนางถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันแบบนี้
นี่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหนุ่มทั้งหลายที่อยู่โดยรอบอดส่งเสียงกู่ร้องออกมาไม่ได้
“นี่มัน……..เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ! ”
“ไม่นะ ! ห้ามให้เจ้านั่นเป็นฝ่ายได้ไปเด็ดขาด ! ”
“ได้โปรดช่วยตีข้าด้วย ข้าจะไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ! ”
ผู้คนพากันส่งเสียงออกมาเพราะแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะก็จริงทว่ามันก็อยู่ในยุคสมัยใหม่แล้วดังนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามสังคม ณ ปัจจุบันส่งผลให้ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายออกมาระหว่างที่จ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยความโกรธแค้น
หลินเทียน
“………….”
เขาได้แต่มองไปทางนางด้วยสีหน้าที่มีความสุขเพราะว่านางคนนี้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาแถมนิสัยเองก็ยังไม่ได้เลวร้ายทำให้เขานึกถึงใบหน้าของไป่เฉียวขึ้นมา
เมื่อนึกถึงนางแล้วมันทำให้เขาคิดว่านางดูน่ารักขึ้นมาทันที
“มา ข้าจะเล่นกับเจ้าหน่อยแล้วกัน ”
เขาพูดออกมา
ท่าทางของเขาทำให้สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญที่อยู่โดยรอบเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ท่าทางแบบนี้มันอะไรกัน เหมือนว่าเป็นผู้อาวุโสที่กำลังคุยอยู่กับรุ่นเยาว์อย่างไรอย่างนั้น ? ”
“นั่นน่ะถูเซียนเซียนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขุนเขาสีครามเลยนะ ! ”
“หมดคำจะพูดจริงๆแล้วสิ ”
หลายๆคนพากันแสดงสีหน้าป่วยๆออกมา
ถูเซียนเซียนที่กำลังถือกระบี่นิรันดร์เอาไว้ได้พูดขึ้นว่า
“งั้นก็เชิญ ”
“ไม่จำเป็น ”
หลินเทียนตอบกลับพลางพูดว่า
“ข้านั่งอยู่นี่แหละ เจ้าโจมตีมาได้เลย ”
“เฮือก…..”
“เจ้านี่มัน……”
“นี่มัน…..อวดดีจริงๆ ! ”
“บ้าไปแล้ว ? ”
“ดูไม่เหมือนเลยนะ ”
ผู้คนยิ่งพากันโง่งมเข้าไปอีก
ถูเซียนเซียนถึงกับกัดฟันเอาไว้แน่นพลางก้าวเดินออกไปพร้อมทั้งฟาดฟันกระบี่ในมือออกไป
กระบี่นี้ส่องประกายแสงเจิดจรัสออกมาขณะที่พลังฉีอันเข้มข้นแต่ไม่ได้รุนแรงได้พุ่งเข้าใส่ทางหลินเทียนเนื่องจากนางได้ออมแรงเอาไว้
อย่างไรก็ตามมันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้มิติโดยรอบบิดตัวอย่างรุนแรงถึงขั้นส่งผลให้สีหน้าผู้คนเปลี่ยนไปอย่างมาก
“คลื่นกระบี่ระดับนี้มัน…สุดยอดไปเลย ! ”
“สมแล้วจริงๆที่เป็นที่หนึ่งในรุ่นนี้ ! ”
“แข็งแกร่งมากๆ ! ”
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายรวมถึงนายน้อยของขุมพลังต่างๆพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสที่อยู่ในเขตแดนวิญญาณนิรันดร์ระดับ 2 ได้ส่งเสียงออกมาว่า
“หากว่าสู้กันจริงๆแล้วข้าต้องไม่ใช่คู่มือของแม่หนูน้อยนี่แน่ๆ ”
“อื้มม เยี่ยมมากๆ ”
ผู้อาวุโสสูงสุดของคุนหลุนได้ส่งเสียงออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายพลางพูดต่อว่า
“แม้ว่ามันจะเป็นการโจมตีที่ไม่ได้รุนแรงทว่ากลับแฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ผู้เชี่ยวชาญภายใต้เขตแดนวิญญาณนิรันดร์ไม่สามารถรับได้อย่างแน่นอน ”
ผู้นำตระกูลจิ้งจอกครามที่อยู่ข้างๆได้แต่เผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมากับเกียรติยศครั้งนี้
คลื่นกระบี่ของถูเซียนเซียนที่ไม่ได้ทรงพลังมากนักได้เข้าประชิดร่างของหลินเทียนอย่างรวดเร็ว
เป็นกระบี่ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
“รับไม่ได้แน่ๆ ! ไม่มีใครที่อยู่ภายใต้เขตแดนวิญญาณนิรันดร์สามารถรับได้อย่างแน่นอน ! ”
หลายๆคนพากันส่งเสียงออกมาเพราะคิดว่าหลินเทียนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามมันเป็นตอนนี้เองที่สีหน้าของพวกเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
หลินเทียนที่กำลังนั่งอยู่บนก้อนหินด้วยสีหน้าที่ราบเรียบไม่ได้ลุกไปไหนทว่ากลับยื่นนิ้วชี้ออกมารับการโจมตีนี้เอาไว้
“นี่มัน ?! ”
“เป็นไปไม่ได้ ?! ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! ”
ผู้คนพากันโห่ร้องออกมา
ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสเองก็ยังต้องผงะไปเพราะว่าคลื่นกระบี่ที่ลึกลับนี้กลับถูกรับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย !
ถูเซียนเซียนแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเพราะแม้ว่านางจะยั้งมือเอาไว้ทว่าก็รู้ดีว่ามันเป็นการโจมตีที่ทรงพลังถึงขั้นที่คนธรรมดาไม่มีทางรับได้ทว่าหลินเทียนกลับสามารถรับเอาไว้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น
“เจ้า…….”
นางส่งเสียงออกมา
“ถือว่าใช้ได้ ”
หลินเทียนพูดออกมาเพราะด้วยระดับพลังของนางในตอนนี้แล้วการที่สามารถส่งการโจมตีโดยที่ยั้งมือได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
“มาสิ ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกต่อไป ”
ถูเซียนเซียนแข็งค้างไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลินเทียนก่อนที่จะตวัดกระบี่ในมือส่งคลื่นกระบี่อันทรงพลังพร้อมๆกับสังเวยทักษะเทวะออกไปทำให้สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญเขตแดนวิญญาณนิรันดร์ที่อยู่ห่างออกไปถึงกับเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
หลินเทียนยังคงนั่งอยู่กับที่โดยที่ใช้นิ้วชี้ของเขารับการโจมตีเหล่านี้เอาไว้เช่นเคย
นี่ทำให้ผู้คนโดยรอบพากันผวาไปทันที
“นี่มัน……”
“มือเปล่า…… ไม่ ! นิ้วเดียวสามารถ….รับการโจมตีของอาวุธนิรันดร์ได้นี่มัน…….”
“ดูเหมือนว่า….เขาจะแข็งแกร่งมากๆ! ”
“คนที่ดูหนุ่มขนาดนี้กลับแข็งแกร่งกว่าถูเซียนเซียน ?! นี่มันเป็นไปได้ไงกัน ………”
“เขา…….แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ! ”
หลายๆคนส่งเสียงออกมา
ตอนนี้ขนาดที่ว่าผู้นำขุมพลังต่างๆเองก็ได้แต่โง่งมไปกับภาพตรงหน้าของพวกเขา
โดยเฉพาะผู้นำตระกูลจิ้งจอกครามจ้าวขุนเขาสีครามที่แข็งค้างไปกับที่
“แกร๊ง ! ”
“แกร๊ง ! ”
“แกร๊ง ! ”
เสียงกระบี่คำรามดังสนั่นหวั่นไหวถูกส่งออกมาขณะที่ถูเซียนเซียนฟาดฟันกระบี่ในมือของนางพลางสังเวยปรากฏการณ์ทะเลความรู้ออกมาแต่ก็ยังถูกหลินเทียนรับเอาไว้ด้วยนิ้วชี้เพียงแค่นิ้วเดียวที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากกระบี่ของจักรพรรดินิรันดร์
“ก็พอใช้ได้แต่มันดูแปลกๆแหะ ”
หลินเทียนหันมองไปทางนางที่กำลังเปิดฉากโจมตีเข้าใส่ทางเขาพร้อมกับส่งเสียงออกมาว่า
“บรรพบุรุษที่หนึ่งของเจ้าเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลดังนั้นก็น่าจะทิ้งมรดกจำพวกทักษะเทวะหรือเคล็ดวิชาเขตแดนจักรพรรดิโกลาหลเอาไว้บ้างแต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้เรียนรู้มันเลย ? ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น