Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 999-1007

 ตอนที่ 999 สามหมัด

 

ภายใต้สายตายำเกรงทั้งหมดที่จับจ้อง เงาร่างสูงโปร่งอรชรซึ่งถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมนั่นลอยล่องสู่พื้นดิน


รูปโฉมนางล่มเมือง งดงามผุดผ่อง สวมชุดกระโปรงแดงเพลิง ผิวหมดจดขาวดุจหิมะเนียนละเอียด


ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่คือหญิงงามเลอโฉมผู้หนึ่ง


นางยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ เพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสายดุจเพลิงดาราโอบล้อมทั่วสรรพางค์กาย แม้แต่เส้นผมดำขลับยังเรืองแสงเปลวอัคคีแสบตา มีกลิ่นอายฮึกเหิมอหังการ


หลิงหงจิน!


หนึ่งในศิษย์แกนหลักแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ขอบเขตมกุฎระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ พลังต่อสู้ลึกล้ำยากหยั่งถึง


ขณะเดียวกันสตรีนางนี้ยังเป็นหนึ่งในสี่ ‘ผู้กล้าหญิง’ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ได้รับความนิยมและใฝ่ฝันจากผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์นับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเลื่องลือโด่งดัง


ตูม!


ผืนดินสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางฝุ่นควันตลบอบอวลเงาร่างผึ่งผายหนึ่งปรากฏ แววตาเขาดุจกระบี่ ร่างกายดั่งขุนเขา กล้ามเนื้อทั้งตัวราวหล่อจากสำริด ให้ความรู้สึกกดดันกับผู้อื่น


สิ่งที่มาพร้อมการปรากฏตัวของเขาคือพลังดุดันไร้รูปที่แผ่ขยาย ขับเสริมจนเขาประดุจเทพเถื่อนดึกดำบรรพ์องค์หนึ่ง


ลี่จั้นหนาน!


จัดอยู่ในศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เหมือนหลิงหงจิน พรสวรรค์โดดเด่น อุปนิสัยแข็งกร้าวป่าเถื่อน พลานุภาพน่าอัศจรรย์


เมื่อทั้งสองปรากฏกาย กลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ดักซุ่มอยู่ปากทางหุบเขาต่างไม่ปิดบังเงาร่างอีก ก้าวออกมาต้อนรับ


แต่สายตาหลิงหงจินและลี่จั้นหนานกลับมองข้ามฝูงชน จ้องไปยังหินผาในหุบเขานั่นทันที


ที่แห่งนั้นเงาร่างสง่างามร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิ หลังสายตาพวกเขาทอดมองไป คนผู้นี้ก็หยัดร่างลุกขึ้นมองมาทางพวกเขา


ปึง!


พริบตานั้นสายตาพวกเขาปะทะกันกลางอากาศ ราวสายฟ้าแลบประจัญบาน ทำให้ห้วงอากาศเกิดเสียงระเบิด!


ขณะเดียวกัน เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่อยู่ใกล้เคียงล้วนหยุดหายใจ สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาลชวนประหวั่นกำลังแผ่ขยายกลางลาน


นี่คือการประลองอานุภาพพลัง!


หลิงหงจินซึ่งเป็นดั่งเซียนสาวก้าวออกจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ทั่วร่างมีรุ้งเทพเปลวอัคคีอหังการแผ่พุ่ง สลายความมืดยามวิกาล


ลี่จั้นหนานดุจเทพเถื่อน เงาร่างกำยำผ่าเผยราวค้ำยันฟ้าดิน ให้ความรู้สึกสูงใหญ่ไร้ขอบเขต บีบกดสรรพสิ่งดั่งขุนเขาใหญ่ เผด็จการหาใดเปรียบ


แต่หลินสวินกลับยืนเงียบอยู่ตรงนั้น เงาร่างสูงสง่าพ้นโลกีย์ดุจเซียน เจือสัมผัสว่างเปล่า


ดูเหมือนสงบนิ่งเรียบเรื่อย แต่ยามอานุภาพของหลิงหงจินและลี่จั้นหนานแผ่มาถึง ยังไม่ทันเข้าประชิดร่างเขาก็ถูกหักล้างอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง


“อาจารย์อาเหวินกล่าวไม่ผิด เด็กนี่เป็นประเภทเดียวกับพวกเรา ไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง”


ลี่จั้นหนานเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงทุ้มต่ำดั่งฟ้าคะนอง สะเทือนครั่นครืนท่ามกลางหุบเขายามราตรี พาให้คนสะท้านใจ


กลางนัยน์ตาวาบรวงอสนี แววตาที่มองหลินสวินมีจิตต่อสู้อันเยียบเย็นคลั่งระห่ำเพิ่มขึ้นมา


“เรื่องปกติ ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลเยี่ยงเทพมารที่ก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิม หากไม่มีความสามารถถึงจุดนี้ มีหรือต้องให้พวกเราลงมือ”


ริมฝีปากแดงของหลิงหงจินเผยอเล็กน้อย นัยน์ตาคู่งามดั่งเปลวเพลิงลุกโชน มีพลังอหังการแผ่กระจายทำให้ผู้คนไม่กล้ามองโดยตรง


เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างกลั้นหายใจจดจ่อ ในใจฮึกเหิม เจือความรู้สึกยำเกรงและเร่าร้อน


ทั้งคู่เป็นถึงศิษย์แกนหลัก เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่ประดุจเทพมังกรเหนือสวรรค์ ที่ผ่านมาล้วนฝึกปราณเพิ่มเติมในเขตหวงห้ามของสำนักมาตลอด แทบจะเป็นตำนานเล่าขานแล้ว เพราะน้อยนักที่จะเห็นร่องรอยของพวกเขา


แต่ครั้งนี้เพื่อจัดการเทพมารหลินจากแดนฐิติประจิม ถึงกับมีศิษย์แกนหลักสองคนปรากฏกาย นี่ล้วนสามารถทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน


ในเวลาเดียวกันนี้หลินสวินก็กำลังประเมินฝ่ายตรงข้าม สายตาราบเรียบยิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เผยคลื่นความรู้สึกแม้เศษเสี้ยว


ความจริงแล้วในใจเขาอดทอดถอนใจไม่ได้ สายสนกลในของสำนักโบราณช่างน่าหวาดกลัว ผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่พบเห็นได้น้อยบนโลก แต่ในขุมอำนาจเหล่านี้กลับมีให้เห็นบ่อยจนชินตา


ดังเช่นหลิงหงจิน ลี่จั้นหนาน เห็นชัดแจ้งว่าล้วนก้าวสู่มกุฎมรรคา เท่านี้ก็มองออกว่ารากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์น่าอัศจรรย์ระดับใด


“เหตุใดเจ้าไม่หนีเล่า” ลี่จั้นหนานแววตาดุจอสนี จับจ้องหลินสวิน


เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง เพราะตามการวินิจฉัยเขา หากหลินสวินต้องการหนีคงจากไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องรอเขาและหลิงหงจินเร่งตามมาทัน


“ก่อนนี้ข้าเคยบอกแล้ว หากพวกเจ้ายืนกรานเป็นศัตรูกับข้า เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาว่าจะแบกรับโทสะของข้าได้หรือไม่”


หลินสวินมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “เห็นชัดว่าพวกเจ้าฟังคำพูดข้าไม่เข้าหู ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องหนีเล่า”


“พูดจาใหญ่โตนัก! กล้าคุยโวเช่นนี้ไม่กลัวจุกปากตัวเองรึ” ด้านข้าง ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่งตวาดลั่น


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นเองต่างยิ้มเยาะ หรือเทพมารหลินยังดูสถานการณ์ไม่ออก ช่างบ้าระห่ำถึงขั้นไม่รู้ประสาเสียจริง


“พูดเช่นนี้ เจ้าคิดโต้กลับรึ” ลี่จั้นหนานประหลาดใจ รู้สึกไร้สาระยิ่ง


“ถูกต้อง โต้กลับ อย่างน้อยต้องให้พวกเจ้าสัมผัสเพลิงโทสะของข้าสักหน่อยก่อน” หลินสวินพยักหน้า นิ่งสงบยิ่งนัก


“จากที่ข้ามอง เจ้ามันแค่พวกโง่เขลาราวหมาจนตรอกเท่านั้น” หลิงหงจินกล่าวเฉยชา รูปโฉมนางโดดเด่น วาจาก็ราบเรียบนัก แต่ถ้อยคำวิจารณ์หลินสวินกลับเผยความหยิ่งทะนง


ที่นี่คือแคว้นกู่ชาง เป็นเขตอิทธิพลของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ บัดนี้หลินสวินกลับประกาศว่าจะให้พวกเขาสัมผัสเพลิงพิโรธ นี่ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกขบขันนัก


บุคคลขอบเขตมกุฎระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง บางทีอาจทรงพลังยิ่งในคนรุ่นเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีอำนาจอิทธิพลอย่างแท้จริง กลับกล้าคุยโวไม่กระดากปากเช่นนี้ นี่คงเบื่อชีวิตจนทนไม่ไหวแล้วกระมัง


“ยกมันให้ข้าจัดการเอง!”


ลี่จั้นหนานสาวเท้าก้าวใหญ่ พื้นดินสั่นสะเทือน ภูผาสูงใกล้เคียงสั่นไหว ทำให้อานุภาพเขายิ่งข่มขู่ผู้คน


“ศิษย์พี่ลี่กำราบมันในคราเดียวเสียเลย ทำให้มันคุกเข่ากับพื้นไถ่โทษสำนึกผิด!”


“ถูกต้อง! เจ้าเด็กนี่โอหังนัก ก่อนหน้าสังหารศิษย์สำนักเราไม่น้อย เลือดต้องล้างด้วยเลือด ครั้งนี้อย่าให้มันหนีได้เด็ดขาด!”


เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตะโกนเซ็งแซ่


“เจ้าระวังหน่อย อย่าฝืนนัก หากรู้สึกไม่ชอบมาพากลก็ส่งเขามาให้ข้าได้” ในดวงตางามของหลิงหงจินฉายแววหยอกล้อเสี้ยวหนึ่ง


“หึ! วางใจเถอะ ข้าคนเดียวก็เกินพอ!” ลี่จั้นหนานแค่นเสียงเย็นชา


ตึง!


เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ อานุภาพพลังพลันเปลี่ยนแปลง แต่ละก้าวทำปฐพีสั่นสะเทือน และพลานุภาพก็ยกระดับตาม


ตึง! ตึง! ตึง!


หลังเยื้องย่างไปเก้าก้าว บนร่างผ่าเผยของเขาเปล่งประกายทองแสบตาหาใดเปรียบ เจิดจ้าดั่งดวงตะวันสาดส่องภูผาธาราจนสว่างไสว พลานุภาพน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด


ผืนดินแตกระแหงดั่งใยแมงมุม หินผาบนภูเขาใกล้เคียงต่างถูกกระเทือนจนร่วงกราว ห้วงอากาศส่งเสียงหวือเสียดหู


เก้ายาตราสะเทือนสวรรค์!


นี่คือวิชาลับการต่อสู้ประเภทหนึ่ง กระตุ้นอานุภาพแห่งตน สามารถทำให้พลังต่อสู้ของตนระเบิดอานุภาพเป็นประวัติการณ์ในเวลาอันสั้น!


ไม่จำเป็นต้องสงสัย ลี่จั้นหนานรู้ชัดว่าหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าคือผู้แข็งแกร่งเหมือนกับเขา ด้วยเหตุนี้ยามออกเคลื่อนไหวจึงไม่ดูแคลนและรีรออันใด


“แกร่งเกินไปแล้ว!”


“สมกับเป็นศิษย์แกนหลัก เมื่อไหร่พวกเราถึงจะมีพลังเช่นนี้บ้าง”


เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ใจสั่นสะท้าน สายตาที่มองลี่จั้นหนานเปี่ยมความเร่าร้อนศรัทธา


หลิงหงจินลอบพยักหน้า เดิมทีนางยังกังวลว่าลี่จั้นหนานจะประมาทศัตรู แต่บัดนี้ดูท่าอีกฝ่ายคงรอบคอบยิ่งกว่าที่ตนคาดการณ์


นี่จึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง!


ถึงอย่างไรก่อนจะมาพวกเขาต่างได้ยินว่า ผู้อาวุโสเหวินสิงโจวซึ่งเรียกได้ว่าเป็นชั้นยอดในหมู่ราชันกึ่งระดับก็เคยเสียเปรียบในมือเด็กนี่ไม่น้อย


เท่านี้ก็สามารถมองออกว่าเด็กนี่กร้าวแกร่งระดับใด


ทว่าในใจนางยังไม่เข้าใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง ถึงแม้เป็นหมาจนตรอก ก็ไม่จำเป็นต้องรอความตายอย่างโง่เขลาที่นี่กระมัง


“ให้โอกาสเจ้าประลองกับข้าครั้งหนึ่ง จงจำไว้ ต้องทุ่มสุดกำลัง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าคงตายตาไม่หลับ”


เงาร่างผึ่งผายของลี่จั้นหนานอบอวลประกายทองดั่งกระแสวารี พลานุภาพดุจพญามังกรทะลวงเมฆา แค่อานุภาพเช่นนี้ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปหมดใจต่อสู้ รู้สึกถึงความสิ้นหวังแล้ว


แต่หลินสวินซึ่งเผชิญหน้ากับการท้าทายระดับนี้กลับชูสามนิ้วขึ้น “สามหมัด”


น้ำเสียงราบเรียบคลายอารมณ์


แต่นี่กลับทำให้เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่กำลังเอ็ดตะโรต่างอึ้งงัน สามหมัด? เจ้าหมอนี่คงไม่ได้บอกว่าจะเอาชนะศิษย์พี่ลี่จั้นหนานในสามหมัดกระมัง


นี่มันเหิมเกริมเกินไปแล้วหรือไม่


สีหน้าพวกเขาทะมึนลงโดยพร้อมเพรียง เดือดดาลหาใดเปรียบ


ส่วนหลิงหงจินสีหน้าแปลกพิกล นางเคยได้ยินว่าเทพมารหลินนิสัยอหังการไม่กลัวผู้ใด แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกำเริบเสิบสานถึงขั้นนี้


สามหมัด?


เกรงว่าแม้แต่อันดับหนึ่งของศิษย์แกนหลักอย่างฉู่เป่ยไห่ยังไม่กล้ากล่าวเช่นนี้!


“พี่ลี่ได้ยินหรือไม่ เขาจะใช้สามหมัดสังหารเจ้า” นางนัยน์ตางามกระจ่าง หัวเราะพราวเสน่ห์


ตอนแรกลี่จั้นหนานคิดว่าตนฟังผิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนิ่งสงบนั่นของหลินสวิน สุดท้ายเขาจึงกล้ามั่นใจว่าเป็นความจริง


นี่ทำให้หว่างคิ้วเขาแผ่ไอชั่วร้ายอย่างระงับไม่อยู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นตามไปด้วย นี่กำลังหยามศักดิ์ศรีเขาอยู่หรือ


ช่างรนหาที่ตาย!


“หมัดแรก”


หลินสวินไม่พูดมาก โผร่างออกจู่โจม


โทสะหยาจื้อโคจร


นัยเร้นลับวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์โถมกระหน่ำ…


พลังทั้งหมดทั่วร่างรวมกันที่แขนขวา หมัดนี้พลันพุ่งออกไปกลางอากาศพร้อมๆ กับการย่างเท้าของหลินสวิน


เปล่งประกาย เจิดจ้า ยิ่งใหญ่ดั่งหุบเหว!


ในสายตาคนอื่นหมัดนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่ง แต่ไม่มีพลังน่าหวาดหวั่นเท่าไหร่นัก


แต่สำหรับลี่จั้นหนาน กลับสัมผัสถึงไอสังหารชวนประหวั่นที่ปะทะเข้ามา


ท่ามกลางความเลือนราง เบื้องหน้าสายตาราวปรากฏฉากทำลายล้างอย่างภูเขาถล่มสมุทรคำราม ห้วงอากาศพังทลาย หงส์ร้องมังกรครวญเป็นต้น


พลังหมัดนั่นประดุจแฝงเจตจำนงทำลายล้าง สามารถปั่นป่วนทลายจิตใจคน!


ลี่จั้นหนานขนพองสยองเกล้า แค่ชั่วพริบตาสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภายใต้แรงกระตุ้นของไอสังหารชวนประหวั่นหาใดเปรียบนั่น ทำให้เขาไม่ลังเล ใช้ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของตน


“สยบ!”


เขาตวาดลั่นดั่งเสียงคำรามของเทพเถื่อนดึกดำบรรพ์ และในมือเขาควบรวมออกมาเป็นฝ่ามือทรงพลังป่าเถื่อนสายหนึ่ง


ประทับแกนสวรรค์สยบนภา!


ทันทีที่ยอดวิชามรรคชั้นเลิศสำแดงเดช ประทับฝ่ามือดุจดั่งคีรีเทพจากฟากฟ้า บดทำลายปัญจธาตุ ดับสลายห้วงอากาศ ราวสามารถพิฆาตสรรพวิญญาณ


ตูม!


ทั้งสองปะทะกัน ภูเขาสูงใกล้หุบเขาแห่งนี้พากันทรุดตัวสนั่นหวั่นไหว บนพื้นแผ่นดิน หิน ไม้ หญ้า ต่างแหลกสลายกลายเป็นจุณ


พลังหมัดและพลังฝ่ามือไร้เทียมทานม้วนแผ่ปกคลุม พาให้ห้วงอากาศยามราตรีคร่ำครวญและสั่นสะเทือน บริเวณที่ห่างออกไปยิ่งมีเสียงร้องหวาดผวาของสรรพสัตว์


กลางที่นั้น ร่างลี่จั้นหนานดั่งถูกค้อนยักษ์ซัดตะบัน ถอยร่นออกไปสิบกว่าจั้งอย่างหนักหน่วง เลือดลมตีกลับ เบื้องหน้าพลันมืดมัวไปชั่วขณะ ยากจะรับจนแทบกระอักเลือด


ทุกคนตกตะลึงเบิกตากว้าง


ใบหน้างดงามของหลิงหงจินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เปลวอัคคีทั่วร่างลุกโชนโหมกระหน่ำราวภูเขาไฟจวนปะทุ


อานุภาพของหมัดเดียวน่าหวาดกลัวเพียงนี้เชียวหรือ


นี่คือสิ่งที่ใครต่างไม่คาดคิด

 

 

 


ตอนที่ 1000 สง่างามไร้คู่ต่อกร

 

“หมัดที่สอง”


หลินสวินสีหน้าเรียบเฉยจนน่ากลัว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความผันผวนแม้เศษเสี้ยว


เขาก้าวไปเบื้องหน้า ซัดหมัดออกไปอีกครา


หมัดนี้เรียบง่าย ธรรมดา ไม่เจือกลิ่นอายผลาญเผาใดๆ


ดุจละมั่งเกี่ยวเขา อาชาสวรรค์เหินนภา ไร้ร่องรอยให้เสาะหา เปี่ยมท่วงทำนองแห่งการคืนสู่สามัญ


ในสายตาคนอื่น อานุภาพของหมัดนี้เทียบหมัดเมื่อครู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ธรรมดาและเรียบง่ายเกินไป


แต่ลี่จั้นหนานกลับหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เพราะหมัดนี้มีท่วงทำนองวิเศษของ ‘ผู้แกร่งเกล้าดุจโฉดเขลา’ เป็นแก่นอัศจรรย์ซึ่งเรียบง่ายที่สุดหลังชำระล้างสิ้นทุกสิ่ง!


ผิวทุกอณูของเขาล้วนรู้สึกเจ็บปวดจวนปริแยก ทั้งนอกและในกายจิตถูกพลังไม่อาจอธิบายปกคลุม


หลบไม่อาจหลีก หนีไม่อาจพ้น!


หากกล้าเผยความหวาดหวั่นและช่องโหว่เพียงเสี้ยวคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย!


“ทลาย!”


ลี่จั้นหนานตะโกน ผมยาวทั้งศีรษะแผ่สยาย ประกายทองทั่วร่างดั่งสุริยันสาดแสงส่องสว่าง กระตุ้นพลังแห่งตนถึงขีดสุด


“เคล็ดวิชาหกวัฏจักร!”


ทันใดนั้นเบื้องหน้าเขาปรากฏรุ้งเทพหกสาย สื่อถึงพลังหกสายแห่ง ฟ้า ดิน บูรพา ประจิม ทักษิณ อุดร


ทันทีที่วิชานี้ปรากฏ แฝงนัยถึงใต้หล้าที่มีเพียงตัวข้าเป็นใหญ่ เผด็จการไร้ขอบเขต ขับเน้นให้ลี่จั้นหนานเป็นดั่งนายเหนือหัวหนึ่งเดียวผู้ครองหกประสาน


นี่ก็คือไพ่ตายของเขา!


เขาเคยอาศัยวิชานี้ปลิดชีพราชันกึ่งระดับไม่น้อยกว่าสิบคนด้วยมือเปล่ามาก่อน!


ตูม!


ทั้งสองเข้าปะทะ ฟ้าดินแถบนี้ราวถูกซัดกระหน่ำ บรรยากาศแปรปรวนพลิกตลบ หมอกควันม้วนแผ่


ผู้สืบทอดทั้งหมดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สังเกตเห็นความผิดปกติก่อนแล้ว จึงถอยหนีห่างไปตั้งแต่แรก


หลิงหงจินแม้ไม่ถอยร่น แต่ไม่อาจไม่โคจรพลังสลายคลื่นกระทบจากการปะทะน่าหวาดกลัวที่ปกคลุมนั้น


กลางลาน ร่างลี่จั้นหนานลอยกระเด็น เลือดออกเจ็ดทวาร ถูกซัดลอยละลิ่วออกนอกระยะหลายสิบจั้ง บนร่างผึ่งผายผิวแตกระแหงหลั่งเลือดทุกอณู


เขาผมเผ้าสยายยุ่ง ร่างอาบโลหิต ร่วงลงพื้นอย่างอนาถ ฝุ่นควันคลุ้งทั่วฟ้า


มองไปกลางลานอีกที หุบเขาแถบนั้นพินาศสิ้นนานแล้ว ภูเขาสูงลูกแล้วลูกเล่าไม่เหลือร่องรอย พื้นดินเต็มไปด้วยรอยแยกหลังการระเบิด


เงาร่างสูงสง่าของหลินสวินเด่นตระหง่านกลางอากาศ โลกีย์มิแปดเปื้อน หลุดพ้นว่างเปล่า ภายใต้ทัศนียภาพแหลกเหลวชวนสะพรึงเช่นนี้ ยิ่งขับเน้นให้เขาดูลึกลับไม่ธรรมดากว่าเดิม


ทุกคนพากันหน้าเปลี่ยนสี ล้วนเกือบลืมหายใจ


ลี่จั้นหนาน ศิษย์แกนหลักแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แม้แต่ในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพาก็จัดอยู่ในระดับยอดบุคคล


ในใจศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นับไม่ถ้วน ศิษย์แกนหลักประดุจสุริยันบนนภา สามารถสาดส่องใต้หล้า โดดเด่นไม่อาจเอาชนะ!


แต่บัดนี้ลี่จั้นหนานถูกซัดถอยติดต่อกันสองครา ซ้ำได้รับบาดเจ็บสาหัส…


ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่ใครๆ ต่างไม่คาดคิด เนื่องด้วยชวนตระหนกและกะทันหันเกินไป ทำให้เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น


ในใจหลิงหงจินก็สะท้านไม่หยุดเช่นกัน นางก้าวสู่ขอบเขตมกุฎเหมือนลี่จั้นหนาน คิดว่าเมื่อสงครามมหายุคมาเยือน ในสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณนี้ ผู้ที่สามารถขันแข่งกับพวกเขาคงมีแค่หนึ่งหยิบมือ


เดิมนางคิดว่าหลินสวินเองก็เป็นหนึ่งในส่วนหยิบมือนั้น ด้วยเหตุนี้ในใจจึงไม่ดูแคลนอันใด


แต่ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ที่หลินสวินแสดงออกมา กลับทำลายความเข้าใจที่นางเชื่อมั่น!


นี่ไหนเลยจะเป็นผู้กล้าซึ่งก้าวสู่มกุฎ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นปีศาจพลิกฟ้าตนหนึ่ง!


“หมัดที่สาม”


หลินสวินออกจู่โจมอีกครา ยังนิ่งสงบและราบเรียบเช่นเดิม ให้ความรู้สึกเหนือโลกีย์ โฉบทะยานผ่านนภา


หมัดนี้เหนือความคาดหมายทุกคน ทันทีที่โจมตีออกมา ฟ้าดิน เอกภพ ภูผาธารา สรรพสิ่ง… ล้วนแต่หยุดนิ่ง ถูกจองจำอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ยินเสียงใดอีก


แปลกประหลาดและเงียบสงัดเกินไป มีเพียงหมัดเดียวของหลินสวินที่ปล่อยออกมาอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง


กัมปนาทไร้สรรพเสียง หมื่นลักษณ์ไร้รูป!


เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์กลับผ่อนคลายนัก เพราะพวกเขาต่างไม่รู้สึกถึงพลังคุกคามเพียงเสี้ยว สัมผัสไม่ถึงคลื่นพลังใดๆ


แต่หลิงหงจินกลับหน้าเปลี่ยนสี ร้องเสียงหลง “ระวัง!”


ขณะเดียวกันลี่จั้นหนานเองก็ขวัญหนีดีฝ่อ สัมผัสภัยคุกคามถึงชีวิตเป็นครั้งแรก สัญชาตญาณที่บ่มเพาะมาหลายปีบอกเขาว่า หมัดนี้เขาต้านไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง!


ฟุ่บ!


เขาหลบหนีโดยไม่ลังเล


ความเร็วว่องไวจนน่าเหลือเชื่อ ไม่มีความล่าช้าใดๆ


ทว่าแม้เขาจะเร็ว พลังหมัดนั่นกลับเร็วกว่า แค่พริบตาก็บุกสังหารมาถึง


ปึง!


สามารถเห็นอย่างชัดเจน แผ่นหลังลี่จั้นหนานถูกทะลวงเกิดรูโหว่ชุ่มเลือดขนาดเท่าปากชาม โลหิตซ่านกระเซ็น


ขณะเดียวกันร่างเขาราวถูกฟ้าผ่า ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ หยุดชะงักกลางอากาศดั่งถูกตรึงอยู่ตรงนั้น แปลกประหลาดอย่างที่สุด


“นี่มันวิชาหมัดอะไร” ลี่จั้นหนานหันกลับ น้ำเสียงคลุมเครือ ในปากมีโลหิตหลั่งชโลม แต่เขากลับเหมือนไม่รู้ตัว ได้แต่ถลึงตามองหลินสวินที่อยู่ห่างไกล


ในแววตาเปี่ยมความตระหนก งงงัน และยากจะเชื่อ


ตูม!


จากนั้นยังไม่รอได้คำตอบ ร่างผึ่งผายของเขาก็ระเบิดดังสนั่น พริบตานั้นถึงกับทำให้ผู้คนรู้สึกสวรรค์สะเทือนดินสะท้าน


ฝนโลหิตสาดกระจาย แดงสดบาดตาในยามค่ำคืน


ศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้หนึ่ง บุคคลผู้กล้าซึ่งก้าวสู่ขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง ไม่ทันรอมหายุคมาเยือนก็สิ้นชีพลงที่นี่เวลานี้!


ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินทำตามคำพูด ใช้แค่เพียงสามหมัด!


ทุกคนต่างตะลึงค้าง ถูกภาพนี้สยบ จิตใจจวนสูญเสียการควบคุม


ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างรู้สึกไร้สาระ คิดว่าการที่หลินสวินหมายใช้สามหมัดเอาชนะลี่จั้นหนานเป็นเรื่องเพ้อเจ้อหลงระเริงไม่รู้ความ


แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าหลังสามหมัด ลี่จั้นหนานไม่เพียงถูกเอาชนะ ยังถูกกำราบสังหารโดยตรง!


“เจ้า…” หลิงหงจินอึ้งงัน ทั้งตระหนกและขุ่นเคือง ทว่าเมื่อเห็นหลินสวินที่อยู่ห่างไกลยังคงมีทีท่าราบเรียบ นางกลับไม่รู้จะพูดอะไร


ตกตะลึงหรือ


ก็มี


เดือดดาลหรือ


ก็มี


ยากจะเชื่อหรือ


ก็มีเช่นกัน


แต่กลับไม่อาจใช้ถ้อยคำชัดเจนมาบรรยายสภาวะจิตที่สับสนในเวลานี้


ลี่จั้นหนานเหมือนกับนาง พลังต่อสู้พอๆ กัน ที่ผ่านมาในแคว้นกู่ชาง ผู้ที่สามารถต่อกรกับเขาถึงขั้นนับนิ้วได้ อีกทั้งคนส่วนน้อยนี้ล้วนมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


ส่วนคนที่สามารถสังหารเขา แทบไม่มี!


บุคคลในขอบเขตมกุฎประหนึ่งเทพมังกรเหนือสวรรค์ บางทีอาจถูกคนรุ่นเดียวกันเอาชนะ แต่คิดสังหารยากสุดแสน


แต่ยามนี้ลี่จั้นหนานกลับถูกปลิดชีพในสามหมัด!


สุดท้ายความรู้สึกทุกอย่างในใจ กลายเป็นความหวาดกลัวและหนาวสะท้านเกินบรรยายแผ่คลุมทั่วร่างหลิงหงจิน


แม้ตัวนางห้อมล้อมด้วยเปลวเพลิงเจิดจรัส แต่ยามเผชิญหน้าหลินสวินที่อยู่ห่างไป กลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้เพียงเสี้ยว


หนาวเย็นนัก!


เย็นยะเยือกดั่งตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง!


ฟันนางสั่นกระทบอย่างห้ามไม่อยู่ ผิวขาวกระจ่างหมดจดขนลุกชัน ใบหน้างดงามพริ้มเพราเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหาใดเปรียบ


นี่มันศัตรูที่น่าสะพรึงอย่างไรกันแน่


เขาเป็นเทพมารจริงๆ ใช่ไหม


ถ้าไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงแข็งแกร่งเช่นนี้


“ตาเจ้าแล้ว” หลินสวินมองมา ดวงตาสีดำเยียบเย็นไม่มีคลื่นความรู้สึกใด


หลายวันที่ผ่านมาเขาถูกไล่ล่าไม่หยุด สะสมเพลิงโทสะสุมอกอยู่นานแล้ว บัดนี้ในที่สุดก็ระเบิดออก


สังหารลี่จั้นหนานเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น


ต่อจากนี้เขาจะเปิดฉากจู่โจมกลับ ให้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ได้เข้าใจ ว่าเขาหลินสวินแม้ตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพิง แต่ไม่ใช่พวกที่จะรังแกอย่างไรก็ได้!


“หนี!”


หลิงหงจินหันหลังหนีโดยไม่ลังเล


คู่ต่อสู้เช่นนี้อย่าว่าแต่นาง ต่อให้เป็นบุคคลระดับผู้นำของศิษย์แกนหลักอย่างฉู่เป่ยไห่มาเอง ก็แทบไม่เห็นทางว่าจะสามารถกำราบได้


ที่น่ากลัวที่สุดคือ ขุมพลังที่ล่าสังหารหลินสวินครั้งนี้ แทบหาผู้ที่สามารถถ่วงดุลกับอีกฝ่ายไม่เจอสักคน!


นี่ทำให้หลิงหงจินรู้ว่าไม่เข้าที สิ่งแรกที่คิดได้ก็คือหนี จากนั้นค่อยนำข่าวเกี่ยวกับหลินสวินแจ้งแก่สำนัก ให้ทางสำนักเคลื่อนพลที่แข็งแกร่งกว่ามาจับตายเด็กนี่


แต่หลิงหงจินรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันพร่ามัว หนทางข้างหน้าถูกเงาร่างหลินสวินขวางกั้น


“เจ้าคิดสังหารสิ้นจริงรึ เจ้าต้องรู้ว่าศิษย์แกนหลักคือตัวตนต้องห้ามของทุกสำนักโบราณ ไม่อาจสูญเสีย หากตายสักคน จะต้องกำจัดเจ้าทิ้งโดยไม่คำนึงถึงสิ่งตอบแทนใดแน่!”


หลิงหงจินหน้าซีดเผือด กล่าวเหี้ยมเกรียม


“ต่อให้ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า ไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าก็จะสังหารข้าอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะข่มขู่ข้าได้หรือ”


ขณะกล่าวหลินสวินก็ลงมือ ไม่มีความลังเลใดๆ


ศิษย์แกนหลักอะไรกัน ในเมื่อคิดคร่าชีวิตตนก็ต้องรับผลที่สาสม!


ไม่เกินความคาดหมาย ผ่านไปครู่หนึ่งหลิงหงจินก็ถูกหลินสวินพิฆาตอย่างแข็งกร้าว อ่อนแรงลมจับอยู่กับพื้น


จากนั้นหลินสวินเหลือบมองเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่อึ้งงันไปนานแล้ว


“เผ่นโว้ย!”


“เจ้าหมอนี่คือมารร้าย น่ากลัวเกินไปแล้ว!”


คนพวกนั้นกระวีกระวาดหนีตาย แต่ละคนราวบ้าคลั่ง จิตต่อสู้ล้วนพังทลายนานแล้ว กระทั่งความกล้าเผชิญหน้ากับหลินสวินยังไม่มี


แม้แต่ลี่จั้นหนานยังสิ้นชีพ หลิงหงจินล้วนถูกกำราบ ยังจะให้พวกเขานำอะไรมาสู้กับเทพมารหลิน


หลินสวินตัดสินใจโต้กลับ แน่นอนว่าไม่มีทางให้คนหนีรอดกลับไปแจ้งข่าวเรื่องตน


เขาสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งในบัดดล ควบคุมดาบหักออกโรงไล่ล่า


พรูด!


พรูด!


พรูด!


ท่ามกลางรัตติกาล บุปผาโลหิตสายแล้วสายเล่าซ่านกระเซ็นราวกับประทัด แต่กลับดูงดงามทว่าชวนประหวั่นอย่างเห็นได้ชัด


หลินสวินหาใช่เพชฌฆาตฆ่าคนตาไม่กะพริบ ครั้งนี้ก็เป็นเพราะถูกตามล่าจนเดือดดาล เขาถามตัวเองแล้วว่าไม่มีความแค้นยิ่งใหญ่อะไรกับอีกฝ่าย แต่กลับถูกล่าสังหารดั่งวิญญาณตามติดเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นคนอื่นใครเล่าจะไม่โกรธ


สุดท้ายมีเพียงผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สองสามคนหนีไปได้


แต่หลินสวินไม่คิดไล่ตามเพราะเสี่ยวอิ๋นได้ออกโจมตีแล้ว ไม่เหนือความคาดหมาย สองสามคนนี้ตายอนาถยิ่งกว่า


‘พลังของระดับกระบวนแปรจุติขั้นปลายแข็งแกร่งดังคาด… แม้ปราณจะเลื่อนไปแค่หนึ่งขั้น แต่กลับทำให้พลังต่อสู้ของข้าพุ่งทะยานเท่าทวี จากนี้ต่อให้เจอขอบเขตมกุฎระดับเดียวกันก็ไม่ต้องหวั่นเกรงผู้ใดแล้ว!’


หลินสวินหวนนึกถึงฉากต่อสู้ต่างๆ เมื่อครู่ ในใจเกิดความมาดมั่นผงาดกร้าวขึ้น นี่คือท่วงท่าอันไร้คู่ต่อกรอย่างหนึ่ง เป็นปณิธานของผู้แข็งแกร่งที่เคี่ยวกรำสังหารมานาน


ไม่ผิด หลินสวินเลื่อนขั้นแล้ว


ช่วงสามวันที่นั่งสมาธิฝึกตนกลางหุบเขา ทำให้ปราณที่เขาสะกดข่มถึงขีดมาสุดนานแล้วก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นปลายโดยราบรื่น


ปราณคือรากฐานของพลังต่อสู้ แม้ดูเหมือนเพียงก้าวสู่อีกขั้น แต่กลับทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินเกิดการเปลี่ยนแปลงราวถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก


นี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสังหารลี่จั้นหนานอย่างกร้าวแกร่งเช่นเมื่อครู่!

 

 

 


ตอนที่ 1001 ปลดเปลื้องสิ้น

 

ก้าวสู่กระบวนแปรจุติขั้นปลาย ก็หมายความว่าห่างจากมกุฎราชันเพียงก้าวเดียว!


มุ่งหน้าต่อก็กระโดดพ้นระดับปราณห้าขั้นใหญ่ มรรคาเข้าสู่ระดับใหม่ทั้งหมด… ราชันระดับสังสารวัฏ!


ระดับนี้จะทะลวงผ่านความเร้นลับแห่งการเกิดดับ ก้าวสู่มรรคาแห่งอมตะ


ปัจจุบันสงครามมหายุคจวนมาเยือน กล่าวได้ว่าแค่หลินสวินเคี่ยวกรำปราณอีกขั้น ทำให้มรรควิถีแห่งตนบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ ก็สามารถไปช่วงชิงระดับมกุฎราชันที่เกือบจะเป็นตำนานได้ก่อนที่มหายุคจะมาเยือน


สำหรับราชันกึ่งระดับ…


บัดนี้หลินสวินเข้าใจชัดเจนแล้วว่า ที่เรียกว่า ‘ราชันกึ่งระดับ’ ก็คือผู้แข็งแกร่งที่ยามทะลวงด่านเร้นเกิดดับ เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าธรณีประตูไปแล้ว แต่สุดท้ายกลับไม่อาจหลอมมรรคกลายเป็นราชันที่แท้จริง


สรุปโดยง่ายคือ นี่ก็แค่ผู้แข็งแกร่งซึ่งทะลวงระดับราชันล้มเหลวส่วนหนึ่ง!


ศักยภาพของผู้แข็งแกร่งระดับนี้อาจทรงพลัง ทะลวงพ้นพันธนาการแห่งปราณห้าระดับใหญ่ แต่กลับค้างอยู่หน้าประตูทางเข้าระดับราชัน เดินหน้ายากถอยก็ลำบาก สถานการณ์บนมหามรรคซับซ้อนนัก


ในดินแดนรกร้างโบราณ จำนวนของราชันกึ่งระดับมีเยอะมาก แต่เมื่อนึกถึงว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งล้มเหลวยามทะลวงระดับราชัน ก็เพียงพอพิสูจน์ว่าการกลายเป็นราชันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้นแน่!


ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุตินับหมื่นพัน ก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถก่อเกิดเป็นราชัน


การกลายเป็นราชันจำต้องทะลวงด่านเร้นเกิดดับ ต้องหลอมรากฐานแห่งมหามรรค… นอกจากเงื่อนไขด้านรากฐานและศักยภาพแห่งตนที่ละเอียดลออยิ่งแล้ว สิ่งสำคัญยังอยู่ที่โชควาสนา!


ไร้โชควาสนา ไม่อาจกลายเป็นราชัน!


นี่คือสิ่งที่รับรู้ร่วมกันซึ่งไม่อาจหักล้างมาแต่โบราณ


แต่มรรคามกุฎราชันซึ่งบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์อย่างพวกหลินสวินแสวงหา กลับเลือนรางและล้ำลึกยิ่งกว่า


ถึงอย่างไรสมัยบรรพกาล มกุฎราชันล้วนเป็นเรื่องดั่งตำนาน


มองดูจากอดีตจวบจนปัจจุบัน มีบุคคลแห่งยุคซึ่งฝีมือเลิศล้ำอัศจรรย์ไม่รู้เท่าไหร่ ปีศาจผู้กล้าที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าเองก็นับไม่ถ้วน


แต่ที่สามารถก้าวสู่ระดับมกุฎราชันกลับมีบางตาไม่กี่คน!


กระทั่งล้วนไม่อาจยกตัวอย่างบุคคลผู้สามารถพิสูจน์มรรคานี้!


เหตุผลนั้นง่ายมาก หากปรารถนาก้าวสู่มกุฎราชันต้องมีมหาศุภโชค มหาวาสนา


หากคลาดเคลื่อนผิดจังหวะ แม้มีรากฐานและพรสวรรค์ชวนตะลึงพลิกฟ้าก็คงไร้วาสนาก้าวสู่ระดับนี้


แต่ปัจจุบันกลับต่างออกไป


มหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อนจวนมาเยือน แต่ละสำนักโบราณต่างคาดเดาวิเคราะห์ออกมา ว่าในมหายุคนี้ต้องปรากฏมกุฎราชันที่แท้จริง!


ฟุ่บ!


เงาร่างเงินยวงร่วงหนึ่งทะยานมา แรกเริ่มราวว่างเปล่า แต่ภายหลังควบรวมเป็น ‘คนตัวเล็ก’ สูงเพียงฝ่ามือคนหนึ่ง


เจ้าตัวเล็กคิ้วกระบี่เนตรดารา ร่างตรงดิ่งดั่งหอกทวน สวมชุดเงินดุจจำแลงจากแสงดาว พลิ้วคลื่นพลังจิตวิญญาณอัศจรรย์หลากสาย


เครื่องหน้าทั้งห้าของเขาดั่งผลงานชิ้นเอกแห่งสรวงสวรรค์ เผยความสง่างามและสมบูรณ์แบบถึงขีดสุด คิ้วกระบี่ดั่งหมึกเขียน นัยน์ตาดุจดวงดาว จมูกโด่งเป็นสัน ปากบางโค้งเฉียบคมดุจศาสตรา


เส้นผมดำขลับทั้งศีรษะมัดไว้หลวมๆ อยู่เบื้องหลัง พลิ้วตามลมรัตติกาลที่พัดผ่าน มีกลิ่นอายพ้นโลกีย์ สันโดษอิสระ


ดูเหมือนคนตัวเล็กจ้อย แต่งดงามกว่ายอดพธูที่โลกกล่าวขาน ต่อให้เป็นหญิงงามแห่งยุคเกรงว่าล้วนไม่อาจครอบครองเครื่องหน้าซึ่งประณีตเช่นนี้


ทว่าเขามิได้ดูบอบบาง รูปร่างสูงโปร่งดั่งหอกทวน นัยน์ตาเยียบเย็นแน่วแน่ รวมถึงด้านหลังพาดกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ให้ความรู้สึกหยิ่งผยองเย็นชาอย่างหนึ่ง


“นายท่าน ภารกิจลุล่วง!” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงใส ราบเรียบ เจือความตรงไปตรงมา


น่าอัศจรรย์!


แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเสี่ยวอิ๋น แต่หลินสวินยังถูกรูปร่างหลัง ‘แปลงร่าง’ ของเจ้านี่ทำเอาตะลึง


กระทั่งเขายังอิจฉาอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะกล่าว “เสี่ยวอิ๋น ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นเพศผู้หรือเพศเมียกันแน่”


คิ้วกระบี่ของเสี่ยวอิ๋นมุ่นขมวด กล่าวเย็นชา “นายท่าน ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้! หรือท่านยังคิดดูหมิ่นศักดิ์ศรีข้า”


ครั้งก่อนที่ส่วนลึกก้นทะเลสาบหาดดาราขจร เสี่ยวอิ๋นกลืนกิน ‘แกนดารา’ ที่แฝงพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ก้อนหนึ่ง ทำให้เกิดการแปรสภาพอย่างราบรื่น ก้าวสู่การวิวัฒน์ขั้นที่สาม


ไม่เพียงปลุกพรสวรรค์สายเลือดของเผ่าหนอนกินเทพ ยังกลายร่างเป็นคนได้ ไม่ถูกจำกัดอยู่ในร่างเดิมที่เป็นแมลงอีก


ตามคำอธิบายของเสี่ยวอิ๋น หลังกลายร่างเป็นคนจึงถือเป็น ‘หนอนกินเทพ’ อย่างแท้จริง มีมรรควิถีและพลังของตนเอง


“ข้าแค่รู้สึกว่า… รูปร่างเจ้างามเกินไป เจ้า… เป็นเด็กผู้ชายจริงหรือ” หลินสวินพินิจพิเคราะห์เสี่ยวอิ๋นอย่างสงสัยใคร่รู้


“นายท่าน ดวงตาท่านมองไปไหน” เสี่ยวอิ๋นสีหน้าทะมึน เดือดดาลหาใดเปรียบ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าสายตาหลินสวินกำลังประเมินส่วนสงวนของเขา คล้ายต้องการยืนยันบางอย่าง…


“อ้อ ไม่มีอะไร กระบี่นี้ของเจ้าไม่เลวทีเดียว” หลินสวินรีบถอนสายตากลับ หัวเราะแก้เก้อ เขาดูออกว่าเจ้าหนูนี่จวนจะระเบิดแล้ว


มุมปากเสี่ยวอิ๋นเผยรัศมีหยิ่งทะนงวูบหนึ่งกล่าวว่า “กระบี่นี้วิวัฒน์จากร่างเดิมของข้า ประทับแกนพลังเผ่าข้านามกินเทพ!”


“ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่” หลินสวินได้ยินดังนั้นก็เก็บอาการหยอกล้อ สังเกตได้อย่างฉับไวว่ากลิ่นอายกระบี่ที่เสี่ยวอิ๋นพาดหลังนั่นไม่ธรรมดายิ่ง


“ไม่ได้ขอรับ” เสี่ยวอิ๋นปฏิเสธหนักแน่น “กระบี่ใช้ฆ่าคนหาใช่ของเล่น นายท่าน หลักการนี้หรือท่านไม่เข้าใจ”


หลินสวินพลันรู้สึกเสียหน้านัก แต่ก็รู้ว่าเสี่ยวอิ๋นอุปนิสัยเช่นนี้ รักศักดิ์ศรียิ่งชีพ ไม่อาจสบประมาท


เขาเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าฝึกวิถีกระบี่อะไร”


“ปลิดชีพ” ริมฝีปากเสี่ยวอิ๋นขยับกล่าวสองคำแผ่วเบา เมื่อจับคู่กับใบหน้าเล็กงามสง่าหาใครเทียมนั่น ท่าทางจึงหยิ่งทะนงหาใดเปรียบ


‘เดี๋ยวนี้ชักอวดเบ่งเสียจริง’ หลินสวินพึมพำกับตัวเอง


“นายท่าน ข้าต้องไปฝึกแล้ว”


เสี่ยวอิ๋นพูดพลางทะลวงเข้าห้วงนิมิตของหลินสวินเอง “จริงสิ ต่อไปอย่าเรียกใช้ข้าด้วยเรื่องสัพเพเหระ คนพวกนี้ไม่คู่ควรดับชีพใต้กระบี่ข้า”


“…” หลินสวินมุมปากกระตุกเล็กน้อย คนอื่นล้วนบอกว่าเขาเทพมารหลินจองหอง แต่เห็นชัดว่าเสี่ยวอิ๋นเหิมเกริมเสียยิ่งกว่าเขา!


แต่จะว่าไปหลังเสี่ยวอิ๋นเลื่อนขั้น ด้วยพลังต่อสู้ของเจ้าตัว การสังหารผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติชั้นยอดก็เป็นเรื่องง่ายดาย


ซ้ำรูปแบบการต่อสู้ของเขายังเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เพ่งเล็งจิตวิญญาณโดยเฉพาะ ภายใต้การจู่โจมกะทันหันสามารถปลิดชีพราชันกึ่งระดับโดยสมบูรณ์!


นี่ก็คือความน่ากลัวของเผ่าหนอนกินเทพ


แน่นอนว่าหากเจอศัตรูที่ฝึกวิชาลับจิตวิญญาณ หรือครองสมบัติลับจิตวิญญาณก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


เพียงแต่อัตราการเกิดสถานการณ์เช่นนี้ช่างน้อยนัก


อย่างน้อยหลินสวินก็รู้ชัดว่าสมบัติลับจิตวิญญาณหาใช่สมบัติธรรมดา ยากพบเห็นและหายากเหลือประมาณ พวกที่สามารถครองสมบัติลับจิตวิญญาณ อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง ซุ่นไป๋เสวียน จี้ซิงเหยาทั้งสิ้น



รัตติกาลดุจหมึกเขียน


หลิงหงจินตื่นจากการหมดสติ สิ่งแรกที่เห็นคือหลินสวินซึ่งอยู่ตรงข้ามนาง


ทันใดนั้นร่างอรชรเพรียวยาวพลันแข็งทื่อ ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหาใดเปรียบ


ในสายตานาง หลินสวินประหนึ่งกลายเป็นพิบัติใหญ่หลวงทีเดียว


ทว่านอกจากหวาดกลัว นางกลับอดสงสัยไม่ได้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่หรือ


แต่ไม่ช้านางก็เข้าใจเหตุผล


“ในเมื่อเป็นการตามล่าก็ต้องมีคนดูแลภารกิจนี้ สาเหตุที่ข้าไม่สังหารเจ้าก็แค่อยากรู้ข่าวบางอย่างเท่านั้น หากเจ้าให้ความร่วมมือ บางทีข้าอาจละเว้นชีวิตเจ้าสักครั้ง” หลินสวินเอ่ยปาก สายตาเยียบเย็น


แม้หน้าตาหลิงหงจินงดงามยิ่ง แต่ยังไม่อาจทำให้เขาใจอ่อนและหักห้ามใจไม่อยู่


ในสายตาเขาศัตรูก็คือศัตรู ไม่แบ่งแยกชายหญิง


“ที่แท้เจ้าก็หวังสิ่งเหล่านี้” หลิงหงจินในใจพลันกระจ่าง อดกล่าวเย็นชาไม่ได้ “แต่คิดหรือว่าข้าจะบอกเจ้า”


“มีปณิธาณนับว่าน่าชื่นชม เพียงแต่จิตวิญญาณเจ้าถูกข้าวางผนึกต้องห้ามแล้ว แม้คิดฆ่าตัวตายก็ล้วนเป็นไปไม่ได้”


วาจาหลินสวินราบเรียบ


“ตายไม่ได้ก็ใช่ว่าข้าจะยอมจำนน” หลิงหงจินนิ่งสงบนัก นัยน์ตางามเจือความเด็ดเดี่ยว


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าใช้ทัณฑ์บังคับ” หลินสวินกล่าว


“น่าขัน” หลิงหงจินปรามาส “เจ้าลองดูก็ได้ว่าข้าจะยอมจำนนหรือไม่”


“ทัณฑ์ทรมานทั่วไปอาจทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่หากข้าจับเจ้าแก้ผ้า นำร่างเปลือยเปล่าเจ้าแขวนไว้หน้าประตูเมืองสักแห่ง เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร” หลินสวินยิ้มกล่าว วาจาสบายอารมณ์ยิ่ง


แต่กลับทำหลิงหงจินสั่นไปทั้งตัว ดวงหน้างามพลันเปลี่ยนแปร “เจ้ากล้า!”


ถึงแม้เตรียมใจตายนานแล้ว แต่เมื่อนึกว่าตนต้องนุ่งลมห่มฟ้าถูกแขวนให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนกวาดมองเรือนร่างโดยไม่หวั่นเกรง นางก็รู้สึกอับอายและหวาดกลัวเหลือจะเอ่ย


“ข้าพูดจริงทำจริงเสมอ” หลินสวินกล่าวเฉยชา “ถ้าไม่เชื่อ ตอนนี้ก็ลองดูได้”


“ต่ำช้า! คิดไม่ถึงว่าเจ้าเทพมารหลินจะเป็นพวกไร้ยางอายต่ำช้าเช่นนี้!” นัยน์ตางามของหลิงหงจินดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ ขบฟันแทบแหลก


“ข้าต่ำช้าหรือ”


นัยน์ตาดำของหลินสวินวาบแววยะเยือก “พวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ล่าสังหารข้าคนเดียวดั่งวิญญาณตามติดไม่เรียกต่ำช้า? ช่างน่าขันเสียจริง หรือมีเพียงพวกเจ้าสังหารข้าได้ แต่ไม่ยินยอมให้ข้าโต้กลับ”


หลิงหงจินกล่าวเดือดดาล “ในเมื่อเป็นการโต้กลับก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสบประมาทเช่นนี้ ถ้ากล้าเจ้าก็สังหารข้าเสียเถอะ!”


หลินสวินคร้านจะพูดมากความ เริ่มลงมือ


พรึ่บ!


อาภรณ์ช่วงไหล่หลิงหลงจินถูกฉีกกระชาก เผยหัวไหล่ละมุนยิ่งกว่าหิมะและผิวเนินอกเนียนขาวผ่องแถบหนึ่ง ดูแวววาวราวหยกมันแพะภายใต้แสงรัตติกาล


“หลินสวิน เจ้ามันต่ำช้าไร้ยางอาย ไพร่สถุลยิ่งนัก!” หลิงหงจินกรีดร้อง นางคิดไม่ถึงสักนิดว่าหลินสวินจะกล้าทำเช่นนี้จริง ที่สำคัญที่สุดคือทั่วร่างนางไร้เรี่ยวแรง อย่าว่าแต่ดิ้นรน แม้แต่นิ้วมือยังไม่อาจขยับ


ฟุ่บ!


อาภรณ์อีกแถบถูกฉีกขาด เผยผิวต้นขาเกลี้ยงเกลาขาวกระจ่างช่วงหนึ่ง


หลิงหงจินตกประหม่าอย่างสิ้นเชิง ใบหน้างามโกรธจนคล้ำเขียว ดวงตาปูดโปนแทบถลน “หลินสวิน เจ้าก็นับเป็นบุคคลที่ก้าวสู่มกุฎผู้หนึ่ง แม้ความละอายสักนิดก็ไม่มีแล้วหรือ เจ้าไม่กลัวถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของข้าล้างแค้นรึ ไม่กลัวถูกผู้ฝึกปราณทั้งใต้หล้าดูถูกหรืออย่างไร”


ฟึ่บ!


หลินสวินไม่สะทกสะท้าน การเคลื่อนไหวไม่ช้าไม่เร็ว อาภรณ์บนตัวหลิงหงจินไม่ช้าก็ถูกฉีกทึ้งสิ้น ร่างสูงเพรียวอ่อนช้อยนั่นเปลือยเปล่าทีละน้อย…


นี่คือภาพซึ่งสามารถทำให้ชายทั่วไปคนใดกระอักโลหิต หลิงหงจินเป็นถึงหนึ่งในสี่ยอดผู้กล้าหญิงแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์นับไม่ถ้วนใฝ่ฝันและชื่นชม แน่นอนว่าเป็นยอดสาวงามซึ่งไม่อาจโต้เถียงคนหนึ่ง


ใบหน้านางพริ้งเพรา ผิวพรรณยิ่งกว่าหิมะ เอวบางร่างน้อย สูงโปร่งอรชรประหนึ่งหญิงสูงศักดิ์ ท่าทางสง่างามโดดเด่น


เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่น อย่าว่าแต่เปลื้องอาภรณ์นาง เกรงว่าต่างไม่กล้ามีจิตลบหลู่อันใด


แต่เห็นชัดว่าทุกอย่างนี้ไม่มีผลต่อหลินสวินสิ้นเชิง

 

 

 


ตอนที่ 1002 ขอความช่วยเหลือและแก้แค้น

 

คิ้วหลิงหงจินดุจจันทร์เสี้ยว เครื่องหน้าทั้งห้างามประณีต ผมดำขลับทั้งศีรษะยุ่งเหยิงแผ่สยาย นัยน์ตาเจือความโกรธแค้นเหลือคณนา ฟันกระจ่างขบจนเกิดเสียงกรอด


ไม่จำเป็นต้องสงสัย หลิงหงจินคือหญิงงามที่ยากพบเห็น แม้ยามเดือดดาลหาใดเปรียบก็สร้างความเสียหายแก่ความงามของนางไม่ได้ ไม่ว่าใครต่างไม่อาจปฏิเสธจุดนี้


เพียงแต่นางในตอนนี้ไม่เหมือนผู้กล้าหญิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่สูงส่งอีก กลับประหนึ่งลูกแกะรอความตายตัวหนึ่ง


“เจ้าต้องถูกพันมีดหมื่นแล่แน่! แน่นอน!” ดวงหน้าพริ้งเพราของนางโกรธจนคล้ำเขียวหาใดเปรียบ ในดวงตาเปี่ยมความแค้นเข้ากระดูก


“หากมีวันนั้นจริง เจ้าเองคงอับอายต่อหน้าผู้คนไม่เหลือก่อน” สุดท้ายหลินสวินยังไม่ได้ลงมือต่อ


เขาลุกขึ้นจับร่างอีกฝ่ายพาดบ่า


เมื่อสัมผัสได้ว่าผิวชุ่มชื้นของอีกฝ่ายพลันแข็งเกร็ง หลินสวินจึงรับรู้ได้ทันใดว่า ในใจหญิงผู้นี้ไม่พังทลายสิ้น ยังกำลังดิ้นรนรุนแรง


“ข้าว่าเจ้าอย่าดิ้นรนดีกว่า ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ หากถูกคนอื่นเห็นเจ้าสภาพนี้เชื่อว่ารสชาตินั้นคงเหลือทน” หลินสวินยิ้มพลางโฉบไปที่ห่างไกล


“เจ้ามันสมควรตาย!” หลิงหงจินคับแค้นอับอายแทบวายชีวา แค้นจนกัดไหล่หลินสวิน


แต่ต่อมานางก็ต้องร้องโอดโอย หัวไหล่หลินสวินมีปราณป้องกัน เกือบทำฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบของนางแตก


เพียะ!


หลินสวินเงื้อมือฟาดก้นอีกฝ่ายกล่าว “เชื่อฟังหน่อย!”


สัมผัสถึงความเจ็บปวดร้อนผ่าวบนร่าง หลิงหงจินแทบเป็นบ้า ทั้งอดสูทั้งเดือดดาล หากเป็นไปได้นางแทบอยากกลืนหลินสวินกินทั้งเป็น


น่าชังเกินไปแล้ว!


นาง ศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้งามสง่าเจิดจรัสหาใดเปรียบ รูปโฉมโดดเด่นดุจจันทร์กระจ่างบนฟากฟ้า ที่ผ่านมาล้วนถูกห้อมล้อมและชื่นชมมาตลอด ไหนเลยจะเคยพบเจอการโจมตีและหยามหน้าเช่นนี้


“เจ้าคนระยำ ภายหน้าต้องไม่ตายดี!”


หลินสวินทำหูทวนลม สีหน้าไม่สะทกสะท้าน ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวราบเรียบ “ตะโกนด่าก็เปลี่ยนสถานการณ์เจ้าไม่ได้ ทางที่ดีเจ้าน่ะร่วมมือกันหน่อย หากทำข้าโมโหผลที่ตามมาคงร้ายแรงยิ่งกว่า”


“…” หลิงหงจินเบิกตากว้าง ในใจราวม้าหมื่นตัวควบทะยานตะบึงผ่าน เจ้านี่ไม่เพียงไร้ยางอาย ยังเป็นอันธพาลชั่วช้าคนหนึ่ง! สมควรถูกเฉือนพันมีดหมื่นแล่!


“คู่หมั้นของข้าคือฉู่เป่ยไห่ หากเขารู้เรื่องนี้เจ้าก็รอถูกฆ่าเถอะ!” นางส่งเสียงขู่ ถูกบีบจวนตัวเข้าจริงๆ แล้ว


“อ้อ”


“อาจารย์ของข้าคือราชันของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ก้าวสู่อมตะหกเคราะห์ผู้หนึ่ง!”


“อ้อ”


“ข้า…”


“อ้อ”


ไม่ว่าหลิงหงจินจะพูดอะไร หลินสวินก็ทำท่าเฉยเมยตลอด คล้ายไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย นี่ทำให้หลิงหงจินจะพังทลายเข้าจริงๆ แล้ว


“อันที่จริงหากเจ้าเชื่อมั่นในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้านัก บอกข้อมูลข้าหน่อยจะเป็นไร ว่ากันตามจริงเจ้าก็แค่กลัว” หลินสวินกล่าวราบเรียบ


“ความตายข้าล้วนไม่กลัว นับประสาอะไรกับเจ้า” น้ำเสียงหลิงหงจินราวลอดจากไรฟัน


นางถูกหลินสวินแบกขึ้นบ่ามาตลอด ไม่อาจขยับเขยื้อน เสมือนเหยื่อที่ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกเชือด


แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้นางแข็งทื่อไปทั้งตัว คับแค้นอับอายถึงขีดสุด กระทั่งกังวลว่าหากระหว่างทางพบคนสัญจรบางส่วนเข้าจะทำอย่างไร


“ด้านหน้าประมาณหลายร้อยลี้มีเมืองแห่งหนึ่ง ตอนนี้เหลือเวลาสองชั่วยามก่อนฟ้าสาง ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าก็คิดให้ถี่ถ้วนเสียเถอะ”


หลินสวินกล่าวทิ้งท้ายประโยคนี้ก็ไม่พูดอีกสักคำ


แต่ท่าทีนิ่งสงบของเขากลับทำให้หลิงหงจินรับรู้ว่า เจ้าหมอนี่จริงจัง ต้องพูดจริงทำจริงแน่!


ชั่วขณะนั้นในใจนางโกลาหลไม่หยุด ดิ้นรนขัดแย้งถึงขีดสุด สัมผัสถึงความระทมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


รสชาติความอัปยศอับอายเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเจอนับตั้งแต่ฝึกปราณมา นางคิดปาดคอตัวเองตายยังไม่ได้ เลือกได้เพียงหนทางเดียว!



ใกล้ช่วงฟ้าสางขึ้นเรื่อยๆ ภูเขาสูงและผืนป่าที่ห่างไกลก็ทยอยบางตา


แม้แต่ตัวหลิงหงจินก็มองออกว่า ใช้เวลาไม่นานบนเส้นขอบฟ้าห่างไกลนั่นต้องปรากฏเมืองแห่งหนึ่งแน่


พอนึกถึงว่าตนมีโอกาสสูงที่จะถูกแขวนร่างเปลือยเปล่าบนประตูเมืองให้คนเรือนหมื่นเชยชม ความแน่วแน่เส้นสุดท้ายในใจหลิงหงจินก็พังทลายอย่างสิ้นเชิง


“พวกเขาอยู่เมืองกาฬพฤกษ์ ผู้ดูแลภารกิจครั้งนี้คือ…”


ในเสียงว่างเปล่าไร้ความรู้สึก สุดท้ายหลิงหงจินก็ยอมจำนน บอกข่าวส่วนหนึ่งที่ตนรู้ออกมา


กล่าวถึงตอนท้ายทั้งตัวนางราวสูญสิ้นจิตวิญญาณ ดวงตาไร้แวว สีหน้ามืดมน


หลินสวินหยิบอาภรณ์ตัวเองชุดหนึ่งคลุมร่างหลิงหงจิน เห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายเขาอดถอนใจไม่ได้ “ถ้ารู้แบบนี้ทำไมต้องทำเช่นนั้นแต่แรก”


หลิงหงจินเงียบงัน


“วางใจเถอะ เรื่องในวันนี้มีเพียงเจ้ากับข้าที่รู้ ในเมื่อข้ารับปากจะปล่อยเจ้า แน่นอนว่าต้องพูดจริงทำจริง”


หลินสวินกล่าวประโยคนี้ไว้ ก่อนที่เงาร่างจะวาบไหว หายไปท่ามกลางรัตติกาลเวิ้งว้างห่างไกล ทิ้งหลิงหงจินไว้ที่เดิมเพียงคนเดียว


ลมราตรีพัดแผ่ว หลิงหงจินซึ่งหยุดยืนที่เดิมครู่ใหญ่คล้ายฟื้นคืนสติส่วนหนึ่ง แววตาซึ่งเดิมหม่นมัวไร้แววคืนสู่ความกระจ่างใหม่อีกครั้ง


นางสัมผัสได้ว่าพลังของตนกำลังฟื้นคืนทีละน้อย


“สักวันหนึ่งข้าจะฆ่ามารร้ายอย่างเจ้าด้วยมือตัวเอง!”


นางกัดฟันกรอด จากนั้นจึงกระชากชุดที่คลุมกายลงราวกับรังเกียจ แล้วเหยียบย่ำผลาญเผาอย่างรุนแรง


เพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสายห้อมล้อมทั่วกายนาง กลายเป็นอาภรณ์ชั้นหนึ่งบดบังร่างเปลือยเปล่า ขณะนี้นางคืนสู่ท่วงท่าหยิ่งทะนงมาดมั่นดังเก่าก่อนอีกครั้ง


‘น่าเสียดาย ต่อให้เจ้าสับปลับดั่งภูตผีก็คิดไม่ถึง ว่าข้อมูลที่ข้าบอกเจ้าล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น!’ นางยิ้มเยาะในใจ เปี่ยมความสะใจราวได้แก้แค้น


จากนั้นนางไม่รีรอ มุ่งทะยานไปที่ห่างไกล


ฟุ่บ!


หลิงหงจินจากไปไม่นาน เงาร่างหลินสวินก็ปรากฏตรงตำแหน่งที่นางเคยอยู่กะทันหัน


‘ฟื้นคืนมาดเร็วเช่นนี้ เห็นชัดว่าเมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สิ้นหวังจริง ดูจากจุดนี้สีหน้าท่าทางที่แปรเปลี่ยนของนางเมื่อครู่ เกรงว่าต่อให้ไม่ได้เสแสร้ง ก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่เสแสร้งแกล้งทำออกมา…’


หลินสวินใคร่ครวญ จากนั้นเงาร่างพลันวูบไหวตามไปอย่างเงียบเชียบ


คนผู้หนึ่งหลังประสบการโจมตีจวนสิ้นลม สิ่งแรกที่ต้องทำคืออะไร


ขอความช่วยเหลือ?


แก้แค้น?


บางทีอาจทำสองอย่างพร้อมกัน


จากมุมมองหลินสวิน หลิงหงจินคงแค้นตนเข้ากระดูก ต้องคิดแก้แค้นตนทันทีจนทนไม่ไหวแน่


และหากอยากแก้แค้นก็ต้องขอความช่วยเหลือ


หลินสวินอยากดูนักว่าหลิงหงจินจะทำอย่างไรกันแน่


สำหรับข้อมูลส่วนนั้นที่นางบอกก่อนหน้า บางทีอาจเป็นจริงหรือเป็นเท็จ แต่ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น


เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินก็ไม่ได้คิดเค้นข้อมูลจากปากอีกฝ่ายแต่แรก!



หลิงหงจินรอบคอบและระวังนัก เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าตลอดเวลา กระทั่งบางครั้งยังอ้อมวนสองสามรอบค่อยมุ่งหน้าต่อ


นี่ทำให้หลินสวินที่ตามประชิดข้างหลังนางแน่ใจยิ่งกว่าเดิม ว่าเจตนาของผู้หญิงคนนี้น่าสงสัย!


จวบจนฟ้าสาง รัตติกาลลาลับ เค้าโครงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็ปรากฏบนเส้นขอบฟ้า


หลังหลิงหงจินมาถึงที่แห่งนี้ก็ราวเป่าปากโล่งอก จากนั้นจึงหันศีรษะมองหนทางที่จากมา บนหน้างามพริ้งเพรานั่นเผยความแค้นเข้ากระดูก


“เจ้ารอก่อนเถอะ!” นางกำหมัดขาวดุจหิมะแน่นอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงหันกลับทะยานเข้าเมืองใหญ่เก่าแก่นั่น


ตอนแรกหลินสวินที่ตามประกบตกใจสะดุ้งโหยง นึกว่าตนถูกอีกฝ่ายค้นพบแล้ว


แต่เห็นชัดว่าเขาคิดมากไปเอง การกระทำของหลิงหงจินเมื่อครู่เจือความรู้สึกระบายอารมณ์ชัดเจน


‘เมืองแสงอุดร… หรือเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ตามล่าข้าในครั้งนี้ล้วนส่งมาจากที่นี่’


หลินสวินใคร่ครวญพลางเข้าไปในเมือง



ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองแสงอุดร ในสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่โอ่อ่าหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง ขณะนี้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ซึ่งสวมชุดนักพรตน้ำค้างดารากำลังชุมนุมกัน


หนานกงหั่วและกู้อวิ๋นถิงเองก็อยู่ในนั้นด้วย


ในโถงผู้คนมากมาย แต่กลับมีสามคนที่เห็นได้ว่าถูกจับตามองที่สุด ข้างกายแต่ละคนต่างห้อมล้อมด้วยกลุ่มชายหญิง ประหนึ่งหมู่ดาวล้อมจันทรา


นี่คือชายสองหญิงหนึ่ง ชุดนักพรตน้ำค้างดาราที่สวมใส่ประทับสัญลักษณ์ดาวสีทอง มีเพียงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เท่านั้นจึงจะครอบครองได้


ไม่จำเป็นต้องสงสัย พวกเขาคือขอบเขตมกุฎที่มาจับตายหลินสวินครั้งนี้เหมือนลี่จั้นหนานและหลิงหงจิน!


“นี่มันเรื่องอะไรกัน เป้าหมายกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา! หรือพวกลี่จั้นหนานกับหลิงหงจินไปช้าก้าวหนึ่ง ถูกเป้าหมายชิงหนีเสียก่อน”


ทันใดนั้นหนึ่งในศิษย์แกนหลักมุ่นคิ้วกล่าว


นี่คือชายผมยาวสีทองทั้งศีรษะ ร่างผึ่งผายกำยำ นามว่าเสวี่ยเชียนเหิน ในเมื่อจัดอยู่ในศิษย์แกนหลักก็ย่อมเป็นยอดบุคคลชั้นแนวหน้า


ในมือเขากำลังถือ ‘คันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์’ ซึ่งเดิมหนานกงหั่วครอบครอง


“อะไรนะ” คนอื่นต่างตะลึงงัน ทยอยเหลือบมองมา


“น่าสนุก เจ้าลี่จั้นหนานยังพลาดท่า ช่างทำให้ข้าผิดคาดจริงๆ” ชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งเอ่ยปากหัวเราะ


เขาผมยาวกระเซิง แต่งกายไม่เรียบร้อย เห็นชัดว่าเกียจคร้านและทำตามอารมณ์นัก เขามีนามว่าจางเจิง เป็นศิษย์แกนหลักผู้หนึ่งเช่นกัน


“น่าจะไม่ถึงขั้นพลาดท่า ลี่จั้นหนานและหลิงหงจินออกปฏิบัติการพร้อมกัน รับมือขอบเขตมกุฎคนหนึ่งก็เพียงพอเหลือเฟือ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้คงเหมือนที่ศิษย์พี่เสวี่ยเชียนเหินกล่าว เป้าหมายสังเกตเห็นว่าไม่เข้าทีจึงชิงหนีก่อนก้าวหนึ่ง”


เด็กสาวสวมชุดฉูดฉาด ใบหน้าประณีตอ่อนหวานเอ่ยปาก นางร่างเล็กอรชร ทั่วร่างแผ่ความอ่อนช้อยน่าอัศจรรย์ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเจือกลิ่นอายเย้ายวนตรึงใจคนตามธรรมชาติ


นางมีนามว่าอวี้เป๋าเป่า


“เหอะๆ ถูกเป้าหมายชิงหนีก็นับว่าพลาด เปลี่ยนเป็นข้าออกเคลื่อนไหว เทพมารหลินนี่คงถูกสังหารนานแล้ว!” จางเจิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน วาจาสบายอารมณ์ แต่มีความยโสไม่อาจอำพราง


“เจ้าคุยโวกระมัง” อวี้เป๋าเป่ากล่าวพลางหัวเราะคิกคัก


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นต่างเงียบงัน


เพราะนี่คือการสนทนาของศิษย์แกนหลักสามคน พวกเขาไม่มีสิทธิ์สอดปากแต่แรก


“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ที่ข้าไม่เข้าใจคือทำไมเป้าหมายถึงเข้ามาใกล้พวกเรา ไม่ตั้งใจหรือมีเจตนากันแน่” เสวี่ยเชียนเหินมุ่นคิ้ว


“ง่ายมาก ต้องเป็นเขาโชคไม่ดีรีบหนีไม่ดูทาง หากเขารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ให้เขากล้าอีกร้อยเท่าก็ไม่บังอาจวิ่งเข้าหาความตาย” จางเจิงกล่าวเยาะหยัน


คนไม่น้อยต่างอดยิ้มไม่ได้ ในความรู้สึกของพวกเขาต่างก็คิดว่าคำพูดของจางเจิงไม่ผิด


ขอแค่สมองไม่เลอะเลือน เหยื่อที่ไหนจะโง่วิ่งมาถิ่นนักล่า นี่ไม่รนหาที่ตายหรือ


“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา สมน้ำหน้าที่เด็กนี่มันซวย!”


จางเจิงยืดเหยียดกล้ามเนื้อ สีหน้าที่เดิมเกียจคร้านเต็มประดาพลันแผ่อานุภาพดุดันชวนประหวั่น “ครั้งก่อนถูกลี่จั้นหนานและหลิงหงจินชิงตัดหน้า แต่ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาโชคไม่ดีนัก ถูกเป้าหมายหนีรอดไปได้ คราวนี้ในเมื่อเป้าหมายเข้ามาในแหเอง พวกเจ้าใครก็อย่าแย่งข้า ถึงตาข้าออกโรงแล้ว!”


วาจาก้องกังวานสะท้านปฐพี ไอสังหารชวนตะลึงแผ่ขยายทั่วโถง ทำให้คนไม่น้อยสั่นไปทั้งตัว

 

 

 


ตอนที่ 1003 คบชู้สู่ชาย?

 

“เข้ามาติดแหเองรึ ไม่แน่เสมอไป เด็กนี่สามารถเอาตัวรอดท่ามกลางการตามล่าของพวกเราจนถึงตอนนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้”


ราวไม่สังเกตเห็นไอสังหารของจางเจิง เสวี่ยเชียนเหินกล่าวพึมพำกับตัวเอง “สำหรับบุคคลที่ก้าวสู่มกุฎ ไม่มีสักคนที่โง่เขลา เด็กนี่มาที่นี่เวลานี้ ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดพวกเราล้วนไม่อาจประมาท”


ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกไป คนส่วนมากล้วนลอบพยักหน้า


จากการไล่ล่าที่เมืองเพลิงมรกตจนถึงปัจจุบัน ผ่านเวลามาแล้วเกือบเจ็ดวัน


ในเจ็ดวันนี้ขุมอำนาจใหญ่เล็กทั่วแคว้นกู่ชางแทบจะถูกปลุกระดมสิ้น มุ่งหน้าดักซุ่มและจับตายเทพมารหลินนั่น


แต่จนป่านนี้อีกฝ่ายยังกระโดดโลดเต้นสุขสงบปลอดภัย


ตรงกันข้าม กลับเป็นพวกเขาแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่สูญเสียผู้สืบทอดไม่น้อย แม้แต่ราชันกึ่งระดับชั้นยอดอย่างเหวินสิงโจวยังพลาดพลั้งถูกอีกฝ่ายทำบาดเจ็บ


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่สมองปกติอยู่บ้างก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเทพมารหลิน!


“ทำไม หรือศิษย์พี่เสวี่ยคิดว่าเด็กนี่มาฆ่าพวกเรา” จางเจิงหัวเราะเยาะ “นี่น่ะเป็นเขตอิทธิพลของพวกเรา ต่อให้เขาเทพมารหลินแข็งแกร่งกว่านี้ ยังจะกล้าท้าทายพวกเราด้วยตัวคนเดียวหรือ”


เขาหยุดไปชั่วขณะแล้วเลียมุมปากกล่าว “หากพวกเจ้ากลัว เช่นนั้นมอบเด็กนี่ให้ข้าจัดการก็พอ เป็นขอบเขตมกุฎเหมือนกัน ข้ารู้ดีว่าควรจับตายเหยื่อนี่อย่างไร!”


“ข้าแค่เตือนทุกคนว่าอย่าประมาท” เสวี่ยเชียนเหินกล่าวเย็นชา “หลักการสุขุมรอบคอบกุมชัยหมื่นปี ใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจกระมัง”


“ผู้แข็งแกร่งต้องมีจิตผงาดง้ำไร้คู่ต่อกร ไม่ว่าเขาเป็นภูตผีปีศาจอะไร ข้าใช้กระบี่เดียวพิฆาตก็พอแล้ว!” จางเจิงกล่าวอย่างจองหอง


“พูดส่งเดช หากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมา เจ้ายังสามารถใช้กระบี่เดียวพิฆาตได้หรือ” เสวี่ยเชียนเหินกล่าวราบเรียบ


“ศิษย์พี่เสวี่ย ท่านนี่เถียงข้างๆ คูๆ หากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันออกจู่โจมจริง แน่นอนว่าข้าจะเลี่ยงปลายดาบเขา แฝงเขี้ยวซ่อนเล็บ นี่เรียกว่าประเมินสถานการณ์แคล้วคลาดหายนะ!” จางเจิงแววตานิ่งสงบ ตอบโต้ไปมา


เห็นเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงกำลังจะขัดแย้ง อวี้เป๋าเป่าที่อยู่ด้านข้างรีบไกล่เกลี่ย


“เอาล่ะ ทุกคนต่างมาเพื่อจับตายเทพมารหลินนั่น ทำไมต้องทำลายสัมพันธ์ด้วยเรื่องนี้”


“เจ้าเด็กนี่เข้าเมืองมาแล้ว!”


เวลานี้นัยน์ตาเสวี่ยเชียนเหินฉายแววยะเยือก สังเกตเห็นบนคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์ว่ากลิ่นอายหลินสวินได้เข้าสู่เมืองแสงอุดรแล้ว


“ศิษย์น้องทุกท่าน โอกาสล่าเป้าหมายมาถึงหน้าประตูแล้ว พวกเรา…” เสวี่ยเชียนเหินสีหน้าจริงจัง กำลังออกคำสั่ง


กลับเห็นจางเจิงไม่รอเขาพูดจบก็แสยะยิ้ม เงาร่างพลันกลายเป็นรุ้งเทพสีเขียวโผออกจากโถง “ข้าจะนำไปก่อน พวกเจ้าค่อยๆ ปรึกษาไปเถอะ!”


ทันใดนั้นเสวี่ยเชียนเหินสีหน้าขรึมลงทันที กลิ่นอายชวนประหวั่นไร้รูปแผ่กระจายจากร่างเขา ทำให้บรรยากาศในโถงพลันกดดันถึงขีดสุด


เห็นชัดว่าเขาถูกความเอาแต่ใจของจางเจิงยั่วโมโห


“ศิษย์พี่เสวี่ย ให้เขาออกปฏิบัติการก็ไม่เห็นเป็นไร ท่านเองก็รู้ ก่อนหน้าที่ส่งลี่จั้นหนานและหลิงหงจินทำภารกิจก็ทำให้เขาไม่พอใจมากแล้ว” อวี้เป๋าเป่ากล่าวเสียงอบอุ่น


“ในเมื่อเขารีบไปตายก็ปล่อยเขาไป!” เสวี่ยเชียนเหินเสียงเย็นชา



ห่างออกไปไกล สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่มหึมาหลังหนึ่งปรากฏในสายตา


เมื่อมาถึงที่นี่ใบหน้างามพริ้งเพราของหลิงหงจินกลับปรวนแปรอยู่บ้าง เห็นได้ว่าละล้าละลังและลังเลนัก


ขุมกำลังแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่รับผิดชอบจับตายเทพมารหลินครั้งนี้ บัดนี้ตั้งฐานมั่นในอาคารเก่าแก่ซึ่งห่างไกลนั่น


แต่หลิงหงจินกลับไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร


ปฏิบัติการก่อนหน้ากล่าวได้ว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ น่าอัปยศเหลือเกิน ลี่จั้นหนานถูกสังหาร เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็พินาศทั้งกองทัพ


แม้แต่นางก็ถูกศัตรู ‘ลบหลู่’ และ ‘หยามหน้า’ อย่างไร้ยางอาย


นี่ทำให้หลิงหงจินแทบไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร!


ศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่น่าเกรงขาม ผู้กล้าหญิงซึ่งเจิดจรัสหาใครเทียมในหมู่คนรุ่นเยาว์ บัดนี้กลับเผ่นแนบกลับมา ใช้ฐานะผู้พ่ายแพ้ทำการแจ้งข่าวและขอความช่วยเหลือ นี่…


จะให้หลิงหงจินที่นิสัยเย่อหยิ่งเสมอมาเอ่ยปากอย่างไร


บนท้องถนนคนสัญจรดั่งกระแสวารี ขวักไขว่คับคั่งคึกคักยิ่ง


เมื่อเดินผ่านหลิงหงจินที่สูงโปร่งอรชรซึ่งยืนนิ่งตรงนั้น ล้วนเกิดความรู้สึกอัศจรรย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ สงสัยใคร่รู้หาใดเปรียบ


ไม่อาจไม่พูดถึง สาวงามโสภาอย่างนางไม่ว่าอยู่ที่ไหนล้วนต้องดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน


ฟุ่บ!


แต่เวลานี้เอง เงาร่างดุจรุ้งเขียวทะลวงเมฆเข้ามาและหยัดยืนบนอากาศ ทั่วร่างเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสทำเอาลมเมฆเปลี่ยนสี


อานุภาพพลังของเขาฮึกเหิมยิ่ง ทั้งตัวราวกระบี่สมบัติไร้เทียมทานออกจากฝัก พลานุภาพดุดันหาใดเปรียบแผ่กระจาย ทำเอาท้องถนนพลันสับสนวุ่นวายทันที


“ศิษย์น้องจางเจิง? นี่เจ้าทำอะไร” หลิงหงจินได้สติ มองเงาร่างองอาจบนอากาศนั่นอย่างประหลาดใจ


“ศิษย์พี่หลิง? เหอะๆ ดูท่าท่านคงล้มเหลวในปฏิบัติการครั้งนี้ดังคาด”


บนอากาศจางเจิงหัวเราะลั่น ผมยาวกระเซิงแผ่สยาย นัยน์ตาวาบประกายสายฟ้าสีม่วงเป็นสายๆ คมปลาบบสยบผู้คน


“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลิงหงจินในใจสั่นสะท้าน ดวงหน้างามพลันเปลี่ยนแปร คิดว่าเรื่องที่ตนประสบความอัปยศถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว


“เทพมารหลินเข้าเมืองมาแล้ว เรื่องนี้ยังปิดใครได้อีกหรือ”


จางเจิงยิ้มเยาะ “ศิษย์พี่หลิง การที่ภารกิจล้มเหลวข้ารู้ว่าทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจะปลิดชีพเทพมารหลินนั่นด้วยตนเอง กอบกู้หน้าตาให้ท่าน!”


เทพมารหลินเข้าเมืองมาแล้ว?


หลิงหงจินแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง


นางเพิ่งคิดเอ่ยปากซักถามก็เห็นจางเจิงพลันแผดเสียงตะโกน “เทพมารหลิน ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาสู้สักตั้ง ข้าจางเจิงจะส่งเจ้าเข้าสู่ความตายด้วยตนเอง!”


เสียงกึกก้องดั่งฟ้าคะนอง สะท้อนเหนือนภาเมืองแสงอุดร ทำเอาห้วงอากาศพังทลาย


“อะไรนะ เทพมารหลิน?”


“สวรรค์! เจ้าปีศาจนี่ซ่อนอยู่ในเมืองแล้ว!”


บนท้องถนนเสียงอื้ออึงไม่ขาดสาย อลหม่านวุ่นวาย ถนนที่เดิมขวักไขว่คับคั่งไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นซบเซา


ซ่า…


ขณะเดียวกันพลังจิตรับรู้ของจางเจิงแผ่ขยาย ประหนึ่งกระแสวารีแผ่ลามทั่วทิศ


เขาไม่ห่วงว่าหลินสวินจะหนี ขอแค่อีกฝ่ายกล้าหนีก็ไม่พ้นเนตรธรรมของเขาแน่!


“ทำไมเป็นอย่างนี้…” หลิงหงจินเหม่อลอย


เวลานี้เองนางพลันสังเกตเห็นว่าใกล้ๆ นั้นมีคนเข้าประชิด ยังไม่รอให้นางตอบสนอง บนบ่าก็ถูกมือใหญ่หนึ่งกดไว้แน่นหนา


ทั่วร่างหลิงหงจินพลันแข็งทื่อ กำลังหมายจู่โจมกลับ แต่เมื่อเห็นเจ้าของมือใหญ่นั่นก็ทำให้ใบหน้างามของนางซีดเผือด เปล่งเสียงกรีดร้องราวเห็นผี


ต่อให้ตายนางก็คิดไม่ถึงว่าจะพบมารร้ายไร้ยางอายที่นี่


คนผู้นั้นสวมชุดขาวพระจันทร์ ใบหน้าหมดจด เงาร่างสูงสง่าเหนือโลกีย์ เป็นหลินสวินที่ตามมาตลอดทางนั่นเอง


บัดนี้เขายืนเคียงไหล่หลิงหงจิน มือข้างหนึ่งวางบนบ่าละมุนของนาง ดูเหมือนสนิทสนมนัก


แต่มีเพียงหลิงหงจินที่รู้ว่ามือข้างนี้แผ่พลังน่าสะพรึงระดับใด ทำให้พลังทั้งตัวนางถูกกักขังชั่วพริบตา ล้วนไม่อาจดิ้นรนแต่แรก!


ขณะเดียวกันจางเจิงที่อยู่เหนืออากาศสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สายตาดั่งอสนีทอดมองลงมา พริบตาก็เล็งเห็นเงาร่างหนึ่ง


“เป็นเจ้าดังคาด กล้าดีนี่! ไม่เสียแรงที่ข้าออกศึกด้วยตัวเอง” จางเจิงสีหน้าหยิ่งผยอง บนร่างจิตต่อสู้พรั่งพรูดุจเปลวเพลิง


“ข้าหวังดีปล่อยเจ้าไป แต่เจ้ากลับหลอกข้า นี่ทำให้ข้าโมโหนัก” หลินสวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยกระซิบข้างหูหลิงหงจิน


เนื่องจากระยะห่างใกล้กันมาก ไออุ่นจากปากผ่านเข้าใบหู ทำเอากกหูฝ่ายหลังแดงไปหมด


แต่รสเยียบเย็นในคำพูดของหลินสวินกลับทำให้นางแข็งทื่อ หนาวสั่นไปทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง


นางรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าน่ากลัวขนาดไหน สามหมัดก็จู่โจมสังหารลี่จั้นหนาน พลังต่อสู้แม้แต่ในหมู่มกุฎมรรคาล้วนเรียกได้ว่าวิปริตพลิกฟ้า


อีกทั้งเขาไม่รู้จักหวั่นเกรงอะไร อหังการไม่หวาดกลัว เพื่อบรรลุเป้าหมาย วิธีการไร้ยางอายและต่ำทรามอันใดล้วนสามารถสำแดงออกมา


บัดนี้ถูกฝ่ายตรงข้ามควบคุมอีกครั้ง ทำให้หลิงหงจินมีความรู้สึกพังทลายอย่างหนึ่ง


“พวกเจ้า…” บนอากาศจางเจิงชะงักงัน ประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง เขาเห็นอย่างไรรู้สึกอย่างนั้น หลินสวินและหลิงหงจินดูเหมือนว่าสนิทกันมาก


“แม่นางหลิง ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามากที่นำทาง หากไม่ได้เจ้าข้าคงไม่อาจรู้ว่าที่นี่มีพวกระยำคิดสังหารข้าจนทนไม่ไหวมากขนาดนี้” หลินสวินกล่าวยิ้มระรื่น


“อะไรนะ ศิษย์พี่หลิงท่าน…”


จางเจิงนัยน์ตาพลันหดรัด “มิน่าล่ะเทพมารหลินถึงวิ่งมาเมืองแสงอุดร ที่แท้… ที่แท้เจ้าคบชู้กับเขารึ”


ข่าวนี้หนักหนานัก ทำให้เขายากแยกแยะไปชั่วขณะอยู่บ้าง


แต่หลิงหงจินกลับคับแค้นอับอายจนอยากตาย ใบหน้าพริ้งเพราคล้ำเขียวกล่าว “เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดเพ้อเจ้อ ข้า…”


ไม่รอพูดจบก็ถูกหลินสวินปิดริมฝีปากแดง กล่าวว่า “เรื่องของพวกเราไยต้องอธิบายให้คนอื่นฟัง ต่อให้ฉู่เป่ยไห่มาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าช่วยเจ้ารักษาความลับมาตลอด เจ้าอยากให้คนอื่นรู้จริงหรือ”


หลิงหงจินถลึงนัยน์ตาคู่งาม โกรธจนควันออกหู ร่างอรชรสั่นระรัว เจ้าชั่วนี่เห็นชัดว่าเจตนายุแยงตะแคงรั่ว!


“ศิษย์พี่หลิง นี่เรื่องจริงหรือ ศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่เป็นคู่หมั้นท่านนะ ท่านทำเช่นนี้ไม่ละอายต่อเขารึ”


บนอากาศ จางเจิงสีหน้าเยียบเย็นโกรธแทบบ้า คิดไม่ถึงสิ้นเชิงว่าหลิงหงจินซึ่งเป็นถึงศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ กลับทรยศสำนัก สานสัมพันธ์กับศัตรู นี่ช่างเป็นความอัปยศของสำนัก!


หากแพร่งพรายออกไป ต้องทำให้เกียรติภูมิแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเขาหม่นมัวแน่!


หลิงหงจินโกรธแทบบ้า นางไหนเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้


แต่ตอนนี้นางดันถูกหลินสวินควบคุม แม้ต้องการแก้ต่างก็เปล่งเสียงไม่ออกโดยสิ้นเชิง


‘หลินสวิน เจ้ามันมารร้ายชั่วช้า!!’ ในใจนางร้องตะโกน หากมีโอกาสนางอยากจะทึ้งร่างหลินสวินตรงหน้าทั้งเป็น


“เป็นเจ้าเด็กนี่จริงด้วย!” ทันใดนั้นรุ้งเทพสีเงินสายหนึ่งทะลวงเมฆเข้ามา แล้วแปรปลี่ยนเป็นเงาร่างของเสวี่ยเชียนเหิน


“ศิษย์น้องหลิง เจ้า…” ขณะเดียวกันอวี้เป๋าเป่าก็ตามมา เยื้องย่ากรีดกราย ท่วงท่างามอรชร หน้าตาประณีตพริ้มเพรา มีเสน่ห์แต่กำเนิด


ไม่ช้าเหล่าศิษย์สืบทอดแท้จริงของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างพวกหนานกงหั่ว หนานกงสุ่ย กู้อวิ๋นถิงก็ปรากฏตัว


เงาร่างพวกเขาปกคลุมผืนอากาศโดยรอบแน่นขนัด กระบวนรบยิ่งใหญ่ดั่งพยับเมฆบดบังท้องนภา กดข่มจนผู้คนต่างหายใจไม่ออก


บนถนนละแวกใกล้เคียง คนหนีหายไปนานแล้ว วังเวงไร้ผู้คน อ้างว้างและหนาวเหน็บ


ทว่าเมื่อเห็นหลิงหงจินยืนแนบชิดเคียงข้างหลินสวิน พวกเสวี่ยเชียนเหิน อวี้เป๋าเป่าต่างอึ้งงัน


หลังได้ยินคำอธิบายของจางเจิง สายตาที่พวกเขามองหลิงหงจินล้วนต่างออกไป…หิตสลาตัน

 

 

 


ตอนที่ 1004 วิชากระบี่มารโลหิตสลาตัน

 

คบชู้สู่ชาย?


ไม่ว่าเสวี่ยเชียนเหิน อวี้เป๋าเป่าหรือพวกหนานกงหั่ว กู้อวิ๋นถิงล้วนยากจะเชื่ออยู่บ้าง นี่ไม่ได้หมายความว่าหลิงหงจินทรยศสำนักอย่างนั้นหรือ


นี่คือสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยและยอมทนเด็ดขาด!


ทันใดนั้นสายตาที่พวกเขามองหลิงหงจินล้วนเปลี่ยนไป


ทว่าหลิงหงจินไม่อาจโต้แย้ง การถูกสายตากระทู้ถามขนาดนี้จับจ้อง ในใจประหนึ่งถูกมีดเฉือน โกรธจนเบื้องหน้าดำมืดจวนเป็นลม


“เรื่องนี้เป็นความจริงรึ” เสวี่ยเชียนเหินยังไม่เชื่อ


ถึงอย่างไรหลิงหงจินก็เป็นศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทั้งก้าวสู่มกุฎมรรคา มีอนาคตส่องสว่างหาใดเปรียบ จะเลือกสมคบศัตรูได้อย่างไร


“ไม่เห็นรึ เทพมารหลินนี่ถูกหลิงหงจินพามา ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ว่าฐานที่มั่นของพวกเราอยู่เมืองแสงอุดรได้อย่างไร” จางเจิงเอ่ยเย็นชา


“สิ่งที่เห็นไม่แน่ว่าจะจริง บางทีอาจมีเงื่อนงำอื่น ข้าไม่มีทางเชื่อจุดนี้” อวี้เป๋าเป่าขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้เหนือคาดหมายและไร้สาระเกินไป ไม่อาจยอมรับ


“ทำไม หรือพวกเจ้าคิดว่าข้าหลอกพวกเจ้ารึ” จางเจิงไม่สบอารมณ์ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา


เห็นพวกเขาโต้แย้งพัลวัน หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ สื่อจิตกล่าว ‘แม่นางหลิง แค้นชำระแค้น เจ้าหลอกข้า ข้าก็หลอกพวกเขา ถือว่าเราสะสางบัญชีกันแล้ว แต่ตอนนี้เห็นทีต้องลำบากเจ้าหน่อยแล้ว’


สะสางบัญชี?


ไม่มีทาง!


หลิงหงจินโกรธจนแทบกระอักเลือด ไหนเลยจะยอมรับคำพูดหลินสวิน


ทว่ายังไม่รอนางตอบสนอง ก็ถูกหลินสวินเก็บเข้าไปในเจดีย์สมบัติไร้อักษร กักขังเอาไว้


“ทุกท่านทะเลาะกันเสร็จหรือยัง” หลินสวินเอ่ยถาม


ขณะกล่าวพลังเขาพลันเปลี่ยนแปลง เงาร่างที่เดิมราบเรียบพ้นโลกีย์มีความหยิ่งผยองยากปกปิดเพิ่มขึ้นมา


พรึ่บ!


พริบตานั้นทุกสายตาต่างมองมายังหลินสวิน สีหน้าประหลาดใจและไม่เข้าใจ ล้วนคิดไม่ถึงว่าถูกปิดล้อมรอบด้านแล้ว หลินสวินยังสงบใจเหมือนคนไม่เป็นอะไรเช่นนี้


“ไม่รู้จักดีชั่ว!” มีคนปรามาส


“หลินสวิน ความตายมาเยือนแล้วยังกล้าเอ็ดตะโร คิดว่าพวกข้าไม่กล้าสังหารเจ้าจริงรึ” หนานกงหั่วกล่าวดุดันที่สุด เขาแค้นหลินสวินเข้ากระดูก


“หลินสวิน ปล่อยศิษย์น้องหลิงมาพูดให้ชัดเจนก่อน หากเจ้าให้ความร่วมมือ พวกข้าอาจเมตตาเปิดหนทางรอดชีวิตแก่เจ้า” อวี้เป๋าเป่าสูดหายใจลึกเอ่ยปาก นางไม่มีทางเชื่อว่าหลิงหงจินจะทรยศสำนัก


“ศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่กล่าวไม่ผิด เจ้าแข็งแกร่งมาก กระทำการอหังการไม่หวั่นเกรง มีท่วงท่าแห่งเทพมาร แต่วันนี้เกรงว่าเจ้าคงไม่อาจหนีพ้น สิ่งเดียวที่ข้าไม่เข้าใจคือใครให้ความกล้าแก่เจ้า ถึงได้กล้าวิ่งมาหาที่ตายยังเมืองแสงอุดรตัวคนเดียว”


เสวี่ยเชียนเหินเองก็เอ่ยปาก สายตาปรากฏแววเยียบเย็น


จากที่เขาสังเกต หลินสวินสงบนิ่งและเยือกเย็นมาตั้งแต่ต้นจนจบ นี่ทำให้ในใจเขาลอบรู้สึกพิกลอยู่บ้าง


“หาที่ตาย?” หลินสวินยิ้มเยาะ “ในสายตาพวกเจ้าข้าเป็นได้แค่ฝ่ายถูกกระทำต้องวิ่งหนี ไม่อาจโต้กลับหรือ”


“โต้กลับ?”


ได้ยินเหตุผลนี้ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่น้อยต่างหยุดอึ้งค้าง มองหลินสวินด้วยท่าทีมองดูคนปัญญาอ่อน


“เจ้าหมอนี่บ้าหรือโง่กันแน่”


“ตัวคนเดียวจะโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเรากลับรึ ต่อให้เป็นอริยะก็ล้วนไม่กล้าคุยโวเช่นนี้กระมัง”


“หลงระเริงไม่รู้ประสา!”


เสียงเยาะหยันเหยียดหยามดังระงมไม่ขาดหู


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในบริเวณที่ห่างออกไปของเมืองแสงอุดร ผู้ฝึกปราณมากมายเกาะกลุ่มรวมกันเฝ้าดูทุกอย่างที่นี่ไกลๆ


แต่เมื่อได้ยิน ‘การโต้กลับ’ ที่หลินสวินเอ่ยถึงก็แทบจะคิดว่าฟังผิดไป


ในลานกำลังคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เยอะมาก ไม่ขาดศิษย์แกนหลักแห่งยุคอย่างพวกเสวี่ยเชียนเหิน เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณทั่วไปใครจะกล้ากล่าววาจาโอ้อวดเช่นนี้


ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นกู่ชางนี่คือเขตอิทธิพลของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!


เทพมารหลินตัวคนเดียวถูกปิดล้อมเป็นชั้นๆ ยังกล้าคุยโวไม่กระดาก นี่ทำให้พวกเขาต่างสงสัย ว่าเจ้าหมอนี่รู้ตัวว่าใกล้ตายจึงเริ่มกล่าวเพ้อเจ้อใช่หรือไม่


ทว่าจนถึงตอนนี้สีหน้าหลินสวินเรียบเฉย ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ แม้เพียงเสี้ยว


“ได้ยินว่ายามสังหารอสูรเฒ่าแรดดำ เจ้าเคยใช้กระบวนผนึกมรรคราชันกระบวนหนึ่ง หรือเจ้ายังคิดใช้ลูกไม้เดิม”


เสวี่ยเชียนเหินเห็นหลินสวินนิ่งเฉยเช่นนี้ ในใจรู้สึกไม่สงบยิ่งกว่าเดิม จึงกล่าวเสียงเย็นชาทำการหยั่งเชิงในบัดดล


ทันทีที่กล่าววาจานี้ออกไป ผู้คนไม่น้อยตรงนั้นในใจพลันสั่นสะท้าน พวกเขาล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน


แต่ประโยคต่อมาของเสวี่ยเชียนเหิน กลับทำให้พวกเขาเป่าปากโล่งอก


“บอกเจ้าก่อนเลยว่าอุบายเช่นนี้ไม่มีผลกับพวกเรา ในเมื่อพวกเรามาจับตายเจ้า แน่นอนว่าต้องเตรียมการพร้อมสรรพ ไม่มีทางปล่อยโอกาสให้เจ้าอีก” เสวี่ยเชียนเหินแววตาดุจดาบคม กวาดมองหลินสวินอย่างเยียบเย็น


กลับเห็นหลินสวินกล่าว “จัดการพวกเจ้า ไม่ต้องใช้กระบวนผนึกมรรคราชันเลย ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”


สาเหตุที่เขาไม่ลงมือทันทีก็เพราะกำลังลอบสังเกตการณ์ กระทั่งแน่ใจว่าในเมืองแสงอุดรนี้ไร้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคอยควบคุม ในใจเขาจึงนิ่งสงบยิ่งกว่าเดิม


“เจ้าคนเดียวรึ”


เสวี่ยเชียนเหินเลิกคิ้ว ในใจเขาแม้รู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินวาจานี้ของหลินสวินก็ยังอดรู้สึกขบขันไม่ได้ เจ้าเด็กนี่ช่างกำเริบเสิบสานถึงขั้นรนหาที่ตาย


“ถูกต้อง” หลินสวินพยักหน้า


เสวี่ยเชียนเหินเพิ่งหมายจะพูดอะไร จางเจิงก็ตะโกนตัดบทอย่างไร้ความอดทน “ยักแย่ยักยัน เชื่องช้าเอื่อยเฉื่อยอยู่นั่น ก็แค่เหยื่อรนหาที่ตายคนหนึ่ง ควรค่าต่อการระวังเช่นนี้หรือ”


ขณะกล่าวเขาก้าวออกมา เงาร่างแผ่กลิ่นอายเฉียบคมดุดันหาใดเปรียบ พุ่งทะยานเหนือท้องนภา พลานุภาพพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งถึงขีดสุด


“หลินสวิน ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกว่าจะส่งเจ้าไปตายด้วยตัวเอง ตอนนี้จงไสหัวมารับความตายซะ!” เขาตวาดลั่น เสียงสะเทือนเก้าสวรรค์ก้องสะท้อนไปไกล


“จางเจิงนี่สมกับเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎสมญา ‘กระบี่เขย่าขวัญ’ แค่มาดอาจหาญนี้ก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน” ห่างออกไป ผู้คนมากมายดวงตาเป็นประกาย


“ได้ยินว่าในศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ พลังต่อสู้ของจางเจิงอยู่ในห้าอันดับแรก!”


“เทพมารหลินนั่นแม้แข็งแกร่ง แต่เจอจางเจิงที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎเหมือนเขาเกรงว่าคงถูกกำราบ ถึงอย่างไรคนหนึ่งมีถิ่นเกิดจากบ้านนอก อีกคนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณ แม้ปราณเท่าเทียมกันแต่รากฐานกลับต่างกันมาก”


เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นไม่หยุด


เสวี่ยเชียนเหินถูกจางเจิงกล่าวตัดบทอีกครั้ง ในใจขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไม่น้อย


เขาไม่พูดมากอีก จางเจิงออกจู่โจมก็สามารถฉวยโอกาสนี้หยั่งเชิงความสามารถของหลินสวินสักหน่อย!


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ กอดอกยิ้มเย็น พวกเขาไม่คิดว่าเทพมารหลินจะสามารถเป็นคู่ต่อกรของจางเจิงได้


บางที หลายวันนี้เขาอาจหนีรอดการตามล่าครั้งแล้วครั้งเล่า


บางที แม้ยอดบุคคลในหมู่ราชันกึ่งระดับเหวินสิงโจวจะเคยเสียเปรียบในมือเขามาก่อน


แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะผู้ออกศึกคือจางเจิง ยอดผู้กล้าที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎซึ่งปลิดชีพเด็ดขาดผู้หนึ่ง!


ภายใต้กระบี่เขาเคยดื่มเลือดราชันกึ่งระดับมาเช่นกัน ซ้ำไม่ใช่แค่เพียงคนเดียว!


ทว่าน่าเสียดาย พวกเขาต่างไม่รู้ว่าเมื่อคืนวานลี่จั้นหนานที่มีความคิดเหมือนพวกเขา เพียงสามหมัดก็ถูกหลินสวินสังหารแล้ว…


นี่ก็คือเหตุผลที่หลินสวินมาเมืองแสงอุดรเปิดฉากโต้กลับทันที ก็เพื่อฉวยโอกาสโจมตียามพวกเขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง!


“มัวอึ้งอะไร หากกลัวตายตอนนี้ก็คุกเข่าซะ ข้ารับรองว่าจะไม่ลงมือกับเจ้าอีก เลี่ยงไม่ให้กระบี่ข้าแปดเปื้อน!” จางเจิงตวาดลั่น ผมยาวแผ่สยาย กลิ่นอายดุดันยิ่งกว่าเดิม


“ระวังอย่าพูดเกินจริงไป”


หลินสวินโฉบทะยานเหนืออากาศเข้ามา มองจางเจิงจากไกลๆ กลิ่นอายราบเรียบไร้ความพิเศษ ดั่งเมฆเคลื่อนคล้อยบนขอบฟ้า


“เป็นบุคคลที่ก้าวสู่มกุฎเหมือนกัน ข้าย่อมไม่มีทางดูถูกเจ้า แต่ว่ากันตามจริง ในสายตาข้าเจ้าก็แค่คนที่ตายไปแล้ว”


จางเจิงแววตาดุจกระบี่ กลิ่นอายพิฆาต ทั่วร่างอบอวลเจตกระบี่ดุดัน


ชิ้ง!


กระบี่โลหิตแคบยาวแต่เจิดจ้าเล่มหนึ่งปรากฏในมือเขา ปลายกระบี่โค้งงอแปลกประหลาดประหนึ่งเคียว ให้ความรู้สึกเหี้ยมโหดอำมหิต


ยอดศาสตรามรรคราชัน… เลือดวิจิตร!


ทันทีที่กระบี่นี้ปรากฏจางเจิงพลันแฝงท่วงท่าพญามารถือกระบี่ แผ่ไอสังหารกระหายเลือดพาให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก


“เช่นนั้นก็ให้ข้าเห็นความสามารถของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างพวกเจ้าหน่อยเถอะ หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย


ฟุ่บ!


จางเจิงออกเคลื่อนไหว


ชั่วพริบตาประดุจมีจางเจิงนับร้อยพันคนบุกโจมตีพร้อมกัน เจตกระบี่สีเลือดหลากสายดั่งลมคลั่งฝนกระหน่ำ ซัดสาดจากทุกทิศทาง ปกคลุมฟ้าดินแถบนี้จนมิด


ที่นี่ราวกลายเป็นนรกกระบี่ในชั่วพริบตา เจตกระบี่แต่ละสายต่างแดงก่ำดั่งโลหิต ก่อเกิดกลิ่นอายเฉียบคมหาใดเปรียบ เฉือนแหวกอากาศอย่างง่ายดาย ตัดกระชากเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน


คนไม่น้อยพลันหยุดหายใจ วิชากระบี่มารโลหิตสลาตัน!


นี่เป็นถึงวิชามรรคชั้นเลิศของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทันทีที่จางเจิงใช้วิชานี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ดูถูกคู่ต่อสู้เช่นกัน


‘เจ้าหมอนี่นับว่ารอบคอบ’ เสวี่ยเชียนเหินและอวี้เป๋าเป่าต่างแอบผงกศีรษะ เป็นขอบเขตมกุฎเหมือนกัน แน่นอนว่าพวกเขามองออกเพียงปราดเดียวว่าจางเจิงหาได้เก็บงำไม่


“นี่คือวิชากระบี่ของเจ้าหรือ ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่”


หลินสวินสีหน้าเป็นปกติ ไม่หลบไม่หลีก ยื่นมือไปกดลงกลางอากาศ ทะเลเพลิงเจิดจ้าผืนหนึ่งแผ่ขยายออกมา ดวงดาวมากมายปะทุแผดเผาอยู่ภายใน


ชั่วพริบตาเจตกระบี่สีเลือดที่มืดฟ้ามัวดินถูกปกคลุม จากนั้นจึงมอดไหม้หลอมละลายหายลับไป


‘สมเป็นเทพมารหลิน แข็งแกร่งจริงๆ’ พวกเสวี่ยเชียนเหินในดวงตาฉายแววประหลาด หากเทพมารหลินถูกกำราบทันทีคงผิดปกติ


ทว่าการที่หลินสวินสามารถสลายกระบวนท่าสังหารเช่นนี้อย่างง่ายดาย ก็ทำให้พวกเสวี่ยเชียนเหินรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง


‘มิน่าเขาถึงกล้ามาโต้กลับอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ ที่แท้ก็ครองพลังต่อสู้ชวนประหวั่นระดับนี้นี่เอง เพียงแต่สุดท้ายเขาก็ตัวคนเดียว ไหนเลยวันนี้จะรอดพ้นไปได้’ กู้อวิ๋นถิงสีหน้าซับซ้อน ทั้งสะท้านเรื่องพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลินสวิน ทั้งกังวลสถานการณ์ของเขา


และไกลออกไปก็มีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังชมการต่อสู้เช่นกัน


นี่เป็นการปะทะระหว่างบุคคลขอบเขตมกุฎสองคน ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะก็เพียงพอจะสร้างความอึกทึกครั้งใหญ่ในแคว้นกู่ชางแล้ว


“ธารโลหิตประหัตมาร!”


ท่ามกลางเสียงตะโกนสะเทือนสวรรค์ อานุภาพของจางเจิงดุจมารกระบี่ เลือดวิจิตรในมือพัดโหมเจตกระบี่ไพศาลยาวพันจั้ง แหวกสังหารมาเยือน


กระบี่นี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ธารโลหิตปราณกระบี่สายหนึ่งควบทะยาน แผ่กว้างทรงพลัง


ท่ามกลางความเลือนราง ทุกคนล้วนนึกว่าเป็นธารโลหิตอเวจีปรากฏบนโลกมนุษย์ ทำให้ฟ้าดินเกิดสีแดงประหลาดน่าสะพรึง


คนไม่น้อยพลันสั่นไปทั้งตัว สัมผัสถึงไอชั่วร้ายปะทะใบหน้า ชวนขนพองสยองเกล้า

 

 

 


ตอนที่ 1005 เผยไพ่ตายจนหมด

 

ธารโลหิตเจตกระบี่ไหลเชี่ยวกราก บดบังฟ้าครอบคลุมดิน ประหนึ่งแม่น้ำนรกเซินหลัว


ตูม!


หลินสวินไม่ได้หลบหลีก ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งจู่โจมออกไปหมัดหนึ่ง


ปึงๆๆ


ธารโลหิตที่รวมจากเจตกระบี่น่าหวาดกลัวระดับใด ประดุจมังกรใหญ่สีเลือดตัวหนึ่ง แต่บัดนี้กลับถูกซัดจุดตายร่างสะบั้นเป็นหลายส่วน


จากนั้นจึงพังทลายแตกกระจาย


“จิตต่อสู้แข็งแกร่งนัก พริบตาก็สังเกตเห็นจุดอ่อนของธารโลหิตประหัตมาร!” อวี้เป๋าเป่าอดกล่าวไม่ได้


วิชามรรคใดๆ ในใต้หล้าล้วนมีจุดอ่อนของมัน ไม่ว่าหยั่งถึงแก่นแท้แห่งวิถียุทธ์ได้หรือไม่ ล้วนไม่อาจทำได้ถึงขั้นสมบูรณ์ไร้บกพร่องอย่างแท้จริง


อย่างไรเสียสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ล้วนมีส่วนที่ขาด นับประสาอะไรกับศึกแห่งวิถียุทธ์


ดังนั้นแม้วิชามรรคจะน่าสะพรึงเพียงใด ทันทีที่มองเห็นจุดอ่อนก็เหมือนกุมจุดตายได้


“เขาสามารถรอดจากการต่อสู้ในแดนฐิติประจิมมาถึงป่านนี้ แน่นอนว่าประสบการณ์ต่อสู้ต้องพรั่งพร้อมถึงขีดสุด มีความสามารถเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา” เสวี่ยเชียนเหินกล่าววิจารณ์


ครืน…


ในการต่อสู้หลังจากนั้น การโจมตีของจางเจิงดุดันและร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม กระบี่โลหิตแคบยาวสาดอานุภาพสะเทือนใต้หล้า เผยวิถีกระบี่แห่งตนถึงขีดสุด


แต่ไม่ว่าเขาจะใช้วิชานับพัน กลวิธีนับหมื่นอย่างไร ล้วนถูกหลินสวินสลายอย่างง่ายดาย ไม่อาจทำร้ายหลินสวินได้สักนิด


‘เป็นไปไม่ได้! ทำไมเขามีจิตต่อสู้เป็นเลิศเช่นนี้ หรือบนวิถียุทธ์เขาก้าวล้ำเหนือกว่าข้านานแล้ว’


จางเจิงทะนงตนและดื้อรั้นยิ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่ครองสมญา ‘กระบี่เขย่าขวัญ’


แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาน้อยๆ!


บุคคลในขอบเขตมกุฎเหมือนกัน สิ่งที่ประชันหาใช่รากฐานและปราณ แต่เป็นการฝึกยุทธ์และจิตต่อสู้


แต่จางเจิงกลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะถูกหลินสวินที่ไร้สำนักไร้พรรคกำราบ!


‘จางเจิง หากเจ้าไม่ใช้กำลังทั้งหมดอีก คงห่างจากความพ่ายแพ้ไม่ไกลแล้ว’ ริมหูยินเสียงสื่อจิตเย็นชาของเสวี่ยเชียนเหิน


ได้ยินดังนั้นจางเจิงสีหน้าขรึมลงทันที ถูกเสวี่ยเชียนเหินเตือนทำให้เขารู้สึกอับอายเกินอธิบาย


“กระบวนเฉือนหมื่นยอดแกนสวรรค์!”


พลานุภาพจางเจิงพลันยกระดับ แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งตัวราวกระบี่มาร ซัดกระหน่ำลมเมฆจนฟ้าดินเปลี่ยนสี


“ตาย!”


ยอดศาสตรามรรคราชันเลือดวิจิตรกลายเป็นรุ้งกระบี่ยาวพันจั้งสายหนึ่ง เฉือนแหวกจากเหนือนภาคราม ปรากฏพลานุภาพร้ายกาจทะลวงสังหารชั่วกัปกัลป์อย่างหนึ่ง


“ให้ได้อย่างนี้สิ”


นัยน์ตาหลินสวินฉายแววยะเยือกวูบหนึ่ง


ไม่มีคนรู้ว่าการต่อสู้นี้หลินสวินยังซ่อนคมในฝัก จุดประสงค์นั้นง่ายมาก กลัวว่าจะแสดงออกจนสะดุดตาเกินไป ทำให้คู่ต่อสู้เกิดระแวงจนเผ่นหนี


ไม่อย่างนั้นอาศัยศักยภาพเขาตอนนี้ที่สามารถสังหารลี่จั้นหนานได้ในสามหมัด นับประสาอะไรกับการจัดการจางเจิงที่พลังต่อสู้ไม่ต่างจากลี่จั้นหนานนัก


ยามครองพลังอันเด็ดขาด ต้องทำให้คนอื่นมองตื้นลึกของตนไม่ออกจึงจะเป็นกลศึกที่เลิศล้ำ


ชั่วพริบตาพลังของหลินสวินเพิ่มขึ้นอีกระดับใหญ่


เงาร่างเขาดั่งภูตผีหลบหลีกกระบี่ที่จ่อเข้ามาตรงหน้า และปรากฏตัวเบื้องหน้าจางเจิงกะทันหัน


ตูม!


ขณะเดียวกัน แก่นอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ก็ถูกปล่อยออกจากหมัดขวา


จางเจิงเบิกตาโพลงทันที นี่เป็นถึงไพ่ตายของเขา ใช่สิ่งที่สามารถหลีกหลบง่ายดายเช่นนี้หรือ แต่ตอนนี้ภาพที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว!


แย่แน่!


เสวี่ยเชียนเหินและอวี้เป๋าเป่าสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้


เพราะก่อนหน้านี้แม้การต่อสู้ของหลินสวินและจางเจิงจะดุเดือด แต่ต่างฝ่ายล้วนไม่เคยกำราบอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด


แต่ตอนนี้หลินสวินประหนึ่งนักล่าที่ซุ่มรอมานาน ทันทีที่เคลื่อนไหวก็หมายเอาชีวิต!


ไม่อาจไม่พูดถึง จางเจิงสมกับเป็นคนในขอบเขตมกุฎ ปฏิกิริยาตอบสนองเรียกได้ว่าน่าตะลึง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ยังพาดกระบี่ขวางกั้น สำแดงพลังแห่งตนออกมาจนหมด


แต่เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าหลินสวินซ่อนความสามารถมาตลอด และระเบิดออกมากะทันหันในเวลานี้ มีหรือจะเป็นสิ่งที่เขาสามารถต้านทานได้


ได้ยินเสียงปังดังสนั่น เลือดวิจิตรที่ขวางต้านอยู่เบื้องหน้าถูกหนึ่งหมัดของหลินสวินต่อยกระเด็น พลังหมัดเปี่ยมอานุภาพไม่เสื่อมถอย กระแทกใส่ทรวงอกจางเจิงอย่างรุนแรง


กร๊อบ!


เสียงกระดูกอกแตกดังสนั่น


จางเจิงพลันกระอักเลือดออกจากปาก เบื้องหน้าพร่าเลือน ในใจพิศวงหวาดกลัวถึงขีดสุด เวลานี้เขาถึงรู้ตัวว่าถูกหลอกแล้ว!


หากคู่ต่อสู้ใช้พลังเช่นนี้แต่แรก เขาคงยืนหยัดไม่ถึงป่านนี้แน่


เจ้าหมอนี่รอบจัดนัก!


จางเจิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงตาเบิกถลน


ทว่าเขาเพิ่งหมายหลบหลีกก็ถูกมือใหญ่ของหลินสวินคว้าร่างเข้าเต็มแรง ระหว่างที่ยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกกำราบเข้าไปในเจดีย์สมบัติไร้อักษร


ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วมาก


ทุกคนล้วนไม่ทันมีปฏิกิริยา จางเจิงก็ถูกสยบบาดเจ็บหนัก ทำให้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่น้อยต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น


นี่เป็นไปได้อย่างไร


ห่างออกไป พวกผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้อยู่ลูกตาแทบถลน เดิมคิดว่าจะเปิดฉากการต่อสู้ชั้นยอดที่สะเทือนใต้หล้า


ไหนเลยจะคิดว่าชั่วพริบตาก็ไม่เห็นจางเจิงแล้ว!


นี่น่าอัศจรรย์กว่าความฝันเสียอีก เหนือความคาดหมายเกินไป


“ไอ้คนถ่อยเจ้ากล้ารึ!”


ทว่ามีผู้ตอบสนองทันควัน อวี้เป๋าเป่าทะยานออกมาในเวลาเดียวกัน


นางดูออดอ้อนโดยกำเนิด เครื่องหน้าประณีตพริ้มเพรา ดูเหมือนสาวงามทรงเสน่ห์คนหนึ่ง แต่ทันทีที่ลงมืออานุภาพพลังก็น่าตกตะลึงหาใดเปรียบ


นางเรียกทวนละเมียดสีทองอ่อนเล่มหนึ่งออกมา เพียงสะบัดแผ่วเบาเงาทวนสีทองพร่างฟ้าพลันโฉบลงมา มืดฟ้ามัวดิน ป่นห้วงอากาศแหลกเป็นจุณ


หลินสวินยังรักษาอานุภาพเหมือนเช่นยามกำราบจางเจิง ปล่อยหมัดประลองกับนาง


เวลานี้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ จึงคืนสติจากภาพน่าสะเทือนเมื่อครู่ในที่สุด


“ศิษย์พี่จางเจิงถูกกำราบหรือ”


“น่าชังนัก! เจ้าหมอนั่นต้องใช้กลลวงแน่!”


พวกเขาสีหน้าปั้นยาก สายตาที่มองหลินสวินมีความประหลาดใจสงสัยเพิ่มขึ้นมา จวบจนตอนนี้พวกเขาต่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดจางเจิงถึงถูกกำราบ


ตูม!


บนอากาศ หลินสวินผมดำแผ่สยายดั่งเทพมาร มีความสง่างามผงาดง้ำ สู้ศึกดุเดือดกับอวี้เป๋าเป่า


ไม่ช้าสีหน้าอวี้เป๋าเป่าก็เปลี่ยนไป


ยามต่อสู้กับหลินสวินจริงๆ นางจึงรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของอีกฝ่าย ว่าอยู่เหนือการคาดเดาและวินิจฉัยยามนางชมการต่อสู้ก่อนหน้านี้สิ้นเชิง


‘เจ้าหมอนี่ต้องจงใจปกปิดพลังแน่ ถึงสามารถสยบจางเจิงได้กะทันหัน!’ อวี้เป๋าเป่าในใจสะท้านไหว


ก้าวล่วงในมกุฎเหมือนกัน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับสามารถเก็บงำศักยภาพ บีบจนยามจางเจิงใช้ไพ่ตายก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้


เช่นนั้นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขาจะน่าหวาดกลัวระดับใด


ขณะเดียวกันเสวี่ยเชียนเหินสังเกตเห็นความไม่เข้าทีในสถานการณ์ของอวี้เป๋าเป่า สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังหนักแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินสวินปรากฏตัวคนเดียว เขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้างแล้ว ถึงอย่างไรผู้ฝึกปราณที่สมองปกติล้วนเข้าใจ ว่าวิธีการเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับหาที่ตาย


แต่บัดนี้เขาเริ่มเข้าใจอยู่รางๆ แล้ว ฝ่ายตรงข้ามเตรียมการมาก่อน!


บางทีเทพมารหลินนี่อาจเป็นพวกที่ก้าวสู่มกุฎเหมือนตน แต่เห็นชัดว่าเจ้านี่ไม่ใช่คนในขอบเขตมกุฎทั่วไป!


หากกล่าวว่าขอบเขตมกุฎคือราชันในระดับปราณเดียวกัน สามารถเคลื่อนกวาดศัตรูทั้งหมดในระดับได้


เช่นนั้นบนมกุฎมรรคานี้ ความสามารถที่เทพมารหลินเผยออกมาก็มีพลังกำราบเหล่ามกุฎรุ่นเดียวกัน!


ไม่แปลกที่เขากล้ามาโต้กลับตัวคนเดียว…


ไม่แปลกที่แม้อยู่ในการล้อมกรอบแน่นหนา เขาก็ไม่หวาดกลัวอันใด…


เสวี่ยเชียนเหินนึกถึงตรงนี้ก็ไม่ลังเลอีก เปล่งเสียงตวาดแล้วทะยานออกไปกลางฟ้า “ศิษย์น้องอวี้ ข้าช่วยเจ้าเอง!”


วู้ม!


เงาทวนสีทองเจิดจรัสแสบตาโฉบพุ่ง ชั่วพริบตาเวิ้งฟ้าราวพังทลาย เหนือเมืองแสงอุดรปกคลุมด้วยอานุภาพอริยมรรคชวนประหวั่นชั้นหนึ่ง


บนท้องถนน สิ่งปลูกสร้างละแวกใกล้เคียงบัดนี้ระเหยหายไปราวทำจากกระดาษ ถูกอานุภาพอริยะลบล้างไม่อาจต้าน


สวรรค์!


ผู้ฝึกปราณที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ สัมผัสถึงความน่ากลัวขนานใหญ่ จิตวิญญาณถูกกำราบแทบหมอบคลานกับพื้น


เวลานี้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่อยู่ใกล้สมรภูมิทยอยหลบหลีก ทว่าสีหน้าพวกเขากลับเปี่ยมความฮึกเหิม


ในสายตาพวกเขา เสวี่ยเชียนเหินกุมทวนศึกทองอร่ามเล่มหนึ่ง เงาร่างสูงโปร่ง อานุภาพดั่งทวยเทพ มีความสง่างามไร้คู่ต่อกรที่กำราบสรรพสิ่ง!


ทวนทองผลาญตะวัน!


สมบัติอริยะพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สืบทอดมาแต่บรรพกาล เล่าลือกันว่าทวนนี้อานุภาพแข็งกร้าว เคยทะลวงมหาสุริยันบนเวิ้งฟ้านั่นมาก่อน!


“หลินสวิน เจ้าคิดจริงหรือว่าการตามล่าเจ้าครั้งนี้พวกเราไม่เตรียมตัวมาก่อน ตอนนี้เจ้าได้ตายด้วยสมบัติอริยะก็ตายตาหลับแล้ว!”


เสวี่ยเชียนเหินสีหน้าเยียบเย็นอำมหิต ทั่วร่างถูกทวนในมือย้อมเป็นสีทอง ประดุจเทพสงครามที่เดินออกมาจากเหล่าอริยเทพ พลานุภาพล้นฟ้า


อานุภาพนั้นแข็งแกร่งเกินไป ทำให้ห้วงอากาศ ณ ที่นี้ต่างโกลาหล ก้มมองจากเวิ้งฟ้าบริเวณศูนย์กลางเมืองแสงอุดรแหลกเป็นจุณสิ้นเชิง กลายเป็นแดนแห่งบาดแผล พลังทำลายล้างน่าตกตะลึง


ตูม!


ขณะกล่าวเสวี่ยเชียนเหินทะยานผ่าฟ้าเข้ามาสังหาร


เวลาเดียวกันอวี้เป๋าเป่าแอบเป่าปากโล่งอก ฟื้นคืนท่าทีงดงาม ทวนทองผลาญตะวันออกจู่โจม ศึกนี้ไม่น่าวิตกอีกแล้ว


ฝ่ายตรงข้ามถึงกับมีสมบัติอริยะ นี่เหนือความคาดหมายของหลินสวิน แต่เขากลับไม่ตื่นตระหนก เรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมา ขัดขวางสกัดกั้นเสวี่ยเชียนเหิน


เคร้ง!


เจดีย์สมบัติไร้อักษรปะทะทวนทองผลาญตะวัน เกิดคลื่นอริยมรรคชวนประหวั่นแผ่กระจาย ขยายลามไปเขตอื่นในเมืองแสงอุดร


ก็เห็นสิ่งปลูกสร้างหลายหลังถูกลบล้าง ถนนหลายสายระเบิดเป็นจุณในชั่วพริบตา… พลังทำลายล้างน่าสะพรึงนั่นช่างเหมือนวันสิ้นโลกมาเยือน


ไม่ต้องสงสัยสักนิด ชีวิตคนที่ดับสิ้นภายใต้พลังทำลายล้างกลางเมืองต้องไม่น้อยแน่


“ประลองสมบัติอริยะหรือ”


“รีบหนีเร็ว!”


ผู้ฝึกปราณที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่กล้าอยู่ต่ออีก เผ่นหนีกระเจิดกระเจิง


อานุภาพแห่งสมบัติอริยะสามารถดับสลายฟ้าดิน แข็งแกร่งถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ หาใช่สิ่งที่ใครต่างสามารถต้านทานได้


สำหรับความเสียหายนี้เสวี่ยเชียนเหินไร้ซึ่งความรู้สึกแม้เพียงเสี้ยว เขาไม่สนว่าจะทำลายบ้านเรือนไปเท่าไหร่ จะทำให้คนบริสุทธิ์ประสบหายนะหรือไม่


ที่เขาตกตะลึงคือทวนทองผลาญตะวันถูกขัดขวาง!


‘ข่าวลือคือเรื่องจริง เทพมารหลินจากแดนฐิติประจิมนี่มีสมบัติอริยะในมือ!’ นัยน์ตาเสวี่ยเชียนเหินพลันหดรัด


เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เองต่างอึ้งงัน เดิมคิดว่าทันทีที่ทวนทองผลาญตะวันออกโรงก็จะสามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายก็ใช้สมบัติอริยะ!


‘แย่แน่!’


อวี้เป๋าเป่าเพิ่งรู้สึกผ่อนคลาย แต่ตอนนี้ใจพลันเคว้งอีกครั้ง ตระหนกจนใบหน้างามเผือดสี


เดิมทีเทพมารหลินก็น่ากลัวพออยู่แล้ว บัดนี้เพิ่มสมบัติอริยะชิ้นหนึ่งเข้าไปอีกจะเก่งกาจขนาดไหน


และในเวลานี้หลินสวินก็พุ่งสังหารเข้ามาแล้ว โคจรโทสะหยาจื้อ อานุภาพมิอาจต้าน อาศัยท่าทีแข็งกร้าวเด็ดขาดทลายการป้องกันของอวี้เป๋าเป่าจนหมด ก่อนบีบคอระหงขาวหิมะของอีกฝ่าย

 

 

 


ตอนที่ 1006 มีเพียงสังหารจึงจะสงบใจ

 

เรียบง่าย หยาบกระด้าง รวดเร็ว!


ตั้งแต่อวี้เป๋าเป่าก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ หลายปีมานี้แทบไม่พบคู่ต่อกร ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตนจะถูกซัดพ่ายง่ายดายปานนี้


นี่คือการประลองซึ่งหน้าแต่นางกลับแพ้หมดรูป!


ความรู้สึกหวาดกลัวยากพรรณนาแผ่ลามทั่วร่างดั่งกระแสวารี ทำให้มือเท้านางเย็นเยียบ


โครม!


เวลาต่อมา เบื้องหน้านางพลันมืดมัวหมดสติฉับพลัน


ขณะเดียวกันหลินสวินออกเคลื่อนไหวอีกครั้งนานแล้ว


ตูม!


กลางอากาศ ทวนทองผลาญตะวันเปล่งประกายเรืองอร่าม เพียงคลื่นที่แผ่ขยายออกมาก็ทำให้ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือน เกิดคลื่นชวนประหวั่น


มันเฉียบคมไร้เทียมทาน ดุดันหาใดเปรียบ พละกำลังไม่อาจต้าน สำแดงอานุภาพอริยเทพ แสงอริยะสีทองห้อมล้อมสะท้อนแสงเรืองรองจนทำให้ใต้หล้าหม่นมัว


เมืองแสงอุดรที่กว้างใหญ่ดั่งตกสู่มหันตภัยวันสิ้นโลก ฟ้าพลิกดินตลบ สรรพสิ่งดับสลาย ภาพทำลายล้างเช่นนั้นเพียงพอทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดๆ หวาดผวา


แม้ทวนทองผลาญตะวันจะแข็งแกร่ง แต่กลับทะลวงการสกัดและขัดขวางของเจดีย์สมบัติไร้อักษรไม่ได้


เจดีย์นี้หลอมจากเหล็กเทพศุภโชคทั้งหมด เผยความจรัสงามตระการหลากสี ตัวเจดีย์เก่าแก่แผ่แสงศักดิ์สิทธิ์หมื่นพันสาย ท่ามกลางความเลือนรางดั่งมีเสียงธรรมวิเศษของอริยบุคคลแพร่ผ่าน


มันลอยคว้างกลางอากาศ เปี่ยมพลานุภาพไร้ขีดจำกัดกำราบทั่วทิศ ไม่ว่าทวนทองผลาญตะวันจู่โจมอย่างไรก็ไม่อาจสั่นคลอนได้


ครืนๆ


สมบัติอริยะทั้งสองปะทะชิงชัย ความน่ากลัวแห่งพลังทำลายล้างที่เกิดขึ้น หากไม่เห็นกับตาตัวเองคงไม่อาจจินตนาการแน่


‘เป็นไปได้อย่างไร! แม้แต่ทวนทองผลาญตะวันล้วนทำอะไรไม่ได้หรือ’ เสวี่ยเชียนเหินในใจสั่นสะท้าน สีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


ก่อนหน้านี้แม้หลินสวินสำแดงพลังต่อสู้ล้ำเลิศไม่เป็นสองรองใคร ทำให้เขารู้สึกเกินคาด แต่ก็ไม่ได้หวาดหวั่น เพราะภารกิจครั้งนี้ทางสำนักยังมอบสมบัติอริยะทวนทองผลาญตะวันชิ้นนี้มาด้วย!


อย่าว่าแต่เทพมารหลินที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง ต่อให้เหล่าปีศาจไร้เทียมทานซึ่งชื่อเสียงสั่นสะเทือนแดนชัยบูรพานานแล้วมาเอง เสวี่ยเชียนเหินก็มั่นใจว่าจะคว่ำอีกฝ่ายได้


แต่ตอนนี้…


เมื่อเห็นอานุภาพของเจดีย์สมบัติไร้อักษรกับตา ความเชื่อมั่นในใจเสวี่ยเชียนเหินพลันสั่นคลอน


นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีสมบัติอริยะจริง!


นี่เหนือการคาดเดาของเสวี่ยเชียนเหินอย่างสิ้นเชิง ราวกับถูกฟาดกระบองใส่หนักๆ ทำให้เขายากจะรับ


จากที่เขารู้อีกฝ่ายมีชาติกำเนิดต่ำต้อยยิ่ง เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากชนบทของโลกชั้นล่างอันแร้นแค้น แต่คนพรรค์นี้กลับครองสมบัติอริยะ นี่จะให้ผู้อื่นกล้าเชื่อได้อย่างไร


ตูม!


ช่วงที่เหม่อลอยพลังน่าหวาดกลัวสายหนึ่งจู่โจมเข้ามา ทำเสวี่ยเชียนเหินพลันได้สติทันที


เมื่อเงยมองออกไป หลินสวินก็บุกสังหารเข้ามาด้วยอานุภาพดั่งเทพมาร


ทวนทองผลาญตะวันถูกสกัด เสวี่ยเชียนเหินเท่ากับเสียไพ่ตายใหญ่สุดในมือ


ประกอบกับพลังต่อสู้ชวนประหวั่นที่หลินสวินสำแดงก่อนหน้า แม้แต่จางเจิงและอวี้เป๋าเป่าล้วนทยอยถูกกำราบ นี่ทำให้เสวี่ยเชียนเหินไม่มีความมุ่งมาดอยากต่อสู้กับหลินสวินต่ออีก


เขารู้ว่าไม่เข้าทีจึงคิดถอย


“ผนึกป้าเซี่ย!”


แต่ในเวลาเดียวกับที่หลินสวินเข้าจู่โจมสังหาร คลื่นผนึกต้องห้ามเร้นลับก็แผ่กระจายออกมา ปกคลุมเสวี่ยเชียนเหินท่ามกลางความเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง


เสวี่ยเชียนเหินสังเกตเห็นทันที การเคลื่อนไหวของเขาหยุดชะงักเสี้ยวหนึ่งราวปลาแหวกว่ายที่ติดอยู่ในชั้นน้ำแข็ง


‘แย่แน่!’ เขาหน้าพลันเปลี่ยนสี ตวาดทันใด “ปล่อยข้านะ!”


เสียงครืนดังสนั่น บนร่างสูงโปร่งของเขาปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนดุจอัคคี พริบตาก็ทลายพลังผนึกป้าเซี่ย


แต่ขณะเดียวกันหลินสวินพุ่งโจมตีเข้ามาแล้ว!


หากใช้ผนึกป้าเซี่ยจัดการผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติคนอื่น คงทำให้อีกฝ่ายขยับไม่ได้ ได้แค่นั่งรอความตายแล้ว แต่ใช้จัดการคนในขอบเขตมกุฎระดับเสวี่ยเชียนเหินกลับมีผลไม่มาก


ทว่าขอแค่สามารถกักขังอีกฝ่ายชั่วขณะก็เพียงพอ!


ฆ่า!


นัยน์ตาเยียบเย็นของหลินสวินวาบแววอสนี ปล่อยพลังหมัดเรียบง่ายทรงอานุภาพออกมา


“ไสหัวไป!” เสวี่ยเชียนเหินประกบนิ้วเป็นดาบ กรีดตัดพลังหมัดของหลินสวินดังขวับ


แต่เหนือความคาดหมายของเขา พลังหมัดนั่นแม้ถูกกรีดตัดแต่ยังควบรวมไม่สลาย กลายเป็นเส้นสายแหลมคมหลากสายพุ่งยิ่งออกมา


ฟื้นคืนหวนชีวา!


นี่คือวิชาหนึ่งที่อยู่ใน ‘วิชาจุติหงส์ทมิฬ’ ทำให้การจู่โจมที่สำแดงออกไปเกิดใหม่ฟื้นคืนชีพ แปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่อาจป้องกัน


ฟุ่บๆๆ


เห็นชัดว่าเสวี่ยเชียนเหินถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว แม้ป้องกันเต็มกำลังแต่พลังพิทักษ์กายบนร่างยังถูกทะลวงผ่าน แสงพลังเฉียบคมสายแล้วสายเล่าแทงทะลุ เกิดรูโหว่ชุ่มเลือดมากมาย!


เขาร้องทุรนทุรายหน้าพลันเปลี่ยนสี เจ็บปวดรวดร้าวหาใดเปรียบ หลบหนีออกไปโดยไม่ลังเล


เมื่อต่อสู้กับหลินสวินจริง เขาถึงเข้าใจความรู้สึกของจางเจิงและอวี้เป๋าเป่าก่อนหน้านี้ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ไม่เหมือนผู้กล้าขอบเขตมกุฎอย่างสิ้นเชิง กลับประหนึ่งเทพมารที่ไม่อาจเอาชนะ!


เคร้ง!


ทวนทองผลาญตะวันกระเด็นกลับ เสวี่ยเชียนเหินเอื้อมมือหมายไขว่คว้า


เพราะเวลานี้เขาสัมผัสถึงอันตรายขีดสุด แม้หลบหนีก็จำต้องอาศัยสมบัติอริยะมาคุ้มกาย


แต่มีเจดีย์สมบัติไร้อักษรสกัดกั้น มีหรือจะให้ทวนทองผลาญตะวันถูกเรียกคืนง่ายดายเช่นนั้น


วู้ม…


ก็เห็นเจดีย์สมบัติไร้อักษรส่องประกาย แสงมรรคทองนิลกาฬหมื่นพันสายลู่ลงมาปกคลุมแน่นขนัด ทำให้ทวนทองผลาญตะวันนั่นสั่นคลอนรุนแรงฉับพลัน


ไม่ดีแน่!


เสวี่ยเชียนเหินนัยน์ตาเบิกกว้าง ขวัญหนีดีฝ่อ


เพียงแต่ระหว่างที่เขาไม่ทันตอบสนอง หลินสวินก็เข้ามาแล้ว นิ้วทั้งห้าดั่งกรงเล็บมังกรเข้าคว้าอย่างแรงแหวกอากาศ จับร่างเสวี่ยเชียนเหินไว้ได้อย่างมั่นเหมาะ


ขอบเขตมกุฎพ่ายอีกคนแล้ว!


เริ่มจากจางเจิงบุกจู่โจมจนถึงอวี้เป๋าเป่าถูกกำราบ และเสวี่ยเชียนเหินถูกจับอีก ใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ปิดฉากลง


แต่ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจนี้กลับเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญมากเหลือเกิน


การประลองสมบัติอริยะทำเมืองแสงอุดรตกสู่ความพินาศ…


เหล่าผู้ฝึกปราณถอยหนีไม่กล้าเข้าใกล้สักก้าว…


ห้วงอากาศปั่นป่วน ฟ้าดินแถบนี้โกลาหล…


ปรากฏการณ์ทุกอย่างเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน น่าสะพรึงไร้ขีดจำกัด


แต่สุดท้ายอวี้เป๋าเป่าพ่ายแพ้ เสวี่ยเชียนเหินเองก็ปราชัย!


ไกลออกไป เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างพวกหนานกงหั่ว กู้อวิ๋นถิงต่างอึ้งงันนานแล้ว ถูกสยบอยู่ตรงนั้น จิตวิญญาณสั่นสะท้าน


พวกเขาไหนเลยจะคาดคิด ว่าแม้มีทวนทองผลาญตะวันคอยช่วยก็ยังไม่ส่งผลอันใด


และหลินสวินที่ดุดันกร้าวแกร่ง อานุภาพมากล้นดุจดั่งเทพมารนั่น ก็ทำให้พวกเขาหนาวสะท้านจากก้นบึ้งของหัวใจ


ตูม!


เหนือความคาดหมายของทุกคน หลังจับตัวเสวี่ยเชียนเหินแล้ว หลินสวินเบนความสนใจไปยังทวนทองผลาญตะวันนั่น ขับเคลื่อนเจดีย์สมบัติไร้อักษรหมายกำราบมัน


แต่นึกไม่ถึงว่าหลังสูญเสียการควบคุมของเสวี่ยเชียนเหิน ทวนศึกที่เรียกได้ว่าร้ายกาจเล่มนี้ อานุภาพกลับเปลี่ยนเป็นทรงพลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน ประหนึ่งมีจิตวิญญาณ ดิ้นรนแผ่วเบาก็ทลายพันธนาการของเจดีย์สมบัติไร้อักษรได้


ฟุ่บ!


พริบตาถัดมามันกลายเป็นรุ้งเทพสีทองสายหนึ่งแหวกอากาศไปทันใด หายลับไร้ร่องรอย


หลินสวินมุ่นคิ้วทอดถอนใจ รู้ว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ต่อให้ไร้คนควบคุมก็หาใช่สิ่งที่ใครๆ สามารถกำราบโดยง่าย


ทวนทองผลาญตะวันจากไปแล้ว…


เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พังทลายโดยสมบูรณ์ รู้สึกราวฟ้าถล่ม หันหลังหนีลุกลี้ลุกลน


แม้พวกเขาคนเยอะกำลังมาก กระบวนรบยังเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง แต่จากที่บุคคลขอบเขตมกุฎทั้งสามอย่างจางเจิง อวี้เป๋าเป่า เสวี่ยเชียนเหินถูกกำราบ ก็ทำให้จิตต่อสู้ของพวกเขาล่มสลาย


ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายตรงข้ามยังมีสมบัติอริยะ!


จะให้พวกเขากล้าสู้ต่อได้อย่างไร


ไม้ล้มวานรเตลิด นำมาบรรยายถึงเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ในเวลานี้ได้อย่างดีที่สุด


“เผ่นโว้ย!”


“เทพมารหลินที่น่าชัง เขาต้องประสบเคราะห์แน่!”


“เร็วเข้า! รีบส่งข่าวกลับสำนัก…!”


พวกเขาเหมือนสัตว์ป่าที่หวาดกลัวสุดขีดกำลังเผ่นหนีเอาชีวิตรอด


ฟุ่บ!


หลินสวินมีหรือจะให้พวกเขาหนีไปเช่นนี้ ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งโผทะยานไม่ลังเล ความเร็วฉับไวดุจแสงเคลื่อนแหวกอากาศ


พรูด!


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่งกำลังห้อตะบึง ฉับพลันก็รู้สึกเจ็บท้อง ยามก้มหน้าลงมองกลับค้นพบอย่างน่าพิศวงว่าร่างกายส่วนล่างถูกตัดขาดรอบเอว…


จากนั้นเบื้องหน้าเขาพลันมืดมัว สิ้นสติไป


ตูม!


อีกฟากหนึ่งชายคนหนึ่งศีรษะระเบิด ร่างไร้หัวยังมีแรงเฉื่อยพุ่งไประยะร้อยกว่าจั้งกลางอากาศค่อยหล่นสู่พื้นดังโครม


พรูดๆๆ…


เวลาต่อมาทยอยมีผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนแล้วคนเล่าถูกสังหาร โลหิตซ่านเซ็น สิ้นชีพในบริเวณต่างๆ


หลินสวินเวลานี้ดุจเพชฌฆาต สังหารหมู่คร่าชีวิตไร้ปรานี


ในเมืองแสงอุดรสิ่งมีชีวิตมากมายพำนักอาศัย ก่อนหน้านี้หนึ่งเค่อที่นี่ยังมีภาพคึกคักรุ่งเรือง


แต่ตอนนี้กลับอ้างว้างเงียบสงัด ทุกหนแห่งคือภาพผนังถล่มกำแพงทลาย แหลกลาญถ้วนทั่ว กลายเป็นซากปรักหักพัง


ทำให้ผู้คนล้วนไม่อาจจินตนาการ ว่าในการต่อสู้เมื่อครู่มีผู้บริสุทธิ์โดนลูกหลงสิ้นชีพไปภายใต้ความไม่ทันตั้งตัวเท่าไหร่กันแน่


เรื่องนี้แม้ไม่ได้เกิดจากหลินสวิน แต่ถึงอย่างไรก็เกี่ยวกับเขา นี่ทำให้ในใจเขาอดละอายขึ้นมาไม่ได้


คนหาใช่ต้นไม้ใบหญ้า ถึงได้ไร้ความรู้สึก


หลินสวินฝึกปราณถึงปัจจุบัน พวกที่สังหารล้วนทำให้เขาไม่ละอายต่อตัวเอง แต่มีเพียงครานี้ที่เกิดผลกระทบต่อสภาวะจิตของเขา


ดังนั้นขณะไล่ล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เหล่านั้น หลินสวินจึงเปลี่ยนเป็นอำมหิตยิ่ง มีเพียงเช่นนี้จึงจะทำให้เขาสงบใจได้!


เสี่ยวอิ๋นเองก็ออกเคลื่อนไหว คล้ายสัมผัสถึงความผิดแปลกในอารมณ์ของหลินสวิน ยามเจ้าตัวน้อยปฏิบัติตามคำสั่งหาได้ชักช้าแม้เพียงเสี้ยว


พรูดๆๆ


สายโลหิตสาดพรม


จำนวนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทยอยน้อยลงเรื่อยๆ


ไม่นานนักหลินสวินพบหนานกงหั่ว ฝ่ายตรงข้ามทำหน้าหวาดกลัวและหมดหนทาง สีหน้าซีดเผือดจวนโปร่งแสง


“หลินสวิน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า เป็นศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่ต้องการจับตายเจ้าเต็มกำลัง หมายชิงศุภโชคบนตัวเจ้า…” เขาเอ่ยเสียงสั่นร้องขอความเมตตา


พรูด!


ทว่ายังไม่ทันพูดจบก็ถูกหลินสวินปลิดชีพตรงนั้น กระทั่งก่อนตายนัยน์ตายังเบิกกว้างราวยากจะเชื่อ


ไม่นานนักพี่ชายเขาหนานกงสุ่ยก็ยากพ้นเคราะห์เช่นกัน ถูกเสี่ยวอิ๋นตัดรากพลังจิตอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ร่างล้มลงกับพื้นดังสนั่น


จากนั้นหลินสวินก็ตามทันกู้อวิ๋นถิง


“หลินสวิน…”


กู้อวิ๋นถิงกระอักกระอ่วนนัก สีหน้าเจือความขมขื่นสายหนึ่ง มองเห็นสหายเก่าคนนี้แล้วแม้อยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ สุดท้ายกลับไม่พูดมากความคล้ายยอมรับชะตากรรม


“ออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เถอะ”


กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่งแล้ว หลินสวินก็หันหลังจากไป


ตั้งแต่การตามฆ่านี้เริ่มต้น หลินสวินก็รู้ว่ากู้อวิ๋นถิงสหายเก่าที่เคยขัดแย้งกับตนคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยเรื่องการตามล่า กู้อวิ๋นถิงน่าจะอยู่ในสภาพจนปัญญา


เห็นเงาหลังหลินสวินจากไป กู้อวิ๋นถิงอึ้งงัน สีหน้ามึนงง ล้วนไม่กล้าเชื่อว่าตนยังมีโอกาสรอดชีวิต…


‘ต่อให้เจ้าไม่เตือน ข้าก็จะออกจากสำนัก…’


กู้อวิ๋นถิงสีหน้าซับซ้อน คนมากขนาดนั้นตายลง แต่เขากลับอยู่รอดปลอดภัย หากทางสำนักรู้เข้าคงยากที่จะไม่คลางแคลง!

 

 

 


ตอนที่ 1007 ตั้งปณิธาน

 

แสงสายัณห์เข้มข้น


หลินสวินหยุดยืนอยู่นอกเมือง หันกลับไปมองเมืองแสงอุดรที่กว้างใหญ่นั่น อาณาบริเวณกว่าครึ่งล้วนล่มสลายกลายเป็นซากปรักหักพังถล่มทลาย


อานุภาพของสมบัติอริยะน่าหวาดกลัวเหลือเกิน หลินสวินรู้ดีว่าเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือตนมากสุดก็สำแดงอานุภาพได้แค่หนึ่งในหมื่น


แต่แม้อานุภาพแค่นั้นกลับยังเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน


แสงสลัวรางตามธรรมชาติ ลมหนาวพัดผ่าน เจือกลิ่นควันและโลหิต


เสี่ยวอิ๋นหวนกลับมา ศีรษะที่เชิดหยิ่งเสมอมากลับก้มลงเล็กน้อย คล้ายสร้อยเศร้าอยู่บ้าง “นายท่าน หนีไปได้สองคนขอรับ”


หลินสวินชะงักไปก่อนกล่าว “เพียงพอแล้ว”


“แต่สำหรับข้ากลับเป็นความอัปยศ!” ใบหน้างามหาใดเปรียบของเสี่ยวอิ๋นเผยความไม่พอใจวูบหนึ่ง กำหมัดแน่นกล่าว “ต่อไปข้าจะไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก!”


พูดพลางเขากลายเป็นแสงเงินหวนสู่ห้วงนิมิต


เจ้าตัวน้อยนี่หยิ่งทะนงหาใดเปรียบ รักศักดิ์ศรียิ่งชีวิต การปฏิบัติตามคำสั่งยิ่งมีเงื่อนไขละเอียดลออกว่าหลินสวิน


พอเห็นเขาโกรธเช่นนี้ หลินสวินนอกจากสะท้อนใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่รู้ว่าเสี่ยวอิ๋นคงอุปนิสัยเช่นนี้บำเพ็ญเพียรต่อไป จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่


หลินสวินสูดหายใจลึกไม่คิดมากอีก สายตาเขากวาดมองซากปรักหักพังทั้งแถบนั่น ในใจตั้งปณิธาน


‘สักวันหนึ่งหากข้าหลินสวินก้าวอยู่บนมหามรรค จะต้องนำมหาโชคมาที่นี่ ปลดปล่อยจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ณ ที่แห่งนี้ รักษาสันติสุขตราบนิรันดร์!’


ทันทีที่เอ่ยปณิธานเช่นนี้ หลินสวินพลันมีความรู้สึกอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ความละอายในสภาวะจิตถูกพลังบริสุทธิ์แน่วแน่ขจัดสิ้น เปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว ว่างเปล่าไร้มลทิน


‘นี่อาจเป็นแรงปรารถนาสายหนึ่ง เล่าลือว่าอริยบุคคลที่ก้าวสู่อริยมรรคต่างต้องตั้งปณิธานมหามรรค มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถหลอมมรรคผลศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ดับสลาย…’


หลินสวินเหมือนคิดอะไรได้


นอกเมือง ผู้ฝึกปราณมากมายหลบซ่อนอยู่ห่างไกล สายตาจับจ้องบนร่างหลินสวินโดยไม่มีข้อยกเว้น


ก่อนหน้านี้เกิดศึกใหญ่สะเทือนใต้หล้า ศิษย์แกนหลักหลายคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถูกกำราบ กลุ่มผู้สืบทอดคนอื่นๆ ก็เกือบพินาศทั้งกองทัพ นี่ต้องนำมาซึ่งความปั่นป่วนโกลาหลแน่


ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างไม่อาจนิ่งสงบ จิตใจอลหม่าน สามารถคาดเดาได้เลยว่าข่าวนี้ต้องสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทำให้ทั้งแคว้นกู่ชางโกลาหล


อีกทั้งเดิมทีก็ปิดไม่อยู่สิ้นเชิง ทุกสายตาจับจ้อง คนมากมายล้วนมองเห็น แม้แต่เมืองแสงอุดรยังถูกทำลายเกินครึ่ง เรื่องเช่นนี้ไม่อาจปกปิดได้แต่แรก


หลายวันก่อนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เปิดฉากไล่ล่าเทพมารหลิน บัดนี้กลับถูกสังหารเกลื่อนพ่ายแพ้ไม่เป็นขบวน ราวกำลังฉีกหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!


เทพมารหลินที่อยู่ไกลออกไปแม้ท่าทางสง่างามพ้นโลกีย์ แต่กลับถูกผู้คนตีตราว่าเป็นเทพมาร


นี่คือเด็กหนุ่มเทพมารที่แท้จริง ทรงพลังเกินไปแล้ว!


ทว่าพวกเขาเองคลางแคลงเช่นกัน ยามแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทราบข่าวพวกนี้ เทพมารหลินจะสามารถรอดชีวิตต่อไปหรือไม่


แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถือเป็นสำนักโบราณที่ชื่อเสียงเด่นดังทั่วแดนชัยบูรพา หาเรื่องพวกเขา แม้ใต้หล้ากว้างใหญ่ก็เกรงว่าคงไร้ที่ให้เด็กนี่ซ่อนตัวอีก


“ทุกท่าน ยังดูเรื่องสนุกไม่พอรึ” หลินสวินหันกลับไป นัยน์ตาดำขลับล้ำลึกกวาดมองเหล่าผู้ฝึกปราณนั่น


ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณไม่น้อยในใจเครียดเกร็ง หันหลังจากไปทันที


ทว่ามีผู้ฝึกปราณอีกมากไม่ขยับ เมืองแสงอุดรนี้แม้ไม่กว้างใหญ่ แต่ก็มีผู้แข็งแกร่งทรงอิทธิพลรุ่นอาวุโสไม่น้อยมองเห็นศึกใหญ่ครั้งนี้ คนส่วนหนึ่งจึงจับจ้องเจดีย์สมบัติของหลินสวิน


นี่เป็นถึงสมบัติอริยะ!


ไม่ว่าใครเห็นล้วนไม่อาจไม่ใจสั่น เพียงแต่ไม่มีคนกล้าทำอะไรผลีผลาม พลังต่อสู้ของหลินสวินเมื่อครู่พวกเขาล้วนเห็นอย่างชัดแจ้ง ในใจต่างหวาดกลัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย


หลินสวินไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ ทะยานไปที่ห่างไกล


ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรของเขายังกักขังศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สี่คนอย่างหลิงหงจิน เสวี่ยเชียนเหิน จางเจิง อวี้เป๋าเป่าไว้


สาเหตุที่ไม่สังหารเพราะมีประโยชน์อื่น


‘ช่างรนหาที่ตาย…’ ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นว่าด้านหลังตนมีเงาร่างผู้ฝึกปราณไม่น้อยตามมา นี่ทำให้ในใจเขาพลันเกิดจิตสังหาร


“ทุกท่าน พวกเจ้าห่วงว่าข้าจะถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แก้แค้น จึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปพร้อมข้าเพื่อต่อกรแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วยกันหรือ” หลินสวินหยุดยืนหันกลับมาถาม


ทันทีที่กล่าววาจานี้ออกไป ผู้ฝึกปราณไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาไม่อยากถูกลากลงน้ำไปด้วย ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เห็นเป็นพวกเดียวกับเทพมารหลิน


ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนเลือกล่าถอยเด็ดขาด แม้สมบัติอริยะจะดีแต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิต


และมีพวกอวดเก่งไม่ยอมแพ้ ยังคงตามติดหลังหลินสวิน


สมบัติอริยะหายาก มีวาสนาจึงพบพาน ต่อให้เป็นอริยะมาเจอก็ต้องยื่นมือช่วงชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย


เพียงแต่ที่พวกเขาไม่ลงมือทันทีเพราะกำลังใช้วิชาลับเรียกพวกพ้อง คิดรวมพลังจนเพียงพอค่อยสังหารหลินสวิน


หลินสวินเห็นดังนั้นพลันหันกลับ ไม่ลังเลอีก เรียกดาบหักออกมาพิฆาตสังหาร


ต้องรู้ว่าในการประลองกับพวกเสวี่ยเชียนเหินก่อนหน้า หลินสวินล้วนไม่เคยใช้ดาบหัก ใครเล่าจะคิดว่านี่ต่างหากคือมรรคสังหารที่แท้จริงของเขา


ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณซึ่งตามมาหน้าสุดถูกสังหารคาที่ ฝนโลหิตซ่านเซ็น เสียงร้องโหยหวนก้องฟ้าดินทำเอาผู้คนขนพองสยองเกล้า


“คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร ทางที่ดีทุกท่านลองชั่งใจว่าทำเช่นนี้คุ้มค่าหรือไม่” พูดจบหลินสวินก็หันหลังจากไป


“เจ้าเด็กนี่ฝีมือเหี้ยมโหดนัก!”


“เฮ้อ นั่นน่ะสมบัติอริยะเชียวนะ…”


“ไปเถอะ เด็กนี่สามารถสยบคนในขอบเขตมกุฎได้อย่างง่ายดาย นอกเสียจากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันลงมือเอง ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจถูกกำราบ”


สุดท้ายเหล่าผู้ฝึกปราณที่เจตนาไม่ซื่อก็หยุดเท้า ไม่กล้าไล่ตามอีก


ผ่านไปครึ่งเค่อ


กลางเทือกเขาทอดยาวแถบหนึ่ง หลินสวินพลันหยุดเดินหันหลังกล่าว “เจ้าเฒ่าออกมาเถอะ ข้ากำลังมีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”


รอบด้านเงียบสงัด ว่างเปล่าไร้ผู้คน


ฟุ่บ!


แต่หลินสวินกลับไม่งุนงงแม้เพียงนิด ดาบหักพุ่งออกมาดั่งรุ้งเทพสีเงิน โฉบบินไปยังจุดหนึ่งกลางอากาศ


“เจ้าถึงกับหาข้าพบ?” ไม่รอให้ดาบหักเข้าประชิด เงาร่างขมุกขมัวหนึ่งทะยานออกมา สีหน้าเคร่งขรึมระคนประหลาดใจ


นี่คือชายกลางคนร่างผอม เบ้าตาบุ๋มลึกผู้หนึ่ง กลิ่นอายทรงพลังยิ่ง เป็นเหวินสิงโจวราชันกึ่งระดับที่เคยจู่โจมหลินสวินมาก่อนผู้นั้น!


หลินสวินไม่มีทางบอกเขาว่าตั้งแต่ออกจากเมืองแสงอุดร พลังจิตรับรู้ที่บรรลุ ‘ดอกเทพรวมยอด’ ขั้นแรกของเขาก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว


“คราวก่อนเจ้าพ่ายแพ้ ครั้งนี้เจ้าก็ไร้โอกาสพลิกสถานการณ์ ทว่าข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่มีเรื่องหนึ่งให้เจ้าทำ” หลินสวินกล่าวราบเรียบ


เหวินสิงโจวสีหน้าคล้ำเขียว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาราชันกึ่งระดับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้สง่างาม ถูกคนเหยียดหยามและออกคำสั่งเช่นนี้


แต่สถานการณ์บีบบังคับ ทำให้เขาจำต้องอดกลั้นกล่าวเย็นชา “ข้ายอมรับ คิดสังหารเจ้าเป็นเรื่องยากนัก แต่เจ้าคิดว่านี่จะสั่งข้าได้รึ”


หลินสวินไม่ใส่ใจความเดือดดาลในคำพูดเขา พูดเองเออเอง “กลับไปบอกฉู่เป่ยไห่ ข้าจะรอเขาที่เมืองวายุทราย จำไว้ว่าให้นำยันต์ผนึกต้องห้ามที่เปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมาด้วย ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ชาตินี้อย่าหวังจะได้เจอศิษย์แกนหลักอย่างพวกเสวี่ยเชียนเหินอีกเลย”


“ที่แท้เจ้าจับตัวพวกเชียนเหินเพื่อการนี้!” เหวินสิงโจวเข้าใจทันที สีหน้าพลันอึมครึมหาใดเปรียบ


“จำไว้ มีเพียงฉู่เป่ยไห่คนเดียวที่มาได้ หากข้าพบว่ามีผู้มีปราณเหนือระดับราชันออกเคลื่อนไหว ข้าจะสังหารพวกเขาทันที” หลินสวินกล่าวราบเรียบ


เขาเชื่อว่ามีชีวิตพวกเสวี่ยเชียนเหินศิษย์แกนหลักทั้งสี่ในกำมือ แม้ฝ่ายตรงข้ามแค้นถึงขีดสุดก็ไม่อาจไม่ก้มหัว!


เหวินสิงโจวสีหน้าแปรปรวนไม่หยุด


เหมือนที่หลินสวินคาด เขาก็รู้ดีว่าหากมีโอกาสแลกชีวิตพวกเสวี่ยเชียนเหินกลับคืน แม้สำนักจะเดือดดาลแค่ไหนก็ต้องเลือกรับเงื่อนไขของหลินสวิน ทว่าวิธีการเช่นนี้ช่างน่าอัปยศ


เพราะศิษย์แกนหลักแต่ละคนต่างเป็นเลือดเนื้อจิตใจของสำนัก สูญเสียไปเพียงคนเดียวก็สามารถนำมาซึ่งผลกระทบหนักหน่วงไม่อาจประเมินได้


ถึงอย่างไรหากสำนักหนึ่งคิดหมายยืนหยัดต่อไป ก็ต้องมีคนเลือดใหม่ที่มากพอและแข็งแกร่งพอ


และพวกเสวี่ยเชียนเหินต่างเป็นบุคคลที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ หายากแม้แต่หนึ่งในหมื่น กล่าวได้ว่าพวกเขาคือตัวแทนอนาคตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!


“ต่อให้สุดท้ายเจ้าสามารถรอดชีวิตจากแคว้นกู่ชาง แต่เจ้าอยู่ได้ไม่นานก็ต้องถูกฆ่าแน่!” เหวินสิงโจวกัดฟันกรอด


“ในเมื่อข้ากล้าทำเช่นนี้ยังจะกลัวเรื่องพวกนี้หรือ” หลินสวินกล่าวอย่างไม่สนใจ


“ไอ้เด็กสวะ เจ้ารอก่อนเถอะ หากไม่กลายเป็นราชันสุดท้ายเจ้าก็ไม่อาจควบคุมชะตาตัวเอง พลังของสำนักโบราณแห่งหนึ่งหาใช่สิ่งที่ปลวกมดเยี่ยงเจ้าสามารถต้านทาน!” เหวินสิงโจวกล่าวเหี้ยมเกรียม


“เหอะๆ” หลินสวินหัวเราะกล่าว “แต่หากวันหนึ่งข้าก้าวสู่ระดับมกุฎราชัน เจ้ายังจะกล้าพูดเช่นนี้กับข้ารึ”


หว่างคิ้วเขาเผยความเยียบเย็นวูบหนึ่ง “ว่ากันตามจริงก็แค่รังแกข้าที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะไปเยือนประตูหน้าของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วยตัวเอง ดูสิว่าพวกเจ้ายังจะสามารถขวางหนทางของข้าหลินสวินได้หรือไม่!”


พูดจบเขาก็หันหลังจากไป


“ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!” เหวินสิงโจวสีหน้าเขียวคิดไล่ตามไป แต่สุดท้ายก็หยุดเท้า ด้วยกังวลว่าจะยั่วโทสะหลินสวิน


ขณะเดียวกันในใจเขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง


ศักยภาพแฝงของหลินสวินน่าหวาดกลัวเหลือเกิน เพิ่งมีปราณระดับกระบวนแปรจุติก็มีพลังกำราบบุคคลขอบเขตมกุฎในรุ่นเดียวกัน หากภายหน้าเขากลายเป็นราชันกลายเป็นอริยะ จะร้ายกาจขนาดไหน


‘ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้สำนักโดยด่วน!’ เหวินสิงโจวรู้ว่าสถานการณ์รุนแรง จึงไม่กล้ารีรออีกเพียงเสี้ยว หันหลังจากไปทันที


สวบ!


อีกทิศทางหนึ่ง หลินสวินเรียกยานขนส่งอวกาศออกมา บินทะยานไปทางเมืองวายุทรายเต็มกำลัง


เขาต้องชิงไปถึงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณนั่นก่อน ป้องกันไม่ให้ที่นั่นถูกศัตรูวางตาข่ายดัก


ขอแค่ทำได้ถึงขั้นนี้ หนทางออกจากแคว้นกู่ชางก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


‘ครั้งนี้สังหารผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มากขนาดนั้น สำนักโบราณนี่คงโกรธจนแทบคลั่ง…’


แม้รู้ดีว่าสถานการณ์รุนแรงนัก แต่ในใจหลินสวินกลับไม่มีความหวั่นหวาดแม้แต่น้อย ขอแค่ออกจากแคว้นกู่ชาง ภัยคุกคามจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็จะอ่อนกำลังลงไม่น้อย


อีกทั้งหลินสวินแน่ใจนัก เพื่อรักษาหน้า ฝ่ายตรงข้ามอย่างมากก็ได้แค่ส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาจัดการตน


สำหรับอริยะ…


แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คงไม่โง่จนถึงขั้นเชิญผู้ดำรงในระดับนี้มาลงมือ


ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากขายหน้าเกินไป หากถูกสำนักอื่นในแดนชัยบูรพารู้เรื่องเข้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องเสียหน้าแน่


ถึงอย่างไรให้อริยะคนหนึ่งไปสังหารผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติก็เป็นเรื่องไร้สาระมาก จะเห็นได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไร้น้ำยา!


ดังนั้นคราวนี้หลินสวินจึงมุ่งหน้าไปเมืองวายุทรายอย่างไม่กังวลอะไร แม้อีกฝ่ายส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาดักสังหาร เขาก็มีวิธีรับมือ


ก่อนหน้านั้น ฝ่ายตรงข้ามต้องกล้าทำเช่นนั้นจริง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)