Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 990-993

 ตอนที่ 990 โชคชะตากลั่นแกล้ง

 

กลับเห็นหลินสวินถอนหายใจพูด “ดูเหมือนจะต้องแพ้จริงๆ แล้ว แต่อาตมาไม่จำยอม ให้อาตมาชื่นชมสักหน่อยว่าศิลาอุกกาบาตที่สหายยุทธ์เลือก สุดท้ายจะผ่าสมบัติที่ตะลึงโลกเพียงใดออกมา”


“ฮ่าๆ เช่นนี้แหละที่เรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” หนุ่มสาวเหล่านั้นหัวเราะเยาะ


“ข้าบอกแล้วว่าครั้งนี้จะต้องทำให้เจ้าพ่ายแพ้อย่างราบคาบแน่นอน!” หนานกงสุ่ยเผยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ดูหยิ่งผยองอย่างมาก


ไม่นานคนผ่าหินเจี่ยเจิ้งก็เริ่มลงมือ บรรยากาศในลานก็เงียบลงตาม ทุกสายตาต่างจับจ้องอย่างใกล้ชิด


พวกเขาเองก็สงสัยว่าในศิลาอุกกาบาตที่หนานกงสุ่ยเลือก จะสามารถผ่าสมบัติระดับใดออกมาได้


รวมทั้งหลินสวินเองก็กำลังจดจ้องศิลาอุกกาบาตก้อนนี้เช่นกัน


เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า สายตาที่หลินสวินมองศิลาอุกกาบาตชิ้นนั้นแฝงแววประหลาดที่ยากจะมองเห็น


เศษดินปลิวว่อน เจี่ยเจิ้งดูจริงจังและรอบคอบอย่างมาก การกระทำก็ระมัดระวังถึงขีดสุด เพราะเขาเองก็ดูออกว่าศิลาอุกกาบาตก้อนนี้ไม่ธรรมดา


ตุบ! ตุบ!


ศิลาอุกกาบาตยังไม่ถูกผ่าออกโดยสมบูรณ์ เสียงที่ดังขึ้นอย่างมีจังหวะและแปลกประหลาดก็ดังออกมา


ราวกับเสียงหัวใจที่เต้นอย่างทรงพลัง ตอนแรกยังไม่ได้ยิน แต่เสียงค่อยๆ ดังขึ้นราวกับตีกลอง


เสียงที่ดังขึ้นถี่ๆ นั่นหมายถึงพลังชีวิตที่เปี่ยมล้น ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนสูดหายใจด้วยความตกใจ ดวงตาทอประกาย


หรือในหินนี้หล่อเลี้ยงวิญญาณสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ตัวหนึ่ง?


หลายคนถึงกับพูดไม่ออก ในอดีตกาลก็เคยมีคนผ่าสิ่งมีชีวิตพิเศษออกจากศิลาอุกกาบาต


อย่างเมื่อสองพันกว่าปี ภิกษุคนหนึ่งที่มาจากส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก เคยผ่าได้ ‘ปลามังกรเพลิง’ ตัวหนึ่ง นี่เป็นถึงสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่ถูกอริยบุคคลบรรพกาลมองว่าเป็น ‘ปลาเทพ’ มีมงคลแต่กำเนิด


หรืออย่างเมื่อแปดพันปีก่อน ชายหนุ่มยากจนนามว่าเย่จือชิวผ่าเจอ ‘วิญญาณกระบี่’ โดยบังเอิญ แปรสภาพเป็นเด็กสาวแรกแย้มควบคุมวิถีกระบี่ไร้เทียมทาน ทำให้ชายหนุ่มคนนี้คุกเข่าคารวะ นับถือวิญญาณกระบี่เป็นอาจารย์


จวบจนถึงตอนนี้ เย่จือชิวคนนี้เป็นอริยะวิถีกระบี่ที่ชื่อเสียงสะเทือนดินแดนรกร้างโบราณมานานแล้ว ควบคุมดูแลศาลากระบี่ดั่งใจแห่งยอดเขาหิมะ ถูกทั่วโลกยกย่องให้เป็น ‘อริยะกระบี่ดั่งใจ’!


ข่าวลือเช่นนี้ไม่น้อยเลย


และตอนนี้ในศิลาอุกกาบาตที่หนานกงสุ่ยเลือก ปรากฏเสียงเป็นจังหวะชีวิตที่น่าตกใจ นี่ย่อมทำให้ผู้คนตกตะลึง


แม้จะเป็นหนานกงสุ่ย ตอนนี้ยังสายตาร้อนระอุ ในใจสั่นสะท้าน ก่อนหน้านี้เขาสามารถประเมินออกมาได้ว่าหินนี่ไม่ธรรมดา กลับคิดไม่ถึงว่าจะวิเศษถึงขนาดนี้!


ผู้ฝึกปราณที่มุงกันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ต่างกลั้นหายใจจ้องเขม็ง สายตาล้วนจับจ้องที่ศิลาอุกกาบาตก้อนนั้นโดยพร้อมเพรียง ในใจคาดหวัง


ผู้ฝึกปราณหลายคนอดตื่นเต้นไม่ได้


คนผ่าหินรู้สึกถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การกระทำของเขายิ่งระมัดระวัง กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำร้ายสิ่งที่ชีวิตที่ซ่อนอยู่ในหินนี้


มีเพียงหลินสวินที่นิ่งมาก เขารู้ผลลัพธ์ตั้งนานแล้ว


แกรก!


พอศิลาอุกกาบาตถูกผ่าออกมาอย่างสมบูรณ์ จู่ๆ แสงศักดิ์สิทธิ์สีดำแถบหนึ่งก็สาดส่องออกมา ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ ว่างเปล่าราวกับรัตติกาลนิรันดร์


“สวรรค์!”


“มีวิญญาณสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ถูกเลี้ยงอยู่ภายในจริงๆ ด้วย”


“เป็นดักแด้ตัวหนึ่ง!”


บรรยากาศที่เงียบสงัดถูกทำลาย ทั้งลานเดือดคลั่งขึ้นมา เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น


ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างเห็นว่า ภายในศิลาอุกกาบาตที่ผ่าออกมานั่นมีแสงสีดำไหลเวียน ไอมรรคแพร่กระจาย ดักแด้สีดำขนาดราวนิ้วโป้งตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างในเงียบๆ


เสียงจังหวะชีวิตที่พลุ่งพล่านราวกับตีกลองนั่น ถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในดักแด้ตัวนี้


ทุกคนต่างมีความรู้สึกงุนงงเลื่อนลอยอย่างหนึ่ง ราวกับสิ่งมีชีวิตวิญญาณในดักแด้นั่นเป็นราชันที่มาจากส่วนลึกของหุบเหวมาร มีพลังที่น่าหวาดหวั่น


หนานกงสุ่ยดีใจยกใหญ่ แทบจะกรีดร้องออกมา


ครั้งนี้เดิมทีเขาคิดจะเชือดหลินสวินอย่างแรงดาบหนึ่ง ชนะเอาโอสถราชันต้นนั้นมาครอบครอง คิดไม่ถึงว่าภายใต้ความบังเอิญ กลับผ่าได้ดักแด้มีชีวิตที่มหัศจรรย์ตัวหนึ่ง!


ผลเก็บเกี่ยวนี้เรียกได้ว่าพลิกฟ้า


ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เองก็สีหน้าซับซ้อน ในใจอิจฉาอย่างที่สุด หากพูดถึงราคา ดักแด้นี่ต้องไม่สามารถประเมินค่าได้อย่างแน่นอน ทองก็ไม่สามารถแลกได้!


ครานี้หนานกงสุ่ยกำไรมหาศาลเลย!


ในเวลาเดียวกันสายตาที่พวกเขามองหลินสวินกลับแฝงความเวทนา ภิกษุนี่โชคร้ายเกินไปแล้ว…


“ภิกษุ ตอนนี้เจ้าตายใจหรือยัง ข้า…” หนานกงสุ่ยตื่นเต้น แม้แต่เสียงยังเปลี่ยนไป แฝงความกระตือรือร้น ท่าทางภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม


เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสียงก็หยุดไปอย่างกะทันหัน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


พลันเห็นว่าบนดักแด้สีดำนั่น แสงประกายสีดำแตกซ่านกะทันหัน ไอมรรคจางไป เสียงจังหวะชีวิตอันแรงกล้าราวกับเสียงกลองในตอนแรกก็ชะลอตามไปด้วย


ทันใดนั้นหนานกงสุ่ยเหมือนถูกฟ้าผ่า ทั้งร่างราวกับสูญเสียวิญญาณ เขาพุ่งเข้ามาแทบจะคลั่ง ประคองดักแด้สีดำนั่นออกมาด้วยสองมือที่สั่นระริก พินิจอย่างละเอียด


กลับพบว่าดักแด้กลายเป็นหินอันแข็งทื่อ เย็นเยียบ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีคลื่นแห่งชีวิตอีกเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว


ราวกับว่ามันได้สูญเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณที่เย็นเยียบ!


“นี่…” ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นฉากนี้ ต่างตกตะลึง เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร


การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทำให้ไม่ทันตั้งตัว


ตอนแรกควรเป็นวาสนาครั้งใหญ่ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอิจฉา ไม่คิดว่าเพียงพริบตากลับเกิดการพลิกผันเช่นนี้


สิ่งมีชีวิตอัศจรรย์ที่ตายไปแล้ว ก็จะเท่ากับไร้ค่า!


ทั้งลานเงียบกริบ ตะลึงกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้


มีเพียงหลินสวินที่ถอนหายใจยาว “เฮ้อ ดักแด้นี้ยังไม่ถึงเวลาแปรสภาพ ไม่ควรปรากฏตัวบนโลกตอนนี้ ใครจะคิดว่าโชคชะตากลับกลั่นแกล้งคน ทำให้ดักแด้สิ้นชีพตั้งแต่ในครรภ์ ช่างน่าปวดใจ”


คำพูดนี้ดังชัดเจนมากท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสนิท แต่สำหรับหนานกงสุ่ย คำพูดนี้ไม่เพียงแค่ชัดเจน แต่ยังบาดหู!


ชั่วช้า!


ยิ่งพอเห็นท่าทางรำพึงฟ้าเวทนาคนของหลินสวิน หนานกงสุ่ยพลันสั่นไปทั้งตัว อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด


น่าชังเกินไปแล้ว เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร


หนานกงสุ่ยคลั่งขึ้นมาแล้ว ควันออกเจ็ดทวาร หัวใจหลั่งเลือด มีอะไรที่น่าปวดใจกว่าการได้รับวาสนาครั้งใหญ่ แต่อยู่ดีๆ กลับหายแวบไปกับตาอีกหรือไม่


ไม่มี!


หนานกงสุ่ยรู้สึกว่าสวรรค์เหมือนกำลังกลั่นแกล้งตนชัดๆ


“สหายยุทธ์หนานกง ตานี้ตอนแรกพวกเจ้าชนะแน่แล้ว แต่ตอนนี้… เฮ้อ อาตมากลับชนะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ศุภโชคกลั่นแกล้งกันจริงๆ โดยแท้”


หลินสวินถอนหายใจ


สีหน้าของทุกคนแปลกประหลาดขึ้นมา จริงอย่างว่า ดักแด้ที่ตายไปแล้ว หากพูดถึงราคา ย่อมสู้หญ้ากาวิญญาณต้นหนึ่งไม่ได้


คำนวณเช่นนี้ การพนันครั้งใหญ่นี้พวกหนานกงสุ่ยแพ้แล้วจริงๆ


ไม่เพียงแค่เสียวาสนาครั้งใหญ่ ยังต้องเสียแกนวิญญาณขั้นสูงอีกคนละสี่หมื่นก้อน ผลกระทบนี้หนักหน่วงเกินไปแล้ว!


พรวด!


ตอนนี้หนานกงสุ่ยโกรธจนสั่นไปทั้งตัวแล้ว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เขายิ่งคิดยิ่งแค้น โกรธจนกระอักเลือดออกมา


หันมองบรรดาหนุ่มสาวที่อยู่ข้างๆ เขา สีหน้าต่างมืดมน ท่าทางคับข้องไม่จำยอม หงุดหงิดและหมดหวัง อัดอั้นจนแทบจะช้ำใจอยู่แล้ว


ความพลิกผันเช่นนี้กระทบจิตใจเกินไป เดิมทีคิดว่าศุภโชคใหญ่อยู่เพียงแค่เอื้อม ใครจะคิดเล่าว่าในช่วงเวลาสุดท้ายทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป


“สหายยุทธ์หนานกง โปรดรักษาสุขภาพ อาตมาว่านี่เป็นชะตาฟ้าลิขิต ทุกท่านอย่าได้คิดมากเกินไป เพียงแค่แกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อนเท่านั้น ทุกท่านล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา เชื่อว่าต้องจ่ายไหวแน่”


หลินสวินสีหน้าจริงจัง


ในใจทุกคนกลับลอบก่นด่าว่าภิกษุรูปนี้ไร้ยางอายเกินไป ได้กำไรไปมหาศาลยังจะพูดแดกดันเช่นนี้ นี่จะยั่วจนพวกหนานกงสุ่ยโกรธตายเลยหรือ


พลันเห็นหนานกงสุ่ยเหมือนรับแรงจู่โจมไม่ไหว กัดฟันกรอด สายตาที่มองหลินสวินราวกับดาบเยียบเย็น ท่าทางเหมือนอยากฆ่าคน


แต่สุดท้ายเขาก็ทนไว้ ที่นี่คืองานประเมินหิน หลายสายตาจับจ้อง มีผู้ฝึกปราณมากมาย หากเขาแสดงท่าทีว่าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เช่นนั้นต่อไปก็อย่าคิดว่าจะมีที่ยืนในแคว้นกู่ชางอีก


ฟึ่บ!


เขาโยนดักแด้เย็นเยียบตัวนั้นออกไปอย่างแรงราวกับเป็นการระบายอารมณ์ จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ พูด “ภิกษุ เจ้าอย่าได้ใจไป แค่แกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อนมิใช่หรือ ข้าหนานกงสุ่ยยังไม่ถึงขั้นรับความพ่ายแพ้ไม่ได้!”


พูดแล้วเขาก็โยนถุงเก็บของออกมา แล้วหมุนตัวเดินออกไป


ขืนยังไม่ไปกลัวว่าเขาจะควบคุมความเดือดดาลในใจไม่ไหว ลงมือฆ่าคน!


“พุทธะท่านว่า ทิ้งแกนวิญญาณไว้ กลับใจคือฟากฝั่ง สหายยุทธ์หนานกงถือได้ปล่อยวางได้ ช่างสมกับที่เป็นแบบอย่างของคนรุ่นเยาว์เยี่ยงเราๆ แกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อนนี้อาตมาขอรับไปด้วยความยินดี” หลินสวินยิ้มพูด


พลันเห็นหนานกงสุ่ยที่อยู่ในระยะไกลเซเกือบจะล้ม เห็นได้ชัดว่าโกรธจนแทบคลั่งแล้ว


ในใจทุกคนต่างลอบก่นด่าว่าภิกษุรูปนี้ไม่ใช่คนดีอะไร พุทธะท่านเคยพูดคำพูดน่าชังอย่างวางแกนวิญญาณเมื่อไหร่กัน


“ทุกท่านล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตา เหตุใดยังไม่จ่ายแกนวิญญาณก็คิดจะไปแล้ว นี่เป็นงานประเมินหินนะ หากหนีไปเช่นนี้จะดูขายหน้าหรือเปล่า”


จู่ๆ หลินสวินก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาพบว่าหนุ่มสาวกลุ่มนั้นมีท่าทีว่าจะแอบหนี จึงรีบส่งเสียงห้าม


หนุ่มสาวเหล่านั้นอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ทีแรกอยากจะเข้าร่วมกระบวนการเชือดแกะอ้วน แต่คิดไม่ถึงว่า แกะอ้วนตัวนี้กลับโต้กลับในช่วงเวลาสุดท้าย!


ท่ามกลางสายตาของทุกคน พวกเขาไม่มีหน้าเบี้ยวจริงๆ มิฉะนั้นคงวิ่งหนีหรือฆ่าคนปิดปากไปตั้งนานแล้ว


สุดท้ายพวกเขาทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม


หลายคนพกแกนวิญญาณมาไม่พอ จึงจำนองด้วยทรัพย์สินทั้งหมดที่มี


และมีคนที่แม้จะจำนองด้วยทรัพย์สินทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังไม่ถึงสี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง เดิมทีคิดว่าในฐานะนักบวช ภิกษุที่อยู่ตรงหน้าไม่มีทางจริงจังขนาดนั้น อย่างไรก็คงปล่อยพวกเขาไป


ใครจะคิดว่าภิกษุนี่กลับเรียกร้องตรงๆ ไม่มีเงินก็ได้ แต่ต้องลงนามในหนังสือหนี้! หากไม่จ่ายภายในสามเดือน ทบดอกทบต้นเป็นเท่าตัว!


นี่ยังใช่ภิกษุที่จิตใจเมตตาอยู่หรือ


เป็นโจรที่กินคนไม่คายกระดูกชัดๆ!


แต่สุดท้ายพวกเขาก็จำต้องลงนามในหนังสือหนี้ที่โหดร้ายและเรียกได้ว่าน่าอับอายเช่นนั้น


กลุ่มผู้ฝึกปราณที่มุงดูอยู่เห็นทุกอย่างในสายตา ต่างอดถอนหายใจด้วยความสลดใจไม่ได้ ภิกษุรูปนี้ไม่มีความรู้ด้านการประเมินหินเลย โชคก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ดันชนะในตอนสุดท้าย เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!


หรือนี่คือฟ้าลิขิตจริงๆ งั้นหรือ


“เอ๊ะ ดักแด้นั่นไปไหนแล้ว” จู่ๆ ก็มีคนสังเกตเห็นว่าดักแด้สีดำในลานหายไปแล้ว


“ถูกหนานกงสุ่ยทิ้งไปตั้งนานแล้ว ของนั่นสูญเสียคลื่นชีวิต ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ยังจะห่วงทำไมอีก” มีคนยิ้มเยาะ


ในเวลาเดียวกันหลินสวินกระชับฝ่ามือ ดักแด้สีดำนั่นถูกเขาฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกตเก็บไปตั้งนานแล้ว


เพียงแต่ตอนที่เขาเตรียมจะจากไป กลับถูกขวางทางไว้กะทันหัน

 

 

 


ตอนที่ 991 คนผู้นี้สมควรฆ่า

 

คนที่ขวางทางคือชายหนุ่มเสื้อเหลืองคนหนึ่ง คิ้วกระบี่ตาดารา ฟันขาวริมฝีปากแดง บุคลิกโดดเด่นอย่างมาก


หากหลินสวินจำไม่ผิด อีกฝ่ายคือหนึ่งในผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ติดตามฉู่เป่ยไห่มางานประเมินหินนี้


“ภิกษุ ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าให้มาเชิญ ตามข้ามาเถอะ” คำพูดของชายหนุ่มเสื้อเหลืองราบเรียบสบายๆ แต่มีความเย่อหยิ่งรางๆ


“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคือใคร” หลินสวินถาม


ชายหนุ่มเสื้อเหลืองขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นมุมปากเผยองศาเย่อหยิ่ง “ฉู่เป่ยไห่”


คำสั้นๆ เพียงสามคำกลับเหมือนมีพลังวิเศษ ทำให้ผู้ฝึกปราณบริเวณรอบๆ ที่มองมาทางนี้ต่างหรี่ตาลง ราวกับคิดไม่ถึงว่าผู้นำรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างฉู่เป่ยไห่ ตอนนี้กลับมาเชิญภิกษุรูปนี้


หรือเป็นเพราะเรื่องพนันหินเมื่อครู่นี้


หลายคนหัวใจสะท้าน


“ช่างเถอะ อาตมามีธุระต่อ คงไม่อาจทำตามที่ขอได้ หากในอนาคตมีโอกาส อาตมาค่อยไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองก็ยังไม่สาย” หลินสวินปฏิเสธอย่างไม่ลังเล


เขากับฉู่เป่ยไห่ไม่รู้จักกัน แต่อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายเชิญชวนก่อนในเวลานี้ นี่ผิดปกติมาก


อีกอย่างเขาเคยขัดแย้งกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างพวกหนานกงสุ่ยและหนานกงหั่ว ไม่อยากไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตอนนี้จริงๆ


“เจ้ากล้าปฏิเสธงั้นหรือ” ชายหนุ่มเสื้อเหลืองอึ้ง นี่เป็นคำชวนของศิษย์พี่ฉู่เชียวนะ ผู้ฝึกปราณทั่วไปใครบ้างจะไม่ยอมก้มหัวทำตามโดยดี


“ฮะๆ เหตุใดอาตมาจะปฏิเสธไม่ได้” หลินสวินหัวเราะ ประโยคเดียวก็ทำให้เขาฟังออกว่าจิตใจของอีกฝ่ายเย่อหยิ่งเพียงใด


“เจ้าไม่ถามหน่อยหรือว่าศิษย์พี่ฉู่มีเรื่องอันใดกับเจ้า” ชายหนุ่มเสื้อเหลืองไม่พอใจนัก รู้สึกว่าตนออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว แต่ภิกษุนี่กลับไม่ไว้หน้าเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่ามองข้ามความหวังดี


“ขออภัย อาตมาขอตัวก่อน”


ตอนที่พูดหลินสวินก็หมุนตัว เดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงเลยสักนิด


ชายหนุ่มเสื้อเหลืองยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ในใจหลินสวินรู้สึกผิดปกติ


“เจ้า…” ชายหนุ่มเสื้อเหลืองถึงขั้นรู้สึกคลั่งขึ้นมา ภิกษุรูปนี้เย่อหยิ่งเกินไปแล้ว คิดจะไปก็ไป คิดว่าตนไม่มีตัวตนหรือ


แต่ตอนที่เขาจะไปรั้งอีกฝ่ายกลับพบอย่างน่าตระหนกว่า เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นภิกษุนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!


“ไม่ถูกสิ เจ้าหมอนั่นเหมือนคนทำผิดแล้วร้อนรนไม่มีผิด!” ชายหนุ่มเสื้อเหลืองหรี่ตา รีบหมุนตัวกลับไปรายงานสถานการณ์นี้กับฉู่เป่ยไห่ทันที


……


ในส่วนลึกสุดของสวน มีทั้งศาลาและตึกหอ ทะเลสาบไหวเคลื่อนเป็นระลอก


บนหอที่สูงที่สุด ฉู่เป่ยไห่นั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งหลัก รอบตัวเขามีแสงมรรคสีทองปกคลุม หลังตรงสง่า แม้นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างง่ายๆ แต่กลับให้ความรู้สึกอันตรายและยโสโอหัง


กลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างพวกหนานกงหั่ว กู้อวิ๋นถิงนั่งล้อมเขาอยู่ มีความหวาดเกรงไม่มากก็น้อย


จะว่าไปพวกเขาก็ถือเป็นบุคคลที่สะดุดตาท่ามกลางคนรุ่นเยาว์ ชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นกู่ชาง แต่ตอนนี้พออยู่ต่อหน้าฉู่เป่ยไห่ กลับจำต้องสำรวมตนลงสามส่วน


จากเรื่องนี้สามารถเห็นได้ว่าอานุภาพของฉู่เป่ยไห่แข็งแกร่งเพียงใด


“ศิษย์พี่ใหญ่ ภิกษุนั่นเพียงแค่โชคดีเท่านั้น เหตุใดจึงต้องชวนเขามา” หนานกงหั่วอยู่ในชุดคลุมสีทอง ใบหน้ายังคงความหล่อเหล่า


“ภิกษุคนนี้ไม่ธรรมดา” ฉู่เป่ยไห่พูดสบายๆ เสียงราวกับหยกกระทบกัน ทุ้มต่ำและแฝงพลังที่กระแทกใจ


“การพนันของเขากับศิษย์น้องหนานกงสุ่ยไม่ได้มีความสำคัญอันใด ที่ทำให้ข้าสนใจจริงๆ คือ คนผู้นี้ถึงกับกล้าล่วงเกินผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์”


พูดถึงตรงนี้ดวงตาที่ราวกับดาราของฉู่เป่ยไห่ก็สาดประกายสายฟ้าเจิดจ้าสองสาย ราวกับคมกระบี่สีเงินที่ตัดสลับกัน น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด


“ล่วงเกินผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์หรือ” ทุกคนต่างตะลึง


“อารามกษิติครรภ์เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์บำเพ็ญธรรมที่ลึกลับอย่างมาก รากฐานเรียกได้ว่าน่ากลัว เทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเราแล้วยังไม่ด้อยกว่า”


คำพูดของฉู่เป่ยไห่ราบเรียบแต่กลับดึงดูดจิตใตของทุกคนในที่นั้น “ตอนแรกข้ายังนึกว่ามีผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์มาร่วมงานประเมินหินครั้งนี้จริงๆ แต่ไม่นานก็พบว่า ภิกษุคนนี้ใช้การปลอมตัวง่ายๆ”


“ใครกล้าขนาดนั้น” พวกหนานกงหั่วประหลาดใจ


“นี่ก็คือสิ่งที่ข้าสงสัย วิชาแปลงกายอย่างง่ายที่คนผู้นั้นใช้ คงจะเป็นเคล็ดวิชามหาไร้รูปที่สืบทอดในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว หากไม่ใช่เพราะข้าครอบครองวิชาเนตรทองอัคคีแต่กำเนิด ก็เกือบจะถูกเขาลวง”


ฉู่เป่ยไห่พูดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ “จากเรื่องนี้ข้าสามารถตัดสินได้ว่า คนผู้นี้คงจะเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด จึงอยากเชิญเขามาพบหน้าสักหน่อย ถึงอย่างไรมหาสงครามก็จะมาเยือนแล้ว ได้รู้จักสหายที่น่าสนใจไว้บ้างก็ไม่เลว”


ทุกคนเข้าใจทันที


ตอนนี้เองชายหนุ่มเสื้อเหลืองนั่นเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ คารวะแล้วกล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่ สถานการณ์ผิดปกติอยู่บ้าง หลังจากได้รับฟังคำเชิญของท่าน ภิกษุนั่นก็หนีไปทันที!”


คนอื่นๆ ต่างตะลึง เจ้าหมอนี่ไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว หรือเขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่ฉู่รอเขาอยู่ที่นี่


ฉู่เป่ยไห่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นพูดเหมือนใคร่ครวญบางอย่างอยู่ “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยินยอมเปิดเผยฐานะ”


“ไม่ถูกสิ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเขาเหมือนกระทำความผิดแล้วร้อนตัว ศิษย์พี่ฉู่ท่านไม่รู้หรอกว่าภิกษุคนนี้ดูแล้วเหมือนไม่มีพิษสง แต่กลับไม่เห็นค่าความหวังดี ทั้งยังหนีไวกว่าใคร!” ชายหนุ่มเสื้อเหลืองยังคงเคือง คิดว่าการปฏิเสธของหลินสวินทำให้เขาเสียหน้า


“หืม?” ฉู่เป่ยไห่ใคร่ครวญ พลันสะบัดแขนเสื้อ ละอองแสงสว่างไสวกระจายออกมา แล้วแปรเป็นภาพวาดภาพหนึ่งโดยพลัน


บนภาพวาดเป็นเด็กหนุ่มที่รูปร่างสง่างาม ท่าทางหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน อยู่ในชุดคลุมสีขาวพระจันทร์ บุคลิกโดดเด่นอย่างมาก


“พวกเจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่” ฉู่เป่ยไห่ถาม


ทันทีที่สิ้นเสียง หนานกงหั่วก็ร้อง ‘เอ๋’ ด้วยความตกใจ พลันพูดว่า “เขาๆ… เหตุใดข้าจึงรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา”


ในเวลาเดียวกันกู้อวิ๋นถิงที่อยู่ข้างๆ ก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาเจิดจ้า


“อาจารย์อา เขานี่แหละ!” กลับเห็นชายหนุ่มชุดคลุมม่วงคนหนึ่งลุกพรวดขึ้น พูดอย่างตื่นเต้น “‘หินผนึกมรรค’ ที่ขายอยู่บนแผง คนผู้นี้แหละที่ได้ไป!”


“อะไรนะ” ชายชราชุดคลุมดำคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ สีหน้าอึมครึมลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นเขาจริงๆ”


“แน่ใจ!” ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงตอบอย่างหนักแน่น


เห็นปฏิกิริยาของทุกคนแตกต่างกันไป แต่เห็นได้ชัดว่าล้วนรู้จักคนหนุ่มผู้นี้ ฉู่เป่ยไห่อดหรี่ตาไม่ได้ พลันพูดว่า “เขาคือใคร”


“หลินสวิน!”


ในที่สุดหนานกงหั่วก็มั่นใจแล้ว ใบหน้าปรากฏความมืดทะมึน นึกถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกหลินสวินเตะจนก้นลายในสำนักศึกษามฤคมรกตตอนที่ไปเยือนโลกชั้นล่าง ความอับอายที่ถูกปิดผนึกไว้ในหัวใจมาเนิ่นนานพลุ่งพล่านขึ้นทันที


“ไม่ผิด เขานั่นแหละ” กู้อวิ๋นถิงพยักหน้า สีหน้าซับซ้อนอยู่บ้าง ผ่านไปหลายปี เขาคิดไม่ถึงว่ากลับมาเจออีกฝ่ายที่นี่


“พวกเจ้ารู้จักคนผู้นี้กันหมดเลยหรือ” ฉู่เป่ยไห่ตระหนักได้รางๆ ว่า สถานการณ์ดูผิดปกติไม่น้อย


“กลายเป็นเถ้าข้าก็จำได้!” หนานกงหั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลันอธิบายฐานะของหลินสวินรอบหนึ่ง


ในเวลาเดียวกันกู้อวิ๋นถิงก็เล่าถึงหลายเรื่องที่หลินสวินทำตอนอยู่ในนครต้องห้ามของโลกชั้นล่าง


“นี่ก็หมายความว่าเด็กนี่ใจกล้าคับฟ้าจริงๆ ในโลกชั้นล่างยังอวดดีขนาดนี้ หลังจากมาถึงดินแดนรกร้างโบราณ ไม่เพียงไม่เก็บตัวสำรวมตน กลับยังกล้าปลอมตัวเป็นผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสานนัก” ฉู่เป่ยไห่ฟังจบแล้ววิจารณ์ออกมา


“หลินสวินหรือ”


ไม่นานก็มีคนร้องด้วยความตกใจขึ้นมาอีก “ศิษย์พี่ฉู่ คนผู้นี้สมควรฆ่า!”

 

 

 


ตอนที่ 992 คลื่นลมไม่เป็นใจ

 

นี่คือสาวงามในชุดคลุมนกกระเรียน ผมงามเกล้าขึ้น นางพูดอย่างรวดเร็ว “ช่วงนี้มีข่าวเผยแพร่ออกมา ว่าอสูรเฒ่าแรดดำที่อีกไม่นานจะเข้าสู่สำนักของเราถูกคนรุ่นเยาว์นามว่าหลินสวินฆ่า หลังจากทางสำนักรู้ข่าวนี้ ก็ได้ออกคำสั่งจับเด็กหนุ่มนี่!”


ทันใดนั้นบรรยากาศทั้งที่นั้นพลันเปลี่ยนไป


อสูรเฒ่าแรดดำเป็นถึงราชันผู้หนึ่ง กลับถูกคนรุ่นเยาว์คนหนึ่งฆ่างั้นหรือ


ข่าวนี้น่าตะลึงเกินไปแล้ว!


“ว่ากันว่าเขาใช้กระบวนผนึกมรรคราชันที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกทำร้ายอสูรเฒ่าแรดดำ ความจริงศักยภาพไม่ได้แข็งแกร่งเพียงนั้น” สาวงามอธิบาย


บรรยากาศที่ตึงเครียดในตอนแรกผ่อนคลายลงไม่น้อย ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เหล่านี้แอบโล่งอกไม่มากก็น้อย


สีหน้าของฉู่เป่ยไห่แฝงความเย็นเยียบ เดิมทีเขาเพียงแค่สนใจเจ้าคนที่ปลอมตัวเป็นผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์เท่านั้น


ใครจะคิดว่า กลับเป็นการเปิดโปงเด็กหนุ่มนามว่าหลินสวินโดยไม่ได้ตั้งใจ!


เขาเคยขัดแย้งกับพวกหนานกงหั่วตั้งแต่อยู่ในโลกชั้นล่างแล้ว


จากนั้นก็แย่งหินผนึกมรรคที่เดิมทีควรเป็นของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไป


แม้แต่การพนันเมื่อครู่นี้ ยังทำให้พวกหนานกงสุ่ยเสียแกนวิญญาณไปมหาศาล


นี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอรู้ว่าอสูรเฒ่าแรดดำเองก็ถูกหลินสวินฆ่า และเจ้าหมอนี่ได้ถูกสำนักของพวกเขาประกาศจับแล้ว นี่ทำให้ฉู่เป่ยไห่ทนไม่ได้จริงๆ


“ศิษย์พี่ฉู่อย่าเสียเวลาอีกเลย ต้องรีบเคลื่อนไหวเดี๋ยวนี้!” หนานกงหั่วโวย


“หินผนึกมรรคยังอยู่ในมือเขา ต้องชิงกลับมา หินนั่นมีเลือดอริยะหลงเหลืออยู่ ที่มาไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะซ่อนมรดกรอยสลักวิญญาณเอาไว้!” ชายชราชุดคลุมดำนั่งไม่ติดแล้ว


เขานามว่าเซวียจิ้ง เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แน่นอนว่าย่อมรู้มูลค่าของหินผนึกมรรคชิ้นนั้นดี


พูดไปแล้วในใจเขาเองก็เสียใจอย่างมาก ครั้งแรกที่เห็นหินนั่น เขายังมองผิดคิดว่าเป็นเพียงของธรรมดา หลังจากออกมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่า หินธรรมดาก้อนนี้มีที่มาที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก


แต่ตอนที่เขาให้ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงไปซื้อ กลับช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว


“การตายของอสูรเฒ่าแรดดำต้องมีคำอธิบาย นี่เป็นการตัดสินใจของสำนัก พวกเราจะเพิกเฉยไม่ได้” สาวงามเองก็ส่งเสียง


“ก็ดี เขาคงยังไม่รู้ตัวว่าฐานะรั่วไหลแล้ว คงยังหนีไปได้ไม่ไกล ศิษย์น้องกู้อวิ๋นถิง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการ”


ฉู่เป่ยไห่ใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วตัดสินใจ


“ข้าหรือ” กู้อวิ๋นถิงอึ้ง


“เจ้ากับเขามาจากที่เดียวกัน รู้จักนิสัยของเขาที่สุด มีเจ้าออกเคลื่อนไหวข้าเองก็วางใจ” ฉู่เป่ยไห่พูด


“แต่…”


กู้อวิ๋นถิงลังเลเล็กน้อย


พูดตามตรงก็เพราะเขากับหลินสวินมาจากที่เดียวกัน ตอนที่รู้ว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้คือการไปสังหารหลินสวิน เขาจึงตัดสินใจไม่ได้ไปชั่วขณะ


ก่อนหน้านี้เขาเคยเกิดความขัดแย้งกับหลินสวินจริงๆ แต่นั่นมันเรื่องในอดีต ผ่านไปหลายปีแล้ว เขามองข้ามไปตั้งนานแล้ว


ให้เขาจัดกำลังคนไปเล่นงานหลินสวินตอนนี้ ก็ทำไม่ลงจริงๆ


ถึงอย่างไรอย่างน้อยพวกเขาล้วนมาจากโลกชั้นล่าง นี่เป็นความรู้สึกของการเป็น ‘คนบ้านเดียวกัน’ อย่างหนึ่ง


“ทำไม เจ้ามีคำถามหรือ” สายตาของฉู่เป่ยไห่มองกู้อวิ๋นถิงอย่างนิ่งสงบ สีหน้าที่ดูเหมือนเรียบเฉย กลับนำพาความกดดันให้กู้อวิ๋นถิงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


“ได้!” กู้อวิ๋นถิงฝืนใจตอบรับไว้


“ศิษย์น้องหนานกงหั่ว การเคลื่อนไหวครั้งนี้ให้เจ้าเสริมทัพช่วยศิษย์น้องกู้อวิ๋นถิง จำไว้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา ศักยภาพไม่สามารถดูแคลนได้ ห้ามประมาทเด็ดขาด หากจำเป็นก็สามารถเชิญให้ผู้อาวุโสระดับกึ่งราชันในสำนักลงมือได้เลย” ฉู่เป่ยไห่กำชับ


เขาดูคนแม่นมาโดยตลอด จากคำอธิบายเมื่อครู่นี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่า หลินสวินคนนี้จะต้องเป็นคนที่จัดการยากอย่างแน่นอน


หากเป็นผู้ฝึกปราณทั่วไป ไม่ถึงขั้นที่เขาจะกำชับอย่างจริงจังขนาดนี้


“ได้!” หนานกงหั่วตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เขาอยากแก้แค้นเพื่อล้างความอับอายจนรอไม่ไหวแล้ว การถูกหลินสวินเตะจนก้นลายในตอนนั้น ทำให้หลังจากกลับสำนักเขาสู้หน้าใครไม่ได้เป็นเวลานาน


ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้เวลาแก้แค้นแล้ว!


แต่พอได้รู้การจัดการนี้ กู้อวิ๋นถิงพลันลอบถอนหายใจอีกครั้ง รู้ว่าที่ฉู่เป่ยไห่ทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามิได้เชื่อใจตนอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นจะให้หนานกงหั่วมาเสริมทัพตนเพื่ออะไร


แทนที่จะเรียกว่าเสริมทัพ ไม่สู้เรียกว่า ‘จับตาดู’!


“นอกจากนี้ ช่วยข้ารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ ข้าสนใจเขามาก หากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของพวกเจ้าถูกขัดขวาง หลังจากจบการประเมินหิน ข้าจะไปหาเจ้าคนที่กล้าปลอมตัวเป็นผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์นี่ด้วยตัวเอง!”


ฉู่เป่ยไห่พูดถึงตรงนี้ อานุภาพน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นทั่วร่างกาย ราวกับรุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองที่พุ่งทะลวงฟ้า สะเทือนลมเมฆแปดทิศ


……


พอออกจากงานประเมินหิน หลินสวินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ


ครั้งนี้เพื่อปกปิดฐานะไม่ให้พวกกู้อวิ๋นถิงและหนานกงหั่วจำได้ เขาจงใจปลอมตัวเป็นผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์


และมั่นใจว่าในการพนันก่อนหน้านี้ไม่ได้เผยพฤติกรรมที่ผิดแผกอะไร แต่จู่ๆ ฉู่เป่ยไห่กลับเชิญตน นี่ผิดปกติมาก


บนถนนผู้คนขวักไขว่คับคั่ง คึกคักเจริญรุ่งเรือง


หลินสวินคิดพลางมุ่งหน้าไปทางตะวันออกของเมือง


เขาได้สืบมาแล้ว สำนักกระบี่เทียมฟ้าตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของแดนชัยบูรพา ห่างจากแคว้นกู่ชางหลายสิบแคว้น ระยะทางไกลอย่างมาก


แม้ใช้ยานขนส่งอวกาศเคลื่อนไหวกลางอากาศ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน


สำหรับหลินสวินในตอนนี้เวลามีค่าอย่างมาก จะมาเสียเวลาระหว่างทางได้อย่างไร


สุดท้ายเขาตัดสินใจจ่ายเงินจำนวนมหาศาล เพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นเดินทางไปยังสถานที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า!


‘มาเยือนเมืองเพลิงมรกตครั้งนี้ ได้ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย…’


นึกถึงผลเก็บเกี่ยวบนตัว มุมปากของหลินสวินก็อดเผยรอยยิ้มไม่ได้


ก่อนอื่นคือเจอหินลึกลับก้อนหนึ่ง ที่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะมีมรดกรอยสลักวิญญาณซ่อนอยู่จากแผงขายของ


จากนั้นก็ขายสมบัติในตัวที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ แลกเป็นแกนวิญญาณขั้นสูงหนึ่งแสนกว่าชิ้น


ในงานประเมินหินเมื่อครู่นี้ แม้จะออกมากลางคัน แต่หลังจากการพนันครั้งใหญ่ กลับทำให้เขาทำกำไรมาได้อีกประมาณสองแสนแปดหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงและหนังสือหนี้อีกหลายฉบับ


ที่น่าเสียดายคือ หนังสือหนี้เหล่านั้นคงใช้ไม่ได้แล้ว


นอกจากนี้ยังมีผลเก็บเกี่ยวที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือดักแด้ของผีเสื้อมารแยกฟ้า!


คิดถึงตรงนี้ ในใจหลินสวินก็อดเวทนาหนานกงสุ่ยที่เกือบถูกตนยั่วโทสะจนคลั่งผู้นั้น คลื่นชีวิตของดักแด้นี่ไม่ได้หายไป แต่ถูกเขาใช้กลิ่นอายของหนอนกินเทพข่มให้ตกใจจนดักแด้นั่นเก็บคลื่นชีวิตไปเอง!


ที่น่าขันคือ ตอนนั้นหนานกงสุ่ยที่โกรธจนคลั่งกลับทิ้งสมบัตินี่ราวกับขยะ ทำให้เขาหลินสวินได้กำไรมาง่ายๆ


“ในเมื่อไม่มีใครสามารถประเมินหินประหลาดในงานประเมินหินได้ แล้วดึงดูดความสนใจของฉู่เป่ยไห่ได้อย่างไร ถึงขั้นไม่เสียดายยอมเดินทางมาด้วยตัวเอง”


“ปกติมาก ฉู่เป่ยไห่มีพรสวรรค์เนตรทองอัคคีแต่กำเนิด สามารถมองทะลุการอำพรางที่คนทั่วไปไม่สามารถมองทะลุได้ บางทีอาจจะมีความสามารถเพียงพอหยั่งถึงความลึกลับในหินประหลาดชิ้นนั้นได้”


ทันใดนั้นบทสนทนาของผู้ฝึกปราณสองคนบนถนนก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน


เนตรทองอัคคี?


หลินสวินหัวใจสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็ตระหนักได้แล้วว่าตรงไหนที่ผิดปกติ


ในงานประเมินหินก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าฉู่เป่ยไห่มองการอำพรางของตนออกแล้ว!


เช่นนี้ เพียงแค่ฉู่เป่ยไห่เปิดโปงรูปลักษณ์แท้จริงของตน พวกหนานกงหั่วและกู้อวิ๋นถิงก็จะรู้ฐานะของตนทันที!


‘ยุ่งแล้ว…’ หลินสวินลอบถอนหายใจ คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าตนจะถูกเปิดเผยฐานะที่แท้จริงเพราะฉู่เป่ยไห่


‘ต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!’


หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์


เขาไม่เพียงแค่มีความแค้นกับหนานกงหั่ว ยังเคยฆ่าอสูรเฒ่าแรดดำ ถ้าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์รู้ว่าเขาหลินสวินอยู่ในเมือง จะต้องเกิดการตามล่าอย่างแน่นอน!


สวบ!


ร่างกายของเขาพริบไหว เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปทางนอกเมือง

 

 

 


ตอนที่ 993 ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว

 

สวบๆๆ!


เงาร่างแต่ละเงาราวกับสายฟ้าที่คดเคี้ยว ขับเคลื่อนแสงเคลื่อนไหวงดงาม ห้อทะยานบินอยู่กลางอากาศ


“หนานกงหั่วผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!”


“กู้อวิ๋นถิงผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!”


“สวรรค์ ทำไมถึงเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทั้งหมด พวกเขาจะทำอะไร ดูเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่นัก!”


บนถนนเมืองเพลิงมรกตอันคึกคักมีผู้ฝึกปราณมากมายนับไม่ถ้วน แต่พอสังเกตเห็นแสงเคลื่อนงดงามที่พุ่งทะยานราวกับกระแสน้ำ ต่างก็ตกตะลึง


“ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่!”


ในใจผู้ฝึกปราณหลายคนหวาดหวั่น ตระหนักได้ว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติมาก


“เร็ว รีบไปแจ้งผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทโย พวกนั้นข่าวไวที่สุด ย่อมต้องสืบได้แน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”


แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นกู่ชาง รากฐานเก่าแก่มั่นคง


วันนี้ผู้สืบทอดหลายคนของสำนักนี้กลับเคลื่อนไหวพร้อมกัน เกิดสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่อยากดึงดูดความสนใจยังยาก


วู้ม!


ขณะเดียวกันในมือหนานกงหั่วปรากฏคันฉ่องสำริดเก่าแก่บานหนึ่ง ตัวคันฉ่องกลมมน ด้านหน้าขาวเจิดจ้าราวหิมะ ด้านหลังกลับดำเหมือนหมึก


นี่คือสมบัติเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง นามว่า ‘คันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์’ ขอเพียงจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เสี้ยวเดียว เมื่อใส่เข้าไปในสมบัตินี้ก็จะจับกุมเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา


แม้จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ อำพรางร่องรอย ก็ถูกคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี้จับได้!


“ตอนที่เด็กนี่ประเมินหินได้ทิ้งกลิ่นอายไว้ไม่น้อย ตามการคาดเดาของศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่ มีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี้ แม้เขาจะใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปก็ไม่สามารถหนีการตามล่าของพวกเราได้!”


หนานกงหั่วย่ามใจอย่างมาก มุมปากเผยยิ้มเยาะ “แคว้นกู่ชางเป็นอาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ครั้งนี้หากเขาหนีไปได้ ให้ข้าหนานกงหั่วตัดหัวตัวเองยังได้!”


“สมบัตินี่ใช้อย่างไร” กู้อวิ๋นถิงที่อยู่ข้างๆ ถาม


หนานกงหั่วยิ้มพูด “ศิษย์น้องกู้ เจ้าเพียงช่วยข้าตามจับเด็กนี่ก็พอแล้ว”


ประโยคนี้ทำให้ในใจกู้อวิ๋นถิงตระหนักได้ว่า ไม่เพียงแค่ฉู่เป่ยไห่ หนานกงหั่วเองก็ระแวงตน!


“เท่าที่ข้ารู้ หลินสวินไม่ใช่ธรรมดาเลย ศิษย์พี่หนานกงระวังหน่อยจะดีกว่า ตอนที่อยู่นครต้องห้ามในโลกชั้นล่าง ศิษย์พี่เองก็เคยสัมผัสความแข็งแกร่งของคนผู้นี้แล้ว” กู้อวิ๋นถิงพูดเรียบๆ


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หนานกงหั่วสีหน้าอึมครึมลง คำพูดของกู้อวิ๋นถิงทำให้เขานึกถึงความอับอายที่ถูกหลินสวินเตะก้น


“ไม่มีอะไร ข้าเป็นผู้รับผิดชอบการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ข้ามีหน้าที่เตือนศิษย์พี่ให้ระวัง อย่าประมาทเพราะมีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี่ หากเกิดความผิดพลาดอะไร ความรับผิดชอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านกับข้าจะรับไหว” กู้อวิ๋นถิงพูดเรียบๆ


“หึ! เจ้าวางใจ ครั้งนี้หากข้าไม่ได้จัดการเจ้าหลินสวินจนร้องขอชีวิต ข้าจะไปให้ศิษย์พี่ฉู่ลงโทษด้วยตัวเอง” หนานกงหั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันประกาศ


วู้ม!


ในเวลานั้นเองคันฉ่องสำริดโบราณที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็พริบไหวส่งเสียงขึ้นมา ไอหยินหยางแปรเป็นสัญลักษณ์อันคลุมเครือ


“จับกลิ่นอายของเหยื่อได้แล้ว อยู่ทางนั้น ตาม!” หนานกงหั่วตื่นเต้นขึ้นมา สายตาสาดประกายเย็นเยียบพลางออกคำสั่ง


ฮูม


กลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ราวกับพิรุณแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ตามติดพวกหนานกงหั่วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของเมืองเพลิงมรกต


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้มีศิษย์สืบทอดแท้จริงสิบห้าคน ศิษย์สายในสามสิบสามคน


นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตาม ผู้ดูแลข้างกายลูกศิษย์เหล่านั้น รวมกันมีจำนวนนับร้อย เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมไร้ที่เปรียบอย่างแน่นอน


อย่างน้อยในแคว้นกู่ชางก็สามารถวางอํานาจบาตรใหญ่ได้แล้ว!


อีกอย่างถ้าจำเป็น ด้วยฐานะของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ พวกหนานกงหั่วยังสามารถเคลื่อนกำลังขุมอำนาจผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในแต่ละเมืองให้ช่วยเหลือ นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัว


พูดได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็คือเจ้าเหนือหัวของแคว้นกู่ชาง คำสั่งเดียวขุมอำนาจฝึกปราณที่กระจายอยู่ในแคว้นกู่ชางก็จำต้องทำตามโดยดีแล้ว!


นี่ก็คืออิทธิพลของสำนักโบราณ เป็นเหมือนจักรพรรดิแห่งแดนฝึกปราณ ปกครองฝั่งหนึ่ง ไม่มีใครกล้าไม่ทำตาม


……


พระอาทิตย์ตกราวกับเปลวเพลิง กำแพงเมืองที่เก่าแก่และสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว


‘ในแคว้นกู่ชางมีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณสามแห่ง แห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ อีกแห่งตั้งอยู่ที่เมืองวายุทราย และแห่งสุดท้ายตั้งอยู่ที่เมืองรุกขดิถี’


‘เมืองวายุทรายอยู่ใกล้กับเมืองเพลิงมรกตแห่งนี้ที่สุด ใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็ถึงแล้ว…’


หลินสวินพิจารณาเส้นทางออกจากแคว้นกู่ชางในหัว พลางเดินออกประตูเมืองไป


“หืม?”


แต่ตอนนี้เองเขาชะงักฝีเท้าโดยพลัน หันไปมอง


พลันเห็นว่าตรงขอบฟ้าไกลโพ้น แสงสุริยันในยามสายัณห์ราวกับเพลิง มีแสงเคลื่อนไหวงดงามมากมายกำลังห้อทะยานเข้ามา แน่นขนัดราวกับสายฝนมืดฟ้ามัวดิน อานุภาพเปี่ยมล้น


‘หนานกงหั่วกับกู้อวิ๋นถิง!’


จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ออกไปก็เห็นรูปลักษณ์ของผู้นำสองคนนั้นทันที พลันหรี่ตาลงทันใด ตระหนักได้ว่าตนถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์แล้ว


อีกทั้งต่อให้โคจรไอซวนหนีปกปิดกลิ่นอายก็ไม่มีประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายครอบครองวิชาลับหรือสมบัติที่ใช้ติดตามบางอย่าง สามารถระบุตำแหน่งตนได้อย่างแม่นยำ


มิฉะนั้นไม่มีทางตามมาภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้


ฟุ่บ!


หลินสวินพลันพุ่งออกนอกเมืองอย่างไม่ลังเล


เสียงและรูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย กลับคืนสู่รูปร่างแท้จริงของตน


การโคจรเคล็ดวิชามหาไร้รูปแม้จะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ แต่หากต่อสู้เข่นฆ่าขึ้นมาจริงๆ วิชานี้ก็จะสูญเสียประสิทธิผล


เหตุผลง่ายมาก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกหลานเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ไม่สามารถใช้ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้


นอกเมืองเป็นผืนป่าเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันไม่สิ้นสุด เชื่อมต่อกับท้องฟ้า


หลินสวินเองก็ไม่ได้รีบหนี เขาอยากรู้นักว่าเพื่อเล่นงานตนแล้ว ครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เคลื่อนกำลังบุคคลแข็งแกร่งมาเท่าไหร่กัน


บนยอดเขาสูงชันอันตรายลูกหนึ่ง เขาทะยานตัวไปหยุดอยู่บนนั้น หันไปมองและรอเงียบๆ เสื้อคลุมพัดโบกไปตามสายลม บุคลิกโดดเด่น


“หลินสวิน เป็นไอ้คนซ่อนหัวโผล่หางอย่างเจ้าจริงๆ ด้วย!”


ไม่นานพวกหนานกงหั่วก็ตามมาถึง แสงเคลื่อนไหวพร่างพราว ย้อมห้วงอากาศบริเวณนั้นเป็นสีสันงดงาม อานุภาพน่ากลัวอย่างที่สุด


“หลินสวิน เป็นเจ้าจริงๆ” สายตาของกู้อวิ๋นถิงซับซ้อนไม่น้อย ไม่เจอหลายปี เด็กหนุ่มที่มาจากชนบทในจักรวรรดิคนนั้นเปลี่ยนไปมากเช่นกัน


พลังปราณแข็งแกร่งกว่าเดิม กลิ่นอายก็มั่นคงและนิ่งสงบขึ้น มีความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง


“นี่ก็คือหลินสวินที่ฆ่าอสูรเฒ่าแรดดำหรือ ดูแล้วก็เท่านั้น!” ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างกำลังสังเกตหลินสวิน สีหน้าล้วนแฝงความเย่อหยิ่งและดูถูก


ตอนที่พวกเขาอยู่ระหว่างทางก็เคยได้ยินมาแล้วว่า หลินสวินนี่เป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่มาจากโลกชั้นล่าง เจ้าเล่ห์ ยโสโอหัง จัดการยากมาก


แต่ตอนนี้ดูแล้ว ก็เพียงแค่คนหนุ่มที่ร่างกายผอมแห้ง หัวเดียวกระเทียมลีบเท่านั้น ดูไม่ออกว่ามีอะไรน่ากลัว


“พวกเจ้ามากันแค่นี้หรือ” แม้ถูกกลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ล้อมเอาไว้ หลินสวินกลับดูนิ่งสงบและผ่อนคลายมาก


แวบเดียวเขาก็ดูออกว่า ศัตรูในที่นี้แม้จะมาก แต่กลับมีไม่กี่คนที่พอจะสู้ตนได้


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้ศักยภาพและรากฐานพลังของตนอย่างแท้จริง!


“ยังอวดดีเหมือนเมื่อก่อน!”


หนานกงหั่วโกรธจัดจนยิ้มแล้ว “ที่นี่คือแคว้นกู่ชาง คืออาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ความตายมาเยือนแล้วเจ้ายังไม่รู้ตัว ข้าควรจะบอกว่าเจ้าอวดดีหรือบอกว่าเจ้าโง่ดีเล่า”


“หลินสวิน หยุดเถอะ ครั้งนี้เจ้ายากจะหนีพ้นแล้วจริงๆ หากเจ้ายอมก้มหัวก่อน ข้าจะพยายามขอความเห็นใจให้เจ้าเต็มที่ ถึงอย่างไรเจ้าก็มาจากสำนักศึกษามฤคมรกต รากฐานและศักยภาพล้วนเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ข้าเชื่อว่าขอเพียงแค่เจ้าสำนึกด้วยตัวเอง ศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่ที่ให้โอกาสผู้มีพรสวรรค์มาโดยตลอดย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่”


กู้อวิ๋นถิงถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างจริงจัง หมายจะให้หลินสวินยอมจำนน


เพราะเขารู้ดีว่าในแคว้นกู่ชางแห่งนี้ อย่าว่าแต่หลินสวินเลย แม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชัน ถ้าถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หมายตาเข้าก็ยากจะหนีพ้น!


“ผายลม! เจ้านี่ก่อความผิดมหันต์ จะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร”


หนานกงหั่วเดือดดาล “กู้อวิ๋นถิง ศิษย์พี่ฉู่ให้เจ้ามาสังหารศัตรู ไม่ได้ให้เจ้ามาลบล้างความผิดให้ศัตรู!”


“ที่ศิษย์พี่หนานกงพูดไม่ผิด ศิษย์พี่กู้ท่านทำเช่นนี้เห็นจะไม่ถูก” ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ เองก็ขมวดคิ้ว แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของกู้อวิ๋นถิง


“ข้าแค่ไม่อยากให้ทุกคนเปิดศึกใหญ่โต ต้องฆ่ากันให้ได้เลยหรือ” กู้อวิ๋นถิงพูดเสียงขรึม


หลินสวินประหลาดใจไม่น้อย อดมองกู้อวิ๋นถิงอีกครั้งไม่ได้


“หุบปาก!” หนานกงหั่วสีหน้าเหี้ยมโหด “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่จึงให้เจ้าควบคุมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ก็เพื่อจะทดสอบความซื่อสัตย์ของเจ้าต่อสำนัก! ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีปัญหามาก!”


“ท่านจะใส่ร้ายป้ายสีกันหรือ” กู้อวิ๋นถิงเองก็เดือดดาลแล้ว


“หยุดพูดไร้สาระ ตอนนี้เจ้าไปยืนข้างๆ ซะ ศิษย์น้องคนอื่นๆ ฟังคำสั่ง หากเด็กนี่ไม่จำนนก็ฆ่าเสีย!” หนานกงหั่วออกคำสั่งโดยตรง


ในขณะที่พูดเขาก็จ้องหลินสวินด้วยสายตาเหี้ยมโหด พลันพูดว่า “เจ้าดูสิ ตอนนี้กู้อวิ๋นถิงช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้ายังจะพูดอะไรได้อีก”


เขาได้ใจมาก คิดเองเออเองว่าได้ควบคุมสถานการณ์ไว้แล้ว


“เจ้าคิดว่าที่ข้ารออยู่ที่นี่เพราะคิดจะยอมจำนนงั้นหรือ” หลินสวินเองก็หัวเราะ หนานกงหั่วยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงไม่มีสมองเหมือนตอนนั้น


“เจ้านี่แม่ง… โง่หรือเปล่าเนี่ย” หนานกงหั่วสีหน้าตกตะลึง


ครั้งนี้พวกเขาระดมพลเคลื่อนกำลังผู้แข็งแกร่งมากมาย ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินกลับยังคงอวดดีเหมือนที่ผ่านมา เขาไม่รู้ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไรจริงๆ หรือ


หากเป็นผู้ฝึกปราณที่ปกติสักหน่อย ในสถานการณ์เช่นนี้คงสงบเสงี่ยมลง หากไม่สิ้นหวังก็หวาดกลัว จะหน้าด้านหน้าทนเหมือนเจ้าหมอนี่ซะที่ไหน


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ เองก็พูดไม่ออก ในแคว้นกู่ชาง พวกเขาเพียงแค่เปิดเผยฐานะก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายตกใจจนขวัญหนีแล้ว


แต่เจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้กลับผิดปกติมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอคนที่รนหาที่ตายเช่นนี้


“ก็จริง เจ้าก็แค่คนบ้านนอกที่มาจากโลกชั้นล่าง ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแค่ไหนแผ่นดินหนาเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องปกติ ข้าประเมินเจ้าสูงไป” หนานกงหั่วหัวเราะเยาะ ท่าทางดูเหมือนกระจ่างแจ้งแล้วอย่างไรอย่างนั้น


คำอธิบายนี้ถือว่าสมเหตุสมผล ผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีอะไรต้องกลัว ก็หมายความถึงคนประเภทนี้มิใช่หรือ


“อย่าลืมว่าศิษย์พี่ฉู่เตือนว่าหลินสวินไม่ใช่คนธรรมดา พวกเจ้าคิดว่าเขาไม่รู้ความจริงๆ หรือ” กู้อวิ๋นถิงขมวดคิ้วเตือนอยู่ข้างๆ


เขาทนดูไม่ไหวแล้วจริงๆ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถใช้กระบวนราชันกังขังสังหารอสูรเฒ่าแรดดำได้ จะเป็นคนไม่รู้ความได้อย่างไร


“ไอ้คนทรยศ จนขนาดนี้แล้วยังจะพูดเข้าข้างเจ้าหมอนั่น รีบหุบปากไปเสีย!” หนานกงหั่วสีหน้าอึมครึม ตะเบ็งเสียงออกมา


จากนั้นหนานกงหั่วก็โบกฝ่ามือ “ทุกคน จะให้เจ้าโง่ไม่รู้ความคนนี้ยอมจำนนไปเองนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ลงมือเถอะ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)