Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 984-989
ตอนที่ 984 งานประเมินหิน
เยวี่ยไฉ่เวยขมวดคิ้ว “ข้าเห็นกับตา จะปลอมได้อย่างไร”
หลินสวินใคร่ครวญ เขาสังเกตได้อย่างว่องไวว่าเจ้าคนที่ชื่อหยางเทียนฉีนี้เหมือนจะผูกใจแค้นตน
เพราะแม่นางเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ หรือ
“สิ่งที่เห็นใช่ว่าจะเป็นความจริง ถ้าอยากตัดสิน ความจริงง่ายมาก”
ตอนที่หยางเทียนฉีพูด จู่ๆ ก็ก้าวออกมา รวมนิ้วเป็นกระบี่แทงไปที่หว่างคิ้วของหลินสวินโดยพลัน
นี่กะทันหันมาก ใครก็คงคิดไม่ถึงว่าหยางเทียนฉีคิดจะลงมือก็ลงมือเลย ไม่มีบอกกล่าวล่วงหน้าสักนิด
นี่ก็สามารถดูออกว่าอุปนิสัยของเขาเผด็จการและเอาแต่ใจแค่ไหน!
ฉึก!
หยางเทียนฉีฝ่ามือเรียวยาวขาวเนียน ประสานนิ้วเป็นกระบี่ แหลมคมบาดตา ราวกับสายฟ้าที่ไหววูบออกมาอย่างกะทันหัน เฉียบคมและตรงไปตรงมา
ห้วงอากาศถูกฉีกออก
ระยะห่างระหว่างเขากับหลินสวินมีไม่ถึงครึ่งจั้ง และตอนนี้ยังลงมือกะทันหัน เป็นใครก็คงตอบสนองไม่ทัน
แม้แต่หลินสวินเองก็คิดไม่ถึง ตอนที่มีปฏิกิริยา นิ้วกระบี่ของอีกฝ่ายก็เข้าใกล้หว่างคิ้วแล้ว!
เปลวไฟอันแหลมคมของปลายนิ้วนั่นกลืนกิน ควบรวมเจตกระบี่ที่กระชับและบริสุทธิ์ที่สุด ราวกับสามารถแทงทะลุสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้
พลังต่อสู้ของหยางเทียนฉีน่ากลัวถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้เป็นการโจมตีกะทันหัน วิชาดรรชนีที่น่ากลัวระดับนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถสำแดงออกมาได้
ในช่วงวิกฤตอันตรายอย่างที่สุดนี้ เงาร่างของหลินสวินถอยร่นโดยพลัน พร้อมกับกางฝ่ามือขึ้นกลางอากาศ ราวกับเค้นประทับดอกบัวโจมตีเข้าไปฉับพลัน
ชั่วพริบตานั้นประหนึ่งดอกบัวสีดำดอกหนึ่งถือกำเนิดขึ้นกลางอากาศ ขวางกั้นอยู่ตรงหน้านิ้วกระบี่นั่นด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
ปัง!
ทั้งสองปะทะกัน ปลดปล่อยประกายศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวออกมา
ตึกๆๆ หลินสวินถอยหลังออกไป หลังมือขวาของเขามีรอยเลือดเป็นเส้นตรงที่เลือดไหลหยดออกมา
อย่างไรการโจมตีนี้ก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้แม้หลินสวินจะสกัดกั้นไว้ได้ แต่มือก็ถูกกรีดเป็นแผลอย่างไม่อาจเลี่ยง
นี่ทำให้ดวงตาดำของเขาวาบแววเยียบเย็นออกมาทันที การโจมตีเมื่อครู่นี้หากเขาตอบสนองช้าอีกเพียงเสี้ยวเดียว จุดจบนั้นไม่อยากจะคิด!
“หืม ขวางการโจมตีของข้าไว้ได้งั้นหรือ” หยางเทียนฉีเหมือนแปลกใจมาก เลิกคิ้วขึ้น ภายในนัยน์ตามีเปลวเพลิงพลุ่งพล่าน ผมยาวทั่วศีรษะพลิ้วไหว บุคลิกราวกับเทพที่เผด็จการไร้ที่เปรียบ
“รับการโจมตีของข้าอีกที!” เขาตะเบ็งเสียงออกมา
“หยุด!” เยวี่ยไฉ่เวยสีหน้าเย็นเยียบอึมครึม ตะโกนออกมา
“ศิษย์น้องเยวี่ย เพราะเหตุใด ข้ากำลังช่วยเจ้าหยั่งเชิงรากฐานพลังของคนผู้นี้อยู่ เจ้าจะได้ไม่ถูกหลอกโดยไม่รู้ตัว” หยางเทียนฉีพูดอย่างจนใจอยู่บ้าง
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่การกระทำของเขากลับไม่ชักช้า เงาร่างราวกับสายฟ้า เปลี่ยนนิ้วเป็นฝ่ามือ ตบออกไปกลางอากาศโดยพลัน
ปัง!
ลมฟ้าคำรามสั่นสะเทือน เปลวเพลิงทะยานฟ้าหลอมเป็นประทับฝ่ามือ ผลาญอากาศจนมอดไหม้
ความรุนแรงของอานุภาพทำให้เครื่องตกแต่งทั้งห้องโถงแหลกละเอียด ส่งเสียงระเบิดแสบหู
การโจมตีนี้เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้!
ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็เคลื่อนไหวแล้ว แม้การโจมตีก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่แผลภายนอก ไม่เจ็บไม่คัน แต่การโจมตีนี้กลับกระตุ้นเพลิงโทสะของเขา
เจอกันครั้งแรกยังไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กัน อีกฝ่ายคิดจะลงมือก็ลงมือ ท่าทางเผด็จการและหยิ่งผยองเช่นนี้ใครจะทนได้
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาตอบสนองทัน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ดังนั้นตอนนี้หลินสวินเองก็เดือดดาลแล้ว
ตูม!
ฝ่ามือของเขากดลงกลางอากาศ เผยความเร้นลับของวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิงออกมา ธารดาราเปลวเพลิงสายหนึ่งแผ่ออกกลางอากาศ
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะปะทะกัน เงาร่างของผู้อาวุโสคูจิ้งก็ปรากฏขึ้นระหว่างทั้งคู่กะทันหัน เพียงสะบัดแขนเสื้อคราเดียว พลังมหามรรคอันยิ่งใหญ่ไม่อาจต้านทานแผ่กระจาย สลายการโจมตีของทั้งสองจนไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
“อาจารย์ลุงคูจิ้ง นี่ท่าน?” หยางเทียนฉีขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก
หลินสวินลอบถอนหายใจ แต่ก็ไม่ชอบใจนัก ทว่าเขารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้ถูกกำหนดให้ยากจะดำเนินต่อแล้ว
“เทียนฉี เจ้าเสียมารยาทแล้ว” คูจิ้งสีหน้าอบอุ่น แต่กลับแฝงความเคร่งขรึมที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ “นี่ไม่ใช่วิธีรับแขกของลัทธิไร้สวรรค์ของเรา”
“ข้า…” หยางเทียนฉีสายตาวูบไหว พลันพูด “ข้าเองก็หวังดี ทำเพื่อศิษย์น้องเยวี่ยอยู่”
“หยางเทียนฉี ข้าให้ท่านคิดแทนข้าตั้งแต่เมื่อไหร่” เยวี่ยไฉ่เวยสีหน้าจริงจัง นางเองก็โกรธแล้ว “ลอบทำร้ายสหายของข้าต่อหน้าข้า นี่เรียกว่าความหวังดีของท่านหรือ”
หยางเทียนฉีรีบอธิบายว่า “ศิษย์น้องเยวี่ย เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าควรเข้าใจความหมายของข้า ไม่ว่าทำอะไรข้าก็ล้วนหวังดีกับเจ้า”
เห็นได้ชัดว่าเขาใส่ใจท่าทีของเยวี่ยไฉ่เวยมาก
เพียงแต่เยวี่ยไฉ่เวยสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจเขาอีก นี่ทำให้เขาอดลำบากใจไม่ได้ รู้สึกอึดอัดไม่น้อย เพราะฉะนั้นสายตาที่มองหลินสวินจึงยิ่งดูขัดหูขัดตา
นี่ไร้สาระมาก แต่ในสายตาของหยางเทียนฉี เขาเพียงหยั่งเชิงรากฐานของหลินสวินเท่านั้น เยวี่ยไฉ่เวยกลับโกรธเขาเพราะเรื่องนี้ ทำให้เขาไม่พอใจมาก
“หลินสวิน ข้าขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อครู่นี้” เยวี่ยไฉ่เวยไปขอโทษหลินสวินด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร ไม่เกี่ยวกับเจ้า” หลินสวินยิ้มพูด
“ข้าทำแผลให้เจ้า” เยวี่ยไฉ่เวยหยิบยาขวดหนึ่งออกมาและจับมือของหลินสวินไปทำแผลบนหลังมือให้เขา
หลินสวินไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้
แต่ในสายตาของคูจิ้ง ภาพนี้กลับทำให้เขาอึ้งเล็กน้อย สายตาที่มองหลินสวินเองก็อดแฝงความแปลกประหลาดไม่ได้
ในความทรงจำของเขา เยวี่ยไฉ่เวยไม่เคยเป็นห่วงผู้ชายคนไหนขนาดนี้มาก่อน
ส่วนหยางเทียนฉีที่เห็นภาพนี้ สีหน้ากลับอึมครึมลงอย่างมากในทันที ในใจอิจฉาริษยา นัยน์ตาที่เปลวเพลิงไหลหลั่งเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ
……
ก่อนจากกัน เยวี่ยไฉ่เวยพาเสี่ยวเหอ คูจิ้งและหยางเทียนฉีขึ้นยานสำเภาทองแดงลำหนึ่งด้วยกัน
“คุณชายหลิน รักษาตัวด้วย!” เยวี่ยไฉ่เวยหันมายิ้มบางๆ ใบหน้างามพิสุทธิ์เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดดแล้วพร่างพราวอย่างมาก
“พี่หลินสวิน ในอนาคตหากมีโอกาสเสี่ยวเหอจะไปเยี่ยมท่าน!” เสี่ยวเหอโบกมือ นางอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างเช่นกัน
หลินสวินโบกมือพร้อมรอยยิ้ม “พวกเจ้าเองก็รักษาตัวให้ดี”
“ไปเถอะ”
คูจิ้งควบคุมยานสำเภา พาพวกเขาทะยานฟ้าไป
และแทบจะในเวลาเดียวกัน จู่ๆ เสียงสื่อจิตเย็นชาของหยางเทียนฉีก็ดังขึ้นข้างหูหลินสวิน ‘เจ้าควรจำไว้ให้ดีว่า ด้วยฐานะของเจ้าไม่คู่ควรกับศิษย์น้องเยวี่ย ต่อไปหากยังกล้าตามตื๊อศิษย์น้องเยวี่ย ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยตัวเอง!’
ในเสียงแฝงการข่มขู่อย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด
ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย ตอนที่มองไปก็เห็นว่าบนท้องฟ้า หยางเทียนฉีกำลังยืนมองลงมาที่ตนจากบนยานสำเภา ดวงตาที่ราวกับเปลวเพลิงคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความดูถูกและเหี้ยมโหด
ฟิ้ว!
ยานสำเภาทะลวงอากาศออกไป หายไปในขอบฟ้า
หลินสวินเก็บสายตา จดจำชื่อของหยางเทียนฉีไว้ในใจเงียบๆ
……
“ผู้อาวุโสเกา” จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้น
เกาเทียนอีที่อยู่ข้างๆ รีบโบกมือ “ผู้อาวุโสคำนี้ข้ามิกล้ารับ คุณชายมีคำสั่งอันใดก็พูดมาได้เลย”
“ข้าอยากทำการค้าขายกับท่าน” หลินสวินนึกขึ้นได้ว่า ของที่เก็บไว้ในตัวส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ไม่สู้แลกเป็นแกนวิญญาณเสีย
“ค้าขายหรือ” เกาเทียนอีอึ้ง
“ใช่ ค้าขายครั้งใหญ่” หลินสวินพูดหยอกล้อ “ก็ต้องดูว่าหอประสานฟ้าจะรับไหวหรือไม่แล้ว”
เกาเทียนอีหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะพูดว่า “คุณชายหลิน ในเมืองเพลิงมรกตนี้ยังไม่มีอะไรที่หอประสานฟ้าของข้ารับไม่ไหวเลย!”
คำพูดนี้มั่นใจอย่างมาก ภาคภูมิอย่างที่สุด
เพียงแต่ไม่นานเขาก็อึ้งงัน แข็งทื่อไปทั้งตัว
ตอนนี้ในโถงประเมินทรัพย์แห่งหอประสานฟ้า นักประเมินทรัพย์สิบกว่าคนกำลังยุ่งอยู่กับการประเมินราคาของสมบัติต่างๆ แต่ละคนยุ่งจนถอนตัวไม่ขึ้น
ข้างๆ ยังมีผู้ดูแลคนหนึ่งกำลังจดบัญชี “หยกมังกรเมฆาหนึ่งชิ้น มูลค่าแปดร้อยแกนวิญญาณขั้นกลาง หินมรกตควันเขียวสิบเก้าเม็ด มูลค่าหกพันแกนวิญญาณขั้นกลาง กระบี่วิญญาณระดับสวรรค์เก้าเล่ม มูลค่าสองพันแกนวิญญาณขั้นสูง…”
เสียงคิดบัญชีเช่นนี้ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายหลังจากนั้น
ส่วนเกาเทียนอีไม่สนใจพวกนี้แล้ว เขามองกองสมบัติที่วางกองบนพื้นจนพอจะเป็นภูเขาลูกเล็กๆ แล้วหัวใจยังสั่นสะท้านไปด้วย
ในสมบัติเหล่านี้มีหลากหลายมากจริงๆ ครอบคลุมแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสมบัติ วัตถุดิบวิญญาณ ลูกกลอนโอสถ หินแร่ โอสถวิญญาณ…
ไม่เพียงแค่จำนวนมาก คุณภาพก็น่าตกใจอย่างที่สุด!
ด้วยสายตาอันมากประสบการณ์ของเกาเทียนอี แน่นอนว่าเพียงแวบเดียวก็ดูออกว่าสมบัติเหล่านี้กว่าครึ่งน่าจะเป็น ‘ทรัพย์หลังศึก’ ที่ได้มาจากผู้ฝึกปราณที่แตกต่างกันออกไป!
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสมบัติจำนวนไม่น้อยที่เป็นสมบัติซึ่งราชันกึ่งระดับเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ นี่ก็หมายความว่า เคยมีราชันกึ่งระดับไม่ใช่แค่คนเดียวตายด้วยน้ำมือของคุณชายหลินคนนี้มิใช่หรือ
คิดถึงตรงนี้ในใจเกาเทียนอีเองก็อดเกิดคลื่นโหมซัดสาดไม่ได้ และไม่อาจไม่ยอมรับว่า ในฐานะสหายของแม่นางเยวี่ย คุณชายหลินผู้นี้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
เพียงแต่ไม่นานเกาเทียนอีก็ไม่สนใจจะคิดเรื่องพวกนี้แล้ว เพราะหลังจากนักประเมินทรัพย์สิบกว่าคนในห้องโถงคำนวณราคาทั้งหมดของสมบัติออกมา เขาก็ตะลึงไป
แกนวิญญาณขั้นสูงหนึ่งแสนเก้าหมื่นก้อน!
นี่ไม่เพียงแค่เป็นตัวเลขมหาศาล แม้ซื้อยอดศาสตรามรรคราชันห้าหกชิ้นยังเหลือเฟือ!
ต่อให้หอประสานฟ้าจะร่ำรวยแค่ไหน ก็ไม่มีแกนวิญญาณมากขนาดนั้นในทันที
และพอคิดถึงสิ่งที่คุยโวต่อหน้าหลินสวินเมื่อครู่นี้ เกาเทียนอีพลันสีหน้าลำบากใจขึ้นมา การค้าขายครั้งใหญ่เช่นนี้ เขารับไม่ไหวในชั่วขณะจริงๆ
“คุณชาย ไม่อย่างนั้นท่านเลือกสมบัติส่วนหนึ่งจากหอประสานฟ้าของข้าแทนแกนวิญญาณบางส่วนเป็นอย่างไร” เกาเทียนอีเสนอ
“ที่นี่มีอะไรพิเศษหรือ” หลินสวินถาม เขาตรวจดูแล้วว่า แม้สมบัติในหอประสานฟ้าจะมาก แต่สิ่งที่เขาสามารถใช้ได้กลับน้อยนัก
“สิ่งที่พิเศษคือ…” เกาเทียนอีใคร่ครวญดูคร่าวๆ ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกาย “คุณชาย ท่านสนใจงานประเมินหินหรือไม่”
“งานประเมินหินหรือ” หลินสวินชะงัก
“ใช่ ท่านก็รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาแม่น้ำพรมแดนนั่นเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในหาดดาราขจรปรากฏศิลาอุกกาบาตจำนวนมหาศาล…”
จากที่เกาเทียนอีอธิบาย งานประเมินหินที่ว่านี้ ก็คืองานชุมนุมครั้งใหญ่ที่จะประเมินและผ่าศิลาอุกกาบาต
ผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วม เพียงแค่จ่ายค่าเข้าก็สามารถเข้าไปเลือกศิลาอุกกาบาตในนั้น หลังจากศิลาอุกกาบาตที่เลือกถูกผ่าออก ไม่ว่าจะได้รับสมบัติอะไรก็จะได้ครอบครองทั้งสิ้น
ช่วงที่ผ่านมานี้ ในงานประเมินหินนี้ปรากฏสมบัติที่เรียกได้ว่าตะลึงโลกไม่น้อย พอข่าวสารแพร่ออกไปก็ดึงดูดผู้ฝึกปราณมากมายไปเข้าร่วม เรียกได้ว่าเป็นงานชุมนุมบุกเบิกรูปแบบใหม่
ส่วนหอประสานฟ้าก็เป็นหนึ่งในผู้จัดงานประเมินหินครั้งนี้
ได้รู้ทั้งหมดนี้ หลินสวินเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้
………………
ตอนที่ 985 บรรดาผู้กล้าในใต้หล้า
สุดท้ายหลินสวินก็รับปากอย่างยินดี
ก่อนหน้านี้ใต้ทะเลสาบหาดดาราขจร เขาเคยขุดเจอโอสถราชันที่อัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ออกมาสามต้น นี่เป็นผลเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ที่ไม่อาจประเมินค่าเลยทีเดียว
ในเมื่องานประเมินหินเกี่ยวข้องกับศิลาอุกกาบาต หลินสวินเองก็อยากไปเสี่ยงโชคสักหน่อย
เกาเทียนอีพอใจมาก ไม่นานก็รวบรวมแกนวิญญาณขั้นสูงหนึ่งแสนห้าหมื่นชิ้นมาให้หลินสวิน ในขณะเดียวกันก็ให้ป้ายคำสั่งมาด้วยแผ่นหนึ่ง
ด้วยป้ายคำสั่งนี้ หลินสวินสามารถเลือกศิลาอุกกาบาตที่มูลค่าเทียบเท่าแกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นชิ้นในงานประเมินหินมาผ่า
ทีแรกเกาเทียนอีจะให้คนติดตามหลินสวินไป แต่ถูกหลินสวินปฏิเสธ
……
เที่ยงวันนั้นหลินสวินออกจากหอประสานฟ้า
งานประเมินหินตั้งอยู่บนชานเมือง ติดกับฝั่งแม่น้ำพรมแดน เป็นสวนที่กินพื้นที่ขนาดใหญ่มาก
หลายวันมานี้เพราะแม่น้ำพรมแดนแปรเปลี่ยน ทำให้เมืองเพลิงมรกตเองก็คึกคักอย่างมาก มีผู้ฝึกปราณจากพื้นที่ต่างๆ มาเยือนทุกวัน
หลินสวินรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้เป็นพิเศษเมื่อเดินอยู่บนถนนที่ครึกครื้นในเวลานี้
“ได้ยินข่าวหรือยัง ฉู่เป่ยไห่บุตรเทพรุ่นปัจจุบันของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จะมาถึงที่นี่ตอนเที่ยง เพื่อร่วมงานประเมินหิน”
“จริงหรือนี่ บุคคลแห่งยุคผู้นี้ออกด่านแล้วหรือ”
“ได้ยินว่าเพราะงานประเมินหินครั้งนี้ปรากฏหินอัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของฉู่เป่ยไห่”
บนถนนถกชื่อ ‘ฉู่เป่ยไห่’ อยู่ทุกที่ ไม่อยากดึงดูดความสนใจของหลินสวินยังยาก
เมืองเพลิงมรกตเป็นเพียงแค่เมืองอันห่างไกลแห่งหนึ่งในแคว้นกู่ชาง แต่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นี้เป็นถึงสำนักโบราณอันดับหนึ่งของแคว้นกู่ชาง!
นอกจากนี้ทั่วทั้งแดนชัยบูรพา แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เองก็มีชื่อเสียงอย่างมาก อิทธิพลยิ่งใหญ่เป็นที่สุด รากฐานของสำนักนี้สามารถย้อนไปถึงสมัยบรรพกาลได้
ในฐานะบุตรเทพรุ่นปัจจุบันของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แน่นอนว่าฉู่เป่ยไห่คนนี้จะต้องเป็นบุคคลชั้นยอดที่ชื่อเสียงสะเทือนแคว้นกู่ชาง
ไม่จำเป็นต้องสืบหลินสวินก็ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับฉู่เป่ยไห่จากคำวิจารณ์เหล่านั้นบ้างแล้ว
คนผู้นี้ไม่ธรรมดา พรสวรรค์โดดเด่น แข็งแกร่งอย่างมาก
เขาฝึกปราณตั้งแต่อายุสามปี ฝากตัวเป็นศิษย์ผู้อาวุโสคนหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ปลีกวิเวกไม่เผยตัว ตอนอายุสิบห้าปีก็ได้บรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติแล้ว จากนั้นกลายเป็นผู้กล้าโดดเด่นที่เจิดจ้าที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของแคว้นกู่ชาง
พลังต่อสู้ของเขาน่ากลัวอย่างที่สุด ‘คัมภีร์แกนสวรรค์ดาราอุดร’ ที่ฝึกเร้นลับยากจะคาดเดา พลังโจมตีตะลึงโลก เป็นคัมภีร์สมบัติมหามรรคที่แท้จริง
ลือกันว่าอัจฉริยะอย่างฉู่เป่ยไห่ เมื่อสงครามมหายุคมาเยือนจะต้องมีที่ยืนบนกระดานทองคำผู้กล้าอย่างแน่นอน
การวิจารณ์นี้น่าตกใจมาก!
“ความยิ่งใหญ่ของแดนชัยบูรพาครอบคลุมหนึ่งหมื่นเก้าพันแคว้น เป็นแหล่งกำเนิดของดินแดนรกร้างโบราณ มีสำนักโบราณไม่รู้เท่าไหร่ตั้งอยู่ ผู้กล้ายิ่งมากจนนับไม่ถ้วน ฉู่เป่ยไห่คนนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุค แต่อิทธิพลนั้นเกรงว่าจะจำกัดแค่ในไม่กี่แคว้น”
จู่ๆ ข้างหูหลินสวินก็ได้ยินเสียงวิจารณ์ของชายชราคนหนึ่ง “หากจะบอกว่าเขาสามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในกระดานทองคำผู้กล้าตอนที่สงครามมหายุคมาเยือน ก็พูดได้เพียงว่ามีหวังเท่านั้น”
ชายชราคนนี้ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา ท่าทางดูสบายๆ แต่มีความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็น หากไม่สัมผัสอย่างละเอียดก็ไม่สามารถรับรู้ได้
“ผู้เฒ่า คำพูดนี้ของท่านเกินจริงไปหรือเปล่า เช่นนั้นท่านคิดว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพา ใครที่สามารถเรียกได้ว่าชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าโดยไม่จำกัดเพียงแค่ไม่กี่แคว้น” มีคนไม่พอใจถามพึมพออกมา
ชายชราพูดเรียบๆ “ในบรรดาคนรุ่นเยาว์มีบุคคลที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้ามากมายถมไป อย่างเช่นหวังเสวียนอวี๋ผู้สืบทอดสำนักเอกอุ หมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เย่หมัวเฮอผู้สืบทอดลัทธิเทพต้นกำเนิด…”
ตอนเอ่ยชื่อหวังเสวียนอวี๋ รอบๆ พลันมีเสียงสูดหายใจด้วยความตกใจดังขึ้น ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างหน้าเปลี่ยนสี
พอได้ยินคำว่าหมีเหิงเจิน สีหน้าของผู้ฝึกปราณเปลี่ยนแปลงไปไม่มั่นคง แฝงความตกใจที่ยากจะปกปิด
และตอนที่ได้ยินชื่อเย่หมัวเฮอ บรรยากาศในที่นั้นก็เงียบไปไม่น้อย
หลินสวินเพิ่งมาถึงแดนชัยบูรพา ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกอันกว้างใหญ่ที่ถูกมองว่าเป็นแหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะเลย สองตาล้วนมืดมน
เพราะฉะนั้นตอนที่ได้ยินสามชื่อนี้จึงไม่มีความรู้สึกอะไรเลย
แต่พอสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าของผู้ฝึกปราณที่อยู่รอบๆ เขาพลันตระหนักได้ว่า ทั้งสามชื่อนี้คงเป็นชื่อบุคคลแห่งยุคชั้นยอดสามคนที่ชื่อเสียงเพียงพอจะสะเทือนแดนชัยบูรพา!
“พวกเจ้ารู้สึกว่าทั้งสามคนนี้เทียบกับฉู่เป่ยไห่แล้วเป็นอย่างไร” สีหน้าของชายชราเรียบเฉย
ทุกคนพูดไม่ออก ต่างเงียบสนิท
สำนักเอกอุตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกอันไกลพ้นของแดนชัยบูรพา แต่ชื่อของผู้สืบทอดแห่งสำนักอย่างหวังเสวียนอวี๋กลับสามารถแพร่มาถึงแคว้นกู่ชางที่อยู่ทางริมทิศตะวันตกนี้ได้ จากเรื่องนี้ก็สามารถรู้ถึงความไม่ธรรมดาของคนผู้นี้
ส่วนหมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เย่หมัวเฮอผู้สืบทอดลัทธิเทพต้นกำเนิด เมื่อเทียบกับหวังเสวียนอวี๋แล้วก็ห่างไม่มาก
แต่เมื่อเทียบกันทั้งสาม ชื่อเสียงของฉู่เป่ยไห่กลับอยู่ห่างไกลยิ่งนัก
“นี่เพียงแค่ชื่อเสียงเท่านั้น หากจะสู้กันจริงๆ ไม่เห็นว่าฉู่เป่ยไห่จะสู้พวกเขาไม่ได้” มีคนอดเถียงไม่ได้
“เจ้าพูดถูก ชื่อเสียงเป็นเพียงแค่ศักยภาพส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ศักยภาพทั้งหมด เมื่อสงครามมหายุคมาเยือน การต่อสู้มหามรรคเริ่มขึ้น ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอย่อมสามารถแยกแยะสูงต่ำออกมาได้”
ชายชราสีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอด คำพูดก็ผ่อนคลายอย่างมาก เพียงแต่ตอนที่พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็ส่ายหน้า ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
“เสียดาย มหาสงครามเป็นการต่อสู้แห่งความเป็นความตาย ในโลกแม้ผู้กล้าจะมาก แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นหินปูทางของคนอื่นเท่านั้น!”
หลังจากนั้น จู่ๆ เงาร่างของเขาก็หายแวบไป ราวกับระเหยไปกลางอากาศ
หินปูทาง!
ในใจหลินสวินสะท้าน ขุนพลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือได้นั้น จะต้องมีทหารที่เสียสละชีวิตเป็นจำนวนมาก แล้วนับประสาอะไรกับการต่อสู้ระหว่างผู้กล้าทั่วหล้า
ภาพเหตุการณ์นั้นจะต้องน่าเศร้าและสลดใจกว่าอย่างแน่นอน!
ชายชราคนนั้นเป็นใคร
ตอนที่หลินสวินตามหาอีกฝ่ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เรียกได้ว่ามาไปมาไร้ร่องรอย แม้ผีสางเทวดายังไม่รู้สึกตัว!
และเมื่อหลินสวินคิดใคร่ครวญดูอย่างละเอียดก็พบอย่างน่าตกใจว่า ในหัวกลับไม่สามารถจำรูปลักษณ์ของชายชราคนนั้นได้เลย!
หรือจะเป็นอริยะคนหนึ่ง
ในใจหลินสวินยิ่งไม่สามารถสงบได้ เมืองเพลิงมรกตเล็กๆ แห่งนี้ จะปรากฏบุคคลที่แทบจะเรียกได้ว่าเทียมฟ้าเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่!
การมาของชายชราคนนี้ บางทีอาจจะเป็นเพียงผ่านทางมา ไม่แน่ว่าจุดมุ่งหมายของเขาอาจจะเป็นแม่น้ำพรมแดนที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง!
หลินสวินตัดสิน
บนถนนคนเดินขวักไขว่ ไม่นานก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม
เพราะงานประเมินหินจะเริ่มตอนเย็น หลินสวินจึงหาหอสุราแห่งหนึ่งสั่งเหล้าและกับแกล้มมาดื่มเพียงลำพัง
เรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับแดนชัยบูรพาน้อยมาก
รู้เพียงว่านี่เป็นสถานที่ในดินแดนรกร้างโบราณที่ได้รับขนานนามว่าเป็นแหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ และเรียกอีกชื่อว่า ‘แดนอริยมรรคนิรันดร์’
ก่อนจะมาเยือนไป๋หลิงซีเคยบอกว่า ในหมู่ผู้กล้าแห่งยุคซึ่งเป็นบุคคลชั้นยอดสูงสุดในยุคปัจจุบัน มีเจ็ดส่วนที่มาจากแดนชัยบูรพา ที่เหลืออีกสามส่วนแบ่งออกเป็นของแดนฐิติประจิม กาฬทักษิณและดาราอุดร
จากเรื่องนี้สามารถจินตนาการได้ว่า แดนชัยบูรพาเจริญรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์เพียงใด!
และเพราะสงครามมหายุคที่กำลังจะมาเยือน ผู้กล้าแห่งยุคชั้นยอดที่สุดในรุ่นเยาว์จากสี่แดนวิภูล้วนจะมารวมตัวกันที่แดนชัยบูรพา
เพราะหากกระดานทองคำผู้กล้าที่สะเทือนโลกตั้งแต่บรรพกาลจะปรากฏ ก็จะปรากฏขึ้นในแดนชัยบูรพา!
ถึงตอนนั้นเพื่อแย่งชิงอันดับกระดานทองคำผู้กล้า จะต้องเกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในหมู่ผู้กล้านับหมื่นทั่วหล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกอย่างแน่นอน!
และเยวี่ยไฉ่เวยเองก็เคยพูดว่า นอกจากเหล่าผู้กล้าแห่งยุคที่มีชื่อเสียงมาตั้งนานแล้ว ในแดนเร้นอริยะก็มีบุคคลระดับปีศาจที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานซ่อนตัวอยู่
และเคยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ตอนที่สงครามมหายุคมาเยือน เส้นทางสู่มกุฎราชันจะต้องปกคลุมไปด้วยเลือดและกระดูกของผู้กล้า!
นี่ก็คือมหาสงคราม!
‘จี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ซุ่นไป๋เสวียน ลั่วเจีย เยวี่ยไฉ่เวย… เพียงแค่บุคคลระดับมกุฎที่ข้าเคยเจอก็มากถึงเพียงนี้แล้ว ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าบนโลกนี้ยังมีบุคคลเช่นนี้อีกเท่าไหร่…’
‘นอกจากนี้เซ่าเฮ่านายน้อยแห่งเผ่าราชันเร้นดารา คุณชายที่เก็บตัวเงียบในเกาะอริยะปัญจธาตุแห่งแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์จะยอมอยู่เฉยตอนที่สงครามมหายุคมาเยือนได้อย่างไร’
‘แล้วพวกตัวประหลาดบรรพกาลที่จำศีลมาไม่รู้นานเท่าไหร่ เพื่อรอคอยการมาถึงของสงครามมหายุคอย่างพวกเขามีอีกเท่าไหร่’
หลินสวินดื่มเหล้าจอกหนึ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ บนโลกนี้ไม่เคยขาดแคลนผู้กล้า ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าก็ยิ่งเข้าใจความหมายของคำว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า!
แน่นอนว่าหลินสวินไม่มีทางลืมอวิ๋นชิ่งไป๋!
หากบอกว่าพวกจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงเป็นผู้มีอิทธิพลในบรรดาคนรุ่นเยาว์แห่งยุค ถ้าอย่างนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋คนนี้ก็นับได้ว่าเป็นตำนานที่ยืนตระหง่านอยู่ก่อนหน้ายุคปัจจุบันแล้ว
“ข่าวใหญ่! ข่าวที่เพิ่งเผยแพร่มา อสูรเฒ่าแรดดำถูกฆ่าแล้ว!”
ตอนนี้เองในหอสุรามีคนตะโกนอย่างตื่นเต้น ทำให้เกิดความฮือฮาขึ้น อสูรเฒ่าแรดดำเป็นถึงราชันผู้หนึ่ง จะถูกฆ่าได้อย่างไร
“ว่ากันว่าคนที่ฆ่าอสูรเฒ่าแรดดำเป็นคนหนุ่มที่ชื่อหลินสวิน”
“หลินสวินหรือ ทำไมไม่เคยได้ยิน”
“คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณแดนชัยบูรพาของเรา เขามาจากแดนฐิติประจิม นับได้ว่าเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในบรรดาคนรุ่นเยาว์ ทั้งยังมีฉายาว่า ‘เทพมารหลิน’!”
“เทพมารหลินงั้นหรือ ฮ่าๆ ฉายานี้ช่างอวดดีจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเทพมานหลินคนนี้มาถึงแดนชัยบูรพาแล้ว จะสามารถแผลงอานุภาพเทพมารได้ต่อหรือไม่”
ในหอสุราเสียงวิจารณ์ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย สีหน้าของหลินสวินก็อดแปลกพิกลขึ้นมาไม่ได้
ตอนที่อยู่ในแดนฐิติประจิม ไม่ว่าใครวิจารณ์ตน หากไม่เคารพนับถือจนถึงที่สุดก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แต่ในแดนชัยบูรพาแห่งนี้ ผู้วิจารณ์ต่างไม่เห็นด้วย และยังแฝงความดูถูกและเย้ยหยัน
“ไม่ถูกสิ คนหนุ่มอย่างเขาอาจจะเรียกได้ว่าน่ากลัวในบรรดาคนรุ่นเยาว์ แต่จะสู้อสูรเฒ่าแรดดำได้อย่างไร”
มีคนสงสัย
“ได้ยินว่าอสูรเฒ่าคนนี้ถูกหลินสวินใช้กระบวนผนึกมรรคราชันกักตัวสังหาร”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้ายังนึกว่าเทพมารหลินคนนี้วิปริตขนาดนั้นจริงๆ เสียอีก”
“แต่สามารถใช้กระบวนค่ายกลใหญ่กักตัวสังหารราชันคนหนึ่ง หลินสวินคนนี้ก็นับว่ามีความสามารถ”
ทันใดนั้นบรรยากาศในหอสุรายิ่งผ่อนคลายลง
“ได้ยินว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ออกคำสั่งลงมาแล้ว เคลื่อนพลังส่วนหนึ่งมาเพื่อทวงความเป็นธรรมให้อสูรเฒ่าแรดดำ ไปตามหาและสังหารหลินสวินนั่น”
ตอนที่ได้ยินถึงตรงนี้หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ ราวกับคิดไม่ถึงว่าการตอบสนองของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จะไวขนาดนี้
“หึ แค่เด็กเมื่อวานซืนที่มาจากแดนฐิติประจิมเท่านั้น สังหารอสูรเฒ่าแรดดำได้ไม่ใช่เพราะพลังปราณของเขาแข็งแกร่งเพียงใด แต่เพราะอสูรเฒ่าแรดดำนั่นถูกซุ่มโจมตี ถูกกังขังอยู่ในค่ายกลใหญ่ หากไม่ใช่เพราะกระบวนค่ายกลใหญ่นี้ เขาก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย”
จู่ๆ ก็มีคนแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ “หากเปลี่ยนเป็นข้าที่ลงมือ ย่อมสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดายราวกับเชือดไก่!”
ตอนที่ 986 เริ่มงานประเมินหิน
ตรงตำแหน่งริมหน้าต่างหอสุรา ชายในชุดสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่ ยังอายุน้อยมาก ผิวขาวเนียน แฝงกลิ่นอายความเย่อหยิ่งเย้ายวน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง ข้างกายยังมีสาวใช้วัยแรกแย้มคู่หนึ่งคอยรินเหล้าและคีบอาหาร ปรนนิบัติอย่างไม่ขาดตก
ก่อนหน้านี้เป็นเขานี่แหละที่บอกว่าสามารถสังหารเทพมารหลินได้อย่างง่ายดายเหมือนเชือดไก่
“สหายคนนี้พูดเกินไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรการที่เทพมารหลินนั่นฆ่าอสูรเฒ่าแรดดำซึ่งเป็นบุคคลในระดับราชันได้ ย่อมไม่ธรรมดา” มีคนไม่เห็นด้วย
ชายชุดดำหลุดขำ “เพราะเจ้าไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นแม้อสูรเฒ่าแรดดำจะเป็นราชัน แต่กลับเป็นราชันปลอม พึ่งจะก้าวสู่ระดับราชันสิบกว่าปีเท่านั้น ถือว่าเป็นราชันที่อ่อนแอที่สุด ถูกสังหารไปก็ไม่มีอะไรน่าตกใจ”
เขาผ่อนคลายมาก การพูดจาเผยความย่ามใจเต็มประดา
นี่ทำให้หลายคนดูแล้วขัดตาพลันพูดว่า “ราชันก็คือราชัน แม้จะเป็นราชันที่อ่อนแอที่สุด ก็ใช่ว่าใครจะสามารถวิจารณ์ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นหากเทพมารหลินนั่นอยู่ เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้หรือ”
ชายชุดดำดื่มเหล้าจอกหนึ่งอย่างสบายๆ พูดเรียบๆ “เท่าที่ข้ารู้ พลังปราณของเขาอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น การจะสังหารเขาง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ข้าไม่เพียงกล้าพูดเช่นนี้ ยังกล้ากำจัดเขาให้สิ้นซากภายในฝ่ามือเดียว!”
หลินสวินอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก อดเหลือบมองคนผู้นี้ปราดหนึ่งไม่ได้ เจ้าหมอนี่กลิ่นอายเย้ายวน แม้ไม่ได้เผยความเผด็จการและอวดดีอันใด แต่กลับดูเย่อหยิ่งและจองหองอย่างที่สุด
ความย่ามใจเช่นนี้ชวนให้รู้สึกเอือมระอามากจริงๆ พลันมีคนพูดว่า “เทพมารหลินที่มาจากแดนฐิติประจิมคนนี้เป็นเพียงแค่คนหนุ่มคนหนึ่ง พลังปราณก็บรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติแล้ว นี่ก็น่าตกใจมากแล้ว ขอถามหน่อยว่าสหายเจ้าอยู่ในระดับใด”
“ข้าผู้ไร้สามารถ ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติตอนอายุสิบสี่” ชายชุดดำพูดสบายๆ
ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างตะลึง ตระหนักได้ว่าชายชุดดำจะต้องเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งอย่างแน่นอน มิน่าถึงได้กล้าจองหองเช่นนี้
“ขอถามว่าคุณชายมีนามว่าอะไร” มีคนอดถามไม่ได้
“หนานกงสุ่ย”
“ใช่หนานกงสุ่ยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หรือไม่”
“ฮ่าๆ หรือบนโลกนี้ยังมีข้าคนที่สองด้วยหรือ” ชายชุดดำยิ้ม มุมปากปรากฏองศาเย่อหยิ่ง
“ถึงว่า ที่แท้ก็เป็นหนานกงสุ่ยหนึ่งในหกผู้สืบทอดแท้จริงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ในแคว้นกู่ชางน้อยมากที่จะมีคนรุ่นเดียวกันสู้เขาได้”
“คู่ผู้กล้าตระกูลหนานกง พี่ชายหนานกงสุ่ย น้องชายหนานกงหั่ว ปัจจุบันล้วนเป็นบุคคลที่สะดุดตาในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์”
ทุกคนในหอสุราอุทานด้วยความตกใจ วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา เห็นได้ชัดว่าล้วนเคยได้ยินเรื่องของหนานกงสุ่ย
แต่หลินสวินกลับอึ้งงันไป
จู่ๆ เขาก็นึกถึงตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เคยส่งคนมาเยือนโลกชั้นล่างและไปถึงสำนักศึกษามฤคมรกต
หนานกงหั่วก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนั้นข้ารับใช้คนหนึ่งที่ติดตามหนานกงหั่ว เล่นงานลูกศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตจนไม่มีใครสามารถต้านทานได้
จากนั้นก็เพราะตนลงมือ จึงกำราบพวกเขาได้
หลินสวินจำได้แม่นว่า ตอนนั้นหนานกงหั่วเองก็หยิ่งผยองมากเช่นกัน แต่กลับถูกตนเตะจนก้นลาย แทบคลั่งอยู่แล้ว
สุดท้ายเพราะสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่ชื่อเยวี่ยซิวออกหน้าไกล่เกลี่ย จึงคลี่คลายสถานการณ์ตอนนั้นได้
สิ่งที่หลินสวินคิดไม่ถึงคือ กลับเจอพี่ชายของหนานกงหั่วที่นี่!
‘หรืออีกฝ่ายเดาฐานะของข้าออกแล้ว จึงแสดงท่าทีดูถูกข้าเช่นนี้’ หลินสวินใคร่ครวญ
……
ช่วงบ่าย งานประเมินหินเริ่มขึ้นตามกำหนด
บริเวณชานเมืองพลันคึกคักขึ้นมาในชั่วขณะ ท้องฟ้ามีรุ้งศักดิ์สิทธิ์บินออกมาเป็นระยะๆ ผู้คนแออัด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์
พวกเขาต่างเร่งรีบไปที่สวนขนาดใหญ่แห่งนั้น
หลินสวินเองก็มาแล้ว เพียงแต่เขาในตอนนี้กลับอยู่ในชุดภิกษุสีดำ ในมือถือลูกประคำ ศีรษะหน้าผากใสสะอาด ใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปแปลงกายเป็นภิกษุหนุ่มคนหนึ่ง
ถ้ามู่เจิ้งผู้เป็นหนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์อยู่ที่นี่คงโกรธจนกระอักเลือด เพราะรูปลักษณ์ที่หลินสวินแปลงออกมาก็คือเขา
พอหยิบป้ายคำสั่งที่เกาเทียนอีให้ออกมา หลินสวินก็เข้าไปในสวนแห่งนั้นได้อย่างราบรื่น
ทอดสายตามองไป ที่แห่งนี้มีทั้งศาลาห้องโถง ต้นไม้เก่าแก่เขียวชอุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นเงาร่างผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ทุกแห่งหน ในขณะเดียวกันก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากทยอยเข้ามา
ฟิ้ว!
แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามสายหนึ่งกวาดผ่านท้องฟ้า นั่นเป็นยานสำเภาลำหนึ่ง แสงมงคลหมื่นสายกดข่มชั้นเมฆ ตรงลงมายังส่วนลึกของสวน
ผู้คนฮือฮาขึ้นมาทันที สายตาต่างมองไป
“บุคคลสำคัญและผู้โดดเด่นแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาแล้ว!”
“ช่างเป็นกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งนัก แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สมกับที่เป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นกู่ชาง ผู้สืบทอดที่บ่มเพาะออกมาล้วนแข็งแกร่งจนน่าตกใจ”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนต่างเห็นเงาร่างสีทองเคลื่อนผ่าน นี่คือชายหนุ่มในชุดคลุมสีทอง เขามีมาดบริสุทธิ์งดงาม ร่างกายสูงโปร่ง อาบแสงสีทองรอบกาย ดูเหมือนสุริยันดวงใหญ่ที่สว่างไสว กลิ่นอายน่าตกใจ ดุจดั่งเทพองค์หนึ่งไม่มีผิดเพี้ยน
ข้างหลังเขา กลุ่มหนุ่มสาวชายหญิงล้อมเข้ามาราวกับดาวล้อมเดือน ยิ่งขับเน้นให้ชายหนุ่มชุดคลุมทองดูไม่ธรรมดา
ฉู่เป่ยไห่!
บางคนไม่จำเป็นต้องจงใจแสดงออก เพียงแค่การกระทำอย่างง่ายๆ ก็ดูไม่ธรรมดาแล้ว ฉู่เป่ยไห่ก็เป็นเช่นนี้อย่างไม่ต้องสงสัย บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ ท่วงท่าโดดเด่น ราวกับนกกระเรียนในฝูงไก่ ประกายสีทองอร่ามสว่างไสวรอบกาย งดงามโดดเด่น
ตอนนี้หญิงสาวรุ่นเยาว์หลายคนต่างเผยสีหน้าหลงใหลคลั่งไคล้ ส่วนผู้ฝึกปราณชายเหล่านั้นก็เผยสีหน้าเคารพนับถือและชื่นชมเช่นกัน
คนผู้หนึ่ง เพิ่งจะปรากฏตัว บุคลิกก็ครอบงำทั้งลานแล้ว!
แม้แต่หลินสวินยังต้องยอมรับว่า ฉู่เป่ยไห่นี่ช่างสมกับที่เป็นบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง บุคลิกยอดเยี่ยม อยากไม่สังเกตเห็นยังยาก
แน่นอนว่าบุคคลเช่นนี้หลินสวินเห็นมามากแล้ว อย่างน้อยก็ซุ่นไป๋เสวียน อวี่หลิงคง หรือแม้แต่มู่เจิ้งที่เขาจงใจปลอมตัวในตอนนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าคนผู้นี้
เขาไม่ได้สนใจนัก ที่ทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ คือ เขาเห็นคนรู้จักคนหนึ่งในบรรดาชายหญิงที่อยู่ด้านหลังฉู่เป่ยไห่
นั่นเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมขาว รูปร่างงามสง่า เป็นกู้อวิ๋นถิงนั่นเอง!
ปีนั้นยามอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต กู้อวิ๋นถิงคนนี้เป็นถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่เป็นสองรองใคร มีพรสวรรค์กายสุวรรณมรรคอัคคี ได้รับความเคารพนับถือจากคนในรุ่นเดียวกันมากมาย
แต่หลินสวินเคยขัดแย้งกับเขา แม้ไม่เคยสู้กันอย่างจริงจัง แต่ความสัมพันธ์กลับแย่ลงมาก
วันนี้หลังจากผ่านไปหลายปี พอมาเจอกันในแดนชัยบูรพาแห่งนี้ก็ทำให้หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้
อันที่จริงเมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิจื่อเย่าที่เดินทางมายังดินแดนรกร้างโบราณในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นไป๋หลิงซี เซี่ยอวี้ถัง หรือกู้อวิ๋นถิงที่เห็นตรงหน้าตอนนี้ ล้วนแยกย้ายเข้าไปฝึกปราณในสำนักโบราณแต่ละแห่ง
กลับเป็นเขาหลินสวินที่ดูย่ำแย่ที่สุด จนถึงตอนนี้ยังคงตัวคนเดียว ต่อสู้เพียงลำพัง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความแตกต่างระหว่างการมีและไม่มีสำนัก
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากู้อวิ๋นถิงมีชีวิตที่ไม่เลวเลย ติดตามอยู่ด้านหลังฉู่เป่ยไห่ แม้ความเฉียบคมจะถูกอีกฝ่ายบดบังไป แต่จากเรื่องนี้สามารถดูออกว่า ฐานะของเขาในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่ต่ำเลย
เพียงแต่เมื่อเทียบกับฉู่เป่ยไห่ยังด้อยกว่าบ้างก็เท่านั้น
ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นคนคุ้นเคยอีกคน เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมหยกแดงเพลิง แต่งตัวเต็มยศ ใบหน้าหล่อเหลาและหยิ่งผยอง เป็นหนานกงหั่วที่เคยถูกเขาเตะจนก้นลาย
ไม่นานหลินสวินก็เก็บสายตา
เขารู้ดีว่าในลูกศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษามฤคมรกตล้วนถูกส่งมาฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เพราะฉะนั้นการจะเจอคนรู้จักที่นี่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
“ภิกษุ อย่าขวางทาง!”
เสียงตวาดเย้ายวนดังขึ้นข้างหู ทีแรกหลินสวินยังไม่รู้ตัว จากนั้นจึงตระหนักได้ว่านี่เป็นคำที่กำลังสั่งตน
พอหันมาหลินสวินก็เห็นหนานกงสุ่ยที่ประกาศกร้าวว่าสามารถฆ่าเขาเหมือนเชือดไก่
ชายชุดดำที่เย้ายวนเอามือไพล่หลัง ยังคงจองหองและเย่อหยิ่ง มีสาวใช้สองคนคอยติดตาม ตอนนี้กำลังจ้องตนด้วยสีหน้าเย็นชา
“ที่แท้ก็เป็นสหายยุทธ์หนานกง” หลินสวินยิ้มพูด
หนานกงสุ่ยชะงัก ขมวดคิ้วพูด “เจ้าเป็นใคร”
“อาตมามู่เจิ้ง” หลินสวินประสานมือทั้งสอง บุคลิกเคร่งขรึม เลียนแบบลักษณะท่าทางอันสง่างามและสงบนิ่งของมู่เจิ้งได้เหมือนมาก
“ข้ารู้จักเจ้าหรือ” หนานกงสุ่ยแปลกใจ
“อาตมารู้จักสหายยุทธ์หนานกงก็พอแล้ว” หลินสวินยิ้มพูด แม้ตอนนี้มรรควิถีของเขาจะลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ แต่นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นกลับไม่ได้เปลี่ยนไปนัก
หนานกงสุ่ยคนนี้เคยประกาศกร้าวว่าจะกำจัดเขาให้สิ้นซากภายในฝ่ามือเดียว ถ้าเขาไม่ได้ยินก็ช่างเถอะ แต่เขากลับได้ยินเข้า นี่ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายเขาต่อหน้า
“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” หนานกงสุ่ยรู้สึกว่าภิกษุที่อยู่ตรงหน้าดูอย่างไรก็ผิดปกติ แปลกประหลาดมาก
“เพราะหากมีโอกาส ไม่แน่ว่าสหายยุทธ์อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากข้า” หลินสวินพูดอย่างจริงจัง
“ช่วยอะไร ภิกษุ เจ้าอย่ามาใช้อุบายเล่ห์เหลี่ยมกับข้าให้มากนัก” หนานกงสุ่ยแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ
“ธรรมนั้นมิอาจพูด ยังไม่ถึงเวลา ฝืนมิได้” หลินสวินพูดเนิบนาบ กล่าวจบก็หันหลังเดินไป
“เจ้าลาหัวโล้นนี่ อายุแค่นี้ก็ลวงคนเป็นแล้ว ข้าว่าพวกบำเพ็ญธรรมใช้ไม่ได้สักคน!”
หนานกงสุ่ยยิ้มเยาะ เขารู้สึกประหลาดใจมาก ตอนที่พูดเขาก็นำสาวใช้สองคนจากไปแล้ว
……
หลังจากเดินเล่นในสวนสักพัก หลินสวินก็มาถึงบริเวณที่ประมูลหิน
บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี ศิลาอุกกาบาตสารพัดรูปแบบวางกองกระจัดกระจายอยู่ มีทั้งใหญ่และเล็ก ล้วนแผ่ประกายดาวสีเงินออกมา
นี่คือรอบนอกของงานประเมินหิน คุณลักษณะของศิลาอุกกาบาตที่จัดแสดงถือว่าอยู่ระดับทั่วไปเท่านั้น ยิ่งลึกเข้าไปเท่าไหร่ คุณภาพของศิลาอุกกาบาตก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
อย่างศิลาอุกกาบาตที่ดึงดูดให้ฉู่เป่ยมาเยือน ก็อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสวน นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ
ครั้งนี้หลินสวินเพียงแค่มาเสี่ยงดวงเท่านั้น ถึงอย่างไรป้ายคำสั่งที่เกาเทียนอีให้เขามา ก็เทียบเท่ากับแกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อน หากไม่ใช้จะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตั้งใจดูอย่างละเอียด ใช้จิตรับรู้ไปสัมผัส
ก่อนหน้านี้ตอนที่ขุดโอสถราชันสามต้นจากก้นทะเลสาบของหาดดาราขจร เขาเพียงแค่ได้มาด้วยความบังเอิญเท่านั้น ถือเป็นความโชคดีล้วนๆ
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง ศิลาอุกกาบาตทุกก้อนล้วนจัดแสดงอยู่ตรงนั้น ด้านบนระบุราคาที่แตกต่างกัน ให้คนได้เลือกและประเมิน
หากศิลาอุกกาบาตที่เลือกผ่าออกมาแล้วไม่มีสมบัติ นั่นก็เท่ากับเสียเงินไปเปล่าๆ
นี่คือสิ่งที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า ‘การพนันหิน’
สำหรับการพนันหิน หลินสวินไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด จึงตัดสินใจลองหยั่งเชิงบริเวณรอบนอกนี้ก่อน ดูว่าศิลาอุกกาบาตนี่เลือกอย่างไรกันแน่ จะสามารถผ่าของดีอะไรออกมาได้หรือไม่
น่าสนใจ!
ไม่นานหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า ภายในศิลาอุกกาบาตทุกชิ้นล้วนมีพลังคลุมเครือพลุ่งพล่านอยู่ สามารถสกัดกั้นการตรวจจับของจิตรับรู้ ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าภายในมีอะไรซ่อนอยู่
และไม่สามารถตัดสินได้ว่า นี่ใช่หินที่ไร้ประโยชน์หรือเปล่า
ทว่าพอหลินสวินใช้นัยน์ตาเฉาเฟิง ทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับแตกต่างไป…
ตอนที่ 987 ใครคือแกะอ้วน
ตอนที่ใช้ความเร้นลับของนัยน์ตาเฉาเฟิง สองตาของหลินสวินราวกับสามารถมองทะลุการอำพรางทุกสิ่ง หยั่งรู้แก่นแท้ของสรรพสิ่ง
ศิลาอุกกาบาตที่ตอนแรกมีพลังคลุมเครือบดบังอยู่ ราวกับยลบุปผากลางสายหมอก จับจุดสำคัญไม่ได้ ดูความจริงไม่ออก
แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นหลินสวินก็มองเห็นว่า ภายในศิลาอุกกาบาตที่ขนาดประมาณแตงโมก้อนหนึ่งผนึกเม็ดหินสีแดงเพลิงซึ่งมีขนาดเพียงไข่นกกระทาก้อนหนึ่ง แดงราวกับเปลวเพลิง สว่างไสวเป็นประกาย
ผลึกหินกำเนิดไฟ!
วัตถุดิบวิญญาณที่เรียกได้ว่าล้ำค่าอย่างหนึ่ง สามารถปรุงยาและหลอมอาวุธได้
แต่มันไม่ถึงกับหายาก หลินสวินจำได้ว่าหอประสานฟ้ามีสมบัติเช่นนี้ขาย ราคาอย่างมากก็แปดร้อยแกนวิญญาณขั้นกลาง
แต่ตอนนี้ศิลาอุกกาบาตที่ผนึกผลึกหินกำเนิดไฟอยู่นี้ กลับระบุราคาห้าร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง ซึ่งก็คือห้าหมื่นแกนวิญญาณขั้นกลาง
ราคาต่างกันถึงหกเท่ากว่า!
หากใครเลือกซื้อหินนี้จะต้องขาดทุนจนกระอักเลือดแน่
‘ที่แท้นัยน์ตาเฉาเฟิงก็มีประโยชน์เช่นนี้ด้วย…’
ในใจหลินสวินตื่นเต้น ‘นี่ไม่ใช่หมายความว่า ตอนที่เลือกศิลาอุกกาบาตย่อมสามารถทำให้ข้าทำกำไรได้โดยไม่ขาดทุนไม่ใช่หรือ’
“เอ๋ ภิกษุเจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ ทำไม นักบวชอย่างเจ้าก็จะพนันหินหรือ”
และตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงเย้ายวนแฝงความเย้ยหยันของหนานกงสุ่ยก็ดังขึ้น
หันมาก็เห็นหนานกงสุ่ยก้าวเดินมาอย่างเชื่องช้าจากระยะไกล
ข้างๆ เขากลับมีหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยล้อมอยู่ ต่างอยู่ในชุดหรูหราสวยงาม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้ฝึกปราณทั่วไป
“แค่ดูผ่านๆ” หลินสวินพูดสบายๆ
“ภิกษุ เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
สายตาของหนานกงสุ่ยราวกับสายฟ้า พินิจหลินสวิน “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเหมือนกำลังสาปแช่งข้า”
หลินสวินลอบประหลาดใจ สัญชาตญาณของเจ้าหมอนี่ถือว่าแหลมคมดี
บนใบหน้าของเขากลับเคร่งขรึมพลันพูด “ยังไม่ถึงเวลา ไม่สามารถบอกได้ ไม่สามารถบอกได้”
“ภิกษุ เจ้ามาจากวัดไหน ทำไมถึงพูดจาเช่นนี้” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงสุ่ยตำหนิ
หลินสวินเหลือบมองคนผู้นั้นแวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “โยม อาตมาเห็นว่าสีหน้าของท่านดูมีไอชั่วร้าย จุดอิ่นถังมืดมน กลางหน้าผากมีไอชั่วร้ายปกคลุมอยู่รางๆ นี่เป็นลางแห่งเคราะห์ร้าย ทางที่ดีระวังคำพูดและการกระทำ อย่าได้ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท มิฉะนั้นกลัวว่าเคราะห์กรรมจะมาเยือน”
คนผู้นั้นอึ้ง จากนั้นก็เดือดดาลยกใหญ่ “เจ้ากล้าสาปแช่งข้าหรือ”
ตูม!
ในขณะที่พูดหมัดของเขาก็กระแทกเข้าใส่หน้าหลินสวิน
คำว่ายโสโอหังเป็นอย่างไร ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า ไม่เข้าหูเพียงคำเดียวก็ลงมือเลย
หลินสวินประสานมือทั้งสองข้าง ถอนหายใจเบาๆ ราวกับมุนินทร์ที่ยืนอยู่ในแดนพิสุทธิ์ ท่าทางเปี่ยมด้วยเมตตา
ความจริงเขาลอบโคจร ‘อานุภาพพระเวทสยบมาร’ ซึ่งเป็นวิชาลับวิชาหนึ่งในคัมภีร์มหากษิติครรภ์ไปแล้ว ทำให้รอบตัวเขามีสนามพลังที่มองไม่เห็นเพิ่มเข้ามา มีพื้นฐานกำราบอสูรสยบมาร หมื่นวิชาไม่อาจทำลายได้
ตูม!
ชายหนุ่มกระแทกหมัดออกมา ยังไม่ทันสัมผัสหน้าหลินสวินก็รู้สึกเหมือนกระแทกใส่เพชร ไม่เพียงแค่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ยังเกิดพลังสะท้อนกลับที่รุนแรง ทำให้หมัดและข้อมือของเขาพับหักไปทันที
กร๊อบ!
ทันใดนั้นแขนขวาทั้งแขนของเขาถูกสะเทือนหัก ร่างกายเซถอย เจ็บจนสูดหายใจเย็น แยกเขี้ยวยิงฟัน เกือบจะกรีดร้องออกมา
พวกหนานกงสุ่ยหรี่ตาลงทันใด พลันรู้สึกว่าภิกษุหนุ่มคนนี้ร้ายกาจมาก ไม่ธรรมดาเลย
หลินสวินกล่าวเสียงทอดถอนใจ “โยมดูสิ คำพูดก่อนหน้านี้ของอาตมาเป็นจริงแล้ว เคราะห์มาเยือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ”
ทุกคนเกือบจะกลอกตาใส่ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการบาดเจ็บจากการต่อสู้ ใช่เคราะห์ซะที่ไหน ภิกษุคนนี้เหลวไหลเกินไปแล้ว
ทว่าทุกคนต่างไม่กล้าดูถูกหลินสวินแล้ว ก่อนหน้านี้หลินสวินยืนนิ่งไม่ขยับ ไม่เห็นว่าอานุภาพของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่กลับทำให้คนหนุ่มผู้นั้นถูกแว้งกัด นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้
“ที่แท้ก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ศักยภาพลึกล้ำคนหนึ่ง” นัยน์ตาของหนานกงสุ่ยมีประกายเยียบเย็นพลุ่งพล่าน ราวกับกระแสน้ำซัดสาด น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“สหายยุทธ์หนานกงชมเกินไปแล้ว หากไม่มีเรื่องอะไร อาตมาจะประเมินหินต่อแล้ว” หลินสวินยิ้มน้อยๆ ในขณะที่พูดเขาก็หมุนตัว คร้านจะสนใจอีกฝ่าย
ที่นี่เป็นงานประเมินหิน ผู้คนพลุกพล่าน ผู้ฝึกปราณก็มาก แม้หลินสวินจะไม่กลัว แต่ก็ไม่อยากสร้างก่อเรื่องในตอนนี้
ที่เขาปลอมตัวก็เพื่อไม่ให้คนจำได้ หลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น
“ช้าก่อน!”
แต่หนานกงสุ่ยกลับตื๊อไม่ยอมลดละ เดินเข้ามาพร้อมพูดว่า “ในเมื่อภิกษุชอบประเมินหิน งั้นให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าสักหน่อยดีหรือไม่”
“เล่นหรือ” หลินสวินพูด
“ไม่ผิด ก็เป็นการพนันอย่างหนึ่ง”
สายตาของหนานกงสุ่ยบีบบังคับข่มขู่ “ข้ากับเจ้าเลือกศิลาอุกกาบาตในราคาเดียวกัน เปรียบเทียบสมบัติที่ผ่าออกมา มูลค่าของสมบัติที่ผ่าออกมาของใครมากกว่า อีกฝ่ายจะต้องชดใช้ด้วยจำนวนแกนวิญญาณเท่ากับสมบัติชิ้นนั้นเป็นอย่างไร”
เขาย่ามใจและเย่อหยิ่งอย่างมาก
สำหรับการประเมินศิลาอุกกาบาต เขาถือว่ามีประสบการณ์มาก ทั้งยังครอบครองวิชาลับ มั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถผ่าสมบัติชั้นดีออกมาได้
มองหนานกงสุ่ยที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเพียงนี้แล้ว ในใจหลินสวินพลันเกิดความแปลกประหลาดขึ้นมา บ่นพึมพำในใจ เจ้าหมอนี่หาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวแท้ๆ
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะลังเล แต่พอค้นพบความมหัศจรรย์ของนัยน์ตาเฉาเฟิง เขาก็ไม่กลัวที่จะพนันกับใครอีก!
ตอนนี้ในสายตาของเขา หนานกงสุ่ยเหมือนแกะอ้วนที่มาให้เชือดถึงที่ หากไม่เชือดเขาอย่างเจ็บแสบสักดาบ คงรู้สึกผิดต่อความจริงใจของเขา!
ทว่าแม้ในใจจะคิดเช่นนี้ ในปากหลินสวินกลับเอ่ยเสียงทอดถอนใจ “ช่างเถอะ อาตมาเป็นนักบวช พุทธะท่านว่า หมั่นฝึกฝนคุณธรรมและปัญญา ดับความโลภความเกลียดชังและความหลง หากพนันกับเจ้า อาตมาก็จะเกิดความโลภและความโกรธ”
หนานกงสุ่ยเอือมระอาขึ้นมาทันที ภิกษุคนนี้ดื้อด้านจริงๆ ไม่ได้ใจเลยสักนิด
“ภิกษุ เจ้าคงไม่ได้กลัวหรอกนะ หากเป็นเช่นนี้จริงเจ้าก็ก้มหัวยอมแพ้ ขอขมาพี่หนานกง พวกข้าก็คร้านจะถือสาเจ้าอีก”
มีคนดูถูก
“เหอะๆ ภิกษุคนนี้ช่างลวงโลกจริงๆ หากเจ้าไม่ได้เกิดความโลภจะมาร่วมงานประเมินหินได้อย่างไร ลาหัวโล้นอย่างพวกเจ้าช่างเสแสร้งจริงๆ”
และมีคนเย้ยหยัน
“ภิกษุ เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่ เป็นลูกผู้ชายก็เด็ดขาดหน่อย ชักช้ายืดยาดเช่นนี้ แม้แต่ผู้หญิงยังสู้ไม่ได้ ยังจะบำเพ็ญธรรมหยั่งธรรมอะไรอีก” เด็กสาวในชุดแดงที่ดูเผ็ดร้อนคนหนึ่งพูด
หลินสวินสีหน้าจนปัญญาเต็มประดา ถอนหายใจยาวพูด “เอาเถอะ พุทธะท่านว่า ช่วยเหลือผู้อื่นก็คือการช่วยเหลือตัวเอง วันนี้อาตมาจะช่วยสหายยุทธ์หนานกงสักครั้ง”
ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ ยังจะบอกว่าช่วยหนานกงสุ่ย ภิกษุนี่อวดอ้างจริงๆ!
ส่วนหนานกงสุ่ยเองก็ปรากฏเส้นสีดำที่ขมับ คำพูดนี้ฟังอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกต้อง ทำเหมือนตนเป็นมารปีศาจประหลาดที่ต้องถูกชี้แนะให้พ้นทุกข์อย่างไรอย่างนั้น…
“บอกไว้ก่อนว่า อาตมามีเพียงสี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง หากแพ้หมดแล้วก็จะไม่พนันต่อ” หลินสวินทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่มีความมั่นใจ
สี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงหรือ
เหล่าชายหญิงที่ติดตามหนานกงสุ่ยมาตาเป็นประกายทันที คิดไม่ถึงว่าภิกษุที่ดูไม่ได้มีความสามารถอะไรคนนี้ ฐานะกลับมั่งคั่งจนน่าตกใจ!
สี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง แม้แต่ลูกหลานครอบครัวร่ำรวย ยังน้อยนักที่จะมีได้
หนานกงสุ่ยเองก็อึ้งไป คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญจับแกะอ้วนตัวหนึ่งได้ อีกทั้งยังเป็นนักบวช!
พวกภิกษุร่ำรวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ทันใดนั้นในสายตาของพวกเขา หลินสวินก็เหมือนกลายเป็นแกนวิญญาณขนาดใหญ่ที่เดินได้ เป็นประกายระยิบระยับเต็มไปด้วยความยั่วยวน
“ภิกษุ พวกเราร่วมพนันด้วยเป็นอย่างไร” มีคนอดพูดไม่ได้
“นี่…” หลินสวินท่าทางลำบากใจ “อาตมามีแกนวิญญาณเพียงเท่านี้ เกรงว่าจะรับความพ่ายแพ้ไม่ไหว”
“ไม่เป็นไร ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะดวงขึ้น ยังไม่แพ้ก็ได้!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดล่อหลอก
คนอื่นๆ ต่างก็พากันส่งเสริม
สุดท้ายหลินสวินถอนหายใจ พยักหน้ารับ “พุทธะท่านเมตตา ทุกท่านจริงใจเพียงนี้ อาตมาจะปฏิเสธได้อย่างไร”
แกะอ้วนติดกับแล้ว!
ในใจชายหญิงเหล่านี้ตื่นเต้นมาก ต่างทนรอเชือดหลินสวินอย่างเจ็บแสบไม่ไหวแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ในใจหลินสวินก็ยิ้มอย่างสดใสมาก คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่เพียงสามารถเชือดหนานกงสุ่ยดาบหนึ่ง ยังมีแกะอ้วนอีกฝูงกระโดดออกมาร้องขอให้เชือด
นี่ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือผู้บำเพ็ญธรรมล้วนมีโชคดีติดตัว
ความเคลื่อนไหวฝั่งพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณมากมายตั้งนานแล้ว เมื่อได้รู้ว่าหนานกงสุ่ยจะพนันกับผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งต่างก็ตื่นเต้นกันขึ้นมา ล้อมกันเข้ามาจากสี่ด้าน หมายจะดูความครื้นเครง
“เอาล่ะ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ก็เริ่มจากศิลาอุกกาบาตราคาห้าร้อยแกนวิญญาณขั้นสูงเป็นอย่างไร” หนานกงสุ่ยเองก็รอไม่ไหวแล้ว
“ได้” หลินสวินหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางดูประนีประนอมด้วยความจนใจ
นี่ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่มุงดูต่างถอนหายใจ ผู้บำเพ็ญธรรมคนนี้ช่างเมตตาเหลือเกิน ไม่มั่นใจแท้ๆ ยังจะพนัน นี่เท่ากับถวายตัวให้อีกฝ่ายเชือดมิใช่หรือ
หากไม่ใช่เพราะอำนาจของหนานกงสุ่ยขวางไว้ พวกเขาคงอดไม่ไหวอยากร่วมเชือดภิกษุรูปนี้หนึ่งดาบด้วย
“ชิ้นนี้”
หนานกงสุ่ยหมายตาศิลาอุกกาบาตชิ้นนี้มาตั้งนานแล้ว พลันตัดสินอย่างไม่ลังเล “เอาชิ้นนี้แหละ”
ในเวลาเดียวเขามุมปากของเขาเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย หันมองหลินสวินพร้อมพูด “ภิกษุ ตาเจ้าแล้ว”
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าจริงจัง แต่กลับไม่ตัดสินใจเสียที ท่าทางลังเล
นี่ทำให้ทุกคนยิ่งมั่นใจว่าภิกษุรูปนี้จะต้องถูกเชือดแน่ เห็นได้ชัดว่าเป็นมือใหม่ นานขนาดนี้แล้วยังไม่สามารถเลือกศิลาอุกกาบาตได้
“ภิกษุ เจ้าเร็วหน่อย!” มีคนรอไม่ไหวแล้วจึงเร่ง
“ภิกษุ เจ้าไหวหรือเปล่า ให้ข้าช่วยเจ้าเลือกศิลาอุกกาบาตหรือไม่” มีคนเสริมขึ้นด้วยความเย้ยหยันเต็มประดา
“ฮ่าๆ ภิกษุลนจนเหงื่อตกแล้ว!” มีคนสังเกตเห็นว่าบนศีรษะเกลี้ยงเกลาของหลินสวินมีเหงื่อซึมออกมาชั้นหนึ่ง จึงกลั้นหัวเราะกันไม่อยู่
พวกหนานกงสุ่ยกลับมั่นใจเต็มเปี่ยม วันนี้แกะอ้วนตัวนี้หนีไม่รอดแล้ว!
“ชิ้นนี้แล้วกัน!” หลินสวินกัดฟัน เลือกศิลาอุกกาบาตชิ้นหนึ่งแล้วยังแสร้งถอนหายใจ สีหน้าวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตน
และตอนที่เห็นศิลาอุกกาบาตที่เขาเลือก สีหน้าของหลายคนอดแปลกประหลาดขึ้นมาไม่ได้
ศิลาอุกกาบาตนั่นดูเหมือนจะเป็นประกายสะดุดตา ดูไม่ธรรมดามาก แต่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ นั่นเป็นของที่ด้อยคุณภาพ!
ลวดลายพื้นผิวแตกระแหงและมีหลุมบ่อมากมาย
ของนี่อย่าว่าแต่ผ่าสมบัติที่มีราคาออกมาเลย มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่มีสมบัติอะไรเลย!
ภิกษุนี่โชคร้ายจริงๆ
ทันใดนั้นสายตาที่พวกเขามองหลินสวินอดแฝงความเวทนาไม่ได้ คงหนีไม่พ้นที่จะโดนเชือดอย่างเจ็บแสบแล้ว
ตอนที่ 988 ราชันมังกรแดงแห่งแปดราชันอ...
“ผู้ดูแล ผ่าหินได้แล้ว”
เห็นว่าหลินสวินเลือกศิลาอุกกาบาตชิ้นนั้น หนานกงสุ่ยจึงพูดขึ้นราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
“ได้”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ในมือถือดาบไม้สีเขียวเล่มหนึ่ง
นี่คือ ‘ดาบตัดวิญญาณ’ ตีขึ้นด้วยไม้มรกตล้ำค่าชนิดหนึ่ง ตอนที่ผ่าหินจะไม่ทำลายกลิ่นอายของสมบัติที่อยู่ภายใน
ชายวัยกลางคนนามว่าเจี่ยเจิ้ง เป็นผู้เชี่ยวชาญในการผ่าหิน เขาเดินเข้ามาแล้วพินิจศิลาอุกกาบาตนั่นอย่างละเอียดก่อน ค่อยยกดาบขึ้นมาผ่า
แกร๊กๆ
ผิวหินค่อยๆ ถูกผ่าออก เศษหินปลิวกระจาย
ทักษะการผ่าหินของเจี่ยเจิ้งนั้นมีความประณีตและชำนาญ ดุจดั่งเมฆเคลื่อนน้ำไหล คล่องมือเป็นธรรมชาติ มีความงดงามที่ใกล้เคียงกับมรรค
ทุกคนต่างลอบชื่นชมอย่างอดไม่ได้ ดังคำกล่าวที่ว่าทุกคนมีด้านที่ถนัดไม่เหมือนกัน แม้เจี่ยเจิ้งจะเป็นคนผ่าหิน แต่ในด้านนี้เขามีทักษะที่น่าชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่นานศิลาอุกกาบาตที่หนานกงสุ่ยเลือกก็ถูกผ่าออก เผยให้เห็นแร่กระดูกหยกสีชมพูระยิบระยับ ขนาดประมาณกำปั้น แผ่ประกายแสงราวกับภาพในฝัน
แร่กระดูกหยกรุ้งดารา
ในลานฮือฮาขึ้นมาระลอกหนึ่ง หลายคนเผยสีหน้าตกใจ นี่เป็นถึงสมบัติชั้นดี เป็นกระสายยาที่ใช้หลอมลูกกลอนโอสถระดับราชัน ล้ำค่าอย่างยิ่ง
ขนาดประมาณกำปั้นเช่นนี้ก็เทียบเท่าหนึ่งพันกว่าแกนวิญญาณขั้นสูงแล้ว!
“ยินดีกับคุณชาย ผ่าออกมาเป็นแร่กระดูกหยกรุ้งดารา จากคุณลักษณะของสมบัตินี้ ราคาประมาณหนึ่งพันสามร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง” คนผ่าหินเจี่ยเจิ้งพูด
“พี่หนานกงสายตาเฉียบคม ทำให้พวกข้าได้เปิดหูเปิดตา!”
“นี่จึงจะเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ วันนี้หากพี่หนานกงไม่สำแดงความสามารถแต่แรกเริ่ม ใครจะรู้ว่าพี่หนานกงเองก็ชำนาญการประเมินหินถึงเพียงนี้”
หนุ่มสาวเหล่านั้นตื่นเต้นมาก สรรเสริญเยินยอหนานกงสุ่ย
จุดสำคัญคือ ถ้าหลินสวินแพ้ ตามข้อตกลงในการพนัน จะต้องจ่ายพวกเขาคนละหนึ่งพันสามร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง!
นี่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาดีใจ
นี่แหละที่เรียกว่าเชือดแกะอ้วน ไม่จำเป็นต้องเสียแรงก็ได้ผลประโยชน์กำใหญ่
หนานกงสุ่ยเองก็ย่ามใจมาก แต่กลับพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทุกท่านชมเกินไปแล้ว มีทักษะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง”
“ภิกษุ ตาเจ้าแล้ว!” มีคนทนรอไม่ไหว อยากเห็นหลินสวินขายหน้าแล้ว
ทันใดนั้นสายตามากมายต่างมองไปทางหลินสวิน สีหน้าแฝงความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นอยู่ไม่มากก็น้อย
เพราะต่างดูออกว่าศิลาอุกกาบาตที่หลินสวินเลือก เป็นไปไม่ได้ที่จะผ่าเจอสมบัติชั้นดีอะไร ถึงขั้นที่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นเปล่าไร้ประโยชน์
หลินสวินกัดฟันพูด “ทุกท่าน ครั้งนี้หากอาตมาชนะ พวกเจ้าห้ามคืนคำเชียว ถอนสัญญาพนันตอนนี้ยังทัน”
คำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ล้วนรู้สึกถึงความไม่มั่นใจ
หนุ่มสาวเหล่านั้นยิ่งเบิกบานใจ ต่างรับปากว่าจะไม่คืนคำอย่างแน่นอน
หลินสวินกลับยังไม่เชื่อ พูดกับเหล่าผู้ฝึกปราณที่มุงดู “ทุกท่านก็ช่วยเป็นพยานด้วย หากอาตมาชนะ…”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกตัดบทเสียก่อน “ภิกษุ เหตุใดเจ้าจึงมากความเช่นนี้ นี่เป็นถึงงานประเมินหิน ในงานล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตา หากเจ้าชนะจริงๆ ใครจะเบี้ยวเจ้าได้”
“ก็ดี เริ่มเถอะ” หลินสวินถอนหายใจยาว ท่าทางเหมือนปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม
กลับเห็นคนผ่าหินเจี่ยเจิ้งลังเลครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวเสียงทอดถอนหายใจ “ภิกษุ หินชิ้นนี้ไม่ต้องผ่าหรอก พื้นผิวไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เต็มไปด้วยหลุมโพรง เป็น ‘เศษหินรังผึ้ง’ ชิ้นหนึ่ง ครั้งนี้เจ้าแพ้พนันแล้ว”
ทุกคนหัวเราะ แม้แต่คนผ่าหินยังพูดเช่นนี้ นี่ทำร้ายจิตใจภิกษุเกินไปแล้ว
“ภิกษุ เจ้าพนันหินครั้งแรกย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดพลาด ถือซะว่าใช้เงินซื้อบทเรียน” มีคนเย้ยหยัน
“มาๆๆ ข้าคำนวณให้เจ้าสักหน่อย บวกกับการพนันของพี่หนานกง ฝั่งเรามีทั้งหมดเก้าคน รวมกันแล้วเจ้าต้องจ่ายพวกข้าหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง” ชายหนุ่มคนหนึ่งอดทวงผลการพนันไม่ได้แล้ว
หนานกงสุ่ยโบกมืออย่างใจกว้าง พูดสบายๆ
“ช่างเถอะ ภิกษุเล่นเป็นครั้งแรก อย่าให้คนอื่นคิดว่าพวกเรารังแกเขา เก็บแค่หนึ่งหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงแล้วกัน”
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้หลายคนสูดหายใจด้วยความตกใจ
พนันครั้งหนึ่งก็ต้องจ่ายเป็นหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงแล้ว ดาบนี้เชือดเฉือนได้รุนแรงจริงๆ!
แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน ตอนนี้หลินสวินเหมือนรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่ไหว พลันพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าไม่ผ่า ข้าผ่าเอง!”
พูดแล้วเขาก็แย่งดาบผ่าหินจากมือเจี่ยเจิ้ง สับลงไปราวกับเป็นการระบายอารมณ์
เพียงแค่การกระทำนี้ ก็ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าภิกษุนี่โกรธจนคลั่งแล้ว
การผ่าหินเป็นงานที่พิถีพิถันในด้านทักษะอย่างมาก เขาตัดไปเช่นนี้ แม้มีสมบัติอะไรก็คงถูกผ่าจนเสียหายไม่เหลือสภาพแล้ว
แกร๊ก!
ศิลาอุกกาบาตแยกออก ด้านในว่างเปล่า เศษหินที่แตกหักกองอยู่ที่พื้นแทน
ทุกคนเกือบจะหัวเราะออกมา เป็นของไร้ประโยชน์ตามคาด!
“ภิกษุ เจ้ายังไม่ตายใจอีกหรือ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดยั่วโทสะ
หลินสวินกลับตาเป็นประกาย ตะโกนว่า “อาตมาชนะแล้ว!”
ทุกคนต่างตะลึงโดยพร้อมเพรียง พลันเห็นหลินสวินโน้มตัวลงเก็บลูกปัดหินสีเทาหม่นเม็ดหนึ่งขึ้นมาจากกองเศษหิน ขนาดเพียงไข่นกพิราบเท่านั้น ไม่โดดเด่นเลยสักนิด
นี่คืออะไร
ทุกสายตาต่างมองไป
หลินสวินเริ่มใช้ดาบผ่าหินผ่าลูกปัดหินขนาดเล็กที่ไม่โดดเด่นเม็ดนี้อย่างคล่องแคล่ว
ไม่นานแสงสีม่วงแพรวพราวสะท้อนออกมา งดงามสะดุดตา แสงสีม่วงระยิบระยับชั้นหนึ่งย้อมบนฝ่ามือหลินสวิน ดูบริสุทธิ์และโปร่งแสง
“เดี๋ยวๆ! ภิกษุรูปนี้ได้รับสมบัติจริงๆ หรือนี่”
“ซ่อนหินในหิน ดูจากลักษณะแล้วสมบัตินี้ไม่ธรรมดาเลย!”
ทุกคนฮือฮา ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างอุทานด้วยความตกใจ
แม้แต่คนผ่าหินอย่างเจี่ยเจิ้งยังตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พึมพำว่า “ศิลาอุกกาบาตชิ้นนั้นไม่มีทางปรากฏสมบัติได้ เหตุใด…”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ผลึกสีม่วงขนาดประมาณเท่าเมล็ดแตงโมผลึกหนึ่งปรากฏขึ้น มันมีขนาดเล็กมาก แต่กลับปลดปล่อยประกายสีม่วงแรงกล้าราวกับกระแสน้ำออกมา ทำให้ทุกคนรู้สึกแสบตา
นี่คืออะไร
หลายคนสงสัย
เพียงแค่ดูจากลักษณะก็รู้ว่าของสิ่งนี้อัศจรรย์มาก ดูสูงค่ากว่าแร่กระดูกหยกรุ้งดาราที่หนานกงสุ่ยผ่าออกมาก่อนหน้านี้ไม่เพียงแค่เท่าเดียว
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร หินไร้ประโยชน์ชิ้นหนึ่งยังปรากฏสมบัติได้งั้นหรือ” หนานกงสุ่ยพูดไม่ออก สีหน้าอึมครึมสับสน
“ฮ่าๆ พุทธะท่านสำแดงฤทธิ์ ประทานวาสนาแก่ข้า นี่เป็นการยืมมือข้าช่วยโปรดสัตว์ให้ทุกคนพ้นทุกข์และกลับใจเสีย!” หลินสวินยิ้ม
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ผนวกกับรอยยิ้มของเขา กลับทำให้รู้สึกเหมือนวอนหาเรื่อง
“นี่แม่งผิดปกติไปแล้วจริงๆ!” สีหน้าของหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ยอดเยี่ยมอย่างมาก ปากอ้าตาถลึง ในใจเหมือนมีม้าป่าหมื่นตัวห้อทะยานผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ทุกท่านอย่าคิดมาก เชี่ยวชาญแค่ไหนก็ล้วนมีช่วงที่ผิดพลาด นี่ถือซะว่าใช้เงินซื้อบทเรียน”
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม แต่คำพูดนี้กลับทำให้พวกหนานกงสุ่ยทำหน้าไม่ถูก เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขาพูดไว้เมื่อครู่นี้ แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินสวนกลับมา
“ภิกษุ ยังไม่ทันประเมินราคาของสมบัติชิ้นนี้ออกมาด้วยซ้ำ เจ้าก็คิดว่าตนชนะแล้วหรือ” มีคนไม่จำยอม
ทันใดนั้นพวกหนานกงสุ่ยต่างมีความหวังขึ้นมา จริงด้วย ยังไม่รู้ที่มาของสมบัตินี้ด้วยซ้ำ ราคาก็ยังไม่ได้ประเมิน นี่ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะหรอกนะ!
“ทุกท่าน พวกท่านคงไม่คิดจะบิดพลิ้วกระมัง นักบวชไม่พูดปด ผู้ฝึกปราณที่แยกแยะเป็นล้วนดูออกว่า สมบัติของข้ามีค่ากว่าสมบัติของพวกเจ้ามาก” หลินสวินขมวดคิ้วพูด
“อย่าพูดเหลวไหล ก็แค่เจิดจ้ากว่าหน่อยเดียวเท่านั้น ยังไม่ได้ตัดสินเลยว่ามีค่าเท่าไหร่กันแน่” หนุ่มสาวเหล่านั้นเถียง
“ทุกท่านล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตา หรือว่ารับความพ่ายแพ้ไม่ไหว” หลินสวินถอนหายใจ
ทุกคนแค้นจนกัดฟันกรอด ก่อนหน้านี้ภิกษุนี่ยังวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียอยู่เลย ตอนนี้พอโชคดีขึ้นมากลับอวดดีทันใด น่ารังเกียจจริงๆ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตัดสินราคาของสมบัติชิ้นนี้ก่อน” หนานกงสุ่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดเสียงขรึม “หากพวกข้าเป็นฝ่ายแพ้จริงๆ แน่นอนว่าย่อมยอมรับความพ่ายแพ้”
สวบ!
เพิ่งจะสิ้นเสียง จู่ๆ เงาร่างของชายชราคนหนึ่งก็ปรากฏในลาน เขาสวมชุดนักพรตเก่าแก่ ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลามาไม่น้อยและซักจนซีดแล้ว
“แกนมรรคยอดม่วง! ใช่จริงๆ ด้วย…” นักพรตเฒ่าผิวออกสีน้ำตาลแดง หนวดเคราเผ้าผมสีเทายุ่งเหยิง ร่างกายผอมแห้ง แต่ท่าทางกระปรี้กระเปร่าอย่างที่สุด
ตอนนี้ดวงตาสีทองอ่อนคู่นั้นของเขาจ้องหินม่วงในมือหลินสวินเขม็ง ราวกับตื่นเต้นอย่างมาก ร่างกายที่ผอมแห้งปลดปล่อยอานุภาพกดดันอันไร้รูป
ทันใดนั้นทุกคนพลันรู้สึกอย่างเลือนรางว่า นักพรตเฒ่าคนนี้ไม่เหมือนเป็นคน แต่เหมือนเป็นสัตว์ใหญ่มหึมาที่เบิกจักรวาล ราวกับเทพปีศาจที่ไม่ข้องเกี่ยวทางโลกมานับหมื่นปี ทำให้ผู้ฝึกปราณบริเวณรอบๆ รู้สึกถึงความกดดันที่หายใจไม่ออก
หลายคนยิ่งทรุดลงกับพื้น
หลินสวินเองก็สูดหายใจหนาวเยือก กลิ่นอายทรงพลังของนักพรตเฒ่าผู้นี้ แข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าระดับราชันทุกคนที่เขาเคยเจอ ทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันที่ชวนอกสั่นขวัญแขวน
“เสียดายที่เล็กเกินไป ยังไม่พอเลยสักนิด…” จู่ๆ นักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจเบาๆ พลานุภาพไร้รูปรอบกายหายไปราวกับกระแสน้ำ กลับคืนสู่สภาวะปกติ
ทุกคนราวกับยกภูเขาออกจากอก เพียงแต่ตอนที่มองนักพรตเฒ่าก็ยังคงใจสั่น นี่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
“หากผู้อาวุโสชอบก็เอาไปได้เลย” หลินสวินพูด
นักพรตเฒ่าสะบัดแขนเสื้อ ทิ้งถุงเก็บของใบหนึ่งให้หลินสวิน “ข้าเองก็ไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก นี่ห้าพันแกนวิญญาณขั้นสูง สามารถซื้อแกนมรรคยอดม่วงชิ้นเล็กนี้”
จากนั้นเขาก็หยิบหินม่วงจากมือหลินสวินไป เงาร่างพริบไหววูบหนึ่งก็หายจากไปไกลในทันที
ชั่วพริบตานั้นทุกคนราวกับเห็นมังกรตัวหนึ่งทะยานอากาศจากไป ทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนไปด้วย!
ในส่วนลึกของสวน ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยต่างตกใจ ล้วนหันไปมอง
ไม่นานฐานะของนักพรตเฒ่าก็ถูกเผยแพร่ออกมา…
ราชันมังกรแดง หนึ่งในแปดราชันอสูรมารแห่งทะเลครามลอยล่อง!
ทะเลครามลอยล่อง ผืนน้ำกว้างใหญ่ที่อันตรายจนผู้คนพูดถึงแล้วหน้าเปลี่ยนสี พื้นที่ภายในถูกเผ่าอสูรมารยึดครอง มีราชันอสูรมารแปดตนคุมอำนาจ
ราชันมังกรแดงก็คือหนึ่งในแปดราชันอสูรมาร ร่างเดิมของเขาคือชือโลหิตตัวหนึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว เป็นอสูรมารเฒ่าน่าสะพรึงที่ก้าวสู่หนทางอมตะ อานุภาพล้นฟ้า!
เพียงแต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ราชันมังกรแดงผู้นี้จะปรากฏตัวในงานประเมินหิน ทั้งยังซื้อแกนมรรคยอดม่วงไปเม็ดหนึ่ง!
หลังจากความตกตะลึงผ่านไป สายตาที่ทุกคนมองหลินสวินต่างซับซ้อนขึ้นมา ภิกษุรูปนี้ช่างโชคดีจริงๆ
เพียงแค่สุ่มเลือกมา ก็ผ่าออกมาเจอแกนมรรคที่ทำให้บุคคลที่น่ากลัวระดับราชันมังกรแดงยังไม่สามารถต้านทานได้ ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
แต่หลินสวินกลับยิ้มแล้ว มองพวกหนานกงสุ่ยพร้อมพูดว่า “ตอนนี้ตัดสินแพ้ชนะได้หรือยัง”
ตอนที่ 989 การเดิมพันครั้งใหญ่
ทั้งลานเงียบสนิท ผู้ฝึกปราณที่ดูอยู่ข้างๆ ต่างลอบถอนหายใจ โชคของภิกษุนี่พลิกฟ้าจริงๆ
ราชันมังกรแดงเพิ่งจะซื้อสมบัติชิ้นนั้นไปในราคาห้าพันแกนวิญญาณขั้นสูง หากพวกหนานกงสุ่ยต้องจ่าย ก็รวมเป็นแกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นห้าพันก้อนเลยทีเดียว!
ราคานี้ไปซื้อยอดศาสตรามรรคราชันชิ้นหนึ่งยังเหลือเฟือ
แต่ราคาที่หลินสวินจ่าย เพียงแค่ห้าร้อยแกนวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น…
กำไรมหาศาลเลย!
ก็ไม่แปลกที่เหล่าผู้ชมจะสะเทือนใจ
ส่วนพวกหนานกงสุ่ยกลับอัดอั้นจนจะกระอักเลือด ทีแรกคิดว่าจับแกะอ้วนมาได้ตัวหนึ่ง รอจะเชือดแทบไม่ไหวแล้ว
ใครจะคิดว่าเรื่องราวกลับพลิกผัน กลับเป็นพวกเขาที่ถูกกรีดเนื้อไปอย่างรุนแรง!
หลินสวินท่าทางรู้สึกผิด “อุ้ย ขอโทษจริงๆ เช่นนั้นเอาอย่างนี้ พวกเจ้าจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงสี่หมื่นก้อนก็พอ ถือว่าเป็นน้ำใจของอาตมา”
“ไม่ต้องห่วง! ที่แพ้เจ้า พวกเราจะจ่ายให้เจ้าโดยไม่ขาดแม้แต่ก้อนเดียว!” หนานกงสุ่ยสีหน้าอึมครึม จะให้ภิกษุรูปหนึ่งมาสงสารได้อย่างไร
เขาขายหน้าไม่ได้หรอกนะ!
ทันใดนั้นพวกเขาแต่ละคนรวบรวมแกนวิญญาณขั้นสูงส่งให้หลินสวินครบจำนวน
ในใจหลินสวินก็อดคิดไม่ได้ว่า นัยน์ตาเฉาเฟิงช่างสมกับที่เป็นวิชาเยี่ยมยอดโดดเด่นและมหัศจรรย์จริงๆ เพียงแค่ใช้ลวกๆ ก็สร้างรายได้ให้ตนถึงสี่หมื่นกว่าแกนวิญญาณขั้นสูง!
“ภิกษุ พวกเราพนันกันต่อ!” หนานกงสุ่ยลอบตัดสินใจแน่วแน่ ขาดทุนขนาดนี้ เขาจะหยุดได้อย่างไร
“ยังพนันอีกหรือ” หลินสวินดูไม่เต็มใจนัก
“ทำไม ชนะไปได้ก็คิดจะเผ่นแล้วหรือ บนโลกนี้มีเรื่องง่ายขนาดนั้นซะที่ไหน วันนี้ไม่เพียงแค่จะพนัน ยังต้องพนันให้ถึงที่สุด ดูว่าใครจะแพ้จนสิ้นเนื้อประดาตัวก่อน!” หนานกงสุ่ยสีหน้าเย่อหยิ่งเย็นชา
ในความคิดของเขา ก่อนหน้านี้หลินสวินเป็นแมวตาบอดที่เจอหนูตาย แต่โชคเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏตลอดหรอก
ว่ากันถึงที่สุด การพนันหิน สิ่งที่พนันคือความอดทนและมรรควิถีของแต่ละคน!
ในด้านนี้หนานกงสุ่ยมั่นใจมากว่าจะชนะหลินสวินได้
“พวกเขาก็…” หลินสวินหันมองหนุ่มสาวเหล่านั้น
“วางใจ เพียงแค่ภิกษุอย่างเจ้าไม่ยอมแพ้ พวกข้าก็จะเล่นด้วยจนจบ!” หนุ่มสาวพวกนั้นเองก็กัดฟัน ไม่จำยอมที่ต้องขาดทุนมากขนาดนี้เช่นกัน
ทีแรกว่าจะเชือดแกะอ้วน แต่กลับถูกแกะอ้วนเชือด หากเผยแพร่ออกไปจะต้องขายหน้าอย่างแน่นอน
ทุกคนที่อยู่รอบๆ อดขำไม่ได้ ตระหนักได้ว่าวันนี้หากภิกษุรูปนี้ไม่คายสิ่งที่กินเข้าไปออกมาให้หมด คนอื่นๆ ก็จะไม่วางมืออย่างแน่นอน
“พุทธองค์คุ้มครอง”
หลินสวินกล่าวคำพุทธออกมา สีหน้าเด็ดเดี่ยว “ช่างเถอะ ทุกท่านหลงงมงาย อาตมาเองก็ทำได้เพียงสละตน เป็นผู้โปรด… ชี้นำทุกท่านให้ข้ามทุกข์”
พูดอย่างคล่องปากจนเกือบจะพูดเป็น ‘โปรดสัตว์’
แน่นอนว่ารายละเอียดเล็กน้อยนี้ไม่มีใครใส่ใจ ทุกคนล้วนอยากให้หลินสวินตอบตกลงแล้วดูความครื้นเครงต่อ
การพนันรอบที่สองเริ่มขึ้น
ครั้งนี้หนานกงสุ่ยดูรอบคอบมาก หลังจากเลือกอย่างละเอียด ก็เลือกศิลาอุกกาบาตที่ขนาดเท่าหินโม่มาได้ชิ้นหนึ่ง
และหลินสวินก็เริ่มลังเลขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในใจเขากลับกำลังทอดถอนใจ ชีวิตคนราวกับละคร ล้วนต้องพึ่งทักษะการแสดง การเชือดแกะอ้วนก็เป็นงานทักษะอย่างหนึ่ง
สุดท้ายภายใต้การเร่งเร้าของทุกคน หลินสวินก็เลือกศิลาอุกกาบาตที่ได้มาตรฐานก้อนหนึ่ง
การพนันรอบนี้หลินสวินแพ้อย่างรู้ตัว แต่สมบัติที่ผ่าออกมาราคาห่างกันไม่มากนัก จ่ายให้อีกฝ่ายรวมหกพันแกนวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ทำให้พวกหนานกงสุ่ยตื่นเต้นขึ้นมา ยิ่งมั่นใจว่าเมื่อครู่ภิกษุรูปนี้แค่โชคดี สำหรับการประเมินหิน เขาด้อยประสบการณ์อย่างแน่นอน!
“พนันอีกหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว
“พูดแล้วว่าในเมื่อพนันก็ต้องพนันให้ถึงที่สุด ภิกษุ เจ้าอย่ายอมแพ้ล่ะ!” หนุ่มสาวเหล่านั้นต่างพูดขึ้น
หลินสวินถอนหายใจ และยอมรับการพนันรอบนี้ตามอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด
สุดท้ายก็แพ้อีกแล้ว
ทว่าแกนวิญญาณที่แพ้ก็ยังคงไม่มาก เพียงเจ็ดพันชิ้นเท่านั้น
พวกหนานกงสุ่ยยิ้มอย่างเบิกบานมาก มั่นใจเต็มเปี่ยม คิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมสามารถชนะภิกษุนี่จนหมดตัวได้ไม่เร็วก็ช้า
หลินสวินสีหน้าผิดหวัง ถอนหายใจไม่หยุด
ความจริงในใจเขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ที่แพ้ก็เป็นแค่เหยื่อล่อที่เขาโยนออกไปเท่านั้น จะได้ไม่ชนะจนเกินเหตุ ทำแกะอ้วนฝูงนี้ตกใจจนวิ่งหนี
หลังจากนั้นการพนันรอบที่สี่ รอบที่ห้า รอบที่หก… หลินสวินล้วนแพ้ทั้งหมด
สี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงที่ชนะมาในตอนแรกก็คืนสู่เจ้าของเดิมทั้งหมด
สถานการณ์แพ้ทุกรอบเช่นนี้ทำให้ผู้ชมต่างทนดูไม่ได้ อนาถเกินไปแล้ว หากภิกษุนี่แพ้ต่อไป สุดท้ายจะต้องแพ้จนไม่เหลืออะไรติดตัวกลับไปแน่!
หลินสวินในตอนนี้หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าอึมครึมบิดเบี้ยว ท่าทางดูฝืนทน
แต่พวกหนานกงสุ่ยชนะจนสบายใจไปตั้งนานแล้ว จะยอมหยุดได้อย่างไร พลันเรียกร้องจะพนันต่อ
หลินสวินพูดอย่างหงุดหงิด “ทุกท่าน พวกเจ้าจะจัดการให้สิ้นซากเลยหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราพนันกันอีกตาเดียวแล้วตัดสินแพ้ชนะเลยเป็นอย่างไร”
พูดแล้วเขาก็หยิบถุงเก็บของออกมาพร้อมพูดว่า “ข้างในมีสี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง หากข้าแพ้ นี่เป็นของพวกเจ้าทั้งหมด หากพวกเจ้าแพ้ แต่ละคนก็ต้องจ่ายแกนวิญญาณในราคาเทียบเท่ากันเป็นอย่างไร”
เขาตรวจสอบแล้ว ด้วยศิลาอุกกาบาตมากมายในพื้นที่แห่งนี้ ไม่สามารถชนะอีกฝ่ายจนสิ้นเนื้อประดาตัวได้ในครั้งเดียว
จึงขุดหลุมพรางทุกก้าว ยื่นข้อเสนอนี้ในเวลานี้
“น่าขัน เจ้าแพ้เสียแค่สี่หมื่น พวกเราแพ้กลับต้องเสียคนละสี่หมื่น บนโลกนี้มีเรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้นซะที่ไหน” พลันมีคนไม่เต็มใจ
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าใช้สิ่งนี้เป็นของเดิมพัน หากแพ้ มันจะตกเป็นของพวกเจ้า!” หลินสวินกัดฟัน หยิบหญ้าวิญญาณสีแดงราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนต้นหนึ่งออกมา
ทันทีที่ปรากฏ กลิ่นหอมกรุ่นสดชื่นก็แผ่กระจายออกมา ราวกับสามารถซึมเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณ ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างเผยสีหน้าหลงใหลออกมา
โอสถราชัน!
และยังเป็นโอสถราชันที่มหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ต้นหนึ่ง!
ผู้ฝึกปราณในลานต่างคอแห้ง สายตาร้อนระอุ คิดไม่ถึงเลยว่าภิกษุรูปนี้จะมีหญ้าวิญญาณวิเศษที่ล้ำค่ายิ่งเช่นนี้
แต่น่าเสียดาย ตอนที่พวกเขาหมายจะพินิจอย่างละเอียด หลินสวินก็เก็บไปแล้ว
ครั้งนี้เพื่อเชือดอีกฝ่ายอย่างเจ็บแสบ เขาก็ทุ่มสุดตัวเช่นกัน
พวกหนานกงสุ่ยต่างหวั่นไหว สมบัติหายากอย่างโอสถราชันอาจวัดราคาได้ แต่กลับมีขายน้อยมาก แม้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมขาย!
หากได้โอสถราชันต้นหนึ่งจากการพนันในครั้งนี้ ย่อมเป็นผลเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“ภิกษุ เจ้าแน่ใจหรือ” หนานกงสุ่ยพูดเสียงต่ำ
“พี่หนานกง เจ้าหมอนี่กำลังสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตา เพื่อให้พวกเราตกใจจนถอยหนี เขาจึงจะมีโอกาสหลุดพ้นไปได้ จะให้เขาสมปรารถนาไม่ได้เด็ดขาด” หนุ่มสาวพวกนั้นต่างโวย พวกเขาเองก็ริษยา ละโมบในโอสถราชันของหลินสวินเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นจากการพนันก่อนหน้านี้ พวกเขารับรู้ได้ว่าภิกษุรูปนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการประเมินหินคืออะไร
ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาย่อมมั่นใจเต็มเปี่ยม
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็อิจฉาตาร้อน อยากเข้าร่วมมาก แต่เพราะอำนาจของหนานกงสุ่ย พวกเขาจึงทำได้แค่คิดในใจ
“กลัวงั้นหรือ อาตมาฝึกปราณมาถึงวันนี้ ไม่เคยให้ความสำคัญกับของนอกกายพวกนี้อยู่แล้ว จะกลัวได้อย่างไร” หลินสวินแค่นเสียงเย็น
“ดี งั้นพวกเราพนันกันอีกตา ตัดสินแพ้ชนะในคราเดียว!” หนานกงสุ่ยกัดฟันตัดสินใจ
“พวกเจ้าล่ะ” หลินสวินหันมองหนุ่มสาวเหล่านั้น
“ไร้สาระ แน่นอนว่าพนัน!” พวกเขาตอบอย่างไม่ลังเล
การเดิมพันครั้งใหญ่ยังไม่ทันเริ่มขึ้น ก็มีผู้ฝึกปราณมากมายจากบริเวณอื่นถูกดึงดูดมาแล้ว
ทันใดนั้นบริเวณนี้พลันกลายเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในงานประเมินหิน ผู้คนแน่นขนัด
โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินหลินสวินบอกว่าจะเดิมพันด้วยโอสถราชันต้นหนึ่ง เสียงเกรียวกราวและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งดังอย่างไม่ขาดสาย ฮือฮาไม่หยุด
“เริ่มเถอะ!”
หนานกงสุ่ยเคลื่อนไหว เขาดูรอบคอบและจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต้องชนะอย่างสวยงามจะได้ไม่ถูกครหาว่าเขาเอาเปรียบโอสถราชันต้นนั้น
หลินสวินมองเงียบๆ ในตอนนี้เขาไม่คิดจะทำตัวดึงดูดสายตาเกินไป เพียงแค่ชนะอีกฝ่ายเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
ทุกคนในลานต่างตื่นเต้นขึ้นมา
มีผู้เชี่ยวชาญที่ชำนาญการประเมินหินสังเกตการณ์อยู่ แต่ไม่มีใครเตือน นี่คือกฎ
ตอนที่เห็นหนานกงสุ่ยเลือกศิลาอุกกาบาตที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป รูปร่างคล้ายแตงโม พวกเขาต่างอดลอบพยักหน้าไม่ได้
ในบริเวณนี้มีศิลาอุกกาบาตนับร้อยชิ้นกระจัดกระจายอยู่ แต่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ ที่หนานกงสุ่ยเลือกเป็นชิ้นที่คุณลักษณดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ภิกษุนั่นแย่แน่!
เพราะหากพูดถึงคุณลักษณะ ศิลาอุกกาบาตอื่นๆ ล้วนไม่สามารถสู้กับก้อนที่หนานกงสุ่ยเลือกได้!
ทันใดนั้นสายตาที่พวกเขามองหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นเย้ยหยันขึ้นมา ลอบถอนหายใจในใจ เสียดายโอสถราชันต้นนั้น
ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็อึ้งไป ภายใต้การตรวจจับของนัยน์ตาเฉาเฟิง แน่นอนว่าเขาเองก็ดูความลึกลับภายในออก
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าหนานกงสุ่ยนี่ก็ถือว่าสุดยอด เลือกศิลาอุกกาบาตชิ้นที่คุณลักษณะดีที่สุดได้อย่างแม่นยำ
ข้างในของหินนี้มีกลิ่นอายจิตวิญญาณพลุ่งพล่าน ผนึกดักแด้สีดำล้วนตัวหนึ่ง ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
หากหลินสวินเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็น ‘ผีเสื้อมารแยกฟ้า’ ตัวหนึ่ง มีศักยภาพแฝงที่เหลือเชื่อ ในสมัยบรรพกาลก็เคยมีผีเสื้อมารแยกฟ้าที่ก้าวสู่ระดับอริยะ กระพือปีกเบาๆ ก็ตัดหมื่นท้องฟ้า อานุภาพน่ากลัวอย่างที่สุด
ทว่าผีเสื้อมารแยกฟ้าในหิน หากไม่ผ่านขั้นตอนแปรรังไหมเป็นผีเสื้อ ก็เป็นเพียงแค่หนอนตัวหนึ่งเท่านั้น
“ภิกษุ ตาเจ้าแล้ว!” หนานกงสุ่ยหวนกลับมาด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด
หลินสวินเดินเข้าไป แสร้งทำเป็นลังเลอยู่นาน แล้วจึงเลือกศิลาอุกกาบาตชิ้นหนึ่งกลับมาเงียบๆ
แต่พอเห็นภาพนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างเผยสีหน้าผิดหวัง พวกเขาดูออกแล้วว่า ในศิลาอุกกาบาตที่หลินสวินเลือกไม่มีทางปรากฏสมบัติล้ำค่าใดแน่
สถานการณ์ถูกกำหนดแล้ว!
หนานกงสุ่ยเองก็สังเกตเห็นเบื้องลึกของศิลาอุกกาบาตที่หลินสวินเลือก มุมปากอดเผยยิ้มเย่อหยิ่งไม่ได้ พลันพูดกับเจี่ยเจิ้งว่า “เริ่มผ่าหินเถอะ เพื่อให้สหายยุทธ์มู่เจิ้งผู้นี้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เริ่มจากศิลาอุกกาบาตของเขาก่อนก็ได้”
“ไม่จำเป็น” หลินสวินท้วงเถียง แต่กลับทำให้หลายคนเวทนา คิดว่าเขากำลังดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์
ไม่นานศิลาอุกกาบาตของหลินสวินก็ถูกผ่าออก ข้างในเป็นเพียงแค่หญ้ากาวิญญาณต้นหนึ่ง รูปร่างราวกับกาน้ำ ภายในมีจักรวาล เป็นโอสถวิญญาณชั้นยอดที่หลอมชำระพลังจิตวิญญาณ นับว่าล้ำค่า แต่มูลค่าสูงสุดก็เพียงราวๆ เจ็ดร้อยแกนวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น
หนุ่มสาวเหล่านั้นหัวเราะเกรียวกราว “ไม่เลวนะภิกษุ ครั้งนี้กลับผ่าสมบัติชั้นดีออกมาได้”
ผู้ฝึกปราณที่ดูอยู่ถอนหายใจ ภิกษุรูปนี้ถูกเชือดแน่แล้ว ไม่เพียงแค่เสียสี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง ยังต้องเสียโอสถราชันอีกต้นด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น