Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 980-983
ตอนที่ 980 หอประสานฟ้า
“สมบัติอะไรกันแน่” แม่นางเยวี่ยอดถามไม่ได้
นางเองก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะเมื่อครู่นางก็สังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ของเล่นพวกนั้นที่หลินสวินซื้อมาไม่มีอะไรหายาก มูลค่าก็ไม่ได้มาก
‘หินกระบวนก้อนหนึ่งที่พื้นผิวเปื้อนคราบเลือด ต่อให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาเองก็มองไม่ทะลุเบาะแสของสิ่งนี้ แต่ในสายตาของปฐมาจารย์สลักวิญญาณ สิ่งนี้ย่อมเป็นสมบัติชั้นสูงชิ้นหนึ่ง’
หลินสวินสื่อจิต ‘เนื่องจากเกี่ยวโยงกับพลังการควบคุมระดับสูงมาก สิ่งนี้อาจดูไม่เด่นสะดุดตา แต่ในความเป็นจริงมีความเร้นลับอยู่ภายใน’
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มชุดม่วงรีบเดินมาที่แผงขายนั้น ร้องโพล่งว่า “เถ้าแก่ แล้วของกองนั้นที่ข้าเห็นเมื่อกี้ล่ะ”
“เพิ่งขายไป มีอะไรหรือ” เจ้าของแผงลอยสงสัย
“ขายไปได้อย่างไร” ใบหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงขรึมลง ร้อนรนกระวนกระวายอยู่บ้าง “ไม่ใช่บอกเจ้าไว้ดิบดีว่าห้ามขายหรือ”
ขณะพูดเขาคว้าเสื้อเจ้าของแผงขึ้นมา พูดลอดไรฟันว่า “บอกมาว่าใครซื้อ เขาไปไหนแล้ว”
เจ้าของแผงตกใจ ดิ้นขัดขืนไม่หยุด “เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงกับกล้าลงมือทำกับข้าได้”
“ข้ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เจ้าคิดว่าข้ากล้าหรือไม่” ชายหนุ่มในชุดม่วงสีหน้าเย็นชา
ใบหน้าเจ้าของแผงเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทีสำรวมตนขึ้นมาแล้ว ก่อนบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“ฮึ เจ้าสวะที่พูดไม่เป็นคำพูด ทำข้าเสียการใหญ่ หากคราวนี้ข้าหา ‘หินผนึกมรรค’ ชิ้นนั้นมาไม่ได้ ข้าจะเอาชีวิตเจ้าเป็นคนแรก!”
ชายหนุ่มในชุดม่วงทิ้งคำพูดโหดเหี้ยม แล้วหันหน้าจากไปด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
หินผนึกมรรค?
เจ้าของแผงตกตะลึง วิญญาณล่องลอย
แม้เขาจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่สามารถทำให้ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ร้อนรนและพะวงถึงได้เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สมบัติธรรมดาอย่างแน่นอน
“บัดซบเอ๊ย! ยิงห่านป่ามาตลอด วันนี้กลับถูกห่านป่าจิกตาบอดเสียได้[1]!” เจ้าของแผงทุบอกกระทืบเท้า ทั้งอารมณ์เสียทั้งหงุดหงิด หัวใจแทบกระอักเลือด
…
ในทะเลฝูงชนมากมาย ชายหนุ่มชุดม่วงกำลังค้นหาอย่างหนัก แต่ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ผลสุดท้ายเขาก็ไม่พบ ‘คนซื้อ’ ที่เจ้าของแผงลอยอธิบายไว้
“น่าชังนัก พลาดเพียงก้าวเดียวถึงกับปล่อยวาสนาชิ้นใหญ่หลุดมือไปเสียได้!”
ชายหนุ่มชุดม่วงแทบคลั่งด้วยความโกรธ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ “คงได้แต่กลับไปรายงานอาจารย์อาก่อนแล้ว”
…
หอประสานฟ้า
หนึ่งในกิจการที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเพลิงมรกต
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง ดวงตาของพวกเขาก็ทอประกาย
ตัวเรือนทั้งหมดของหอนี้ทำจากผลึกม่วงละอองนิลชนิดหนึ่ง สูงหลายพันจั้ง ตั้งตระหง่านเสียดฟ้าอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งตัวอาคารเปล่งประกายสีม่วง สง่างามอย่างยิ่ง
ภายใต้ชายคาหอแขวนโคมพระราชวัง[2]สีเขียวอยู่ ทอแสงแวววาวสะท้อนบนผนัง ตัดสลับขับเน้นกันและกันกับแสงม่วง งดงามเหมือนภาพฝันมายา
หลินสวินอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ จากสายตาในปัจจุบันของเขา ย่อมสามารถเห็นได้ว่าอาคารทั้งหลังถูกปกคลุมไปด้วยกระบวนสลักวิญญาณที่หนาแน่นสอดรับซึ่งกันและกัน เกิดเป็นรูปแบบการป้องกันที่เทียบได้กับผนึกราชันอย่างหนึ่ง วิเศษอย่างมาก
ค่ายกลนี้ไม่ถือว่าน่ากลัวอะไร กุญแจสำคัญคือการโคจรค่ายกลนี้ จำนวนแกนวิญญาณที่ต้องเสียไปในแต่ละวันนั้นมีมากมายมหาศาล!
นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังหอประสานฟ้าร่ำรวยแค่ไหน
หลังจากเดินเข้ามา ภายในหอแห่งนี้ก็เป็นโลกอีกใบที่มีขนาดมหึมา พื้นดินและผนังล้วนเป็นหยกเคลือบสีทองอ่อนขัดเงาให้เรียบเนียนราวกับกระจก ภายใต้แสงสะท้อนของโคมสำริดสีทองแต่ละดวงยิ่งดูโอ่อ่านัก
“ข้าต้องการเข้าไปหาคนๆ หนึ่ง ทำธุระส่วนตัวบางอย่างก่อน ถ้าอย่างนั้นเจ้าพาเสี่ยวเหอไปรอในนี้ก่อนสักพักดีหรือไม่” แม่นางเยวี่ยกล่าว
“ก็ดี” หลินสวินพยักหน้า
จากนั้นแม่นางเยวี่ยเรียกข้ารับใช้คนหนึ่งในหอมา เอ่ยคำพูดแผ่วเบา ก็ถูกข้ารับใช้นำทางเข้าไปในส่วนลึกของหอ
หลินสวินพอจะเดาได้ เกรงว่าแม่นางเยวี่ยคงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการกลับไปสำนัก
เขาไม่มีอะไรทำ จึงเดินเล่นภายในหอประสานฟ้ากับเสี่ยวเหอ
หอนี้มีความพิเศษอย่างมาก วางขายทั้งสมบัติล้ำค่า โอสถวิญญาณ วัตถุดิบวิญญาณ… ตระการตานานาชนิด
ทอดสายตามองไปรอบๆ มีสมบัติปรากฏอยู่ทุกที่ สวยงามละลานตา
แม้ว่าหลินสวินจะคุ้นเคยกับการเห็นสมบัติหลากหลาย แต่เขาก็ยังเผยความประหลาดใจเล็กน้อยออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หอประสานฟ้าแห่งนี้สมคำร่ำลือจริงๆ สมบัติทุกชิ้นเรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดี ไม่มีสินค้าธรรมดา
อย่างสมบัติ ‘เกราะเมฆแสงไพลิน’ ชิ้นหนึ่งในนั้น ถูกสร้างขึ้นจากไอลึกลับชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้เหวลึกหมื่นจั้งผสมกับวัตถุดิบวิญญาณหลายร้อยชิ้น บนนั้นยังวางกระบวนสลักวิญญาณแน่นขนัด มีสรรพคุณดับกิเลสฝึกสมาธิ ภัยอันตรายไม่อาจกล้ำกรายเป็นต้น
หรืออย่างรองเท้าคู่หนึ่ง การออกแบบเรียบง่าย แต่กลับหลอมมาจากขนนกกระจอกทมิฬเนตรทอง หายากและล้ำค่ายิ่ง
แต่ราคาก็ล้วนแพงหูฉี่ ผู้ฝึกปราณทั่วไปจับจ่ายไม่ได้เลยสักนิด
พวกเขามาถึงบริเวณที่แลกเปลี่ยนสมบัติโดยไม่รู้ตัว
หัวใจของหลินสวินไหวสะท้าน นับสิ่งของในแหวนเก็บของรอบหนึ่ง ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนสมบัติที่ไม่ได้ใช้ทั้งหมดให้เป็นแกนวิญญาณ
แต่ในตอนนี้จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากไกลๆ “โอ้ นี่เสี่ยวเหอไม่ใช่หรือ ไม่เจอกันแค่ไม่เท่าไร ทำไมเจ้าไม่ไปขออาหารที่ข้างถนน แต่ดันมาอยู่ที่นี่เสียแล้วล่ะ คงไม่ใช่อยู่ต่อไม่ได้จนต้องซมซานกลับมาขอข้าวข้ากินสักมื้อกระมัง”
น้ำเสียงอึมครึมแปลกประหลาดแฝงนัยแสบทรวง พาให้เสี่ยวเหอที่อยู่ข้างๆ ตัวแข็งทื่อ แววโกรธกรุ่นปรากฏบนใบหน้าเล็กๆ ของนาง
หลินสวินหันศีรษะไป ก็เห็นเด็กสาวสะสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาจากไกลๆ
นางอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี แต่มีท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง คิ้วเรียวเลิกขึ้น ริมฝีปากเม้มบางๆ รูปโฉมนับว่างดงาม แต่ในยามนี้มีแววเยาะเย้ยเหยียดหยันฉายชัดบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง
เมื่อนางเดินมา ข้ารับใช้ของหอบางส่วนที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนพากันคารวะ “คารวะคุณหนูเผย”
เผยเหวินสีหน้าเย่อหยิ่ง เชิดคางขึ้น ไม่สนใจคำทักทายของบริวาร พุ่งตรงไปที่เสี่ยวเหอ
“จุ๊ๆ ดูสิ ยังซอมซ่อขนาดนี้เหมือนเดิม ไหนเจ้าสาบานว่ายอมตายดีกว่าขอข้าวกินไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ข้าดูแล้วเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากตอนที่ขอทานเมื่อปีกลายเท่าไรเลย”
นางปรายตามองเสี่ยวเหอจากหัวจรดเท้า พร้อมกับดูถูกถากถาง “ว่ามาสิ ครั้งนี้เจ้ามาทำอะไรที่หอประสานฟ้า”
“เผยเหวิน ข้าไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยเรื่องในอดีตกับเจ้า ผู้คนต่างมีปณิธานของตัวเอง เจ้ามีวิถีชีวิตของเจ้า ข้าก็มีวิถีชีวิตของข้า ทำไมเจ้าต้องเยาะเย้ยข้าทันทีที่พบกันด้วย” ดวงหน้าน้อยของเสี่ยวเหอแดงก่ำ สองกำปั้นกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
เห็นได้ชัดว่านางและเผยเหวินคนนี้เป็นคนรู้จักกัน
เผยเหวินหัวเราะคิกคักพูดว่า “ข้าแค่เห็นเจ้าแล้วขัดหูขัดตา เยาะเย้ยเจ้าแล้วจะทำไม ข้ากับเจ้าก็มาจากภูมิหลังที่ยากจนทั้งคู่ แต่ข้าวาสนาดีได้พบคนสูงส่งในชีวิตนี้ และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไปนับแต่นั้น ส่วนเจ้า… ฮ่าๆ ก็ยังน่าสมเพชถึงปานนี้อยู่”
“เจ้าอย่าให้มันมากนักนะ!”
เสี่ยวเหอโมโหแล้ว “อย่าลืมสิว่าตอนนั้นเจ้าเปลี่ยนแปลงโชคชะตาอย่างไร!”
เผยเหวินเยาะหยัน “วิธีการไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ต่างหาก เจ้าดูสิ ข้าในตอนนี้ได้รับความเคารพในทุกที่ที่ไป แต่เจ้าเล่า ยังคงเป็นขอทานที่ไม่อาจเฉิดฉายได้!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างเย็นชากับข้ารับใช้ที่อยู่ห่างออกไปเหล่านั้น “ใครใช้ให้เจ้าปล่อยขอทานคนนี้เข้ามา ที่นี่คือหอประสานฟ้านะ ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าๆ ออกๆ ได้ตามใจชอบหรือ!”
บริวารเหล่านั้นเงียบสนิท
“ยังมัวนิ่งทำอะไร ไล่นางออกไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เผยเหวินตวาด
นี่เป็นการโจมตีและดูหมิ่นอย่างไม่มีปิดบัง
“เจ้า… เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” เสี่ยวเหอสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความโกรธ ริมฝีปากถูกกัดจวนจะปริแตก
และยามนี้หลินสวินไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป เขาเดาสาเหตุออกคร่าวๆ แม้ว่าจะไม่รู้เหตุผลอย่างเป็นรูปธรรม แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
ที่สำคัญคือ เสี่ยวเหอกำลังถูกรังแกใต้จมูกเขา!
นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจทนได้
…………………..
[1] ยิงห่านป่ามาตลอด วันนี้กลับถูกห่านป่าจิกตาบอดเสียได้ หมายถึง มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับประมาททำพลาดไป
[2] โคมพระราชวัง เป็นโคมไฟชนิดหนึ่งมีรูปร่างเป็นแปดหรือหกเหลี่ยม ทุกด้านจะติดผ้าไหมบางหรือกระจกสี ทั้งวาดรูปมีสีสัน ด้านล่างแขวนพู่ประดับไว้ เดิมใช้ในวัง จึงเป็นที่มาของชื่อ
ตอนที่ 981 พูดจบก็ตายเสียเถิด
ที่ทำให้หลินสวินไม่อาจอดทนได้คือ ตั้งแต่เริ่มจนจบเด็กสาวนามว่าเผยเหวินผู้นี้เต็มไปด้วยท่าทางไม่เห็นหัวใคร
คนทั่วไปต่างดูออกได้ว่าเสี่ยวเหอตามตนมา แต่เผยเหวินผู้นี้กลับดูหมิ่นและโจมตีเสี่ยวเหอต่อหน้าตน เช่นนี้ใครจะทนได้
“แม่นางผู้นี้ ขอให้ออกจากหอประสานฟ้า ที่นี่ไม่ใช่ที่ผู้มีฐานะเช่นเจ้าจะเข้ามาได้” ข้ารับใช้เหล่านั้นเดินมา มองเสี่ยวเหอด้วยสีหน้าเย็นชา
หากเสี่ยวเหอกล้าขัดขืน พวกเขาก็จะลงมือทันที
บรรยากาศเหมือนนิ่งงัน เสี่ยวเหอโกรธจนดวงตารูปผลซิ่งเบิกขึ้นด้วยความโกรธ ใบหน้างามแดงก่ำ มือเท้าสั่นระริก นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
“แน่นอน” เผยเหวินยิ้มละไมเอ่ยปาก “ถ้าตอนนี้เจ้าคุกเข่าขอร้องข้า ไม่แน่ว่าเรื่องก่อนหน้านี้ข้าก็จะไม่ถือสาเอาความกับเจ้าอีก”
“เจ้าฝันไปเถอะ!” เสี่ยวเหอโกรธจนตะโกนเสียงดัง
“ไล่นางออกไป!” เผยเหวินสีหน้าเหี้ยมเกรียม สั่งการทันใด
“พอแล้ว!” หลินสวินส่งเสียง หว่างคิ้วปรากฏแววเย็นเยียบ พลังไร้รูปอย่างหนึ่งก็แผ่ขยายออกมาพร้อมกัน
เผยเหวินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ยิ้มหยัน “คุณชายผู้นี้ ที่นี่เป็นถึงหอประสานฟ้า นี่เจ้าคิดจะก่อเรื่องที่นี่หรือ ถ้ารู้กาละเทศะก็อยู่เฉยๆ จะดีที่สุด เพื่อเลี่ยงไม่ให้ชักนำภัยมาถึงตัว!”
เมื่อพูดจบมุมปากนางก็ปรากฏแววหยิ่งผยอง
แม้พลานุภาพที่หลินสวินแผ่ออกมาจะทำให้นางตกใจ แต่นางมั่นใจว่าอาศัยชื่อหอประสานฟ้านี้ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าวู่วาม!
ทว่าคราวนี้นางเดาผิดเสียแล้ว ที่ก่อนหน้านี้หลินสวินอดกลั้นไว้ก็เพียงแค่ไม่ต้องการสร้างปัญหา แต่ตอนนี้เขาได้แสดงท่าทีของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน อีกฝ่ายกลับยังไม่รู้ดีชั่วดังเดิม นี่ก็ถือว่ารนหาที่ตายเองแล้ว
ในตอนที่เผยเหวินเพิ่งพูดจบ หลินสวินก็ตวัดฝ่ามือขึ้นตบใส่ใบหน้างามที่เจือแววหยิ่งผยองดูแคลนนั้นของเผยเหวิน
เผียะ!
เสียงตบหน้าดังก้อง ไม่มีความทะนุถนอมหยกงามแม้สักนิด
เผยเหวินกรีดร้องออกมา ตัวนางถูกตบจนกระเด็นออกไป ล้มลงดังตุ้บออกไปสิบกว่าจั้ง นางผมเผ้ายุ่งเหยิง กระอักเลือดออกทางปากและจมูก ใบหน้าครึ่งหนึ่งบวมแดงขึ้นมาแล้ว ท่าทางน่าสลดนัก
ข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างตื่นตระหนกหน้าถอดสียิ่ง ทันใดนั้นก็ก้าวออกมาตะโกนว่า “หยุดนะ! เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน ถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานที่นี่!?”
“ไสหัวไป!”
สายตาหลินสวินราวสายฟ้า ส่งเสียงตะคอกราวอสนีบาตออกมาโดยไม่หันมามองสักนิด สะท้านสะเทือนจนเกิดเสียงวิ้งขึ้นในหัวข้ารับใช้เหล่านั้น พากันล้มลงกับพื้นระเนระนาด ร้องโหยหวนไม่ว่างเว้น
บางคนยิ่งมีเลือดออกมาจากทวารทั้งเจ็ดจนแล้วสลบไป
ในที่นั้นพลันโกลาหลวุ่นวายไปหมด
ผู้ฝึกปราณบางคนที่กำลังซื้อขายอยู่ไกลออกไปเห็นดังนี้ลอบตระหนกอย่างอดไม่ได้
ภูมิหลังของหอประสานฟ้าแห่งนี้กล้าแข็งถึงที่สุด เป็นที่รู้กันว่าเป็นร้านค้าอันดับหนึ่งของเมืองเพลิงมรกต ที่ผ่านมาใครกล้าก่อเรื่องที่นี่กัน
“เจ้า เจ้า… เจ้าถึงกับกล้าตบข้าหรือ เจ้าตายแน่! วันนี้ไม่ว่าพวกเจ้าคนไหนก็อย่าคิดจะรอดชีวิตออกจากที่นี่เลย!” ไกลออกไปเผยเหวินร้องเสียงแหลม สีหน้าขุ่นเคืองน้ำเสียงเคียดแค้น
ไม่พูดไม่ได้ว่าพื้นเพของหอประสานฟ้ากล้าแข็งอย่างแท้จริง เพียงพริบตาเท่านั้นก็มีผู้คุ้มกันฝึกปราณที่มีความสามารถและทรงพลังกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
“คุณหนูเผย เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ผู้คุ้มกันซึ่งเป็นหัวหน้าเอ่ยปากเสียงขรึม
“ตาบอดหรือไง ไม่เห็นหรือว่ามีคนก่อเรื่อง ไป! ไปจับพวกมันมาให้ข้าทั้งหมด อย่าให้พวกมันหนีไปได้สักคนเด็ดขาด!”
เผยเหวินหวีดร้องตีโพยตีพายแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว
“ขอรับ!”
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นจับจ้องไปที่หลินสวินกับเสี่ยวเหอ สีหน้าเย็นชาโหดเหี้ยม
“สหาย เจ้าจะยอมให้จับโดยดีหรือจะให้พวกเราลงมือ ที่นี่คือหอประสานฟ้า ต่อให้เจ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ แต่วันนี้เจ้าก่อเรื่องที่นี่ก็ไม่อาจหนีพ้น”
หัวหน้าผู้คุ้มกันเอ่ยปากเยียบเย็น เขามองปราดเดียวก็ดูพลังปราณของหลินสวินออก ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือทันที
“ก่อเรื่องหรือ” ดวงตาดำของหลินสวินยิ่งเย็นชา “ตอนนี้ข้าไม่มีแก่ใจมาพูดจาเรื่อยเปื่อยกับพวกเจ้า ไม่อยากตายก็หลีกไป!”
เขาพูดพลางย่างเท้าออกไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเผยเหวินผู้นั้น ลงมือว่องไวราวสายฟ้า คว้าคอของฝ่ายตรงข้ามไว้ในมือเหมือนยกไก่ตัวจ้อยขึ้นมา
รวดเร็วเกินไปแล้ว เร็วจนทำให้ผู้คุ้มกันเหล่านั้นไม่ทันได้โต้ตอบ เพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว จากนั้นเผยเหวินก็ถูกอีกฝ่ายคุมตัวแล้ว!
เฮือก!
ลูกค่าที่มุงดูอยู่ไกลออกไปสูดหายใจเย็น รับรู้ได้ว่าหลินสวินดูเหมือนอ่อนวัย แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนร้ายกาจคนหนึ่ง ไม่กลัวการข่มขู่จากหอประทานฟ้าเลย!
เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน
กล้ามากจริงๆ!
เผยเหวินถูกจับกุม ตอนแรกก็งุนงง จากนั้นถึงตกใจระคนโกรธ ดิ้นรนอย่างรุนแรงพลางตะโกนว่า “ถ้าฆ่าข้าแล้วเจ้าก็อย่าคิดจะรอดเลย!”
เผียะ!
หลินสวินตวัดมือตบออกไป ทำให้อีกฝ่ายกระเด็นออกไปทั้งอย่างนั้น ภาพตรงหน้าดำมืดแทบจะสลบไป
ตอนนี้ท่าทางนางน่าสังเวชนัก น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง แก้มบวมแดงเป็นหัวหมู ยังจะมีท่าทางหยิ่งทระนงหลงตัวเองหลงเหลือเสียที่ไหน
“เข้าไป!”
ในขณะเดียวกันผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็โกรธเต็มทีแล้ว คิดว่าหลินสวินไม่รู้ดีชั่ว กล้าก่อเรื่องที่หอประสานฟ้าเช่นนี้ ช่างเหิมเกริมถึงขั้นรนหาที่ตาย
ผู้คุ้มกันเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือของหอประสานฟ้า ผ่านมาแล้วร้อยศึก ผู้ที่เป็นหัวหน้ายังเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่มีประสบการณ์ยาวนานคนหนึ่ง
ต่อหน้ากำลังคนชั้นนี้ เกรงว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปคนไหนก็คงจะหวั่นกลัวอยู่บ้าง
น่าเสียดาย หลินสวินไม่ใช่ผู้ฝึกปราณทั่วไป
ก่อนหน้านี้มีบุคคลระดับผู้กล้าตายด้วยน้ำมือเขาไม่รู้เท่าไร ไม่นานมานี้ก็เพิ่งสังหารอสูรเฒ่าแรดดำที่มีพลังปราณระดับราชันไป
ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะกลัวหอประสานฟ้าแห่งหนึ่งหรือ
ผู้คุ้มกันที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้อาจจะขู่ขวัญผู้ฝึกปราณทั่วไปได้อย่างยิ่งยวด แต่ในสายตาของหลินสวิน ก็เป็นเพียงแค่คนไร้ฝีมือไม่สมชื่อกลุ่มหนึ่ง!
“ให้โอกาสพวกเจ้า พวกเจ้ากลับไม่รู้คุณค่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงเรียกค่าชดเชยแล้ว!”
เสียงเฉยชาและเย็นเยียบเพิ่งดังขึ้น เงาร่างหลินสวินก็หายไปจากที่เดิมแล้ว
ปึง!
พริบตาต่อมาหัวหน้าผู้คุ้มกันที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติซึ่งเพิ่งกระโจนออกไป ร่างกายก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นอย่างจังเสียงดังตุ้บ หัวเข่าแหลกแตก
ลูกค้าที่อยู่ไกลออกไปตกตะลึง ทำใจเชื่อได้ยาก นี่จะเรียบง่ายตรงไปตรงมาเกินไปแล้วกระมัง
ปึงๆๆ!
และตอนนี้เงาร่างหลินสวินไหววูบ ทุกที่ที่เขาผ่าน ผู้คุ้มกันที่ในสายตาของคนนอกเรียกว่าเป็นยอดฝีมือเหล่านั้น ตอนนี้กระทั่งจะดิ้นรนยังไม่ทัน ก็ถูกกำราบไปทีละคน ล้มคะมำระเนระนาดไปทั่ว
ในชั่วขณะเดียวเสียงร้องโหยหวนโอดครวญก็ดังขึ้นไม่ขาด สะท้อนก้องในห้องโถงใหญ่ของหอประสานฟ้าแห่งนี้ พาให้ทุกคนขนพองสยองเกล้า
ส่วนลูกค้าที่อยู่ไกลออกไปเหล่านั้นล้วนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นนานแล้ว
ตั้งแต่หลินสวินลงมือกระทั่งจบลงในตอนนี้ รวมแล้วเพิ่งผ่านไปไม่กี่อึดใจ ผู้คุ้มกันที่อยู่ในหอประสานฟ้าเหล่านั้นก็ถูกกำราบราวพายุหอบเอาเศษปุยเมฆออกไป!
ภาพนี้มีแรงกระทบมากมายเกินไปแล้ว ทำให้ทุกคนแทบไม่ได้สติกลับมา
และเมื่อมองดูหลินสวินอีกครั้ง ท่าทางผ่อนคลายเหมือนเพิ่งทำเรื่องเล็กๆ สบายๆ ถึงที่สุดเรื่องหนึ่ง ส่งผลให้ลูกค้าเหล่านั้นจิตใจปั่นป่วนขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
ตาดำของหลินสวินกวาดมองรอบทิศ น้ำเสียงเยียบเย็น “กลั่นแกล้งแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกายข้า กลับมาหาว่าข้าก่อเรื่อง ช่างบ้าอำนาจเสียจริง ก็ได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะก่อเรื่องแล้ว ถ้าวันนี้ทำให้ข้าพอใจไม่ได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทำลายที่นี่หรอก!”
พริบตานั้นบรรยากาศในหอประสานฟ้าก็เงียบสงัด แทบจะทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก
ทำลายหอประสานฟ้าหรือ
ไม่ว่าจะเป็นเผยเหวินกับผู้คุ้มกันเหล่านั้น หรือพวกลูกค้าที่สังเกตการณ์อยู่ต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
และไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ ว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง!
เพราะเขาไม่รู้เลยไม่กลัวหรือ
หรือเพราะเขามีความมั่นใจกล้าทำเช่นนี้อยู่แล้ว
“หึ! ข้าล่ะอยากเห็นว่าเป็นไอ้สวะจากที่ใดกัน ถึงได้กล้าก่อเรื่องที่หอประสานฟ้าของข้า” ก็ในตอนนี้เองเสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น
พร้อมกับเสียงนี้ ชายหนุ่มชุดแดงที่มีชายชราสองคนล้อมเป็นดาวล้อมเดือนก็เดินเข้ามา
“นายน้อยช่วยด้วย! ช่วยเผยเสี่ยวเหวินด้วย!” เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดแดง เผยเหวินที่หน้าบวมแดงราวหัวหมูก็ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน ร้องตะโกนเสียงเศร้าขึ้นมา
ในขณะเดียวกันสีหน้าของลูกค้าที่อยู่ไกลออกไปบางคนก็เปลี่ยนสี จำฐานะของผู้มาได้
ชายชราสองคนนั้นต่างหนวดเคราเผ้าผมขาวโพลน สีหน้าเย็นชาและสงบนิ่ง เป็นผู้อาวุโสระดับกึ่งราชันสองคนในหอประสานมายา คนหนึ่งมีนามว่าเว่ยเทียนสิง อีกคนหนึ่งมีนามว่าอู๋หยวนชู มีเกียรติศักดิ์ยิ่งใหญ่ถึงที่สุดในเมืองเพลิงมรกต
พร้อมกับการมาถึงของพวกเขา เพียงกวาดสายตามองครั้งเดียว เสียงอึกทึกเซ็งแซ่ทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยสมบูรณ์ ผู้คุ้มกันและข้ารับใช้เหล่านั้นต่างแสดงสีหน้าเคารพยำเกรง เงียบเชียบราวจิ้งหรีดเหมันต์
ส่วนชายหนุ่มชุดแดงที่เป็นผู้นำคนนั้น ก็คือบุตรชายคนโตของเจ้าของหลังม่านหอประสานฟ้า!
เขามีนามว่าเกาอวิ๋นคุน รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาเย็นชามีรังสีเฉียบคมไหวเคลื่อน ทุกอิริยาบถเจือไปด้วยความวางโตจองหองสูงส่ง
ในเมืองเพลิงมรกตเกาอวิ๋นคุนเป็นถึงคนรุ่นเยาว์ผู้ถือดีที่มีชื่อเสียงถึงที่สุด เย่อหยิ่งเอาแต่ใจและเผด็จการ ทั้งจิตใจคับแคบ ใจคอโหดเหี้ยมฝีมือร้ายกาจ ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยเมื่อพูดถึงล้วนหน้าถอดสี
“นายน้อย!” เผยเหวินประหนึ่งพบเจอดาวช่วยชีวิต ร้องไห้โฮฟุบหมอบเบื้องหน้าเท้าของเกาอวิ๋นคุน ท่าทางอดสูน่าสงสารยิ่ง ไหนเลยยังจะมีความจองหองแบบเมื่อครู่
“ใครทำร้ายเจ้าจนเป็นแบบนี้” เกาอวิ๋นคุนนิ่วหน้า เผยเหวินผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าบวมแดง น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง ท่าทางเช่นนั้นทำเอาแทบจะดูไม่ได้
“เป็นเขา! เจ้าคนนี้ไม่เพียงทำร้ายร่างกาย ยังโวยวายจะทำลายหอประสานฟ้าของพวกเราด้วย สมควรสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น ป่นกระดูกให้เป็นจุณ!” เผยเหวินถลึงจ้องหลินสวินที่อยู่ห่างไปอย่างเคียดแค้น กัดฟันเข่นเขี้ยวเอ่ยปาก
“เฮอะ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!” เว่ยเทียนสิงผู้อาวุโสหอประสานฟ้าหัวเราะหยัน “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด กล้าก่อเรื่องที่นี่ก็ต้องตาย!”
“วาจานี้ของผู้อาวุโสถูกต้องแล้ว ข้าถูกลบหลู่เป็นเรื่องเล็ก แต่หากทำให้หอประสานฟ้าเสื่อมเสียชื่อเสียง นั่นเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงหาใดเทียบ หากไม่ทำโทษพวกเขา ภายหน้าหอประสานฟ้าของพวกเราจะยังยืนหยัดอยู่ในเมืองเพลิงมรกตได้อย่างไร”
สายตาเผยเหวินเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชี้ไปที่เสี่ยวเหอ “ยังมีนางคนนี้ ก็มีโทษสมควรตายเช่นกัน คราวนี้เป็นนางที่พาเจ้าหมอนั่นมาก่อเรื่อง ต้องลงโทษอย่างรุนแรง!”
เสี่ยวเหอไม่ขุ่นเคืองอีกแล้ว นางรู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าสร้างความยุ่งยากให้หลินสวินไม่ได้เลย เพียงแต่ในใจนางก็ยังคงรู้สึกผิด คิดว่าเป็นเพราะตน ถึงดึงให้หลินสวินเข้ามาข้องเกี่ยวกับคราวเคราะห์ครั้งนี้ไปด้วย
“ได้ นางเด็กนี่ก็ให้เจ้าจัดการ” อู๋หยวนชูผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งพยักหน้าอย่างเย็นชา
ลูกค้าที่อยู่ไกลออกไปต่างสะท้านใจ สัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มและแม่นางน้อยคู่นั้นเจอปัญหาใหญ่แล้ว วันนี้คงออกไปไม่ได้แล้วเป็นแน่
และก็เป็นตอนนี้เองที่หลินสวินซึ่งมองดูทุกอย่างนี้เอ่ยปากว่า “พูดจบแล้วหรือ พูดจบก็ตายเสียเถิด”
วาจาง่ายๆ และเรียบเฉย ทั้งไม่มีความหวั่นไหว แต่เมื่อพูดคำนี้ออกไป กลับทำให้ผู้คนทั้งหอประสานฟ้าจิตใจสั่นระรัวโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ 982 ความผกผันที่น่าตกตะลึง
แต่เมื่อคำพูดนั้นดังออกมา เผยเหวินกลับหัวเราะ เป็นการหัวเราะเพราะโกรธ
นี่มันเวลาใดกันแล้ว เจ้าหมอนี่ยังกล้าเอ่ยวาจาบ้าระห่ำเช่นนี้ออกมาอีกหรือ
นางอดไม่ได้ร้องเสียงแหลมว่า “ไอ้คนโง่เง่าไม่รู้ความ ควรเป็นพวกเราต่างหากที่ส่งเจ้าไปตาย…”
สวบ!
ก็ในตอนนี้เอง เงาร่างของหลินสวินพลันหายลับไปจากที่เดิม
เว่ยเทียนสิงกับอู๋หยวนชูต่างหน้าเปลี่ยนสีในทันใด ตอบสนองรวดเร็วยิ่ง เข้าคุ้มกันเกาอวิ๋นคุนที่อยู่เบื้องหน้าทันที
กร๊อบ!
ในตอนที่พวกเขาเพิ่งทำทุกอย่างนี้เสร็จก็ได้ยินเสียงเอ็นกระดูกระเบิดแหลกดังขึ้น ในบรรยากาศเงียบสงัดนี้ฟังดูเสียดหูถึงที่สุด
จากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าเผยเหวินยังไม่ทันพูดจบ สีหน้าเคียดแค้นดูแคลนยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้าบวมแดงนั้น แต่คอของนางถูกหักจนขาดสะบั้นแล้ว!
ภาพตรงหน้าเผยเหวินดับวูบ ความเจ็บปวดถึงทรวงแล่นปราดไปทั้งกายราวกระแสน้ำ ก็เห็นว่าหลินสวินที่อยู่ไม่ไกลกำลังมองตนด้วยสีหน้าเฉยชา ดวงตาดำที่เย็นเยียบคู่นั้นมีแต่ความโหดเหี้ยมไร้ปรานี
ปึง!
จากนั้นศีรษะนางก็บิดเบี้ยว ร่างกายล้มลงไปกับพื้น ไม่มีลมหายใจออกมาอีก
พูดแล้วเหมือนช้าแต่ความจริงว่องไวยิ่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ตั้งแต่พวกเว่ยเทียนสิงมาคุ้มกันเกาอวิ๋นคุน กระทั่งหลินสวินสังหารเผยเหวิน แทบจะจบลงในเวลาเดียวกัน!
เร็วอย่างเหลือเชื่อ เร็วจนใครก็คิดไม่ถึง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หลินสวินกลับออกโจมตีอย่างอุกอาจ ไม่หวั่นกลัวแม้เพียงนิด ในการโจมตีครั้งเดียวก็ปลิดชีพเผยเหวินได้!
ฝีมือเรียบง่ายปราดเปรียว ท่วงท่าดุดันแข็งกร้าว โจมตีจนทุกคนในหอประสานฟ้ารับมือไม่ทัน
พวกเขาต่างนิ่งงัน ที่นี่เป็นถึงหอประสานฟ้า! เจ้าหนุ่มนั่นถึงกับกล้าฆ่าคนต่อหน้าราชันกึ่งระดับสองคนเลยหรือ
“เจ้ารนหาที่ตาย!” เกาอวิ๋นคุนกราดเกรี้ยว ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร “เผยเหวินเป็นสาวใช้ที่ข้ารักถนอมที่สุด เจ้าถึงกับกล้าฆ่านางต่อหน้าข้าหรือ เจ้า… ช่างใจกล้าคับฟ้าเสียจริงนะ!”
เสียงเขาเย็นเยียบ ดังกึกก้องไปทั้งโถงพาให้คนใจสั่น
“สาวใช้หรือ”
หลินสวินอึ้งไป ทันใดนั้นก็หัวเราะหยัน “สาวใช้คนหนึ่งยังกล้าอวดดีและกำเริบเสิบสานได้ปานนี้ ข้ารับใช้เป็นเช่นไร เจ้านายก็เป็นเช่นนั้นดังคาด ดูท่าทางเจ้าแล้ว เกรงว่าคงไม่ใช่คนดีเด่อะไร”
“นายน้อยไม่ต้องพูดแล้วขอรับ ให้ข้าเก็บไอ้เวรนี่เอง!” อู๋หยวนชูก้าวเท้าออกมา พลังรอบกายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วพริบตาอานุภาพของราชันกึ่งระดับก็ปกคลุมมวลอากาศทุกกระเบียดนิ้วของห้องโถงใหญ่แห่งนี้ ประหนึ่งพายุลูกใหญ่ลูกหนึ่ง
เสียงตุ้บๆ ระลอกหนึ่งดังสะเปะสะปะ แต่เป็นผู้คุ้มกันและข้ารับใช้เหล่านั้นที่รับแรงกดดันชั้นนี้ไม่ไหว ตัวอ่อนยวบลงไปกับพื้น
ลูกค้าที่สังเกตการณ์อยู่ไกลออกไปเหล่านั้นก็ต่างร้องตื่นตระหนก ด้วยถูกพลังน่าครั่นคร้ามเช่นนี้ทำให้หวั่นกลัว สีหน้าขาวซีด
“เจ้าหนู ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง เลือกวิธีตายเถอะ” อู๋หยวนชูหนวดผมปลิวสยาย เผยอานุภาพโอหังของราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งออกมาให้เห็นจนหมดสิ้น
ทุกคนใจสั่น
แต่เมื่อได้ยินคำนี้เสี่ยวเหอกลับเผยสีหน้าเวทนาออกมาทันที ตาแก่คนนี้คงไม่รู้ว่า ราชันกึ่งระดับที่ตายด้วยน้ำมือพี่หลินสวินใช้นิ้วมือนับไม่หมดแล้วกระมัง…
ก็เห็นว่าหลินสวินก็ยิ้มแล้ว เผยฟันขาวสะอาดเรียงตัวเป็นระเบียบทั้งปาก “เจ้าหมาแก่ ด้วยคำพูดนี้เจ้าก็ตายเสียเถอะ!”
สวบ!
เขาย่างก้าวออกมาแล้วพุ่งกระโจนเข้าไป
นี่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ นั่นเป็นถึงราชันกึ่งระกับผู้หนึ่ง เจ้าหมอนี่กลับไม่กลัวเลยสักนิด แถมยังพุ่งเข้าไปตรงๆ ด้วยหรือ
นี่ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วหรือ
“ทำเกินตัวเป็นตั๊กแตนห้ามรถ!” อู๋หยวนชูดูแคลน แสงสีนิลถาโถมรอบกาย รวดเร็วปานสายฟ้า ยื่นมือข้างหนึ่งไปตบหลินสวินที่พุ่งเข้ามา
ปึง!
ทั้งสองปะทะกัน รัศมีเทพแสบตาปะทุขึ้น แผ่กระจายออกมา
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่อทุกคนต่างนึกว่าหลินสวินประสบเคราะห์ กลับค้นพบอย่างตะลึงพรึงเพริดว่าอู๋หยวนชูราชันกึ่งระดับที่มีพลังน่าหวาดหวั่น ตัวเขายังอยู่กลางอากาศ แต่ร่างกายกลับถูกกำราบผนึกไว้ตรงนั้น เคลื่อนไหวไม่ได้
ต่อมาแขนขวาที่เขายื่นออกมาระเบิดแหลกดังครึกโครม ถัดจากนั้นหน้าอกเขาก็ยุบลงไป เกิดเป็นโพรงเลือดขนาดเท่าปากถ้วยโพรงเนื่อง
สุดท้ายท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนที่ทั้งโกรธและหวั่นกลัว ตัวอู๋หยวนชูก็แหลกสลายกลายเป็นฝนเลือดปลิวว่อนไปในอากาศ
ฝนเลือดนั้นแผ่พุ่งออกไป ย้อมห้วงอากาศและผืนดินให้เป็นสีแดง ตกกระทบบนร่างของผู้คุ้มกันและข้ารับใช้เหล่านั้นประหนึ่งสายฝน แดงฉานและคาวคลุ้งเตะจมูก
เฮือก!
ทุกคนในที่นั้นต่างสูดหายใจเย็นเยียบ หนาวสะท้านไปทั้งตัว อกสั่นขวัญหายเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ตาย กลับเป็นอู๋หยวนชูผู้อาวุโสแห่งหอประสานฟ้าผู้นี้ที่ถูกฆ่าตาย!
ตายชนิดหาซากศพไม่พบ กลายเป็นเศษเลือดเนื้อแหลกเละ!
นี่น่าสยดสยองเกินไปแล้ว คนผู้นี้เป็นถึงราชันกึ่งระดับ มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่งในเมืองเพลิงมรกต หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าช่วยหอประสานฟ้าสะสางความยุ่งยากไปแล้วกี่ครั้ง แต่ตอนนี้ขนาดชายเสื้อของอีกฝ่ายยังไม่ได้จับ ร่างกายก็ระเบิดแหลกและตายไปเสียแล้ว
เรื่องนี้ใครจะกล้าเชื่อได้กัน
แท้จริงแล้วอู๋หยวนชูตายอย่างไม่ผิดแปลกเลยสักนิด
ในสายตาของเขา หลินสวินเป็นเพียงเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง ทั้งเป็นคนแปลกหน้า ภายในจิตใต้สำนึกจึงเกิดความดูแคลนและเมินเฉย
เพียงแต่เกรงว่าก่อนตายเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า คราวนี้จะบังเอิญโชคร้ายเจอเข้ากับบุคคลแห่งยุคที่เทียบได้กับเทพมารผู้หนึ่ง…
ด้วยพลังปราณของหลินสวินในตอนนี้ ไม่ต้องอาศัยดาบหัก ก็สามารถต้านทานการโจมตีของราชันกึ่งระดับจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์หกคนได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อู๋หยวนชูจะยังมีโอกาสรอดได้อย่างไร
นัยน์ตาของเกาอวิ๋นคุนหดรัดลง หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
เว่ยเทียนสิงยิ่งสั่นเทาไปทั้งตัว แทบจะร้องเสียงหลงออกมา ไม่อาจรักษาความสุขุมเยือกเย็นได้อีก เขาเองก็ไม่กล้าคิดว่าถ้าเมื่อกี้เป็นตัวเองลงมือ ตอนนี้…
จะถูกถล่มสังหารในหมัดเดียวไปแล้วหรือไม่
เขากระวนกระวายใจโดยสมบูรณ์ รับรู้ได้ว่าคราวนี้เจอคนร้ายกาจเกินคาดเข้าแล้ว!
ส่วนผู้อื่นในห้องโถงใหญ่ก็ตกใจเสียขวัญแข็งทื่อเป็นรูปปั้น แทบจะหายใจไม่ออกอยู่ก่อนแล้ว เห็นราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งถูกฆ่าตาต่อหน้าต่อตา ภาพติตตานั้นย่อมมีผลกระทบมากมายเกินธรรมดา
“หือ? นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน!?” ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้เอง เสียงตะคอกน่าเกรงขามเสียงหนึ่งก็ดังไปทั่ว
พร้อมกับเสียงนี้ ชายวัยกลางคนในชุดสีเขียวผู้หนึ่งก็เดินออกมา ผมเผ้าเคราหนวดของเขาเหมือนน้ำหมึก ดวงตาพยัคฆ์ราวอัสนี ไหล่ทั้งสองข้างหนาล่ำ มีท่าทางภูมิฐานแม้ไม่กราดเกรี้ยว
ข้างกายเขายังมีหญิงสาวผู้หนึ่งเดินมาด้วยกัน เป็นแม่นางเยวี่ย เมื่อได้เห็นภาพแต่ละภาพในที่นั้นนางก็อึ้งไปเล็กน้อย
“ท่านพ่อ!” และเมื่อเห็นชายวัยกลางคนชุดเขียว เกาอวิ๋นคุนผู้นั้นก็เหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ ฟื้นคืนสติกลับมาโดยสมบูรณ์ เปี่ยมชีวิตชีวาขึ้นมา
ในขณะเดียวกันเว่ยเทียนสิงกับข้ารับใช้ที่อยู่ในโถงเหล่านั้นก็พากันโค้งคำนับ ปากเรียกหัวหน้าตระกูล
คนผู้นี้ก็คือเจ้าของหลังม่านของหอประสานฟ้าแห่งนี้ ผู้นำตระกูลเกา เกาเทียนอี เป็นคนใหญ่คนโตในเมืองเพลิงมรกตที่มีฝีไม้ลายมือมากเล่ห์ผู้หนึ่ง
“พูดมา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เกาเทียนอีนิ่วหน้า โดยเฉพาะเมื่อเห็นเลือดเนื้อเต็มพื้นนั้น หนังตาอดกระตุกอย่างแรงไม่ได้ สีหน้าก็อึมครึมลงไป
“เจ้านี่จู่โจมทำร้ายคนที่นี่ขอรับ ก่อนอื่นก็ฆ่าสาวใช้ของข้า จากนั้นขนาดผู้อาวุโสอู๋หยวนชูยังถูกมันปลิดชีพอย่างโหดเหี้ยม!”
สายตาเกาอวิ๋นคุนเยียบเย็นและเหี้ยมเกรียม จ้องเขม็งไปที่หลินสวิน “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านมาถึงพอดี เกรงว่าไอ้คนอำมหิตผู้นี้คงฆ่าแม้แต่ข้าแล้ว!”
รังสีน่าครั่นคร้ามแผ่พุ่งออกมาจากตาของเกาเทียนอี เพ่งเป้าไปที่หลินสวินอย่างเย็นยะเยือก เห็นได้ชัดว่าโมโห
“ท่านพ่อ ท่านก็เห็นทุกอย่างตรงหน้าแล้ว ไอ้คนอำมหิตผู้นี้แผลงฤทธิ์โหดเหี้ยม ถ้าไม่ปลิดชีพมัน ภายหน้าหอประสานฟ้าของเราจะยืนหยัดอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างไร” เกาอวิ๋นคุนร้องตะโกน
แต่ก็ในตอนนี้เอง กลับเห็นแม่นางเยวี่ยเอ่ยปากอย่างเรียบเฉยว่า “น่าสนใจ สหายข้าเพิ่งมาถึงหอประสานฟ้าแห่งนี้ กลับก่อเรื่องใหญ่ปานนี้ได้ ถึงกับถูกเรียกว่าแผลงฤทธิ์โหดเหี้ยม นี่… เป็นวิธีรับแขกของพวกเจ้าหรือ”
สหายหรือ
เกาเทียนอีนิ่งอึ้งไป นัยน์ตาเบิกกว้าง ทำใจเชื่อได้ยาก
“แม่นางผู้นี้ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน หรือที่ข้าพูดมันไม่จริง” เกาอวิ๋นคุนขุ่นเคือง ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเห็นว่าแม่นางเยวี่ยเดินมาด้วยกันกับบิดาของเขา ก็คงระเบิดอารมณ์ไปนานแล้ว
“หุบปาก!”
เหนือความคาดหมายของทุกคน เกาเทียนอีตะคอกออกมาโดยพลัน สีหน้าที่มองไปยังเกาอวิ๋นคุนอึมครึมและน่ากลัว ผิดธรรมดาอย่างยิ่ง
เกาอวิ๋นคุนแข็งทื่อไปทั้งตัว แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง นี่เป็นบิดาของเขาเอง เหตุใดตอนนี้ถึง… เป็นเช่นนี้
ชั่วขณะหนึ่งเขาทั้งสงสัย ทั้งอัดอั้นตันใจ
จากนั้นภาพที่ทำให้เขาทำใจเชื่อได้ยากยิ่งกว่าเดิมก็เกิดขึ้น ก็เห็นว่าบิดาของเขาที่เป็นถึงหัวหน้าตระกูลเกา ผู้ควบคุมหอประสานฟ้า เวลานี้บนใบหน้ากลับยิ้มละอายและแสดงความขอโทษเต็มที่ เอ่ยกับหลินสวินว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายของแม่นางเยวี่ย ขออภัยจริงๆ ไม่ว่าเรื่องเมื่อครู่ใครจะทำผิดกับใคร ข้าก็ขออภัยคุณชายไว้ ณ ที่นี้!”
เขาพูดพลางถึงกับโค้งกาย กุมมือแสดงความคารวะ!
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศของโถงใหญ่แห่งนี้ก็เงียบงันลงไปอีกสามส่วน ทุกคนล้วนตกตะลึงอ้าปากค้าง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าช่างเหมือนความฝัน ดูไร้เหตุผลไม่สมจริงปานนั้น ใครจะกล้าเชื่อว่าคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจราวบดบังท้องฟ้าในเมืองเพลิงมรกตแห่งนี้อย่างเกาเทียนอี ยังไม่ทันได้ถามหาสาเหตุก็ขอโทษผู้ร้ายฆ่าคนตายเสียแล้ว
นี่มันผิดปกติยิ่งนัก!
เวลานี้ต่อให้เป็นคนโง่เขลาก็รับรู้ได้ว่า ผู้ที่ทำให้เกาเทียนอีตอบสนองเช่นนี้ได้ ต้องเป็นแม่นางเยวี่ยที่อยู่ข้างกายเขาแน่นอน
แต่ว่า นางเป็นใครกันแน่
เหตุใดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ก็ทำให้เกาเทียนอีตอบสนองอย่างต่ำต้อยเช่นนี้
ไม่เพียงแต่พวกเขา ขนาดหลินสวินยังออกจะประหลาดใจ และเพิ่งรับรู้ว่าฐานะของแม่นางเยวี่ยเหมือนจะไม่ธรรมดากว่าที่เขาคาดไว้!
“ท่านพ่อ! นี่ท่าน…” เกาอวิ๋นคุนสับสนไปหมดแล้ว ร้องเสียงหลงออกมา
“เว่ยเทียนสิง จับไอ้ลูกไม่รักดีนี่ไปให้ข้าที ถ้ายังกล้าพูดจาเพ้อเจ้ออีกก็ฆ่ามันเสียเลย!” เกาเทียนอีเอ่ยปากเสียงเย็น ดูโหดเหี้ยมถึงที่สุด
ความจริงแล้วตอนนี้ในใจเขาแค้นเต็มที มันเวลาไหนกันแล้ว เจ้าลูกไม่รักดีผู้นี้ยังดูสถานการณ์ไม่ออกอีกหรือ
“ช้าก่อน เรื่องยังไม่สะสางก็จะจากไปหรือ”
เมื่อแม่นางเยวี่ยเอ่ยปากออกมา ก็ทำให้เกาเทียนอีแข็งทื่อไปทั้งตัว
บุคคลน่าเกรงขามเช่นเขาตอนนี้กลับเหงื่อกาฬไหลท่วม พูดพลางยิ้มเชิงขอโทษว่า “ที่แม่นางเยวี่ยพูดก็มีเหตุผล เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้ถึงกับกล้าล่วงเกินสหายของท่าน ช่างเนรคุณเสียจริง!”
พูดถึงตรงนี้เขาก็พลันหันกาย ตะคอกดุดันว่า “ไอ้ลูกไม่รักดี ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!?”
“ข้า…” เกาอวิ๋นคุนงุนงงถึงที่สุดแล้ว รู้สึกว่าตนเหมือนไม่ใช่ลูกแท้ๆ
ปึง!
เว่ยเทียนสิงที่อยู่เบื้องหลังเกาอวิ๋นคุนมากประสบการณ์ สังเกตว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลได้นานแล้ว
เห็นเช่นนี้เขาก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดให้เกาอวิ๋นคุนคุกเข่าลงไปกับพื้นโดยไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็สื่อจิตว่า ‘นายน้อย หัวหน้าตระกูลทำเช่นนี้เพื่อช่วยท่าน หากท่านไม่ทำตัวดีๆ อีก ไม่แน่ว่าวันนี้หัวหน้าตระกูลอาจจะเลือกความถูกต้องเหนือครอบครัวจริงๆ นะขอรับ!’
ตอนที่ 983 เขาวิญญาณมากเร้น ลัทธิไร้ส...
คำพูดประโยคนี้ของเว่ยเทียนสิงทำให้เกาอวิ๋นคุนสะท้านไปทั้งตัว หมอบลงไปกับพื้น รู้สึกว่าทั้งโลกกำลังทอดทิ้งตน
และเมื่อเห็นภาพเช่นนี้เข้า ทุกคนในโถงใหญ่ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง รู้สึกไม่สมจริงปานฝันไป
เกาอวิ๋นคุนเป็นถึงบุตรชายของเกาเทียนอี ตอนนี้กลับถูกตำหนิจนคุกเข่าลงกับพื้น ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปใครจะกล้าทำใจเชื่อได้
ไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้ว่า ‘แม่นางเยวี่ย’ ผู้นั้นต้องเป็นบุคคลซึ่งมีที่มายิ่งใหญ่มากจนทำให้เกาเทียนอีต้องพินอบพิเทา!
บรรยากาศในโถงเงียบเชียบ สายตาของเกาเทียนอีมองไปที่แม่นางเยวี่ย แล้วยิ้มอย่างขออภัยว่า “แม่นางเยวี่ย ท่านว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการเช่นไรดี”
แม่นางเยวี่ยกลับมองไปที่หลินสวินแล้วพูดว่า “คุณชายหลิน เจ้าว่าอย่างไร”
ฟึ่บ!
สายตาทุกคู่ในห้องโถงใหญ่ต่างมองไปที่หลินสวิน ตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า ‘คุณชายหลิน’ ผู้นี้ต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
เมื่อคิดถึงท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติกับคุณชายหลินคนนี้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเกาอวิ๋นคุน เว่ยเทียนสิง หรือข้ารับใช้และผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างอยากจะตบหน้าตัวเอง
ถ้าพวกเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก จะกล้าปฏิบัติกับนายท่านผู้นี้เช่นนี้ได้อย่างไร
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ให้จบเพียงเท่านี้”
หลินสวินรู้จักวางมือ เขาดูออกแล้วว่าแม่นางเยวี่ยกับเกาเทียนอีผู้นี้คล้ายมีความเกี่ยวข้องกัน จึงไม่ต้องการให้แม่นางเยวี่ยหมางใจกับเกาเทียนอีผู้นั้นโดยสมบูรณ์เพราะเรื่องนี้
ประโยคเดียวทำให้เกาเทียนอีเหมือนยกภูเขาออกจากอก ใบหน้าแสดงความซาบซึ้ง เอ่ยว่า “คุณชายช่างมีเมตตาและคุณธรรมยิ่ง ข้าผู้แซ่เกาเลื่อมใสจริงๆ”
คนอื่นๆ ก็ลอบถอนหายใจโล่งอก พวกเขายังกังวลว่าหลินสวินจะพูดจริงทำจริง ทำลายหอประสานฟ้าของพวกเขาเสียแล้ว!
ส่วนลูกค้าเหล่านั้นต่างทอดถอนใจที่ได้เปิดหูเปิดตา
เพียงแต่ในใจพวกเขากลับสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม่นางเยวี่ยผู้นั้นเป็นอริยเทพจากที่ใดกัน ถึงทำให้คนระดับเกาเทียนอีก็ต้องก้มหัวให้
แล้วคุณชายหลินนั่นเป็นใครอีก
ดูเหมือนทำให้แม่นางเยวี่ยผู้นั้นเคารพยิ่ง นี่ก็ดูน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว หรือจะเป็นบุคคลแห่งยุคที่มาจากสำนักโบราณบางแห่ง
ถ้าแม่นางเยวี่ยรู้ว่าลูกค้าเหล่านี้นึกว่าหลินสวินเป็นบุคคลแห่งยุคที่ว่า เกรงว่าจะทำหน้าไม่ถูก อย่างไรเสียบุคคลแห่งยุคที่ตายด้วยน้ำมือของเทพมารหลินก็มีไม่รู้เท่าไรแล้ว…
…….
หอประสานฟ้า โถงรับรองลูกค้าพิเศษ
เกาเทียนอีจัดงานเลี้ยงที่เรียกได้ว่าหรูหราครั้งหนึ่ง ต้อนรับขับสู้หลินสวิน แม่นางเยวี่ยและเสี่ยวเหออย่างยิ่งใหญ่
เกาเทียนอียิ้มหน้าบาน ในงานเลี้ยงวาจาแพรวพราวดังไข่มุก มองจากภายนอกแล้วดูไม่ออกเลยว่าเขามีร่องรอยหดหู่เจ็บปวดใจ
อย่างไรเสียก่อนหน้านี้หลินสวินก็สังหารราชันกึ่งระดับข้างกายเขาไปคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน แต่ตอนนี้เขากลับเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไร พูดคุยกับพวกหลินสวินอย่างออกรส ความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการควบคุมตัวเองทำให้หลินสวินยังต้องเลื่อมใส
แต่จากจุดนี้ก็ดูออกว่า เมื่อเทียบกับมีราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งตายไป เกาเทียนอีให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับแม่นางเยวี่ยมากกว่า!
อย่างน้อยในงานเลี้ยง ยามเผชิญหน้ากับแม่นางเยวี่ย เกาเทียนอีผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกได้ว่ามีอำนาจบดบังฟ้าได้ในเมืองเพลิงมรกตผู้นี้ กลับเหมือนขุนนางกำลังเข้าเฝ้าราชินีองค์หนึ่งก็มิปาน
ความจริงแล้วในใจเกาเทียนอีก็เจ็บปวดถึงที่สุด เพียงแต่ไม่กล้าเผยให้เห็นแม้แต่นิดเดียวก็เท่านั้น
‘ท่านรู้สึกว่าสิ่งที่คุณชายหลินทำในวันนี้ เป็นการอาศัยฐานะของข้าแอบอ้างบารมีหรือไม่’ จู่ๆ ในโสตประสาทก็มีเสียงสื่อจิตของแม่นางเยวี่ยแว่วมา ทำให้เกาเทียนอีอึ้งไป
‘มิกล้า แม่นางท่านอย่าลองหยั่งเชิงข้าผู้แซ่เกาเด็ดขาดเชียว ข้าสาบานได้ว่าจะไม่คิดแค้นคุณชายหลินแม้แต่นิดเดียว!’ เกาเทียนอีรีบร้อนสื่อจิตรับรอง ในใจเขากลับลอบพึมพำว่า ถ้านี่ไม่ใช่การแอบอ้างบารมีผู้อื่นแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกเล่า
‘ข้าขอพูดตรงๆ ว่าถ้าวันนี้ข้าไม่อยู่ การที่หอประสานฟ้าแห่งนี้ของท่านถูกทำลายสิ้นยังเป็นเรื่องเล็ก ด้วยภูมิหลังในเมืองเพลิงมรกตของตระกูลเกาของพวกท่าน เกรงว่าจะรับไฟโทสะของคุณชายหลินไว้ไม่ไหว ส่วนที่มาที่ไปของเขา ขอท่านอย่าสืบหาจะเป็นการดีที่สุด’ แม่นางเยวี่ยเอ่ยปาก
เกาเทียนอีตื่นตระหนกขึ้นโดยพลัน รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล พูดด้วยสีหน้าเคารพยิ่งว่า ‘ขอบคุณแม่นางที่ชี้แนะ!’
เมื่อมองไปที่หลินสวินอีกครั้ง สายตาของเขาก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว
เขารู้ฐานะของแม่นางเยวี่ยดี นางมาจากแดนเร้นอริยะสักแห่ง สถานะสูงส่งจนน่าตกใจ แต่คุณชายหลินผู้นี้กลับทำให้นางให้ความสำคัญได้เช่นนี้ นี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว!
……
หลังจากงานเลี้ยงจบลง แม่นางเยวี่ยก็ไปหาหลินสวินเพื่อพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“หากไม่เหนือความคาดหมาย พรุ่งนี้ข้าก็จะจากไป” แม่นางเยวี่ยพูดพลางยิ้ม “ถึงตอนนั้น เกรงว่าข้าจะไม่มีเวลาบอกลาเจ้าแล้ว”
หลินสวินอึ้งไปแล้วเอ่ยว่า “ก่อนไปช่วยบอกชื่อเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือไม่”
“เยวี่ยไฉ่เวย”
ริมฝีปากแดงของแม่นางเยวี่ยเปล่งปลั่ง เผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งออกมา “เดาได้ก่อนแล้วว่าเจ้าจะถามแบบนี้ ตอนนี้ก็ไม่ต้องปิดบังเจ้าอีก ข้ามาจากลัทธิไร้สวรรค์ ‘เขาวิญญาณมากเร้น’ ในแดนเร้นอริยะ คราวนี้หลังจากกลับไปที่สำนัก อาจมีเพียงหลังจากสงครามมหายุคอุบัติขึ้นถึงจะออกจากภูเขาอีกครั้ง”
เขาวิญญาณมากเร้น!
ลัทธิไร้สวรรค์!
สำหรับหลินสวินแล้วเป็นสถานที่ที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไร้สวรรค์’ ใจเขาก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
ต้องเป็นสำนักที่เก่าแก่และแข็งแกร่งเพียงไหนกัน ถึงกล้าใช้ ‘ไร้สวรรค์’ เป็นชื่อสำนัก
“อย่าลืมป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันชิ้นนั้นที่ข้าให้เจ้าไป รอหลังไต่อันดับขึ้นไปบนกระดานทองคำผู้กล้าได้ เจ้าก็ควรคิดเรื่องเข้าสำนักสักแห่งหนึ่งแล้ว”
“อย่างไรเสียในสงครามมหายุคครั้งนี้ ไม่ว่าบุคคลแห่งยุคคนไหนที่ต้องการเหยียบย่างลงบนมกุฎในระดับราชัน ย่อมจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากอำนาจของสำนัก”
“ถ้าพึ่งตัวเองคนเดียวไปแข่งขัน… ก็จะยากเกินไป!”
เยวี่ยไฉ่เวยเตือนอย่างจริงจัง “อีกทั้งศัตรูตัวฉกาจของเจ้าคืออวิ๋นชิ่งไป๋ เขายังมีสำนักกระบี่เทียมฟ้าหนุนหลัง สำนักนี้เป็นถึงสำนักโบราณอันดับหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในแดนชัยบูรพา ถ้าเจ้าอยากฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็ต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า”
หลินสวินพยักหน้า ปัญหาข้อนี้เขาเคยใคร่ครวญมาหลายครั้งแล้ว
แต่ ณ ตอนนี้ เขายังไม่คิดจะเข้าไปในสำนักไหนสักแห่ง
“นอกจากนี้เจ้ายังต้องป้องกันการแก้แค้นจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไว้ก่อน ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์หยั่งรากที่เมืองอ้าวไหล ที่มาที่ไปก็น่าตื่นตระหนกยิ่ง ถือเป็นสำนักนิรันดร์ที่แท้จริง หากว่ากันด้วยเรื่องภูมิหลัง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักโบราณไหนในปัจจุบัน”
“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้า ทำให้เจ้าผูกความแค้นกับลัทธินี้ ความจริงนี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย แต่เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ภายหลังข้าจะช่วยเจ้าสะสางภัยคุกคามแฝงนี้อย่างเต็มที่”
เมื่อพูดจบ ดวงตากระจ่างของเยวี่ยไฉ่เวยก็ฉายแววแน่วแน่
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องหมางใจ ขุมอำนาจที่ข้าล่วงเกินไปมีมากมายอยู่แล้ว เพิ่มลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาอีกหนึ่งแห่งก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร” หลินสวินยิ้มสดใสพลางพูด
เยวี่ยไฉ่เวยอึ้งไป ทันใดนั้นก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ข้าก็ลืมไป เจ้าเป็นถึงเทพมารหลินที่มีชื่อเลื่องลือไปทั้งแดนฐิติประจิม”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ชายชราผู้หนึ่งกับชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวที่หน้าหอประสานฟ้า
ชายชราผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน ท่าทางเหนือธรรมดาราวเทพเซียน ผิวพรรณผุดผ่องดังทารก มือถือแส้หางม้า กลิ่นอายราบเรียบ
ชายหนุ่มกลับสง่างามราวมังกรหงส์ บุคลิกองอาจห้าวหาญ มีผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะ ในดวงตาทั้งสองมีเปลวเพลิงช่วงโชติเกี่ยวกระหวัด น่าหวั่นกลัวหาใดเทียบ
เขายืนตามอารมณ์อยู่ที่นั่น ระหว่างที่ขยับตัวกลับมีรัศมีผงาดกร้าวที่ใต้ฟ้าบนดินข้าคือผู้กล้าแกร่งสายหนึ่ง ดูสะดุดตาถึงที่สุด
ในบริเวณใกล้เคียง ขอเพียงมีสายตาที่มองประเมินมา ทันทีที่มองไปบนร่างของชายหนุ่ม ก็รู้สึกดวงตาเจ็บแปลบขึ้นมาระลอกหนึ่ง เหมือนกันมองเห็นดวงระวีที่แผดเผาเร่าร้อนดวงหนึ่ง รังสีเจิดจรัสกว้างไกล
เกาเทียนอีมาต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นชายชราคนนี้ เจ้าของหลังม่านของหอประสานฟ้า คนใหญ่คนโตที่มีอานุภาพคับฟ้าในเมืองเพลิงมรกตผู้นี้กลับสั่นระริกไปทั้งตัว ใบหน้าเผยให้เห็นความยำเกรงอย่างลึกซึ้ง
เขาคุกเข่าหมอบคำนับ แต่ถูกชายชรายั้งไว้ “ไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงแค่มารับคุณหนู พิธีรีตรองซับซ้อนบางอย่างก็งดเสียเถิด”
เสียงอ่อนโยนและเรียบเฉย แต่ทุกคำประหนึ่งสัทครรลองมหามรรค มีพลังที่แทรกซึมลงไปถึงใจคน ไม่อาจฝ่าฝืนได้ในที
“เชิญผู้อาวุโส”
เกาเทียนอีรีบเชิญชายชราและชายหนุ่มเข้าไปในหอประสานฟ้า
ระหว่างนี้ในใจเขาเต้นโครมคราม คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มารับแม่นางเยวี่ยคราวนี้ จะเป็นบุคคลเทียมฟ้าที่เรียกได้ว่าเป็นผู้เฒ่าดึกดำบรรพ์ผู้นี้!
ห้องโถงรับรองแขกพิเศษ
เยวี่ยไฉ่เวยรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
หลินสวินก็อยู่ วันนี้ต้องจากกัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมาส่งสหายผู้นี้
“ท่านลุงคูจิ้งหรือ”
เมื่อเห็นชายชราหนวดเคราเผ้าผมขาวโพลน ท่วงท่าราวเทพเซียนผู้นั้น เยวี่ยไฉ่เวยก็อึ้งไป คล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง
“ไฉ่เวย เมื่อวานหลังจากได้ข่าวของเจ้า ข้ากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอีกก็เลยมาด้วยตัวเอง” ชายชราเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องไฉ่เวย ได้ยินว่าเพื่อชิงหินแหล่งกำเนิดมรรคเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่น เจ้าถึงถูกพวกเดรัจฉานลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นทำให้ต้นกำเนิดปราณเสียหายหรือ”
ชายหนุ่มที่มีผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะเดินมาข้างหน้า สีหน้าเจือไปด้วยความห่วงใย “เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เจ้าพอไหวแล้วใช่ไหม”
“ศิษย์พี่หยางหรือ ทำไมท่านก็มาด้วยล่ะ” เยวี่ยไฉ่เวยประหลาดใจ
“เมื่อวานได้ยินข่าวว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าก็อยากจะรีบมาอยู่ข้างกายเจ้าทันที ข้า…” ชายหนุ่มไม่ปกปิดความห่วงใยของตนเลยสักนิด จดจ้องเยวี่ยไฉ่เวยด้วยสายตาเปล่งประกาย
เพียงแต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็ถูกแม่นางเยวี่ยตัดบท เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ศิษย์พี่หยาง ท่านลุงคูจิ้ง ข้าขอแนะนำให้พวกท่านรู้จัก ผู้นี้คือคุณชายหลินสวิน คราวนี้ที่ข้าสามารถข้ามแม่น้ำพรมแดน สลัดพ้นจากการตามฆ่าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาได้ ก็ได้คุณชายหลินผู้นี้ช่วยเหลือ”
นางพูดพลางหันไปเอ่ยกับหลินสวินว่า “คุณชายหลิน ผู้นี้คือท่านลุงคูจิ้ง ส่วนนี่คือศิษย์พี่หยางเทียนฉี”
“ข้าน้อยหลินสวิน คารวะท่านทั้งสองท่าน” หลินสวินกุมมือทักทาย ในใจรู้ชัดแล้วว่าสองคนนี้ย่อมมาจากลัทธิไร้สวรรค์เขาวิญญาณมากเร้นเช่นเดียวกับเยวี่ยไฉ่เวย
ดวงตาของคูจิ้งลึกล้ำราวห้วงน้ำไพศาล กวาดตามองหลินสวินปราดเดียวก็ทำให้หลินสวินรู้สึกว่าความลับทั้งตัวถูกมองทะลุ
นี่ทำให้เขาจิตใจสั่นสะท้าน รับรู้ได้ว่าชายชราผู้นี้จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง!
ยังดีที่ไม่นานนักคูจิ้งก็ชักสายตากลับไป พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “กลิ่นอายหนักแน่นราวเหวลึก พลังปราณเกรียงไกรราวสมุทร เป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวผู้หนึ่ง ภายหลังในสงครามมหายุคจะต้องมีที่ให้เจ้าแน่”
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” ในใจหลินสวินยิ่งตื่นตระหนก ชายชราผู้นี้คล้ายมองตื้นลึกหนาบางของพลังปราณตนออก!
“ท่านลุงคูจิ้งผ่านเคราะห์ที่เจ็ดในอมตะนพเคราะห์มาแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นระดับราชันเจ็ดเคราะห์ ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ย่อมไม่มีผิดพลาด” เยวี่ยไฉ่เวยพูดพลางยิ้มละไม
“หึ!”
กลับเห็นว่าหยางเทียนฉีที่มีผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะผู้นั้นส่งเสียงหึหยัน สายตาที่มองมายังหลินสวินมีเปลวเพลิงเจิดจ้าเกี่ยวพัน น่ากลัวหาใดเทียบ
“ศิษย์น้องเยวี่ย เจ้าบอกว่าเจ้าหมอนี่ช่วยเจ้าคลี่คลายการตามฆ่าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์หรือ”
เสียงเย็นชาเจือไปด้วยความแคลงใจ “แต่เท่าที่ข้าดู สหายของเจ้าคนนี้ก็ไม่เท่าไร เขามีความสามารถมากขนาดนั้นจริงหรือ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น