Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 976-979
ตอนที่ 976 อสูรเฒ่าแรดดำ
เหล่าบริวารที่ติดตามอยู่ด้านหลังสิงอี่เทียนพวกนั้นตัวสั่นงันงกตั้งนานแล้ว เห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีต่างพากันหนีอุตลุดไม่คิดชีวิต
หลินสวินไม่เกรงใจ สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งไล่ล่า เสียงกรีดร้องเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สักพักให้หลังบริวารเหล่านี้ก็ถูกสังหารจนหมด
แต่หลินสวินยังคงรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง สิงอี่เทียนยังไม่ตาย การฆ่าบริวารเหล่านี้ไม่ใช่ความรู้สึกสำเร็จอะไร
แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนที่อยู่ห่างออกไปก็ยังคงตกตะลึง สิงอี่เทียนเป็นถึงพวกร้ายกาจในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งแดนชัยบูรพา ชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เขาถูกเด็กหนุ่มคนนี้สยบอย่างสิ้นท่า!
“ทำไม พวกเจ้ายังรอชิงสมบัติกันอยู่หรือ”
ดวงตาสีดำของหลินสวินเย็นชา กวาดมองไปยังทุกคนที่อยู่ห่างไปโดยไม่ปิดบังไอสังหาร
ก่อนหน้านี้เขาขุดโอสถราชันที่ก้นทะเลสาบอย่างสุขใจ แต่ขณะที่กำลังดีอกดีใจกลับถูกสิงอี่เทียนและคนเหล่านี้ทำลายบรรยากาศ สิ่งนี้ทำให้เขาไม่ชอบใจยิ่ง
ฟึ่บๆ!
ผู้ฝึกปราณทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ส่วนใหญ่ล้วนหนีไปกันหมด
หลังจากเห็นการโรมรันอันดุเดือด ในตอนนี้พวกเขาต่างตระหนักถึงความน่ากลัวของหลินสวิน ใครจะกล้าลุกขึ้นมาปลุกปั่นในเวลานี้อีก
แม้แต่ราชันกึ่งระดับบางคนก็แสดงท่าทีกริ่งเกรง แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าการถูกผู้ด้อยอาวุโสคุกคามเช่นนี้ออกจะขายหน้าอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังอดกลั้นเอาไว้อยู่ดี
ช่วยไม่ได้ พวกเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้ได้เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแล้ว มีความสามารถในการต่อสู้ข้ามระดับกับพวกเขา!
ในเวลานี้ทะเลสาบสีเงินทั้งหมดถูกระเบิดออก ก้นทะเลสาบแตกแห้ง ศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ก้อนนั้นก็ถูกทำลายในการต่อสู้ด้วย
หลินสวินได้แต่นึกเสียดายกับเรื่องนี้ แต่ยังโชคดีที่เขาขุดโอสถราชันอัศจรรย์สามต้นอย่าง ‘ต้นหยินหยาง’ ‘หญ้าเปลวเพลิง’ และ ‘โป่งรากสนทองคำ’ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
นอกจากนี้เสี่ยวอิ๋นยังได้รับแกนดาราที่สามารถช่วยให้มันพัฒนาได้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็ถือว่าได้รับผลตอบแทนมหาศาล
เพียงแต่ตอนที่หลินสวินกำลังจะออกจากสถานที่แห่งนี้ กลิ่นอายน่ากลัวสายหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากไกลๆ และพุ่งเข้ามาทางด้านนี้
“เจ้าหนุ่ม วาสนาที่ก้นทะเลสาบถูกเจ้าชิงไปแล้วหรือ” นี่คือชายชราที่มีเคราสีเขียวเข้ม ใบหน้าเหี่ยวแห้ง แม้ว่าเขาจะมีลักษณะเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่เผ่ามนุษย์
บนหน้าผากของเขามีเขาเดี่ยวสีขาวกระจ่างยาวครึ่งฉื่องอกออกมา อีกทั้งม่านตาของเขาเป็นสีเหลืองอำพัน เปล่งประกายแวววาวราวกับปีศาจ
“อสูรเฒ่าแรดดำ!” ผู้แข็งแกร่งบางคนที่ยังไม่ได้จากไปเห็นเช่นนี้ก็ร้องเสียงหลงออกมา จำตัวตนของชายชราที่เหี่ยวแห้งได้ในทันใด
อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำพรมแดนคือ ‘แคว้นกู่ชาง’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแดนชัยบูรพา มีพื้นที่กว้างใหญ่และขุมอำนาจบำเพ็ญเพียรมากมาย
สถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนั้นก็คือสำนักโบราณแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
และอสูรเฒ่าแรดดำผู้นี้ก็มาจากแคว้นกู่ชางเช่นเดียวกัน ฝึกปราณทะลวงระดับราชันได้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เรียกได้ว่าเป็น ‘ราชันคนใหม่’
สัตว์ประหลาดเฒ่าตนนี้ไม่ธรรมดา นิสัยใจคอเหี้ยมโหดและดุร้าย สังหารผู้ฝึกปราณไม่น้อยในอดีตและผูกแค้นศัตรูมากมาย
หลังจากบรรลุถึงระดับราชันเขาก็เก็บงำความหลงระเริงไม่น้อย และเป็นฝ่ายเข้าหาแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ หมายจะเข้าสู่สำนักโบราณนี้ เลือกสถานที่ปักหลักให้กับตัวเอง
ระดับราชันคนหนึ่งเป็นฝ่ายยอมจำนนก่อน นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ฮือฮาอย่างยิ่งเป็นธรรมดา ก่อให้เกิดคลื่นลมในแคว้นกู่ชาง ว่ากันว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ได้แสดงเจตจำนง คิดจะรับอสูรเฒ่าแรดดำเข้าสำนักในไม่ช้า
ดังนั้นเมื่อเห็นอสูรเฒ่าแรดดำปรากฏตัวที่นี่ ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เผยความกลัวหาใดเปรียบ
นี่คือระดับราชันที่แท้จริง!
ฟ้าดินแปรเปลี่ยน บรรยากาศกดดัน ถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันจากราชันที่น่ากลัว
ทันทีที่อสูรเฒ่าแรดดำปรากฏตัว ดวงตาประหลาดคู่นั้นก็จับจ้องไปที่ร่างหลินสวินอย่างไม่อาจคาดเดาได้ พาให้ผู้คนหายใจลำบาก
เจ้าหนูนี่ใกล้ซวยแล้ว!
ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นบ่นพึมพำกับตัวเอง รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง เมื่อระดับราชันปรากฏตัว ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว!
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…” พวกโค่วซิงต่างพากันสะท้านทั่วร่าง ไหนเลยจะคิดว่าในช่วงสุดท้ายจะมีราชันที่แท้จริงโผล่มาอีกคน!
ระดับราชันอยู่นอกเหนือจากขอบเขตทั้งห้า นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งหยัดยืนอยู่จุดสูงสุดของโลก!
แม้อสูรเฒ่าแรดดำตนนี้จะเป็น ‘ราชันองค์ใหม่’ รากฐานในระดับราชันก็ยังคงตื้นเขินอยู่มาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นราชันที่แท้จริงซึ่งกึ่งราชันไม่อาจเทียบเทียมได้อักโข
“มอบสมบัติมา จะให้เจ้าจากไป หาไม่ก็ต้องตาย!” น้ำเสียงอสูรเฒ่าแรดดำราบเรียบ มองหลินสวินเหมือนมดตัวหนึ่ง
ในระดับของเขา แน่นอนว่าย่อมไร้ซึ่งความกลัวเกรงเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง
“หึ คุยโวนัก เจ้าแน่ใจนะว่าอยากเป็นศัตรูกับข้า”
เหนือความคาดหมายของทุกคน ในตอนนี้หลินสวินกลับไม่กลัว อีกทั้งสีหน้าเขายังสงบนิ่งแตกต่างจากคนทั่วไป
สิ่งนี้พาให้ผู้คนไม่อาจไม่ทอดถอนใจ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเหยียบย่างบนมกุฎมรรคา ไม่ใช่คนที่จะถูกสั่นคลอนได้ง่ายๆ ดังคาด ลำพังแค่ความเด็ดเดี่ยวนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็มีได้
“โอ้!” อสูรเฒ่าแรดดำประหลาดใจ ยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ไอ้หนุ่ม เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าระดับราชัน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ไม่ว่าเจ้าจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่แค่ไหน หากคิดฝ่าฝืนข้าก็ต้องตายสถานเดียว!”
ตูม!
ขณะพูดกลิ่นอายทั่วร่างของเขาก็ทะยานขึ้นฟ้า ซัดพยับเมฆให้แตกซ่าน ห้วงอากาศละแวกนั้นต่างโหยหวน ยุบตัวลงระเบิดแตกทีละส่วน อานุภาพของระดับราชันนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินก็ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ไม่อาจจินตนาการได้เช่นกัน บีบให้เขาไม่อาจไม่โคจรปราณทั้งหมดไปต้านทาน
“หืม? ถึงกับต้านอยู่เชียว” อสูรเฒ่าแรดดำอึ้งไปอีกครั้ง ที่ผ่านมาเขาเพียงแค่ปลดปล่อยแรงกดดันบางส่วนก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันคุกเข่าลงได้แล้ว
แต่ยามนี้ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติ กลับไม่ถูกสั่นคลอน นี่เป็นเรื่องผิดปกติยิ่ง
“เฮอะ มิน่าถึงบ้าดีเดือดเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าคนหนึ่งนี่เอง แต่ในความคิดข้า ผู้กล้าอะไรก็ได้แต่วางอำนาจอวดศักดาอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ผงาดง้ำอย่างแท้จริง ก็เหมือนเศษเนื้อบนเขียง ข้าล้วนชี้ต้นตายชี้ปลายเป็นได้!”
อสูรเฒ่าแรดดำแค่นเสียงเย็น สะท้อนก้องเก้าสวรรค์สิบแผ่นดินราวกับฟ้าคำราม สั่นสะเทือนจนผู้ฝึกปราณที่อยู่ห่างออกกไปเหล่านั้นสองหูอื้ออึง เลือดลมพลิกตลบ เกือบเซฟุบลงกับพื้น
กลิ่นอายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับราชันที่เหยียดหยันโลก บีบคั้นขุนเขาธารา!
แรงกดดันที่มีต่อหลินสวินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ในใจเขากลับไม่หวาดกลัว หากแต่กำลังสัมผัสอย่างรอบคอบ
ในอดีตเขาเคยถูกผู้แข็งแกร่งระดับราชันหมายหัว ถึงขั้นที่เคยถูกบุคคลระดับราชันสองคนของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬไล่ล่าสังหารตลอดทาง
ในเวลานั้นเขาไม่มีพลังที่จะปัดป้องเลยสักนิด แม้แต่ความสามารถในการต้านทานก็ยังไม่มี ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่บังคับยานขนส่งอวกาศหนีไปอย่างทุลักทุเล
แต่ยามนี้ต่างออกไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็มีรากฐานพลังที่ทำให้ไม่ถูกสยบต่อหน้าระดับราชัน!
พลังขับเคลื่อนทั่วร่างเขาไม่เคยถูกรัดรึง จิตวิญญาณและร่างกายยังคงมีความสามารถในการต่อต้าน และไม่เคยสูญเสียพลังในการเคลื่อนไหว!
นี่เป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง แถมยังยิ่งใหญ่มากเสียด้วย!
“ระดับราชันอย่างเจ้าก็ไม่พ้นทำได้แค่นี้!” ยามนี้หลินสวินยิ้มด้วยท่าทางมั่นใจ
เขารู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายเพิ่งกลายเป็นราชันมาแค่สิบกว่าปี รากฐานพลังและความเชี่ยวชาญในระดับราชันของเขายังห่างชั้นจากราชันรุ่นเก่ามากโข
แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือราชันคนหนึ่ง!
ตอนนี้ตนสามารถจัดการและเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่บีบคั้นได้ จุดนี้ทำให้หลินสวินตื่นเต้นและพอใจมาก
เฮือก!
มีเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังขึ้นในที่นั้น ใครๆ ต่างคาดไม่ถึงว่าหลินสวินจะแข็งกร้าวเช่นนี้ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายในตอนนี้
แต่สีหน้าอสูรเฒ่าแรดดำนั้นเย็นชามาก หว่างคิ้วเต็มไปด้วยไอสังหาร
“ในโลกนี้มีข่าวลืออยู่เสมอว่ามหายุคกำลังจะมาถึง เงาร่างของผู้กล้ารุ่นเยาว์จะผงาดขึ้นมา นำพากระแสแห่งมหายุคซึ่งเป็นอนาคตของดินแดนรกร้างโบราณ แต่ในความคิดของข้ามันดูเหลวไหลยิ่ง หากเป็นเช่นนั้นราชันอย่างพวกเรานับเป็นอะไรเล่า”
ขณะอสูรเฒ่าแรดดำพูดก็ก้าวไปข้างหน้า ก้าวเดียวทะยานฟ้า ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น ผู้แข็งแกร่งบางคนรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาประหนึ่งถูกฟ้าผ่า แทบจะกระอักเลือด
“บอกเจ้าอย่างไม่กลัวเลยว่า ต่อให้มหายุคใกล้มาเยือน แต่หากอริยะไม่ออกมา ผู้ที่สามารถเป็นนายเหนือหัวแห่งใต้หล้านี้ได้ก็มีเพียงพวกข้าระดับราชันเท่านั้น!”
“ตอนนี้ข้าจะใช้ข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่า ต่อหน้าข้า เจ้าก็เป็นแค่มดที่แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้น สามารถบี้ให้ตายได้ตามใจ!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้อสูรเฒ่าแรดดำก็ยื่นมือออกไป ประทับฝ่ามือใหญ่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ซัดกวาดไปทางหลินสวินอย่างหนักหน่วง
พลังประทับฝ่ามือนั่นน่ากลัวเกินไป เสียงธรรมกู่ก้อง แสงธรรมระเบิดออก บนข้อนิ้วแต่ละข้ออบอวลลายมหามรรค มีกลิ่นอายแห่งกฎเกณฑ์ว่ายวนอยู่ในนั้น!
มองจากระยะไกลก็พาให้ผู้แข็งแกร่งพวกนั้นรู้สึกสิ้นหวังเหมือนจุดจบกำลังจะมาถึง!
นี่ก็คือระดับราชัน!
ไม่ว่าในสายตาใคร หลินสวินไม่มีความหวังที่จะหลบหนี และถูกกำหนดให้ถูกบี้ตายเหมือนแมลงตัวหนึ่ง
แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นกลับทำให้ทุกคนตกตะลึงกรามค้าง
ตูม!
ก็เห็นกลางฝ่ามือหลินสวินมีขวดมันแพะสูงไม่กี่ชุ่นขวดหนึ่งโฉบออกไป พ่นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เต็มฟ้าออกมา
เพลิงเขียวไม้อิก เพลิงขาวทองหลอม เพลิงดำวารีพิสุทธ์ เพลิงเหลืองแดนพิภพ เพลิงแดงสมบัติสุริยัน… เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าชนิดหลากสีสันและแวววาว ม้วนตัวออกมาเหมือนกระแสน้ำไหลร่วงจากเก้าสวรรค์
อสูรเฒ่าแรดดำจมอยู่ภายในนั้นอย่างสมบูรณ์โดยไม่ได้ตั้งตัว คิ้วเคราและเสื้อผ้าของเขาถูกไหม้จนหมด ส่งเสียงร้องโหยหวน
ก่อนหน้านี้เขาประหนึ่งราชันผู้สูงส่ง มองว่าหลินสวินเป็นมดปลวก บีบง่ายๆ คราหนึ่งก็ตายแล้ว นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง
ใครเลยจะคิดว่าชั่วพริบตากลับเกิดการพลิกผัน!
หลินสวินไม่ได้ถูกบีบจนตาย แต่อสูรเฒ่าแรดดำกลับถูกเพลิงผลาญและแหกปากร้องดิ้นพล่าน ความสง่าแห่งราชันสลายหายไป ดูน่าขันและเป็นตัวตลกยิ่ง
ถึงขั้นมีกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ลอยออกมา…
เมื่อมองไปที่อสูรเฒ่าแรดดำอีกครั้ง ผิวหนังของเขาถูกเผาจนเป็นสีดำน่าตกใจ พลังของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านั้นเผด็จการและน่ากลัวอย่างแท้จริง!
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ามันรนหาที่ตาย!” อสูรเฒ่าแรดดำส่งเสียงคำรามกราดเกรี้ยว สะเทือนไปทั่วทิศ
ก็เห็นทะเลเพลิงนั้นพลันแตกระเบิด ส่วนเงาร่างของเขาก็รีบพุ่งออกไป แม้ว่าผมเผ้าเคราหนวดจะถูกเผาจนหมด พาให้เขาดูหมดสภาพหาใดเปรียบ แต่การบาดเจ็บเล็กน้อยนี้ไม่สามารถสร้างบาดแผลแท้จริงต่อเขาได้
เพียงแต่…
น่าอับอายเกินไปแล้ว!
ราชันผู้หนึ่งกลับถูกเผาจนไม่เหลือสภาพ เหมือนก้อนถ่านที่ไหม้เกรียม หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็น่าขายหน้าเกินไปแล้ว
“ตาย!” หลังจากที่เขาโถมออกไป ก็พุ่งเข้าสังหารหลินสวินในทันที
แต่ตอนที่หลินสวินเรียกขวดมหามรรคไร้ขอบเขตออกมา ก็ได้โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งแล้ว โฉบเข้าไปในกระบวนผนึกราชันที่อยู่นอกทะเลสาบ
เมื่ออสูรเฒ่าแรดดำไล่ตามมาก็ไม่พบร่องรอยของหลินสวินแล้ว
“ค่ายกลหรือ”
ยามนี้กระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันยังไม่ได้เปิดใช้งาน กลิ่นอายจวนจะไม่เหลือหลอ เพียงมีหน้าที่ในการปิดคลุมฟ้าดินเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้อสูรเฒ่าแรดดำลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าไป
ตอนที่ 977 ถกวิธีกินอสูรเฒ่าระดับราชัน
อสูรเฒ่าแรดดำเต็มไปด้วยความอัปยศอดสูและความเกลียดชังในใจ เขาไม่คิดว่ากระบวนผนึกที่เบาบางกระบวนหนึ่งจะหยุดเขาได้
อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงระดับราชัน!
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าหนีไม่รอดหรอก ในสายตาระดับราชันพวกเจ้าก็เป็นแค่มดปลวก ถ้าเจ้าฉลาดก็ควรไสหัวมาให้ข้าอย่างว่าง่ายเป็นดีที่สุด”
อสูรเฒ่าแรดดำก้าวเข้ามาในค่ายกลกระบวนผนึกใหญ่ สีหน้าเขาเย็นเยียบ ดวงตาสาดประกาย มองสำรวจกระบวนผนึกใหญ่นี้
ก็แค่เท่านี้!
เขาหัวเราะเยาะในใจ ไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายใดๆ ที่พอจะคุกคามตนได้ สิ่งนี้ยิ่งพาให้เขามั่นใจหายห่วงมากขึ้น
สิ่งเดียวที่พาให้เขาขมวดคิ้วก็คือ หลังจากเข้าสู่กระบวนผนึกนี้สี่ทิศล้วนเวิ้งว้าง ถึงขั้นไม่สามารถจับกลิ่นอายของหลินสวินได้อีก
ตูม!
เขาย่างเท้าออกไปหนึ่งก้าว ฟ้าสะเทือนดินสะท้าน ห้วงอากาศแตกเป็นเสี่ยง พลังของราชันอันไร้รูปปลดปล่อยออกไป หอบม้วนแปดทิศทาง
เขาไม่เข้าใจกระบวนผนึก แต่กลับรู้ดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่แท้จริง ทุกอย่างจะไม่สามารถขวางกั้นฝีก้าวของตนได้!
ส่วนการทำลายกระบวนผนึกนั้นง่ายเกินไป แค่ทุ่มแรงไปคราเดียวก็เพียงพอแล้ว!
ในยามนี้เงาร่างของอสูรเฒ่าแรดดำดูเหมือนจะสูงใหญ่ไร้ขีดจำกัด พลังระดับราชันกระจายแผ่กว้าง เสียงมรรคสนั่นสั่นไหว แสงมรรคกระจายออกไปดั่งกระแสน้ำ
ทันใดนั้นกระบวนผนึกใหญ่นี้ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฟ้าดินเปลี่ยนสี ส่งเสียงคำรามก้องกระหึ่มเป็นระลอกคล้ายจะพังทลาย
“เจ้าเด็กเหลือขอ ก่อนที่กระบวนผนึกนี้จะถูกทำลาย หากเจ้ายังไม่ยอมเป็นฝ่ายโผล่หัวมาไถ่โทษ ข้ารับรองว่าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติการตายทั้งเป็น!”
อสูรเฒ่าแรดดำตะโกน เสียงสะท้านประหนึ่งท่วงทำนองแห่งมรรค
สิ่งที่พาให้เขาประหลาดใจคือ ทั่วทั้งสี่ทิศนอกจากเสียงกึกก้องปั่นป่วนของกระบวนผนึกใหญ่แล้ว เขาก็ไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของหลินสวินแม้แต่เสี้ยวเดียว
“ตายก็ไม่ยอมก้มหัวหรือ”
อสูรเฒ่าแรดดำพึมพำกับตัวเอง กดฝ่ามือลงในห้วงอากาศ เสียงกึกก้องดังขึ้นคราหนึ่ง พยับเมฆสีเขียวเข้มที่วิวัฒน์จากลายมรรคก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กดอัดห้วงอากาศ
พื้นที่ทั้งหมดเหมือนกลายเป็นบ้านฟางที่อยู่ในพายุรุนแรง อาจถูกทำลายให้สิ้นซากได้ทุกเมื่อ
แต่สิ่งที่ทำให้อสูรเฒ่าแรดดำขมวดคิ้วคือกระบวนผนึกใหญ่นี้ดูคล้ายโงนเงนสั่นคลอน แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
‘ข้าใช้พละกำลังไปสี่ส่วนแล้ว เหตุใดแม้แต่กระบวนผนึกวิญญาณกระบวนเดียวยังทำลายไม่ได้ หรือว่า…’ อสูรเฒ่าแรดดำนึกถึงตรงนี้ดวงตาก็หดรัดทันที ‘นี่คือกระบวนผนึกมรรคราชันหรือ’
ตู้ม!
และยามนี้เอง ท่ามกลางบรรยากาศสี่ทิศที่เวิ้งว้าง รอยสลักวิญญาณหนาแน่นราวกับกระแสน้ำก็หลั่งไหลเข้ามากลางฟ้าดินดุจกระแสน้ำ
ความผันผวนของกระบวนผนึกที่พร่างพราวและลุกโชนก็แผ่ขยายออกไป ครอบฟ้าคลุมดินพาให้กระบวนผนึกใหญ่นี้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิง
“นี่…” ใบหน้าของอสูรเฒ่าแรดดำเปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายที่คุกคามตนแผ่ครอบลงมา
ติดกับแล้ว!
โดยไม่ลังเลใดๆ ร่างของเขาพริบไหวพุ่งวกกลับไปยังทางเดิม พลังระดับราชันถูกโคจรอย่างเต็มที่ พาให้ทั้งตัวอบอวลแสงดำน้ำหมึก อานุภาพคับฟ้า
แต่ยังไม่ทันพุ่งออกไป รอยสลักวิญญาณทั่วฟ้าที่ควบรวมก็วิวัฒน์กลายเป็นเสือขาวยาวหลายร้อยจั้ง คำรามและพุ่งแหวกห้วงอากาศ
เสือขาวตัวนี้น่ากลัวเกินไป นัยน์ตาสีทองอร่าม ร่างกายใหญ่โต แผ่ไอสังหารที่ทำลายล้างฟ้าดินออกมา เพียงตะปบอุ้งเท้าคราหนึ่งก็ฉีกทึ้งห้วงอากาศ
เสียงปึงดังขึ้นคราหนึ่ง ระหว่างที่ไม่ทันตั้งตัวอสูรเฒ่าแรดดำก็ถูกตะปบกระเด็นออกไป เงาร่างซวนเซ เห็นชัดว่าสะบักสะบอมยิ่ง
“แม่งเอ๊ย! ดันเป็นกระบวนผนึกมรรคราชัน!”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม โกรธจนเกือบจะแหกปากตะโกนด่า ไม่คาดคิดมาก่อนว่าด้านข้างของทะเลสาบนี้จะถึงกับซุ่มซ่อนค่ายกลสังหารขนาดใหญ่เช่นนี้
สวบ!
ร่างของเขาพริบไหว ไม่กล้าเข้าปะทะ พุ่งโฉบไปอีกด้านหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เรียกยอดศาสตรามรรคราชันของตนออกมา…
ไม้ตะบองยักษ์กระดูกขาว
สมบัติชิ้นนี้มีประวัติยาวนาน สร้างจากกระดูกอสูรเก้าตาสัตว์เทพในสมัยบรรพกาล มีอานุภาพแหวกภูเขาฉีกทึ้งสมุทร
ฮูม!
วิหคชาดที่มีปีกสีแดงเพลิงบินโฉบออกมา ส่งเสียงร้องใส ร่างกายที่โค้งงออย่างสมบูรณ์สาดแสงเพลิงอันไม่มีที่สิ้นสุดออกมา ถล่มโลกให้กลายเป็นดินแดนแห่งไฟ
ตู้ม!
อสูรเฒ่าแรดดำกระชับตะบองยักษ์แล้วซัดกระแทกออกไปโดยไม่ลังเล
ทะเลเพลิงแตกสลาย แต่วิหคชาดไม่ได้รับผลกระทบ เคลื่อนตัดกลางอากาศพุ่งสังหารเข้ามา ปีกของมันเหมือนดาบไฟคู่หนึ่งฟันฉับลงมา กร้าวแกร่งเผด็จการ มีอานุภาพเผาไหม้จักรวาล
แม้อสูรเฒ่าแรดดำจะต่อต้านสุดแรงเกิด แต่กลับถูกเผาจนเนื้อหนังถลอกปอกเปิกไหม้เกรียมทั่วร่าง ส่งเสียงร้องอนาถเหมือนหมูถูกเชือดก็ไม่ปาน
“แม่งเอ๊ย! นี่มันค่ายกลแบบไหนกัน เหตุใดถึงน่ากลัวเพียงนี้”
อสูรเฒ่าแรดดำคำรามเดือดดาล แต่สุดท้ายก็ไม่อาจไม่ย่อตัวป้องหัว พุ่งหนีไปทางอื่น
ก่อนหน้านี้เขายิ่งใหญ่คับฟ้า มีชื่อเสียงทั่วโลกหล้า เย่อหยิ่งลำพองตนวางท่าเป็นนายเหนือหัว
แต่ตอนนี้กลับแหกปากร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ผมเผ้าเคราหนวดทั้งหมดถูกเผาเกลี้ยง หนีอุตลุดหมดสภาพเหมือนผีตัวดำ หากถูกผู้ฝึกปราณด้านนอกเห็นเข้าคงไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเป็นอันขาด
ภายนอกกระบวนผนึก หลินสวินบังคับจานกระบวนควบคุมค่ายกลใหญ่ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
แต่พวกโค่วซิงต่างพากันปากอ้าตาค้างตั้งนานแล้ว หัวใจสั่นสะท้าน นี่คือราชันที่แท้จริงเชียวนะ!
แต่ตอนนี้กลับติดแหง็กอยู่ในกระบวนผนึก ตกที่นั่งลำบากและเสี่ยงอันตราย สิ่งนี้พาให้ผู้คนไม่อาจเชื่อ น่าตระหนกตกใจเกินไปแล้ว
“เสียแกนวิญญาณขั้นสูบงหนึ่งหมื่นสามพันก้อนไปแล้ว ราคานี้สามารถซื้อยอดศาสตรามรรคราชันครึ่งชิ้นได้เลย” ด้านข้างแม่นางเยวี่ยทำการคิดคำนวณ
ประโยคเดียวพาให้หลินสวินที่แต่เดิมรู้สึกผ่อนคลายพลันตัวแข็งทื่อ ปวดใจไปหมด
อสูรเฒ่าแรดดำสมควรตายนี่ โผล่มาตอนไหนไม่โผล่ ดันโผล่มาเอาตอนนี้ พาให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาสูญเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง!
“รออีกเดี๋ยวพวกเรามาชิมเนื้อแรดดำนี่ด้วยกันเป็นอย่างไร นี่เป็นถึงเนื้อของสิ่งมีชีวิตระดับราชัน ได้แต่แหงนมองไม่อาจร้องขอเชียวนะ” หลินสวินกัดฟันกระตุ้นพลังของกระบวนค่ายกลใหญ่ หมายจะสยบสังหารเจ้าเดรัจฉานนี่
“นี่… ไม่ดีกระมัง?” พวกโค่วซิงต่างตะลึงพรึงเพริด กินเนื้อระดับราชัน? คุณชายหลินสวินเขาก็ช่างกล้าคิดจริงๆ!
“พี่หลินสวิน เอาตามท่านว่า!” ดวงตาของเสี่ยวเหอทอประกาย ดูตั้งตาคอย เยี่ยม นี่ก็เป็นของว่างอีกหนึ่งอย่าง
“อสูรเฒ่าแรดดำแก่ขนาดนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเนื้อยังหอมหวานอยู่หรือไม่ แต่ถ้าเป็นตุ๋นกระดูกดื่มน้ำแกงล่ะก็ต้องเป็นของบำรุงชั้นเลิศแน่ๆ” แม่นางเยวี่ยคิดอย่างจริงจัง
“น้ำแกงตุ๋นกระดูก เนื้อก็เอามาย่างกิน ห้ามทิ้งไปเปล่าๆ แม้แต่ชิ้นเดียว” หลินสวินก็ตอบอย่างจริงจัง
พวกโค่วซิงอ้าปากกว้าง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันถูกนำมาถกเถียงเป็นของกินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ห่างออกไปผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งที่ไม่ได้หลบหนีไปก็เกือบล้มหัวทิ่ม มีอาการมึนงงตกตะลึง ไม่อาจจินตนาการได้เลยสักนิด ว่าคนพวกนี้ถึงกับถกเกียงกันเรื่องวิธีกินสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน!
นี่มันป่าเถื่อนเกินไปแล้ว หากแพร่ออกไปคงทำให้สะเทือนไปทั้งโลกหล้าแน่นอน
ส่วนอสูรเฒ่าแรดดำซึ่งอยู่ในกระบวนค่ายกลใหญ่ในเวลานี้ก็ใกล้จะพังทลายแล้ว หนีคลุ้มคลั่งเหมือนแมลงวันบินจ้าละหวั่น แต่ไม่ว่าเขาจะหนีไปไหนก็ถูกซัดโจมตีอย่างไร้ปรานี
เสือขาวกลิ่นอายดุร้ายทะยานฟ้า วิหคชาดเปลวเพลิงแผดเผา มังกรเขียวยึดครองฟากฟ้า เต่าดำที่เหมือนภูผาเคลื่อนไหว…
เงามายาสัตว์เทพทั้งสี่ยึดครองสี่ทิศ ไม่ว่าแรดดำโจมตีอย่างไรก็ยากจะสั่นคลอนพวกมันได้ ตรงข้ามกลับถูกไล่ฆ่าหางจุกตูด
“ไอ้เด็กเหลือขอ! เจ้าชาติชั่วกล้าวางกับดักข้า!!” อสูรเฒ่าแรดดำโกรธจนแหกปากตะโกนด่า ดวงตาแทบถลน ขนาดหางตายังมีเลือดไหลออกมา
เรื่องนี้มีลับลมคมนัยเกินไปแล้ว
ค่ายกลกระบวนผนึกมรรคราชันวางอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ใครจะว่างมากจนทำเช่นนี้ จะต้องเป็นกับดักที่จงใจขุดรออย่างแน่นอน ก็รอให้เขาติดกับอย่างไรเล่า!
ตู้ม!
ขณะคำราม ร่างกายขนาดใหญ่ของเต่าดำก็กดทับลงมา กระแทกอสูรเฒ่าแรดดำลอยคว้างออกไปตรงๆ ทำให้เขากระอักเลือดออกปากจมูก กระดูกกระเดี้ยวตามร่างกายดังกรอบแกรบ ปวดระบมจนตาเหลือก
“น่าโมโหนัก!”
อสูรเฒ่าแรดดำกระอักเลือด จวนจะคลั่งแล้ว
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ระดับราชันเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาก็คิดว่าเว้นแต่จะมีอริยะปรากฏตัว หาไม่แล้วตนก็แกร่งพอจะเคลื่อนขวางโลกหล้าได้โดยไม่ต้องกลัวสิ่งใด!
แต่ใครจะคิดว่ายามนี้กลับจะถูกยัดไว้ในหลุมที่ขุดโดยคนรุ่นเยาว์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง แถมยังมีอันตรายถึงชีวิต!
จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร
การเป็นราชันไม่ใช่เรื่องง่าย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกปราณอิสระอย่างเขา บากบั่นดั้นด้นฝ่าฟันความยากลำบากเป็นพันหมื่นครั้ง กว่าจะเหยียบย่างในระดับนี้ได้ ยังไม่ทันได้โลดแล่นเสพสุขเลยด้วยซ้ำ หากจบเห่ทั้งอย่างนี้ใครเล่าจะเต็มใจ
ไม่อาจไม่พูด ระดับราชันนั้นไม่ได้ฆ่าง่ายๆ อย่างแท้จริง เจอการโจมตีเช่นนี้ก็ยังไม่ถูกฆ่าตายอยู่ดี
หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นเกรงว่าคงถูกกำจัดในชั่วพริบตา
“สหายน้อย ก่อนหน้านี้ข้าหยอกเล่นกับเจ้า เจ้าโปรดยั้งมือด้วย ปล่อยข้าไปสักหน ข้าสัญญาว่าจะชดเชยให้เจ้าอย่างเพียงพอ ต่อให้กลายเป็นสัตว์พาหนะ บุกล้ำลุยไฟให้เจ้าก็ได้ทั้งนั้น!”
สุดท้ายอสูรเฒ่าแรดดำก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ส่งเสียงอ้อนวอน ท่าทางวางตนต่ำต้อยยิ่ง ไม่มีท่าทีหยิ่งผยองน่าเกรงขามแม้แต่น้อย
แต่เขาก็จนหนทาง สถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุม และเขาไม่อยากตายจริงๆ!
“รับใช้เป็นสัตว์พาหนะ…” สีหน้าพวกโค่วซิงเริ่มอึ้งค้างมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาแข็งทื่อ นี่คือระดับราชันเชียวนะ ถึงกับถูกบีบจนยอมทิ้งแม้แต่ศักดิ์ศรีและความสูงส่งแล้ว?
“ไม่ได้ ข้าอยากกินเนื้อเท่านั้น” หลินสวินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขารู้ว่านี่เป็นข้ออ้าง ราชันคนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะเต็มใจเป็นสัตว์พาหนะของเขา แม้คู่ต่อสู้จะก้มหัวให้ในตอนนี้ แต่เมื่อรอดพ้นแล้วต้องตระบัดสัตย์อย่างแน่นอน
“กินเนื้อ? ไม่กลัวเด็กเหลืออย่างเจ้าอิ่มจนท้องแตกหรือ”
อสูรเฒ่าแรดดำเห็นท่าจะสิ้นหวังก็คลั่งอย่างสิ้นเชิง คำรามว่า “เจ้ารู้กระมัง หากข้าตาย แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จะไม่มีวันปล่อยเจ้าเด็ดขาด!”
ไม่เอ่ยถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ยังพอทำเนา แต่พอเอ่ยถึงสำนักโบราณนี้ หลินสวินก็ยิ่งมุ่งมั่นจะฆ่าเดรัจฉานตัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“เร็วหน่อยเถอะ เสียแกนวิญญาณขั้นสูงไปเกือบสามหมื่นก้อนแล้ว ซื้อยอดศาสตรามรรคราชันชิ้นหนึ่งยังเหลือเฟือ” แม่นางเยวี่ยเอ่ยเตือน
มุมริมฝีปากของหลินสวินกระตุก ไม่ลังเลที่จะใช้พลังยิ่งใหญ่ที่สุดของกระบวนค่ายกลนี้
ครืน!
ทันใดนั้นสายฟ้าโหมกระหน่ำ ทรายหินปลิวว่อน เพลิงศักดิ์สิทธิ์ประดุจหินหนืดปกคลุมทั่วฟ้าดิน กลืนกินฟ้าดินในนั้นจนจมมิด
อสูรเฒ่าแรดดำพยายามขัดขืนดิ้นพล่าน เร่งเร้าพลังแห่งราชันถึงขีดสุด ท่าทางสู้สุดแรงเกิด
แต่ในที่สุดเขาก็ไม่อาจหลุดพ้นชะตากรรมของการถูกฆ่า โดนเงามายามังกรเขียวตะปบกรงเล็บแหวกอกท้องตายคาที่ทันที
ซ่า!
เลือดราชันสีแดงสดที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตไหลรินราวกับน้ำพุ น่าสยดสยองจนผู้คนใจสั่น
นอกกระบวนค่ายกลใหญ่ พวกโค่วซิงต่างอึ้งค้างสติกระเจิง
ไกลออกไป ผู้แข็งแกร่งบางคนตับไตบีบอัด ต่างขนพองสยองเกล้า
แม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนผนึกค่ายกลใหญ่ แต่พวกเขาต่างเดาออกว่าอสูรเฒ่าแรดดำประสบเคราะห์ไปแล้ว!
“สิ้นเปลืองแกนวิญญาณขั้นสูงไปทั้งหมดสามหมื่นสี่พันชิ้น แต่สามารถฆ่าราชันกำมะลอที่ยังไม่ได้สร้างฐานมรรคได้ก็นับว่าไม่เลว…” แม่นางเยวี่ยพูดพร้อมกับไล่นับนิ้วมือขาวเรียว
“ที่แท้ก็เป็นแค่ราชันกำมะลอ ถ้าอย่างนั้นก็ขาดทุนมหาศาลแล้ว…” หลินสวินอึ้งงัน หัวใจแทบกระอักเลือด แกนวิญญาณขั้นสูงจำนวนมหาศาลนี้เสียไปอย่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย!
ตอนที่ 978 ฆ่าเขา ไม่จำเป็นต้องรอนานอ...
ราชันกำมะลอ ก็คือถูกมองเป็นระดับราชันกำมะลอ
หมายถึงราชันระดับสังสารวัฏที่ไม่เคยสร้างฐานมรรคยามเหยียบย่างระดับราชัน
ฐานมรรคถือได้ว่าเป็นรากเหง้าของมหามรรค คือประตูศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ รวบรวมรากฐานมหามรรคของผู้ฝึกปราณ เป็นที่แกนสำคัญแห่งพลังปราณทั่วกาย
หากระดับราชันไม่มีฐานมรรค สุดท้ายก็จะเหมือนแหนลอยน้ำ อาจหายไปพร้อมกับคลื่นได้ทุกเมื่อ หยุดชะงักอยู่เพียงแค่ระดับราชัน ไม่สามารถแสวงหาวิถีอมตะต่อไปได้
มีหรือไม่มีฐานมรรค ก็คือความแตกต่างระหว่างราชันกำมะลอกับราชันที่แท้จริง
เช่นเดียวกับอสูรเฒ่าแรดดำนี้ หากมีฐานมรรค เว้นแต่จะทำลายฐานมรรคในร่างกายของเขาได้ หาไม่เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเขาตายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้!
…
อสูรเฒ่าแรดดำเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับราชันมาสิบกว่าปี อาจเป็นเพราะข้อจำกัดทางคุณสมบัติ หรือบางทีอาจยังไม่ทันสร้างฐานมรรคเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงถูกฆ่าง่ายดายปานนี้
และเมื่อคิดว่าแค่ฆ่าราชันกำมะลอคนหนึ่งก็ต้องใช้แกนวิญญาณขั้นสูงมากกว่าสามหมื่นก้อน หลินสวินไหนเลยจะไม่ปวดใจ
ฮูม!
หลินสวินเก็บกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชัน บนพื้นปรากฏร่างอสูรแรดดำขนาดเท่าภูเขาเล็กๆ ถูกเผาจนไหม้เกรียม เกล็ดของมันแตกเป็นเสี่ยงๆ บาดแผลเหวอะหวะ
‘ต้องใช้ประโยชน์จากภูเขาเนื้อนี้ให้เต็มที่!’ หลินสวินลอบตัดสินใจเด็ดขาดกับตัวเอง แบกศพของอสูรเฒ่าแรดดำแล้วหมุนตัวจากไปพร้อมกับพวกแม่นางเยวี่ย
“เสี่ยวเหอ คืนนี้เจ้าอยากกินอะไร”
“เนื้อย่าง!”
“คำขอของเจ้าง่ายเกินไป จี่ ทอด ผัด นึ่ง เคี่ยว ตุ๋น ต้ม… หมดนี่เอาอย่างละส่วนไม่ให้ซ้ำกันเป็นอย่างไร”
“นั่น… จะยัดไม่ลงหรือไม่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยกินๆ!”
ระหว่างทางหลินสวินกำลังคุยกับเสี่ยวเหอ
และเมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ ผู้แข็งแกร่งที่เดิมอึ้งค้างก็อดไม่ได้ที่จะมีอาการหนังศีรษะชาหนึบ ลิ้นสากปากแห้ง เด็กหนุ่มอำมหิตคนนี้จะกินอสูรเฒ่าแรดดำจริงๆ หรือ
เขาไม่กลัวว่าจะถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แก้แค้นหรือ
นี่คือราชันคนหนึ่งเชียวนะ!
หากกระจายออกไปว่าอสูรเฒ่าแรดดำตกเป็นอาหารถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ทั่วทั้งแคว้นกู่ชางมีหวังตกสู่สถานการณ์สั่นคลอนครั้งใหญ่เป็นแน่
“ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าเด็กคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร” จนกระทั่งเงาร่างของพวกหลินสวินหายไป ถึงได้มีผู้ฝึกปราณถามด้วยเสียงคลางแคลงใจ
“ข้าไม่รู้ ไม่เคยมีเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ดุร้ายเหมือนอย่างเขาในแดนชัยบูรพาเลยสักคน”
“เริ่มจากกำราบสิงอี่เทียนผู้นำคนรุ่นเยาว์ของเผ่าปีกอสนีอย่างกร้าวแกร่ง จากนั้นใช้กระบวนผนึกราชันกักขังสังหารอสูรเฒ่าแรดดำ ฝีมือเช่นนี้… ไม่ใช่สิ่งที่ผู้กล้าธรรมดาสามารถทำได้จริงๆ”
“ไม่ได้ยินหรือ นางหนูคนนั้นเรียกเจ้าหมอนี่ว่าพี่หลินสวิน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ” มีบางคนสงสัย
“หลินสวินหรือ เดี๋ยวก่อน ข้ารู้แล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเจ้าหมอนี่น่าจะไม่ใช่ผู้กล้าแดนชัยบูรพาของพวกเรา แต่มาจากแดนฐิติประจิม!”
มีคนตะโกนเสียงหลง ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง
“แดนฐิติประจิมหรือ”
“ใช่แล้ว! เทศกาลโคมกถามรรคที่จัดขึ้นที่แดนฐิติประจิมเมื่อไม่นานมานี้ได้รับความสนใจอย่างมาก หลินสวินนี่ก็คือเด็กหนุ่มเทพมารที่ผงาดง้ำในงานเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้!”
“น่าเสียดายที่มีข่าวเกี่ยวกับเขาน้อยเกินไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณของพวกเราแดนชัยบูรพา แถมแดนฐิติประจิมก็อยู่ไกลเกินไป ข้าเองก็รู้แค่ว่าเทพมารหลินคนนี้ก่อกวนคลื่นลมในแดนฐิติประจิมจนโกลาหลวุ่นวาย เป็นที่จับตามองมากที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์…”
เหล่าผู้แข็งแกร่งวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อรู้ข่าวเหล่านี้ในใจก็อดสะท้านไม่ได้
เด็กหนุ่มจากแดนฐิติประจิมคนหนึ่ง ยังไม่ทันเข้าสู่แดนชัยบูรพาก็เอาชนะสิงอี่เทียนและสังหารอสูรเฒ่าแรดดำเสียแล้ว นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ในอนาคตมังกรแกร่งที่ข้ามแม่น้ำมาคนนี้จะสร้างคลื่นลมใหญ่โตเพียงใดในแดนชัยบูรพากัน
และวันนี้เอง ข่าวเกี่ยวกับหลินสวินก็เริ่มแพร่กระจายไปยังแดนชัยบูรพาอย่างต่อเนื่อง…
…
สองชั่วยามต่อมา
ยานสมบัติแล่นออกจากหาดดาราขจรช้าๆ แล่นไปตามแม่น้ำพรมแดนที่อยู่ไกลๆ
บนยามสมบัติ โค่วซิงตั้งหม้อสีดำใบใหญ่ หน้าเขียวอ้าปากพ่นเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ เปลวไฟคุโชน แผดเผาจนน้ำในหม้อเดือดปุดๆ
จงอางแดงและนักผจญภัยคนอื่นๆ กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมอาหารและเครื่องปรุงต่างๆ
ชิ้ง!
เสี่ยวเหอถือดาบเล่มหนึ่งผ่าลงบนตัวอสูรแรดดำ แต่กลับตัดออกมาได้แค่สะเก็ดไฟเท่านั้น แม้ว่าเกล็ดของมันจะแตกแล้วแต่ยังคงแข็งแกร่งหาใดเปรียบ มีแสงสีเขียวเข้มเป็นประกายสายแล้วสายเล่า แข็งยิ่งกว่าสมบัติ
ตัวของมันใหญ่มาก สี่กีบดุจเสา ส่วนหัวราวกับห้องห้องหนึ่ง ลำพังแค่หางเดียวก็หนาเท่าขาแล้ว
เสี่ยวเหอเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกกลัดกลุ้มมาก เดิมทีนางตั้งใจจะเข้าไปช่วย แต่กลับพบว่าด้วยศักยภาพของนางไม่สามารถทำจัดการอาหารชิ้นใหญ่เช่นนี้ได้เลยสักนิด
“ให้ข้าเอง”
หลินสวินเดินไปพร้อมรอยยิ้ม ม้วนแขนเสื้อมือกระชับดาบหัก เริ่มผ่าอสูรเฒ่าแรดดำที่เหยียบย่างในระดับราชันตัวนี้
เนื้ออสูรตัวนี้มีสีขาวใสวาว นุ่มลื่น ทั้งยังไม่มีกลิ่นคาวใดๆ ตรงข้ามกลับส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เปล่งประกายระยิบระยับพาให้ผู้คนน้ำลายสอ
หลินสวินหั่นเนื้อของมันเป็นชิ้นๆ เลาะส่วนกระดูกออก พวกนี้ใช้สำหรับตุ๋นน้ำแกง เครื่องในถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตั้งใจว่าจะผัดทอดปรุงรส
แม้แต่เลือดอสูรก็ไม่ได้ทิ้งเปล่า ถูกหลินสวินหลอมรวม กลั่นออกมาเป็นแก่นโลหิตอสูรสีทองอร่ามบรรจุลงในขวดหยก
ส่วนของจำพวกนอเดี่ยว เขี้ยวฟัน เกล็ด กรงเล็บแหลมคมพวกนี้ ก็ถูกชำแหละทีละชิ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบล้ำค่าสำหรับการหลอมเครื่องมือ และสามารถนำไปขายแลกกับแกนวิญญาณจำนวนมหาศาลได้
หลังจากยุ่งกันมาเกือบทั้งวัน หลินสวินก็เอาเนื้อที่ตากไว้เป็นชิ้นๆ มาปิ้งย่าง ทาเครื่องปรุงรสเป็นครั้งคราว
ไม่นานนักกลิ่นหอมเนื้อลอยคลุ้ง เนื้อสีขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ไขมันหยดลงในกองไฟทำให้เกิดเสียงดังฉ่า
“หอมยิ่ง!” หลินสวินอดกลืนน้ำลายไม่ได้
อย่าว่าแต่เขาเลย พวกแม่นางเยวี่ยก็พากันลอบกลืนน้ำลาย เพราะนี่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ธรรมดา แต่เป็นเนื้อสมบัติที่เหยียบย่างในระดับราชัน มีไม่กี่คนในโลกหล้าที่จะได้ลิ้มรสมัน
นอกจากนี้เนื้อและเลือดเช่นนี้ยังมีแก่นสำคัญแห่งปราณที่ไม่อาจจินตนาการได้ เปรียบได้กับโอสถสมบัติ ไม่เพียงอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณอีกด้วย!
แสงเรืองรองไหลออกมา เนื้อย่างกลายเป็นสีทองมันวาวขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นของเครื่องปรุงรสและเนื้อย่างประสานรวมเข้าด้วยกัน กลิ่นหอมที่แผ่ซ่านออกมานั้นช่างเย้ายวนใจอย่างที่สุด
เสี่ยวเหอน้ำลายไหลออกมาแล้ว นัยน์ตาจับจ้องเป็นประกายแพรวพราว
ในที่สุดการย่างก็เสร็จสิ้น หลินสวินคีบเนื้อบนตะแกรงลงมา
“ให้ข้าก่อนชิ้นหนึ่ง!”
เหนือความคาดหมาย คนแรกที่อดใจไม่ไหวคือแม่นางเยวี่ย สิ่งนี้พาให้หลินสวินอึ้งงัน จากนั้นก็ระบายยิ้ม ส่งเนื้อย่างชิ้นหนึ่งให้อีกฝ่าย
แม่นางเยวี่ยทำหน้ากระมิดกระเมี้ยน แต่ก็ยังรับมา ใช้นิ้วขาวเนียนฉีกเนื้อติดมันสีทองออกแล้วยัดเข้าปากทันที
“อืม… อร่อยเหลือเกิน!” แม่นางเยวี่ยอึ้งค้าง ดวงตาเป็นประกาย เผยให้เห็นแววลุ่มหลง พวงแก้มไหวกระเพื่อม จากนั้นก็เริ่มกลืนคำโต
น้ำลายของพวกเสี่ยวเหอแทบจะไหลเต็มพื้น ดูเหมือนฝูงหมาป่าหิวโหย เบิกตาจับจ้อง ท่าทางเหมือนเริ่มอดใจไม่ไหวแล้ว
หลินสวินแบ่งให้พวกเขาคนละชิ้น
เขาเก็บให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง เมื่อเอาเข้าปากคำแรกก็ถึงกับตกใจ สั่นสะท้านไปทั่วร่าง รสชาตินี้… อร่อยยิ่งนัก!
เขาไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว เริ่มสวาปามคำโต กินจนปากมันแผลบ ในปากมีแสงระเรื่อสายแล้วสายเล่า นั่นคือแก่นแท้ที่บรรจุอยู่ในเนื้อย่าง มีประโยชน์มหาศาลต่อการฝึกปราณ
ทันใดนั้นหลินสวินก็รู้สึกได้ว่าพลังขับเคลื่อนทั่วร่างกู่ก้อง ทั้งร่างอาบชโลมอยู่ในรัศมีเจิดจ้า
คนอื่นๆ ก็เป็นเช่นกัน ต่างกินอย่างมีความสุข
นี่คือเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตดุร้ายในระดับราชัน หายากยิ่ง ไม่เพียงแต่รสชาติยอดเยี่ยม แต่ยังมีประโยชน์พอๆ กับโอสถสมบัติต่อการฝึกปราณ
หลังจากกินเนื้อย่างแล้ว พวกเขาก็มุ่งเป้าไปที่น้ำแกงเนื้อและต้มกระดูกที่ตุ๋นในหม้อ จากนั้นก็เริ่มทำอาหารด้วยสารพัดวิธี… หลายแบบหลากรส เนื้อสัมผัสแตกต่าง แต่ทั้งหมดล้วนเยี่ยมยอดสุดบรรยาย
สรุปแล้ว เนื้อมื้อนี้กินกันอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก
หลินสวินยังหยิบสุราบ่มที่เขาเก็บไว้ออกมาดื่ม กินเนื้อไปพลางดื่มสุราไปพลาง บนยานสมบัติเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข
พวกเขาข้ามหาดดาราขจรไปแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงแดนชัยบูรพาในอีกฝั่ง
ชั่วขณะนี้พวกเขาต่างผ่อนคลายยิ่ง และตระหนักว่าการแยกจากกันจะมาถึงในไม่ช้า ดังนั้นพวกเขาจึงกินอย่างเต็มที่ ดื่มอย่างเต็มคราบ
กระทั่งพวกโค่วซิงต่างลูบท้องอิ่มแปล้ นอนแผ่หลาเมามายตาเยิ้ม
ใช่ว่าความอยากอาหารมีไม่มาก แต่เป็นพลังที่มีอยู่ในเนื้อแรดดำนี้มีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมันได้อีกต่อไป
เมื่อพวกเขามาถึงอีกฝั่งหนึ่ง พวกโค่วซิงก็ต้องจากไป ใช้ชีวิตอยู่ในแดนชัยบูรพา ไม่ได้วางแผนจะกลับไปที่แดนฐิติประจิม พวกเขาเป็นนักผจญภัย เส้นทางฝึกปราณที่เสาะแสวงหาก็แตกต่างจากคนอื่นๆ
……
กลางดึกแม่น้ำพรมแดนหอบม้วนพลิกตลบซ่าๆ เกิดเสียงไม่สิ้นสุด
หลินสวินดื่มเหล้าจนเมา และกินอิ่มแล้ว หัวมึนตื้อเล็กน้อย ด้านข้างเขามีกระดูกสัตว์และไหสุราเปล่าทิ้งเกลื่อนพื้น
เสี่ยวเหอหลับไปบนตักแม่นางเยวี่ย แพขนตาไหวกระเพื่อม เด็กสาวที่อายุสิบสี่สิบห้าปีคนนี้ก็นอนหลับอย่างสงบและพึงพอใจเป็นพิเศษ
“หลังไปถึงแคว้นกู่ชางจะมีคนมารับข้า จากนั้นข้าจะกลับไปที่สำนัก แล้วเจ้าล่ะมีแผนอะไรบ้าง” แม่นางเยวี่ยทัดผมดำขลับไว้ข้างหู ใบหน้าเกลี้ยงเกลาผุดผ่อง เต็มไปด้วยความแวววาวที่นุ่มนวลและศักดิ์สิทธิ์
“ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในแดนชัยบูรพาก่อน จากนั้น… ก็จะไปที่สำนักกระบี่เทียมฟ้า” หลินสวินกล่าวสบายๆ ดวงตาสีดำของเขาทอประกายสงบนิ่ง
“ไปทำอะไร”
“แก้แค้น”
“ใคร”
“อวิ๋นชิ่งไป๋” หลินสวินไม่ได้ปิดบัง อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ต้องรู้เรื่องนี้ในภายหน้าอยู่วันยังค่ำ
“เขา?” แม่นางเยวี่ยตกตะลึง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่อาจสงบจิตใจลงได้
นั่นเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ของดินแดนรกร้างโบราณเชียว! เลื่องชื่อลือชา มีกิตติศัพท์ที่ยอดเยี่ยมและคาวเลือดมากเกินไป!
“หากเป็นสหายก็อย่าถามหาเหตุผล” หลินสวินยิ้มกล่าว “ถามไปข้าก็ไม่บอกเจ้าอยู่ดี”
แม่นางเยวี่ยสีหน้าซับซ้อน ใช้เวลานานกว่าจะระงับอารมณ์ได้
นางจ้องหลินสวินพลางถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ได้ ข้าไม่ถาม แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นบุคคลแห่งยุคที่มีโชควาสนาใหญ่ติดตัว เขาก้าวสู่มกุฎมรรคามากว่าสิบปีแล้ว ชื่อเสียงกลบคนรุ่นเดียวกัน ยืนผงาดอยู่เหนือคนรุ่นเยาว์ในแดนชัยบูรพา”
“ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ภายใต้กระบี่ของเขาสังหารราชันกึ่งระดับไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยราย และขอเพียงเป็นคู่ต่อสู้ที่ท้าทายเขา ไม่มีสักคนที่จะรอดชีวิตไปได้”
“ตอนนี้ทุกคนล้วนรู้ว่า ต่ำกว่าระดับราชัน อวิ๋นชิ่งไป๋คือผู้ไร้เทียมทาน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือแนวคิดนี้ฝังรากลึกลงในหัวใจของผู้ฝึกปราณแดนชัยบูรพาทุกคน!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แม่นางเยวี่ยก็หายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “รับปากข้า ถ้าเจ้าต้องการแก้แค้นจริงๆ เจ้าต้องไม่ทำตอนนี้เพราะ…”
“เพราะโอกาสชนะริบหรี่ใช่หรือไม่”
หลินสวินยิ้ม ควงกาสุราอย่างเบิกบานใจ จากนั้นเขาถึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ถ้าข้าไม่มั่นใจข้าก็จะไม่ไปหาเขา ข้ารอมานานแล้ว ไม่ถือสาถ้าต้องรอต่อไปอีก”
“แต่ข้ามีลางสังหรณ์หนึ่งว่า จะฆ่าเขา ไม่จำเป็นต้องรอนานอีกต่อไป!”
คำพูดนั้นสงบนิ่ง ชัดถ้อยชัดคำ ประหนึ่งสายฟ้าฟาดอย่างเงียบเชียบ
ตอนที่ 979 ช่องโหว่
แดนชัยบูรพา แคว้นกู่ชาง
บนฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำพรมแดนเป็นเมืองใหญ่ชายแดนของแคว้นกู่ชาง… เมืองเพลิงมรกต
หลายชั่วยามให้หลังพวกหลินสวินก็มาถึงที่นี่
นักผจญภัยอย่างโค่วซิง หน้าเขียว และจงอางแดงจะลาจากกันที่นี่ ก่อนจาก หลินสวินได้มอบโอสถวิญญาณและสมบัติที่จำเป็นสำหรับการฝึกปราณให้พวกเขา
มันไม่ถือว่าล้ำค่ามากมาย แต่พวกโค่วซิงต่างรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง
เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่พวกเขาเคยพานพบในแม่น้ำพรมแดน เกรงว่าพวกเขาจะไม่มีวันลืมเทพมารหลินจากแดนฐิติประจิมคนนี้ไปชั่วชีวิต
จากนั้นหลินสวินก็เข้าสู่เมืองเพลิงมรกตพร้อมกับแม่นางเยวี่ยและเสี่ยวเหอ
…
เมืองเพลิงมรกตล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ ติดกับแม่น้ำพรมแดน มีความเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวา ครึกครื้นหาใดเปรียบ
ในช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจเกิดขึ้นในแม่น้ำพรมแดน ปรากฏความลับและวาสนามากมายที่ถูกฝังไว้นานหลายปี
สิ่งนี้ก็พาให้เมืองเพลิงมรกตกลายเป็นเมืองครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกๆ วันมีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยถูกดึงดูดเพื่อมาสำรวจความเร้นลับและขุดหาสมบัติของแม่น้ำพรมแดน
ทันทีที่เดินเข้าประตูเมือง คลื่นเสียงวุ่นวายก็พุ่งปะทะเข้ามา
“ขายกระดูกอริยะ สมบัติศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ที่เพิ่งถูกขุดพบจาก ‘หุบเหวมารร่วง’ ของแม่น้ำพรมแดน ใช้เพียงแกนวิญญาณขั้นสูงหนึ่งพันก้อนเท่านั้น!” ไม่ไกลออกไปมีคนตั้งแผงขายของ ตะเบ็งคอร้องตะโกน
สิ่งนี้พาให้หลินสวินสูดหายใจเฮือก เร่ขายกระดูกอริยะข้างถนนเนี่ยนะ ผู้ฝึกปราณแดนชัยบูรพาเหล่านี้กร้าวแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ
“เจ้าหนุ่ม มาแม่น้ำพรมแดนเพื่อเลือกสมบัติใช่ไหม ข้าแนะนำให้ว่าควรสังเกตให้ดี ต้องแยกแยะให้ได้จึงจะดี” ชายชราวางมาดคนหนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยเตือน
หลินสวินถึงได้รู้ว่า แม้จะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำพรมแดนก็มีการนำของเก๊คุณภาพดีออกมาวางขาย อยู่ที่ว่าคนดวงซวยคนไหนจะติดกับ
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” หลินสวินกล่าว
ชายชรากล่าวยิ้มๆ “สหายน้อย ดูเจ้าท่าทางผึ่งผาย บุคลิกเหนือธรรมดา คิดว่าคงเป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่บางแห่งกระมัง ข้ามีสมบัติมากมายและต้องพยายามแทบตายกว่าได้มาจากแม่น้ำพรมแดน เจ้าลองดูสิ่งนี้สิว่าเป็นอย่างไร”
ขณะพูดเขาแบฝ่ามือออก หยกโบราณสีเทาที่ไม่สมบูรณ์และมีรอยด่างชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น พร้อมกับกลิ่นอายของกาลเวลาที่ประทับอยู่ เก่าแก่อย่างยิ่ง
“หยกนี้มีอายุยาวนานจริงๆ เป็นสมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง” หลินสวินพยักหน้า
“ฮ่าๆ สหายน้อยตาแหลมนัก วันนี้เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน ข้าจะให้หยกชิ้นนี้แก่เจ้า” ชายชรากล่าวพลางยื่นหยกให้หลินสวิน
เมื่อเห็นเช่นนี้แม่นางเยวี่ยก็ยิ้มบางๆ จับแขนเสื้อหลินสวินเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ พลางกล่าวว่า “นี่เป็นเฒ่าจอมลวง อย่าหลงกลเขาเชียว”
หลินสวินประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ดูสิ” แม่นางเยวี่ยพยักเพยิดไป ทำสัญญาณให้ให้หลินสวินมองข้ามไป
ก็เห็นชายชราคนนั้นยิ้มและไปขวางหน้าชายหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราพลางพูดว่า “สหายน้อย ดูเจ้าท่าทางผึ่งผาย บุคลิกเหนือธรรมดา คิดว่าคงเป็น… “
เยี่ยม ขนาดคำพูดก็ยังเหมือนกัน เห็นได้ชัดเป็นลูกไม้ที่ใช้เป็นประจำ
จากนั้นชายชราก็ถือโอกาสหยิบหยกโบราณที่แตกหักออกมา บอกว่าต้องการมอบให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มทั้งดีใจและตกใจ รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจสู้ความตื๊อของชายชราได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงรับไว้
จากนั้นภาพที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น ชายหนุ่มดูเหมือนจะรู้สึกเกรงอกเกรงใจ อยากจ่ายแกนวิญญาณเป็นการตอบแทนน้ำใจ
ชายชราดูลำบากใจ แต่เขาเสนอราคาที่หน้าไม่อายถึงห้าหมื่นแกนวิญญาณขั้นกลาง!
หน้าผากของหลินสวินปรากฏเส้นสีดำ ชายชราคนนี้เหี้ยมจริงๆ หยกหักชิ้นนั้นแค่เก่าแก่เท่านั้นแต่ไม่มีค่าใดๆ ถึงกับกล้าเรียกราคาเป็นแกนวิญญาณขั้นกลางห้าหมื่นก้อน!
แน่นอนว่าชายหนุ่มก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นเขาก็โกรธและตั้งท่าจะโต้เถียง ก็เห็นกลุ่มผู้ฝึกปราณดุร้ายอยู่ใกล้ๆ ยิ้มเย็นตีวงล้อมเข้ามา จ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เต็มไปด้วยอาการคุกคาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของชายชรา
ส่วนชายชราก็ถอนหายใจ “สหายน้อย เมื่อครู่ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าต้องสังเกตให้ดี…”
ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็มอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกไปอย่างอัดอั้นเพื่อซื้อหยกที่แตกหักชิ้นหนึ่ง และจากไปอย่างทั้งอายและโกรธ
จากนั้นภาพประหลาดก็ปรากฏขึ้น ชายชราหยิบหยกแตกหักอีกชิ้นหนึ่งออกมา และเริ่มทำการต้มตุ๋นหลอกลวงต่อ…
“เจ้าเฒ่าคนนี้!” หลินสวินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็อดร้องอุทานไม่ได้ “เขาไม่กลัวว่าจะไปหลอกคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้หรือ”
แม่นางเยวี่ยยิ้ม “นักต้มตุ๋นพรรค์นี้ช่ำชองมานานแล้ว เชี่ยวชาญการหลอกลวงคนนอกเช่นเจ้าโดยเฉพาะ เขาได้แยกแยะไว้อย่างละเอียดก่อนลงมือแล้ว หากพบเจอคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้ เขาก็จะไม่ลงมือ”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าเมื่อกี้ข้าถูกมองว่าเป็นแกะอ้วนพีหรือ” หลินสวินเลิกคิ้ว
“วางใจ ถ้าสัมผัสได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ ตาเฒ่าจอมหลอกลวงนั่นจะต้องขอโทษจากใจจริงแน่นอน” แม่นางเยวี่ยยิ้มกล่าว
“ลูกไม้นี้ลุ่มลึกมากทีเดียว” หลินสวินถอนหายใจ
“หนอนแม่ลูกหยินหยาง ดุร้ายติดสิบอันดับแรกในยุคบรรพกาล เพียงคู่เดียวเท่านั้น หากเดินผ่านมาแล้วห้ามพลาดเป็นอันขาด!” ไม่นานก็มีชายชราอีกคนแหกปากตะโกน กอดไหกระเบื้องเคลือบสีเข้มผุพังใบหนึ่ง
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า เห็นว่าหม้อนั้นก็น่าทึ่งเช่นกัน ล้วนเต็มไปด้วยระลอกคลื่นคลุมเครือ อายุก็ยาวนานและไม่ธรรมดายิ่ง
เพียงแต่ในไหกระเบื้องเคลือบนั้นมีหนอนไหมสองตัวที่ไม่เตะตานอนอยู่บริเวณก้นไห
‘เฒ่าต้มตุ๋นอีกคนแล้ว’ หลินสวินพึมพำกับตัวเอง
ชายชรายิ้มและพูดว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ามีความคิดอย่างไรข้ามองออกทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าเคยได้ยินเรื่องผีเสื้อแหวกรังไหมหรือไม่ ยามเมื่อหนอนแม่ลูกหยินหยางยังเด็กพวกมันจะมีลักษณะเช่นนี้ รอตอนที่พวกมันโผล่ออกมาจากรังไหม ต้องทำให้เจ้าประหลาดใจมากอย่างแน่นอน “
“ชิ่วๆ ไปหลอกคนอื่นเถอะ” หลินสวินจนคำพูดไปชั่วขณะ เขาดูเหมือนคนหลอกง่ายหรือ เหตุใดถึงแห่มาหาตนกันหมด
สีหน้าชายชราไม่ได้ดูปั้นยาก ยังพูดอย่างฉะฉานว่า “เชื่อหรือไม่ วาสนาอยู่ในไหนี้ พลาดหรือไม่พลาดก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาส่วนตัวของเจ้าแล้ว”
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งคราแล้วหมุนตัวจากไป
ไม่นานชายชราก็ส่งเสียงร้องอย่างปวดใจ “บัดซบ ทำไมรังไหมผีเสื้อหยกขาวที่ข้าลำบากฟูฟักออกมานานถึงตายเสียได้”
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาผู้ฝึกปราณหลายคนในบริเวณใกล้เคียงตะโกนด่า “เฒ่าลวงโลก เจ้าไม่ได้บอกว่ามันเป็นรังของหนอนแม่ลูกหยินหยางหรือ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นผีเสื้อหยกขาวซะแล้ว”
จากนั้นชายชราก็มุดหัวหลบหนีอุตลุด
“เจ้าเป็นคนทำหรือ” แม่นางเยวี่ยมองไปยังหลินสวินที่อยู่ข้างๆ
หลินสวินยิ้มพูดว่า “หนอนแม่ลูกหยินหยางเชียวนะ นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสี่ยวอิ๋นเท่าไหร่ เป็นเจ้าตัวดุร้ายสิบอันดับแรกในยุคบรรพกาล เมื่อครู่ข้าเพียงปล่อยกลิ่นอายของเสี่ยวอิ๋นออกไปลองทดสอบความจริง”
แม่นางเยวี่ยยิ้ม เสี่ยวอิ๋นเป็นหนอนกินเทพที่แท้จริง กลิ่นอายเพียงเสี้ยวเดียวของมันไม่ใช่สิ่งที่สิ่งมีชีวิตใดจะทนได้
พวกเขาไม่หยุดและยังคงก้าวต่อไป
เมืองเพลิงมรกตมีชีวิตชีวามาก และสมบัติจากแม่น้ำพรมแดนถูกขายไปทุกหนทุกแห่ง มีทั้งของจริงและของปลอม ดูน่าตื่นตา ล้วนมีที่มาซึ่งพาให้ผู้คนร้องอุทาน
กระดูกอริยะเอย สมบัติลับโบราณเอย ยานิรันดร์อะไรเอย… มีมากมายหลายชนิด แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่สมคำร่ำลือ
อย่างไรก็ตามยังมีของดีจริง แต่ราคาก็แพงอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่นานพวกหลินสวินก็ยืนอยู่หน้าแผงที่ขายกระจกสำริดสนิมเขรอะ บนนั้นสลักลายมรรคไว้แน่นขนัด แต่ลายมรรคส่วนใหญ่แตกหักไม่สมบูรณ์
ถึงกระนั้นสิ่งนี้ก็ยังไม่ธรรมดา คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคอันเป็นเอกลักษณ์
จากคำบอกเล่าของเจ้าของแผง กระจกนี้ถูกขุดออกมาจากสุสานผุพังซึ่งพบในแม่น้ำพรมแดน
หลังจากหลินสวินและแม่นางเยวี่ยสังเกตดู ต่างก็ลงความเห็นว่านี่เป็นสมบัติอริยะโบราณชิ้นหนึ่ง แต่ได้รับความเสียหายอย่างมาก ประหนึ่งกลายเป็นของไร้ค่า สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ มูลค่าไม่มากแล้ว
ถึงกระนั้นมันก็ดึงดูดผู้ฝึกปราณจำนวนมากให้มาถามราคา
“ข้าต้องการกระจกสำริดนี้” สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังผู้หนึ่งเอ่ยปาก เขามีร่างเป็นคนหัวเป็นนก ดวงตาเหมือนสายฟ้า ท่าทางดุร้าย
“แกนวิญญาณขั้นสูงแปดพันก้อน สมบัตินี้ก็ให้ข้า” ผู้ฝึกปราณอีกคนหนึ่งเสนอราคาเสียงดัง
ในไม่ช้าราคาของกระจกสำริดนี้ก็พุ่งสูงขึ้นถึงแปดหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง ดึงดูดผู้ฝึกปราณให้แห่แหนกันมาดูมากขึ้นเรื่อยๆ
‘ต้มตุ๋นอีกแล้ว จงใจหาหน้าม้ามาโก่งราคา ขึ้นอยู่กับว่าคนดวงซวยคนไหนจะถูกหลอก’ หลินสวินพึมพำในใจ เขาสังเกตอย่างรอบคอบและพบเบาะแสบางอย่าง
จะว่าไปของสิ่งนี้เป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่งจริงๆ แต่ชำรุดไปแล้ว ไม่คุ้มกับราคาที่สูงลิ่วขนาดนั้นสักนิด
หืม?
ทันใดนั้นหัวใจหลินสวินไหววูบ เริ่มสัมผัสบางอย่างได้
บนแผงลอยนี้ยังมีสมบัติแปลกๆ อื่นๆ วางขาย สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหลินสวินคือสำริดชิ้นหนึ่ง ยาวประมาณครึ่งฉื่อ สึกกร่อนรุนแรง
หรือว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติบางอย่าง
หลินสวินสังเกตอย่างถี่ถ้วน อดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือเพื่อตรวจสอบ
ทันใดนั้นเขาก็ลอบสบถในใจ เจ้าของแผงนี่ช่างไม่สุจริตนัก สิ่งนี้น่าจะเป็นชิ้นส่วนสมบัติโบราณที่หักพังชิ้นหนึ่งจริงๆ แต่ร่องรอยของการสลายตัวของมันกลับถูกวิชาลับแต่งแต้ม หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะหาไม่เจอเลย
ทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าอยากทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพบสมบัติชั้นดี ก่อให้เกิดความคิดละโมบและยินดีที่ ‘พบช่องโหว่’
และตอนที่หลินสวินกำลังตรวจสอบของชิ้นนี้ เจ้าของแผงขายของก็อึ้งงันเล็กน้อย จากนั้นแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ ว่า “สหายน้อยคนนี้ถูกใจสมบัติชิ้นนี้หรือ เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ถือว่าหายากนัก จะขายให้เจ้าสามพันแกนวิญญาณขั้นสูงแล้วกัน ว่าอย่างไร”
“ราคานี้ของเจ้าสูงเกินไป ก็แค่เศษสำริดหักๆ ชิ้นเดียวเท่านั้น” เสี่ยวเหอเบ้ปาก
หลินสวินก็ส่ายหัว “ราคาสูงเกินไปจริงๆ”
ขณะพูดเขาก็หยิบหินลายพร้อยเปื้อนเลือดก้อนหนึ่งขึ้นมาสำรวจ
“สหายน้อย หินก้อนนี้ก็ไม่ธรรมดา มันปรากฏขึ้นมาจากในผนึกต้องห้ามบรรพกาลที่แตกหัก เจ้าเห็นคราบเลือดหรือไม่ มันน่าจะเป็นเลือดอริยะ!”
เจ้าของแผงลอยพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ถ้าเจ้าต้องการ บวกชิ้นส่วนสำริดเข้าด้วยกัน ขายให้เจ้าสามพันแกนวิญญาณขั้นสูงเลย”
หลินสวินยังคงส่ายหัว “ก็ยังแพงเกินไปอยู่ดี”
ขณะพูดหลินสวินวางก้อนหินลงและมองไปที่วัตถุอื่นๆ หลังจากตรวจสอบทีละชิ้นในที่สุดเขาก็ส่ายหัวและตั้งท่าจากไป
“สหายน้อยเดี๋ยวก่อน! เอาอย่างนี้แกนวิญญาณขั้นสูงสามพันก้อน ของเล่นพวกนี้ยกให้เจ้าเอาไปหมดเลย!” เจ้าของแผงรีบโพล่งขึ้น
หลินสวินคิดอยู่นานก่อนฝืนใจตกลง
เจ้าของแผงเห็นเช่นนี้ในใจก็เริ่มเกิดความสงสัย เขารู้มูลค่าของเล่นผุพังเหล่านี้ดี รวมเข้าด้วยกันอย่าว่าแต่สามพันแกนวิญญาณขั้นสูงเลย ต่อให้ขายได้หนึ่งพันก้อนก็ยังได้กำไรเห็นๆ อยู่ดี
เขาตรวจสอบทีละรายการอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เริ่มเจรจาค้าขายกับหลินสวินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“พี่หลินสวิน เจ้านั่นโกงชัดๆ ทำไมท่านถึงหลงกลได้” หลังจากเดินออกไปได้ไม่ไกลเสี่ยวเหอก็พูดขึ้น นางไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“ในความคิดของข้า น่าจะเป็นการสบช่องโหว่มากกว่า” แม่นางเยวี่ยคล้ายใคร่ครวญ
“รู้อยู่แล้วว่าปิดบังเจ้าไม่ได้” หลินสวินยิ้ม หัวใจของเขาเต้นแรง คราวนี้เป็นไปได้มากที่เขาจะเก็บผลประโยชน์มาได้อย่างง่ายดาย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น