Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 966-975

ตอนที่ 966 กำราบถ้วนทั่ว

 

บนเกาะโขดหินที่ห่างไกล ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งล้อมกรอบเด็กสาวผอมแห้งผู้หนึ่งเอาไว้


“นางหนู ยังไม่รีบนำศิลาอุกกาบาตในมือออกมาแต่โดยดีอีก?”


ผู้ฝึกปราณซึ่งเป็นหัวหน้าท่าทางมีสง่าราศี แต่ตอนนี้กลับสีหน้าทะมึน ไม่ปกปิดจิตสังหารของตนแม้แต่น้อย


ผู้ฝึกปราณคนอื่นต่างแสยะยิ้ม สายตาละโมบเร่าร้อนจับจ้องมือขวาของเด็กสาวที่กำแน่น ในนั้นมีประกายเงินหลากสายลอดผ่านหว่างนิ้วออกมา


“นี่เป็นของข้า! เป็นสิ่งที่ข้าใช้ชีวิตแลกมาได้ เรื่องอะไรจะให้พวกเจ้า!?”


เด็กสาวตัวสั่นงันงก กัดฟันกรอด


นางผอมบางอย่างมาก สวมชุดกระโปรงเนื้อหยาบเก่าคร่ำ หน้าตานับว่าน่าเอ็นดู แต่สีหน้าซีดเผือดราวเจ็บป่วย


ดูอายุนางเต็มที่ไม่น่าเกินสิบสี่สิบห้า อีกทั้งจากการแต่งกายคงมาจากตระกูลซอมซ่อชั้นล่างแน่


“อย่ามาต่อปากต่อคำ! นี่เป็นอาณาเขตสำนักกระบี่โลหิตของพวกเรา นางหนูอย่างเจ้าแอบขุดศิลาอุกกาบาตโดยพลการ พวกเรายังไม่คิดบัญชีกับเจ้าด้วยซ้ำ!”


ชายชราหัวหน้าตวาดด่า แววตาอึมครึม “เห็นแก่ที่เจ้าเยาว์ พวกข้าก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้ ตอนนี้มอบศิลาอุกกาบาตในมือออกมาแล้วจะปล่อยเจ้าไป ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”


เด็กสาวโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ตะโกนลั่น “พวกเจ้าใส่ร้ายป้ายสี! ศิลาอุกกาบาตนี่ข้าขุดมาจากที่อื่น แค่ผ่านทางมาที่นี่ก็ถูกพวกเจ้าล้อมไว้ พวกเจ้า… พวกเจ้ายังมีคุณธรรมหรือไม่”


เพียะ!


ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก้าวเข้ามา ฝ่ามือหนึ่งตบลงบนหน้าเด็กสาว ฝ่ายหลังหวีดร้อง ร่างผอมบางกระเด็นล้มลงพื้น ปากกระอักโลหิต แก้มสะอ้านแดงบวมเป่ง


“แค่นางเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง ต้องพูดพร่ำทำเพลงทำไม ลงมือเสียก็สิ้นเรื่อง” นี่คือผู้ฝึกปราณที่เป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง หน้าตาเหี้ยมเกรียม ร่างอาจหาญกำยำ สีหน้าดูแคลนนัก


บนพื้น เด็กสาวโศกเศร้าดวงตาแดงก่ำ มุมปากมีคราบโลหิต ทั่วร่างเปื้อนโคลน ดูอนาถและน่าสงสารเกินทน


นางรู้ว่าขัดขืนก็เปล่าประโยชน์ แต่นางกลับไม่รอมชอมและยอมแพ้ ในมือยังกำศิลาอุกกาบาตก้อนนั้นแน่นคล้ายกุมชะตาชีวิตตนจนข้อนิ้วต่างซีดขาว


“อย่าตีๆ” ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก้าวออกมา แววตาพราวระยับ กล่าวพลางจ้องมองเด็กสาว “ข้างกายข้าขาดหญิงรับใช้ปรนนิบัติข้างตัวคนหนึ่งพอดี นางหนูนี่รูปร่างได้สัดส่วน พวกเจ้าอย่าทำนางเสียของ”


ตัวเขานับว่าหล่อเหลา สวมชุดขาวค่อนข้างงามสง่า ทว่าเมื่อเอ่ยวาจาสีหน้ากลับปรากฏความความลามกยากปกปิดวูบหนึ่ง


ผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นดังนั้นต่างหัวเราะครืนครัน ล้วนรู้ว่าบุรุษชุดขาวตัณหาจัด ช่วงฝึกปราณหลายปีมานี้แอบทำลายเด็กสาวไปไม่รู้เท่าไร


เห็นชัดว่าเจ้าหมอนี่คิดมิดีมิร้ายเลยเถิด เพ่งเล็งเด็กสาวตรงหน้า


“พวกเจ้า…” เด็กสาวอ่อนแอขุ่นเคือง รู้สึกอับอายและสิ้นหวังหาใดเปรียบ เบื้องหน้ามืดมน เดิมนางคิดว่าด้วยศิลาอุกกาบาตในมือคงพอทำให้นางเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ไหนเลยจะคาดคิด สิ่งที่รอคอยกลับเป็นหายนะครั้งหนึ่ง!


ไม่เพียงศิลาอุกกาบาตถูกแย่งชิง แม้แต่ตัวนางยังอาจถูกย่ำยี!


นึกถึงตรงนี้นางก็เกิดความคิดอยากฆ่าตัวตายขึ้นมา


“อย่าพูดมาก ชิงศิลาอุกกาบาตนั่นก่อนค่อยว่ากัน” ชายชราหัวหน้าคล้ายหมดความอดทนอยู่บ้าง ทำการออกคำสั่ง


ทันใดนั้นชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมพุ่งเข้ามา หมายคว้าตัวเด็กสาวบนพื้นอย่างกระด้างหยาบคาย


เห็นดังนั้นเด็กสาวสิ้นหวังสีหน้ามืดมน จิตใจดับสิ้นดั่้งเถ้าธุลี ในใจเหลือเพียงความคิดหนึ่ง สวรรค์… ช่างไม่ยุติธรรม!


“ไสหัวไป!” แต่เกือบจะเวลาเดียวกัน เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าเด็กสาว เอ่ยปากคำหนึ่ง


ชายฉกรรจ์นั่นรู้สึกเพียงหูทั้งสองก้องเสียงดังวู้ม จิตวิญญาณรวดร้าว เบื้องหน้าสับสนมึนงง เซถลาลงกับพื้นทั้งตัว กุมศีรษะส่งเสียงร้องโอดโอย


ผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่โลหิตพวกนั้นดวงตาหดรัดพร้อมเพรียง มองไปยังเงาร่างที่ขวางหน้าเด็กสาว เห็นแค่เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางคนหนึ่งก็ล้วนต่างมุ่นคิ้วอย่างอดไม่อยู่ สีหน้าพลันอึมครึม


“คุณชายท่านนี้ เหตุใดต้องมายุ่งเรื่องสำนักกระบี่โลหิตของข้า” ชายชราผู้เป็นหัวหน้ากล่าวเสียงขรึม


เด็กหนุ่มนั่นคือหลินสวิน เขาไม่สนใจคนพวกนี้ แต่เหลือบมองแม่นางเยวี่ยที่กำลังเข้ามาใกล้


ครั้งนี้สาเหตุที่เขายื่นมือช่วยเหลือ ด้านหนึ่งเกิดจากขุ่นเคืองและเกินทน อีกด้านเพราะท่าทีแม่นางเยวี่ยตื่นตัวและเดือดดาลผิดปกติ ไม่สำรวมและสงบใจเหมือนที่ผ่านมาแม้แต่น้อย


นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้อย่างแจ่มชัดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาอยู่บ้าง


จริงดังคาด หลังจากแม่นางเยวี่ยมาถึง และมองเห็นเด็กสาวที่อเนจอนาถทั้งสิ้นหวังแช่เลนโคลนบนพื้นนั่น สองมือนางสั่นเทาเล็กน้อย ดวงหน้างามสุภาพปรากฏความโกรธแค้นยากควบคุมวูบหนึ่ง


นี่หาได้ยากยิ่ง เป็นอารมณ์ที่หลินสวินไม่เคยเห็นจากตัวแม่นางเยวี่ย


ขณะเดียวกันเด็กสาวผอมบางนั่นงงงันอยู่บ้าง เดิมนางใจหมดหวัง เกิดความคิดตัดสิ้นชีวิตตน แต่คาดไม่ถึงว่า… จะถูกช่วยไว้?


“บังอาจ! นางเด็กนั่นคือเหยื่อของพวกเรา ใครกล้าแตะต้อง มันผู้นั้นคือศัตรูสำนักกระบี่โลหิต!” ชายชราหัวหน้าตวาดลั่น


ขณะกล่าวเขาก็สั่งการคนอื่นให้ลงมือ


เพราะเขาสังเกตเห็นว่าไม่เข้าที กังวลว่าศิลาอุกกาบาตในมือเด็กสาวจะถูกแย่งชิงไป


ตูม!


ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตพวกนั้นมีประมาณสิบกว่าคน ออกจู่โจมพร้อมกัน อานุภาพเกรียงไกรและน่าตกตะลึงยิ่งยวด พลันดึงดูดความสนใจผู้ฝึกปราณบริเวณอื่นไม่น้อย


“พวกท่านรีบหนีไป!” เด็กสาวอ่อนแอร้อนรน พูดโดยไม่ยั้งคิด


นี่ทำให้หลินสวินและแม่นางเยวี่ยต่างเกินคาดหมายอยู่บ้าง พลันสบตากันวูบหนึ่ง ในใจต่างทำการตัดสินแล้ว


“ตายซะ!”


บุรุษชุดขาวรูปงามนั่นพุ่งเข้ามาเป็นคนแรก สะบัดพัดหยกลายทองหนึ่งดังพรึ่บ ตัวพัดพรั่งพรูแสงโลหิต โครงพัดสาดรวงแสงโลหิตดุดันออกมาหลายสาย


ที่ร้ายกาจที่สุดคือ การโจมตีนี้ไม่ได้จู่โจมหลินสวินและแม่นางเยวี่ย แต่มุ่งเป้าที่เด็กสาวผอมแห้งบนพื้น!


“ข้าไม่ได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้!” เขาตะโกนลั่น สีหน้าอำมหิต


ทว่าที่ทำเขาหวาดผวาคือ การโจมตีของเขายังไม่ทันเข้าประชิดก็ถูกกลืนกินอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง หายไปจนเกลี้ยง!


และเด็กหนุ่มตรงหน้าแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยขยับ จ้องมองตนอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาดำขลับเย็นชา


แย่แน่!


เขาตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล ในใจสั่นสะท้าน หมายหลบหนีโดยไม่ลังเล


แต่ร่างเขาเพิ่งหมุนก็สัมผัสถึงอานุภาพกดดันชวนประหวั่นไร้รูปที่พุ่งเข้าใส่ ประหนึ่งมหาบรรพตหล่นลงมาจากฟากฟ้า


ตู้ม!


ทั้งตัวเขาถูกอัดลงกับพื้นโดยตรง กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแตกหัก เลือดออกทวารทั้งเจ็ด ไม่ทันได้ร้องโอดโอยก็ลมจับหมดสติไป


ทุกอย่างนี้พูดแล้วดูเนิบช้า อันที่จริงต่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา


เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทอดมองจากที่ห่างไกลเหมือนบุรุษชุดขาวนั่นเป็นฝ่ายกดตัวลงไปเอง ล้มลงกับพื้นจนลุกไม่ขึ้นอย่างเงียบงัน สภาพการณ์แปลกประหลาดเหลือประมาณ


ยามบุรุษชุดขาวถูกกำราบ ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตคนอื่นๆ ต่างก็ลงมือแล้ว เมื่อเห็นภาพน่าหวาดกลัวพิลึกพิลั่นนี้ พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่


แต่เมื่อหมายตอบสนอง ก็เห็นชัดว่าช้าไปก้าวหนึ่ง


เห็นเพียงทั่วร่างหลินสวินพลันโหมปล่อยอานุภาพกดดันมหาศาลชวนประหวั่น ประดุจหุบเหวกลืนกิน ปกคลุมฟ้าดิน ทำให้ห้วงอากาศต่างศิโรราบคร่ำครวญ


ถัดมาก็ได้ยินเสียงตึงๆ วุ่นวายระลอกหนึ่ง กลุ่มผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตซึ่งรวมถึงชายชราที่เป็นหัวหน้านั่นถูกกำราบลงกับพื้นพร้อมกัน แต่ละคนจมูกปากกบโลหิต ร้องโหยหวนไม่หยุด


พริบตานั้นฟ้าดินแถบนี้ล้วนเต็มไปด้วยเสียงโหยหวนหวาดผวาของพวกเขา จนผู้ฝึกปราณที่ถูกทำให้ตระหนกไกลออกไปต่างหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด


ด้วยเหตุนี้สายตาที่มองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป มีความหวั่นเกรงหาใดเปรียบประการหนึ่ง


“คนพวกนี้น่ารังเกียจนัก ถูกลงโทษด้วยมือคุณชายหลินก็สมน้ำหน้าพวกเขาแล้ว!” พวกโค่วซิงต่างรู้สึกสะใจนัก


ส่วนเด็กสาวผอมบางนั่นอึ้งงันนานแล้ว ล้วนไม่กล้าเชื่อตาตนเอง สงสัยว่านี่เป็นความฝัน ไม่ใช่ความจริง


แม่นางเยวี่ยเห็นดังนั้นพลันทอดถอนใจ หว่างคิ้วปรากฏความอาดูรวูบหนึ่ง นึกถึงอดีตและความทรงจำมากมาย


นางในปีนั้นก็เป็นเด็กสาวโดดเดี่ยวอ่อนแอที่ดิ้นรนจากชั้นล่างสุด แต่ละวันอยากกินอิ่มยังล้วนลำบาก บ่อยครั้งเพื่อเอาชีวิตรอด ถึงขั้นต้องแย่งอาหารขอทานที่มั่วสุมมุมถนน


ภายหลังนางพยายามสุดกำลังเพื่อเปลี่ยนโชคชะตา และเคยเป็นเหมือนเด็กสาวคนนี้ คิดว่าอาศัยสมบัติที่แลกมาด้วยชีวิตชิ้นหนึ่งก็ไม่ต้องลำบากยากแค้นเช่นนี้อีก


แต่สุดท้ายนางก็สิ้นหวัง จิตใจห่อเหี่ยว


เพราะนางในปีนั้นเคยประสบเหตุการณ์ที่แทบจะเหมือนกับเด็กสาวตรงหน้านี้


ยังดีที่ตอนนั้นอาจารย์ของนางบังเอิญผ่านทางมาและช่วยนางไว้ ทั้งพานางกลับไปฝึกปราณที่สำนักด้วยกัน ชะตาชีวิตจึงเปลี่ยนไปด้วยประการฉะนี้!


และยังดีที่เด็กสาวตรงหน้าถูกช่วยไว้ ไม่ต้องเผชิญการจู่โจมของความสิ้นหวังและความตายอีก…


นึกถึงตรงนี้ ในแววตาแม่นางเยวี่ยที่มองไปทางเด็กสาว ก็ปรากฏความชื่นใจและสงสารวูบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่


“คุณชายท่านนี้ สำนักกระบี่โลหิตของข้ากับท่านหาใช่ศัตรู…” บนพื้น ชายชรานั่นกำลังวิงวอน สีหน้าทุกข์ระทม


สายตาหลินสวินมองไปยังแม่นางเยวี่ย


แม่นางเยวี่ยก็เหลือบมองเด็กสาวคนนั้น


เด็กสาวเม้มปาก ในดวงตาเปี่ยมความเคียดแค้นชิงชัง แต่สุดท้ายนางยังส่ายศีรษะกล่าว “พี่ชาย พี่สาว ตอนนี้ข้าไม่อยากสังหารพวกเขา”


“เพราะเหตุใด” แม่นางเยวี่ยถาม


“ข้า… ข้าอยากแก้แค้นด้วยตัวเองในภายหน้า” เด็กสาวก้มศีรษะ แต่น้ำเสียงมุ่งมั่นยิ่ง


“หากตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ายังไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตนเล่าจะทำอย่างไร” แม่นางเยวี่ยถาม


เด็กสาวชะงักงัน ก่อนจะเม้มปากกล่าว “ข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ นับแต่จำความได้ข้าก็ไม่มีอะไรเลย ดังนั้นจึงไม่กลัวที่จะใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน”


วาจาราบเรียบ แต่เจือความเด็ดเดี่ยวพาให้คนไหวหวั่น


แววตาแม่นางเยวี่ยอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม มุมปากปรากฏความชื่นชมวูบหนึ่ง


ท่ามกลางความเลือนราง นางนึกถึงตนเองเมื่อหลายปีก่อน ตอนเผชิญคำถามของอาจารย์ก็เคยใช้วาจาแน่วแน่กล่าวว่า ‘ข้าโดดเดี่ยวตัวคนเดียว เพื่อรักษาชีวิตรอดได้ไร้ซึ่งหนทางให้ถอยกลับแล้ว หากไม่อาจเปลี่ยนแปลง ความตายก็ไม่นับว่าเป็นอะไร’


และเพราะประโยคนี้ ทำให้อาจารย์รับตนเป็นศิษย์


“พี่สาว ศิลาอุกกาบาตนี่มอบให้พวกท่าน” คราวนี้เด็กสาวสูดหายใจลึก คล้ายตัดสินใจเด็ดขาด แบมือขวาที่กำแน่นแล้วยื่นไปเบื้องหน้าแม่นางเยวี่ย


พริบตานั้น แสงประกายสีเงินเจิดจรัสพวยพุ่งจากกลางฝ่ามือเด็กสาว งามตระการดั่งภาพฝัน แผ่คลื่นเร้นลับชวนตะลึงออกมา


เมื่อมองโดยละเอียด นี่คือศิลาอุกกาบาตสีดำขนาดไข่ไก่ที่วาวระยับก้อนหนึ่ง เห็นได้ว่าโดดเด่นไม่เหมือนใครยิ่ง วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ

 

 

 


ตอนที่ 967 สัตว์ประหลาดฟ้าดารา

 

สายตาหลินสวินถูกดึงดูด อาศัยเพียงความรู้สึกก็รู้ว่านี่คือศิลาอุกกาบาตที่ยากพบเห็น


มันไม่ธรรมดายิ่ง เนื้อดำตะโกวาวระยับ เอ่อท้นแสงเงินเจิดจรัสดั่งภาพฝันน่าอัศจรรย์นัก


ไม่แปลกที่ผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่โลหิตพวกนั้นจะเกิดความละโมบ เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่นเกรงว่าคงทนต่อสิ่งล่อใจเช่นนี้ไม่ไหว


และสมบัตินี้ตกอยู่ในมือเด็กสาวอ่อนแอ ไม่ต้องสงสัยว่า ‘ผิดที่หยกติดตัว’ ทำให้ประสบหายนะโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่


“ก่อนหน้าให้ตายเจ้าก็ไม่ยอมส่งมอบสิ่งนี้ เหตุใดตอนนี้กลับอยากให้พวกเราเล่า” แม่นางเยวี่ยอดถามไม่ได้


“นี่มันคนละเรื่อง ข้าแยกแยะดีชั่ว” เด็กสาวเช็ดคราบเลือดบนหน้า นัยน์ตาส่องประกาย


“เจ้าไม่ห่วงว่าพวกเราช่วยเจ้าเพื่อสิ่งนี้หรือ” แม่นางเยวี่ยกล่าวอย่างสนอกสนใจ


“ไม่ละอายต่อตนก็พอ” เด็กสาวกล่าว


แม่นางเยวี่ยยิ้ม แววตาที่มองเด็กสาวเปลี่ยนเป็นมิตรและสงสารยิ่งกว่าเดิม


‘เมื่อใจตนสงบ นั่นคือมรรคแห่งตน’


หลินสวินจิตใจคล้อยตาม เขาค้นพบคุณสมบัติซึ่งหาได้ยากบนตัวเด็กสาวอ่อนแอคนนี้ ใจที่มีความมุ่งมั่น ไม่ถูกสิ่งภายนอกยั่วยุ


สุดท้ายพวกหลินสวินไม่ต้องการศิลาอุกกาบาตในมือเด็กสาว แต่พานางจากบริเวณนี้ไปด้วยกัน


เหล่าผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่โลหิตรอดพ้นจากความตาย แต่กลับยินดีไม่ออกแม้เศษเสี้ยว


เพราะพวกเขารู้ว่าหากเด็กสาวผอมบางเมื่อครู่นั่นเปลี่ยนโชคชะตาสำเร็จ ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วนางต้องกลับมาแก้แค้น!


“เจ้าหมอนั่นเป็นใคร อานุภาพน่าหวาดกลัวนัก ไม่แม้แต่จะขยับมือก็กำราบผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตทั้งหมดลงกับพื้น คงไม่ใช่บุคคลแห่งยุคจากสำนักโบราณบางแห่งกระมัง”


“รู้น้อยจึงเห็นว่าประหลาด ช่วงนี้แดนชัยบูรพาปรากฏบุคคลแห่งยุคขึ้นใหม่ไม่รู้เท่าไหร่”


“มหาสงครามแห่งมหายุคจวนมาเยือน แม่น้ำพรมแดนเองใกล้เลือนหาย สี่แดนวิภูดินแดนรกร้างโบราณจะรวมกันใหม่อีกครั้ง ฟื้นคืนลักษณะสมบูรณ์แห่งสมัยบรรพกาล จากนั้น… ใต้หล้าคงคึกคักขึ้น!”


บนโขดหินส่วนหนึ่งละแวกใกล้เคียงต่างเห็นเหตุการณ์ที่หลินสวินแสดงอานุภาพเมื่อครู่กับตา ผู้ฝึกปราณบางส่วนรำพึงอย่างอดไม่อยู่


แต่ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งแอบดีใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยตวาดพวกหลินสวินไป ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าใกล้ ปัจจุบันคิดไปแล้วการกระทำเช่นนี้ช่างเหมือนรนหาที่ตาย โชคดีที่อีกฝ่ายไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา



หาดดาราขจรกว้างใหญ่ โขดหินดำรงอยู่ทุกหนแห่ง หมอกควันขมุกขมัวปกคลุมทั่วบริเวณเห็นได้ว่าลึกลับอย่างยิ่ง


บนยานสำเภา แม่นางเยวี่ยตัดสินใจพาเด็กสาวร่างผอมกลับสำนัก นี่ทำให้พวกโค่วซิงต่างอิจฉาไม่หยุด


พวกเขาล้วนรู้ดี นับจากวันนี้เด็กสาวยากจนที่ดูน่าสงสารโดดเดี่ยวคงต่างจากอดีตสิ้นเชิง ดุจมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร!


“เสี่ยวเหอ เจ้าหาศิลาอุกกาบาตก้อนนี้พบจากไหนหรือ”


“ข้างหน้าเจ้าค่ะ ต้องคดเคี้ยวเลี้ยวลดลอดเกาะน้อยประมาณสิบกว่าเกาะ ยังต้องผ่านบริเวณหมอกควันหนาแถบหนึ่ง”


เสี่ยวเหอก็คือชื่อของเด็กสาวร่างผอมนั่น “สถานที่นั้นประหลาดมาก สะสมโครงกระดูกกองพะเนิน ทั้งยังมีสัตว์ปีศาจน่ากลัวปรากฏเป็นระยะ…”


“แต่ทุกค่ำคืนที่นั่นจะปรากฏแสงดาราเงินยวงมากมาย งดงามอย่างยิ่ง ประดุจธารดาราม้วนตลบอย่างไรอย่างนั้น”


ฟังถึงตรงนี้ หลินสวินและแม่นางเยวี่ยต่างสัมผัสได้ว่าที่แห่งนี้ต้องไม่ธรรมดา!


ขณะเดียวกันสีหน้าเสี่ยวเหอปรากฏอาการหวนรำลึกและหลงใหล “ตอนนั้นข้านึกว่าตัวเองมาถึงม่านดาวเหนือฟากฟ้า ตลอดทางคือดวงดาวส่องประกาย… น่าเสียดาย ข้าเดินถึงครึ่งทางก็ไม่กล้าเข้าไปลึกกว่านั้น”


“เพราะอะไร” แม่นางเยวี่ยถามอย่างอดไม่อยู่


“ข้าได้ยินเสียงร้องโหยหวนเป็นระลอก น่ากลัวยิ่ง ยังมีเสียงคำรามของสัตว์ปีศาจด้วย…” เสี่ยวเหอสีหน้าประหม่า เห็นชัดว่าเหตุการณ์ตอนนั้นทำนางหวาดผวาถึงปัจจุบันอยู่บ้าง


“อยากลองไปดูหรือไม่” แม่นางเยวี่ยมองไปทางหลินสวิน


หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วย


เขาอยากรู้นัก เสี่ยวเหอไปแค่ครึ่งทางก็ขุดเจอศิลาอุกกาบาตล้ำค่าที่คุณลักษณะเลิศล้ำ แค่คิดก็รู้ว่าหากเข้าไปลึกกว่านี้ต้องมีความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้มากกว่านี้แน่


ทั้งจากคำอธิบายของเสี่ยวเหอทำให้เขาสามารถประมาณการคร่าวๆ ได้ว่า สถานที่นั้นอาจอันตรายยิ่ง แต่ก็ต้องซ่อนของดีซึ่งสถานที่อื่นไม่มีเช่นเดียวกัน!



ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ภายใต้การนำทางของเสี่ยวเหอ พวกหลินสวินขับยานสำเภาเข้าสู่บริเวณครึ้มหมอกขมุกขมัว


เกาะแก่งบริเวณนี้พบเห็นได้น้อย กระจายตัวบางตา ซ้ำสายน้ำนั่นยังไม่ม้วนซัด เงียบสงัดดั่งน้ำนิ่ง มีกลิ่นอายที่พาให้คนใจสั่นระรัว


“งดงามมาก!” มุ่งหน้าไปไม่ไกลนัก เบื้องหน้าพวกโค่วซิงสว่างวาบ เมื่อเห็นทัศนียภาพที่ห่างออกไปชัดเจนต่างเผยความรู้สึกหลงใหล


กลางอากาศ แสงดาวดวงแล้วดวงเล่ากะพริบไหว เปล่งแสงกระจ่างเย็นออกมา ท่ามกลางหมอกควันขมุกขมัวยิ่งดูเจิดจรัสและสว่างผิดปกติ


มองจากไกลๆ ก็เหมือนเห็นธารดารากำลังม้วนแผ่ไพศาล แสงดาวพาดผ่านงามตระการเปล่งประกาย


ภายใต้ความเลือนราง ช่างทำให้ผู้คนคิดไปว่าเข้าสู่จักรวาลดารา


แต่ขณะเดียวกันกลับมีกลิ่นอายอันตรายไร้รูปอบอวล ประหนึ่งในส่วนลึกของแสงดาราพร่างฟ้านั่นซ่อนบางสิ่งที่น่าสะพรึงเอาไว้


หลินสวินนัยน์ตาดุจอสนี จิตรับรู้แผ่ขยาย สัมผัสโดยละเอียด


ทันใดนั้นเขาก็พบภาพฉากชวนสะพรึงบางส่วน ในสายน้ำราบเรียบเงียบสงัดนั่นปรากฏซากศพหลายศพ ต่างแหว่งวิ่นไม่สมประกอบยิ่ง


บ้างถูกทำลายศีรษะ บ้างถูกฉีกทึ้งกระชากอก บ้างร่างกายถูกตัดขาด มีเพียงแขนขาแหว่งวิ่นที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ


อีกทั้งหลินสวินยังตัดสินได้คร่าวๆ ว่าเจ้าของซากศพเหล่านี้น่าจะเพิ่งตายไม่นาน ดูจากบาดแผลเห็นชัดว่าเจอกับสัตว์ปีศาจที่น่าหวาดกลัวเข้า


“ทุกคนระวังตัวด้วย ที่แห่งนี้ประหลาดอยู่บ้าง” หลินสวินเตือน


น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ก็เห็นว่าในแสงดาวเจิดจรัสนั่นมีเงาร่างสีขาวเงินโฉบออกมา พุ่งมาทางยานสำเภาที่พวกเขาอยู่ดั่งสายฟ้าแลบ


ครืน!


ห้วงอากาศแตกละเอียด ส่งเสียงหวีดแหลม เงาร่างสีขาวเงินนั่นไม่เพียงว่องไวยังดุดันหาใดเปรียบ บดขยี้ห้วงอากาศแตกเป็นจุณ


พวกโค่วซิงรีบบังคับยานสำเภาหลีกหลบ


ระหว่างนั้นพวกเขาก็เห็นเงาร่างสีขาวเงินนั่นชัดเจน


นั่นคืออสูรมารที่ลักษณะคล้ายตัวนิ่ม ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดเงินยวง กรงเล็บทั้งสี่ราวตะขอแหลมคม ดวงตาแดงก่ำเยียบเย็น แผ่กลิ่นอายกระหายเลือดอำมหิตยิ่ง


โค่วซิงใช้ทวนเล่มหนึ่งออกจู่โจมสังหาร


เคร้ง!


ดาราเพลิงซัดทั่วจตุรทิศ เกล็ดผิวตัวนิ่มแข็งแกร่งกว่าสมบัติเวท ซ้ำยังแผ่แสงสีเงินสยบทวนของโค่วซิง


ขณะเดียวกันมันส่งเสียงหวีดแหลม ปากใหญ่อาบโลหิตพ่นลำแสงขาวซัดโค่วซิงปลิวกระเด็น


นี่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง โค่วซิงคือผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง แต่กลับต้านการโจมตีของอีกฝ่ายไม่ได้!


“แข็งแกร่งนัก!” พวกหน้าเขียวและจงอางแดงไม่รอช้า บุกไปร่วมสังหารศัตรูพร้อมโค่วซิง


ทว่าตัวนิ่มนั่นเผยพลังน่ากลัวเกินคาดคิด ร่างดุจสายฟ้าสีขาวไวว่องรวดเร็วยิ่ง เคลื่อนทะยานแหวกห้วงอากาศ


ปึงๆๆ!


เพียงชั่วพริบตาพวกโค่วซิงถูกซัดถอยทีละคน ยากทานทนจนแทบกระอักเลือด แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี


นี่มันตัวบ้าอะไร


ตูม!


ตัวนิ่มอานุภาพไม่ปรานี เหี้ยมโหดหาใดเปรียบ พลันพุ่งทะยานอ้าปากพ่นแสงขาวหมายสังหารโค่วซิง ความเร็วนั้นทำเอาโค่วซิงไม่ทันหลบหลีก


ฉึบ!


เวลานี้เองหลินสวินเคลื่อนไหวแล้ว กดนิ้วมือลง พลังทำลายล้างสายหนึ่งปรากฏ สลายแสงขาวนั่นดังฟุ่บ


โค่วซิงรอดพ้นจากความตาย ตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว


ไม่จำเป็นต้องสงสัย ครั้งนี้หากไม่ได้หลินสวินพวกเขาทั้งหมดคงถูกฝังอยู่ที่นี่ ตัวนิ่มประหลาดนี่ช่างวิปริต ดุดันเสียยิ่งกว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ!


“น่าสนใจ”


หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งก้าวไปเบื้องหน้า ล่อให้ตัวนิ่มสนใจและระแวงในฉับพลัน ดวงตาแดงก่ำเปี่ยมความอำมหิตกระหายเลือด


ตูม!


มันสังเกตเห็นอันตราย ร่างที่ราวหล่อจากแร่เงินระเบิดแสงเจิดจ้ากลายเป็นสายฟ้าพุ่งออกมา


หลินสวินสำแดงนัยเร้นลับของประทับปี้อั้นและผนึกป้าเซี่ย ตบฝ่ามือหนึ่งออกไป ร่างอีกฝ่ายดั่งประสบการกำราบของมหาบรรพต เสียงตูมดังสนั่น ถูกกำราบลงบนดาดฟ้ายานสำเภา ผิวเกล็ดแตกพัง โลหิตแดงสดหลั่งริน ร้องเสียงแหลมทรมานคลุ้มคลั่ง


ทันใดนั้นหางของมันวาดตวัดดั่งแส้เงินยวง วิบไหวกลางอากาศ วิวัฒน์เป็นดาบแสงแหลมคมหลากสาย


หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะหลบ ทั่วร่างราวหุบเหวโหมกระหน่ำ ดาบแสงคมปลาบหลากสายนั่นเพิ่งเข้าประชิดก็ถูกกลืนกินสลายสิ้น


ปึง!


ขณะเดียวกันหลินสวินออกหมัด ผิวเกล็ดทั่วร่างตัวนิ่มต่างแตกหัก ร่างกายปรากฏรอยถูกทุบยุบแบน


ห่างออกไปพวกโค่วซิงส่งเสียงประหลาด สัตว์ประหลาดที่ทรงพลังเช่นนี้ถูกอัดจนไร้แรงต่อต้าน คุณชายหลินสมเป็นบุคคลดั่งเทพมาร


แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน ตัวนิ่มนั่นทรหดหาใดเปรียบ ในช่วงเป็นตายดันคลั่งขึ้นมา ทั่วร่างแผ่ประกายศักดิ์สิทธิ์ขาวเงินแสบตาดั่งเพลิงลุกโชน คล้ายตั้งท่าสู้ตายไปข้าง


หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง เท้าข้างหนึ่งเหยียบหัวอีกฝ่าย บดทลายกะโหลกปลิดชีพโดยพลัน


ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเหมือนผ่อนคลายและนิ่งสงบมาก


“แม่นางเคยเห็นอสูรมารประหลาดเช่นนี้หรือไม่” หลินสวินเอ่ยถาม


“นี่คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนฟ้าดารา” แม่นางเยวี่ยก่อนหน้าใคร่ครวญมาตลอด ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้


“บนฟ้าดารา?” หลินสวินประหลาดใจ


“น่าจะเป็นเช่นนั้น หาดดาราขจรคือซากสมรภูมิแห่งหนึ่งสมัยบรรพกาล ในปีนั้นอริยะกระบี่มารคลั่งเคยใช้กระบี่เดียวปลิดดาราทั่วฟ้า ถึงได้ทำให้ซากสะเก็ดดาวร่วงหล่นลงที่นี่”


แม่นางเยวี่ยกล่าวพึมพำ “ข้าสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าคงตกมาพร้อมเศษสะเก็ดดาวนั่น”


“อีกทั้งในตำราโบราณก็บันทึกไว้ว่า ในฟ้าดาราไร้สิ้นสุดมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใครล่วงรู้อาศัยอยู่ ทั้งยังเคยมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังส่วนหนึ่งทะลวงปราการเยือนดินแดนรกร้างโบราณ เพียงแต่ยากพบอย่างที่สุด พันหมื่นปีจึงอาจพบเข้าสักครั้ง”


“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลินสวินครุ่นคิด


“ที่แห่งนี้หากมีสัตว์ประหลาดฟ้าดาราอาศัยอยู่จริงคงไม่ใช่ธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจทำให้เราขุดพบศิลาอุกกาบาตซึ่งหาได้ยากยิ่ง” แม่นางเยวี่ยนัยน์ตาเป็นประกาย


ประโยคเดียวทำเอาทุกคนต่างใจเต้นไม่หยุด


เวลานี้เอง ห่างออกไปในบริเวณที่ประกายดาราสาดส่องทั่วฟ้าพลันมีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมา ทั่วร่างส่งเสียงวายุอสนีบาต สะดุดตาอย่างยิ่ง

 

 

 


ตอนที่ 968 ข่าวทะเลสาบอัศจรรย์

 

นี่คือเด็กหนุ่มวัยสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่ง หลังสยายปีกที่ล้อมด้วยแสงจรัสวายุอสนี รัศมีสายฟ้าลั่นดัง ดึงดูดสายตานัก


‘เป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าปีกอสนี ในแดนชัยบูรพาถือเป็นเผ่าใหญ่เผ่าหนึ่ง’ แม่นางเยวี่ยวินิจฉัยที่มาอีกฝ่ายออกเพียงปราดเดียว สื่อจิตอธิบายแก่หลินสวิน


ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มนั่นเหลือบมองศพอสูรตัวนิ่มบนยานสำเภาวูบหนึ่ง ค่อยหันสายตามองพวกหลินสวินแล้วกล่าว “สหายยุทธ์ทุกท่านมีมารยาทแล้ว สัตว์ปีศาจตัวนี้คือเหยื่อที่ข้าเล็งไว้ก่อน ไม่ทราบว่าทุกท่านส่งมอบมันมาได้หรือไม่”


ขณะกล่าวปีกเขาเอ่อท้นรวงอสนี แม้ค่อนข้างเยาว์วัยแต่มีความน่าเกรงขามชวนประหวั่น สง่างามโดดเด่นพอควร


“เจ้าบอกเป็นของเจ้าก็คือของเจ้า ข้อเรียกร้องนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ” หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว


“เกินไป? ไม่ ข้าแค่กำลังโน้มน้าวโดยละม่อม” เด็กหนุ่มยิ้ม ท่าทางไม่ตระหนกตกใจ


“เช่นนั้นข้าบอกเจ้าเลยว่าอย่าได้คิด อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้คนใหญ่คนโตเผ่าเจ้ามาก็กล่อมข้าไม่ได้” หลินสวินกล่าว


“เจ้าหมายความว่าอะไร” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว สีหน้าไม่สบอารมณ์ วายุอสนีทั่วร่างโหมกระหน่ำทำห้วงอากาศม้วนซัดรุนแรง


“ดูไม่ออกรึ พวกเราไม่ต้อนรับเจ้า รีบไปซะ!” โค่วซิงตวาดลั่น


“เหอะๆ ดูท่าข้าคงใจดีเกินไป คิดว่าพูดโน้มน้าวดีๆ ก็พอจัดการเรื่องนี้ได้ ใครเล่าจะคาดคิด ข้ากลับมาเจอคนเถื่อนกลุ่มหนึ่ง” เด็กหนุ่มยิ้มเยาะอวดดียิ่ง วาจาเจือความเยียบเย็นไม่ปกปิดแม้แต่น้อย


“คนเถื่อนหรือ”


หลินสวินยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะ


เด็กหนุ่มชะงัก ปรามาสกล่าว “ทำไม เจ้าไม่พอใจรึ”


หลินสวินก้าวย่างกลางอากาศ มุ่งไปเบื้องหน้าพลางกล่าว “ข้าสงสัยนักว่าใครให้ความกล้ากับเจ้า ถึงกับกล้าไม่เห็นใครในสายตาเช่นนี้!”


ตูม!


ทั่วร่างเขาส่องประกายกำราบไปเบื้องหน้า


“รนหาที่ตาย!” เด็กหนุ่มยิ้มเยาะ ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหว แต่ในมือปรากฏธนูยักษ์อสนีสีเงินคันหนึ่ง


ซูม!


ศรอสนีปานฟ้าคำรามสายหนึ่งโฉบพุ่งออกมา เจือไอชั่วร้ายทั่วฟ้า ฉีกกระชากห้วงอากาศ


หลินสวินไม่แม้แต่หลบหลีก ยื่นแขนคว้าจับแผ่วเบาก็ยึดศรไว้มั่น พลังชวนประหวั่นทั่วลูกธนูถูกกลืนกินมลายสิ้นชั่วพริบตา


“เจ้า…” เด็กหนุ่มนัยน์ตาหดรัด รู้ว่าไม่เข้าที


นี่เป็นถึงศรฟ้าคำรามอสนีเงิน สามารถสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้ แต่ตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายคว้าจับตามสะดวก!


วู้ม…


ทันใดนั้นหลินสวินเงื้อมือสะบัด ศรที่ถูกยึดบินกลับไปไวกว่าความเร็วก่อนหน้าหลายเท่าตัว ส่งเสียงกัมปนาทเสียดหู ประหนึ่งมหาสุริยันเงินยวง อานุภาพน่าสะพรึงกว่าเมื่อครู่หลายเท่านัก


แย่แน่!


เด็กหนุ่มตระหนกจนขนลุก ใช้โล่ฟ้ากำบังโดยไม่ลังเล


ก็ยินเสียงดังสนั่น โล่สีฟ้านั่นพลันแตกละเอียดเป็นละอองแสงลอยล่อง ส่วนเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บหนัก ปากกระอักโลหิตเกือบดิ่งลงแม่น้ำพรมแดน


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!?” เด็กหนุ่มโกรธจัด สีหน้าคล้ำเขียว


หลินสวินยิ้มเยาะ สิ่งที่เขาไม่หวาดกลัวที่สุดคือการข่มขู่เช่นนี้ กำหมัดพุ่งเข้ากำราบอีกครา


ที่ทำหลินสวินแปลกใจอยู่บ้างคือ เด็กหนุ่มจากเผ่าปีกอสนีนี่เก่งกาจยิ่ง หาใช่ผู้ที่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปสามารถเทียบเทียม ปีกอสนีคู่นั้นส่องแสงระยับ ความเร็วน่าตื่นตะลึงหาใดเปรียบเกือบจะเป็นการเคลื่อนที่ในพริบตา


น่าเสียดาย เจ้าหมอนี่มาเจอหลินสวินซึ่งก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิม บุคคลดั่งเทพมารที่เคยสังหารราชันกึ่งระดับด้วยมือเปล่ามาแล้ว สุดท้ายจึงสู้ไม่ไหว ยืดหยัดได้ไม่กี่อึดใจก็ถูกหลินสวินกำราบด้วยฝ่ามือเดียว เหวี่ยงเขาลงบนดาดฟ้ายานสำเภา


เด็กหนุ่มจมูกปากกบโลหิต เกรี้ยวกราดแทบคลั่ง ส่งเสียงข่มขู่ต่อเนื่อง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องลิ้มรสความระทม ถูกหลินสวินสั่งสอนหนักหน่วง ทรมานจนเกือบดับชีวา


“พูดมา เหตุใดต้องชิงซากสัตว์ปีศาจตัวนี้ และเจ้ามาอยู่แถวนี้คิดจะทำอะไร” หลินสวินเอ่ยถาม


เด็กหนุ่มหายใจรวยริน แววตาผูกพยาบาท กัดฟันแน่นไม่เอ่ยวาจา


หลินสวินก็ไม่เกรงใจ สำแดงทัณฑ์ทรมาน ในที่สุดก็บีบจนเด็กหนุ่มพูดความจริง


ที่แท้ส่วนลึกของบริเวณที่เต็มไปด้วยแสงดาวแถบนี้ มีสถานที่คล้ายทะเลสาบแห่งหนึ่ง ภายในไหลหลั่งด้วยกระแสวารีเงินอร่าม วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ


ทะเลสาบนั่นเพิ่งปรากฏไม่นานมานี้ เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเร้นลับบ่อยครั้ง ดึงดูดความสนใจผู้แข็งแกร่งไม่น้อย


หลังผ่านการสำรวจ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นจึงได้ข้อสรุปในท้ายที่สุด ว่าก้นทะเลสาบนั่นซ่อนศิลาอุกกาบาตที่เรียกได้ว่าชิ้นเอก ขนาดประมาณเนินเขาลูกเล็กๆ ส่องประกายเงินยวงถ้วนทั่ว


และปรากฏการณ์ประหลาดลึกลับที่อุบัติกลางอากาศนั่นก็มาจากศิลาอุกกาบาตนี่!


ทว่าข้างๆ ศิลาอุกกาบาตมีสัตว์ใหญ่มหึมาคล้ายตะพาบมังกรตัวหนึ่งเฝ้าดูแล เมื่อใดที่มีคนเข้าใกล้ก็จะถูกสังหารทันที


ด้วยประการฉะนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าไหร่กลืนความคั่งแค้น ตายในมือสัตว์ประหลาดตะพาบมังกรนั่น


“พวกเราล่าสัตว์ประหลาดฟ้าดารามาเป็นเหยื่อล่อ ดึงดูดสัตว์ประหลาดตะพาบมังกรนั่นออกไป ค่อยฉวยโอกาสชิงศิลาอุกกาบาตนั่น” เด็กหนุ่มถูกทรมานอนาถ เจ็บปวดจนไม่อยากอยู่ต่อ บอกกล่าวทุกอย่างตามความจริง


“เหยื่อล่อ?” หลินสวินเลิกคิ้ว


“ถูกต้อง พวกเราพบว่าสัตว์ประหลาดตะพาบมังกรนั่นไม่สนใจอะไรเลย ชื่นชอบเพียงกลืนกินสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่ผิดแปลกเช่นนี้”


พูดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างลำบากพลางกล่าว “ที่ข้ารู้ล้วนบอกหมดแล้ว ตอนนี้เจ้าควรปล่อยข้าแล้วกระมัง”


หลินสวินกล่าว “เจ้าคิดว่ายังมีโอกาสรอดหรือ”


เด็กหนุ่มอึ้งงัน ไม่ช้าก็บันดาลโทสะ คำรามอาฆาต “ต่ำช้า หากนายน้อยเผ่าข้ารู้ต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าแน่!”


ฟุ่บ!


หลินสวินออกแรงที่นิ้วมือปลิดชีพฝ่ายตรงข้าม


“ข้ารับใช้คนหนึ่งยังแข็งแกร่งเช่นนี้ ‘นายน้อย’ ที่เขาเอ่ยถึงคงเป็นยอดบุคคลรุ่นเยาว์เผ่าปีกอสนี ‘สิงอี่เทียน’” แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญอยู่ด้านข้าง


“เขาร้ายกาจมากหรือ” หลินสวินถาม


“ร้ายกาจมาก”


แม่นางเยวี่ยพยักหน้า “คนผู้นี้นับว่าพรสวรรค์โดดเด่น ติดตามฝึกปราณข้างกายสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่งแต่เด็ก ทั้งเคยได้รับการชี้แนะจากอริยะผู้หนึ่งด้วยตนเอง พูดได้ว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุคสมัย ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพา”


“เทียบกับอวี่หลิงคงเป็นอย่างไร”


“ไม่แน่ชัด ข้าแค่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามาส่วนหนึ่ง ไม่ได้รู้ชัด ทว่าภายใต้ชื่อเสียงก็ใช่ว่าจะไร้ความจริง หากพบเจอเขาที่นี่คงต้องระวังหน่อย โดยทั่วไปข้างกายบุคคลแห่งยุคเช่นนี้ต้องมียอดฝีมือคอยคุ้มกันแน่”


หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย


พวกเขาเข้าไปยังส่วนลึกของพื้นที่นี้ต่อ


ผ่านไปครึ่งชั่วยาม


ทันใดนั้น พลันก้องเสียงตะโกนโหวกเหวกขึ้นแต่ไกล


ก็เห็นที่ห่างออกไปผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ตามหมียักษ์สีเงินตัวหนึ่ง


หมียักษ์สีเงินนั่นทรงพลังยิ่ง พลานุภาพน่าพรั่นพรึง ขนทั่วร่างเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัส ตบฝ่ามือหนึ่งซัดห้วงอากาศแหลกละเอียด


“ทุกคนลุยพร้อมกัน อย่าให้มันหนีได้เด็ดขาด เจ้าเดรัจฉานนี่เพิ่งกลืนศิลาอุกกาบาตขนาดราวพัดใบตาลลงไป เป็นสมบัติชั้นยอด ต้องรีบเร่งฆ่ามันซะ!” มีคนคำราม


เมื่อกล่าวถึงศิลาอุกกาบาต สายตาทุกคนเจิดจ้าขึ้นทันใด


ยิ่งเป็นศิลาอุกกาบาตคุณภาพสูง สมบัติที่ผ่าออกมาก็ยิ่งล้ำค่าและหายาก ยิ่งเป็นศิลาอุกกาบาตชั้นเลิศขนาดราวพัดใบตาล สมบัติที่ผ่าออกมาไม่ว่าเป็นอะไรต้องสามารถขายได้ราคาสูงลิ่ว!


“โฮก…”


ทว่าเหนือความคาดหมายของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น หมียักษ์สีเงินนั่นถูกยั่วโทสะโดยสิ้นเชิง ไม่หลบหนีอีก แต่เปิดฉากจู่โจมกลับ


เหตุการณ์ต่อมายิ่งทำเอาทุกคนใจหาย เงาร่างหมียักษ์สีเงินนั่นกลายเป็นสูงร้อยจั้งในชั่วพริบตา ดุจภูเขายักษ์สีเงินลูกหนึ่ง!


พรูดๆ


แขนมันวาดสะบัด กวาดห้วงอากาศดั่งเสาเหล็กกวาดล้างฟ้าดิน แค่ชั่วพริบตาก็ซัดร่างผู้แข็งแกร่งหลายคนจนแหลก กลายเป็นฝนโลหิตซ่านเซ็น


“ไม่ดีแน่ รีบหนีเร็ว!”


“น่าชังนัก! เจ้าเดรัจฉานนี่ทำไมเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นกะทันหัน”


“มันกำลังหลอกลวง เมื่อครู่จงใจแสร้งอ่อนแอ!”


เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เหลือตระหนกระคนขุ่นเคือง ลนลานหมายหลบหลีก


กลับเห็นหมียักษ์สีเงินนั่นกู่ร้องสะท้านฟ้า เปิดฉากโต้กลับและเข่นฆ่า


มองจากที่ห่างไกล ประหนึ่งภูเขาใหญ่สีเงินกำลังเคลื่อนไหว เมื่อใดที่ผู้แข็งแกร่งถูกมันตามทัน ต่างไร้ทางรอด ร่างถูกซัดยับเยิน


กระทั่งสุดท้ายมีแค่ผู้แข็งแกร่งบางตาเจ็ดแปดคนรอดชีวิต คนอื่นล้วนไม่รอด ซากศพเกลื่อนแม่น้ำ


ฮูม…


เมื่อไร้คู่ต่อกร เงาร่างหมียักษ์สีเงินนั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นขนาดเท่าตัวคน อ้าปากพ่นศิลาอุกกาบาตสีเงินก้อนหนึ่งออกมา


“ฮึ พวกหน้าโง่กลุ่มหนึ่ง ยังคิดหวังอยากได้ของที่ข้าอมไว้ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเองรึ” หมียักษ์สีเงินนั่นหน้าตาปรามาส ปากบ่นไม่หยุด


“เจ้าหมอนี่ดูไปแล้วหยาบกระด้าง ไม่คิดว่าจะเจ้าเล่ห์เช่นนี้” ห่างออกไป แม่นางเยวี่ยประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าหมียักษ์สีเงินจะตีหน้าซื่อ เมื่อครู่เห็นชัดว่าจงใจทำตัวอ่อนแอ ขุดหลุมดักผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก


“ไป ลองไปดูกัน” ยามหลินสวินกล่าวก็ออกเคลื่อนไหว


“ใคร!?” หมียักษ์สีเงินระวังตัว อ้าปากกลืนศิลาอุกกาบาตนั่นลงท้องอีกครา จากนั้นจึงถลึงตาจ้องหลินสวินที่เข้ามาใกล้อย่างเหี้ยมเกรียม


“เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดาราหรือสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้?” หลินสวินประเมินอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ


หมีขาวตัวยักษ์ขนผิวทั้งตัวเรียบนุ่มสลวย เปล่งประกายขาวดุจหิมะ ร่างท้วมกำยำยิ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ มีกลิ่นอายป่าเถื่อนพุ่งปะทะเข้ามา


“ข้า…”


หมียักษ์สีเงินเพิ่งหมายจะตอบ ลูกตาพลันหมุนวนรอบหนึ่ง เปลี่ยนคำพูดใหม่ แค่นเสียงเย็นชากล่าว “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”


“หากเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดารา เช่นนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกฆ่า” หลินสวินกล่าวราบเรียบ


หมียักษ์ขาวเงินตะลึงกล่าว “หากข้าไม่ใช่ล่ะ”


“ก็ต้องตายเช่นกัน”


หลินสวินลูบคาง จ้องอุ้งตีนจ้ำม่ำของมันแล้วกล่าว “ข้ายังไม่เคยชิมอุ้งตีนหมีมาก่อน ไม่รู้รสชาติจะเป็นอย่างไร”


“พูดไปพูดมา สรุปข้าก็ตายอยู่ดี?” หมียักษ์ขาวเงินโกรธจัด อานุภาพดุดัน


“นั่นก็ต้องดูว่าเจ้าให้ความร่วมมือหรือไม่” หลินสวินยิ้มกล่าว “ตัวอย่างเช่น นำศิลาอุกกาบาตในท้องเจ้า…”


พูดไม่ทันจบหลินสวินก็อึ้งงัน เพราะชั่วพริบตานี้ หมียักษ์ขาวเงินนั่นพลันหนีหายไปราวหมอกควัน!


“ฮ่าๆๆ เจ้าหน้าโง่! คิดว่าข้าจะโง่เหมือนเจ้ารึ หากไม่รู้สึกว่าเจ้าอันตรายอยู่บ้าง ข้าคงซัดฝ่ามือฆ่าเจ้าไปนานแล้ว!”


ห่างออกไป แว่วเสียงหัวเราะลั่นของหมียักษ์ขาวเงินนั่น ดูได้ใจและสับปลับอย่างเห็นได้ชัด


ยามที่คิดจะไล่ตาม อีกฝ่ายก็หนีหายไร้ร่องรอยไปแล้ว เงาร่างหายไปในห้วงอากาศไพศาล


หลินสวินมุมปากกระตุกอย่างยากสังเกตเห็น เขาอึ้งตะลึงเช่นกัน ความเร็วในการหนีของหมีขาวยักษ์น่าตื่นตะลึงหาใดเปรียบ แทบจะเทียบได้กับการเคลื่อนย้ายในพริบตา น่าอัศจรรย์นัก


มองไกลออกไปอีก พวกแม่นางเยวี่ยต่างกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าพิลึกพิลั่น ใครเล่าจะคาดคิด เทพมารหลินที่ป่าเถื่อนหาใดเปรียบจะยอมจำนนต่อหน้าหมีขาวยักษ์ตัวหนึ่ง?

 

 

 


ตอนที่ 969 แหล่งกำเนิดวิญญาณ

 

หลินสวินเห็นดังนี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะทั้งโกรธและอาย ปล่อยให้หมีโง่ตัวหนึ่งหนีไปได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่บ้าง


เพียงแต่เมื่อมาไตร่ตรองโดยละเอียด ก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกขึ้นอีก


หมียักษ์สีเงินยวงตัวนั้นดูเหมือนไม่สะดุดตา แต่กลับทำให้ส่วนลึกในจิตใจเขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่กันแน่


เหมือนกับว่า ภายในร่างของหมีขาวตัวนี้มีพลังอันน่ากลัวถึงที่สุดจำศีลอยู่ ทันทีที่ปะทุออกมาก็จะปลดปล่อยอานุภาพทำลายล้างที่ไม่อาจคาดคะเนได้


ช่างร้ายกาจเสียจริง!


หลินสวินสายหัวน้อยๆ ไม่คิดอะไรอีก


กลุ่มพวกเขาเดินหน้าต่อไป ระหว่างทางบรรยากาศยิ่งเงียบสงัดยิ่งขึ้น ในห้วงอากาศมีแต่รัศมีดาราสีเงินไหววูบคลุมเครือ พลิ้วไหวเหนือความคาดหมายหาใดเทียบ


ขวับ!


ไม่นานนักสัตว์ปีศาจอีกตัวก็กระโจนออกมา มันเป็นแมงมุมหมาป่ามหึมาตัวหนึ่ง ทั้งตัวแวววาวเปล่งแสงสีเงิน ขนาดราวสิบกว่าจั้ง มีขาหนาแน่นขนัด ขาปล้องแหลมคมส่องสว่างราวดาบ


มันแข็งแกร่งนัก แผ่ไอโหดเหี้ยมน่าตื่นตระหนกออกมา ยามเคลื่อนไหวตัดผ่านท้องนภา ขาใหญ่แต่ละขาไหวโบกประหนึ่งดาบยาวเจิดจ้าราวหิมะเล่มแล้วเล่มเล่ากำลังแกว่งไกว ตัดห้วงอากาศขาดออกเป็นเส้นๆ


การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หลินสวินพุ่งขึ้นไปประลองกับมัน ที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือ อาศัยเพียงพลังหมัดและลูกเตะ กลับไม่อาจทลายการป้องกันของแมงมุมหมาป่าสีเงินตัวนี้ได้!


อีกทั้งขาปล้องของมันเหมือนดาบ สีเงินยวงส่องสว่าง แข็งแกร่งเกินต้านทาน พลังสังหารน่ากลัวถึงที่สุด


ตามที่หลินสวินคาดคะเน แค่ในแง่ของพลังต่อสู้ อย่างน้อยแมงมุมหมาป่าสีเงินตัวนี้ก็ไม่ด้อยกว่าบุคคลแห่งยุคในปัจจุบันเหล่านั้น!


นี่ก็น่าเหลือเชื่อนัก และยิ่งทำให้พื้นที่แถบนี้ดูยิ่งลี้ลับและน่ากลัวขึ้น


ในที่สุดหลินสวินก็เรียกดาบหักออกมา ถึงได้ฟันแมงมุมหมาป่าสีเงินตัวนั้นตาย จากนั้นก็เก็บศพมันมา


แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง ระหว่างทางต่อมามีสัตว์ปีศาจพุ่งออกมาตลอด ทั้งสุนัขพยัคฆ์สีเงิน งูพิษ แรดภูเขาเป็นต้น


เห็นได้ชัดว่าสัตว์ปีศาจเหล่านี้ไม่ใช่สัตว์ในดินแดนรกร้างโบราณ ควรเรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดาราถึงจะถูก พลังที่แท้จริงของแต่ละตัวแข็งแกร่งขึ้นไปทุกที ตัวที่อ่อนแอที่สุดยังร้ายกาจกว่าผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติชั้นหนึ่งในปัจจุบันเสียอีก!


ถึงขั้นที่ว่า งูพิษมหึมาซึ่งมีร่างยาวพันจั้งตัวนั้นที่หลินสวินได้เจอ พลังที่แท้จริงต้องอยู่ในระดับราชันกึ่งระดับแน่ ยามพิโรธมีพลังราวพายุคลั่ง ฟ้าถล่มดินแตกระแหง ดุดันหาใดเทียบ


ยามโจมตีฝ่ายตรงข้าม ทำให้หลินสวินก็ลำบากไม่น้อย


จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วยาม หลินสวินฟาดฟันสัตว์ประหลาดฟ้าดาราทำนองเดียวกันนี้ไปแล้วสิบกว่าตัว เพียงแต่ที่ทำให้เขาสงสัยก็คือ เขากลับไม่เจอคู่ต่อสู้ที่นำพากลิ่นอายอันตรายมาให้เขาเหมือนหมียักษ์สีเงินยวงตัวนั้นอีก


ในที่สุดพวกหลินสวินก็เห็น ‘ทะเลสาบสีเงิน’ ที่เด็กหนุ่มเผ่าปีกอสนีผู้นั้นพูดถึง


นั่นเป็นทะเลสาบที่เรียกได้ว่าอัศจรรย์แห่งหนึ่ง ถูกเกาะเล็กเกาะน้อยรายล้อม น้ำทะเลสาบมีสีเงินบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์


เมื่อทอดสายตามองไปก็ดุจดั่งแสงดาราทั้งทะเลสาบกำลังโคจร งดงามถึงที่สุดราวภาพนิมิตมายา


‘โดดเด่นเหนือธรรมดาดังคาด’ พวกหลินสวินต่างทอดถอนใจในใจ


“เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนั่นพูดว่า ใต้ทะเลสาบแห่งนี้มีศิลาอุกกาบาตที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานก้อนหนึ่งซ่อนอยู่หรือ ยังพูดด้วยว่ามีขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก” โค่วซิงดวงตาลุกวาว สังเกตใต้น้ำของทะเลสาบนั้น


“ทุกคนระวังนะ ใกล้กันนี้มีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยซ่อนตัวอยู่”


จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ขยาย ชั่วพริบตาก็จับได้ว่าบนเกาะเล็กเกาะน้อยมีกลิ่นอายแกร่งกล้ามากมายซุ่มซ่อนอยู่


ที่ทำให้เขาตกใจคือ ภายในนั้นมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันกึ่งระดับไม่ขาด อีกทั้งยังมีจำนวนมาก แต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติกลับมีน้อยนัก


ทว่านี่ก็สมเหตุสมผล ผู้ที่สามารถมาถึงที่นี่ได้จะเป็นคนธรรมดาได้หรือ คราวนี้ถ้าไม่มีเขาเป็นแกนหลัก เพียงอาศัยความสามารถของพวกโค่วซิงก็ไม่อาจมาถึงที่นี่ได้เลย


“แปลก ในเมื่อเจ้าพวกนี้มาถึงแล้ว เหตุใดกลับไม่เห็นว่ามีใครเคลื่อนไหวล่ะ” พวกโค่วซิงก็รู้สึกได้ว่าออกจะไม่ชอบมาพากล


“ง่ายมาก พวกเขาต่างกำลังรอโอกาสดีที่สุด ไม่มีใครต้องการไปตายเป็นคนแรกหรอก”


ดวงตากระจ่างของแม่นางเยวี่ยสดใส แววตาฉลาดเฉลียวไหววูบ “จากจุดนี้ก็สันนิษฐานได้ว่าในทะเลสาบสีเงินแห่งนี้ต้องมีอันตรายใหญ่หลวงซ่อนอยู่ ทำให้ราชันกึ่งระดับเหล่านั้นต่างต้องระมัดระวังรอบคอบ ไม่กล้าเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ”


“ไม่ต้องสนใจพวกเขา ประเดี๋ยวพวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะวางค่ายกลใหญ่ปกป้องพวกเจ้าไว้ จากนั้นจะลองไปดูความพิกลในทะเลสาบแห่งนี้คนเดียว”


หลินสวินพลันเอ่ยปาก ส่วนลึกในดวงตาฉายแววประหลาดยากสังเกตเห็น


เพราะในตอนนี้เอง ‘เสี่ยวอิ๋น’ ที่ถูกเขาคุมขังให้หันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิดในห้วงนิมิตมาตลอดกลับตื่นเต้นหาใดเทียบ นี่ดูผิดปกตินัก!


“ตัวเจ้าเองจะไม่เสี่ยงอันตรายไปหน่อยหรือ” แม่นางเยวี่ยออกจะเป็นห่วง “อย่าลืมนะ ใกล้กันนี้มีพวกร้ายกาจไม่น้อยซ่อนอยู่ แม้เจ้าจะได้ของจากใต้ทะเลสาบมา แต่ขอเพียงกลับมา จะต้องถูกพวกเขาโจมตีแน่!”


วาจาเช่นนี้ย่อมเป็นการเตือนหลินสวินให้ระวังตั๊กแตนไล่จับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง


“ข้าเข้าใจดี ต่อให้ประสบอันตราย แต่ข้าก็ยังมีทางหนีทีไล่อยู่ไม่ใช่หรือ” หลินสวินยิ้มพูด ยามเอ่ยปากเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ธงกระบวนสำริดผืนแล้วผืนเล่าซัดสาดออกมา แล้วพุ่งเข้าไปในห้วงอากาศแห่งนี้


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็ปูกระบวนผนึก ‘จตุลักษณ์ราชัน’ ขึ้นมา


ในขณะเดียวกัน หลินสวินนำแผ่นจานกระบวนกับถุงเก็บของที่บรรจุแกนวิญญาณขั้นสูงไว้จนเต็มส่งให้แม่นางเยวี่ย สิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นค่ายกลใหญ่


ทันทีที่ประสบอันตราย เพียงต้องควบคุมแผ่นจานกระบวนและใช้พลังของแกนวิญญาณสนับสนุน ก็สามารถกระตุ้นกระบวนผนึกทั้งกระบวนได้


“ตอนนี้ข้าออกจะตั้งหน้าตั้งตารอให้มีเจ้าคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือบางคนบุ่มบ่ามมาหาที่ตาย ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะสามารถปล้นทรัพย์หลังศึกได้บ้าง อย่างไรเสียเจ้าพวกนั้นก็มาถึงที่นี่อยู่ก่อนแล้ว เป็นไปได้สูงว่าจะขุดศิลาอุกกาบาตไปแล้วไม่น้อย” แม่นางเยวี่ยพูดพลางแย้มยิ้ม


พวกโค่วซิงต่างก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


ในเวลาเดียวกันนี้หลินสวินออกเคลื่อนไหว เข้าประชิดทะเลสาบสีเงินแห่งนั้นไปโดยลำพังแล้ว


เขาดูคล้ายเดินเล่นในสวน ท่วงท่าผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วพลังรอบกายเตรียมโจมตีไว้ก่อนแล้ว ตัวเขาเหมือนสายธนูที่ง้างจนตึง พร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ!


กระทั่งมาถึงริมทะเลสาบหลินสวินถึงได้หยุดเดิน


‘เสี่ยวอิ๋น เจ้าไม่รู้สึกว่าตอนนี้พวกเรามาคุยกันได้แล้วหรือ’ หลินสวินเอ่ยปากเนิบนาบในห้วงนิมิต


ตั้งแต่มาถึงริมทะเลสาบสีเงินแห่งนี้ เสี่ยวอิ๋นก็ดูตื่นเต้นอย่างผิดธรรมดา แต่เมื่อได้ยินวาจาของหลินสวินมันก็เยือกเย็นลงทันที แล้วพูดว่า ‘นายท่าน ท่านคิดอะไรไม่ดีขึ้นมาอีกแล้วหรือ ท่านตัดใจเถอะ ข้าจะไม่ติดกับท่านอีกแล้ว ข้าจะไม่ให้ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของข้าถูกเหยียบย่ำอีก ต่อให้เป็นท่าน ก็ไม่ได้!’


หลินสวินแทบจะสำลักตายเพราะประโยคนี้ ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ‘เจ้าตัวจ้อย ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ ยังคิดจะขบถอีกหรือ ให้เจ้าทบทวนหลายวันมานี้ ก็ได้ผลเช่นนี้ออกมาหรือ’


‘นายท่าน ข้าไม่ได้ผิด ท่านผิดต่างหาก คราวก่อนไม่น่าหลอกข้าอย่างใจดำไร้ความปรานีเช่นนั้นเลย ถ้าท่านไม่ขอโทษข้าก็จะไม่อภัยให้ท่านหรอก’ เสี่ยวอิ๋นดื้อรั้น ไร้เหตุผลเหมือนเด็กคนหนึ่ง


หลินสวินหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยเห็นหนอนกินเทพที่เย่อหยิ่งอวดดีเช่นนี้มาก่อน ปากเอาแต่เรียกว่านายท่าน แต่กลับไม่เชื่อฟังสักนิด!


‘ได้ ข้าขอโทษเจ้าก็ได้ เรื่องคราวก่อนข้าออกจะทำไปโดยขาดการไตร่ตรองไปบ้างจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าทำเพื่อให้เจ้ายังอยู่ข้างข้าหรือ เจ้าน่าจะเข้าใจความเอาใจใส่ของข้า ไม่ใช่เลือกต่อต้านข้าสิ’ หลินสวินถอนหายใจ สั่งสอนเจ้าตัวจ้อยแสนเย่อหยิ่งผู้นี้อย่างจริงใจ


‘ยังจริงใจไม่พอ’ เสี่ยวอิ๋นตอบกลับเสียงแข็ง


‘เจ้า…’ หลินสวินเริ่มโกรธ กำลังจะสั่งสอนเจ้าตัวจ้อยที่ไม่เชื่อฟังตัวนี้ให้ดี ก็ได้ยินเสี่ยวอิ๋นพลิกลิ้น ‘แต่ว่า ข้าให้อภัยท่านแล้ว’


ทันใดนั้นหลินสวินก็ทำเสียงอู้อี้แล้วพูดว่า ‘อย่างนี้สิถึงดี’ ความโกรธก็หายไปพร้อมกันด้วย


เสี่ยวอิ๋นเหมือนเด็กจริงๆ หลังจากเอ่ยว่าให้อภัยแล้วก็เหมือนคลายปมในใจจนสิ้น พูดอย่างตื่นเต้นว่า ‘นายท่าน ที่นี่มีแหล่งกำเนิดวิญญาณแกร่งกล้าดำรงอยู่ ถ้าเอามันมาได้ จะสามารถทำให้ข้าเลื่อนขั้นได้ขั้นหนึ่ง เติบโตถึงขั้นที่สามได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนั้นข้าก็จะสามารถลอกคราบจากร่างแมลงแล้วแปรสภาพกลายเป็นร่างมนุษย์!’


‘แหล่งกำเนิดวิญญาณหรือ’ ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง


‘ใช่ แหล่งกำเนิดวิญญาณที่บริสุทธิ์และแกร่งกล้ามากก็ซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้’


เสียงของเสี่ยวอิ๋นเจือไปด้วยความหวัง ‘นายท่าน หรือท่านไม่อยากให้ข้าเลื่อนขั้น ถ้าสามารถลอกคราบกลายเป็นร่างมนุษย์ได้ ตอนนั้นข้าก็จะสามารถปลุกพลังพรรสวรรค์สายเลือด สามารถฝึกวิชาลับมรดกของเผ่าหนอนกินเทพของข้าได้!’


หลินสวินจิตใจไหวสะท้าน ตอนนี้ถึงรับรู้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเหมือนจะประเมินพลังแฝงของเสี่ยวอิ๋นต่ำไป เจ้าตัวนี้เป็นถึงหนอนวิเศษที่อยู่ในสิบอันดับแรกของยุคบรรพกาล ทั้งตอนนี้ยังครอบครองพลังแฝงที่จะกลายเป็นราชัน หากสามารถปลุกวิชาลับพรสวรรค์ขึ้นมาได้จะต้องยิ่งแข็งแกร่งขึ้นแน่!


‘นี่เจ้ากำลังขอข้าหรือ’ หลินสวินเบิกบานใจนัก คิดว่าตนมีแต้มต่อ


‘นายท่าน นี่เป็นหน้าที่ที่ท่านควรทำให้เสร็จสิ้น’ เสี่ยวอิ๋นเอ่ยอย่างจริงจัง


หลินสวินหน้าเจื่อน เจ้าตัวจ้อยนี่ตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว แสดงความอ่อนข้อแม้สักนิด ทำดีกับตนเสียหน่อยไม่เป็นหรือไงนะ


‘นายท่าน เผ่าหนอนกินเทพของข้าหยิ่งทระนงโดยกำเนิด ไม่เคยทำเรื่องไร้ยางอายและประจบพลอเหล่านั้น ภายหน้าขอท่านให้เกียรติข้าบ้าง’ เสี่ยวอิ๋นจริงจังหนักแน่น


หลินสวินถูกเจ้าตัวจ้อยนี่เอาชนะอย่างราบคาบ แม้แค้นจนกัดฟันกรอด หมายจะจัดการเจ้าตัวจ้อยนี่สักตั้ง แต่ในที่สุดก็อดทนไว้ได้


ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นหนอนกินเทพอยู่ดี อีกทั้งยังเป็นตัวอ่อนหนอนราชัน ในยุคบรรพกาลก็ชื่อเสียงระบือใต้หล้าแล้ว อย่างไรก็ต้องให้เกียรติ…


‘ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปในทะเลสาบ เจ้ามานำทาง จะได้พลังแหล่งกำเนิดวิญญาณนั้นมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว’ หลินสวินสลัดความคิดฟุ้งซ่าน พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม


‘อื้ม!’ เสี่ยวอิ๋นพยักหน้าอย่างรุนแรง


คราวนี้หลินสวินถึงได้ชื่นใจ ในใจลอบพึมพำว่าถ้าปกติเชื่อฟังอย่างนี้ก็คงดีมาก…


เด็กหนุ่มไม่ร่ำไร เตรียมออกเคลื่อนไหวแล้ว


เงาร่างของเขาวูบไหว กระโจนขึ้นไปในอากาศ ก่อนเคลื่อนไปที่กลางทะเลสาบสีเงินอย่างระมัดระวัง


“เจ้าเด็กนั่นในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว!”


“เด็กนี่ก็ไม่รู้เป็นศิษย์สำนักไหน ความตายมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัวอีก กระทำการอย่างบ้าบิ่นและหุนหันพลันแล่นไปแล้ว”


“เช่นนี้จะไม่ยิ่งดีหรือ สัตว์ปีศาจที่ก้นทะเลสาบตัวนั้นน่ากลัวหาใดเทียบ หลายวันมานี้ไม่รู้กลืนกินผู้แข็งแกร่งไปกี่คนแล้ว ถ้าเด็กนี่ดึงดูดความสนใจของสัตว์ปีศาจนั่นไว้ได้ พวกเราก็สามารถฉวยโอกาสนี้ชิงศิลาอุกกาบาตก้อนนั้นมาอยู่ในมือได้แล้ว!”


“เหอะๆ อายุน้อยเลยไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ นะ”


บนเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบมีผู้แข็งแกร่งมากมายซ่อนตัวอยู่


เมื่อเห็นหลินสวินเคลื่อนไหว พวกเขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปต่างๆ กัน บ้างหัวเราะเยาะ บ้างครุ่นคิด บ้างเวทนา บ้างมีความสุขที่เห็นผู้อื่นลำบาก


ในขณะเดียวกัน พวกแม่นางเยวี่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันกลับตื่นตระหนกอย่างเลี่ยงไม่ได้ จ้องเขม็งไปที่เงาร่างของหลินสวิน เพียงกลัวว่าเขาจะหายตัวไป

 

 

 


ตอนที่ 970 เหวี่ยงเหยื่อ

 

หลินสวินระมัดระวัง ทะยานเข้าใกล้ท้องฟ้าสูง จิตรับรู้แผ่ขยายออกไป ระแวงระไวรอบทิศ


จากนั้นเขาก็เริ่มนำศพออกมาจากแหวนเก็บของ


อย่างแรกเป็นซากศพของตัวนิ่มตัวหนึ่งถูกเขาทิ้งลงไป พื้นผิวทะเลสาบที่สงบนิ่งอยู่เดิมมีฟองคลื่นสีเงินลูกแล้วลูกเล่ากระเซ็นขึ้นมา


“เจ้าเด็กนี่ก็ฉลาดดี รู้จักใช้เลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราเป็นเหยื่อล่อไปดึงดูดความสนใจของสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรนั่น” คนใหญ่คนโตไม่น้อยลอบออกความเห็นอย่างลับๆ


“ตัวนิ่มนั่นข้าเคยเห็นมาก่อน พลังต่อสู้โหดเหี้ยมดุดันถึงที่สุด ผู้มีระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปเป็นคู่ต่อสู้ไม่ได้เลย คิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กนี่ฆ่าเสียแล้ว!”


“พอสันนิษฐานทีละขั้น สาเหตุที่เจ้าเด็กนี่ไม่หวั่นเกรงก็เพราะมีความมั่นใจ น่าเสียดายนะ เขายังเด็กไปนัก ไม่รู้ว่าสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรที่อยู่ใต้ทะเลสาบนั่นน่ากลัวปานไหน”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างลับๆ


แม้ความสามารถของหลินสวินทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ยังคิดว่าเด็กหนุ่มต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยดังเดิม


“เอ๋ เจ้าเด็กนี่มีความสามารถมากนะ ยังล่าแมงมุมหมาป่าเงินยวงตัวหนึ่งได้ด้วย นี่ก็เป็นถึงสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่น่ากลัวตัวหนึ่ง!”


ไม่นานนักทุกคนต่างงุนงง ด้วยพบว่าหลินสวินนำศพแมงมุมหมาป่าเงินยวงที่ใหญ่สิบกว่าจั้งตัวหนึ่งออกมาแล้วทิ้งลงไปในน้ำทะเลสาบ


“แมงมุมหมาป่าตัวนี้ข้าเคยเห็นมาก่อน เคยฆ่าผู้แข็งแกร่งไปไม่น้อย บ้าเลือดและวิปริต แม้แต่ผู้มีฝีมือชั้นยอดในระดับกระบวนแปรจุติยังไม่กล้าต่อกรกับสัตว์ร้ายตัวนี้!”


“หรือเด็กคนนี้จะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงของขุมอำนาจใหญ่บางกลุ่ม”


ทันใดนั้นสายตาที่ผู้แข็งแกร่งมองไปที่หลินสวินก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว รับรู้ได้ว่านี่อาจจะเป็นบุคคลผู้น่าตื่นตาคนหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์


พวกเขาเก็บความคิดสบประมาทดูแคลนลงไปไม่น้อยโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


“ไม่ถูกสิ โยนศพสัตว์ปีศาจลงไปสองตัวแล้ว ตามประสบการณ์ก่อนหน้านี้ สัตว์ปีศาจตะพาบมังกรที่อยู่ก้นทะเลสาบนั่นน่าจะตื่นจนปรากฏตัวมานานแล้วสิ แต่เหตุใดจนตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหวล่ะ”


มีคนสงสัย ภาพนี้ผิดปกตินัก


ผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็พบความไม่ชอบมาพากล ออกจะลังเลไม่แน่ใจ ฉงนใจไม่แน่นอน


‘หรือว่าจะรังเกียจที่เหยื่อไม่พอ’ หลินสวินออกจะไม่เข้าใจเช่นกัน เขายืนอยู่เหนือท้องฟ้าสูง ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเริ่มทิ้งศพอีกครั้ง


และเมื่อสังเกตเห็นภาพนี้ ไม่ว่าจะเป็นราชันกึ่งระดับที่กระจายตัวอยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยใกล้ๆ กัน หรือมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติเหล่านั้น ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง สูดลมหายใจเยียบเย็นไม่ว่างเว้น


สัตว์ประหลาดฟ้าดาราสุนัขพยัคฆ์!


สัตว์ประหลาดฟ้าดาราแรดภูเขา!


สัตว์ประหลาดฟ้าดาราตั๊กแตนเปลือกเงิน!


……


สัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่เรียกได้ว่าบ้าเลือดวิปริตตัวแล้วตัวเล่า เวลานี้กลับถูกเด็กหนุ่มผู้นั้นทิ้งลงมาจากมือลงสู่ทะเลสาบ


น้ำทะเลสาบเริ่มถาโถมซัดสาดอย่างรุนแรง ฟองคลื่นสีเงินชั้นแล้วชั้นเล่ากระเซ็นออกมา ภาพนั้นดูแล้วมีความสุนทรีย์อันงดงาม


แต่เมื่อเข้าสู่สายตาของเหล่าผู้แข็งแกร่ง ทัศนียภาพนั้นก็เจือไปด้วยแรงสั่นสะท้านเป็นพิเศษ เกิดภาพติดตาอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาแทบงงงวย


“นี่มัน… จะวิปริตไปแล้วกระมัง สัตว์ประหลาดฟ้าดาราสิบกว่าตัวเชียวนะ เป็นเขาคนเดียวฆ่าตายจริงๆ หรือ”


“เดี๋ยวๆ! คุณชายน้อยผู้นี้เป็นคนร้ายกาจคนหนึ่งชัดๆ เลยนะ ข้าสงสัยว่าแม้แต่บุคคลแห่งยุคในหมู่คนรุ่นเยาว์ยุคปัจจุบันยังไม่มีใครเก่งกล้าได้เท่าเขา!”


“บ้าเอ๊ย! คราวนี้กลับดูผิดไปแล้ว!”


ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ลับๆ ล้วนกำลังเต้นผาง ต่างหวั่นกลัวเข้าแล้ว


ก่อนหน้านี้พวกเขายังดูแคลนการเคลื่อนไหวของหลินสวินถึงที่สุด คิดว่าไม่ต่างอะไรกับไปตาย ดังนั้นจึงล้วนคิดว่าหลินสวินอ่อนวัยและหุนหันพลันแล่นเกินไป รนหาที่ตาย ทั้งไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ


แต่ตอนนี้พวกเขาเพียงรู้สึกแก้มร้อนผ่าว เหมือนถูกคนตบหน้าเข้าอย่างรุนแรงโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง รับรู้ได้ว่าตนมองผิดไปแล้ว


นี่เป็นการไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำเสียที่ไหน เป็นมังกรดุดันตัวหนึ่งกำลังข้ามนทีชัดๆ!


โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าหลินสวินนำงูพิษที่ยาวถึงพันจั้งตัวหนึ่งออกมา ผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันเหล่านั้นก็ไม่อาจสงบใจได้แล้ว แต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาแทบถลนออกมา


พวกเขาจำได้ว่างูพิษตัวนี้เป็นตัวร้ายกาจในหมู่สัตว์ประหลาดฟ้าดาราแน่นอน ยามอาละวาดมีพลังราวพายุคลั่ง ฟ้าถล่มดินแตกระแหง ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ของมันย่อมไม่ต่ำกว่าราชันกึ่งระดับ!


แต่ตอนนี้…


กลับกลายเป็นศพศพหนึ่ง และไม่รู้ด้วยว่าถูกฆ่าตายเช่นไร บนร่างยาวพันจั้งนั้นมีแต่รอยแผลแตกระแหงน่าขนลุก น่าตื่นตระหนกเมื่อได้เห็น


จากนั้น ศพงูพิษที่มีระดับกึ่งราชันก็ถูกหลินสวินทิ้งลงไปในทะเลสาบเหมือนขยะ


เมื่อเห็นภาพนี้เข้า ราชันกึ่งระดับเหล่านั้นก็หนาวยะเยือกจากเบื้องล่างสุดของกระดูกสันหลัง อึดอัดไปทั้งกาย หากงูพิษตัวนี้ก็ถูกเด็กหนุ่มผู้นั้นฆ่าตายเช่นกัน จะไม่ได้หมายความว่าพลังต่อสู้ของเขาสามารถข้ามระดับไปฆ่าราชันกึ่งระดับได้หรือ


“นี่ต้องเป็นสัตว์ประหลาดน้อยที่มาจากสำนักโบราณสักแห่งแน่ มีความสามารถของผู้กล้าแห่งยุค หาไม่แล้วไม่มีทางแข็งแกร่งปานนี้ได้แน่!” ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งสีหน้าจริงจัง ในใจกระวนกระวายนัก


กระทั่งตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ลับๆ เหล่านั้นถึงได้รับรู้ว่า เด็กหนุ่มที่เคลื่อนไหวตามลำพังผู้นั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเขาคาดคิดไว้


“เตรียมตัวให้ดี คราวนี้มีเด็กหนุ่มผู้นั้นเยื้อยุดสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรที่อยู่ใต้ทะเลสาบนั่น ทำให้พวกเรามีโอกาสช่วงชิงศิลาอุกกาบาตก้อนนั้นได้มากยิ่งขึ้น!”


ทั้งมีคนตื่นเต้น รับรู้ได้ว่านี่เป็นโอกาสงามยิ่งครั้งหนึ่ง


คนอื่นๆ ใจเต้นขึ้นทันที


นั่นสิ เด็กหนุ่มนั่นแข็งแกร่งปานนี้ ไปล่อและฉุดรั้งสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรตัวนั้นได้พอดี พอเป็นเช่นนี้แล้ว เท่ากับสร้างโอกาสชิงสมบัติครั้งงามครั้งหนึ่งให้พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!


‘เจ้าหนุ่ม ต้องทำให้ดีนะ!’ ผู้แข็งแกร่งบางคนห้ามใจไม่ส่งเสียงให้กำลังใจหลินสวินไม่ได้ แน่นอนว่าอยู่ในใจ พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงร้อง เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น


แต่ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมากลับทำให้พวกเขาล้วนตกตะลึงใหญ่โต


หลังจากโยนศพสัตว์ประหลาดฟ้าดาราแล้ว บนผิวน้ำทะเลสาบสีเงินนั้นนอกจากจะมีฟองคลื่นสีเงินวาววับระลอกหนึ่งซัดขึ้นมา สุดท้ายก็กลับสู่ความเงียบเชียบ


ตั้งแต่เริ่มจนจบ เงาร่างของสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรตัวนั้นไม่ได้ปรากฏขึ้นเลย!


‘นี่…’


ขนาดหลินสวินยังงงงวยอึ้งไป ทำเช่นนี้ก็ไม่ได้หรือ


เกิดอะไรขึ้น


ในที่ลับตาผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นก็ฉงนใจไม่ว่างเว้น รับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่าด้านใต้ทะเลสาบสีเงินนี้ เกรงว่าจะเกิดตัวแปรบางอย่าง


“ไม่น่าเป็นเพราะเจ้าสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรตัวนั้นก็สังเกตเห็นความร้ายกาจของเด็กหนุ่มคนนั้น เลยตกใจจนไม่กล้าโผล่หัวขึ้นมากระมัง”


มีคนล้อเล่น แต่กลับดึงดูดสายตาที่มองมาอย่างโกรธเคืองกลุ่มหนึ่ง นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ถึงได้เล่นตลกบ้าๆ เช่นนี้อีก


ต่อให้เด็กหนุ่มคนนั้นร้ายกาจ แต่จะร้ายเกินกว่าสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรตัวนั้นหรือ


ที่ควรรู้ก็คือก่อนหน้านี้ สัตว์ปีศาจตะพาบมังกรตัวนั้นไม่ได้กลืนกินราชันกึ่งระดับไปเพียงคนเดียว น่าครั่นคร้ามไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ!


‘ดูท่า คงทำได้เพียงเสี่ยงเข้าไปสืบดูที่ใต้ทะเลสาบเสียแล้ว’ หลินสวินนิ่วหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจ


ทะเลสาบสีเงินแห่งนี้อัศจรรย์นัก สามารถกั้นขวางการสืบเสาะของจิตรับรู้ได้ ทำให้ผู้อื่นมองทะลุทัศนียภาพภายในจากข้างนอกได้ยาก


นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมก่อนหน้านี้หลินสวินไม่ต้องการเข้าไปในทะเลสาบ


แต่ตอนนี้เหยื่อล่อก็ใช้จนหมดแล้ว สัตว์ปีศาจตะพาบมังกรตัวนั้นยังไม่ถูกล่อลวงออกมาเหมือนเดิม นี่ทำให้หลินสวินก็จนปัญญา ทำได้เพียงเดินหน้าเสี่ยงตาย


สวบ!


ในที่สุดหลินสวินก็กัดฟัน เงาร่างพุ่งเข้าไปในน้ำทะเลสาบสีเงินนั่น แทบจะในพริบตาที่เข้าไปในน้ำ เขาก็เรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมา แสงสีทองอร่ามเรืองสาดส่องออกมาป้องกันทั้งร่าง


ที่นี่อันตรายนัก ทำให้เขาก็ไม่กล้าเลินเล่อ


ในขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ๆ ต่างสะท้านขวัญ คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะร้ายกาจเช่นนี้ กระโจนเข้าไปในทะเลสาบตรงๆ เสียแล้ว!


นั่นเป็นถึงอาณาเขตของสัตว์ปีศาจเชียวนะ! เขาไม่กังวลว่าจะถูกสัตว์ปีศาจตะพาบมังกรนั่นกลืนกินหรือ


“แดนชัยบูรพามีบุคคลแห่งยุคที่เหิมเกริมไม่กลัวเกรงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร” มีคนพึมพำ ออกจะเหม่อลอยอยู่บ้าง


“น่าเสียดาย เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปคงต้องประสบเคราะห์ และทำให้พวกเราเสียโอกาสที่จะเข้าไปชิงวาสนาด้วย” ทั้งมีคนเจ็บปวดใจ


“พี่เยวี่ย พี่หลินสวินจะได้รับอันตรายหรือไม่” ในกระบวนผนึก เสี่ยวเหออดไม่ได้เอ่ยปากถาม


“ไม่หรอก”


แท้จริงในใจแม่นางเยวี่ยก็ตึงเครียด เพียงแต่ปากกลับพูดพลางยิ้มว่า “พี่หลินสวินของเจ้าคนนี้เป็นถึงผู้เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ผู้คนในโลกขนานนามเขาว่าเทพมาร ทั้งแดนฐิติประจิมไม่รู้ว่าถูกเขาก่อคลื่นลมไปเท่าไรแล้ว เจ้าว่าเขาเก่งกาจหรือไม่”


ดวงตาของเสี่ยวเหอฉายแววเปล่งประกายไหววูบ พูดว่า “เก่งสิ! ก็ไม่รู้ว่าภายหน้า ข้าจะสามารถทำให้ผู้คนในโลกจำชื่อของข้าได้เหมือนอย่างพี่หลินสวินหรือไม่”


แม่นางเยวี่ยยิ้มละไมเอ่ยว่า “ขอเพียงเจ้าต้องการก็ต้องทำได้ แต่เจ้าอย่าเอาพี่หลินสวินของเจ้าเป็นเป้าหมายจะดีที่สุด”


“ทำไมล่ะ”


“เพราะว่า… คิดจะตามฝีเท้าของเขาให้ทัน… เป็นเรื่องยากมากๆ…” แม่นางเยวี่ยครุ่นคิดครู่ใหญ่ ถึงได้ตอบออกมาอย่างจริงจัง


“ยากแค่ไหน”


“รอเมื่อเจ้าประสบความสำเร็จบนหนทางมหามรรคอย่างเขาตอนนี้ก็จะเข้าใจเองล่ะ”


พูดถึงตรงนี้แม่นางเยวี่ยก็ถอนใจเฮือกหนึ่งในใจ นางรู้ดีว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์บนโลกนี้ ผู้ที่สามารถเดินตามหลินสวินได้ทันก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น


และคนที่สามารถอยู่บนวิถีแห่งมหามรรคและช่วงชิงความเป็นใหญ่ได้อย่างแท้จริง จะมีสักกี่คนกัน


ขนาดนางยังไม่อาจคาดเดาหรือประเมินได้


……


ในเวลาเดียวกัน ณ ก้นทะเลสาบสีเงิน


“กินๆๆ แม่งรู้จักแต่เรื่องกิน! มหันตภัยจะมาถึงตัวแล้วเจ้ายังกินอีก ไม่กลัวอืดตายหรือ!”


หมียักษ์สีเงินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ใช้อุ้งตีนหน้าซึ่งใหญ่เท่าพัดใบตาลตบลงไปบนตัวสัตว์ขนาดมหึมาตัวหนึ่งที่อยู่ข้างกันอย่างแรง


นั่นเป็นสัตว์ประหลาดที่รูปร่างคล้ายตะพาบเฒ่า แต่กลับมีหัวมังกร ร่างกายมีขนาดราวร้อยจั้ง เพียงแค่ตาคู่หนึ่งก็เหมือนแผ่นหินโม่ขนาดยักษ์แล้ว


มันหมอบอยู่ตรงนั้น ประหนึ่งทิวเขาลูกหนึ่ง บนร่างปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำคล้ำและเย็นยะเยือก ตอนนี้กำลังเคี้ยวกลืนแมงมุมหมาป่าสีเงินตัวหนึ่งอยู่ เขี้ยวสีขาวหิมะที่เรียวยาวราวกระบี่มีเลือดชโลมเต็มไปหมด กินอย่างเอร็ดอร่อย


อุ้งตีนของหมียักษ์สีเงินตัวนั้นตบลงไปบนเกล็ดที่อยู่บนร่างของมัน เสียงดังกระทบกัน เปล่งแสงปะทุไปรอบทิศ แต่กลับเหมือนทำให้มันจั๊กจี้ ไม่อาจทำให้มันหันเหความสนใจจากอาหารเลิศรสมาได้เลย


นี่ทำให้หมียักษ์สีเงินตัวนี้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง โมโหจนเต้นเร่าๆ หมายจะบีบคอเจ้านักกินตัวใหญ่ที่ไม่มีหัวคิดตัวนี้


“มองไม่เห็นหรือ ที่เจ้ากินเป็นเหยื่อที่เจ้าเด็กนั่นทิ้งลงมาทั้งนั้น! มันรอจะจับไอ้โง่อย่างเจ้าอยู่นี่ไง!” หมียักษ์เงินยวงคำราม


ในที่สุดตะขาบมังกรตัวนั้นก็เอ่ยปากอย่างอืดอาดแล้ว พูดเสียงอู้อี้ว่า “กลัวอะไร เขามาได้จังหวะพอดี ก็กินให้หมดเสียเลยก็ได้แล้ว”


มันพูดพลางเริ่มละเลียดอาหารต่อ คราวนี้ที่กินก็คือสุนัขพยัคฆ์ตัวหนึ่ง


หมียักษ์สีเงินโมโหจนควันออกหู อุ้งตีนหลังข้างหนึ่งเตะสุนัขพยัคฆ์ตัวนั้นกระเด็นออกไป จากนั้นก็จ้องไปที่ตะพาบมังกร กัดฟันพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าบอกแล้วไงว่าเขาไม่เหมือนกับคนอื่น!”


“มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ” อาหารถูกเตะออกไป ทำให้ตะพาบมังกรไม่พอใจนัก ยื่นปากใหญ่จะคาบอาหารกลับมา


“บนกายเขามีกลิ่นอายของเจ้าเฒ่าบ้านั่นอยู่!”


เมื่อหมียักษ์สีขาวเงินพูดคำนี้ออกมา ตะพาบมังกรที่เพิ่งกลืนอาหารเข้าไปในปากเหมือนถูกทำให้ตกใจ แข็งทื่อไปทั้งตัว แทบจะสำลักจนสลบไป

 

 

 


ตอนที่ 971 โลงน้ำแข็งจารึกแผนที่ดาว

 

ตะพาบมังกรเริ่มไออย่างรุนแรงขึ้นมา หยาดน้ำตาเกือบทะลักออกมา


แต่มันกลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ร่างมหึมาที่คลานอยู่บนพื้นไต่ขึ้นมาดังครืด กล่าวอย่างตึงเครียดว่า “เป็นเจ้าเฒ่าบ้าคนไหน”


ก่อนหน้านี้มันสงบนิ่งชนิดฟ้าผ่าไม่กระเทือน เพลิดเพลินกับอาหารอย่างสบาย รับฟังเสียงคำรามสนั่นกลัดกลุ้มของหมียักษ์สีขาวเงินอย่างสงบ เห็นได้ชัดว่าใจไม่อยู่กับร่องกับรอย


แต่ยามนี้กลับมีอาการไฟลนก้น ไม่สนใจจะกินอาหารแล้ว นัยน์ตาเบิกกว้างกลมโต มีอาการตกใจสะดุ้งโหยง สภาพก่อนและหลังต่างกันลิบลับ


แต่หมียักษ์สีขาวเงินกลับไม่ได้หัวเราะเยาะมัน เพราะขณะที่เอ่ยถึงเจ้าเฒ่าบ้าสามคำนี้ ในใจมันก็หนึกอึ้งผิดปกติเช่นกัน


“บนโลกใบนี้เจ้าเฒ่าบ้าที่สามารถทำให้เจ้ากับข้าตกใจจนมีสภาพเช่นนี้ยังมีคนที่สองด้วยหรือ” หมียักษ์ขาวเงินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าหงุดหงิดยิ่ง


เจ้าเฒ่าบ้าสามคำนี้ สำหรับมันแล้วก็เหมือนสิ่งต้องห้ามอย่างหนึ่ง ขอเพียงเอ่ยขึ้น ในใจก็จะบังเกิดความรู้สึกไหวสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้


“เขา… เขายังไม่ตายหรือ” ตะพาบมังกรมีอาการเหม่อลอย


“ตายกับผีน่ะสิ! คนพรรค์นั้น แม้แต่วัฏจักรฟ้าดาราอันไร้ขอบเขตก็ยังขวางไม่ให้เขาบ้าคลั่งไม่ได้ มีหรือจะตายง่ายๆ ขนาดนี้” หมียักษ์ขาวเงินกัดฟันกรอด สายตากลับเต็มไปด้วยความกริ่งเกรง


“เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”


ตะพาบมังกรเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมา ร่างกายมหึมายังสั่นเทิ้มน้อยๆ เกล็ดที่ปกคลุมตัวส่งเสียงดังกึกกัก


ในภาพจำของมัน เจ้าเฒ่าบ้านั่นก็คือบุคคลที่น่าสะพรึงจนไม่อาจจินตนาการได้!


“กลิ่นอายบนตัวเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเอกลักษณ์มาก ถึงแม้จะน้อยนิด ไม่ถึงแม้แต่หนึ่งในหมื่นส่วนของเจ้าเฒ่าบ้านั่นก็ตาม แต่ลับมีที่มาเดียวกันกับกลิ่นอายบนตัวเจ้าเฒ่าบ้านั่น!”


นัยน์ตาหมียักษ์สีขาวเงินไหววูบ “ข้าเคยสัมผัสกับเด็กหนุ่มคนนั้นในระยะประชิด เคยสัมผัสมาเองกับตัว ไม่มีทางผิดเป็นอันขาด!”


“เป็นกลิ่นอายแบบนั้นจริงๆ หรือ” ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวของตะพาบมังกรกำลังสั่นสะท้าน อาการเหมือนตกใจสุดขีด


นี่เห็นได้ชัดว่าตลกขบขันยิ่ง สิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่เคยเขมือบราชันกึ่งระดับตัวหนึ่ง เวลานี้กลับถูกทำให้ตกใจจนมีสภาพเช่นนี้เพียงเพราะกลิ่นอายอย่างหนึ่ง


หากถูกคนนอกเห็นเข้า เกรงว่าล้วนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองกันหมด


หมียักษ์ขาวเงินพยักหน้าเน้นหนัก


เวลานั้นมันเองก็ตกใจจนสติกระเจิง ถึงแม้รู้ทั้งรู้ว่าปราณของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เพียงพอจะข่มขู่ตน แต่มันกลับปลุกใจให้ต่อสู้กับเขาไม่ได้ ไม่อาจไม่หลบลี้หนีหาย แจ้นหนีอุตลุด


สาเหตุก็เพราะกลิ่นอายพลังมหามรรคที่อยู่บนตัวเด็กหนุ่มคนนั้น มีพลังเพียงพอจะทำให้มันกริ่งเกรงและสะพรึงได้!


“ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วกระมัง ครั้งนี้พวกเราต้องย้ายถิ่นฐานแล้ว”


หมียักษ์สีขาวเงินถอนหายใจ “อันที่จริงหลังจากแม่น้ำพรมแดนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ข้าก็เดาไว้แล้วว่าวันนี้จะมาถึงในสักวัน กลับคิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ แถมแม้แต่กลิ่นอายบนตัวเจ้าเฒ่าบ้าก็ยังเผยออกมา…”


“สหาย พวกเราได้แต่หนีไป… หืม?”


ตอนที่หมียักษ์ขาวเงินกล่าวถึงจุดนี้ก็พลันหันขวับ กลับพบว่าตะพาบมังกรตัวนั้นหนีไปตั้งนานแล้ว ไวอย่างน่าเหลือเชื่อ


“เจ้าระยำ… แม่งทำไมยังเหมือนกับปีนั้นไม่มีผิด แจ้นหนีโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ!” หมียักษ์สีขาวเงินตะลึงพรึงเพริด โกรธอย่างที่สุด


“ถ้าจะหนีแล้วมัวแต่บอกกล่าว ปีนั้นพวกเราตายไปนานแล้ว อย่าพูดเหลวไหล รีบพาคุณหนูอพยพเร็วเข้า!”


ใต้ทะเลสาบ ตะพาบมังกรเคลื่อนไหวแขนขา ร่างกายมหึมาว่องไวจนน่าเหลือเชื่อ กวนน้ำทะเลสาบสีเงิน แหวกระลอกคลื่นเสียงดังกระหึ่ม


ไม่ว่าใครเห็นเห็นภาพนี้ เกรงว่าคงจะตะลึงจนสมองไม่พอใช้การ ตะพาบมังกรที่น่าสะพรึงขนาดนี้ เวลานี้กลับตกใจเหมือนนกแตกรัง หนีไวกว่าใครเพื่อน!


เห็นเช่นนี้หมียักษ์สีขาวเงินก็ไม่กล้าอืดอาด สาวอุ้งเท้าแล้วเริ่มวิ่งหนีอยู่ก้นทะเลสาบ


……


โครม!


หลินสวินเพิ่งเข้ามาในบ่อทะเลสาบสีเงินก็รู้สึกว่าน้ำทะเลสาบเหมือนจะเดือดพล่าน เริ่มพลิกม้วนอย่างรุนแรง บังเกิดพลังโจมตีอันแข็งแกร่งบีบคั้นจากทุกทิศทาง


‘หืม? หรือตะพาบมังกรตัวนั้นหลบซ่อนตลอดมา รอให้ข้าเข้ามาก็จะพุ่งตรงเข้าโจมตีกันนะ’


ในใจหลินสวินรัดเกร็ง กระตุ้นเร้าเจดีย์สมบัติไร้อักษรป้องกันรอบตัว เงาร่างพุ่งพรวดไปทางก้นทะเลสาบ


เวลานี้หากเลือกหันหลังกลับเกรงว่าจะยิ่งอันตรายกว่าเดิม หากเดินไปทางอื่นบางทีอาจยังมีโอกาสต่อสู้และรักษาชีวิตไว้ได้


อีกอย่าง เขาเองก็คิดอยากลองดูสักหน่อยว่าตะพาบมังกรตัวนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่


เพียงแต่แม้ว่าน้ำทะเลสาบจะหมุนวนดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคยทำให้หลินสวินได้รับอันตรายใดๆ นี่พาให้เขาอดสงสัยไม่ได้ และยิ่งระวังตัวมากขึ้น


จนกระทั่งตอนที่ดำดิ่งสู่ก้นทะเลสาบ เขาสังเกตเห็นทันควันว่ามีเงาสีขาวมหึมาสายหนึ่งวิ่งพรวดอย่างบ้าคลั่งไปจากเบื้องหน้า ความเร็วว่องไวหาใดเปรียบ


“เอ๋! นี่ไม่ใช่หมีขาวยักษ์ตัวนั้นหรือ”


หลินสวินอึ้งงัน คิดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่ายังไม่ทันพบตะพาบมังกรตัวนั้น กลับบังเอิญพบเจ้าหมีที่คุ้นเคยกันที่นี่เสียก่อน


เจ้าหมอนี่มาอยู่นี่ได้อย่างไร


หนำซ้ำยังมีอาการวิ่งหนีเอาตัวรอดอีก หรือว่าเขากำลังถูกตะพาบมังกรตัวนั้นไล่ล่าอยู่


นึกถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็เย็นวูบ ไม่สนใจสิ่งอื่น ไล่ตามไปทันที โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งถึงขีดสุด ความเร็วก็ไวสุดอัศจรรย์หาใดเปรียบ


‘บัดซบ เจ้าหนูนั่นไล่ตามมาแล้ว!’ ด้านหน้า ตอนที่หมียักษ์สีขาวเงินสัมผัสถึงกลิ่นอายของหลินสวินไล่ตามมาติดๆ ก็ตกใจจนแหกปากผรุสวาทในใจ ร้อนรนหาใดเปรียบ


“ต้าไป๋ (เจ้าขาวใหญ่) ทำไมเจ้าต้องหนีด้วย” หลินสวินส่งเสียงลอยมาแต่ไกล เขารู้สึกอยู่รำไรว่าสถานการณ์ดูเหมือนไม่เข้าท่ายิ่ง


‘ต้าไป๋? ต้าไป๋ปู่เจ้าสิ!’


หมียักษ์ขาวเงินลอบผรุสวาทในใจ แต่ปากกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูจริงใจ “เจ้าหนุ่ม นี่ข้ากำลังเดินเล่นอยู่แหนะ ว่าแต่เจ้าทำไมถึงต้องวิ่งไล่ตามตูดข้าด้วย”


‘เดินเล่น? เดินเล่นปู่เจ้าสิ!’


หลินสวินลอบแย้งในใจ ริมฝีปากกลับกล่าวยิ้มๆ “บังเอิญจริงเชียว ข้าเองก็กำลังเดินเล่นอยู่พอดี เราไปด้วยกันสิ ทิวทัศน์ของก้นทะเลสาบนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”


“ฮ่าๆ นั่นสิ ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ธรรมดา วิวัฒน์จากแกนดาราที่แท้จริง เต็มไปด้วยกลิ่นอายยอดเยี่ยมแห่งดาราที่น่าอัศจรรย์ มีประโยชน์ต่อการคลายเส้นเอ็น กระตุ้นเลือดลม อาการปวดเอวเจ็บหลังอะไรล้วนสามารถรักษาให้หายได้”


“น่าทึ่งขนาดนี้เชียวหรือ”


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นมีหรือข้าจะมาเดินเล่นที่นี่แบบว่างๆ”


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องลองดูบ้างแล้ว”


“ปัดโธ่ เจ้ายังหนุ่ม เลือดลมล้นปรี่ ไม่จำเป็นหรอก ที่เต็มสมบูรณ์แล้วต้องบกพร่อง มากเกินไปก็ไม่ใช่จะดี ข้าว่าเจ้ารีบออกไปจะดีกว่า”


“นั่นคงไม่ได้ มีประโยชน์ไม่กอบโกยคงบ้าเต็มทน ต้าไป๋ เจ้าเร่งให้ข้าออกไปเช่นนี้ คงไม่ได้อยากกอบโกยผลประโยชน์คนเดียวกระมัง”


หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ หนึ่งนำหน้าอีกหนึ่งไล่ตาม เจ้าหนีข้าไล่ ปากเอาแต่พูดจาเลอะเทอะเหลวไหล โกหกตาไม่กะพริบ เป็นภาพที่พิสดารยิ่ง


“ผลประโยชน์? เจ้าอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาดเชียว อีกเดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว ไม่เชื่ออีกเดี๋ยวเจ้าค่อยมาสิ” ในใจหมียักษ์ขาวเงินร้อนรุ่ม อุ้งเท้าโกยแน่บ ความเร็วยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


“ไม่ได้ อีกเดี๋ยวหากไม่เห็นเจ้าจะทำอย่างไร” หลินสวินก็เร่งฝีเท้าด้วยเช่นกัน เขาสงสัยขึ้นทุกทีว่าเจ้าหมีตัวขาวตัวนี้ต้องมีอุบายอะไร


ทันใดนั้นเขาอึ้งงัน สัมผัสได้อย่างว่องไวว่าวนไปเวียนมาก็วิ่งวนอยู่เส้นทางเดิม เห็นได้ชัดว่าหมีขาวตัวโตนี้จงใจเล่นแง่


“ต้าไป๋ เจ้าช่างไม่จริงใจเอาเสียเลย! ทำไมต้องพาข้าอ้อมไปวนมาด้วย” ในใจหลินสวินเย็นวูบ ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายอาจกำลังถ่วงเวลา


“เดินเล่นไง ก็ทำแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ” หมียักษ์ขาวเงินตอบอย่างสบายๆ พูดโกหกโดยหน้าไม่แดงใจไม่เต้นแรง


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินเล่นไปเถิด ข้าไปก่อนแล้วกัน” หลินสวินพูดพลาง ร่างพริบไหวโจนไปอีกด้าน


เพราะเวลานี้เสี่ยวอิ๋นในห้วงนิมิตส่งเสียงร้องเตือน สัมผัสได้ถึงที่มาของพลัง ‘แหล่งกำเนิดวิญญาณ’ วูบนั้น!


“เอ๋ สหายน้อย ไม่ใช่บอกว่าจะเดินเล่นด้วยกันดิบดีแล้วหรือ เหตุใดถึงจะไปแล้ว” หมียักษ์สีขาวเงินร้อนรุ่มยกใหญ่ โดยเฉพาะยามที่เห็นทิศทางที่หลินสวินจะไปก็ตกใจจนเกือบกระโดดโหยง


เขากางอุ้งเท้าเสียงดังผึงแล้ววิ่งย้อนกลับมา เป็นฝ่ายไล่ตามหลินสวิน


เห็นเช่นนี้หลินสวินก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหมีขาวตัวโตที่ทำตัวพิกลนี้ล่อลวงตนอยู่อย่างเห็นได้ชัด!


“สหายน้อย เจ้ารอข้าด้วยสิ วิ่งเร็วขนาดนั้นไม่เหนื่อยหรือ”


“สหายน้อย…”


ด้านหลัง เจ้าหมีขาวตัวโตกำลังร้องเรียก หลินสวินกลับไม่สนใจเจ้างั่งนี่ ก้มหน้าก้มตาวิ่งพรวดสุดกำลัง


ไม่นานนักเบื้องหน้าเขาพลันปรากฏแสงเงินพร่าตา เมื่อมองดูดีๆ นั่นถึงกับเป็นศิลาอุกกาบาตที่ดูคล้ายภูเขาขนาดย่อมๆ!


มันสูงถึงสิบกว่าจั้ง ทั่วตัวใสวาวราวกับหิมะน้ำแข็ง ผิวนอกไหลเวียนลุกโชนด้วยแสงดาราสีเงิน เหมือนกับดวงดาวจริงๆ ดวงหนึ่งชัดๆ!


รอบตัวมันยังสะท้อนภาพประหลาดลึกลับออกมาอยู่รำไร มีทั้งดาวตกจันทร์โรย ท้องทะเลเปลี่ยนเป็นผืนนา สรรพสิ่งผันแปร…


ภาพประหลาดแต่ละภาพนั้นเผยให้เห็นบรรยากาศอันลึกลับยามกาลเวลาเคลื่อนคล้อย ทั้งงดงามและพาให้ผู้คนสะเทือนใจ


‘นี่น่าจะเป็นศิลาอุกกาบาตที่ถูกผู้แข็งแกร่งพวกนั้นหมายตา เป็นสมบัติชั้นเลิศที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่งจริงๆ ด้วย!’


หลินสวินใจเต้นทันใด เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเต็มเปี่ยมที่พุ่งเข้ามา ไพศาลดั่งมหาสมุทร แผดจ้าดั่งดวงอาทิตย์


ตึงครืน!


แต่ยังไม่รอให้หลินสวินสัมผัสอย่างลึกซึ้ง ก็เห็นศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ก้อนนั้นถูกชนแตกจากด้านใน สัตว์ปีศาจที่มีความสูงเพียงสามจั้ง หัวมังกรตัวตะพาบ สี่กีบประหนึ่งเสาตัวหนึ่งพุ่งออกมา


บนตัวสัตว์ปีศาจปกคลุมด้วยเกล็ดเย็นเยียบ เวลานี้บนหลังมันแบกโลงน้ำแข็งไว้ใบหนึ่ง


โลงน้ำแข็งหนึ่งจั้ง ตัวโลงรายล้อมด้วยแสงดาราพิสุทธิ์เป็นสายๆ สามารถมองเห็นแผนภาพลับอย่างบุปผาปักษามัจฉาแมลง สุริยันจันทราดารา พิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ แผ่กลิ่นอายเวิ้งว้างที่เก่าแก่และลึกลับออกมา


สิ่งที่ทำให้ผู้คนใจสั่นที่สุดคือ บนฝาโลงประทับแผนที่ดาวสีเงิน ในนั้นเหมือนบรรจุฟ้าดาราอันไพศาล ธารดาราโคจรอยู่ในนั้นราวกับไร้สิ้นสุด


ตะพาบมังกรตัวหนึ่ง บนหลังแบกโลงน้ำแข็งปริศนาใบหนึ่ง พุ่งพรวดออกมาจากในศิลาอุกกาบาตที่ใหญ่ดุจภูเขาลูกย่อมๆ ภาพนี้พาให้ผู้คนใจสั่นเป็นล้นพ้นจริงๆ


พริบตานี้หลินสวินไม่มีลังเล โคจรพลังของตนถึงขีดสุด เจดีย์สมบัติไร้อักษรที่เตรียมพร้อมรับมือแต่เนิ่นๆ สาดแสงเรืองสีทองเจิดจรัสสายแล้วสายเล่า


ตะพาบมังกรตัวนี้น่าสะพรึงถึงที่สุด หาไม่คงไม่มีทางทำให้กลุ่มราชันกึ่งระดับไม่กล้าเข้าใกล้ทะเลสาบนี้แน่!


แต่ที่พาให้หลินสวินอึ้งค้างคือ ตะพาบมังกรตัวนี้แลดูตกใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก สะดุ้งผางตัวลอย ดวงตาคู่นั้นแทบถลนออกมา โพล่งขึ้นว่า “สวรรค์! เป็นกลิ่นอายของเจ้าเฒ่าบ้านั่นจริงๆ ด้วย นะนะนี่… น่ากลัวเกินไปแล้ว!”


มันร้องเสียงหลงดังลั่น อาการตกใจเกินเหตุ สายตาซึ่งมองมาทางหลินสวินประหนึ่งจ้องบุคคลที่น่าหวาดกลัวไร้จำกัด เผยให้เห็นความลุกลี้ลุกลนหาที่เปรียบมิได้


นี่…


หลินสวินอึ้งงันน้อยๆ เดิมทีตั้งท่าจะลงมือ แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะบังเอิญพบกับภาพที่เหลวไหลและแปลกประหลาดเช่นนี้


“ฮือๆๆ ผู้สืบทอดของเจ้าเฒ่าบ้าปรากฏตัวแล้ว ผู้สืบทอดของเจ้าเฒ่าบ้า…”


กลับเห็นว่าตะพาบมังกรตัวนั้นแหกปากคำรามลั่นเหมือนผีครวญหมาป่าโหยหวนก็ไม่ปาน ก้าวขาขนาดใหญ่ราวกับเสาสี่ต้นเสียงดังสวบแล้วแบกโลงน้ำแข็งหนีอุตลุด


มันมีสภาพเหมือนหมาจรจัด แค้นที่พ่อแม่ไม่อาจคลอดขาเพิ่มอีกสองข้าง พาให้หลินสวินจนคำพูดอยู่บ้าง ตนน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ

 

 

 


ตอนที่ 972 หายนะที่คาดไม่ถึง

 

ตะพาบมังกรที่มีกลิ่นอายน่ากลัว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับเผยท่าทางหวาดกลัวและวิตกกังวลอย่างมาก


ถ้าเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หลินสวินคงไม่กล้าเชื่อว่ามันเป็นความจริง


หลังจากยืนอยู่ที่นั่นสักครู่หลินสวินก็ยอมรับความจริงนี้และอดจะหัวเราะไม่ได้


“ผู้สืบทอดของเจ้าเฒ่าบ้าหรือ สัตว์ปีศาจนี่คงไม่ได้จำผิดคนกระมัง” ทันใดนั้นหลินสวินขมวดคิ้วขึ้นเมื่อคิดถึงสิ่งหนึ่งได้


ตั้งแต่เขาฝึกปราณเป็นต้นมาก็ไม่เคยกราบใครเป็นอาจารย์ เสาะแสวงหาและสำรวจบนเส้นทางแห่งมหามรรคเพียงลำพังมาโดยตลอด


หากจะบอกว่าเขามีอาจารย์ คนผู้นั้นก็คือท่านลู่


แต่หลินสวินไม่คิดว่าท่านลู่จะเป็น ‘เจ้าเฒ่าบ้า’ อะไรนี่


หลังจากคิดถึงเรื่องนี้หลินสวินก็ได้ข้อสรุปหนึ่ง


เหตุผลที่อีกฝ่ายมีความ ‘เข้าใจผิด’ เช่นนี้ หากไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ห้องโถงมรรคาสวรรค์’ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับวิชาอริยะยุทธ์ที่ตนฝึกฝน หรือไม่…


ก็เกี่ยวข้องกับมรดกของเขาพยับคราม!


หาไม่จะไม่สามารถอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้เลย


‘นายท่านลงมือเร็วเข้า! แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์นั่นอยู่ในศิลาอุกกาบาต!’ ในห้วงนิมิต เสี่ยวอิ๋นตื่นเต้นหาใดเปรียบในยามนี้


ทันใดนั้นหลินสวินไม่คิดอะไรมาก ทอดสายตามองไปที่ศิลาอุกกาบาตซึ่งระเบิดแตกเป็นโพรงนั้น



ในเวลาเดียวกัน หมียักษ์ขาวเงินและตะพาบมังกรหนีจากไปด้วยกัน ทั้งคู่มีอาการขวัญหนีดีฝ่อ


“เป็นอย่างไร เด็กนั่นไม่ได้ทำอะไรเจ้ากระมัง” หมียักษ์สีขาวเงินถาม


“เปล่า แต่ข้าถูกทำให้ตกใจ”


เสียงของตะพาบมังกรแผ่วต่ำและสั่นสะท้าน “นี่ถึงกับเป็นเรื่องจริง สัตว์ประหลาดตเฒ่าที่กลืนกินธารดารานับไม่ถ้วนในวัฏจักรบรรพกาล ถึงกับมีผู้สืบทอดในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้จริงๆ!”


“ดังนั้น ก็ไม่รู้ว่าพอคุณหนูตื่นขึ้นมาแล้วจะรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้เรื่องนี้…” หมียักษ์สีขาวเงินถอนหายใจ


“เร็วเข้า! ข้าไม่อยากรั้งอยู่ในที่นี่แล้ว พอสัมผัสถึงกลิ่นอายนั้นข้าก็อดกลัวไม่ได้”


ขณะพูด ตะพาบมังกรก็วิ่งไปด้านบนของทะเลสาบโดยมีโลงน้ำแข็งอยู่บนหลัง


“จริงสิ แล้วแหล่งกำเนิดวิญญาณแกนดาราเล่า” หมียักษ์สีขาวเงินตะโกน


“แย่แล้ว! ข้าลืมสมบัติชิ้นนี้ไปเสียได้!” ตะพาบมังกรส่งเสียงร้องแหลม “แล้วจะทำอย่างไรดี”


“ช่างเถอะ ไปกันก่อน แม้จะไม่มีสมบัติชิ้นนี้ ช้าเร็วคุณหนูก็ตื่นขึ้นมาอยู่ดี” หมียักษ์สีขาวเงินถอนหายใจ


ทันใดนั้นสัตว์ปีศาจทั้งสองก็เคลื่อนไหว มุ่งหน้าสู่ผืนทะเลสาบไปพร้อมกัน



โครมครืน!


มองจากภายนอก นับตั้งแต่เงาร่างของหลินสวินเข้ามาในทะเลสาบสีเงิน น้ำที่แต่เดิมเคยสงบในทะเลสาบก็ถูกทำลาย เกิดระลอกคลื่นลูกยักษ์ เสียงคำรามกระหึ่มพลุ่งพล่าน อานุภาพน่าสยดสยอง


บรรดาผู้แข็งแกร่งที่จ้องมองสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอดล้วนไหวหวั่น ในใจปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย…


เด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่ได้กำลังต่อสู้ดุเดือดกับสัตว์ปีศาจอย่างตะพาบมังกรตัวนั้นหรอกกระมัง


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งมากมายก็อดไม่อยู่ โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันที่อ้างตัวว่าแข็งแกร่งได้ทยอยเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว


พวกเขาออกมาจากเกาะที่อยู่ใกล้ๆ เข้าใกล้ริมทะเลสาบอย่างรวดเร็ว คิดว่านี่เป็นโอกาสดียิ่ง บางทีอาจจะเหมือนนกปากซ่อมสู้กับหอย แต่ชาวประมงได้ผลประโยชน์ก็เป็นได้


ชั่วพริบตา ราชันกึ่งระดับจำนวนถึงสิบกว่าคนพุ่งปราดออกไป กระจายกำลังไปทั่วทะเลสาบสีเงินเพื่อสำรวจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในทะเลสาบสีเงิน


พวกเขาระมัดระวังตัวมาก ไม่ได้ผลีผลาม


“แม่นางเยวี่ย สถานการณ์ดูไม่ค่อยเข้าที คุณชายหลินสวินเขา…” พวกโค่วซิงรู้สึกกังวล พบว่าสถานการณ์ชักทะแม่งๆ


“คงไม่เป็นไรหรอก คุณชายหลินอย่างมากที่สุดก็กลับมามือเปล่า หากคิดรักษาชีวิต เกรงว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาก็ไม่อาจจับเขาได้” แม่นางเยวี่ยสีหน้าสงบนิ่ง


แต่ในความเป็นจริงนางก็ไม่แน่ใจเช่นกัน


ความผันผวนอย่างรุนแรงที่เกิดจากทะเลสาบสีเงินนั้นรุนแรงเกินไป มองจากภายนอกไม่สามารถสังเกตได้ว่าใต้ทะเลสาบเกิดอะไรขึ้นเลยสักนิด


สิ่งนี้พาให้แม่นางเยวี่ยไม่สามารถแน่ใจความปลอดภัยของหลินสวินได้เลย


อย่างไรก็ตามนางค่อนข้างแน่ใจว่าด้วยความสามารถของหลินสวินที่สำแดงมาตลอดทาง แค่สัตว์ปีศาจอย่างตะพาบมังกรตัวหนึ่งเท่านั้น ตราบใดที่มันไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่ก้าวย่างไปบนมรรคาอมตะ ก็ไม่น่าสร้างภัยคุกคามร้ายแรงต่อเขาได้


โครมครืน!


ไม่นานเท่าไรทะเลสาบสีเงินทั้งหมดก็หอบม้วน คลื่นสีเงินทะยานสูง สั่นกระเพื่อมไม่สงบราวกับภูเขาไฟระเบิด


สิ่งนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้ทะเลสาบต่างพากันกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาน้อยๆ


สัญญาณทั้งหมดนี้บ่งบอกว่า ก้นทะเลสาบมีแนวโน้มว่าจะเกิดการต่อสู้ดุเดือดอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแย่งชิงวาสนา


สวบ!


ทันใดนั้นราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งก็เคลื่อนไหวเป็นคนแรก เขาเรียกกระบี่วิญญาณสีม่วงออกมาเล่มหนึ่ง แหวกเปิดทะเลสาบสีเงินและหายตัวไปในทันใด


“ไป!”


“พวกเราก็เคลื่อนไหวด้วย!”


เมื่อเห็นเช่นนี้ ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ ต่างนั่งไม่ติด พากันเริ่มลงมือ


ช่วงหลายวันที่ผ่านมาพวกเขาสำรวจอย่างชัดแจ้งแล้ว ที่ก้นทะเลสาบเงียบเชียบนั้นมีศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ประหนึ่งภูเขา นั่นต้องเป็นศุภโชคที่ไม่ธรรมดาแน่ ในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่มีใครอยากพลาด!


สวบๆๆ!


เวลานี้แสงเคลื่อนไหวดั่งสายฝน เงาร่างของราชันกึ่งระดับทั้งหมดก็ค่อยๆ หายไปใต้ทะเลสาบ


“เร็วเข้า! ถ้าขืนช้าแม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ต้องพูดถึงว่าได้กินเนื้อเลย แม้แต่น้ำแกงก็ไม่มีเหลือแล้ว!”


ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่แข็งแกร่งในระดับกระบวนแปรจุติไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป อยากได้รับส่วนแบ่งด้วย ศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ราวภูเขาเช่นนั้น ต่อให้ตัดออกมาบางส่วนก็เพียงพอให้พวกเขาคว้าไปแล้ว


นอกจากนี้พวกเขายังสงสัยอีกว่า นอกจากศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่นี้แล้ว ยังมีศิลาอุกกาบาตอื่นๆ ที่ก้นทะเลสาบอีกด้วย!


เพียงแต่เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ทะเลสาบ จู่ๆ กลางทะเลสาบก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น


จากนั้นภายใต้สายตาที่จับจ้องอย่างตกตะลึงของทุกคน ร่างของราชันกึ่งระดับคนหนึ่งก็ถูกโยนออกจากทะเลสาบราวกับกระดาษว่าวสายขาด กระเด็นขึ้นไปบนฟ้าถึงหนึ่งร้อยจั้ง


และเห็นเขาเลือดออกปากจมูก หน้าอกยุบแขนบิด เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่ง


“นี่…”


มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติต่างตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น นี่เพิ่งจะเริ่มเคลื่อนไหวเท่านั้นก็มีราชันกึ่งระดับประสบเคราะห์แล้วหรือ


“อ๊าก!”


ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนเชือดหมูก็ไม่ปาน ราชันกึ่งระดับก็ถูกซัดเหินออกมาอีกคน


คนผู้นี้น่าสังเวชยิ่งกว่า กายท่อนบนถูกซัดเละ อีกครึ่งหนึ่งยังทิ้งร่องรอยกรงเล็บหลายสายที่ลึกจนเห็นกระดูก เลือดสดๆ ไหลราวกับน้ำตก


เฮือก!


เสียงสูดหายใจดังไม่รู้จบ


ผู้แข็งแกร่งที่ยังไม่ได้เข้าไปในทะเลสาบสีเงินล้วนมือเท้าเย็นเฉียบ สั่นเทิ้มทั้งตัว นั่นเป็นถึงราชันกึ่งระดับเชียวนะ!


แต่ยามนี้ เพียงพริบตาเดียวก็ถูกซัดจนมีสภาพน่าสังเวช น่าตกใจยิ่ง


ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาที่มองไปทางทะเลสาบสีเงินก็เปลี่ยนไป พากันเลือกถอยห่างโดยไม่รู้ตัว ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้


“หนีไป! ระยำนี่เป็นกับดัก ก้นทะเลสาบไม่ได้มีแค่สัตว์ปีศาจอย่างตะพาบมังกรเท่านั้น แต่ยังมีหมีขาวที่น่ากลัวกว่าด้วย!”


น้ำทะเลสาบสาดซัดโครมครืน ชายชราคนหนึ่งพุ่งพรวดออกมา เขาผมเผ้ากระเซิง สีหน้าคล้ำเขียว เต็มไปด้วยความอัดอั้นและชิงชัง


และเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน มีรอยกรงเล็บที่น่ากลัวประทับอยู่ เนื้อหนังปลิ้นแตก กระดูกหักแตก!


กับดัก?


สัตว์ปีศาจสองตัว?


ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปต่างตกตะลึง ลอบดีใจในใจที่ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่แรก หาไม่เกรงว่าคงประสบเคราะห์ไปแล้ว!


ดังคาด ในเวลาต่อมาราชันกึ่งระดับถูกเตะปลิวเหมือนลูกหนังลอยออกมาคนแล้วคนเล่า แต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส


เสียงกรีดร้องโหยหวนและคำผรุสวาทอาฆาตดังไม่สิ้น เห็นได้ชัดว่าน่าสยดสยองเป็นที่สุด


ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ริมทะเลสาบต่างตกตะลึง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นั่นเป็นถึงราชันกึ่งระดับ แพ้ไม่เป็นท่าเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร


สัตว์ปีศาจทั้งสองที่ก้นทะเลสาบมีพลังน่าสะพรึงเพียงใดกันแน่ ถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้


“คุณชายหลินเล่า ทำไมไม่เห็นเขาปรากฏตัว” ในกระบวนผนึก พวกโค่วซิงต่างร้อนรนยิ่ง สถานการณ์ย่ำแย่ลงทุกที


“คอยดูไปก่อน” แม่นางเยวี่ยขมวดคิ้ว ในใจมีความกังวลเช่นกัน


แต่ละภาพเบื้องหน้าพาให้หัวใจนางไร้ความมั่นใจจริงๆ


ฮูม!


ยิ่งกว่านั้นในขณะนี้ ทะเลสาบหมุนวนพลุ่งพล่าน มีหมียักษ์สีขาวเงินและตะพาบมังกรที่มีขนาดพันจั้งพุ่งออกมา


ทันทีที่ทั้งสองปรากฏขึ้น ฟ้าดินพลันเปลี่ยนไป ห้วงอากาศคร่ำครวญ กลิ่นอายน่าสะพรึงแผ่ออกมาจากตัวพวกมัน พาให้ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นแทบหายใจไม่ออก


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือในปากของตะพาบมังกรตัวนั้นกำลังเคี้ยวศพราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง กระดูกแตกดังกร๊อบๆ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากร่องเขี้ยวสีขาวประหนึ่งธารน้ำ


สวรรค์!


ทุกคนในที่นั้นต่างใจสะท้าน แทบจะขวัญหนีดีฝ่อ


ราชันกึ่งระดับล้วนแกร่งกร้าว แต่กลับถูกกลืนลงท้องทั้งเป็นเหมือนหนอนแมลงไม่มีผิด ภาพนี้ดูคาวเลือดและบาดตาเกินไป พาให้ผู้คนสยดสยอง


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสลัด สัตว์ปีศาจตะพาบมังกรตัวนั้นก็เหลือบสายตาขึ้นทันใด กวาดมองผ่านตัวผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นอย่างตะกละตะกลาม


ทุกคนต่างตัวสั่นเทิ้ม เหมือนเป็นเหยื่อที่ถูกหมายหัว พาให้พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีกันใหญ่


ที่เหนือความคาดหมายคือ หมียักษ์สีขาวเงินตัวนั้นตบฉาดเข้าที่กบาลตะพาบมังกร โกรธจนเต้นเร่าๆ “มัวแต่กินๆๆ นี่แม่งเวลาไหนกันแล้ว รีบไปเร็ว!”


ขณะพูดมันไม่ได้มองผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แม้แต่ปราดเดียว กลายร่างเป็นแสงเคลื่อนไหวสีขาวหิมะสายหนึ่ง มุ่งหน้าสู่ห้วงอากาศไกลออกไป


ในเวลาเดียวกันนั้นตะพาบมังกรส่ายหน้ามหึมาของมัน ลอบถอนหายใจคล้ายนึกเสียดาย ก่อนจะหมุนตัวออกไปเช่นเดียวกัน


ร่างมหึมายาวพันจั้งราวกับเมฆทะมึนที่ปกคลุมฟากฟ้า ดูเหมือนอืดอาด แต่กลับอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา


จากไป… ทั้งอย่างนี้เลยหรือ


ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนฝัน เมื่อนึกถึงแต่ละภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สมจริงขึ้นเรื่อยๆ


แต่เมื่อเห็นราชันกึ่งระดับที่บาดเจ็บจะตายแหล่มิตายแหล่แต่ละคนนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง!


“เหตุใดคุณชายหลินยังไม่ปรากฏตัวอีก” ในใจพวกโค่วซิงกลับระส่ำระสายมากขึ้นทุกที


เวลานี้ก็มีผู้แข็งแกร่งสังเกตเห็นจุดนี้ได้อย่างว่องไวเช่นกัน ร้องว่า “เด็กหนุ่มคนนั้นล่ะ เหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่เคยเห็นเขาปรากฏตัวเลย ต่อให้ตายไปศพก็ต้องลอยขึ้นผิวน้ำกระมัง”


“บางทีอาจถูกสัตว์ปีศาจสองตัวนั้นเขมือบไปแล้วก็ได้!”


“เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่คลื่นน้ำทะเลสาบใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่ยักเห็นเขาส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา มีหรือจะตายไปแล้ว”


“ไอ้โง่! ยังสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม สัตว์ปีศาจสองตัวนั้นไปแล้ว ทะเลสาบนี้ก็ไม่มีพลังที่เป็นภัยคุกคามอะไรอีกต่อไปแล้ว!”


ไม่นานนักผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างตระหนักได้ว่า อันตรายครั้งนี้อาจเกิดขึ้นปุบปับ แต่ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสที่ดีเลิศให้แก่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!


ตอนที่สัตว์ปีศาจสองตัวนั้นจากไป ก็ไม่ได้เอาศิลาอุกกาบาตมหึมาลูกนั้นที่อยู่ใต้ทะเลสาบไปด้วย!


ทันใดนั้นลมหายใจของผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยต่างเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนขึ้นมา ความโลภอันรุนแรงทะลักภายในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้

 

 

 


ตอนที่ 973 โอสถราชันและแกนดารา

 

ใต้ทะเลสาบ


ศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ถูกตะพาบมังกรกระแทกชนจนเป็นรูโบ๋ ราวกับประตูบานหนึ่งซึ่งทะลุไปสู่ด้านในของศิลาอุกกาบาตขนาดเท่าภูเขานี้


ยามนี้หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ในนั้น หรี่ตาลง ดูเหม่อลอยเล็กน้อย


ไม่ไกลจากเขา มีหินดาราที่บริสุทธิ์และลุกโชนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง ส่องแสงพร่างพราวอย่างที่สุด


เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กที่เจิดจ้า พาให้ดวงตาของหลินสวินเกิดความรู้สึกแสบพร่า


จากที่เสี่ยวอิ๋นว่ามา นี่คือแกนดาราที่แท้จริง เป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของดวงดาว ไม่อาจประเมินมูลค่าได้!


และพลังที่ถูกเสี่ยวอิ๋นมองว่าเป็น ‘แหล่งกำเนิดวิญญาณ’ นั้นบรรจุอยู่ภายในแกนดารานี้


ยามนี้ร่างสีขาวเงินขนาดเท่าเมล็ดข้าวของเสี่ยวอิ๋นนอนฟุบอยู่บนแกนดารา กำลังดูดซับพลังวิญญาณภายในแกนดาราด้วยท่าทางที่เกือบจะบ้าคลั่ง


สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว มูลค่าของแกนดาราก้อนหนึ่งเพียงพอจะทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอริยะตาวาวน้ำลายหก เพราะมันสามารถนำมาหลอมสมบัติอริยะ!


แต่สำหรับเสี่ยวอิ๋น แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์ที่บรรจุอยู่ในแกนดาราสามารถช่วยให้มันเลื่อนขั้น ก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปของวิวัฒนาการ


เมื่อมาถึงระดับขั้นนี้ มันจะสามารถปลดพันธนาการทางร่างกาย แปลงกายเป็นมนุษย์ได้!


จิ๊กๆ! จิ๊กๆ!


เสียงแทะเล็กๆ ยังคงดังไม่หยุด สภาพของเสี่ยวอิ๋นในยามนี้สามารถใช้คำว่า ‘หิวกระหายสุดฤทธิ์’ มาอธิบายได้แล้ว ราวกับเป็นศัตรูกับแกนดารานั่นไม่อาจร่วมโลกกันได้ เห็นได้ชัดว่าบ้าเกินไป


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโลภนั้นพาให้หลินสวินชักเริ่มทนดูต่อไปไม่ได้ จะหลอมรวมก็ทำไปสิ ไม่มีใครไปปล้นเจ้าเสียหน่อย ทำไมมันต้องป่าเถื่อนเช่นนี้ด้วย


และดูไร้มาดเกินไปแล้ว ท่าทางราวกับว่าไม่เคยพบเคยเห็นโลก!


หลินสวินแอบดูแคลน


ขณะคิดเขาก็เริ่มมองสำรวจศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ก้อนนี้


ประกายดาราสีเงินยวงสายแล้วสายเล่าคละคลุ้ง กลางอากาศอบอวลด้วยพลังชีวิตอันไพศาลและคลุมเครือ พาให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาเพื่อแค่สูดหายใจเข้าหนึ่งเฮือก


พอจะเดาได้ลางๆ ว่าหากฝึกปราณที่นี่ ต้องจะได้รับผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว


หลินสวินใช้จิตรับรู้สัมผัสอย่างถี่ถ้วน แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ แม้ว่าศิลาอุกกาบาตนี้จะมีขนาดใหญ่เท่าภูเขา แต่กลับไม่มีกลิ่นอายพิเศษใดๆ


เขาลองเฉือนศิลาอุกกาบาตด้วยดาบหัก หยิบมันมาวิเคราะห์โดยละเอียด เศษหินลอยล่อง แต่ภายในนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย


ไม่ใช่กระมัง ดึงดูดผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันให้มุ่งหน้ามามากมายขนาดนี้ ในศิลาอุกกาบาตนี่นอกจากแกนดาราก้อนเดียวก็ไม่มีอะไรเลยหรือ


หลินสวินไม่ถอดใจ ใช้ดาบหักตัดศิลาอุกกาบาตจำนวนกว่าสิบชิ้นไม่หยุดหย่อน แต่ก็ไม่ต่างกัน ล้วนไม่มีสมบัติใดๆ


เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋นแทะแกนดาราด้วยท่าทางหิวโหย หลินสวินก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจนัก ทุ่มแรงกายแรงใจตลอดทางมาถึงที่นี่ ผลสุดท้ายจะมีแค่เจ้าหมอนี่เท่านั้นหรือที่สมหวังดั่งใจ


‘ไม่ถูก ตอนที่ตะพาบมังกรวิ่งหนี บนหลังมันแบกโลงน้ำแข็งลึกลับไปด้วย บางทีมันอาจเอาไปจากศิลาอุกกาบาตนี้ก็เป็นได้!’


ทันใดนั้นหลินสวินก็นึกขึ้นได้ว่า ศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่นี้ถูกตะพาบมังกรชนจนแตก


หนำซ้ำโลงน้ำแข็งที่มันเอาออกไปนั้นลึกลับและพิเศษมาก ด้านบนประทับแผนที่ดาวอันกว้างใหญ่และลึกลับไว้ด้วย ไม่ธรรมดายิ่ง


‘คงไม่ใช่ว่า สมบัติแท้จริงที่บรรจุอยู่ในศิลาอุกกาบาตก็คือโลงน้ำแข็งนั่นกระมัง…’ หัวใจของหลินสวินหนักอึ้ง


หากเป็นเช่นนี้จริงๆ การเคลื่อนไหวครั้งนี้นอกจากการได้รับแกนดาราหนึ่งชิ้นแล้ว ก็ถือเป็นการเสียเที่ยวจริงๆ


หืม?


เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่ามีรอยรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่บนพื้น คละคลุ้งด้วยระลอกผันผวนคลุมเครือจางๆ ที่ยากสัมผัสถึง


สิ่งนี้ทำให้หัวใจของหลินสวินสั่นไหว ลอบกล่าวว่าหากวางโลงน้ำแข็งไว้ตรงนี้ มันจะตรงกับรอยทั้งหมดพอดิบพอดี!


เขาก้าวไปข้างหน้าและนั่งยองๆ บนพื้นอย่างระมัดระวัง ใช้พลังจิตรับรู้สัมผัสโดยละเอียด


ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ พื้นดินนี้ถึงกับสร้างจากศิลาอุกกาบาตด้วยเช่นกัน ทันทีที่จิตรับรู้เข้าใกล้ ก็มีคลื่นคลุมเครือโผล่ออกมาปิดกั้นการสำรวจของจิตรับรู้


หลินสวินคล้ายจะสัมผัสได้ว่าภายในศิลาอุกกาบาตนั้นฟูมฟักอะไรไว้อยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถตรวจจับได้ แต่กลับดูแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด


“แปลกจริงๆ!”


หลินสวินหัวใจไหววูบ มือกุมดาบหัก เลาะตามขอบรอยที่โลงน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ เริ่มวิเคราะห์สันนิษฐานอย่างระมัดระวัง


ครึกๆ!


ดาบหักคมกริบ ก็เห็นเศษหินบินว่อนเชื่อมรวมเข้ากับน้ำทะเลสาบ คลุมเครือและเลือนราง


ส่วนบนพื้น ด้วยการกรีดเฉือนของดาบหัก พื้นค่อยๆ แตกขยายลงไปด้านล่าง ไม่นานก็ผ่าออกเป็นหลุมบ่อที่มุมขอบชัดเจนอย่างรวดเร็ว


วาบ!


ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ตอนที่หลุมถูกขุดลึกถึงสองฉื่อ ดาบหักก็เหมือนเฉาะทะลุเปลือกไข่ ทันใดนั้นแสงวิเศษบาดตาหลากสีสันสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากพื้น


ขณะเดียวกันกลิ่นหอมเย็นเข้มข้นของสมุนไพรก็กระจายออกมา เย็นดุจน้ำแข็ง มีกลิ่นหอมเหมือนสุรา ราวกับจะแทรกเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ พาให้ผู้คนมึนเมา


โอสถวิญญาณ?


ดวงตาของหลินสวินพลันทอประกายขึ้นทันที กลิ่นสมุนไพรที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้านั้นบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เพียงแค่สูดดมคราเดียวก็พาให้เลือดลมทั่วร่างของเขาเดือดพล่าน เจือความรู้สึกสบายเหมือนจะล่องลอยก็ไม่ปาน


เขาหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ของตน การเคลื่อนไหวของมือยิ่งระมัดระวังมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มวิเคราะห์ศิลาอุกกาบาตใต้ดินนี้


ไม่นานโอสถวิญญาณต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาหลินสวิน


มันเป็นต้นไม้เล็กๆ สีน้ำหมึก กิ่งก้านมีความหนาเเค่หัวแม่มือ เนื้อสัมผัสเหมือนหยก ปลายกิ่งของมันมีใบไม้เก้าใบแขวนอยู่


ใบไม้แต่ละใบมีสีเหมือนหิมะ ลักษณะคล้ายพระจันทร์เต็มดวง เส้นใบดุจลายมรรค กำจายกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ล่อลวงหาที่เปรียบ


ตัวต้นไม้เหมือนหยกดำ แต่กลับมีใบไม้เก้าใบที่ขาวราวกับหิมะ อีกทั้งใบไม้นั้นแสดงกลิ่นอายที่สมบูรณ์แบบ ศักดิ์สิทธิ์และยากจับต้อง น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง


ละอองแสงสีดำและสีขาวสายแล้วสายเล่าปลิวลอยออกมาจากต้นไม้เล็กๆ ดูคล้ายไอหยินหยาง ก่อตัวเป็นวงกลมสมบูรณ์เหนือธรรมดารอบๆ ตัวมัน


อึก!


หลินสวินกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ แม้แต่เขายังไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นภายในใจได้ เพราะว่า…


นี่คือโอสถราชันที่หายากมากต้นหนึ่ง!


ในเทศกาลโคมกถามรรค หลินสวินเคยจับโสมขาวกายสิทธิ์ได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็พบว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปี


แต่โอสถราชันที่อยู่ตรงหน้านั้นแตกต่างออกไป แม้ว่ามันจะไม่มีจิตวิญญาณ แต่ฤทธิ์ยาที่พวยพุ่งและประหลาดลึกลับของมันก็เผยร่องรอยของมรรคาที่สมบูรณ์แบบ!


นี่ก็คือโอสถราชัน!


หนำซ้ำยังเป็นโอสถราชันที่สมบูรณ์แบบต้นหนึ่ง ไม่เคยมีมาก่อน รูปลักษณ์ยอดเยี่ยมหายากในโลก เกรงว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาเยือน คงพากันต่อสู้แย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตก!


“สมบัติล้ำค่านัก!” น้ำลายของหลินสวินเกือบไหลย้อยออกมา เขาถือได้ว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน แต่ยามนี้กลับรู้สึกควบคุมสติไม่ได้อยู่บ้าง


เพราะ ‘ต้นหยินหยาง’ นี้น่าอัศจรรย์จริงๆ


แม้ว่าจะไม่สามารถตัดสินความอัศจรรย์ของมันได้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสมบัติที่ได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตตามธรรมชาติอย่างแน่นอน!


หลินสวินขุด ‘ต้นหยินหยาง’ นี้โดยไม่ลังเล


และเพื่อป้องกันไม่ให้มันเหี่ยวเฉา หลินสวินยังได้ขุดศิลาอุกกาบาตที่เกาะอยู่ตามรากของต้นไม้เล็กนี้ออกมาด้วย


จนกระทั่งซ่อนสมบัติไว้ในเจดีย์ไร้อักษรของตนแล้ว หลินสวินจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ


ก่อนหน้านี้หากเขาไม่สังเกตเห็นจุดผิดปกติสักนิด คงจะพลาดโอสถราชันนี่ไปแล้ว!


‘โลงน้ำแข็งนั่นปกคลุมเหนือโอสถราชันนี้ บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตบางชนิดซ่อนอยู่ในโลงน้ำแข็ง และอาศัยโอสถราชันนี้บ่มเพาะก็เป็นได้…’


หลินสวินครุ่นคิด


จากนั้นโดยไม่รอช้า เขายังคงขุดพื้นดินลงไปอีก ท่าทางไม่อยากให้เหลือแม้แต่ซาก พาให้เสี่ยวอิ๋นที่กำลังแทะแกนดาราอยู่มองด้วยอาการอึ้งงัน นายท่านนี่ช่างบ้าเกินไปแล้ว…


ทันใดนั้นมันก็กัดฟันคราหนึ่ง ดูคล้ายไม่ยอมน้อยหน้า ความเร็วในการแทะแกนดาราก็เร็วขึ้นด้วย


ใบหน้าของหนึ่งคนหนึ่งแมลงในยามนี้สามารถใช้คำว่าโหดเหี้ยทารุณสี่คำนี้มาอธิบายได้เลย หากผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้าก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร


“สมบัติล้ำค่านัก!”


หลังจากนั้นไม่นานหลินสวินได้พบโอสถราชันอีกต้นหนึ่ง พาให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาวยิ่งนัก


นี่คือต้นไม้สีแดงชาดราวยามสายัณห์ เหมือนกับหญ้าเกล็ดที่กำลังลุกไหม้ ขนาดเท่าฝ่ามือ ลำต้นและใบเรียวยาวราวกับแกะสลักจากหยกไฟ


มองอย่างถี่ถ้วน หญ้านี้มีลวดลายแปลกๆ ตามธรรมชาติ หลินสวินสังเกตอย่างระมัดระวังและค้นพบอย่างประหลาดใจว่า ลวดลายแปลกๆ เหล่านั้นถูกประทับไว้ด้วยแก่นอัศจรรย์ของมหามรรคธาตุไฟ!


นี่ทำให้เขาตระหนักถึงความพิเศษของสมุนไพรนี้มากขึ้นเรื่อยๆ


จากนั้น ‘หญ้าเพลิง’ ที่ขุดได้ก็ถูกหลินสวินเก็บไปเช่นกัน


จากนั้นเขาก็ยิ่งขมีขมันมากขึ้นเรื่อยๆ หมายมั่นปั้นมือขุดต่อไป…


ก็เห็นว่าบนพื้นดิน อาณาเขตของหลุมบ่อขยายออกไปเรื่อยๆ เศษหินถูกตัดเฉือนออกไปทีละส่วน และอันตรธานหายไปในน้ำทะเลสาบ


“ยังมีอีกจริงๆ ด้วย!”


ไม่ทันไรหลินสวินก็อดสูดหายใจไม่ได้


โอสถวิเศษถูกขุดออกมาอีกต้น นี่คือโป่งรากสนสีทองอร่าม แวววาวราวกับสร้างขึ้นจากมันแพะ รายล้อมด้วยละอองแสงสีทอง


ฟึ่บ!


แต่ในยามนั้นเอง แสงเคลื่อนไหวสายหนึ่งโฉบพุ่งเข้ามา นั่นคือลูกศรสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่ง บาดตาสุดขีด โอบล้อมด้วยประกายอสนีน่ากลัว


หลินสวินยื่นมือคว้าออกไปและจับศรลูกนั้นเอาไว้ได้ ฝ่ามือปกคลุมด้วยพลังมรรคดับดารากลืนกิน สลายพลังทะลุทะลวงน่าสะพรึงบนศรลูกนี้อย่างเงียบงัน


พร้อมกันนั้นหลินสวินก็เห็นมือซุ่มโจมตี นั่นคือชายในชุดคลุมทองที่อาบไล้ด้วยอสนีสีน้ำเงิน บินโฉบเข้ามาจากที่ห่างไกล


เขาถือคันธนูกระดูกขนาดใหญ่ไว้ในมือ กลิ่นอายสะท้านสะเทือนผู้คน


“สหาย สถานที่นี้ถูกข้ายึดครองแล้ว จะให้โอกาสเจ้าสักหน ไปจากสายตาของข้าเดี๋ยวนี้!” ชายในชุดคลุมสีทองเย็นชาและเผด็จการ


ขณะพูดดวงตาของเขาก็กวาดไปที่โป่งรากสนสีทอง เขาไม่ได้ปิดบังความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการครอบครองเลยสักนิด


“เจ้ามาจากเผ่าปีกอสนีหรือ” หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น


“ถือว่าเจ้ายังตาแหลมอยู่บ้าง ในเมื่อรู้ว่าข้ามาจากไหนยังไม่รีบไสหัวไปอีก?” เสียงชายหนุ่มชุดคลุมทองไม่ดังนัก แต่แฝงกลิ่นอายเย่อหยิ่งและเผด็จการ


เขารูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา มีปีกอสนีวายุที่ล้อมร้อบด้วยรัศมีสายฟ้าสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่ง ทำให้ทั้งตัวเขาลุกโชนราวกับเป็นวิญญาณอสนี


“เหอะๆ ที่แท้เจ้านายเป็นอย่างไรข้ารับใช้ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย” หลินสวินยิ้ม เดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว


สิงอี่เทียน!


บุคคลชั้นแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งเผ่าปีกอสนี เคยได้รับคำชี้แนะจากอริยะ กล้าหาญชาญชัย ประหนึ่งนายแห่งอัสนี มีชื่อเสียงในแดนชัยบูรพา


นี่เป็นข้อมูลที่แม่นางเยวี่ยเคยบอกหลินสวิน ดังนั้นจึงเดาทุกอย่างได้ในพริบตา


“หืม?” สิงอี่เทียนอึ้งงัน ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาของเขาสะท้อนประกายสายฟ้า “ข้ารับใช้ของข้าคนนั้นถูกเจ้าฆ่าตายหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 974 อานุภาพแห่งแก่นมรรค

 

หลินสวินกล่าวอย่างง่ายๆ “เขารนหาที่ตาย จากนั้นเขาก็ตายจริงๆ ทางที่ดีเจ้าอย่าเลียนแบบเขาจะดีกว่า”


สิงอี่เทียนยิ้ม รอยยิ้มของเขาเย็นชาและชวนสยอง กล่าวว่า “รนหาที่ตายหรือ ข้าว่าเจ้าคร้านจะมีชีวิตแล้วจริงๆ ฆ่าคนของข้า ยังกล้าพูดลอยหน้าลอยตา เจ้าเสียสติไปแล้วจริงๆ!”


น้ำเสียงของเขาไม่สูงนัก แต่มีไอสังหารท่วมท้นทะลักขึ้น ปีกวายุอสนีไหลเวียนด้วยรวงสายฟ้าสีน้ำเงิน อานุภาพน่ากลัว


ในเวลานี้มีเงาร่างมากมายปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณก้นทะเลสาบ เมื่อพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างก็ตกใจ ไม่ได้เข้าใกล้ เลือกที่จะมองอยู่ห่างๆ


ขณะเดียวกันพวกเขายังสังเกตเห็นโป่งรากสนสีทองที่เพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากพื้นดิน แววตาล้วนแปลกไป


มีวาสนาซุกซ่อนในศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่นี้จริงๆ ด้วย!


“นายน้อยรีบฆ่าเขาเถอะ หาไม่หากมีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเริ่มลำบากเอา” กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวส่วนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ แต่ละคนล้วนมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งทรงพลัง สายตาชวนสยอง


ดูจากท่าทางของพวกเขา ทั้งหมดล้วนเป็นข้ารับใช้ของสิงอี่เทียน!


“ก็ดี พวกเจ้าจับตาดูคนอื่นๆ ข้าจะไปฆ่าเจ้าบ้านี่” สิงอี่เทียนเอ่ยปากราวกับพูดเรื่องไม่สลักสำคัญ


วู้ม!


เขายกธนูกระดูกขาวขนาดใหญ่ขึ้นมา ขึ้นลูกศรอสนีสีน้ำเงินเข้มบนสายธนู ง้างมันเบาๆ น้ำทะเลสาบหอบม้วนพลิกตลบโดยพลัน


จากนั้นระลอกคลื่นน่าสยองก็ปรากฏขึ้น วิวัฒน์กลายเป็นเงามายาวิญญาณอสนีตนหนึ่ง!


“เฮือก!” ทุกคนสูดหายใจเย็นเยียบ ล้วนจ้องไปที่คันธนูใหญ่ สายธนูสีน้ำเงินเข้มนั่นเป็นดั่งแสงไหลเคลื่อน ปรากฏลายมรรคหนาแน่น แปลกพิศวงหาใดเปรียบ


เงามายาวิญญาณอสนีตนนั้นถูกวิวัฒน์มาจากลายมรรคเหล่านี้ หยัดตระหง่านภาคภูมิในห้วงอากาศ น้ำทะเลสาบล้วนถอยหลีก เงามายาสูงมากกว่าสิบจั้ง เต็มไปด้วยกระแสอสนีคอยปกป้องสิงอี่เทียน


ภาพนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว


ทุกคนตระหนักดีว่าธนูใหญ่คันนี้มีที่มาไม่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีแต่สมบัติโบราณลึกลับเท่านั้นที่จะแสดงพลังปานนี้ออกมาได้!


หลินสวินเลิกคิ้ว ทั่วร่างทอประกายใส แต่เขาไม่กล้าชะล่าใจ


กลิ่นอายที่สิงอี่เทียนปลดปล่อยออกมานั้น เทียบกับพวกอวี่หลิงคงและซุ่นไป๋เสวียนแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไร เป็นอย่างที่แม่นางเยวี่ยว่า คนๆ นี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก


วู้ม!


พูดเหมือนช้าแต่กลับรวดเร็วยิ่ง สิงอี่เทียนง้างสายธนูจนเหมือนพระจันทร์เต็มดวง พาให้กลิ่นอายทั่วตัวเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ปลดปล่อยพายุอสนีเดือดพล่าน วิญญาณอสนีตนนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมองเหยียดหยันหลินสวิน


ตู้ม!


ลูกศรสีน้ำเงินเข้มพุ่งออกมา ทำลายขีดจำกัด อานุภาพคับฟ้า!


ดวงตาสีดำของหลินสวินหดรัดลงกะทันหัน ร่างพริบไหวเบี่ยงหลบไปด้านข้าง ลูกศรของคู่ต่อสู้เป็นอาวุธสังหารชิ้นโต แม้ว่าไม่ใช่สมบัติอริยะ แต่พลังของมันกลับเรียกได้ว่าน่าสะพรึง


ในขณะที่เบี่ยงหลบ เขาก็เก็บโป่งรากสนสีทองจากพื้นไปตั้งแต่ต้นแล้ว หาไม่คงถูกศรนี้ทำลายอย่างแน่นอน!


ตู้ม!


ยามเสียงระเบิดน่ากลัวดังขึ้น ลูกศรน้ำเงินเข้มได้พุ่งเข้ามาพาให้ห้วงอากาศระเบิดกระจุย เสียงดังครืนครัน พลิกคลื่นพุ่งโหมสู่ท้องฟ้า


ฉัวะ!


ศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ระเบิดกระจุยกระจาย นี่เป็นเพียงแค่โดนอานุภาพที่กระจายอออกมาของศรนี้กวาดผ่านเท่านั้น


ส่วนลูกศรสีน้ำเงินเข้มนั้นพุ่งเข้าหาหลินสวินตั้งแต่ต้น ที่แปลกคือมันเหมือนกับมีวิญญาณ ไม่ว่าหลินสวินหลบไปทางใดมันล้วนตามกัดไม่ปล่อย!


หลินสวินเห็นดังนี้แววตาก็ทอประกาย บริเวณกระดูกสันหลังราวกับบิดตัวราวกับมังกรใหญ่ ง้างมือปลดปล่อยหมัดอานุภาพแพรวพราวออกมา ซัดสะเทือนศรดอกนี้


ตู้ม!


เมื่อสองฝ่ายปะทะกัน แสงเรืองรองเดือดพล่านซ่านเซ็น พาให้ที่แห่งนี้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ พายุอสนีดั่งกระแสน้ำ สุดท้ายพลังหมัดแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลายเป็นละอองแสง


ส่วนลูกศรก็ถูกซัดสะเทือน ส่งเสียงร้องโหยหวน พุ่งกลับไปที่มือของสิงอี่เทียนทันที


ในระยะไกล ในใจทุกคนตกตะลึง ลูกศรนี้ชวนทึ่งและน่ากลัวปานใด หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาคงถูกต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน แต่ยามนี้เด็กหนุ่มนั่นกลับใช้หมัดเปล่าสลายการโจมตีครั้งนี้!


“น่าสนใจ” นิ้วมือขวาทั้งห้าของหลินสวินชาหนึบ เอ็นกระดูกเริ่มปวดรางๆ จุดนี้พาให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก


เขายิ่งตระหนักมากขึ้นว่าที่มาของคันธนูและลูกศรในมือสิงอี่เทียนนั้นยิ่งใหญ่นัก ในใจก็ไม่ได้ดูเบา


“เฮอะ! สกัดลูกศรมือเปล่าหรือ น่าเสียดาย ลูกศรของข้าใช้พลังเพียงสามส่วนเท่านั้น ข้าล่ะอยากดูนักว่าต่อไปเจ้ายังจะสกัดมันได้หรือไม่!”


สิงอี่เทียนหัวเราะเยาะ เจือความหยิ่งผยองและดูแคลน


ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปต่างหวาดผวา สิงอี่เทียนเอาแต่ใจและหยิ่งผยองสมคำเล่าลือจริงเสียด้วย หากเมื่อครู่ลูกธนูมีพลังเพียงสามส่วนจริงๆ เช่นนั้นถ้าเขาแสดงพลังทั้งหมดออกมามันจะน่ากลัวปานใด


ตู้ม!


ลมฟ้าโหมกระหน่ำ ลูกศรสีน้ำเงินเข้มก็โฉบออกมาอีกครั้ง พัดโหมพายุคะนองอันน่ากลัว ประกายสายฟ้าสว่างเจิดจ้า ท่วมกลบพื้นที่แห่งนี้ไว้มิด


ลูกศรนี้ถูกเพิ่มพลังมหามรรคลงไป แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่อักโข!


มองจากไกลๆ มันเกือบจะเหมือนกับอสนีเคราะห์ที่เคลื่อนแหวกห้วงอากาศออกไป หากเปลี่ยนเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปจะต้องถูกบดขยี้ในศรเดียวอย่างแน่นอน!


นี่ยังจะต้านทานได้อย่างไร


“หลีก!”


หลินสวินร้องเสียงขรึม พลังหมัดเรียบง่ายเวิ้งว้างสั่นสะเทือนฟ้าดิน สำแดงความเร้นลับดั้งเดิมของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์


ห้วงอากาศพังทลายลงกะทันหัน พลังหมัดนั้นแทบจะเหมือนกับสัญลักษณ์มหามรรค เผยกลิ่นอายหวนกลับสู่ธรรมชาติดั้งเดิม ขวางสกัดศรนี้เอาไว้


ตู้ม!


บริเวณนั้นหวีดคำราม ก้นทะเลสาบปั่นป่วน เหมือนน้ำในหม้อที่เดือดปุดๆ


ในที่สุดศรนี้ก็ถูกสกัดกั้น พลังถูกสลาย เพียงแต่ตอนที่หลินสวินจะกักขังศรนี้ไว้ ลูกศรนั้นก็พริบไหวแปลกประหลาด และย้อนกลับไปที่มือของสิงอี่เทียนอีกครั้ง


ศรดี!


หลินสวินยืนอยู่ที่นั่น แต่ในใจตัดสินได้คร่าวๆ ว่าพลังของลูกศรนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าศรนภาครามของตนเลย!


ในเวลาเดียวกันสีหน้าสิงอี่เทียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้งแรกที่ถูกหยุดไว้ได้อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ครั้งที่สองก็ยังถูกสลายพลังอีก นี่ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว


ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้คันธนูและศรคู่นี้ยิงสังหารราชันกึ่งระดับที่แท้จริงมาแล้ว!


จุดนี้คือสิ่งที่ทำให้เขากล้าเสี่ยงมายังก้นทะเลสาบสีเงินนี้ ต่อให้จะมีคู่ต่อสู้เป็นพวกราชันกึ่งระดับทั้งกลุ่ม เขาก็ไม่เคยหวั่นกลัว


แต่ยามนี้เขากลับมองหลินสวินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ออก


“เจ้าเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแล้ว?” สิงอี่เทียนขมวดคิ้ว


“หยุดพูดไร้สาระ ถ้าเจ้ามีปัญญาก็สู้ต่อ แต่ถ้าไม่ก็รอถูกเชือดคอเถอะ” หลินสวินยิ้ม


ดวงตาของสิงอี่เทียนเย็นชา เขาเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจว่าคู่ต่อสู้ที่มีรากฐานระดับนี้ยากจะต่อกรปานใด


“รีบไปตายหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง!” สีหน้าเขาเย็นชา ทั่วร่างแสงสายฟ้าพวยพุ่ง ผมยาวพลิ้วสยาย


วู้ม!


สายธนูกู่ก้องดังสนั่น เพียงเขาตะคอกออกมาคำเดียวศรดอกที่สามก็พุ่งออกไป


อานุภาพศรดอกนี้แตกต่างออกไป แว่วเสียงท่วงทำนองมรรคเก่าแก่ไพศาล สั่นสะเทือนทะเลสาบผืนนี้จนแทบพังทลาย


หัวใจของหลินสวินไหวสะท้าน ทั้งตัวเปล่งประกาย สำแดงนัยเร้นลับของดับดารากลืนกิน พาให้ทั้งตัวประหนึ่งกลายเป็นเหวลึกที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้


พร้อมกันนั้นหมัดของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย!


นี่คือมรรคดับดารากลืนกินที่บรรลุระดับท่วงทำนองมรรค อานุภาพมหาศาล สามารถกลืนเวิ้งฟ้าทำลายผืนดิน!


“นี่…”


สิงอี่เทียนตกตะลึง พลังที่อีกฝ่ายสำแดงออกมานั้นเหนือการคาดเดาของเขา โดยเฉพาะในยามนี้ พลังเจตจำนงมรรคที่คละคลุ้งทั่วร่างอีกฝ่ายพาให้เขารู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง


นี่คือมหามรรคอะไรกัน


ตู้ม!


พลังหมัดคำราม ระเบิดแสงมหาศาล ราวกับหลุมดำน้ำวนโผล่กลางห้วงอากาศ ถึงกับกลืนกินศรดอกนี้เข้าไป!


ทุกคนต่างมองเห็น ว่าศรที่แทบต้านทานไม่ได้ดอกนี้ถูกสกัดกั้นทีละส่วน พลังของมันก็ถูกทำลายและกลืนหายไป เมื่อมาถึงหมัดของหลินสวินก็ไม่ได้ทรงอานุภาพอีกต่อไป


เสียงดังปึงหนึ่งครา แต่พลังหมัดนั้นยังคงอยู่ ซัดกระแทกจนลูกศรสีน้ำเงินเข้มโหยหวน สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


ทุกคนหนังศีรษะชาหนึบ มือเปล่า ไม่ได้ใช้สมบัติใดๆ แต่กลับซัดลูกศรสังหารของสิงอี่เทียนสามครั้งติดต่อกัน!


นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


ในเวลาเดียวกันสีหน้าสิงอี่เทียนก็เปลี่ยนไป เขาไม่ลังเลที่จะเรียกลูกศรกลับมา จากนั้นก็ง้างธนูเต็มเหนี่ยวยิงออกไปเต็มกำลัง


ครืน!


ในขณะนี้วิญญาณอสนีก็ออกเคลื่อนไหวแล้ว พุ่งไปพร้อมกับลูกศรสีน้ำเงินเข้มเข้ากำราบไปทางหลินสวิน


นี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของสิงอี่เทียนอย่างไม่ต้องสงสัย!


ผู้ฝึกปราณหลายคนตกใจมากจนถอยห่างไม่หยุด ไม่กล้าเข้าใกล้สักนิดด้วยเกรงว่าจะถูกลูกหลง


ใต้ทะเลสาบสีเงินทั้งผืนปั่นป่วน เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างแห่งอสนี ประดุจมีอสนีเคราะห์ฟาดผ่าลงมา


“ศรนี้ ข้าอยากดูนักว่าเจ้าจะสกัดมันอย่างไร!” สิงอี่เทียนตะคอกราวกับฟ้าคำราม เผด็จการไม่มีใครเทียบได้


ไม่อาจไม่พูด การโจมตีครั้งนี้วิปริตจริงๆ พาให้หลินสวินเองก็รู้สึกกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


เขาหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้รั้งรออีก ซัดหมัดออกไปอีกครั้ง


วู้ม!


พริบตานั้นทะเลสาบที่เดิมทีปั่นป่วนวุ่นวายก็หยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง กลิ่นอายเวิ้งว้างอย่างบอกไม่ถูกพุ่งออกจากหมัดของหลินสวิน


นี่เป็นหมัดแบบนไหนกัน


ราวกับมหาสมุทร สามารถบรรจุหมื่นสรรพสิ่ง! ทั้งยังมีอานุภาพประดุจทำลายได้ทุกสิ่ง ทันทีที่ซัดออกไป คล้ายสามารถทะลวงผ่านกาลเวลาและความว่างเปล่า แข็งแกร่งและอมตะ!


นี่ก็คือพลังแห่งแก่นมรรค!


หมัดเดียว เผยให้เห็นถึงแก่นแท้ที่แฝงอยู่ในมหามรรคธาตุน้ำ สำแดงอานุภาพสูงสุดของมรรคนี้ออกมา!


นี่เป็นอานุภาพที่หลินสวินตั้งใจทดลองใช้พลังแก่นมรรค เพราะไม่เคยสำแดงมันมาก่อนเลยสักครั้ง


ตูม!


ทั่วทั้งทะเลสาบสีเงินดูคล้ายไม่สามารถทนต่อแรงกดดันนี้ได้ แตกระเบิดโดยพลัน น้ำในทะเลสาบที่ไหลเชี่ยวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบ พังครืนจมดิ่งลงเช่นกัน


พวกแม่นางเยวี่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในกระบวนผนึกต่างตกใจ ราวกับว่าได้เห็นหายนะที่อุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตา


ในเวลาเดียวกันด้านล่างของทะเลสาบ วิญญาณอสนีตนนั้นยังไม่ทันสำแดงเดชก็ถูกพลังหมัดซัดระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนสลายกลายเป็นละอองแสง


ส่วนลูกศรสีน้ำเงินเข้มนั้นถูกซัดกระจุยจนส่งเสียงโหยหวน!


ฟุ่บ!


สิงอี่เทียนโดนพลังสะท้อนกลับเจ็บแปลบที่หัวใจ กระอักเลือดออกมาอย่างไม่อาจกลั้นได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว


พลังแห่งแก่นมรรค!


เป็นไปได้อย่างไร


นี่ไม่ใช่พลังมหามรรคที่มีเพียงระดับราชันเท่านั้นจึงจะสามารถหยั่งถึงและควบคุมได้หรือ


หัวใจของเขาสั่นสะท้าน สายตาที่จับจ้องหลินสวินเหมือนมองเห็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจใช้ความเข้าใจทั่วไปไปคาดคะเนได้!


“เจ้าก็รับกระบวนท่านี้ของข้าด้วย!”


หลินสวินโถมเข้ามา กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไป แหลมคมเด็ดขาดราวกับกระบี่เซียนไร้เทียมทาน มีไอสังหารครอบจักรวาล กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกทำลาย


นี่คือการสะท้อนให้เห็นแก่นมรรค


ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดอ่อนโยนไปกว่าน้ำ แต่ความแข็งแกร่งใดๆ กลับเอาชนะมันไม่ได้!


ครึ่งประโยคแรก มีนัยถึงแก่นอัศจรรย์แห่งความไพศาลที่สามารถบรรจุรับได้ทุกอย่าง ครึ่งประโยคหลังกลับหมายถึงวิถีสังหารอันแข็งกร้าว สามารถทำลายภูผาธาราอย่างไม่มีใครเทียบได้


ในสมัยโบราณมีอริยะกล่าวว่า ความดีก็เหมือนสายน้ำ!


สิงอี่เทียนแข็งแกร่งมาก เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน มีชื่อเสียงในแดนชัยบูรพา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินที่พุ่งเข้ามา เขากลับรู้สึกกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แทบหายใจไม่ออก


หัวใจของเขาสั่นสะท้าน รีบเบี่ยงหลบโดยเร็ว แต่ก็ยังถูกหมัดของหลินสวินซัดเข้าให้อยู่ดี


ตึง!


ร่างของเขาราวกับถูกภูเขาชนกระแทก ลอยคว้างออกไปอย่างแรง ในระหว่างนี้เอ็นและกระดูกของเขาส่งเสียงเสียดสีดังกรอบแกรบราวกับทนรับไม่ไหว


ทวารทั้งเจ็ดของเขาหลั่งโลหิต แม้แต่จิตวิญญาณยังส่งสัญญาณแห่งการล่มสลาย


ทันใดนั้นเขาก็ร้องออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเหยเก เลือดสดๆ ไหลเอ่อ น่าสยดสยองเป็นที่สุด!

 

 

 


ตอนที่ 975 ศรเทพศิโรราบ

 

สิงอี่เทียนล้มลงกับพื้นเสียงดังปึง หมดสภาพสิ้นดี


เขาเลือดออกเจ็ดทวาร พาให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูน่ากลัวและสยดสยองเป็นพิเศษ


ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง ทรงพลังแข็งแกร่งอย่างสิงอี่เทียนยังพ่ายแพ้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะต้องเป็นปีศาจไร้เทียมทานอย่างแน่นอน!


“เจ้าถึงกับทำให้ข้าบาดเจ็บรึ!” สิงอี่เทียนแทบไม่อยากเชื่อ เดือดพล่านอย่างสิ้นเชิง


ตู้ม!


ปีกคู่ด้านหลังแผ่กาง ประกายสายฟ้าสีน้ำเงินเข้มไหลหลั่งออกมาราวกับงูมังกรที่วิวัฒน์จากสายฟ้า พุ่งโถมเข้าหาหลินสวิน เสียงกึกก้องของสายฟ้าสะเทือนวิญญาณของผู้คน


เขาเดือดดาลสุดฤทธิ์ ตัวเขาเป็นบุคคลแห่งยุค ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่อายุยังน้อย เคยได้รับถ่ายทอดวิชาจากอริยะโดยตรง ไหนเลยจะเคยประสบกับการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่เช่นนี้


“เอาชีวิตมา!” เขาคำราม ง้างคันธนู เสียงวู้มดังขึ้น เงาแวววาวของวิญญาณอสนีปรากฏขึ้นราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์


สีหน้าของเขาคล้ำเขียวบิดเบี้ยว การถูกคนซัดกำราบเช่นนี้เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างยิ่งสำหรับเขา หากแพร่งพรายออกไปก็อับอายขายขี้หน้าเกินไปแล้ว


วู้ม!


ในขณะที่สายธนูคลายออก รุ้งวิเศษสีน้ำเงินเข้มพร่าตาสายหนึ่งพุ่งยิงออกมา ยาวสิบกว่าจั้ง ล้อมรอบไปด้วยลวดลายมรรควายุอสนี


ในเวลาเดียวกันวิญญาณอสนีก็เคลื่อนไหว พ่นแสงสีขาวแหลมคมถึงขีดสุดราวกับใบมีดเฉือนจักรวาล


ทั่วกายหลินสวินพลุ่งพล่านด้วยกลิ่นอายแก่นอัศจรรย์แห่งธาตุน้ำ พลั่งในร่างโหมคลั่ง สำแดงวิชาแห่งตนจนถึงระดับสูงสุด


ทั้งตัวเขาเป็นเหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เวิ้งว้างไร้ขอบเขต บรรจุพลังยิ่งใหญ่พาให้ผู้คนร้องอุทาน


และในกระบวนการนั้น จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ ควบรวมประทับฝ่ามือน่าพิศวงกลางห้วงอากาศ เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำแผ่ออกมา เงาร่างหงส์ทมิฬปรากฏขึ้น ปลดปล่อยเเสงแห่งการดับสูญ


วิชาจุติหงส์ทมิฬ!


วิชามรรคโบราณวิชาหนึ่งที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในยุคบรรพกาล มีอานุภาพในการดับสิ้นวิญญาณทั้งมวล เรียกได้ว่าเป็นมรรคสังหารชั้นหนึ่งในโลก


นี่เป็นวิชาที่หลินสวินได้ศึกษาและหยั่งรู้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาจาก ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ หลินสวินไม่จำเป็นต้องเสาะสำรวจเพียงลำพัง เพราะในนั้นมีคำอธิบายและคำแนะนำอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เขายึดกุมความเร้นลับของวิชานี้ได้ตั้งแต่ก้าวแรก!


หงส์ทมิฬวนอ้อม ขนปีกสาดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ดับสิ้นน สังหารลูกศรนี้อย่างลึกลับและน่ากลัว


อย่างไรก็ตามลูกศรนี้ทรงพลังมาก ยิ่งโจมตีออกมาด้วยความโกรธของสิงอี่เทียน อานุภาพจึงยากจะเทียบได้ ฉีกทึ้งเปลวเพลิงจุติหงส์ทมิฬให้สลายกลายเป็นละอองแสง


สิ่งนี้พาให้หลินสวินไหวหวั่น ตระหนักได้ว่าเป็นพลังของลูกศรนั่นตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ถึงได้เปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งปานนี้


แต่นี่ก็ตรงตามความต้องการของหลินสวินพอดี สองมือเขาขยับเคลื่อน สำแดงแก่นแท้ของวิชาจุติหงส์ทมิฬ อาศัยสิ่งนี้มาขัดเกลาและเคี่ยวกรำ


โครม!


บริเวณนี้ปั่นป่วน ทะเลสาบสีเงินระเหยหาย แผ่นดินแห้งแตกระแหง ผู้ฝึกปราณทั้งหมดที่เฝ้าดูการต่อสู้อาศัยจังหวะนี้ถอยหลบไปไกลๆ


“เป็นพี่หลินสวิน!” ในกระบวนผนึกริมทะเลสาบ เสี่ยวเหออุทานอย่างตื่นเต้น


“คุณชายหลินสวินไม่เป็นไรจริงๆ ด้วย แต่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นใคร ถึงขั้นทรงพลังขนาดนี้” พวกโค่วซิงประหลาดใจก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นก็สีหน้าพลันเคร่งขรึม สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของสิงอี่เทียน


“เป็นสิงอี่เทียนจริงๆ ด้วย” นัยน์ตาแม่นางเยวี่ยหดรัด เผยสีหน้านึกขึ้นได้


ตูม!


ในห้วงอากาศ วิญญาณอสนีคำรามราวกับมีตัวตนจริงๆ ถือค้อนสายฟ้าทุบสังหาร พาให้เงามายาหงส์ทมิฬอ่อนแสงลงและถูกทำลายในที่สุด


ในขณะเดียวกันลูกศรสีน้ำเงินเข้มก็พุ่งยิงไปทางหลินสวิน ดุร้ายและเผด็จการ ประกายสายฟ้าเจิดจ้า


หลินสวินถอนหายใจในใจ เขาเพิ่งเรียนรู้วิชาจุติหงส์ทมิฬไปเพียงผิวเผิน มีอานุภาพไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกซับยับเยินเช่นนี้เด็ดขาด


วู้ม!


ทันใดนั้นพลังทั่วร่างเขาเปลี่ยนไป ร่างกายปรากฏแสงธรรมสีดำไพศาลไหลเวียน รูปลักษณ์ดูเคร่งขรึม ราวกับมุนินทร์ข้ามโลกีย์


ในความมึนงง ทุกคนรู้สึกว่าหลินสวินในยามนี้ดูเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทั่วร่างสะท้อนเสียงสวดท่องธรมดังก้อง ดุจดั่งฟ้าคำราม


นี่คือ ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ มรดกของอารามกษิติครรภ์!


ตูม!


เมื่อเขากดฝ่ามือ ประทับธรรมสีดำก็ควบรวมกลางห้วงอากาศ


ทันใดนั้นหมื่นเคราะห์ดับสิ้น มหาปัญญาอัดแน่นทั่วฟ้าดิน ราวกับว่าแม้แต่ห้วงอากาศก็สามารถพังทลายได้


“มรดกของอารามกษิติครรภ์หรือ” แม่นางเยวี่ยตกใจ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าในอารามโบราณนั้นนอกจากวิชาจุติหงส์ทมิฬแล้ว เกรงว่าหลินสวินจะได้รับวาสนาอีกไม่น้อย!


สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นวิชาจุติหงส์ทมิฬ หรือมรดกวิชาของอารามกษิติครรภ์ ต่างมีข้อกำหนดและข้อจำกัดมากมายต่อผู้ฝึกปราณ


ดังเช่นในอดีต หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่ปลุกสายเลือดหงส์เซียนแทบจะไม่สามารถฝึกวิชานี้ได้


แต่สำหรับหลินสวิน ข้อจำกัดนี้ดูเหมือนจะถูกทลายแล้ว!


ปึงๆๆ!


ประทับธรรมพาดขวางกลางฟ้า กระแทกลูกศรสีน้ำเงินเข้ม ซัดสะเทือนพาให้เกิดเสียงหึ่งๆ และพ่ายแพ้ในที่สุด หวีดโหยแตกตื่นไปเก้าชั้นฟ้า


“เป็นไปได้… อย่างไรกัน!?” สิงอี่เทียนตระหนกและประหลาดใจสุดขีด ครั้งนี้เขาไม่ได้ยั้งมือ โจมตีด้วยกำลังทั้งหมด แต่กลับยังถูกทำลาย!


หลินสวินพุ่งปราดเข้ามาเสียงดังสวบ กลางห้วงอากาศมองเห็นดอกบัวสีดำบานขึ้นดอกแล้วดอกเล่าตามจุดที่เขาก้าวผ่าน ส่องแสงเรืองรอง แสงธรรมสาดพรม


บัวบานในทุกย่างก้าว! เหมือนกับตำนานที่มุนินทร์ก้าวข้ามห้วงอากาศ ไม่ว่าผ่านไปที่ใดแท่นดอกบัวล้วนปรากฏ แสงธรรมสาดส่อง!


ในที่สุดสิงอี่เทียนก็ตระหนักได้ว่าครั้งนี้เขาเจอปัญหาหนักหน่วงแล้ว ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเกินความคาดหมายของเขาอีกครั้ง


“คราวหน้าข้าจะฆ่าเจ้า!” เขาไม่สบายใจ แม้รู้สึกอับอายมากแต่ก็ตัดสินใจถอยหนีอย่างเด็ดขาด


แม้ว่าเขาจะเผด็จการและเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ใช่พวกประมาทผลีผลาม ในยามนี้เกิดความระมัดระวังอย่างมาก และสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าที


วู้ม! ปีกอสนีของเขาสั่นกระเพื่อม หมุนตัวแล้วจากไป


แต่หลินสวินนั้นฉับไวมาก พริบตาเดียวก็ไล่ตามทัน กดฝ่ามือหนึ่งลงไป!


ฝ่ามือนี้มีแฝงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งการข้ามทุกข์ มีกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง


สิงอี่เทียนสังเกตถึงความผิดปกติ ง้างคันธนูและยิงศรออกไปโดยไม่ลังเล


เสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าสะท้านดิน ฝ่ามือนี้ของหลินสวินถูกซัดปราชัย แต่ในขณะเดียวกันชือน้ำแข็งตัวหนึ่งทะยานฟ้า องอาจราวกับมังกรขาวเจิดจ้า สะบัดหางโปกกลางห้วงอากาศ


เปรี้ยง!


ร่างของสิงอี่เทียนถูกสะบัดกระเด็นออกไป กระดูกทั่วกายแตกหักไม่รู้เท่าไร เลือดสดๆ พุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ


ทั่วทั้งบริเวณต่างเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ


จอมเผด็จการและแข็งกร้าวเช่นสิงอี่เทียนถึงกับถูกสยบด้วยวิธีนี้หรือ


นี่พาให้ผู้คนแทบไม่อยากเชื่อ


เรื่องมาถึงตอนนี้ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยแล้ว ต่อให้ข้ารับใช้ของสิงอี่เทียนจะเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีและเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็สายไปแล้ว


หลังจากประมือกันหลายสิบกระบวนท่า สิงอี่เทียนก็กรีดร้องเกือบจะถูกเคล็ดวิชามหากษิติครรภ์ของหลินสวินสังหาร เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ใกล้ถึงแก่ความตาย


ชิ้ง!


ขณะเดียวกัน ในที่สุดหลินสวินก็หาจังหวะคว้าลูกศรสีน้ำเงินเข้มนั้นเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา


แต่ลูกศรนี้ราวกับมีจิตวิญญาณ ไม่เต็มใจที่จะถูกจับ บังเกิดพลังขัดขืนที่น่าสะพรึง ถึงกับน่ากลัวกว่าพลังของสิงอี่เทียนเสียอีก


โดยไม่ทันตั้งตัว นิ้วของหลินสวินแทบจะขาด!


หลินสวินตกใจ กำราบลูกศรนี้ไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรโดยไม่ลังเลทันที


ถึงกระนั้นลูกศรนี้ก็ยังดิ้นหลุดจากการสยบของแสงมรรคทองนิลกาฬ เคลื่อนกระแทกอาละวาดในเจดีย์สมบัติ แสดงถึงความมหัศจรรย์อย่างที่สุด


“เจ้าโง่ ลูกศรนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่สามารถกำราบได้! เจ้าก็รอประสบเคราะห์ไปเถอะ!”


แม้ว่าสิงอี่เทียนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้หลังจากเห็นภาพเหตุการณ์นี้


เขารู้ถึงพลังของลูกศรนี้เป็นอย่างดี ในยุคบรรพกาลเคยยิงใส่อาทิตย์ดวงใหญ่บนฟากฟ้า น่าสะพรึงหาที่สิ้นสุดไม่ได้


ใครก็ตามที่ต้องการกำราบมันจะต้องประสบกับการแว้งกัด!


“งั้นหรือ”


มุมปากหลินสวินโค้งองศาแปลกๆ ทันทีที่ความคิดไหวเคลื่อน คันธนูไร้แก่นสารก็ปรากฏขึ้นในเจดีย์สมบัติไร้อักษร คันธนูที่ราวกับหลอมขึ้นมาจากกระดูกกะโหลกแผ่กลิ่นอายคลุมเครือแต่เยียบเย็นออกมา


เพียงพริบตาเดียวลูกศรสีน้ำเงินเข้มก็ชะงักค้าง คล้ายรับรู้ถึงความน่ากลัว ถูกสะเทือนอยู่ตรงนั้น สั่นสะท้านเสียงดังหึ่งๆ ไม่ขาด


ทันใดนั้นหลินสวินก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง ในใจอดร้องอุทานไม่ได้ ศรดอกนี้ถึงกับมีแค่คันธนูไร้แก่นสารเท่านั้นถึงจะสามารถสยบได้ แค่คิดก็รู้ว่าวิเศษปานใด


ในเวลาเดียวกันสิงอี่เทียนก็กระอักเลือดออกมาคำโต หัวใจเจ็บปวดสาหัส เขาสัมผัสได้ว่าการเชื่อมต่อของตนกับลูกศรสีน้ำเงินเข้มถูกตัดขาดแล้ว!


เป็นไปได้อย่างไร


เขาตกใจแทบทรุด


เหตุผลที่เขาสามารถเรียกใช้งานศรนี้ได้ ก็เพราะภายในกายถูกอริยะผู้ฝังรอยประทับลึกลับเอาไว้ แต่ยามนี้ประทับนี้กลับถูกทำลายแล้ว!


“ตาย!”


หลินสวินโถมเข้ามาโดยไม่ลังเล


แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้ ก็เห็นแสงสีทองที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างของสิงอี่เทียน พริบตาต่อมาทั้งตัวคนก็อันตรธานหายไปจากห้วงอากาศ


ยันต์มรรคจักจั่นทอง!


หลินสวินขมวดคิ้ว


‘บุคคลระดับนี้เหมือนกับมังกรบนท้องฟ้า เอาชนะได้แต่ไม่อาจฆ่าได้ง่ายๆ!’ แม่นางเยวี่ยถอนหายใจในใจ


นางเดาว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ต้น


สิงอี่เทียนเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์เผ่าปีกอสนี บนร่างแบกรับความหวังของคนทั้งเผ่า หากฆ่าง่ายปานนี้ เกรงว่าคงถูกขุมอำนาจศัตรูของเผ่าปีกอสนีส่งยอดฝีมือมาสังหารเขาตั้งนานแล้ว


เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


เผ่าพันธุ์บางกลุ่มมีความเกลียดชังกันมาโดยตลอด พวกเขาต้องการกวาดล้างคนรุ่นเยาว์ของอีกฝ่าย เพื่อสั่นคลอนรากฐานอิทธิพลของอีกฝ่าย


เนื่องจากมีกรณีจำพวกนี้เกิดขึ้นมากเกินไป บุคคลระดับสิงอี่เทียนจึงเป็นคนสำคัญที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนาจากเผ่าปีกอสนี ย่อมไม่อาจยอมให้เกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ


“เจ้าคอยดูเถอะ! ช้าเร็วสักวันข้าจะมาเอาชีวิตเจ้าด้วยตัวเอง!” แม้ว่าสิงอี่เทียนจะจากไป แต่กลางห้วงอากาศก็ยังมีเสียงตะโกนของเขาสะท้อนออกมาอย่างไม่พอใจและเดือดดาล


‘ควรคิดหาทางแก้ไขเรื่องพรรค์นี้ได้แล้ว…’ หลินสวินพูดกับตัวเอง


ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ เขาได้พบกับเหตุการณ์คล้ายๆ กันหลายครั้ง มักถูกอีกฝ่ายหนีรอดด้วยวิธีการต่างๆ ในช่วงเวลาสุดท้ายเสมอ


เช่นเดียวกับอวี่หลิงคง หรือสิงอี่เทียนเมื่อครู่นี้ ทั้งสองล้วนเป็นเช่นนี้


หลินสวินรู้ดีว่าตราบใดที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ก็จะกลายอันตรายที่แฝงเร้น หากสิ่งที่คล้ายกันเกิดขึ้นในอนาคต ปัญหาก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น


‘ถ้าสามารถก้าวสู่ระดับราชันได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น แต่ก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้หนีไป นอกจากจะสำแดงพลังของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและเจดีย์สมบัติไร้อักษรแล้ว การใช้พลังอื่นๆ ล้วนไม่อาจยับยั้งอีกฝ่ายไว้ได้…’


หลินสวินรู้ดีว่าคนอย่างสิงอี่เทียนมีไม้เด็ดมากมาย ถึงแม้จะไม่มียันต์มรรคจักจั่นทอง แต่ก็ยังมีวิธีอื่นในการหนีออกไปอยู่ดี


เป็นอย่างที่แม่นางเยวี่ยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คิดจะฆ่าบุคคลแห่งยุคจากขุมอำนาจใหญ่เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ


หลินสวินไม่คิดอะไรอีก ทอดสายตามองคนหนุ่มสาวหลายคนที่อยู่ห่างออกไป พวกเขาเป็นบริวารของสิงอี่เทียน


——


สิงอี่เทียนล้มลงกับพื้นเสียงดังปึง หมดสภาพสิ้นดี


เขาเลือดออกเจ็ดทวาร พาให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูน่ากลัวและสยดสยองเป็นพิเศษ


ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง ทรงพลังแข็งแกร่งอย่างสิงอี่เทียนยังพ่ายแพ้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะต้องเป็นปีศาจไร้เทียมทานอย่างแน่นอน!


“เจ้าถึงกับทำให้ข้าบาดเจ็บรึ!” สิงอี่เทียนแทบไม่อยากเชื่อ เดือดพล่านอย่างสิ้นเชิง


ตู้ม!


ปีกคู่ด้านหลังแผ่กาง ประกายสายฟ้าสีน้ำเงินเข้มไหลหลั่งออกมาราวกับงูมังกรที่วิวัฒน์จากสายฟ้า พุ่งโถมเข้าหาหลินสวิน เสียงกึกก้องของสายฟ้าสะเทือนวิญญาณของผู้คน


เขาเดือดดาลสุดฤทธิ์ ตัวเขาเป็นบุคคลแห่งยุค ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่อายุยังน้อย เคยได้รับถ่ายทอดวิชาจากอริยะโดยตรง ไหนเลยจะเคยประสบกับการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่เช่นนี้


“เอาชีวิตมา!” เขาคำราม ง้างคันธนู เสียงวู้มดังขึ้น เงาแวววาวของวิญญาณอสนีปรากฏขึ้นราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์


สีหน้าของเขาคล้ำเขียวบิดเบี้ยว การถูกคนซัดกำราบเช่นนี้เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างยิ่งสำหรับเขา หากแพร่งพรายออกไปก็อับอายขายขี้หน้าเกินไปแล้ว


วู้ม!


ในขณะที่สายธนูคลายออก รุ้งวิเศษสีน้ำเงินเข้มพร่าตาสายหนึ่งพุ่งยิงออกมา ยาวสิบกว่าจั้ง ล้อมรอบไปด้วยลวดลายมรรควายุอสนี


ในเวลาเดียวกันวิญญาณอสนีก็เคลื่อนไหว พ่นแสงสีขาวแหลมคมถึงขีดสุดราวกับใบมีดเฉือนจักรวาล


ทั่วกายหลินสวินพลุ่งพล่านด้วยกลิ่นอายแก่นอัศจรรย์แห่งธาตุน้ำ พลั่งในร่างโหมคลั่ง สำแดงวิชาแห่งตนจนถึงระดับสูงสุด


ทั้งตัวเขาเป็นเหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เวิ้งว้างไร้ขอบเขต บรรจุพลังยิ่งใหญ่พาให้ผู้คนร้องอุทาน


และในกระบวนการนั้น จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ ควบรวมประทับฝ่ามือน่าพิศวงกลางห้วงอากาศ เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำแผ่ออกมา เงาร่างหงส์ทมิฬปรากฏขึ้น ปลดปล่อยเเสงแห่งการดับสูญ


วิชาจุติหงส์ทมิฬ!


วิชามรรคโบราณวิชาหนึ่งที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในยุคบรรพกาล มีอานุภาพในการดับสิ้นวิญญาณทั้งมวล เรียกได้ว่าเป็นมรรคสังหารชั้นหนึ่งในโลก


นี่เป็นวิชาที่หลินสวินได้ศึกษาและหยั่งรู้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาจาก ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ หลินสวินไม่จำเป็นต้องเสาะสำรวจเพียงลำพัง เพราะในนั้นมีคำอธิบายและคำแนะนำอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เขายึดกุมความเร้นลับของวิชานี้ได้ตั้งแต่ก้าวแรก!


หงส์ทมิฬวนอ้อม ขนปีกสาดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ดับสิ้นน สังหารลูกศรนี้อย่างลึกลับและน่ากลัว


อย่างไรก็ตามลูกศรนี้ทรงพลังมาก ยิ่งโจมตีออกมาด้วยความโกรธของสิงอี่เทียน อานุภาพจึงยากจะเทียบได้ ฉีกทึ้งเปลวเพลิงจุติหงส์ทมิฬให้สลายกลายเป็นละอองแสง


สิ่งนี้พาให้หลินสวินไหวหวั่น ตระหนักได้ว่าเป็นพลังของลูกศรนั่นตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ถึงได้เปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งปานนี้


แต่นี่ก็ตรงตามความต้องการของหลินสวินพอดี สองมือเขาขยับเคลื่อน สำแดงแก่นแท้ของวิชาจุติหงส์ทมิฬ อาศัยสิ่งนี้มาขัดเกลาและเคี่ยวกรำ


โครม!


บริเวณนี้ปั่นป่วน ทะเลสาบสีเงินระเหยหาย แผ่นดินแห้งแตกระแหง ผู้ฝึกปราณทั้งหมดที่เฝ้าดูการต่อสู้อาศัยจังหวะนี้ถอยหลบไปไกลๆ


“เป็นพี่หลินสวิน!” ในกระบวนผนึกริมทะเลสาบ เสี่ยวเหออุทานอย่างตื่นเต้น


“คุณชายหลินสวินไม่เป็นไรจริงๆ ด้วย แต่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นใคร ถึงขั้นทรงพลังขนาดนี้” พวกโค่วซิงประหลาดใจก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นก็สีหน้าพลันเคร่งขรึม สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของสิงอี่เทียน


“เป็นสิงอี่เทียนจริงๆ ด้วย” นัยน์ตาแม่นางเยวี่ยหดรัด เผยสีหน้านึกขึ้นได้


ตูม!


ในห้วงอากาศ วิญญาณอสนีคำรามราวกับมีตัวตนจริงๆ ถือค้อนสายฟ้าทุบสังหาร พาให้เงามายาหงส์ทมิฬอ่อนแสงลงและถูกทำลายในที่สุด


ในขณะเดียวกันลูกศรสีน้ำเงินเข้มก็พุ่งยิงไปทางหลินสวิน ดุร้ายและเผด็จการ ประกายสายฟ้าเจิดจ้า


หลินสวินถอนหายใจในใจ เขาเพิ่งเรียนรู้วิชาจุติหงส์ทมิฬไปเพียงผิวเผิน มีอานุภาพไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกซับยับเยินเช่นนี้เด็ดขาด


วู้ม!


ทันใดนั้นพลังทั่วร่างเขาเปลี่ยนไป ร่างกายปรากฏแสงธรรมสีดำไพศาลไหลเวียน รูปลักษณ์ดูเคร่งขรึม ราวกับมุนินทร์ข้ามโลกีย์


ในความมึนงง ทุกคนรู้สึกว่าหลินสวินในยามนี้ดูเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทั่วร่างสะท้อนเสียงสวดท่องธรมดังก้อง ดุจดั่งฟ้าคำราม


นี่คือ ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ มรดกของอารามกษิติครรภ์!


ตูม!


เมื่อเขากดฝ่ามือ ประทับธรรมสีดำก็ควบรวมกลางห้วงอากาศ


ทันใดนั้นหมื่นเคราะห์ดับสิ้น มหาปัญญาอัดแน่นทั่วฟ้าดิน ราวกับว่าแม้แต่ห้วงอากาศก็สามารถพังทลายได้


“มรดกของอารามกษิติครรภ์หรือ” แม่นางเยวี่ยตกใจ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าในอารามโบราณนั้นนอกจากวิชาจุติหงส์ทมิฬแล้ว เกรงว่าหลินสวินจะได้รับวาสนาอีกไม่น้อย!


สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นวิชาจุติหงส์ทมิฬ หรือมรดกวิชาของอารามกษิติครรภ์ ต่างมีข้อกำหนดและข้อจำกัดมากมายต่อผู้ฝึกปราณ


ดังเช่นในอดีต หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่ปลุกสายเลือดหงส์เซียนแทบจะไม่สามารถฝึกวิชานี้ได้


แต่สำหรับหลินสวิน ข้อจำกัดนี้ดูเหมือนจะถูกทลายแล้ว!


ปึงๆๆ!


ประทับธรรมพาดขวางกลางฟ้า กระแทกลูกศรสีน้ำเงินเข้ม ซัดสะเทือนพาให้เกิดเสียงหึ่งๆ และพ่ายแพ้ในที่สุด หวีดโหยแตกตื่นไปเก้าชั้นฟ้า


“เป็นไปได้… อย่างไรกัน!?” สิงอี่เทียนตระหนกและประหลาดใจสุดขีด ครั้งนี้เขาไม่ได้ยั้งมือ โจมตีด้วยกำลังทั้งหมด แต่กลับยังถูกทำลาย!


หลินสวินพุ่งปราดเข้ามาเสียงดังสวบ กลางห้วงอากาศมองเห็นดอกบัวสีดำบานขึ้นดอกแล้วดอกเล่าตามจุดที่เขาก้าวผ่าน ส่องแสงเรืองรอง แสงธรรมสาดพรม


บัวบานในทุกย่างก้าว! เหมือนกับตำนานที่มุนินทร์ก้าวข้ามห้วงอากาศ ไม่ว่าผ่านไปที่ใดแท่นดอกบัวล้วนปรากฏ แสงธรรมสาดส่อง!


ในที่สุดสิงอี่เทียนก็ตระหนักได้ว่าครั้งนี้เขาเจอปัญหาหนักหน่วงแล้ว ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเกินความคาดหมายของเขาอีกครั้ง


“คราวหน้าข้าจะฆ่าเจ้า!” เขาไม่สบายใจ แม้รู้สึกอับอายมากแต่ก็ตัดสินใจถอยหนีอย่างเด็ดขาด


แม้ว่าเขาจะเผด็จการและเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ใช่พวกประมาทผลีผลาม ในยามนี้เกิดความระมัดระวังอย่างมาก และสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าที


วู้ม! ปีกอสนีของเขาสั่นกระเพื่อม หมุนตัวแล้วจากไป


แต่หลินสวินนั้นฉับไวมาก พริบตาเดียวก็ไล่ตามทัน กดฝ่ามือหนึ่งลงไป!


ฝ่ามือนี้มีแฝงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งการข้ามทุกข์ มีกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง


สิงอี่เทียนสังเกตถึงความผิดปกติ ง้างคันธนูและยิงศรออกไปโดยไม่ลังเล


เสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าสะท้านดิน ฝ่ามือนี้ของหลินสวินถูกซัดปราชัย แต่ในขณะเดียวกันชือน้ำแข็งตัวหนึ่งทะยานฟ้า องอาจราวกับมังกรขาวเจิดจ้า สะบัดหางโปกกลางห้วงอากาศ


เปรี้ยง!


ร่างของสิงอี่เทียนถูกสะบัดกระเด็นออกไป กระดูกทั่วกายแตกหักไม่รู้เท่าไร เลือดสดๆ พุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ


ทั่วทั้งบริเวณต่างเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ


จอมเผด็จการและแข็งกร้าวเช่นสิงอี่เทียนถึงกับถูกสยบด้วยวิธีนี้หรือ


นี่พาให้ผู้คนแทบไม่อยากเชื่อ


เรื่องมาถึงตอนนี้ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยแล้ว ต่อให้ข้ารับใช้ของสิงอี่เทียนจะเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีและเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็สายไปแล้ว


หลังจากประมือกันหลายสิบกระบวนท่า สิงอี่เทียนก็กรีดร้องเกือบจะถูกเคล็ดวิชามหากษิติครรภ์ของหลินสวินสังหาร เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ใกล้ถึงแก่ความตาย


ชิ้ง!


ขณะเดียวกัน ในที่สุดหลินสวินก็หาจังหวะคว้าลูกศรสีน้ำเงินเข้มนั้นเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา


แต่ลูกศรนี้ราวกับมีจิตวิญญาณ ไม่เต็มใจที่จะถูกจับ บังเกิดพลังขัดขืนที่น่าสะพรึง ถึงกับน่ากลัวกว่าพลังของสิงอี่เทียนเสียอีก


โดยไม่ทันตั้งตัว นิ้วของหลินสวินแทบจะขาด!


หลินสวินตกใจ กำราบลูกศรนี้ไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรโดยไม่ลังเลทันที


ถึงกระนั้นลูกศรนี้ก็ยังดิ้นหลุดจากการสยบของแสงมรรคทองนิลกาฬ เคลื่อนกระแทกอาละวาดในเจดีย์สมบัติ แสดงถึงความมหัศจรรย์อย่างที่สุด


“เจ้าโง่ ลูกศรนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่สามารถกำราบได้! เจ้าก็รอประสบเคราะห์ไปเถอะ!”


แม้ว่าสิงอี่เทียนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้หลังจากเห็นภาพเหตุการณ์นี้


เขารู้ถึงพลังของลูกศรนี้เป็นอย่างดี ในยุคบรรพกาลเคยยิงใส่อาทิตย์ดวงใหญ่บนฟากฟ้า น่าสะพรึงหาที่สิ้นสุดไม่ได้


ใครก็ตามที่ต้องการกำราบมันจะต้องประสบกับการแว้งกัด!


“งั้นหรือ”


มุมปากหลินสวินโค้งองศาแปลกๆ ทันทีที่ความคิดไหวเคลื่อน คันธนูไร้แก่นสารก็ปรากฏขึ้นในเจดีย์สมบัติไร้อักษร คันธนูที่ราวกับหลอมขึ้นมาจากกระดูกกะโหลกแผ่กลิ่นอายคลุมเครือแต่เยียบเย็นออกมา


เพียงพริบตาเดียวลูกศรสีน้ำเงินเข้มก็ชะงักค้าง คล้ายรับรู้ถึงความน่ากลัว ถูกสะเทือนอยู่ตรงนั้น สั่นสะท้านเสียงดังหึ่งๆ ไม่ขาด


ทันใดนั้นหลินสวินก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง ในใจอดร้องอุทานไม่ได้ ศรดอกนี้ถึงกับมีแค่คันธนูไร้แก่นสารเท่านั้นถึงจะสามารถสยบได้ แค่คิดก็รู้ว่าวิเศษปานใด


ในเวลาเดียวกันสิงอี่เทียนก็กระอักเลือดออกมาคำโต หัวใจเจ็บปวดสาหัส เขาสัมผัสได้ว่าการเชื่อมต่อของตนกับลูกศรสีน้ำเงินเข้มถูกตัดขาดแล้ว!


เป็นไปได้อย่างไร


เขาตกใจแทบทรุด


เหตุผลที่เขาสามารถเรียกใช้งานศรนี้ได้ ก็เพราะภายในกายถูกอริยะผู้ฝังรอยประทับลึกลับเอาไว้ แต่ยามนี้ประทับนี้กลับถูกทำลายแล้ว!


“ตาย!”


หลินสวินโถมเข้ามาโดยไม่ลังเล


แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้ ก็เห็นแสงสีทองที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างของสิงอี่เทียน พริบตาต่อมาทั้งตัวคนก็อันตรธานหายไปจากห้วงอากาศ


ยันต์มรรคจักจั่นทอง!


หลินสวินขมวดคิ้ว


‘บุคคลระดับนี้เหมือนกับมังกรบนท้องฟ้า เอาชนะได้แต่ไม่อาจฆ่าได้ง่ายๆ!’ แม่นางเยวี่ยถอนหายใจในใจ


นางเดาว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ต้น


สิงอี่เทียนเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์เผ่าปีกอสนี บนร่างแบกรับความหวังของคนทั้งเผ่า หากฆ่าง่ายปานนี้ เกรงว่าคงถูกขุมอำนาจศัตรูของเผ่าปีกอสนีส่งยอดฝีมือมาสังหารเขาตั้งนานแล้ว


เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


เผ่าพันธุ์บางกลุ่มมีความเกลียดชังกันมาโดยตลอด พวกเขาต้องการกวาดล้างคนรุ่นเยาว์ของอีกฝ่าย เพื่อสั่นคลอนรากฐานอิทธิพลของอีกฝ่าย


เนื่องจากมีกรณีจำพวกนี้เกิดขึ้นมากเกินไป บุคคลระดับสิงอี่เทียนจึงเป็นคนสำคัญที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนาจากเผ่าปีกอสนี ย่อมไม่อาจยอมให้เกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ


“เจ้าคอยดูเถอะ! ช้าเร็วสักวันข้าจะมาเอาชีวิตเจ้าด้วยตัวเอง!” แม้ว่าสิงอี่เทียนจะจากไป แต่กลางห้วงอากาศก็ยังมีเสียงตะโกนของเขาสะท้อนออกมาอย่างไม่พอใจและเดือดดาล


‘ควรคิดหาทางแก้ไขเรื่องพรรค์นี้ได้แล้ว…’ หลินสวินพูดกับตัวเอง


ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ เขาได้พบกับเหตุการณ์คล้ายๆ กันหลายครั้ง มักถูกอีกฝ่ายหนีรอดด้วยวิธีการต่างๆ ในช่วงเวลาสุดท้ายเสมอ


เช่นเดียวกับอวี่หลิงคง หรือสิงอี่เทียนเมื่อครู่นี้ ทั้งสองล้วนเป็นเช่นนี้


หลินสวินรู้ดีว่าตราบใดที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ก็จะกลายอันตรายที่แฝงเร้น หากสิ่งที่คล้ายกันเกิดขึ้นในอนาคต ปัญหาก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น


‘ถ้าสามารถก้าวสู่ระดับราชันได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น แต่ก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้หนีไป นอกจากจะสำแดงพลังของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและเจดีย์สมบัติไร้อักษรแล้ว การใช้พลังอื่นๆ ล้วนไม่อาจยับยั้งอีกฝ่ายไว้ได้…’


หลินสวินรู้ดีว่าคนอย่างสิงอี่เทียนมีไม้เด็ดมากมาย ถึงแม้จะไม่มียันต์มรรคจักจั่นทอง แต่ก็ยังมีวิธีอื่นในการหนีออกไปอยู่ดี


เป็นอย่างที่แม่นางเยวี่ยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คิดจะฆ่าบุคคลแห่งยุคจากขุมอำนาจใหญ่เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ


หลินสวินไม่คิดอะไรอีก ทอดสายตามองคนหนุ่มสาวหลายคนที่อยู่ห่างออกไป พวกเขาเป็นบริวารของสิงอี่เทียน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)