Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 962-965
ตอนที่ 962
แท่นบัวจวนถูกซัดพินาศ!
มู่เจิ้งพลันดีอกดีใจ เขาแอบสาบานกับตัวเอง พริบตาที่แท่นบัวแหลกสลายจะใช้พลังอันแกร่งที่สุดโปรดสัตว์หลินสวิน!
มีเพียงเท่านี้จึงจะสามารถระบายความอัปยศในใจเขา
เขาผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ซึ่งองอาจผ่าเผย วันนี้ ณ สถานที่แห่งวาสนาที่บรรพจารย์สำนักตนหลงเหลือไว้ กลับถูกคนอื่นช่วงชิงศุภโชค ถ้าไม่ใช่ความอัปยศจะเป็นอะไรได้
ใครว่าผู้บำเพ็ญธรรมไร้อารมณ์
สมัยบรรพกาลเมื่อภิกษุบันดาลโทสะ เทพธรรมบาลล้วนต้องสั่นสะเทือน!
ทว่าเวลานี้ใจเขาพลันสะดุ้งโหยง กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตปกคลุม นี่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี
แต่เมื่อมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ได้ยินเสียงเป๊งดังสนั่น มู่เจิ้งรู้สึกเพียงปวดหน้าผากรุนแรง เบื้องหน้าสับสนมึนงง กระตุกไปทั้งตัวแทบหกคะเมน
เคราะห์ดีที่เขาฝึกร่างทองอรหันต์แต่เด็ก พลังกายแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ไม่เคยถูกตีสลบ
แต่หน้าผากเงาวาวของเขากลับบวมเป่งปูดโปน โดดเด่นราวเขางอก
มู่เจิ้งพลันบันดาลโทสะ ถึงกับมีคนกล้าลอบทำร้ายตน!?
จิตสังหารซึ่งไม่อาจระงับผุดขึ้นในใจ เขาหันหลังขวับ เมื่อเห็นคนร้ายที่ลอบโจมตีตนชัดเจนก็ตกตะลึงทันที ครรภ์พุทธะ?
กลับเห็นปักษาทมิฬตัวนั้นอึ้งงันอยู่บ้าง คล้ายคิดไม่ถึงว่าหน้าผากภิกษุนี่จะแข็งขนาดนี้ กระทะใบเดียวไม่อาจตีเขาสลบ
‘เดินจนรองเท้าเหล็กพังยังหาไม่ได้ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง!’ ความเดือดดาลในใจมู่เจิ้งถูกความลิงโลดเข้าแทนที่
เมื่อครู่เพื่อชิงไม้โพธิ์นั่นทำเขาเกือบลืมสนิท ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการมาครั้งนี้ก็เพื่อครรภ์พุทธะซึ่งหาได้ยากตั้งแต่โบราณกาล!
“สหายน้อย ก่อนหน้าล้วนแต่เข้าใจผิด บัดนี้ในเมื่อเจ้าปรากฏตัวก็ไปพร้อมอาตมาเถิด” มู่เจิ้งเอ่ยปากกล่าว เผยพลังมรดกของอารามกษิติครรภ์สื่อสารกับอีกฝ่าย
เขาเชื่อว่าหากฝ่ายตรงข้ามตื่นรู้มีปัญญา ย่อมสัมผัสได้ถึงความจริงใจของตน
อีกทั้งตามคำบอกเล่าของเหล่าผู้อาวุโสอารามกษิติครรภ์ หากครรภ์พุทธะอุบัติบนโลก อาศัยพลังคัมภีร์มหากษิติครรภ์เรียกหาก็เพียงพอให้อีกฝ่ายปลุกจิตแห่งตนได้
เพราะครรภ์พุทธะนี้ เดิมคือสิ่งที่อริยะตู้จี้เหลือไว้!
ปักษาทมิฬชะงักไป เหลือบมองภิกษุตรงหน้า ท่าทางราวเห็นคนเขลา
มู่เจิ้งมุ่นคิ้ว รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง ครรภ์พุทธะนี้ทำไมมีกลิ่นอายคล้ายนักเลงอันธพาล แปลกประหลาดนัก
เขาสูดหายใจลึก ข่มอารมณ์สำแดงพลังมรดกอารามกษิติครรภ์ สื่อสารหมายโน้มน้าวอีกฝ่าย “สหายน้อย…”
“สหายน้อยเตี่ยเอ็งสิ!”
ปักษาทมิฬโกรธจนฉุนเฉียวด่ายกใหญ่ กรงเล็บเหวี่ยงกระทะฟาดไปทางมู่เจิ้ง
เป๊ง!
หน้าผากมู่เจิ้งถูกซัดอีกครั้งโดยไม่ตั้งตัว เบื้องหน้ามีดาวทองหมุนวน ร่างกายซวนเซโงนเงน ความรู้สึกเลือนรางอยู่บ้าง
เขาบันดาลโทสะ หน้าคล้ำเขียว “เจ้ากล้าไร้มารยาทรึ”
ปักษาทมิฬถุยสบถเหี้ยมเกรียม กระทะในมือแกว่งไกว ท่าทางราวอันธพาลเร่ร่อนมุมถนนถืออิฐชวนทะเลาะ พุ่งเข้าปะทะอย่างบ้าคลั่ง
“ไร้มารยาท? หากไม่ใช่เจ้าหัวล้านขี้ขโมยอย่างพวกเจ้า มีหรือข้าจะถูกปลุกก่อนเวลา?”
เป๊ง! เป๊ง!
ระหว่างที่ด่าทอ ปักษาทมิฬกวัดแกว่งกระทะเหล็กนั่นอย่างอาจหาญ ตีจนมู่เจิ้งพลันต้านไม่ไหว หกคะเมนล้มลงกับพื้น เจ็บจนแทบหมดสติ
ที่น่ากลัวที่สุดคือกระทะนั่นไม่รู้หลอมจากเหล็กเทพอะไร แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ซ้ำยังมีแสงลายมรรคสุดหยั่งเอ่อท้น ด้วยความสามารถของมู่เจิ้ง ยังถูกกดข่มจนโงหัวไม่ขึ้น
“ถุย! ข้าล่ะเกลียดคนระยำจอมปลอมอย่างพวกเจ้าที่สุด ในเมื่ออยากเชิญข้าเป็นแขก เหตุใดก่อนหน้าต้องใช้กำลังกำราบข้าด้วย”
“ร้อง! เจ้าร้องต่อสิ! ร้องจนคอแตกก็เปล่าประโยชน์!”
ปักษาทมิฬนี่ช่างพิลึกพิลั่น ซ้ำเห็นชัดว่าโทสะสุมอก เหวี่ยงกระทะฟาดมู่เจิ้งไม่ยั้ง ฮึกเหิมเสียจนวุ่นวายไปหมด
แม้แต่หลินสวินยังมองตาค้าง นี่… ใช่ครรภ์พุทธะจริงหรือ
ขณะเดียวกันมู่เจิ้งตะโกนคับแค้นอยู่ในใจ นี่จะเป็นครรภ์พุทธะได้อย่างไร อันธพาลหัวไม้ล่ะสิไม่ว่า!
เป๊ง!
สุดท้ายมู่เจิ้งถูกฟาดสลบ ใบหน้ายังเหลือความรู้สึกอัปยศขุ่นเคือง
แต่ปักษาทมิฬดูเหมือนไม่หนำใจ เหยียดกรงเล็บทองอร่ามถีบร่างมู่เจิ้งเข้าเต็มเหนี่ยว แล้วค่อยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ท่าทางปลอดโปร่งโล่งใจ
“อ้อ น้องชายคนนี้ เมื่อครู่ทำเจ้าตกใจหรือเปล่า อย่ากลัวไปเลย ข้าอาศัยคุณธรรมสยบคน ปกติไม่ชอบลงมือ แล้วก็ไม่ทำเรื่องไร้มารยาทเท่าไหร่”
ปักษาทมิฬเก็บกระทะดำในมือไว้ข้างหลัง จากนั้นจึงหมุนตัวมาแช่มช้า เชิดศีรษะเผชิญหน้าหลินสวิน เห็นได้ว่าทะนงตนยิ่ง
หลินสวินสีหน้าพิกล ปักษาทมิฬนี้ลักษณะเหมือนหงส์ดำเลือดทมิฬ แต่ก็ไม่คล้ายคลึง มันแบกกระทะดำใบหนึ่งไว้ด้านหลัง ทำให้บุคลิกมันออกจะ… ผิดแผก
อีกทั้งมันยังหลงตัวเองและหน้าไม่อายนัก เมื่อครู่ยังทำท่าราวนักเลงอันธพาล ตอนนี้กลับวางท่าใหญ่โต ยังพูดว่าอาศัยคุณธรรมสยบคนอะไรนั่นอีก ช่างไร้ยางอายเสียจริง
“ข้าไปก่อนล่ะ หากเจ้าอยากเล่นที่นี่ต่อก็แล้วแต่ ถึงอย่างไรแดนผีสิงนี่ก็ไม่น่าอยู่นัก…”
ยังไม่รอหลินสวินเอ่ยปาก ปักษาทมิฬก็ยื่นกรงเล็บมาหิ้วมู่เจิ้งจากพื้น กางปีกสยายออก บินโฉบอากาศห่างออกไป
“เดี๋ยวก่อน!” หลินสวินตะโกน
“กวนข้าแม่งให้น้อยหน่อย ศุภโชคที่ตาเฒ่าตู้จี้นั่นเหลือไว้ล้วนถูกเจ้านำไปแล้ว เจ้ายังจะเอาอะไรอีก”
ปักษาทมิฬตวาดรำคาญ
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด เห็นชัดว่าปักษาทมิฬนี่รู้ความลับเยอะมาก!
ฟุ่บ!
เขาตามไปโดยไม่ลังเล ปักษาทมิฬตัวนี้กระทำการแปลกประหลาด โจมตีมู่เจิ้งสลบแต่ไม่สังหาร กลับนำตัวมู่เจิ้งไป
อีกทั้งมันเหมือนรู้ว่าตนได้รับวาสนาจากไม้โพธิ์
แต่ที่ทำหลินสวินตกตะลึงคือ พอปักษาทมิฬนั่นสยายปีกกว้าง ถึงกับเคลื่อนแหวกอากาศราวย้ายมวลสาร ชั่วพริบตาก็ไม่พบร่องรอย เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
‘เจ้าหมอนี่มีที่มาอย่างไรกันแน่’
หลินสวินรู้สึกว่าปักษาทมิฬนี้ไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม
ครั้งแรกที่พบมันขดตัวราวทารกครรภ์เทพ ปีกลู่เก็บ นิ่งเงียบอยู่ในซุ้มพระหยกดำนั่น ทั่วร่างปรากฏเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำหลากสาย มีลายมรรคอัศจรรย์ถักทออยู่ภายใน
เวลานั้นมู่เจิ้งและผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์อีกสี่คนร่วมมือกัน ยังไม่ทันกำราบมันก็หนีหลบสบายๆ
แต่ตอนนี้เมื่อมันปรากฏตัวอีกครั้ง กลับตีมู่เจิ้งสลบ ศักยภาพทรงพลังนัก ควรรู้ว่ามู่เจิ้งคือเอกบุคคลผู้หนึ่ง ในการต่อสู้กับหลินสวินก่อนหน้านี้ยังสำแดงพลังต่อสู้เหนือธรรมดา
แต่ถึงเป็นเช่นนั้น กลับถูกปักษาทมิฬนั่นกำราบอย่างรวดเร็วง่ายดาย นี่เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกที่สุดคือ ทั้งที่อีกฝ่ายรู้ว่าตนได้รับศุภโชค แต่แค่เผยความหงุดหงิดออกมานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ลงมือกับตนด้วยเหตุนี้ นี่ผิดปกติเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
มันเป็นใครกันแน่
…
แท่นบัวหยกขาวแตกหักจวนพังทลาย กลางฟ้าดินแสงธรรมต้องห้ามกำลังหดหายด้วยความเร็วน่าอัศจรรย์
อารามเก่าแก่ลี้ลับแห่งนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงอย่างไร้สุ้มเสียง
นึกถึงทุกอย่างที่พบเจอในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะพิศวงอยู่บ้าง
“คุณชายหลิน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
ไม่นานนักเงาร่างของพวกแม่นางเยวี่ย ลั่วเจียก็ปรากฏ เมื่อเห็นหลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างสมบูรณ์พร้อมจึงต่างผ่อนคลายลง
“ไม่เป็นไร” หลินสวินคืนสติ สลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัว ไม่คิดมากอีก
“แล้วมู่เจิ้งล่ะ” แม่นางเยวี่ยกวาดมองโดยรอบ
“เรื่องนี้พูดแล้วซับซ้อน รอออกจากที่นี่ข้าค่อยบอกพวกเจ้าโดยละเอียด” หลินสวินกล่าว
“ก็ดี” แม่นางเยวี่ยพยักหน้า
แต่ลั่วเจียกลับทนไม่ไหวอยู่บ้าง “หลินสวิน เจ้า…”
ไม่รอพูดจบ หลินสวินพยักหน้ากล่าว “ภารกิจลุล่วง”
ทันใดนั้นลั่วเจียเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่ ดวงหน้างามพริ้งเพราปรากฏความผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก
จากนั้นพวกเขารีบออกจากอารามเก่าแก่โดยไม่ล่าช้า
แสงธรรมต้องห้ามที่นี่กำลังถดถอย สูญพลังป้องกันชั้นหนึ่ง อารามเก่าแก่คงล่มสลายหายไปในไม่ช้า
แม้แต่ซากวัตถุโบราณทั้งหมดคงสาบสูญไปด้วยเหตุนี้ หายไปจากโลก!
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นซากโบราณซึ่งดำรงมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ไม่มีพลังต้องห้ามคอยพิทักษ์ คงพินาศย่อยยับสิ้นเชิงแน่
จริงดังคาด เมื่อเงาร่างพวกเขาเพิ่งทะยานออกไป ส่วนลึกอารามเก่าแก่นั่นพลันก้องเสียงพังทลายดังสนั่นเป็นระลอก
หลินสวินหันกลับไปอย่างอดไม่อยู่ ก็เห็นอารามเก่าแก่เสื่อมโทรมนั่นประหนึ่งสูญพลังชีวิต เปลี่ยนเป็นมืดสลัวหาใดเปรียบ ชวนให้คนรู้สึกเศร้าเสียดาย
“ไปเถอะ”
พวกเขาหวนกลับทางเดิมโดยไม่ลังเล
…
กระทั่งเงาร่างพวกเขาเลือนหาย บนสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่นั่นปรากฏปักษาทมิฬตัวหนึ่ง ปีกดั่งเปลวอัคคีสีดำลุกโชน
‘เจ้าหมอนี่สามารถรับการทดสอบเช่นนี้ได้ หรือเป็นชะตาฟ้าลิขิต’ ปักษาทมิฬพึมพำในใจ
มันรู้ดีว่าพลังสีทองซึ่งผนึกอยู่ในไม้โพธิ์นั่นน่าหวาดกลัวระดับใด แม้แต่มันยังไม่อยากสัมผัส
เพราะนี่คือพลังที่เพียงพอจะบั่นอริยะ!
แต่หลินสวินไม่ประสบเคราะห์ทันที กลับผ่านการทดสอบได้รับมรดกไป นี่ทำให้ปักษาทมิฬตกตะลึงอย่างไม่อาจเลี่ยง
“หึ! เดิมนั่นควรเป็นศุภโชคของข้า แต่กลับถูกเจ้าเอาไป รอข้าจัดการธุระส่วนตัวเสร็จค่อยไปคิดบัญชีเจ้าเด็กนี่ หากไม่ให้ผลประโยชน์ที่ข้าพอใจล่ะก็ หึๆ …”
ปักษาทมิฬแค่นเสียงเย็นชา
จากนั้นมันจึงหันหลังกลับ นัยน์ตาดำสนิทดุจรัตติกาลนิรันดร์มองไปยังส่วนลึกอารามเก่าแก่
“พวกเจ้านี่นะ รู้อยู่ว่าต้องตาย เหตุใดยังทำถึงขั้นนี้ สุดท้ายกลับเหลือข้าคนเดียวที่ตื่นขึ้นมาในกาลปัจจุบัน…”
ความรู้สึกโศกเศร้าเหลือจะเอ่ยผุดขึ้นในจิตใจ ปักษาทมิฬตอนนี้เงาร่างเหมือนโดดเดี่ยวและหดหู่ผิดธรรมดา
“เจ้าเดรัจฉาน!” ด้านข้าง มู่เจิ้งที่หมดสติลืมตาอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นปักษาทมิฬข้างกาย ความแค้นใหม่เก่าก่อนหน้าประเดประดังเข้ามา ตะคอกคำรามทันที
เป๊ง!
ปักษาทมิฬไม่แม้แต่จะมอง ขยับกระทะดำซัดเปรี้ยงอย่างชำนาญ หน้าผากมู่เจิ้งพลันเจ็บปวด ตาเหลือกพลิกกลับ ร่างกายนอนแน่นิ่ง หมดสติอย่างน่าอนาถไปอีกครา
“ช่างเป็นลาหัวโล้นที่หัวรั้นเสียจริง ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะเผยความรู้สึกแท้จริงสักครั้ง ยังถูกเจ้าแหกปากทำเสียเรื่อง”
ปักษาทมิฬสบถออกมาคำ จากนั้นมันสยายปีกหิ้วมู่เจิ้งที่หมดสติบินไปยังที่ห่างไกล
“การตื่นมาก่อนเวลาคราวนี้ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย บางทีนี่อาจเป็นวาสนา? เป็นเวลาที่ควรมุ่งหน้าไปเยือนอารามกษิติครรภ์…”
เบื้องหลังปักษาทมิฬ อารามเก่าแก่ปรักหักพังที่ตั้งตระหง่านตั้งแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ในที่สุดก็ทรุดตัวสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นฝุ่นควันกระจายทั่วฟ้า
ไม่นานนักฟ้าดินจมลง โบราณสถานเก่าแก่ซึ่งมียอดพลังเบิกวิถีก็พังทลาย เลือนหายไปดั่งม่านหมอก
ตอนที่ 963 พลังต้องห้ามพิฆาตมรรค
บนแม่น้ำพรมแดน ยานสำเภาทองอร่ามลำหนึ่งมุ่งหน้าเนิบช้า
ในโถงยานสำเภา หลินสวินกำลังสัมผัสปริศนาของ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’
คัมภีร์นี้ล้ำลึกอัศจรรย์ยิ่ง วิวัฒน์จากคัมภีร์มหากษิติครรภ์และวิชาจุติหงส์ทมิฬ เปิดเส้นทางใหม่ และยังเป็นการอนุมานซึ่งผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดของอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ ทุ่มเทจิตหลั่งโลหิตสรรค์สร้างออกมา
ในนั้นครอบคลุมสรรพสิ่ง โดยคร่าวแบ่งเป็นสามส่วน
ส่วนแรกเรียกว่า ‘ประสาทวิชา’ คือสาระสำคัญที่อริยะทั้งสองเน้นในปริศนาแก่นแท้ของคัมภีร์มหากษิติครรภ์ และวิชาจุติหงส์ทมิฬ
สิ่งแรกคือรากฐานของสำนักอารามกษิติครรภ์ เดิมก็คือมรดกชั้นยอดเล่มหนึ่ง ครองแก่นอัศจรรย์เหนือจิตนาการ เป็นหลักทั่วไปที่ผู้บำเพ็ญธรรมอารามกษิติครรภ์ใช้หยั่งรู้มหามรรค ศึกษาวิชามรรค
เฉกเช่นวิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์ที่มู่เจิ้งสำแดง ก็เป็นมรดกเก่าแก่ส่วนหนึ่งของคัมภีร์มหากษิติครรภ์
กล่าวได้ว่า แม้หยั่งรู้เพียงคัมภีร์มหากษิติครรภ์ ก็สามารถทำให้หลินสวินยึดกุมมรดกวิชามรรคทั้งหมดของอารามกษิติครรภ์แล้ว!
ในอารามกษิติครรภ์ สิ่งนี้ไม่ใช่ว่าผู้สืบทอดคนใดต่างสามารถถือครองได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นมรดกรากฐานของสำนัก วิชาไม่อาจถ่ายทอดโดยง่าย มรรคไม่อาจมอบให้ตามสะดวก
แต่ในคัมภีร์มหาครรภ์จุติส่วนแรก อริยสงฆ์ตู้จี้ได้ทำการจัดสรรและอธิบายปริศนาทั้งมวลของคัมภีร์มหากษิติครรภ์โดยกระจ่าง
นี่ก็เหมือนอาจารย์ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังประสาทวิชา ไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์ไปค้นหาเองแต่แรก อาศัยแค่การรับฟังและไตร่ตรองก็สามารถเข้าใจปริศนาทั้งมวลของคัมภีร์โดยราบรื่น!
ในจุดนี้เกรงว่าแม้แต่บุคคลที่จัดอยู่ในสิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์อย่างมู่เจิ้ง ยังไม่อาจได้รับประโยชน์เช่นนี้
ส่วนวิชาจุติหงส์ทมิฬ ก็คือมรดกรากฐานของเผ่าหงส์ทมิฬ เป็นคัมภีร์มรรคเก่าแก่และสูงส่งเล่มหนึ่งเช่นเดียวกัน
อีกทั้งนางพญาหงส์ทมิฬยังผสานมรรคและวิชาของตน ใช้ปัญญาทำการอธิบายแก่นแท้ของคัมภีร์นี้อย่างรอบด้าน เรียกได้ว่าเลิศล้ำเกินบรรยาย
ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งชี้ว่าต่อให้ฝึกคัมภีร์มหาครรภ์จุติเพียงส่วนแรก ก็สามารถยึดกุมมรดกชั้นยอดของสองขุมอำนาจเก่าแก่!
ส่วนที่สองของคัมภีร์มหาครรภ์จุติเรียกว่า ‘หลอมมรรค’ คือวิธีหลอมรวมมรดกที่แตกต่างทั้งสอง ซึ่งแฝงปริศนาเร้นลับที่ศึกษารอบด้านจนปรุโปร่งของคัมภีร์มหากษิติครรภ์และวิชาจุติหงส์ทมิฬ
ส่วนที่สามจึงจะเป็นส่วนสำคัญแท้จริงของคัมภีร์มหาครรภ์จุติ เรียกว่า ‘ครรภ์จุติ’ คือคัมภีร์มรรคฉบับใหม่ที่สรรค์สร้างจากมืออริยะบรรพกาลทั้งสอง!
ที่ว่า ‘ใหม่’ คือ ถือกำเนิดจากมรดกชั้นยอดสองส่วน ซ้ำยังเหนือกว่า เกี่ยวเนื่องถึงปริศนาสูงสุดของอริยมรรค มูลค่าเลิศล้ำเพียงพอจะทำให้อริยะมุ่งมาดปรารถนา!
สรุปโดยง่ายคือคัมภีร์มหาครรภ์จุติ แบ่งเป็น ‘ประสาทวิชา’ ‘หลอมมรรค’ ‘ครรภ์จุติ’ สามส่วนใหญ่ แต่ละส่วนต่างเรียกได้ว่าไพศาลดั่งหุบเหว ซ่อนแฝงแก่นอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด
…
สำหรับหลินสวิน หากหมายหยั่งรู้คัมภีร์นี้ต้องค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น
หยั่งรู้ส่วน ‘ประสาทวิชา’ เจาะลึกและทำความเข้าใจคัมภีร์มหากษิติครรภ์และวิชาจุติหงส์ทมิฬก่อน
กระทั่งเข้าใจปริศนาทั้งหมดอย่างลึกซึ้งจึงสามารถไปหยั่งรู้ส่วน ‘หลอมมรรค’ อีกขั้น ศึกษาปริศนาแห่งคัมภีร์มรรคทั้งสองจนรอบด้านปรุโปร่ง หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อทำได้ถึงขั้นนี้จึงมีรากฐานไปหยั่งรู้ส่วนที่สาม ‘ครรภ์จุติ’!
แต่หลินสวินรู้ดีว่าอาศัยความสามารถของตนในปัจจุบัน แค่หยั่งรู้ปริศนาส่วน ‘ประสาทวิชา’ ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลากี่เดือนปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหยั่งรู้ ‘หลอมมรรค’ และ ‘ครรภ์จุติ’
ถึงขั้นที่เขาสงสัยว่า คัมภีร์มหาครรภ์จุติสองส่วนหลังคงเป็นปริศนาซึ่งมีเพียงอริยะที่สามารถหยั่งรู้!
ถึงอย่างไรสิ่งที่ผสานรวมเข้ามา คือมรดกรากฐานของสองขุมอำนาจโบราณ เป็นมรดกชั้นสูงสองส่วนที่เลื่องชื่อลือนามมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล!
แน่นอนว่านี่หาใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญระดับกระบวนแปรจุติสามารถทำได้แต่แรก กระทั่งแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอาจไม่มีความสามารถทำได้
…
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลินสวินตื่นจากการหยั่งรู้ ลุกขึ้นเปิดประตู
“เป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วเจียรออยู่นอกประตูนานแล้ว
นางสวมชุดกระโปรงม่วง บุคลิกดั่งกล้วยไม้กลางหุบเขา บนหน้าขาวกระจ่างงามพริ้งเพราเจือความมุ่งมาดปรารถนา
“เรียบร้อยแล้ว” หลินสวินพยักหน้า นำม้วนหยกที่บันทึกวิชาจุติหงส์ทมิฬส่งให้อีกฝ่าย
ลั่วเจียอึ้งงัน ดวงหน้างามปรากฏความตื่นเต้นวูบหนึ่ง คล้ายไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง กระทั่งครู่ใหญ่จึงสูดหายใจลึก รับม้วนหยกมาไว้ในมืออย่างระมัดระวัง
จากนั้นนางเงยหน้าขึ้น นัยน์ตากระจ่างดั่งวารีจ้องมองหลินสวินพลางกล่าว “ขอบคุณมาก บุญคุณนี้ภายหน้าข้าจะตอบแทน”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ได้ประโยชน์ เจ้าไม่ต้องใส่ใจ”
ลั่วเจียส่ายศีรษะ “นี่ไม่เหมือนกัน”
…
บนยานสำเภา พวกแม่นางเยวี่ย ซุ่นไป๋เสวียนเองต่างรอคอย
การเข้าสู่อารามเก่าแก่ปริศนาครานี้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงมากมาย พวกเขาต่างอยากรู้ว่าหลินสวินผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง
ไม่นานนักหลินสวินและลั่วเจียก็ปรากฏตัวพร้อมกัน บอกเล่าทุกฉากที่เห็นนับตั้งแต่เข้าไปในส่วนลึกของอารามเก่าแก่โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
แต่สำหรับเรื่องการแจ้งมรรคและไม้โพธิ์ หลินสวินไม่ได้พูดมากความ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เหมาะที่จะกล่าวอะไรมาก
ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังทำพวกแม่นางเยวี่ยต่างรู้สึกสะท้าน
สมัยบรรพกาล สองอริยะก้าวสู่ขั้นที่ประหนึ่งสิ่งต้องห้าม ชักนำมาซึ่งเคราะห์สังหาร ถูกเงาร่างสีทองดั่งเจ้าเหนือหัวพิฆาตลงตรงนั้น!
บนโลกนี้ยังมีพลังต้องห้ามที่แกร่งกว่าอริยะอีกหรือ
เวลานี้เองพวกเขาจึงเข้าใจในที่สุด ที่แท้ข่าวลือก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องจริง สมัยบรรพกาลอริยะตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬไม่ได้เป็นคู่แค้นคู่อริ นางพญาเองก็ไม่ได้ถูกตู้จี้สังหาร
ตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากลับแน่นแฟ้น เคยถกมรรคด้วยกัน และมือสังหารที่ปลิดชีพพวกเขากลับเป็นคนอื่น!
ฉับพลันกลางที่นั้นเงียบสงัดอยู่บ้าง ใครกันแน่ที่มีพลังยิ่งใหญ่จนสามารถสังหารสองอริยะบรรพกาลเช่นนี้
ระดับขั้นซึ่งราวกับสิ่งต้องห้ามนั้นแฝงความอะไรกันแน่
ท่ามกลางความเงียบสงัด แม่นางเยวี่ยคล้ายนึกอะไรออก ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ นัยน์ตากระจ่างปรากฏความหวาดกลัวหาใดเปรียบ “หากข้าเดาไม่ผิด นั่นคือ ‘พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะ’ ทั้งถูกมองว่าเป็น ‘พลังพิฆาตมรรค’ !”
พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะ!
พลังพิฆาตมรรค!
ไม่ว่าพูดแบบไหนล้วนทำให้ผู้คนใจสั่น
“ตำนานนี้เป็นจริงหรือ” ซุ่นไป๋เสวียนเองคล้ายนึกอะไรออก สีหน้าพลันไหวหวั่น
“คืออะไรกันแน่” ลั่วเจียอดไม่ได้ที่จะถาม
หลินสวินเองก็ตกตะลึง เขานึกถึงพลังสีทองนั่นที่ถูกผนึกในซากไม้โพธิ์ ว่าบางทีอาจเป็น ‘พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะ’ ที่แม่นางเยวี่ยกล่าวถึง!
“สมัยบรรพกาลเคยมีข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเมื่อใดที่เหล่าอริยบุคคลปรารถนาก้าวข้ามสิ่งต้องห้าม เสาะแสวงพลังที่สูงยิ่งกว่า จะนำมาซึ่งเคราะห์สังหารชวนประหวั่น…”
เสียงแม่นางเยวี่ยลุ่มลึก กล่าวความลับที่คนทั่วไปไม่รับรู้
พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะความเป็นมาเกินคาดเดา ราวร่างจำแลงของเทพธรรมบาลผู้ปกครองกฎระเบียบ แฝงอัปมงคลและความตาย
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีบุคคลสำคัญเทียมฟ้ามากมายหายสาบสูญอย่างแปลกประหลาด ไม่เคยปรากฏตัวอีก จึงถูกลือว่าตายเพราะพลังต้องห้ามนี้!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือโคมลอยหนึ่ง หากไม่ใช่หลินสวินพูดถึงการประสบเคราะห์ของอริยะตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ แม่นางเยวี่ยคงเกือบลืมไปแล้ว
“ข้าก็เคยได้ยินบรรพชนตระกูลข้าเล่าว่า พลังต้องห้ามนี้ดุจเพชฌฆาตมหามรรค สามารถสะบั้นมรรควิถีของอริยะ ลบล้างหายไปจากโลก น่าหวาดกลัวไร้สิ้นสุด”
ซุ่นไป๋เสวียนเอ่ยปาก “อีกทั้งมีข่าวลือว่าสาเหตุที่แดนเร้นอริยะปรากฏ ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับพลังต้องห้ามนี้”
“เร้นอริยะ สถานที่ซึ่งอริยะจำศีลเก็บตัว… ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเหตุบางประการ อริยะคนใดเล่าจะอยากจำศีลเก็บตัว ข่าวลือนี้อาจเป็นจริง” แม่นางเยวี่ยรำพึง
หลินสวินอึ้งงัน เขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้แดนเร้นอริยะซึ่งคนบนโลกเรียกขาน ยังมีความเร้นลับที่ไม่ถูกใครล่วงรู้เช่นนี้
แน่นอนว่าทุกอย่างคือข่าวลือ ทั้งเหมือนปาฏิหาริย์ ในยามที่ยังไม่ได้สัมผัสความจริง ใครก็ต่างไม่กล้าเชื่อ
จากนั้นพวกเขายังพูดถึง ‘ครรภ์พุทธะ’
จากที่แม่นางเยวี่ยกล่าวมา ครรภ์พุทธะนี้เดิมคือครรภ์วิญญาณที่ฟ้าดินก่อกำเนิดและหล่อเลี้ยง หาได้ยากตั้งแต่อดีต ยากพบเห็นอย่างที่สุด ต่อมาถูกอริยสงฆ์ตู้จี้เก็บไว้ข้างกาย
แต่เมื่อเข้าสู่อารามเก่าแก่พบเห็นครรภ์พุทธะ แม่นางเยวี่ยถึงได้ตระหนักว่า ครรภ์พุทธะนี้ซ่อนความลับยิ่งใหญ่ ภายในร่างเป็นไปได้สูงว่าจะฝังพลังสองอริยะซึ่งมาจากอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ!
เพียงแต่เมื่อได้ยินหลินสวินพูดถึงอากัปกิริยาไร้ยางอาย สับปลับของปักษาทมิฬตัวนั้น พวกแม่นางเยวี่ยต่างตะลึงงัน
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าบุคคลแห่งยุคของอารามกษิติครรภ์อย่างมู่เจิ้งถูกปักษาทมิฬนี้ลอบโจมตี ใช้กระทะใบหนึ่งฟาดสลบกลางอากาศ ก็ล้วนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
‘น่าสนใจ ติดตามข้างกายสองอริยะนานปีแต่กลับมีอุปนิสัยเช่นนี้ ความเป็นมาของปักษาทมิฬนี่ต้องไม่ธรรมดา น่าเสียดาย ครั้งนี้ไม่อาจจับมันไว้ได้…’ แม่นางเยวี่ยกล่าวกับตัวเอง
คนอื่นต่างรู้สึกแบบเดียวกัน
ปักษาทมิฬนี้ถูกผนึกอยู่ในซุ้มพระหยกดำนั่นตั้งแต่สมัยบรรพกาล ทั้งเป็นร่างครรภ์วิญญาณที่ติดตามข้างกายสองอริยะนานปี จะเป็นสิ่งที่ของทั่วไปสามารถเทียบเทียมได้อย่างไร
“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายครานี้ก็ไม่เสียเที่ยว แม่นางลั่วเจียสมหวังดั่งปรารถนา ได้รับวิชาอัศจรรย์จุติหงส์ทมิฬ น่ายินดีๆ” แม่นางเยวี่ยยิ้มหวานกล่าวแสดงความยินดี
“ครั้งนี้ยังต้องขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเหลือ บุญคุณนี้วันหน้าลั่วเจียจะต้องตอบแทนแน่” ลั่วเจียประสานมือคำนับ
…
“หลินสวิน ก่อนจากไปอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับข้าหรือไม่” ซุ่นไป๋เสวียนแววตาดุจอสนี เห็นได้ว่าหยิ่งผยองและทะนงตนนัก
เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้เสร็จสิ้น เขาและลั่วเจียกำลังจะจากไป
ก่อนแยกจากกันนี้ซุ่นไป๋เสวียนคล้ายไม่เต็มใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหว หมายต่อสู้กับหลินสวินสักตั้ง
ลั่วเจียพลันปวดขมับ เจ้าหมอนี่ไม่ยอมสงบเสงี่ยมเสียบ้าง เพิ่งออกมาจากโบราณสถานอารามเก่าแก่ก็อยากทรมานตัวเองอีกแล้ว
เหนือความคาดหมาย ครั้งนี้หลินสวินไม่ปฏิเสธ แต่กล่าวอย่างสนอกสนใจ “เจ้าแน่ใจนะ”
ซุ่นไป๋เสวียนแย้มยิ้ม มุมปากปรากฏแววจองหองวูบหนึ่ง “ต่อสู้กับเจ้ายังต้องพิจารณาและใคร่ครวญอีกหรือ”
‘เจ้าโง่นี่เอาอีกแล้ว ช่างไม่เข็ดเสียจริง’ ไกลออกไป พวกโค่วซิงทำหน้าเวทนา ทอดถอนใจไม่หยุด
หากเสียงในใจพวกเขาถูกซุ่นไป๋เสวียนได้ยินเข้า คราวนี้คงโกรธจนเป็นบ้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…”
หลินสวินเพิ่งเอ่ยปาก ซุ่นไป๋เสวียนคล้ายนึกอะไรออก กล่าวตัดบท “จำไว้ ว่าเป็นการต่อสู้ของเจ้ากับข้า ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามายุ่ง!”
ทุกคนต่างมีสีหน้าพิกล เห็นชัดว่าซุ่นไป๋เสวียนกำลังกังวลว่าเด็กสาวที่ประหนึ่งเทพอย่างซย่าจื้อจะถลันออกมาทำการป้องกันก่อน
เท่านี้ก็มองออก ซุ่นไป๋เสวียนราชันมารจอมก่อกวนซึ่งยโสโอหังหยิ่งจองหองผู้นี้ ถูกซย่าจื้ออัดจนเกิดเงามืดในใจเข้าจริงๆ แล้ว…
ตอนที่ 964 หาดดาราขจร
“ได้” หลินสวินรับคำโดยไม่ลังเล
ซุ่นไป๋เสวียนชะงักงัน คล้ายคาดไม่ถึงว่าหลินสวินจะรับปากฉะฉานเช่นนี้ ไม่ช้าเขาเลิกคิ้วกล่าว “ในเมื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ สิ่งที่เทียบกันแน่นอนว่าคือพลังยุทธ์ ห้ามใช้อาวุธสังหารชั้นยอดอย่างสมบัติอริยะ”
“ตกลง” หลินสวินพยักหน้าอีกครั้ง
ซุ่นไป๋เสวียนถึงวางใจ แววตาดุจอสนี ทั่วร่างแผ่ประกายทองอร่าม จิตต่อสู้พลุ่งพล่าน “เช่นนั้นเจ้าต้องระวังแล้ว จงจำไว้ แม้ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่ไม่มีทางออมมือ!”
หลินสวินกล่าว “เหมือนครั้งก่อนที่ซย่าจื้อต่อสู้กับเจ้าน่ะหรือ”
ซุ่นไป๋เสวียนมุมปากกระตุกหนักหน่วง พลันบันดาลโทสะ นี่เป็นการฉีกหน้าเขาซึ่งหน้า!
“แน่นอน!”
เขาตวาดลั่นพุ่งทะยานรวดเร็ว ก้าวย่างบนห้วงอากาศ ผมยาวทั้งศีรษะเริงระบำ พลานุภาพดั่งเทพสงคราม ผงาดง้ำหยิ่งผยอง “มาสู้กัน!”
หลินสวินเผยรอยยิ้มเจิดจ้าวูบหนึ่ง “ดังเจ้าปรารถนา!”
ฟุ่บ!
ชายเสื้อเขาพลิ้วไหว ทั่วร่างแสงกระจ่างเอ่อท้นดุจแสงไหลวนทะลวงเมฆา นิ้วมือทำมุทรา แหวกอากาศโจมตีใส่ซุ่นไป๋เสวียน
ครืน!
ศึกใหญ่พลันอุบัติ
กลางอากาศ วายุอสนีโหมกระหน่ำ แสงศักดิ์สิทธิ์สะเทือนกึกก้อง สภาพการณ์รบน่าตื่นตะลึงยิ่ง
ครืน!
หลินสวินย่างก้าวสำแดงวิชาธารดาราหลอมเพลิง ก็เห็นทะเลอัคคีแผ่ขยาย โหมซัดเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน ภายในดวงดาราลุกโชนประดุจตะวันดวงแล้วดวงเล่าระเบิดออก ก่อเกิดพลังที่สามารถทลายฟ้ามลายดิน
แผ่กว้าง
มุทะลุ
ดุดัน
ประหนึ่งเทพกลางอัคนี!
ทุกคนตรงนั้นต่างไหวหวั่น โดยเฉพาะแม่นางเยวี่ยและลั่วเจียต่างสังเกตเห็นแจ่มแจ้ง ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินแกร่งกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าซุ่นไป๋เสวียนก็ไม่แย่ ราชันมารจอมก่อกวนผู้นี้มีชาติกำเนิดจากตระกูลอริยะ แม้เย่อหยิ่งอวดดีหาใดเปรียบ แต่กลับมีทุนทรัพย์ให้ทะนงตน
ทั่วร่างเขาห้อมล้อมประกายเทพสีทอง เผยพลังหมัดเก่าแก่วิชาหนึ่ง จ่อเวหาฟาดพสุธา พลังหมัดดุจมังกรพิโรธทะยานฟ้า ป่าเถื่อนดุดันเหลือประมาณ
“สู้ได้ดี!”
หลินสวินยิ้มร่า ห้ำหั่นกับเขาด้วยท่าทีเบิกบานสุขสำราญ สะใจหาใดเปรียบ
เขากำลังกลุ้มที่หาคู่ต่อสู้มาฝึกพลังมหามรรคซึ่งเพิ่งแปรสภาพเมื่อครู่ไม่ได้ ซุ่นไป๋เสวียนก็บังเอิญรนหาที่ด้วยตนเอง ช่างตรงใจหลินสวิน
ก็เหมือนตอนนี้ เขาสังเกตได้อย่างฉับไวว่า หลังพลังมหามรรคธาตุไฟเลื่อนขั้น อานุภาพที่ธารดาราหลอมเพลิงสำแดงสามารถใช้คำว่าสะเทือนใต้หล้ามาบรรยายได้อย่างแท้จริง
โจมตีเพียงครั้ง ทะเลเพลิงแผ่คลุมนภากาศ ธารดาราแผดเผามอดไหม้ พลังทำลายล้างชวนประหวั่นนั่นล้วนสามารถหลอมละลายผืนฟ้าปฐพีแถบหนึ่งได้!
“ฮึ!” ซุ่นไป๋เสวียนแค่นเสียงเย็นชา แม้ความแข็งแกร่งของหลินสวินเกินคาดหมายอยู่บ้าง แต่หาได้ตื่นตระหนก ใช้วิชามรรคที่สืบทอดมาโต้กลับหนักหน่วง
ซ้ำเขายังดุดันกว่าหลินสวิน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยหลบหลีก พลังหมัดแข็งแกร่งดุดันยิ่งยวด ระเบิดห้วงอากาศอลหม่านแตกเป็นเสี่ยง!
แต่ไม่ช้าเขาก็บันดาลโทสะ เพราะระหว่างต่อสู้ดุเดือด หลินสวินตวาดเขาอย่างค่อยไม่พอใจ!
“ออกแรงอีกหน่อย!”
นี่คือคำพูดฉบับหลินสวิน ซ้ำยังมุ่นคิ้วกล่าว
“เจ้าเด็กนี่ช่างกำเริบเสิบสาน!” ซุ่นไป๋เสวียนราชันมารจอมก่อกวนผู้อวดตน ปัจจุบันกลับถูกยั่วยุเช่นนี้จึงระเบิดทันที
เขาคำรามพิโรธ ทั่วร่างทอประกายทองเจิดจรัส โบกสะบัดทวนศึกโดยไม่ลังเล แหวกสังหารทั่วทิศ ดุดันประหนึ่งจอมราชันบรรพกาล
“นี่สิค่อยน่าสนุก” หลินสวินไม่ตระหนกกลับยินดี
“เจ้านี่มันกวนบาทา!” ซุ่นไป๋เสวียนกัดฟันกรอด ร่ายรำทวนซัดประกายทองเรือนหมื่นออกไป ห้วงอากาศต่างแตกละเอียดครืนครัน
เขาดุกร้าวนัก ครั้งนี้หมายส่งความอัปยศที่ซย่าจื้อมอบแก่เขาคืนหลินสวิน ให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองความเจ็บปวด ความสิ้นหวังและอัดอั้นจนไม่อยากอยู่ต่อเช่นนั้นดูบ้าง!
แต่ไม่นานนักหลินสวินก็กล่าวไม่พอใจอีก “ราชันมารจอมก่อกวนแห่งตระกูลซุ่นผู้องอาจ มีน้ำยาแค่นี้หรือ”
“เจ้า!” ซุ่นไป๋เสวียนโกรธจนคำรามกัดฟันเกือบแตก ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลงมือใช้ไพ่ตายของตน
ครืน!
ในทวนสีทองนั้นของเขาแผ่คลื่นลายมรรคสีทองเป็นวงๆ ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงทรุดตัวจมดิ่ง ปรากฏสัญญาณดับสลาย
นี่คือวิชาสืบทอดตระกูลซุ่น… เคล็ดวิชาวังวนคลื่นทอง! สามารถแหวกทะลวงเวิ้งฟ้า สังหารเทพผี ดุดันและเฉียบขาดอย่างยิ่ง
เห็นดังนี้อานุภาพทั่วร่างหลินสวินพลันแปรเปลี่ยน เงียบสงบดุจเหวลึก ทั่วร่างแผ่คลื่นผันผวนชวนประหวั่นราวกลืนฟ้ามลายดิน
นี่คือมรรคดับดารากลืนกินที่บรรลุระดับท่วงทำนองแห่งมรรค!
และตอนนี้ พลังระดับนี้ยังถูกหลินสวินผสานกับเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ทำให้พลังต่อสู้ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา
จู่โจมเพียงหมัดเดียว ห้วงอากาศใกล้เคียงราวถูกกลืนกินสิ้นเชิง ส่วนการโจมตีของซุ่นไป๋เสวียนก็ถูกทำลายราบคาบ หายลับจากไป!
แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ทุกคนต่างมองเห็น เคล็ดวิชาวังวนคลื่นทองนั่นของซุ่นไป๋เสวียนประดุจพญามังกรทองทะยานนภา มีอานุภาพทลายฟ้ามลายดิน
แต่ยังไม่ได้เข้าประชิดก็ถูกพลังหมัดของหลินสวินกลืนกิน สูญหายไร้ร่องรอย!
จากนั้นพลังหมัดหลินสวินปะทุพล่าน ราวปากขุมนรกแผ่กลืนสวรรค์ เสียงตูมดังสนั่น กลบซุ่นไป๋เสวียนทั้งตัวไว้ภายในพลังหมัด
ปึง!
ทว่าซุ่นไป๋เสวียนเองก็ไม่เสียชื่อ ทวนศึกระเบิดแสงประกายโชติช่วง ซัดพลังที่กำราบทั่วร่างตนจนพินาศ แม้ตระหนกทว่าก็รอดพ้นมาอย่างไร้อันตราย
แต่แค่สะบักสะบอมอยู่บ้าง อาภรณ์ขาดวิ่นไม่น้อย
นี่มันพลังอะไรกัน
ซุ่นไป๋เสวียนตระหนักถึงความร้ายกาจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ขณะเดียวกันแม่นางเยวี่ยและลั่วเจียต่างสะท้านในใจ สังเกตเห็นความน่ากลัวของพลังมหามรรคที่หลินสวินสำแดง
“มรรคดั่งหุบเหวลึกล้ำยากหยั่งถึง ทั้งประดุจหลุมดำคลื่นดาราสามารถกลืนกินสรรพสิ่ง นี่คือมหามรรคอะไรกัน” ลั่วเจียตะลึงงัน ในดวงตากระจ่างเปี่ยมความประหลาดใจ
“ทำไมข้ารู้สึกคุ้นๆ อยู่บ้าง เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…” แม่นางเยวี่ยพึมพำ คิ้วละเอียดขมวดมุ่น
นานพอควรนางถึงกล่าวออกมาโดยพลัน “ข้านึกออกแล้ว! เป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งดินแดนรกร้างโบราณอวิ๋นชิ่งไป๋!”
น้ำเสียงเจือความหวั่นตระหนกเสี้ยวหนึ่ง เห็นได้ว่าเสียอาการนัก
“อวิ๋นชิ่งไป๋!” นัยน์ตาลั่วเจียหดรัดลงเช่นกัน
“วิถีกระบี่ของอวิ๋นชิ่งไป๋ดั่งหุบเหวราวขุมนรก มีพลังอำนาจไร้สิ้นสุดพิฆาตเทพผี กลืนกินผืนฟ้าปฐพี พลังสังหารสะเทือนใต้หล้า”
แม่นางเยวี่ยกล่าว “ลือกันว่าเขาครอบครองพลังมหามรรคที่ลึกลับหายากอย่างหนึ่ง พลังนี้สามารถดันตนเองขึ้นสู่สิบอันดับแรกของกระดานมรรคเทียมฟ้า!”
“เจ้าหมายความว่า หลินสวินก็ครอบครองพลังมหามรรคนี้เช่นกันหรือ” ลั่วเจียพลันนึกขึ้นได้ ไม่ใช่ว่านี่คือพลังมหามรรคที่หลินสวินหยั่งรู้ในป่าศิลาเขาพยับครามนั่นหรือ
ขณะนั้นยังถูกคนอื่นเห็นเป็นมหามรรควังน้ำวนธรรมดาๆ นำมาซึ่งเสียงหัวเราะเยาะไม่น้อย
แต่ดูท่าตอนนี้คงไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว!
“ไม่ ข้าแค่รู้สึกว่าออกจะคล้ายคลึง แต่มาจากรากฐานเดียวกันหรือไม่ ข้าเองก็ไม่อาจแน่ชัด” แม่นางเยวี่ยส่ายศีรษะ แม้กล่าวเช่นนี้แต่สีหน้านางกลับค่อนข้างสับสนอยู่บ้าง คล้ายตกตะลึง ทั้งประหนึ่งยากจะเชื่อ
…
กลางอากาศการต่อสู้ดุเดือด ซุ่นไป๋เสวียนถูกกำราบโดยสมบูรณ์จนโงหัวไม่ขึ้น
นี่ทำให้เขาทั้งตระหนกทั้งขุ่นเคือง เขาเองก็ก้าวสู่มกุฎ ซ้ำครองวิชาลับเลื่องชื่อนานัปการ พรสวรรค์ล้ำเลิศ เชื่อว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์ปัจจุบัน มีเพียงปีศาจพลิกฟ้าหนึ่งหยิบมือในแดนเร้นอริยะเท่านั้นจึงจะสามารถนำภัยคุกคามมาสู่ตนได้
คนอื่นต่างไม่มีค่าพอให้เกรงกลัว!
แต่ใครเล่าจะคาดคิด หลายวันก่อนเขาเพิ่งถูกซย่าจื้อกำราบ ตอนนี้ยังมีแนวโน้มถูกหลินสวินคว่ำอีก!
นี่จะไม่ให้เขาตะลึงได้อย่างไร
“เจ้าไหวแน่หรือเปล่า รีบแสดงไพ่ตายเจ้าออกมาให้หมด” เบื้องหน้า หลินสวินแสดงความไม่พอใจ
นี่ทำให้ซุ่นไป๋เสวียนโกรธจนแทบกระอักเลือด กรำศึกถึงป่านนี้เขาใช้วิชาลับและไพ่ตายไปมาก แต่ทุกครั้งกลับถูกคลี่คลาย ยังจะมีไพ่ตายอะไรอีก!
นอกเสียจากใช้สมบัติอริยะ แต่หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับตบหน้าตัวเอง เขาคงไม่มีหน้าทำเรื่องเช่นนี้
ตูม!
สุดท้ายซุ่นไป๋เสวียนถูกหลินสวินซัดพ่ายอย่างแกร่งกร้าว โลหิตกบจมูกปาก เขากลับทะนงตัวกัดฟันไม่ยอมแพ้ ยังคงต่อสู้กับหลินสวิน กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ
แต่หลังถูกซัดพ่ายหลายครั้ง ในที่สุดก็ไม่มีหวังเอาคืนแล้ว ถูกหลินสวินกำราบจากกลางอากาศ ตะบันลงบนยานสำเภาดังครืน
กลางห้วงอากาศ หลินสวินยังไม่หายอยาก หมายสู้ต่อ แต่ถูกลั่วเจียขัดขวาง
“เลิกสู้ได้แล้ว แพ้ชนะล้วนเห็นชัดแล้ว หากสู้ต่อคงต้องเป็นแบ่งแยกความเป็นตายแทน” ลั่วเจียรู้สึกปวดขมับ
“ข้าไม่ยอม!” ซุ่นไป๋เสวียนสีหน้าคล้ำเขียว โกรธจนตะโกนลั่น
แต่เขากลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ แค่กำลังระบายความอัดอั้นและเดือดดาลภายในใจ
“มีปณิธาน รู้ละอายกล้าแก้ไขคือผู้กล้า ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสามารถมาแลกเปลี่ยนความรู้กับข้าอีกครั้ง ข้ารับรองว่าพร้อมสู้ถึงที่สุด” หลินสวินยิ้มร่าเดินเข้ามา
“คุณชายท่านนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ แต่ก่อนพวกเราล้วนเข้าใจผิดต้องขออภัยด้วย หวังว่าท่านผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อย” พวกโค่วซิงก็เดินเข้ามาใกล้ สีหน้าละอาย ทำการขอโทษซุ่นไป๋เสวียนอย่างจริงจัง
การต่อสู้ก่อนหน้าพวกเขาล้วนมองเห็น จึงพลันตระหนักว่าคนที่ถูกพวกเขามองว่าโง่เง่าตาไร้แววคือผู้แข็งแกร่งชั้นยอดคนหนึ่ง!
แต่เมื่อได้ยินคำขอโทษของพวกเขา ซุ่นไป๋เสวียนกลับโกรธจนสั่นไปทั้งตัว น่าแค้นนัก ช่างน่าแค้นจริง ตนพ่ายแพ้เช่นนี้ยังขอโทษทำซากอะไร มีประโยชน์หรือ
สุดท้ายซุ่นไป๋เสวียนข่มความอัปยศสุมอกจากไปพร้อมลั่วเจีย ก่อนจากไป เขากล่าวอย่างแข็งกร้าวเด็ดขาด ว่าเขาจะต้องมาต่อสู้กับหลินสวินล้างความอัปยศอีกครั้ง!
หลินสวินยินดีต่อท่าทีนี้ยิ่ง ทั้งกำชับเขาอย่างห่วงใย หลังกลับไปต้องเข้มงวดกับตัวเอง มุมานะฝึกฝน อย่าได้ผ่อนปรนเด็ดขาด
ซุ่นไป๋เสวียนเดิมคิดกล่าวขอบคุณ แต่พอวาจานี้มาจากปากหลินสวินก็โกรธจนจมูกแทบหลุด
นี่กำลังวางมาดโอ้อวดใช่ไหม
ท่าทางน่าคบดูเป็นมิตร เอาใจใส่ผู้พ่ายแพ้ ชัดแจ้งว่านี่คือการเหน็บแนมเปี่ยมอกุศล!
ลั่วเจียและซุ่นไป๋เสวียนจากไปพร้อมกัน พวกหลินสวินเองก็ไม่ล่าช้า มุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดน
ตลอดทางแม้เกิดอันตรายบ่อยครั้ง แต่ไม่พบเคราะห์สังหารถึงชีวิต
เวลาล่วงเลย ผ่านไปเจ็ดวันโดยไม่รู้ตัว
เจ็ดวันมานี้ หลินสวินนอกจากฝึกฝนก็หยั่งรู้และศึกษาความอัศจรรย์ส่วนแรกของคัมภีร์มหาครรภ์จุติ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตผ่านไปอย่างดี
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจคือ ผ่านมาตั้งหลายวัน ‘เสี่ยวอิ๋น’ ที่ถูกควบคุมอยู่ในห้วงนิมิตกลับไม่มีสัญญาณยอมรับผิดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าดื้อรั้นยิ่ง
เสี่ยวอิ๋นก็คือหนอนกินเทพที่แปรสภาพเป็นตัวอ่อนหนอนราชันนั่น
หลังจากถูกหลินสวิน ‘หลอก’ มันก็โกรธจัด รู้สึกเสียศักดิ์ศรี ไม่ยอมสนใจหลินสวินเจ้าของผู้ใจดำร้ายกาจคนนี้อีก
สำหรับเรื่องนี้ หลินสวินเองก็ปวดหัวอยู่บ้าง เขากำลังใคร่ครวญว่าจะหาเวลาเปิดใจคุยกับเสี่ยวอิ๋นดีหรือไม่
เวลานี้เองนอกห้องโดยสารมีเสียงผ่อนคลายเริงร่าของโค่วซิง “ด้านหน้าคือ ‘หาดดาราขจร’ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแม่น้ำพรมแดน หลังผ่านที่นั่น ไม่เกินครึ่งวันก็ถึงแดนชัยบูรพา!”
ตอนที่ 965 ศิลาอุกกาบาต
หาดดาราขจร ซากสมรภูมิบรรพกาลแห่งหนึ่งที่ค่อนมีชื่อเสียงในแม่น้ำพรมแดน
ลือกันว่าเมื่อครั้งบรรพกาลที่แห่งนี้เกิดการต่อสู้สะเทือนใต้หล้า มีอริยะวิถีกระบี่ปรากฏตัว เพียงกระบี่เดียวเฉือนปลิดดาราทั่วฟ้า!
ดวงดาราแตกละเอียด กลายเป็นเศษสะเก็ดดาวร่วงหล่น ตกสู่ดินแดนรัศมีหลายหมื่นลี้จนเกิดหลุมมหึมาขนาดใหญ่ราวหุบเหวลึกหลุมแล้วหลุมเล่า
กระทั่งแม่น้ำพรมแดนปรากฏ อาณาบริเวณนี้ผ่านการผันเปลี่ยนแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุดกลายเป็น ‘หาดดาราขจร’ ในปัจจุบัน
“ดูนั่น ที่ไกลออกไปก็คือหาดดาราขจร สำหรับผู้ฝึกปราณแดนชัยบูรพาจำนวนมาก หาดดาราขจรคือแดนสมบัติแห่งหนึ่ง ภายในหลงเหลือ ‘ศิลาอุกกาบาต’ ที่แท้จริงอีกทั้งจำนวนมหาศาล ในกาลเวลาเนิ่นนานนี้ไม่รู้ดึงดูดผู้ฝึกปราณมาเสาะหาและขุดค้นเท่าไหร่”
บนดาดฟ้ายานสำเภา โค่วซิงชี้ไปที่ห่างไกล สีหน้าผ่อนคลายพูดจาฉะฉาน
เพราะหลังถึงหาดดาราขจรก็เหมือนเข้าสู่เขตแดนชัยบูรพา ไม่เกินครึ่งวันก็ถึงเมืองแห่งหนึ่งที่ใกล้แม่น้ำพรมแดนที่สุด
ห่างออกไป แม่น้ำพรมแดนคลื่นขุ่นม้วนซัด หมอกเมฆตลบอบอวล
ทว่าต่างจากเขตแดนอื่น ที่นี่กระจายตัวเป็นผืนดินมากมายราวโขดหิน เป็นหลุมเป็นบ่อ สายน้ำซ่านเซ็นอยู่ภายใน ดูไปแล้วเหมือนโคกสันดอน
เขตแดนมันกว้างใหญ่ยิ่ง บางโขดหินรัศมีราวสิบกว่าจั้ง บ้างไม่ต่างอะไรกับเกาะแก่ง มีขนาดประมาณหลายสิบลี้
“ข่าวลือนี้คือเรื่องจริง ครั้งบรรพกาลอริยะวิถีกระบี่ผู้นั้นมีชื่อเสียงยิ่ง ฉายา ‘อริยะกระบี่ทลายมาร’ เคยโรมรันกรำศึกที่นี่ ใช้พลังต่อสู้ทั้งหมดเฉือนพิฆาตดาราทั่วฟ้าในกระบี่เดียว สะเก็ดดาวที่แตกสลายร่วงหล่นนิรันดร์ ก่อตัวเป็นทิวทัศน์อัศจรรย์เบื้องหน้า”
แม่นางเยวี่ยเอ่ย นางสติปัญญาเหนือปุถุชน ทั้งรอบรู้ความลับบรรพกาลมากมาย ทำให้ผู้คนต่างสงสัยว่าบนโลกนี้มีเรื่องที่นางไม่รู้หรือไม่
อริยะกระบี่ทลายมาร?
หลินสวินรำพึงในใจ ฉายานี้ช่างน่าตกตะลึง!
“ศิลาอุกกาบาตนั่นเป็นสมบัติระดับใด” หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่ต่างจากศิลาแหล่งวิญญาณนัก หลังจากผ่าออกมีโอกาสสูงที่จะพบสมบัติอัศจรรย์หายากอย่างวัตถุดิบวิญญาณ โอสถวิญญาณ หินแร่ หยกสมบัติเป็นต้น”
แม่นางเยวี่ยราวนับสมบัติในบ้าน “และที่หายากคือ ถึงขั้นอาจพบสมบัติน่าเหลือเชื่ออย่างเจตวัตถุ สมบัติวิญญาณ ครรภ์วิญญาณ”
“ครรภ์วิญญาณ?” หลินสวินประหลาดใจ
“ถูกต้อง ราวสิบกว่าปีก่อน ผู้อาวุโสกึ่งราชันท่านหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แห่งแดนชัยบูรพา ก็เคยพบศิลาอุกกาบาตอัศจรรย์ก้อนหนึ่งที่หาดดาราขจรนี้ หลังจากผ่าออกจึงพบว่าภายในนั้นหล่อเลี้ยงครรภ์วิญญาณ ‘อสูรไพฑูรย์’ ซึ่งหายากตัวหนึ่ง จิตวิญญาณยังไม่ตื่นรู้ก็มีมรรควิถีติดตัว เรียกได้ว่ามหัศจรรย์”
แม่นางเยวี่ยกล่าว “เหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านไม่ได้ปรากฏแค่ครั้งเดียว ข้าได้ยินว่ายังมีคนผ่าเจอกระดูกสัตว์ปริศนาในศิลาอุกกาบาต ด้านบนหลอมประทับวิชาฝึกปราณซึ่งเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน”
หลินสวินได้ยินดังนั้นก็เอ่ยปากชมอย่างอดไม่อยู่ ใต้หล้ากว้างใหญ่เรื่องพิสดารมากมี
แต่เมื่อได้ยินแม่นางเยวี่ยกล่าวถึง ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์’ หลินสวินหวนนึกเรื่องอดีตส่วนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ปีนั้นที่จักรวรรดิจื่อเย่า เขาก็ได้ยินว่าศิษย์ชั้นยอดที่สุดในสำนักศึกษามฤคมรกตเกินครึ่งล้วนถูกส่งไปฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นี้
ที่หลินสวินจดจำขึ้นใจที่สุดคือ ‘กู้อวิ๋นถิง’ คนผู้นี้มีพรสวรรค์ ‘กายสุวรรณมรรคอัคคี’ ปีนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง โดดเด่นเป็นสง่าในสำนักศึกษามฤคมรกตยิ่ง
แต่หลินสวินไม่ชอบใจเจ้าหมอนี่นัก ตอนนั้นเพื่อเขาวัวขุย กู้อวิ๋นถิงท่าทางหยิ่งผยองหมายชิงสิ่งนี้จากมือเขา ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้ง
แม้สุดท้ายไม่ได้ลงมือ แต่ความขัดแย้งกลับผูกเงื่อนด้วยประการฉะนี้
นอกจากกู้อวิ๋นถิง สำนักศึกษามฤคมรกตยังมีคนไม่น้อยเข้าฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เช่นจั่วอวี้จิงแห่งตระกูลจั่ว หรือจ้าวจิ่งเหวินซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์
พูดไปแล้วปีนั้นเพราะเหตุบางอย่าง หลินสวินยังเคยสั่งสอนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ส่วนหนึ่ง และเพราะเหตุนี้จึงถูกเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่นผูกพยาบาท
“แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อยู่ที่ไหนหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
“อยู่ในเขต ‘แคว้นกู่ชาง’ อีกฝั่งของแม่น้ำพรมแดน นั่นเป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่ง มีชื่อเสียงมากในแดนชัยบูรพา” ผู้ตอบคำถามคือโค่วซิง
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่กล่าวมากความอีก
ระหว่างสนทนา พวกเขาก็เข้าใกล้หาดดาราขจรแล้ว
…
ที่นี่โขดหินกระจายโดยรอบแน่นขนัด ทอดสายตามองล้วนไม่เห็นขอบเขต
หมอกควันขมุกขมัวเลื่อนลอยกลางอากาศ วับๆ แวมๆ บางครั้งมีแสงดาราเจิดจรัสดั่งหิ่งห้อยส่องประกาย ปกคลุมอาณาบริเวณนี้ด้วยสีสันปริศนา
เมื่อยานสำเภาของพวกหลินสวินเข้าไปใกล้ก็สามารถเห็นได้ในปราดเดียว ว่ามีเงาร่างผู้ฝึกปราณมากมายกระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ บ้างเกาะกลุ่มเล็กๆ บ้างเคลื่อนไหวตามลำพัง ต่างกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง
“ทุกท่าน บริเวณนี้ถูกพวกข้าสำนักหมอกตะวันรอนยึดครองแล้ว ทางที่ดีพวกเจ้าควรอ้อมไป หากกล้าเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตจะต้องถูกสังหาร!”
ทันทีที่เคลื่อนเข้าใกล้ บนโขดหินแห่งหนึ่งในนั้น ชายวัยกลางคนเคราโค้งชุดดำผู้หนึ่งพลันส่งเสียงตวาด แววตาเจือความชั่วร้าย
หลินสวินอึ้งไป จิตรับรู้แผ่ขยาย ก็เห็นละแวกใกล้เคียงมีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกำลังขุดหาอะไรในธารน้ำ
เห็นชัดว่าชายวัยกลางคนเคราโค้งชุดดำนี้คือผู้ยืนยาม
ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งส่งเสียงประหลาดใจระคนยินดี “ขุดเจอแล้วๆ เป็นศิลาอุกกาบาตคุณลักษณะชั้นเลิศก้อนหนึ่ง!”
ในมือเขาประคองก้อนหินขนาดบาตรพระสีดำขลับ เจือแสงโลหะเยียบเย็นก้อนหนึ่ง เมื่อมองดูโดยละเอียด พื้นผิวศิลานั่นยังประทับลายสลักสีเงินราวไหมทอ ประกายดาราแผ่คลุมดั่งฝันเสมือนมายา
ทันใดนั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักหมอกตะวันรอนละแวกใกล้เคียงต่างรุมล้อมเข้าไป
“รีบผ่าดูเร็ว!” พวกเขาแววตาเร่าร้อน ต่างจับจ้องศิลาอุกกาบาตที่เพิ่งขุดพบนั่นเขม็ง
พวกหลินสวินเองก็อยากรู้อย่างอดไม่อยู่ แต่ชายวัยกลางคนเคราโค้งชุดดำนั่นกลับเปลี่ยนเป็นระวังตัวขึ้นมา ตวาดเสียงกร้าว “หากไม่จากไปอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
พวกโค่วซิงต่างมุ่นคิ้ว เจ้าหมอนี่มีปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น เทียบพวกเขายังไม่ได้ แต่กล้ากล่าวข่มขู่กันเช่นนี้ ช่างชวนรู้สึกหมั่นไส้
“ไปเถอะ” หลินสวินหาได้สนใจสิ่งนี้ อาศัยระดับของเขาในปัจจุบัน ไม่มีทางถูกยั่วโทสะโดยง่ายนานแล้ว
นอกเสียจากเจตนาเพ่งเล็งตน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงคร้านจะคิดเล็กคิดน้อย
พวกเขาขับเคลื่อนยานสำเภาอ้อมไปทันที มุ่งไปยังส่วนลึกหาดดาราขจร
ตลอดทางก็เห็นบนโขดหินใหญ่น้อยนั่นมีเงาร่างผู้ฝึกปราณทุกหนแห่ง ต่างล้วนกำลังใช้หลากวิธีขุดค้นศิลาอุกกาบาต ภาพฉากคึกคักกระตือรือร้น
ขณะเดียวกันมีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังยืนยาม ระวังผู้ฝึกปราณอื่นเข้าใกล้
ในระหว่างนี้พวกหลินสวินถูกตวาดด่าบ่อยครั้ง ขู่บังคับพวกเขาไม่ให้เข้าประชิด หลินสวินไม่รู้สึกอะไร แต่พวกโค่วซิงกลับเพลิงโทสะสุมอก
“แม่โว้ย หาดดาราขจรนี่เดิมก็เป็นถิ่นไร้เจ้าของ ใครต่างสามารถมาแสวงหาสมบัติ ตอนนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว!” โค่วซิงโมโห บ่นฮึดฮัดอย่างอดไม่อยู่
“ตาบอดหรือไง ไม่เห็นหรือว่าบริเวณนี้ถูกพวกข้าสำนักคล้องนภายึดครองแล้ว รีบไสหัวไป!”
ไม่นานนักก็เจอผู้ฝึกปราณอีกคนตะคอกใส่พวกเขาลั่น หน้าตาเย่อหยิ่งเย็นชา เห็นชัดว่ากำเริบเสิบสานนัก
โค่วซิงพลันบันดาลโทสะ นี่ไม่เพียงตำหนิ เห็นชัดว่าว่ายังชี้จมูกด่าพวกเขาด้วย!
ตูม!
แต่ครั้งนี้หลินสวินตรงไปตรงมากว่าโค่วซิง ยื่นมือเดียวออกไปก็กุมตัวชายชุดผ้าไหมนี่อยู่หมัด
“เจ้า…” ชายชุดผ้าไหมตกตะลึง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตระหนกขุ่นเคือง กำลังจะตะโกนร่างก็ถูกทุ่มลงตรงหน้าพวกหลินสวิน หกคะเมนเละเทะ เบื้องหน้าสับสนมึนงง
“ข้าถาม เจ้าตอบ ไม่เช่นนั้นใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้” หลินสวินก้มหน้า นัยน์ตาดำล้ำลึกเยียบเย็น จ้องมองชายในชุดไหมนั่น
ฝ่ายหลังประหวั่นจนแข็งทื่อไปทั้งตัว สายตานั่นประดุจหุบเหวลึก ราวหมายกลืนกินจิตวิญญาณของเขาจนสิ้น น่าสะพรึงเกินไป ทำให้เขาตระหนักได้ถึงอันตรายของสถานการณ์ของตนในชั่วพริบตา
“แต่ก่อนที่นี่คนเยอะขนาดนี้หรือ” หลินสวินเอ่ยปากเข้าประเด็น
“ไม่ใช่” ชายหนุ่มชุดไหมรีบส่ายศีรษะ “ช่วงนี้แม่น้ำพรมแดนเกิดเหตุไม่คาดฝันกะทันหัน ทำให้หาดดาราขจรปรากฏการเปลี่ยนแปลงบางส่วน…”
จากคำอธิบายของเขา แม้หาดดาราขจรเป็นแหล่งศิลาอุกกาบาตที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดไม่รู้มีผู้ฝึกปราณมากเท่าไหร่เคยมาที่นี่ ขุดค้นศิลาอุกกาบาตเสียราบคาบนานแล้ว
แต่ช่วงนี้จากการที่แม่น้ำพรมแดนเกิดเหตุไม่คาดฝัน หาดดาราขจรซึ่งเดิมจวนจะแห้งเหี่ยวไร้สมบัติก็เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตระหนก เริ่มปรากฏศิลาอุกกาบาตบ่อยครั้ง
ที่น่าตะลึงที่สุดคือ ศิลาอุกกาบาตเหล่านี้ไม่รู้ถูกกลบอยู่นานเท่าไหร่ คุณลักษณะต่างไม่ธรรมดาเหนือกว่าอดีตที่ผ่าน
กระทั่งมีคนขุดพบศิลาอุกกาบาตขนาดราวหินโม่ เมื่อผ่าออกจึงพบทวนสำริดบิ่นผุพังเล่มหนึ่ง คล้ายคลึงสมบัติอริยะชำรุด!
หลังเรื่องนี้แพร่ออกไปพลันก่อให้เกิดความฮือฮาครั้งใหญ่ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเฮโลกันมา ทำให้หาดดาราขจรที่เดิมไร้คนเหลียวแลเปลี่ยนเป็นคึกคักใหม่อีกครั้งทันที ซ้ำยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์!
“พวกเราได้ยินข่าวว่าอีกไม่นานสำนักโบราณส่วนหนึ่งจะเข้ามายุ่ง ดังนั้นจึงรีบแบ่งอาณาเขตทำการขุดค้นเต็มกำลัง คิดหาประโยชน์ส่วนหนึ่งก่อน หากรอพวกขุมกำลังสำนักโบราณนั่นมาถึง พวกเราคงไม่ได้กินแม้แต่น้ำแกง”
ชายชุดผ้าไหมนั่นตอบคำถามทุกข้อ ให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง
หลินสวินเองก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ หลังทราบข้อมูลที่อยากรู้ก็ปล่อยคนผู้นี้ไป
“แม่น้ำพรมแดนแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ สุดท้ายคงหายไปแน่ ทำให้สี่แดนวิภูเชื่อมกันใหม่อีกครั้ง สิ้นสุดรูปแบบโลกที่ต่างฝ่ายต่างเป็นเอกเทศ”
แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญ “คิดคำนวณเช่นนี้ จากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงนี่ ปริศนาและวาสนาส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแม่น้ำพรมแดนคงอุบัติขึ้นตามไปด้วย เช่นหาดดาราขจรนี่ก็อาจเป็นสถานการณ์ที่จำพวกนี้”
กล่าวถึงตรงนี้นางก็เงยใบหน้าเกลี้ยงเกลาขึ้น ยิ้มถามหลินสวินที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าว่าอย่างไร อยากขุดค้นศิลาอุกกาบาตส่วนหนึ่งเสี่ยงโชคหรือไม่”
“ดีสิ”
หลินสวินเองก็อยากรู้ว่าศิลาอุกกาบาตนี่จะซ่อนสมบัติแบบไหนกันแน่ ในเมื่อถูกตนบังเอิญพบ หากพลาดไปคงน่าเสียดายนัก
พวกเขาสนทนาพลางมุ่งหน้า วางแผนเสาะหาสันดอนที่ไร้คนยึดครอง
แต่ที่ทำพวกเขาจนปัญญาคือตลอดทางที่ผ่าน โขดหินใหญ่เล็กใกล้เคียงนั่นล้วนถูกเงาร่างผู้ฝึกปราณยึดครองไปสิ้น ยากจะเจอพื้นที่ที่ไร้เจ้าของ
“หืม?”
ขณะกำลังเสาะหา ทันใดนั้นนัยน์ตากระจ่างของแม่นางเยวี่ยพลันหดรัด ทอดมองโขดหินลักษณะคล้ายเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น