Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 956-961

ตอนที่ 956 ครรภ์พุทธะ

 

ในเวลาเดียวกัน ภิกษุจีวรดำที่เป็นผู้นำมองแม่นางเยวี่ยปราดหนึ่ง คล้ายตกใจน้อยๆ ที่นางรู้เรื่องอารามกษิติครรภ์


“ที่แม่นางพูดมานั้นถูกต้อง อาตมามีฉายาว่ามู่เจิ้ง” ภิกษุจีวรดำเอ่ยปาก คิ้วตากระจ่าง สงบนิ่งและเยือกเย็น


ท่วงท่าของเขาดั่งภูผา กำยำสูงตระหง่าน บุคลิกไม่ธรรมดาถึงที่สุด


“ในเมื่อแม่นางรู้จักพื้นเพของพวกข้าก็โปรดออกไปโดยเร็วด้วย” มู่เจิ้งพนมมือประกบกัน ถึงแม้ท่าทางจะสงบนิ่ง แต่กลับมีกลิ่นอายหนักแน่นทรงพลัง ไม่ยอมให้ต่อต้าน


“โปรดออกไปด้วย!”


ภิกษุจีวรดำอีกสี่รูปต่างก็พนมมือ ที่ต่างจากมู่เจิ้งคือสีหน้าพวกเขาเจือกลิ่นอายสังหารเย็นเยียบ น่าเสียวสยองยิ่งกว่า


“ปัดโธ่ โอหังพอตัวเชียว!”


ซุ่นไป๋เสวียนทำหน้าประหลาดใจ “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นพระที่เผด็จการเช่นนี้ อยากให้พวกเราออกไปก็ได้ แต่เอาชนะข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”


ตูม!


กล่าวพลาง รอบกายของเขาพลันปะทุรัศมีวิเศษสีทองอร่าม อานุภาพพลุ่งพล่านดั่งห้วงสมุทร น่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ


กลับเห็นสีหน้าพวกมู่เจิ้งราบเรียบ มองซุ่นไป๋เสวียนราวกับมองคนโง่ไม่มีผิด พาให้ฝ่ายหลังบันดาลโทสะทันที


“มองอะไรนักหนา จะสู้ก็กระฉับกระเฉงหน่อย บอกพวกเจ้าไว้เลยว่า สหายที่มากับพวกเจ้าทั้งหมดนั้นถูกข้าจัดการจนเกลี้ยงแล้ว แต่พวกเขาอ่อนแอเกินไปพาให้ข้ารู้สึกไม่พอใจยิ่ง”


เหนือความคาดหมาย เมื่อได้ยินข่าวสลดนี้พวกมู่เจิ้งทำเพียงขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเมื่อครู่ แต่กลับไม่ถูกยุแหย่จนเดือดดาล


สิ่งนี้ทำให้พวกหลินสวินต่างรู้สึกผิดคาด ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์เหล่านี้เหมือนกลุ่มสัตว์เลือดเย็น ประหนึ่งไร้ซึ่งอารมณ์ก็ไม่ปาน พาให้ผู้คนกลัวเกรง


“ช่างเถิด พวกเราเคลื่อนไหวต่อกันดีกว่า” มู่เจิ้งเก็บสายตา หันกลับไปนั่งขัดสมาธิ หันหน้าไปทางซุ้มพระสีดำตามเดิม หมุนลูกประคำในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากกำลังท่องอะไรสักอย่าง


เขาถึงขั้นไม่ได้สนใจพวกหลินสวินอีกเลย ทำเหมือนพวกเขาไร้ตัวตน


อีกทั้งภิกษุจีวรดำสี่รูปที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน นั่งลงขัดสมาธิ เฝ้าพิทักษ์บริเวณสี่จุดรอบตัวมู่เจิ้ง ทั่วร่างทอแสงธรรมสีดำออกมา ลึกลับถึงที่สุด


“เจ้าลาหัวโล้นพวกนี้บ้าได้ใจจริงๆ!” ถูกคนมองข้าม พาให้ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกไม่พอใจยิ่ง เตรียมจะพุ่งเข้าไปสังหารศัตรู


“อย่านะ!” หลินสวินขวางไว้ทันควัน


ตูม!


ซุ่นไป๋เสวียนไม่พอใจหลินสวินอย่างมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ฟังเสียงเตือน เรียกทวนศึกทองคำสีทองอร่ามออกมา ฟาดฟันไปยังพวกมู่เจิ้งซึ่งอยู่ไกลออกไป


เงาทวนแหลมคมสีทองพาดผ่านห้วงอากาศ น่าตระหนกเป็นที่สุด


แต่ไม่รอให้เข้าใกล้ กลางห้วงอากาศปรากฏกลิ่นอายผนึกต้องห้ามแสงธรรมอันลึกลับ บังเกิดพลังกดกำราบที่น่าหวาดกลัว


เสียงดังเคร้งหนึ่งครา เงาทวนระเบิดกระจุย แม้แต่ตัวซุ่นไป่เสวียนก็ถูกซัดกระเด็นเช่นกัน


“คลาย!” ในช่วงวิกฤตหลินสวินส่งเสียงกู่ก้อง โบกแขนเสื้อหนึ่งครา แสงใสกระจ่างพร่าตากลายเป็นรอยสลักวิญญาณท่วมผืนฟ้า ถึงได้สลายผนึกต้องห้ามแสงธรรมสายนั้นไปได้


พร้อมกันนั้น ลั่วเจียยื่นมือไปจับร่างที่ถูกซัดกระเด็นของซุ่นไป๋เสวียนกลับมา


“ให้ตายเถอะ ผนึกต้องห้ามบ้านี่น่ากลัวเกินไปแล้ว” ซุ่นไป๋เสวียนตกใจจนเหงื่อท่วมตัว สีหน้าไม่น่าดูยิ่ง เมื่อครู่เขารู้สึกหายใจไม่ออก จวนจะถูกกดทับจนตายอย่างสิ้นเชิง


จุดนี้พาให้เขาตระหนักถึงความร้ายกาจ ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีกต่อไป


“หากเจ้าเคลื่อนไหววู่วามอีก ครั้งหน้าข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแน่” หลินสวินขมวดคิ้วตวัดมองซุ่นไป๋เสวียน


ถูกตำหนิเช่นนี้ในใจซุ่นไป๋เสวียนไม่สบอารมรณ์นัก แต่ถึงอย่างไรเมื่อครู่หลินสวินก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้หนึ่งหน พาให้เขาก็ไม่กล้าโต้แย้ง


เขาลอบพึมพำในใจ อวดเบ่งอะไรเล่า คราวหลังสบโอกาสข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าสักหนเหมือนกัน จากนั้นก็จะให้เจ้าลิ้มรสชาติการถูกด่าว่าเต็มปากเต็มคอ!


“หลินสวิน พวกเราก็ต้องเร่งมือแล้วเหมือนกัน พวกเขาคิดจะกำราบหงส์ดำเลือดทมิฬที่อยู่ในซุ้มพระนั้น เมื่อพวกเขาทำเสร็จสิ้น พวกเราก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป”


แม่นางเยวี่ยสีหน้าเคร่งขรึม


พวกมู่เจิ้งไม่สนแม้แต่ความเป็นความตายของพวกพ้อง แค่คิดก็รู้ว่าพวกเขามุ่งมั่นจะคว้าหงส์ดำเลือดทมิฬในซุ้มพระตัวนั้นมาให้จงได้ ไม่ยอมให้เสียไป


นี่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างยิ่ง


ตามสัมผัสของลั่วเจีย เสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นหลับใหลอยู่ในซุ้มพระเช่นเดียวกัน หากคนของอารามกษิติครรภ์ชิงตัดหน้าเอาไปก่อน ผลที่ตามมาจะต้องไม่เข้าท่าอย่างแน่นอน


หลินสวินพยักหน้า เขาเองก็ตระหนักได้ว่าสภาพการณ์เลวร้าย


ฮูม!


เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ทำการตัดสินใจ โบกแขนเสื้อหนึ่งครา ธงกระบวนพุ่งปราดออกไปสายแล้วสายเล่า จากนั้นก็หายลับไปในห้วงอากาศในตำแหน่งต่างๆ เพียงชั่วพริบตา


นี่คือธงกระบวนของกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชัน สิ่งที่หลินสวินกำลังทำอยู่คือการใช้กระบวนผนึกทำลายผนึกต้องห้าม ทำเช่นนี้จึงจะสามารถบุกเข้าสู่ส่วนลึกของอารามแห่งนี้ได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุด


แต่ก็มีข้อเสียอย่างหนึ่ง นั่นก็คือยามที่ธงกระบวนเหล่านี้ทำลายผนึกต้องห้ามจะได้รับความเสียหาย ข้อนี้ก็เป็นเหตุผลที่หลินสวินไม่อยากนำออกมาใช้ในคราแรกนั่นเอง


แต่ยามนี้ไม่อาจสนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ธงกระบวนเสียหายยังพอหลอมขึ้นใหม่ได้ หากวาสนาในที่แห่งนี้ถูกอริฉกฉวยไป นั่นจึงจะเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ สูญเปล่าไปจริงๆ


โครมครืน!


ธงกระบวนเริ่มสำแดงประสิทธิภาพน่าทึ่งอย่างรวดเร็ว แผ่กระจายค่ายกลสลักวิญญาณหมุนวนออกมา บังเกิดการชนกระแทกเข้ากับผนึกเทพต้องห้ามที่ปกคลุมที่แห่งนี้ เสียงก้องกระหึ่มดั่งฟ้าร้องระงม


“ไป!”


หลินสวินเดินนำทางอยู่ด้านหน้า


เพียงแต่ขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหวได้ไม่นานก็ปรากฏภาพที่น่าตกใจขึ้น


พลังผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วทั้งอารามคร่ำครึทรุดโทรมแห่งนี้ราวกับสะดุ้งตื่น พรั่งพรูแสงธรรมทะยานฟ้าออกมา


แสงธรรมแสงนั้นไพศาลโชติช่วง แต่กลับปรากฏสีดำประหนึ่งราตรีนิรันดร์ก็ไม่ปาน ให้กลิ่นอายกดกำราบน่าหวาดกลัวที่บีบคั้นหาใดเปรียบแก่ผู้คน


ขณะเดียวกันเสียงระฆังดังระงม ราวกับเป็นเสียงเตือนโลก ทั้งคล้ายเสียงสวดมนต์น่าเกรงขามของภิกษุ พาให้ฟ้าดินแถบนี้ล้วนห่อหุ้มอยู่ภายในบรรยากาศเคร่งขรึมที่ไม่อาจบรรยายได้


ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน นี่ต้องไม่ได้เกิดจากการที่เขาสลายผนึกต้องห้ามอย่างแน่นอน


“เป็นพวกเขา!”


ไม่นานพวกหลินสวินล้วนสัมผัสได้ว่า บนตัวผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์อย่างพวกมู่เจิ้งเกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันน่าตกใจตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้


เหนือศีรษะของมู่เจิ้งมีพุทธคัมภีร์ลึกลับประหนึ่งภาพมายาปรากฏขึ้น อักษรประหลาดแน่นขนัดเป็นทิวแถวปลิวว่อน แต่ละตัวอักษรประหนึ่งก่อร่างขึ้นจากหยกดำ แสงธรรมไหลทะลัก แผ่พุ่งครอบคลุมไปทางซุ้มพระแท่นนั้น


ส่วนเหนือศีรษะภิกษุจีวรดำสี่รูปที่เหลือต่างปรากฏสี่สิ่งแตกต่างกันออก


ขรรค์พระเวทที่ประทับลวดลายดอกบัวสีดำเล่มหนึ่ง


โคมสำริดสีดำที่สลักลวดลายพุทธแปลกประหลาดใบหนึ่ง


ต้นโพธิ์ที่ราวกับสร้างขึ้นจากหินหยกสำริดต้นหนึ่ง


คัมภีร์หยกมุนินทร์ที่กลมสมบูรณ์ประดุจจันทร์เพ็ญชิ้นหนึ่ง


แต่ละอย่างเหมือนปรากฏการณ์ประหลาดลวงมายา ล้วนเปล่งแสงธรรมออกมา รวมเข้ากับพุทธคัมภีร์เหนือศีรษะมู่เจิ้ง แผ่ครอบซุ้มพระหลังนั้น


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะฮุบเอาของสิ่งนี้ไป แถมยังใกล้สำเร็จอีกด้วย!


แต่เดิมซุ้มพระหลังนั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง แต่ยามนี้กลับปะทุแสงธรรมน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบออกมา ส่องสว่างประหนึ่งเปลวไฟลุกโชน


และในซุ้มพระ บนตัวหงส์ดำเลือดทมิฬที่ขดตัวเหมือนทารกในครรภ์เทพ ปีกลู่ราบคล้ายกำลังหลับใหลอยู่นั้น อักษรมรรคอันแน่นขนัดก็พวยพุ่งออกมา วิวัฒน์เป็นเปลวเพลิงสีดำโชติช่วงแผดเผา ราวกับฟื้นตื่นจากการหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น


การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว เรียกได้ว่าน่าตะลึงสะท้านโลก ชักนำให้เกิดการแปรปรวนของพลังผนึกต้องห้ามของอารามทั้งหลัง!


“เจ้าลาหัวโล้นสมควรตายพวกนี้ แต่ละคนเหมือนฟั่นเฟือนกันหมดแล้ว!” ซุ่นไป๋เสวียนแหกปากผรุสวาท


“ทำอย่างไรดี” ลั่วเจียร้อนรนยิ่ง ไม่สามารถสงบนิ่งได้


“พุ่งเข้าไปก่อน!”


หลินสวินกัดฟัน ผนึกต้องห้ามของอารามถูกกระตุ้นทุกทาง ทำให้เขากดดันเป็นเท่าตัว ไม่อาจไม่โคจรพลังเต็มขีดจำกัด ทำลายผนึกสุดแรง


เพียงแต่พวกเขาเพิ่งมาถึงบริเวณที่ตั้งซุ้มพระหลังนั้น ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวก็ได้ยินเสียงร้องอุทานดังขึ้น


กลับเห็นร่างพวกมู่เจิ้งซวนเซถอยกรูดราวกับถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าแปรเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าสะบักสะบอมยิ่ง


พร้อมกันนั้นในซุ้มพระหลังนั้น เงาแสงสีดำสายหนึ่งโฉบพุ่งออกมาโดยพลันราวกับเคลื่อนย้ายในพริบตา พุ่งไปยังส่วนลึกของอารามเก่าแก่ พริบตาก็มองไม่เห็นแล้ว


เมื่อมองไปด้านในซุ้มพระหลังนั้นอีกคราก็ว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้น


พวกหลินสวินก็อึ้งนิ่ง การเปลี่ยนแปลงประหลาดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป พาให้พวกเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน


“น่าชังนัก! พลาดแค่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น!” ภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งกัดฟัน สีหน้าไม่ยินยอม


“ในครรภ์พุทธะนี้ไม่เพียงบรรจุพลังที่บรรพจารย์ ‘ตู้จี้’ ทิ้งเอาไว้ ยังเชื่อมผสานเลือดอริยะบริสุทธิ์ของหงส์ดำเลือดทมิฬอีกด้วย น่าเหลือเชื่อและอัศจรรย์ถึงที่สุด เป็นครรภ์พุทธะที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณกาล ไม่สามารถบังคับเอามาได้”


สีหน้ามู่เจิ้งราบเรียบไม่ไหวติง “ยังดี มันไม่อาจหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ ยังพอมีโอกาสนำมันกลับไปที่สำนักอยู่”


“หืม?” กล่าวถึงตรงนี้สีหน้ามู่เจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพิ่งพบว่ามัวแต่สนใจกำราบเป้าหมาย ถึงกับไม่ได้สังเกตโดยสิ้นเชิงว่าพวกหลินสวินก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน


ขณะเดียวกันสีหน้าพวกหลินสวินประหลาดไปอยู่บ้าง ในใจต่างสั่นสะเทือนไม่สิ้น ครรภ์พุทธะที่ผสานเลือดอริยะบริสุทธิ์ของหงส์ดำเลือดทมิฬหรือ


นี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เพียงใดกัน


มีเพียงแม่นางเยวี่ยที่คล้ายคาดเดาความเป็นไปออก กล่าวพึมพำเสียงหลง “ข่าวลือคือเรื่องจริงจริงๆ ด้วย หลังจากอริยสงฆ์ตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์บรรพกาลสยบหงส์ดำเลือดทมิฬในที่แห่งนี้แล้วก็ไม่เคยจากไปไหน แต่เลือกวิธีการพิเศษ ทำการแลกเปลี่ยนกับหงส์ดำเลือดทมิฬอย่างหนึ่ง ทั้งคู่ร่วมกันสำแดงเคล็ดวิชาต้องห้ามบางประการ ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณกาล!”


“สิ่งที่ตั้งอยู่และฟูมฟักในซุ้มพระนั่น บางทีอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้!”


ชั่วขณะหนึ่งพวกหลินสวินล้วนไม่อาจสงบใจ ต่างตระหนักได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงที่พวกมู่เจิ้งมาในครั้งนี้ ก็คือการกำราบสิ่งมีชีวิตที่อริยสงฆ์ตู้จี้และหงส์ดำเลือดทมิฬร่วมกันให้กำเนิดขึ้นมา ซึ่งก็คือสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น ‘ครรภ์พุทธะ’!


“ศิษย์น้องทั้งสี่ ที่แห่งนี้ยกให้พวกเจ้าแล้ว” สีหน้ามู่เจิ้งราบเรียบ มองสำรวจพวกหลินสวินแล้วพุ่งไปยังส่วนลึกที่สุดของอาราม


ขณะเดียวกันภิกษุจีวรดำสี่รูปนั้นก็ก้าวขึ้นหน้า แต่ละคนสีหน้าไร้ปรานีและขึงขัง ขวางอยู่ข้างหน้าพวกหลินสวิน


เห็นได้ชัดว่าแม่นางเยวี่ยในยามนี้ร้อนรนยิ่งกว่าลั่วเจียเสียอีก ไม่ได้เยือกเย็นและสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ กล่าวรัวเร็วว่า “หลินสวิน เจ้าไล่ตามมู่เจิ้งไป ข้ากับพวกเขาจะช่วยกันจัดการเจ้าพวกนี้เอง ต้องเร็วเท่านั้น ครรภ์พุทธะนั่นซ่อนความลับยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณ ห้ามให้มู่เจิ้งทำสำเร็จเด็ดขาด!”


“ได้!”


หลินสวินสูดลมหายใจลึก เริ่มเคลื่อนไหว


ตู้ม!


ภิกษุจีวรดำสี่รูปนั้นพุ่งพรวดเขามาสังหารโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด อานุภาพแต่ละคนน่าสะพรึงหาใดเปรียบ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าภิกษุจีวรดำที่ถูกพวกหลินสวินสังหารไปก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า!


สี่คนนี้เป็นบุคคลชั้นยอดในอารามกษิติครรภ์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะสู้มู่เจิ้งคนนั้นไม่ได้ แต่ก็ด้อยกว่ากันไม่เท่าไรแน่นอน


“ลาหัวโล้น! คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้าคนนี้!” ซุ่นไป๋เสวียนอดกลั้นไม่ไหวนานแล้ว ส่งเสียงตะโกนสนั่นฟ้า แสงสีทองท่วมทะลักทั่วสรรพางค์กาย โหมพิฆาตเข้าไป


ชิ้ง!


เวลาเดียวกันลั่วเจียก็ลงมือแล้ว ซ้ำยังใช้อาวุธอริยะน่าหวาดกลัวอย่างกระบี่ยอดนภาเบิกมารตั้งแต่แรก


ศึกใหญ่ปะทุขึ้น หลินสวินไม่ได้ร่วมวงด้วย สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งปลีกตัวออกจากวงล้อมอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พุ่งพรวดไปยังส่วนลึกของอารามเก่าแก่ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ



 

 

 


ตอนที่ 957 ที่แห่งนี้น่าสะพรึงมหันต์

 

หลังจากรู้ท่าทีของแม่นางเยวี่ย ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน หรือลั่วเจียและซุ่นไป๋เสวียน ต่างก็ตระหนักถึงความสำคัญและเร่งด่วนของปัญหา


ดังนั้นทันทีที่เริ่มต่อสู้ ผู้ใดต่างก็ไม่เคยรีรอและโอ้เอ้ใดๆ


สวบ!


เงาร่างหลินสวินพริบไหวพุ่งพรวดไปข้างหน้า ส่วนลึกของอารามเก่าแก่แห่งนี้ลี้ลับยิ่ง เส้นทางคดเคี้ยวเงียบเชียบ ริมทางถูกปกคลุมด้วยสีดำราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น


ยิ่งกว่านั้นพลังผนึกต้องห้ามยังแผ่คลุมทุกอณู ทำให้ยามที่หลินสวินพุ่งขึ้นหน้ายังต้องระวังและรอบคอบอย่างเสียไม่ได้


ทัศนียภาพก็เปลี่ยนแปลงตามความลึกเข้าไป


บนพื้น ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากศึกใหญ่ มีทั้งรอยกรงเล็บ รอยฝ่ามือ และขี้เถ้าที่หลงเหลือจากการถูกเผา


ระหว่าทางทุกแห่งหนล้วนเป็นภาพผุพัง เสื่อมสภาพ เป็นที่น่าสยดสยอง


คาดเดาได้ว่าที่แห่งนี้เคยเกิดศึกสะท้านโลกในช่วงบรรพกาลมาก่อน ร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่ล้วนไม่สามารถถูกลบทำลายจากการกัดกร่อนของกาลเวลา!


ไม่นานนักหลินสวินก็เห็นชิ่งที่เก่าคร่ำคร่ามีลายพร้อย เพียงแต่แตกหักตั้งนานแล้ว บนนั้นเปื้อนคราบเลือดสีทอง


เห็นได้ชัดว่าคราบเลือดนั้นแห้งกรังมาไม่รู้นานเท่าไร แต่ขณะที่หลินสวินทอดมองเข้าไปกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ปะทะหน้าเข้ามาวูบหนึ่ง ดุจหุบเหวดั่งนรก กดดันเสียจนจิตวิญญาณของเขาครั่นคร้าม มีสัญญาณที่ตั้งท่าจะล่มสลาย!


เลือดอริยะหรือ


หาไม่หลังจากเกรอะกรังผ่านกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด จะยังคงหลงเหลือกลิ่นอายน่าสะพรึงเช่นนี้อยู่อีกได้อย่างไร


ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน รีบขับเคลื่อนเคล็ดเวทบริกรรม ไม่กล้าไปหยั่งรู้อีก


จากจุดนี้เป็นต้นไป บรรยากาศเริ่มแตกต่างขึ้น มีกลิ่นอายอัปมงคลและบีบเค้นที่พาให้ผู้คนใจสั่น


ตูม!


แสงสายฟ้าวูบวาบ สายฟ้าสายแล้วสายเล่าตัดสลับไปมาปรากฏขึ้น นี่คือพลังของผนึกต้องห้าม น่าสะพรึงไร้ขอบเขต ท่ามกลางสายฟ้าคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายล้างผลาญ


หลินสวินรอบคอบเพียงพอแล้ว กลับยังคงถูกสายฟ้าเฉี่ยวร่างอยู่ดี บริเวณไหล่ฉีกขาดหลั่งเลือด พลังทำลายล้างอันคลุมเครือสายแล้วสายเล้าแพร่กระจายผ่านบาดแผลด้วยความเร็วอันน่าตกใจ


หลินสวินโคจรพลังมรรคดับดารากลืนกิน ถึงได้สลายกลิ่นอายล้างผลาญคลุมเครือที่แผ่ขยายออกมาเหล่านี้ไปได้


“พลังของผนึกต้องห้ามแข็งแกรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” สีหน้าหลินสวินเคร่งขรึม เขาสัมผัสถึงภัยคุกคามถึงชีวิตอย่างหนึ่ง


วู้ม!


เขาเรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด ตัวเจดีย์ที่สร้างขึ้นจากเหล็กเทพศุภโชคดุจดั่งกระจกเคลือบ แผ่รังสีศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามออกมาพิทักษ์รอบตัวหลินสวิน


พร้อมกันนั้นดาบหักสีขาวเจิดจ้าดุจหิมะก็แหวกอากาศออกมา คมดาบไหลเวียนด้วยแสงแวววาวมายา ตั้งท่าพร้อมรบ


เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้นหลินสวินจึงรู้สึกโล่งใจน้อยๆ ก่อนมุ่งหน้าต่อไป


ระหว่างทางพลังผนึกต้องห้ามปั่นป่วน แสงธรรมดุจสีหมึก ราวกับราตรีนิรันดร์มืดมิดพาให้ผู้คนใจสะท้าน เริ่มลงมือพิฆาตใส่หลินสวินเป็นช่วงๆ


ด้วยความเชี่ยวชาญระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณของหลินสวิน ยังไม่สามารถสลายมันได้โดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงหลบเลี่ยงไม่ก็ฝืนต้าน พลังนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว


โชคดีที่เจดีย์สมบัติไร้อักษรลึกลับสุดขีด รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทองไหลวน ช่วยบรรเทาเคราะห์สังหารถึงแก่ชีวิตมากมายให้หลินสวิน ไม่เช่นนั้นเขาแทบจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เลย


ไม่นาน ในที่สุดหลินสวินก็พบมู่เจิ้งหนึ่งในสิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์


เขาสวมจีวรสีดำ เงาร่างสูงตระหง่านดั่งภูเขา รอบตัวพลุ่งพล่านด้วยแสงธรรมอร่าม ในมือกระชับบาตรสีดำใบหนึ่ง


บาตรนั้นลึกลับยิ่ง สาดพรมแสงธรรมสีดำเป็นล้านๆ สาย วิวัฒน์เป็นเงามายาภิกษุสายแล้วสายเล่าเฝ้าพิทักษ์รอบกายมู่เจิ้ง ยังแว่วเสียงสวดท่องธรรมดังลอยออกมาจากกลางบาตรอีกด้วย


อาลยบาตร!


ก่อนหน้านี้ยามอยู่เบื้องหน้ากระแสน้ำวนนั้น มู่เจิ้งก็อาศัยสมบัติชิ้นนี้พาขบวนคนอารามกษิติครรภ์เข้ามาในซากปรักหักพังผืนนี้


และตามคำกล่าวของแม่นางเยวี่ย อาลยบาตรนี้เป็นถึงสมบัติพุทธอริยมรรคชิ้นหนึ่งที่เลื่องชื่อลือชาในอารามกษิติครรภ์ สืบทอดกันมายาวนาน


และเหนือศีรษะของมู่เจิ้งยังปรากฏพุทธคัมภีร์มายาเล่มหนึ่ง ปลดปล่อยตัวอักษรแปลกประหลาดราวกับสร้างขึ้นจากทองนิลดำแถวแล้วแถวเล่า ส่องแสงอร่าม กำลังช่วยมู่เจิ้งสลายพลังผนึกต้องห้ามที่ได้เห็นระหว่างทางอยู่


“หืม?” ราวกับสัมผัสถึงสายตาของหลินสวิน มู่เจิ้งเหลียวหลังขวับทันที


เมื่อเห็นหลินสวิน เขาหรี่ตาลงน้อยๆ หว่างคิ้วผ่องพิสุทธิ์เต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก


โดยเฉพาะยามที่เห็นเจดีย์สมบัติไร้อักษรหลังนั้นเหนือศีรษะหลินสวิน เขาดูตื่นตกใจอย่างหาพบได้ยาก ท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา


ท้ายที่สุดเขาเก็บสายตากลับมา หมุนตัวมุ่งหน้าต่อไป เขาดูเหมือนไม่อยากถูกถ่วงเวลา หนำซ้ำยังเร่งฝีเท้าขึ้นอีก


แต่จากท่าทางเมื่อครู่ของเขา หลินสวินกลับสัมผัสได้ว่าเจ้าหมอนี่มีจิตสังหารต่อตนแล้ว!


‘ผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง แต่กลับเย็นชาและไร้ปรานีเช่นนี้ ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์แห่งนี้ต่างจากผู้บำเพ็ญธรรมบนโลกจริงๆ ด้วย…’ หลินสวินขมวดคิ้ว


จากนั้นเขาไม่ได้คิดมากอีก รีบมุ่งหน้าทำเวลา


นี่เป็นเหมือนการแก่งแย่งและประชันอย่างไร้สุ้มเสียงอย่างหนึ่ง ไม่ว่ามู่เจิ้งหรือหลินสวินต่างก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดสิ้นสุดของอารามเก่าแก่แห่งนี้ให้ได้ !


หลินสวินมุ่งหน้าไปพลางครุ่นคิดไปพลาง อารามเก่าแก่แห่งนี้ดูเหมือนทรุดโทรมแถมยังไม่กว้างใหญ่ แต่กลับซุกซ่อนจักรวาล กฎเกณฑ์ลึกลับอื่นอีก


พลังผนึกต้องห้ามที่กระจายอยู่ในนั้นเรียกได้ว่าเป็นฝีมือชั้นยอดเหนือธรรมชาติ ศุภโชคชิงฟ้าดิน พาให้หลินสวินตระหนกตกใจหาใดเปรียบ กระทั่งลุ่มหลงเล็กน้อยเลยทีเดียว


เขายังนึกสงสัยว่าถ้าหากรู้แจ้งปรุโปร่งถึงปริศนาทั้งหมดของผนึกต้องห้ามนี้ ความเชี่ยวชาญด้านสลักวิญญาณของตนต้องบังเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน!


‘แม่นางเยวี่ยพูดผิดแล้ว การจะเข้าสู่ที่แห่งนี้รู้แค่การสลักวิญญาณอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องมีสมบัติอริยะคอยปกป้องด้วย หาไม่ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ก้าวย่างยากลำบาก ไม่กล้าข้ามขีดจำกัด ผลีผลามบุกเข้ามามีแต่ตายอย่างเดียว!’


ผ่านการสัมผัสและสำรวจตลอดทาง หลินสวินก็ได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่ปกคลุมทั่วอารามนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกระบวนอริยะ!


อีกทั้งกระบวนนี้แหว่งวิ่น ถูกทิ้งร้างมานานปี สูญเสียแหล่งกำเนิดแห่งพลังไปเรียบร้อยแล้ว


หาไม่ต่อให้มีเจดีย์สมบัติไร้อักษรคุ้มกันก็อาจประสบความยากลำบากตั้งนานแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ตนจะมาถึงจุดนี้ได้


หลังหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ในที่สุดก็มาถึงจุดสิ้นสุดของอารามแห่งนี้


บริเวณนี้ไม่มีพลังผนึกต้องห้าม แต่กลับปรากฏโคมธรรมใบแล้วใบแล้ว แสงเรืองสว่างไสวไหลเวียน ส่องสะท้อนฟ้าดินแถบนี้ เปื้อนกลิ่นอายพิสุทธิ์เคร่งครัด


“นั่นคือ…”


หลินสวินหรี่ตาลง เห็นบริเวณปลายสุดมีแท่นดอกบัวที่ขาวพิสุทธิ์ประหนึ่งหยก โปร่งใสไร้ที่ติตั้งอยู่


บนแท่นดอกบัวมีเงาร่างหนึ่งนั่งหลังตรง ทั่วร่างแผ่แสงสว่างจ้านับไม่ถ้วน ทั้งพร่าตาและงามระยับ


ราวกับมุนินทร์โพธิสัตว์องค์หนึ่ง!


เนื่องด้วยตรงนั้นสว่างจ้าเกินไปทำให้หลินสวินไม่อาจมองถนัดตา แต่เขากลับรับรู้ได้ว่าอานุภาพอริยะศักดิ์สิทธิ์และแสงสว่างที่ยากจะพรรณนาซึ่งแผ่คลุมที่แห่งนี้ พาให้ผู้คนรู้สึกอยากคุกเข่ากราบกรานอย่างหนึ่ง


เวลานี้มู่เจิ่งก็ยืนอยู่ตรงนั้น อาลยบาตรในมือคละคลุ้งแสงธรรมสีดำ ทั่วกายลอยล่องด้วยเงาภิกษุมายารูปแล้วรูปเล่า ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบกับแท่นบัวขาวพิสุทธิ์ดุจหยกรวมถึงเงาร่างที่นั่งอยู่บนนั้น


หนึ่งขาวหนึ่งดำประดุจหยินหยาง เผยให้เห็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง


“นี่…” มู่เจิ้งร้องเสียงหลงออกมาคล้ายค้นพบอะไร


ขณะเดียวกันนั้นในที่สุดหลินสวินก็มองเห็นชัดเจน บนแท่นดอกบัวสีขาวพิสุทธิ์ นอกจากเงาร่างภิกษุประดุจมุนินทร์ที่ส่องแสงเจิดจ้าสายนั้นแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง


คนผู้นั้นเป็นผู้หญิงที่ทั่วสรรพางค์กายชโลมเพลิงวิเศษ เรือนผมดำสยายราวกับน้ำตก ขวางหน้าเงาร่างภิกษุรูปนั้นด้วยท่าทางพลีชีพช่วยเหลือ


ร่างของทั้งคู่แทบจะแนบสนิทกัน


ภิกษุขมวดคิ้ว ถลึงตาจับจ้องมองไกลออกไป


หญิงสาวหลุบตา ท่าทางเจือความแน่วแน่และหวั่นวิตก


และห่างจากทั้งคู่ไม่ไกลนักยังมีเงาร่างอีกสายหนึ่ง รอบกายปกคลุมด้วยแสงแวววาวสีทองประหลาดชั้นหนึ่ง เงาร่างดูเหมือนซูบผอมแต่กลับให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตแก่ผู้คน อัดแน่นทั่วจักรวาลฟ้าดิน บีบเค้นฟ้าเสถียรดินขนาน ประหนึ่งผู้เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวทั่วหล้า


ที่พาให้ผู้คนหวาดผวาที่สุดคือเงาร่างสีทองปริศนานี้มือถือหอกยักษ์เล่มหนึ่ง ทะลวงผ่านแท่นดอกบัวสีขาวพิสุทธิ์ดุจหยกนั้น พาดผ่านกลางอกของหญิงสาว และพาดผ่านขั้วหัวใจของภิกษุ!


นี่เป็นการโจมตีเดียวถึงชีวิต!


เพียงแค่มองก็พาให้ผู้คนสิ้นหวัง บังเกิดความสะพรึงยิ่งในใจ!


หลินสวินหนังศีรษะมึนชา ระหว่างที่งุนงง เสมือนมองเห็นวันใดวันหนึ่งในยุคบรรพกาล เงาร่างสีทองสายหนึ่งหล่นลงมาจากฟากฟ้ามาถึงอารามเก่าแก่แห่งนี้


ไม่นานบริเวณนี้ก็บังเกิดการต่อสู้สะท้านโลก ภิกษุเกรี้ยวโกรธ บังคับแท่นดอกบัวต้านศัตรู แสงธรรมส่องสว่างเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน


เพียงแต่ไม่สามารถต้านทานการสยบของเงาร่างสีทองที่ถือหอกยักษ์นั่นได้


ช่วงเวลาคับขันหญิงสาวปรากฏตัว พลีชีพเข้าช่วยภิกษุต้านการโจมตีนี้เอาไว้ กลับคิดไม่ถึงว่าศัตรูจะน่าหวาดกลัวเกินไป ภายใต้หอกเดียว แท่นดอกบัวพังยับ หญิงสาวสิ้นชีพ ภิกษุถูกแทงตัดผ่านขั้วหัวใจ


ก่อนตายหญิงสาวร้อนรนสิ้นหนทาง ภิกษุเศร้าโศกโกรธแค้น เต็มไปด้วยความไม่ยินยอม!


ทั่วร่างหลินสวินถูกเหงื่อเย็นชโลมโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะคาดเดาความจริงได้เสี้ยวหนึ่ง แต่ในใจเขากลับรู้สึกไม่สมจริงอย่างช่วยไม่ได้


ยิ่งกว่านั้นบริเวณนี้มีไอสังหารน่าสะพรึงคละคลุ้งอยู่ ครอบฟ้าคลุมดิน นั่นคือจิตสังหารที่หลงเหลือในบริเวณนี้ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไร เป็นอานุภาพสูงสุดของผู้แข็งแกร่งอริยมรรค!


หากไม่ใช่เพราะมีเจดีย์สมบัติไร้อักษร หลินสวินคงขวัญผวา จิตวิญญาณย่อยยับตายไปตั้งนานแล้ว!


ในขณะเดียวกันมู่เจิ้งเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ทั่งร่างแข็งทื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยแววอ่อนล้า มือเท้าต่างสั่นเทิ้ม


หากไม่ได้พลังของอาลยบาตรคอยคุ้มกัน เขาเองก็คงยืนหยัดไม่ไหวตั้งนานแล้วเหมือนกัน


เคร้ง!


เสียงระฆังที่เหมือนเตือนโลกดังกังวาน ไอสังหารและแรงบีบคั้นที่มีอยู่เต็มฟ้าดินแถบนี้ต่างก็สลายหายไป บรรยากาศเปลี่ยนเป็นพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และครัดเคร่ง


ทอดมองไกลๆ อีกครั้ง เงาร่างภิกษุและหญิงสาวผู้นั้นต่างอันตรธานหายไป แม้แต่เงาร่างสีทองที่ราวกับเจ้าครองพิภพนั้นก็หาไม่เจออีกต่อไปด้วยเช่นกัน


ราวกับพวกเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน สิ่งที่ได้เห็นทั้งหมดเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงภาพลวงตาประหนึ่งฝันร้ายก็ไม่ปาน


“ที่แท้บรรพจารย์ตู้จี้ก็ถูกคนสังหารแล้ว… แต่ว่า… แต่ว่านางพญาหงส์ทมิฬผู้นั้นทำไม… ทำไมต้องพลีชีพเข้าช่วย…”


มู่เจิ้งพึมพำคล้ายไม่เข้าใจยิ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น “บรรดาผู้อาวุโสในสำนักพวกนั้นไม่ใช่บอกว่าพวกเขาทั้งสองเป็นศัตรูกันหรือ… เหตุใด…”


ดังคาด!


หลินสวินได้ยินเช่นนี้ในใจก็ไม่อาจสงบลงได้ ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาบางอย่างได้แล้ว แต่ไม่กล้ายืนยัน


แต่ยามนี้กลับไม่อาจไม่เชื่อแล้ว


ภิกษุและหญิงสาวที่ปรากฏตัวบนแท่นดอกบัวหยกขาวเมื่อครู่นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นอริยสงฆ์ตู้จี้อารามกษิติครรภ์ผู้นั้น และหงส์ดำเลือดทมิฬที่เหยียบย่างบนอริยมรรค!


ตามคำเล่าลือ ไม่ใช่บอกว่าตู้จี้สังหารหงส์ดำเลือดทมิฬที่นี่ ทั้งยังผนึกตรึงนางเอาไว้หรอกหรือ แต่ทำไม… ทำไมทั้งคู่ถึงร่วมสู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันจนตาย


หรือว่าคำเล่าลือเป็นเท็จ


หลินสวินตระหนักได้ว่าแม้แต่เบื้องลึกที่แม่นางเยวี่ยรู้มาทั้งหมด เกรงว่าจะเป็นเพียงข่าวลือด้วยเช่นกัน และมีความคลาดเคลื่อนจากความจริงอยู่มากโข!


แต่หากเป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วเงาร่างสีทองสายนั้นที่สังหารพวกเขาเป็นใครกัน


ผู้ยิ่งใหญ่อริยมรรคทั้งสองกลับถูกคนสังหารต่อเนื่องในการโจมตีเดียว จุดนี้ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…


หลินสวินยิ่งคิดยิ่งตกใจ ไอเย็นเยียบแผ่ซ่านทั่วร่าง



 

 

 


ตอนที่ 958 วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์

 

อริยะ!


ในภาพจำของหลินสวิน อริยะเป็นดั่งผู้วิเศษ ครอบครองความสามารถเทียมฟ้าทะลวงดิน ยืนอยู่เหนือสุดผืนแผ่นฟ้า อายุยืนเทียบเทียมกาลนิรันดร์ รัศมีเรืองรองดุจสุริยันจันทรา ใกล้เคียงกับผู้เป็นอมตะ


ระดับอริยะยิ่งเป็นระดับการบำเพ็ญที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างฝันใฝ่ นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน บุคคลยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินไม่รู้ตั้งเท่าไรที่ขุ่นแค้นอยู่หน้ามรรคาสายนี้ ไร้วาสนาเหยียบย่างบนนั้น


มันสูงส่งเกินไป เป็นดั่งตำนานเล่าขาน นับแต่กาลเวลานิรันดร์เป็นต้นมา ผู้ที่สามารถมาถึงระดับนี้ได้ก็มีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น!


แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถขัดขวางผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนให้ไปปีนป่ายและแสวงหาอย่างไม่ขาดสาย


แต่ยามนี้ในอารามเก่าแก่แสนทรุดโทรมแห่งนี้ กลับมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับอริยะบรรพกาลสองคนมอดม้วย ณ ที่แห่งนี้ ซ้ำยังถูกคนสังหารต่อเนื่องกันในหอกเดียว แล้วจะไม่ให้ผู้คนสยองขวัญได้อย่างไร


คนหนึ่งคืออริยสงฆ์ตู้จี้จากอารามกษิติครรภ์ อีกคนก็เป็นนางพญาเผ่าหงส์ดำเลือดทมิฬ แต่กลับพากันประสบเคราะห์อยู่ที่นี่ น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!


หลินสวินไม่อาจจินตนาการได้ว่า เงาร่างสีทองนั้นบรรลุไปถึงระดับที่น่าหวาดกลัวเพียงใดกันแน่ ถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้


เขาสั่นเทิ้มทั่วร่าง ตระหนักได้ว่าในสมัยบรรพกาล ภายในอารามแห่งนี้ต้องซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้แน่ ถึงได้ทำให้อริยะทั้งสองเผชิญเคราะห์สังหารคับฟ้า!


ในเวลาเดียวกันนั้นสีหน้ามู่เจิ้งก็เปลี่ยนไปไม่นิ่ง เห็นได้ชัดว่าก็ตกใจกับความจริงฉากแล้วฉากเล่าที่ได้เห็นเมื่อครู่ด้วยเช่นกัน


“หืม?”


แต่ไม่นานทั้งสองต่างพากันสะดุ้งตกใจ สายตามองไปทางแท่นดอกบัวขาวพิสุทธิ์ที่กลิ่นอายอริยะเทพคุโชนแท่นนั้น


มันปรากฏรากไม้ที่เหี่ยวแห้งไหม้เกรียมรากหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เน่าเปื่อยจนแทบกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่สะดุดตายิ่ง


แต่หลินสวินกับมู่เจิ้งต่างตระหนักได้ว่า นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง!


หาไม่มีหรือมันจะปรากฏบนแท่นดอกบัวหยกขาวที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์นั้นได้


สวบ!


มู่เจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวทันที เงาร่างสูงตระหง่านดุจดั่งภูผาพุ่งไปทางแท่นดอกบัวหยกขาวปานสายฟ้าแลบ เอื้อมมือออกไป รอยมือมายาขนาดใหญ่รายล้อมด้วยแสงธรรมสีดำคว้าตะปบลงไป


แต่หลินสวินไวกว่าเขา ก้าวย่างชือน้ำแข็งโคจรถึงขีดสุด เริ่มทีหลังแต่มาถึงก่อนราวกับแสงพริบไหวก็ไม่ปาน พร้อมกันนั้นในเจดีย์ไร้อักษรก็สาดแสงมรรคทองนิลกาฬออกมาสายหนึ่ง หอบม้วนออกไป


แสงมรรคทองนิลกาฬไม่เพียงมีประสิทธิภาพในการสยบอันน่าเหลือเชื่อ แต่ยังกวาดผ่านทุกสิ่ง เก็บรวบทุกอย่าง ยอดเยี่ยมสุดจะเปรียบ


“ถอยไป!” มู่เจิ้งหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ปากตะคอกขับไล่ เรียกอาลยบาตรในมือออกไปต้านแสงมรรคทองนิลกาฬ


แต่ตัวเขาเงาร่างพริบไหว ฝ่ามือควบรวมเป็นประทับพุทธมหึมา กดอัดห้วงอากาศพุ่งสังหารไปทางหลินสวิน


เห็นได้ชัดว่า เขาไม่สามารถทำใจปล่อยให้หลินสวินชิงรากไม้เหี่ยวแห้งไหม้เกรียมนั้นไปก่อนได้


“เฮอะ!”


หลินสวินแค่นเสียงเย็น ดาบหักที่พร้อมสู้ตั้งนานแล้วพุ่งโจมตีออกไป สาดประกายคมปลาบไร้เทียมทาน เจิดจ้าดั่งหิมะออกมาปะทะกับมัน


เพียงชั่วครู่ศึกใหญ่ก็ปะทุขึ้น!


วาสนาอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ ก็เพียงพอจะทำให้เกิดศึกตัดสินเป็นได้แล้ว


และเพื่อให้ได้รับวาสนา ไม่ว่าหลินสวินหรือมู่เจิ้งต่างงัดฝีมือออกมาใช้เต็มที่ตั้งแต่คราแรก


ตูม!


หลินสวินเหยียบย่างห้วงอากาศ ดาบหักสำแดงแก่นอัศจรรย์ของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า พิฆาตเฉียบขาด อานุภาพอหังการดั่งเทพมาร


กล่าวได้ว่า ยามนี้หากเปลี่ยนเป็นบุคคลแห่งยุคอย่างพวกหลี่ชิงฮวน มู่เจี้ยนถิง เกรงว่าคงมีแต่ต้องตกที่นั่งลำบากตั้งแต่แรก


แต่เหนือความคาดหมาย มู่เจิ้งคนนี้กลับแข็งแกร่งผิดธรรมดา ภายใต้การสังหารระดับนี้ ยังถูกเขาขืนต้านไว้ได้


ในฐานะหนึ่งในสิบแปดสาวกรุ่นปัจจุบันของอารามกษิติครรภ์ เขาก็ไม่ด้อยกว่าเช่นกัน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าโดดเด่นน่าทึ่ง


เผชิญกับการเข่นฆ่าของหลินสวิน สีหน้าเขาไม่แยแสและครัดเคร่ง รูปร่างสูงตระหง่านดั่งภูผาแผ่แสงธรรมสีดำ เคลื่อนไหวดุจสายฟ้า มีพลังดุจพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบ ราวกับอรหันต์แค้นโลกรูปหนึ่ง


ตูม!


เขาถือลูกประคำสิบแปดสาวกไว้ในมือ ระหว่างที่หมุนวนก็ควบรวมเป็นประทับพุทธที่ราวกับสร้างจากทองคำนิลกาฬสายแล้วสายเล่าพาดผ่านห้วงอากาศ ปลดปล่อยเสียงแห่งมรสุมออกมา ถึงกับสลายพลังสังหารกร้าวแกร่งของดาบหักได้


ขณะเดียวกัน สมบัติอริยะในมือทั้งคู่ก็กำลังต่อสู้กัน


เจดีย์สมบัติไร้อักษรไหลหลั่งแสงมรรคสีทองหมื่นพัน ทรงพลังสยบจักรวาล บีบอัดห้วงอากาศจนพังครืน ส่งเสียงกึกก้องไม่ขาด


เพียงแต่อาลยบาตรนั้นก็ไม่ด้อยไปกว่านั้น ปรากฏเงามายาภิกษุสายแล้วสายเล่าท่องสวดเสียงธรรม ปลดปล่อยลำแสงนับไม่ถ้วนพาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี


สมบัติชั้นยอดสองชิ้นต่างยื้อยุดกัน ยากจะแยกจากกัน


‘ภิกษุรูปนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!’


ในใจหลินสวินครัดเคร่ง ลงมือว่องไวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตัวเร่าร้อนลุกโชนดุจเตาไฟ พลานุภาพห้อทะยานถึงขีดสุด


“สหายยุทธ์ จากศักยภาพของเจ้าก็นับเป็นบุคคลแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ในโลก หากไม่รู้จักความเหมาะสม วันนี้ต้องมีอันตรายถึงชีวิตแน่” มู่เจิ้งขมวดคิ้ว แม้คำพูดจะราบเรียบแต่กลับเจือการข่มขู่


อานุภาพของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จีวรสีดำสะบัดแรง ใบหน้าเคร่งครัด ประหนึ่งภิกษุที่กรำศึกกับใต้หล้ารูปหนึ่ง


“ภิกษุ ข้าก็อยากเตือนสติเจ้าสักประโยคเหมือนกัน เดิมทีเจ้ากับข้าไร้ความแค้น อย่าดึงดันทำผิด บังคับให้ข้าสังหารเจ้า!” หลินสวินตอบกลับเย็นชา


เขาโคจรวิชาลับโทสะหยาจื้อ อานุภาพพุ่งทะยานขึ้นอีกเท่าใหญ่ กระชับดาบหัก ราวกับเทพมารมาเยือนโลก


เพียงแค่ท่วงท่านั้นก็พาให้ห้วงอากาศใกล้เคียงหวีดร้องคร่ำครวญ


“จิตสังหารของสหายยุทธ์รุนแรงเช่นนี้ หากไม่รู้จักเก็บงำไว้บ้างจะต้องร่วงหล่นจมสู่ทางมาร กลายเป็นคนนอกรีตที่ล้างผลาญใต้หล้า”


สีหน้ามู่เจิ้งไม่ทุกข์ไม่สุข ไร้เกรงกลัว เสียงดุจระฆังใบใหญ่ดังกังวาน “พุทธองค์ตรัสไว้ว่า อาตมาไม่ตกนรก ผู้ใดจักตกนรก วันนี้ก็ให้อาตมาช่วยโปรดสัตว์ให้เจ้าแล้วกัน!”


ตูม!


ลูกประคำบนฝ่ามือเขาเรืองแสง ผสานรวมกับดอกบัวสีดำดอกแล้วดอกเล่าในห้วงอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นโปรยปราย


ดอกบัวสีดำแต่ละดอกเต็มไปด้วยแสงธรรมสว่างไสว ปลดปล่อยพลังอัศจรรย์แห่งดุจการข้ามทุกข์ พิสุทธิ์ผ่องแผ้วออกมา กว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง


ขณะเดียวกันสีหน้ามู่เจิ้งเวทนาดั่งพุทธองค์ ริมฝีปากท่องสวดคำพุทธ เหนือศีรษะปรากฏพุทธคัมภีร์สีดำขึ้น พลิกเปิดพึ่บพั่บกลางห้วงอกาศ สาดกพรมอักษรธรรมแถวแล้วแถวเล่า


นี่เป็นมรดกวิชาพิทักษ์อารามกษิติครรภ์… ‘วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์’!


เมื่อสำแดงวิชานี้สามารถสยบศัตรูทั้งปวง ข้ามทุกข์สลายเคราะห์ ชำระล้างสรรพสิ่งชั่วร้าย สยบมารปีศาจราวกับพุทธองค์มาเยือนโลก!


มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดอกบัวสีดำที่ร่วงหล่นดอกแล้วดอกเล่า ปรากฏเงามายาภิกษุรูปแล้วรูปเล่า ปลดปล่อยแสงธรรมนับไม่ถ้วนตามการท่องธรรมของมู่เจิ้ง!


ที่น่าอัศจรรย์คือแสงธรรมนั้นดำสนิทราวกับราตรีนิรันดร์!


เพียงชั่วครู่เท่านั้นหลินสวินก็สัมผัสถึงแรงกดดันใหญ่หลวง


ฝึกปราณจนป่านนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญธรรม พลังและวิชามรรคที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่นในโลกลิบลับ ทั้งอัศจรรย์และน่าหวาดกลัว ศักยภาพน่าเหลือเชื่อ


อีกทั้งมู่เจิ้งยังไม่ใช่พวกทั่วๆ ไป ความกร้าวแกร่งแห่งพลังต่อสู้ของเขา อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเทียมหน้าเทียมตากับบุคคลระดับอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยาได้!


“เฉือน!”


หลินสวินตวาด เงาร่างมีแสงมรรคเรืองรองพลุ่งพล่าน ปราณดาบกร้าวแกร่งไร้เทียมทานราวกับหมื่นธนูพุ่งยิง ตัดสลับไปมา สว่างจ้าพร่าตา


ตูม!


บัวสีดำดอกหนึ่งระเบิดเป็นเสี่ยง ที่น่าแปลกคือกลีบดอกที่แตกเป็นเสี่ยงนั้นไม่ได้หายไป ตรงข้ามกลับควบรวมเป็นรอยอักษรธรรม ปลดปล่อยแสงแวววาวข้ามเคราะห์ ล่องลอยกลางห้วงอากาศ


พรึ่บๆๆ!


อักษรธรรมข้ามเคราะห์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการแตกสลายของบัวสีดำดอกแล้วดอกเล่า เบียดเสียดแน่นขนัด ไม่สามารถถูกทำให้พ่ายแพ้ และไม่สามารถถูกกำจัดได้ แปลกพิสดารถึงขีดสุด


หลินสวินตระหนึกถึงความไม่เข้าที แม้พลังต่อสู้ของเขาจะแกร่งกล้า แต่ขาดประสบการณ์ต่อสู้กับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญธรรม ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพลังที่พวกเขาถนัด


อย่างเช่นอักษรธรรมข้ามเคราะห์แสนประหลาดนี้ เป็นการควบรวมพลังมหามรรคสำนักพุทธที่แปลกประหลาด ไม่สามารถถูกโจมตีจนแตกหักได้ ประหนึ่งความว่างเปล่าก็ไม่ปาน!


มู่เจิ้งกำลังท่องธรรม เสียงกังวานทะลุผ่านฟ้าดินราวกับระฆังยามเช้ากลองยามค่ำ


สีหน้าเขาเคร่งขรึม ทั่วร่างปกคลุมด้วยแสงธรรมสีดำที่ทั้งพิสุทธิ์วิเศษและลึกล้ำ อานุภาพกร้าวแกร่งราวกับภูเขาเทพลูกหนึ่งที่สยบเหนืออเวจี


บัวสีดำเริ่มทะลักออกมาจากลูกประคำ สาดพรมกลางห้วงอากาศประหนึ่งกระแสน้ำก็ไม่ปาน ในนั้นมีเงามายาภิกษุนั่งเป็นกองกำลังหลัก เป็นภาพสะท้านโลก มีอานุภาพสะท้านใจผู้คน


นี่ก็คือ ‘วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์’ วิชาธรรมพิทักษ์สำนักสูงสุดของอารามกษิติครรภ์ ใช้สยบอานุภาพชั่วร้ายทั้งปวง


ทว่าสีหน้ามู่เจิ้งเคร่งขรึมขึ้นตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย ถึงแม้วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์จะยิ่งใหญ่ แต่ก็สิ้นเปลืองพลังของเขาไปมาก


เดิมทีเขาคิดว่าจะสยบหลินสวินและโปรดสัตว์ได้เพียงชั่วพริบตา ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายยังคงกรำศึกห้าวหาญดุดัน!


‘รากฐานเจ้าเด็กนี่น่าสะพรึงนัก! อย่าบอกนะว่าเป็นมารบาปไร้เทียมทานที่แดนเร้นอริยะบางแห่งเคี่ยวกรำออกมา’ มู่เจิ้งใจสั่นสะท้าน


เขาขับโคจรพลังตนเองถึงขีดสุดโดยไม่ได้รีรอ ความเร็วในการหมุนลูกประคำและท่องธรรมก็ไวขึ้นเรื่อยๆ เร่งรีบขึ้นดั่งลมคลั่งฝนคะนอง ดุดันองอาจ พาให้ฟ้าดินแถบนี้เปี่ยมด้วยไอสังหารน่าสะพรึง


บัวสีดำดอกแล้วดอกเล่าพลิ้วไสว มีเงามายาภิกษุประทับอยู่ในนั้น เดิมทีภาพนี้ควรจะพิสุทธิ์วิเศษและเคร่งครัดยิ่งราวกับปาฏิหาริย์ แต่ยามนี้กลับมีไอสังหารถึงชีวิตคลุ้งออกจากในนั้น พาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี


‘พลังข้ามเคราะห์นี่รับมือยากจริงๆ ด้วย!’


ระหว่างการต่อสู้ หัวคิ้วหลินสวินขมวดขึ้น เขาสัมผัสถึงแรงกดดันที่หนักอึ้ง ไม่สามารถสลัดพ้น บัวสีดำเหล่านั้นดุจดั่งไร้ที่สิ้นสุด แผ่คลุมเข้ามาพาให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะหลบหลีก


ยิ่งกว่านั้นแม้จะถูกซัดกระจุย บัวสีดำนั้นก็ไม่เคยสลายไปอย่างสมบูรณ์ หากแต่กลายเป็นอักษรธรรมที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายข้ามเคราะห์ลอยอยู่กลางห้วงอากาศ


ทอดสายตามองเข้าไป อักษรธรรมที่เสมือนสร้างจากทองคำนิลกาฬนี้มีมากถึงหลายร้อย ล่องลอยอยู่ทั่วสารทิศ เหมือนกับพุทธคัมภีร์บทหนึ่งปรากฏอยู่ตรงนั้น น่าอัศจรรย์ถึงขีดสุด


สำหรับหลินสวิน บัวสีดำหาได้น่าสะพรึง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามแท้จริงกลับเป็นอักษรธรรมที่ไม่สามารถถูกซัดกระจุยพวกนั้นต่างหาก!


“ควรจบได้แล้ว!”


นัยน์ตามู่เจิ้งทอรัศมีแสงวิเศษฉับพลัน อานุภาพชวนสยองไม่มีสิ่งใดทียบ “ข้ามเคราะห์พ้นทุกข์ โปรดสัตว์ ณ ที่แห่งนี้ พาให้ใต้หล้าปราศจากมาร!”


ตูม!


พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น อักษรธรรมซึ่งล่องลอยกลางอากาศนั้นรวมตัวกันทันใด ถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นพุทธคัมภีร์เล่มหนึ่งพุ่งกำราบมาทางหลินสวิน


แสงธรรมไหลเวียน อักษรภายในพุทธคัมภีร์แต่ละตัวดั่งไข่มุก ปลดปล่อยแสงแห่งการชำระล้างข้ามเคราะห์บาดตา แผ่คลุมหลินสวินเอาไว้ภายในทันใด


ไม่สามารถหลบหลีกและไม่สามารถต้านทาน ไม่ว่าวิธีการจู่โจมใดๆ ล้วนไร้ผล ไม่สามารถสยบพุทธคัมภีร์เล่มนี้ได้!


เห็นเช่นนี้มู่เจิ้งประกบสองมือ กล่าวคำพุทธหนึ่ง นี่ก็คือโปรดสัตว์ทั่วหล้า… การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์!


หากถูกอริยสงฆ์ที่เหยียบย่างอริยมรรคสำแดง สามารถโปรดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ในเมืองใหญ่จนหมดสิ้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม!


มู่เจิ้งรู้ ถึงแม้หลินสวินจะวางท่าเย้ยฟ้าไร้เทียมทาน แต่ผลสุดท้ายเขาก็ไม่เข้าใจความน่ากลัวของพลังข้ามเคราะห์ ยามนี้คงรักษาชีวิตไม่อยู่แล้วเป็นแน่


เขาทอดสายตามองออกไปไกลๆ ตรงนั้นเจดีย์สมบัติไร้อักษรกำลังตะลุมบอนกับอาลยบาตร ระเบิดแสงเรืองปานอริยะเทพออกมา


ท้ายที่สุดมู่เจิ้งฝืนข่มความปรารถนาภายในใจ สาวเท้าพุ่งไปทางแท่นดอกบัวซึ่งอยู่อีกด้าน


เจดีย์สมบัติไร้อักษรเป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง ทำให้มู่เจิ้งเองก็ไม่อาจไม่ใจเต้น แต่เขารู้ รอให้หลินสวินตายไป ช้าเร็วสมบัตินี้ก็เป็นของตนอยู่ดี


เรื่องเร่งด่วนยามนี้ก็คือชิงรากไม้แห้งเหี่ยวรากหนึ่งที่อยู่บนแท่นดอกบัวนั่น


หากเขาเดาไม่ผิด เป็นไปได้สูงว่ารากไม้นั่นจะเป็นรากโพธิ์ในตำนาน!



 

 

 


ตอนที่ 959 สุขหนอทุกข์หนอ

 

อักษรธรรมสีดำตัวแล้วตัวเล่าแผ่คลุมทั่วร่างหลินสวินราวกับสัญลักษณ์


กลางอักษรธรรมปลดปล่อยพลังข้ามเคราะห์ออกมา ซึมซู่ผิวหนังทั่วกายหลินสวิน ไหลทะลักสู่ภายในร่างกาย บังเกิดอานุภาพชะล้างน่าสะพรึง พาให้ทั้งตัวเขามีภาพลวงประหนึ่งกำลังแผดเผาตัวเองประการหนึ่ง


นี่ก็คือพลังแห่งการโปรดสัตว์ซึ่งกำเนิดจากวิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์!


ในที่สุดหลินสวินก็ตระหนึกถึงความน่ากลัวของพลังนี้ แต่กลับไม่ได้ตื่นตกใจ เพราะในขณะนี้พลังมหามรรคดับดารากลืนกินกำลังขับเคลื่อน


ครืนๆ


ชั่วพริบตา อักษรธรรมสีดำที่ทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัวเหล่านั้นถูกกวาดจนเกลี้ยงราวกับลมหอบเสี้ยวเมฆก็ไม่ปาน ถูกขจัดทิ้งอย่ามสิ้นเชิง ไม่สามารถแทรกซึมร่างหลินสวินได้อีกต่อไป!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในด้านเนื้อแท้แห่งพลังมหามรรคนั้น เห็นชัดว่าพลังข้ามเคราะห์ไม่สามารถเทียบชั้นกับมรรคดับดารากลืนกินได้


ในใจหลินสวินเกิดความรู้แจ้งเสี้ยวหนึ่ง


ก่อนหน้านี้ที่เขาถูกกำราบเป็นเพราะไม่เข้าใจในพลังสำนักพุทธทั้งนั้น ถึงได้ถูกซัดแบบตั้งตัวไม่ทัน


แต่ยามนี้ เขาไม่กลัวแล้ว!



รากโพธิ์ ในสายตาของผู้บำเพ็ญธรรมนั้นเป็นสิ่งวิเศษชั้นหนึ่งในหมู่ชั้นหนึ่งของใต้หล้า อัศจรรย์สุดจะพรรณนา ซุกซ่อนนัยเร้นลับแก่นแท้แห่งมหามรรคทั่วหล้า มีคุณประโยชน์อันน่าเหลือเชื่อ


สมัยบรรพกาลเคยมีโพธิ์ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนโลก แต่ละกิ่งก้านล้วนวิวัฒน์เป็นจักรวาลฟ้าดินแถบหนึ่ง เสมือนสามพันดินแดน น่าอัศจรรย์อย่างที่สุด!


ตามที่มู่เจิ้งรู้มา ในช่วงบรรพกาลมีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในอารามกษิติครรภ์บรรลุแก่นอัศจรรย์สูงสุดของ ‘มรรคยอดธุดงค์มหายาน’ โดยอาศัยเพียงใบโพธิ์ใบเดียวก็รู้แจ้งสิ้นเชิง ณ ที่แห่งนั้น รู้ตื่นรู้เบิกบาน ย่างสู่ระดับอริยะเพียงหนึ่งก้าวด้วยเหตุนี้!


หากรากโพธิ์แห้งเหี่ยวรากหนึ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เกี่ยวข้องกับต้นโพธิ์ เช่นนั้นมูลค่าก็น่าตกใจเกินไปแล้ว


ในฐานะผู้บำเพ็ญธรรม มู่เจิ้งรับรู้ถึงกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของไม้เหี่ยวชิ้นนี้ตั้งแต่พริบตาแรก ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ภายในใจได้ เกิดเป็นความปรารถนาที่รุนแรงสุดจะเปรียบ


ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจหลินสวิน ไม่สนใจเจดีย์สมบัติไรอักษร หากแต่มุ่งเป้าไปที่ของสิ่งนี้ตั้งแต่ต้น


สวบ!


เขาลงมือโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด และมุ่งมั่นจะคว้าของสิ่งนี้ให้จงได้


“ภิกษุ เจ้าช่างใจเร็วเหลือเกิน!” แต่ยามนี้เองเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งก็ดังขึ้น สิ่งที่มาพร้อมเสียงยังมีคมดาบสีขาวเจิดจ้าดั่งหิมะเล่มหนึ่ง


เร็ว!


เร็วเกินไปแล้ว!


มู่เจิ้งมัวแต่คิดหาวิธีว่าจะคว้าไม้แห้งชิ้นนั้นมาได้อย่างไร จึงถูกซัดอย่างตั้งตัวไม่ทันในบัดดล


ฟึ่บ!


ประกายเย็นเยียบพริบไหว ปราณดาบไร้เทียมทานกวาดวาด มีหยาดเลือดพุ่งสาดออกมาทันที แขนขวาที่มู่เจิ้งยื่นออกไปถูกตัดร่วงทั้งอย่างนั้น


ไม่อาจไม่พูด มู่เจิ้งแข็งแกร่งน่ากลัวอย่างที่สุด ถอยหลบในช่วงเวลาคับขันนี้ แม้เสียแขนข้างหนึ่งไปแต่ก็รักษาชีวิตไว้ได้อย่างหวุดหวิด


หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงถูกฆ่าตายคาที่ตั้งนานแล้ว


“เจ้า…” มู่เจิ้งเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยว


แต่ที่ทำให้เขาไม่อยากเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ หลังจากหลินสวินประสบอานุภาพแห่ง ‘โปรดสัตว์ทั่วหล้า’ แล้ว ถึงกับปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ!


ข้อนี้พาให้เขาเกือบไม่เชื่อสายตาตัวเอง


นั่นเป็นถึงไพ่ตายกร้าวแกร่งที่สุดของเขา ตนเชื่อว่าทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ต่อให้เป็นปีศาจไร้เทียมทานในแดนเร้นอริยะพวกนั้นก็เกรงว่าจะต้องพ่ายการโจมตีนี้ และต้องตกที่นั่งลำบากแน่


แต่ยามนี้…


กระบวนท่านี้กลับพลาดพลั้ง!


“ภิกษุ รีบร้อนไปจะไม่ได้กินเต้าหู้ร้อนนะ” สีหน้าหลินสวินเย็นเยียบ ยืนอยู่ตรงหน้าแท่นดอกบัวหยกขาว รูปร่างสูงโปร่งผงาดง้ำอยู่ตรงนั้นราวกับหมู่เขาสะดุดตา


“เจ้าทำได้อย่างไร” มู่เจิ้งหน้าเปลี่ยนสี เขาวางเฉยและสงบนิ่งเรื่อยมา แต่ยามนี้กลับไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไป


เขาเก็บอาลยบาตรกลับมาเป็นโล่กำบังอยู่เบื้องหน้า


เพราะความแข็งแกร่งของหลินสวินเหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง


“เด็กน้อย เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรือ”


หลินสวินระบายยิ้ม ขณะเดียวกันก็เรียกเก็บเจดีย์ไร้อักษร ไม่ได้ลงมือสังหารทันที


มู่เจิ้งกลับสู่ความเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว ห้ามเลือดบริเวณแขนข้างที่ขาด จับจ้องหลินสวินด้วยสายตาดั่งสายฟ้า “ตามบันทึกโบราณอารามกษิติครรภ์ของข้า บุคคลเช่นเจ้าถือว่าเป็นคนนอกรีต และจะต้องถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน”


นอกรีต!


หลินสวินหรี่ตาลง หัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินว่าอารามกษิติครรภ์ของพวกเจ้าประกาศตนเป็น ‘ผู้บำเพ็ญข้ามทุกข์’ มีหน้าที่กวาดล้างคนนอกรีตทั่วหล้า ไม่ว่าใครที่ถูกพวกเจ้าหมายหัว ก็จะเริ่มโดนไล่ฆ่าแบบไม่ตายไม่เลิกรา”


“แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะถึงขั้นให้นิยามคนนอกรีตเช่นนี้ ฮ่าๆ นี่ก็คือแนวปฏิบัติของพวกเจ้าอารามกษิติครรภ์หรือ ออกจะไร้ยางอายเกินไปหน่อยกระมัง”


คำพูดไม่ปกปิดความดูเบาและถากถางแต่อย่างใด


มู่เจิ้งหน้าไม่เปลี่ยนสี ปากกล่าวถกธรรม “นับแต่บรรพกาลเป็นต้นมาอารามกษิติครรภ์ของข้าตัวอยู่นรก ใจมุ่งแสงสว่าง ย่อมไม่พ้องกับเหตุผลของผู้คนส่วนใหญ่บนโลก ไร้ยางอายหรือไม่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่เจ้าเป็นคนนอกรีตได้”


หลินสวินเลิกคิ้ว สาดน้ำป้ายสีก็ไม่ได้สาดด้วยวิธีนี้ นี่มันยัดเยียดข้อหาให้ผู้บริสุทธิ์แล้วชัดๆ!


“เจ้ากล้า!” ฉับพลันมู่เจิ้งคล้ายตระหนึกถึงอะไรบางอย่าง พลันบันดาลโทสะ ตวาดลั่นออกมา


“มีอะไรบ้างที่ข้าไม่กล้า เจ้ากำลังถ่วงเวลา ข้าก็จะถ่วงเวลาเป็นเพื่อนเจ้า ผิดอะไรหรือ” หลินสวินกล่าวยิ้มๆ


ขณะพูดเงาร่างเขาพริบไหวพุ่งขึ้นบนแท่นดอกบัวหยกขาวนั้น สะบัดแขนเสื้อ หมายจะเก็บไม้แห้งชิ้นนั้น


หนำซ้ำความเร็วยังรวดเร็วสุดขีด สำเร็จในหนึ่งลมหายใจ เห็นได้ชัดว่าเตรียมการไว้ล่วงหน้า


ขณะที่มู่เจิ้งสัมผัสถึงความไม่เข้าที เงาร่างของหลินสวินก็ยืนอยู่บนแท่นบัวหยกขาวนั้นตั้งนานแล้ว


“รนหาที่ตาย!”


มู่เจิ้งโกรธสุดขีด ทั่วร่างท่วมท้นด้วยแสงธรรมสีดำ พุ่งปราดเข้าไปด้วยอานุภาพน่าตกใจ เสมือนภิกษุที่เกรี้ยวโกรธโลก


ตูม!


แต่ไม่รอให้เข้าใกล้ แท่นดอกบัวหยกขาวนั้นบังเกิดระลอกคลื่นราวกับอริยเทพก็ไม่ปาน ซัดเขาปลิวออกไปทั้งตัว


เนื่องจากหนักหน่วงเกินไป หลังถูกซัดปลิวเบื้องหน้ามู่เจิ้งก็ปรากฏดาวสีทอง กระอักเลือดออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป


แต่ทุกอย่างนี้ล้วนไม่สามารถแทนที่ความเดือดดาลและตื่นตระหนกภายในใจมู่เจิ้งได้


“เป็นไปได้อย่างไร… ข้าเป็นถึงผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ เหตุใดสมบัติที่บรรพจารย์ตู้จี้เหลือทิ้งไว้ถึงย้อนกลับมาเล่นงานข้า!?”


แท่นดอกบัวหยกขาวเปล่งแสง พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ มหัศจรรย์ยากหยั่งถึง


บนแท่นดอกบัว หลินสวินหยิบไม้แห้งเหี่ยวนั้นได้อย่างราบรื่น นี่พาให้ในใจมู่เจิ้งยิ่งคับข้องขึ้นทุกที สีหน้าคล้ำเขียวถึงขีดสุด


ห่างแค่ก้าวเดียว กลับก่อเกิดผลลัพธ์เช่นนี้เสียได้ นี่โจมตีจิตใจกันเกินไปแล้ว!


แต่ไม่นานสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอีกแบบ พบถึงความแปลกประหลาด เด็กหนุ่มคนนั้น… ดูเหมือนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าตนอีกหรือ


ก็เห็นหลินสวินที่เพิ่งคว้าไม้แห้งเหี่ยวบนแท่นดอกบัวหยกขาวเมื่อครู่ ยามนี้กลับสั่นเทิ้มทั่วร่าง ริมฝีปากสั่นกึกกัก ท่าทางเหมือนเจอสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน


หนำซ้ำบนร่างเขาก็ถูกประกายแสงสีทองเล็กบางราวกับขนวัวสายแล้วสายเล่าแผ่ลุกลาม เหมือนผิวของเขาฉีกขาดเป็นชุ่นๆ หนังปริเนื้อปลิ้น ทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัว


“กลิ่นอายนั้น…”


มู่เจิ้งนึกขึ้นได้โดยพลัน ว่าในภาพมายาที่เห็นเมื่อครู่นั้นมีเงาร่างสีทองที่เป็นเหมือนเจ้าเหนือหัวทั่วฟ้าดิน มือถือหอกใหญ่ทะลวงผ่านแท่นดอกบัว นางพญาหงส์ดำเลือดทมิฬและบรรพจารย์ตู้จี้


และเวลานี้กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากลำแสงสีทองเล็กบางสายแล้วสายเล่านั้น เหมือนกันกับกลิ่นอายบนกายเงาร่างสีทองผู้นั้นไม่มีผิด เห็นได้ชัดว่ามาจากแหล่งเดียวกัน!


ทันใดนั้นสีหน้ามู่เจิ้งผิดแปลกไป มีทั้งความยินดี สะท้านใจ และมีความเยาะเย้ยที่อธิบายไม่ถูก


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว!


ไม้เหี่ยวแห้งชิ้นนั้นแม้จะเป็นรากโพธิ์ แต่ก็เคยประสบการโจมตีอันน่ากลัวของเงาร่างสีสองผู้นั้นมาก่อน ถึงได้มีสภาพเหี่ยวแห้งและทรุดโทรม


ยิ่งกว่านั้นของสิ่งนี้แม้ไม่เคยถูกทำลายย่อบยับ แต่ในนั้นกลับบรรจุพลังโจมตีซึ่งเป็นของเงาร่างสีทองนั่นเอาไว้!


พูดง่ายๆ ก็คือ แม้หลินสวินดูเหมือนจะชิงคว้าวาสนาไปได้ก่อน แต่ความเป็นจริงนี่ก็คือเคราะห์สังหารอย่างหนึ่ง!


“ไม่ใช่ไม่แก้แค้น แต่ยังไม่ถึงเวลา หลักการกฎแห่งกรรมนั้นอัศจรรย์สุดพรรณนาจริงๆ!”


มู่เจิ้งหัวเราะขึ้นมา ความคับข้อง เคียดแค้น และแตกตื่นภายในใจสลายหายไป ตรงข้ามกลับรู้สึกโชคดียิ่งที่ตนไม่ได้ชิงของสิ่งนี้มาก่อนในตอนแรก


เขาเฝ้าสังเกตการณ์นอกแท่นดอกบัวหยกขาว เริ่มฟื้นฟูแขนที่ขาดอย่างเงียบๆ เฝ้ารออย่างสงบ


ขอเพียงหลินสวินประสบเคราะห์ เขาก็จะพุ่งปราดไปฉกฉวยรากไม้ในมืออีกฝ่ายทันที


สามารถคาดเดาได้ว่า ถึงตอนนั้นพลังสีทองลึกลับในรากไม้นั่นคงถูกหลินสวินดูดซับไปแล้ว สิ่งที่เหลือไว้ให้ตนก็คือรากโพธิ์ที่แท้จริง!


ของสิ่งนี้อาจเสียหายสาหัส แต่ของเพียงนำกลับสำนักจะต้องมีวิธีฟื้นคืนชีพมันขึ้นมาอย่างแน่นอน!


ยิ่งคิดในใจมู่เจิ้งก็ยิ่งผ่อนคลาย ถึงขั้นรู้สึกซาบซึ้งที่สวรรค์มีเมตตาต่อเขา


……


ยามนี้หลินสวินลำบากมากจริงๆ


พลังสีทองที่แสนเผด็จการสายแล้วสายเล่าพุ่งกระแทกอยู่ภายในร่างกายเขา เปี่ยมด้วยกลิ่นอายทำลายล้างที่น่าสะพรึงไร้ขอบเขต พาให้เขาทนรับไม่ไหว ร่างกายทั้งในนอกถูกทำลายด้วยความเร็วน่าตกใจ


“ระยำเอ๊ย เป็นเจ้าหมอนั่น!”


หลินสวินก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว เดิมทีคิดว่าในที่สุดก็ได้เปรียบแล้ว ไหนเลยจะคาดคิด สิ่งที่ชิงมากลับเป็นเคราะห์สังหารเสียได้


หนำซ้ำเขายังตระหนักถึงแหล่งกำเนิดของพลังสีทองและ และสัมผัสได้ถึงความร้ายแรงของปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ


ยุคบรรพกาล เจ้าหมอนั่นถือหอกใหญ่สังหารอริยะสองคน แค่คิดก็รู้ว่าพลังของเขาน่าสะพรึงเพียงใด


พลังสีทองนี้ทิ้งร่องรอยไว้ในรากไม้เหี่ยวแห้ง ต่อให้น้อยยิ่งกว่าน้อย หลงเหลือเพียงเศษเสี้ยวเล็กจ้อย แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินในยามนี้จะทนรับไหว!


‘จำมันไว้!’


‘ห้ามลืมเด็ดขาด…’


ขณะที่หลินสวินเจ็บปวดสุดแสน ในความพร่าเลือนคล้ายมีเสียงที่ต่างกันสองเสียงดังขึ้น


เสียงหนึ่งน่าเกรงขามและเคร่งครัด อึกทึกกึกก้อง ประหนึ่งเสียงถกธรรมมหามรรคก้องสะท้อน


อีกเสียงหนึ่งกลับเจือกลิ่นอายร้อนรน ดั่งเสียงแห่งหยกทอง แฝงความดึงดูดอันเป็นเอกลักษณ์ ประหนึ่งเสียงร้องขับขานของหงส์เซียน


ชั่วขณะนั้นในสมองหลินสวินก็ปรากฏเงาร่างอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬขึ้น เงาร่างทั้งคู่ถูกโจมตีทะลุทะลวง


ก่อนตาย ฝ่ายแรกเคียดแค้น ทอดสายตาเคียดแค้นมองออกไปไกลๆ ฝ่ายหลังหลุบตา ร้อนรนและไม่เต็มใจ


ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน พวกเขากำลังเตือนตนให้จำพลังสีทองสายนี้เอาไว้หรือ


ตูม!


พร้อมกันนั้นหลินสวินรู้สึกเพียงว่ารากไม้แห้งเหี่ยวในมือมีระลอกคลื่นพลังชีวิตปริศนาทะลักขึ้นมา พุ่งเข้ามาภายในกายของตน


หนำซ้ำพื้นผิวของไม้ที่แห้งเหี่ยวผุพังถึงกับปรากฏแสงวาวมรกตพิสุทธิ์ที่ราวกับภาพมายา ประหนึ่งจะฟื้นคืนชีพจากความแห้งเหี่ยว


นี่มันอะไรกัน


ไม่รอให้หลินสวินทำความเข้าใจ ในสมองก็มีเสียงกึกก้อง ฟ้าสะเทือนดินสะท้านระลอกหนึ่ง


ระหว่างที่มึนงง เขามาถึงหน้าต้นไม้โบราณที่เก่าแก่แข็งแรงต้นหนึ่ง ต้นไม้นี้แตกกิ่งก้านเสียดฟ้า ใบไม้ราวสร้างจากหินหยกมรกต สาดพรมประกายเขียวหมื่นพัน ย้อมระบายฟ้าดินแถบหนึ่งให้เป็นกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์


ภิกษุที่บุคลิกแปลกตาแต่เรียบง่ายรูปหนึ่งนั่งหลังตรงใต้ต้นไม้ กำลังตั้งจิตเข้าฌาน เงาร่างเขาอาบไล้อยู่กลางแสงธรรมพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ประดุจพระโพธิสัตว์ในตำนาน


ด้านข้างเขา เงาร่างสูงเพรียวสายหนึ่งยืนปักหลัก กำลังก้มหน้าพูดบางอย่างกับภิกษุ เรือนผมสีดำพลิ้วขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่งามเด่น


บนตัวนางมีประกายอริยะพร่างพราวเช่นเดียวกัน วิวัฒน์เป็นหงส์ทมิฬที่เปี่ยมชีวิตชีวาตัวหนึ่ง จัดแต่งขนปีกอยู่บนต้นไม้โบราณต้นนั้น แสนร่าเริงสดใส


หลินสวินอึ้งค้าง ภาพที่เห็นทั้งหมดเบื้องหน้าสงบสุขและศักดิ์สิทธิ์ เปรียบดั่งแดนพิสุทธิ์แห่งเซียนในตำนาน!



 

 

 


ตอนที่ 960 อริยะประพันธ์คัมภีร์

 

ต้นไม้เก่าแก่ไหวกระเพื่อม ใบเขียวขจี เขียวมรกตเสียดฟ้า


บนนั้นมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์คละคลุ้ง หงส์ทมิฬร่าเริงสดใสจับจองอยู่บนนั้น สางปีกที่งดงามราวกับไฟอย่างละเมียดละไม


ใต้ต้นไม้โบราณ ภิกษุถกธรรม หญิงสาวค้อมศีรษะเสวนากับเขา


เงาร่างทั้งคู่ต่างชโลมด้วยแสงธรรมศักดิ์สิทธิ์ แปลกแยกปานเซียนเหินฝนแสง ดุจดั่งภาพฝันมายา


หลินสวินหยุดยืนอยู่ไกลๆ ในใจงุนงง ห้วงเวลาประดุจย้อนกลับไปยังช่วงบรรพกาล ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคลับคล้ายว่าอยู่ท่ามกลางแดนพิสุทธิ์อิรยะศักดิ์สิทธิ์


นี่เป็นดินแดนแห่งอริยะเทพแน่นอน!


หลินสวินถึงขั้นกล้าฟันธงว่า ภิกษุที่ลักษณะเรียบง่ายและผ่องพิสุทธิ์ กับหญิงสาวงดงามที่กิริยาโดดเด่นไร้ที่เปรียบนั้น ก็คืออริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ดำเลือดทมิฬอย่างแน่นอน


และต้นไม้ใหญ่ที่กลิ่นอายเก่าแก่ แสงเขียวเสียดฟ้าต้นนั้นก็อาจเป็นต้นโพธิ์!


เสียงถกธรรมเป็นระยะดังขึ้นพาให้หัวใจหลินสวินจมจ่อมอยู่ในนั้น ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้อีกเลย


“หากต้องการอยู่เหนือวิชาข้ามเคราะห์ มีเพียงผสานนัยเร้นลับของเคล็ดวิชาแห่งการจุติและคัมภีร์มหากษิติครรภ์เข้าด้วยกันเท่านั้น บางทีอาจจะสามารถสรรสร้างคัมภีร์อริยะที่เหนือกว่าที่ผ่านมาได้”


“เช่นนั้นนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะถกธรรมที่นี่กับเจ้า หากสามารถบรรลุสิ่งที่ปรารถนา ต่อให้ต้องตายเก้าหนก็ไม่นึกเสียใจ”


“ประเสริฐยิ่ง!”


ใต้ต้นโพธิ์ ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬเสวนากัน แต่ละคำแต่ละประโยคผุดเผยนัยเร้นลับแห่งมหามรรคออกมา สั่นสะเทือนราวกับระฆังยามเช้ากลองยามค่ำ


ดอกไม้ผลิบานดอกไม้ร่วงโรย กาลเวลาผันผ่านไป


ทั้งคู่ไม่รู้ตัวว่าเวลาเคลื่อนคล้อย ต่างฝ่ายต่างอนุมานวิชามรรค บรรยายความรู้และความเข้าใจที่ตนมีต่อมหามรรค


กลางฟ้าดิน สิ่งที่ก้องสะท้อนล้วนเป็นเสียงธรรมอัศจรรย์ พาให้บรรยากาศบริเวณนี้ยิ่งศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบขึ้นเรื่อยๆ


ต้นโพธิ์ปลิวพลิ้วไหวกระเพื่อม แสงเขียวมรกตสาดพรมประหนึ่งว่าสดับฟังแก่นอัศจรรย์มหามรรคด้วยเช่นกัน และกำลังทำความเข้าใจวิชาและมรรคของอริยะทั้งสอง


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น สีหน้าลุ่มหลงงงงัน สติสัมปชัญญะมึนตื้อ ในใจไหลล้นด้วยแก่นอัศจรรย์อันประณีตแห่งมหามรรคมากมาย


เวลาผันผ่านโดยไม่รู้ตัว ลืมเลือนฟ้าแห่งนี้ ดินแห่งนี้ และคนผู้นี้


ส่วนหยั่งรู้ถึงสิ่งใดกันแน่นั้น หลินสวินเองก็ยังไม่รู้ เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ที่แห่งนี้มีความหมายแท้จริง แต่หากจะแยกแยะกลับพูดไม่ออก


กาลเวลากำลังเคลื่อนคล้อย เพียงดีดนิ้วก็ผ่านไปหลายวสันตสารทแล้ว


ต้นโพธิ์เริ่มแข็งแรงและทนทานขึ้นเรื่อยๆ ลำต้นทะยานเสียดฟ้า กิ่งก้านแน่นขนัดแผ่ขยายไปทั่วห้วงอากาศทุกสารทิศ พร่างพรมแสงมรกตพราวระยับมากมายออกมา


ใต้ต้นไม้ ภิกษุและหญิงสาวเสวนากันเป็นครั้งคาว แต่เริ่มนิ่งเงียบขึ้นเรื่อยๆ แล้ว


เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังถกธรรมถึงช่วงสำคัญ ต่างฝ่ายต่างใช้ความอุตสาหะและสติปัญญาในการอนุมานมรรคใหม่เอี่ยม


มีเพียงยามที่ได้ในสิ่งที่หวังเท่านั้น จึงจะยืนยันและเสวนากัน


หลินสวินไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ร่างกายและจิตใจของเขาอยู่ในสภาวะอัศจรรย์แห่งความ ‘คลุมเครือ’ อย่างหนึ่ง ถูกแก่นอัศจรรย์มหามรรคท่วมท้นราวกับน้ำพุก็ไม่ปาน


……


นี่เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์แจ้งมรรคที่ข้ามอดีตปัจจุบัน ทำลายกำแพงกั้นแห่งช่วงเวลา มหัศจรรย์สุดจะบรรยาย


ราวกับย้อนสู่ยุคบรรพกาล สดับฟังอริยะทั้งสองถกธรรมและสรรสร้างวิชา เปี่ยมด้วยกลิ่นอายน่าเหลือเชื่อ


ที่น่าเสียดายคือแก่นอัศจรรย์ที่หลินสวินรับฟังทั้งหมดนั้น จำกัดอยู่แค่ระดับของตน ทำได้เพียงหยั่งรู้แก่นมรรคที่ต่ำกว่าระดับราชา


ส่วนมรรคกับวิชาที่อริยะทั้งสองถกกันนั้น สูงเกินกว่าระดับอริยะไปตั้งนานแล้ว!


แต่ว่า หลินสวินไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ด้วยซ้ำ เวลานี้เขาลืมเลือนตัวตน หกรับรู้อย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนลืมไปโดยสิ้นเชิง ถูกแก่นอัศจรรย์มหามรรคปิดครอบทั้งสิ้น


……


ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน บางทีอาจเป็นการกลับชาติหนึ่งภพ หรืออาจเป็นเพียงชั่วครู่ ระหว่างที่งุนงงสับสน ความรู้สึกทุกอย่างในใจหลินสวินก็สะดุ้งตื่นโดยพลัน


ก็เห็นใตต้นโพธิ์ไกลออกไป ตู้จี้หนวดเคราดั่งหิมะ สภาพแก่หงำเหงือก ผิวหนังทุกส่วนเหมือนผิวไม้เหี่ยวแห้งปริแตก คล้ายใกล้จะลาโลก


ส่วนนางพญาหงส์ดำเลือดทมิฬก็มีสภาพซูบผอมซีดเซียวเช่นเดียวกัน ใบหน้างามเรื่อไม่เหลือหลอ ผมแซมสีขาว เผยให้เห็นสัญญาณของแสงเทียนกลางสายลม


ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพาให้ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกประหลาด รู้สึกถึงความตื่นตะลึงยากจะบรรยาย อานุภาพแห่งกาลเวลาเคลื่อนคล้อย ความเศร้าโศกที่ช่วงเวลาดีๆ ผันผ่าน สะท้อนให้เห็นจุดอิ่มตัวเต็มบริบูรณ์ในขณะนี้


เพียงแต่ดวงตาของตู้จี้และนางพญากลับเปล่งประกายดั่งดวงดาวพร่างฟ้า ไพศาลกระจ่างแจ้ง ต่างฝ่ายต่างสบสายตากัน ระบายยิ้มแจ่มใสและเต็มสมบูรณ์


ด้านหลังพวกเขา ลำต้นของต้นโพธิ์ทรุดโทรม ก้านใบโรยร่วง สภาพเปลือยเปล่า พลังชีวิตหริบหรี่ราวกับต้นไม้ที่ใกล้เน่าเปื่อยผุพัง


แต่มันยังคงแข็งแรง ตั้งตระหง่านอยู่ใต้เวิ้งนภา คล้ายค้ำยันจักรวาล!


“หลังจากผ่านการอนุมานหมื่นปี คัมภีร์ที่เจ้ากับข้าสรรสร้าง ในที่สุดวันนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ นับแต่นี้ต่อไป วิชาส่วนนี้ที่แยกออกจาก ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ จะต้องส่องสว่างกาลนิรันดร์ แผ่รัศมีขจรขจาย” สายตาตู้จี้ใสกระจ่าง เจือความพอใจและปลื้มปิติ


“คัมภีร์นี้รวมปริศนาเร้นลับของคัมภีร์มหากษิติครรภ์กับเคล็ดวิชาจุติของเผ่าข้า ย่อมเรียกได้ว่าเป็นยอดวิชาจำเพาะที่แยกจากอดีตปัจจุบัน และดำเนินต่อไปในอนาคต”


นางพญาพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันที “แต่ว่า เมื่อคัมภีร์นี้เผยแพร่ จะต้องสั่นคลอนมรดกวิชามรรคแต่เดิมของอารามกษิติครรภ์แน่นอน ท่านไม่กลัวว่าจะถูกมองเป็นคนนอกรีตหรือ”


“เจ้าย่อมรู้ดี อารามกษิติครรภ์ยืนหยัดจนถึงตอนนี้ ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ ที่สืบทอดกันมานั้นก็คือรากฐานของสำนักนี้ ส่วนคัมภีร์ที่เจ้ากับข้าสรรสร้าง ถึงแม้จะแยกออกจากคัมภีร์มหากษิติครรภ์แต่ก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อคัมภีร์นี้แพร่หลายในโลกและถูกอารามกษิติครรภ์รู้เข้า ต่อให้เป็นอริยสงฆ์ที่สูงส่งเช่นข้าก็ต้องถูกมองเป็นพวกกบฏและนอกรีตอยู่ดี”


ตู้จี้ยิ้มน้อยๆ ใบหน้าพิสุทธิ์เคร่งครัด ความราบเรียบในน้ำเสียงเจือกลิ่นอายตัดสินใจ “หากข้าเป็นมาร ก็จะข้ามภิกษุทั้งหลายใต้หล้าไปสู่ทางมาร”


นัยน์ตานางพญาหดเกร็ง


จากนั้นก็ได้ยินตู้จี้กล่าวต่อว่า “หากข้าเป็นภิกษุ ใต้หล้าก็ไร้มาร!”


นางพญาอึ้งงันโดยสิ้นเชิง


ไกลออกไปในใจหลินสวินสั่นสะเทือนไม่หยุด คำพูดเช่นนี้เผด็จการอย่างที่สุด มีกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวที่ไร้ขื่อไร้แป ถือตนเป็นใหญ่!


ช่างพาให้ผู้คนไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าคำพูดเช่นนี้ถึงกับกล่าวออกมาจากปากอริยสงฆ์ผู้หนึ่ง หากแพร่งพรายออกไปคงไม่พ้นกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่รู้จบเป็นแน่!


“ที่แท้ท่านรู้แจ้ง ได้เห็นขอบเขตที่สูงกว่าตั้งนานแล้ว…” นางพญาสีหน้าเจือความปลงตกอย่างหาได้ยาก


ตู้จี้ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้ว พวกเราเริ่มเคลื่อนไหวกันเถิด”


“ก็ดี”


จากนั้นทั้งคู่ก็ลุกขึ้นแหงนหน้ามองฟ้า สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นอหังการและแปลกแยก รอบกายมีละอองแสงอริยะเทพไหลทะลัก


ทันใดนั้นดวงหน้าแก่เฒ่า ผิวหนังที่พลังชีวิตร่วงโรย ผมขาวราวหิมะแต่เดิมของพวกเขา… ล้วนลุกโชนไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง


ชั่วพริบตาพวกเขาก็กลับสู่ท่วงท่างามสง่าดังเดิม!


ตู้จี้ประกบสองมือ ริมฝีปากเปล่งเสียงธรรมอันว่างเปล่า พาให้ฟ้าดินสนั่นหวั่นไหว กลางห้วงอากาศสะท้อนดอกอัศจรรย์มหามรรคดอกแล้วดอกเล่า ละอองแสงดั่งโผบิน


นางพญาใช้นิ้วเรียวแทนพู่กัน ขีดเขียนกลางห้วงอากาศ อักษรธรรมศักดิ์สิทธิ์แวววาวแต่ละตัวไหลพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง แน่นขนัดแถวแล้วแถวเล่าราวสายฝน วิวัฒน์กลายเป็นบทประพันธ์เป็นอมตะ


เสียงธรรมและอักษรธรรมต่างสะท้อนเสริมกันและกัน กู่ร้องก้องกลางฟ้าดิน


บนฟากฟ้าสีคราม ดอกสวรรค์ร่วงหล่นอลหม่าน


บนผืนดินกว้าง แสงสีทองพลุ่งพล่าน


กลางห้วงอากาศ รัศมีวิเศษหมื่นสายดิ่งร่วง แสงมงคลพันจั้งพลิ้วไหว เปล่งประกายลุกโชน บางครามีเสียงท่องสวดของภิกษุดังขึ้น บางคราวเสียงหงส์ทมิฬกู้ร้องก้องเก้าสวรรค์ ปรากฏเป็นลักษณ์ประหลาดที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด


หลินสวินถูกทำให้ตกตะลึงอยู่ตรงนั้นจนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง


อริยะประพันธ์คัมภีร์!


เขานึกถึงตำนานแต่นานมาส่วนหนึ่ง ว่ากันว่าในช่วงบรรพาล หากอริยบุคคลสามารถบุกเบิกวิชาและมรรคแบบใหม่แล้วเขียนเป็นคัมภีร์ได้ ก็จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดฟ้าถล่ม นี่แสดงถึงคุณความดีมหาศาล เป็นการสรรสร้างวิชาอมตะที่เพียงพอจะคงอยู่ตราบนิรันดร์ ทิ้งชื่อหอมหวนพันภพ!


เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าเป็นการกระพือข่าวโคมลอย แต่ยามนี้ เขาเชื่อแล้ว


“คัมภีร์นี้สร้างขึ้นโดยข้ากับเจ้าสองคน แยกออกจากคัมภีร์มหากษิติครรภ์และเคล็ดวิชาจุติหงส์ทมิฬ ยามนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นไม่สู้ตั้งชื่อว่า ‘คัมภีร์ครรภ์จุติ’ เป็นอย่างไร”


ในแสงมงคลวิเศษที่แผ่กระจายทั่วฟ้า ตู้จี้อมยิ้มเอ่ยวาจา ใบหน้าพิสุทธิ์เคร่งครัด ราวกับภิกษุที่ชำเลืองแลมวลมนุษย์ในโลกีย์


“ยิ่งใหญ่ไม่พอ ท่านกับข้าสองคนร่วมสร้างคัมภีร์นี้ เพียงพอจะสะเทือนกาลนิรันดร์ ควรเติมคำว่า ‘มหา’ ลงไปจึงจะสามารถสะท้อนความหมายยิ่งใหญ่อันละเอียดอ่อนในนั้นได้”


เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางพญาอาบไล้ภายใต้แสงอริยเทพ มีความงามสง่าที่เหยียดหยันโลกประหนึ่งภาพฝันมายา


“คัมภีร์มหาครรภ์จุติหรือ ประเสริฐยิ่ง!” ตู้จี้หัวเราะลั่น


ในใจหลินสวินไม่สามารถสงบได้เลย ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าอริยะทั้งสองนั่งอยู่เบื้องหน้าต้นโพธิ์ ผ่านการอนุมานมาหลายรอบปี ถึงขั้นร่วมมือกันสร้างคัมภีร์อริยมรรคออกมาเล่มหนึ่ง!


ตูม!


เพียงแต่เวลานี้เอง การเปลี่ยนแปลงประหลาดก็ปะทุขึ้น…


บนเวิ้งนภาห้วงอากาศพังทลาย แตกออกเป็นรอยแยกไร้ที่สิ้นสุด และในเวลาเดียวกันนี้ เงาหอกที่เปี่ยมด้วยความน่ายำเกรงถึงที่สุดสายหนึ่งก็โฉบออกมาจากรอยแตก!


ชิ้ง!


เงาหอกส่งเสียงคำราม พาให้ฟ้าดินกรีดร้องระงม กลิ่นอายเข่นฆ่าสุดจะพรรณนาวูบหนึ่งแผ่กว้าง ตัดสลับพลังสูงสุดของวิชาและมรรค


เพียงชั่วพริบตา ดอกอัศจรรย์สวรรค์ร่วงแตกเป็นเสี่ยง แสงสีทองบนพื้นสูญสลาย รัศมีวิเศษกลางอากาศดับเลือน แสงมงคลสงบนิ่งถูกฉีกขาด…


ทุกสิ่งล้วนสำแดงลักษณ์ของการทำลายโลก!


“ในที่สุดก็มาจนได้…” เหนือความคาดหมาย ตู้จี้เยือกเย็นยิ่ง คล้ายเดาไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้


“ตอนพวกเราเหยียบย่างมาถึงขั้นนี้ก็ถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้แล้ว นับแต่โบราณกาลอริยบุคคลล้วนเป็นเช่นนี้ วันนี้ท่านและข้ากลับสมหวังตามความปรารถนายาวนานแล้ว รามือลงได้แล้ว!” นางพญาสายตาทอประกาย ทั่วร่างแผ่จิตต่อสู้ที่น่าสะพรึงออกมา


“ตามที่เจ้าว่า แม้นตายเก้าครั้งก็ไม่นึกเสียใจ!” ตู้จี้ประกบสองมือ อาภรณ์สะบัดพรึ่บ


เงาร่างทั้งคู่พริบไหว ห้อทะยานออกไป


บนพื้นดินต้นโพธิ์ส่ายโอนครืดคราด คล้ายกำลังร้องโหยหวน…


เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไปและปุบปับเกินไป ทำให้หลินสวินยังถูกทำให้ตื่นตระหนกอยู่ตรงนั้น คิดไม่ถึงสักนิดว่าเคราะสังการห์จะมาเยือนเช่นนี้!


เขาเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่า บนท้องฟ้ากลิ่นอายอริยเทพพรั่งพรูดั่งมหาสมุทร ส่องสว่างถึงขีดสุด ไม่สามารถมองเห็นภาพในนั้นถนัดตา


แต่หลินสวินรู้ นี่คือเคราะห์สังหารที่จ้องเล่นงานอริยะทั้งสอง!


ดูเหมือนจะเป็นเพราะพวกเขาเหยียบย่างบนเขตต้องห้ามแห่งมรรคา หรือไม่ก็เพราะสร้างคัมภีร์ที่ละเมิดข้อห้ามออกมา ด้วยเหตุนี้จึงชันนำให้เกิดด่านเคราะห์ครั้งใหญ่เช่นนี้


“ตอนพวกเราก้าวมาถึงจุดนี้ก็ถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้แล้ว นับแต่โบราณกาลอริยบุคคลล้วนเป็นเช่นนี้ ความหมายในคำพูดนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…” หลินสวินตัวสั่น


“เป็นเขา!” จากนั้นหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง เห็นว่าเงาร่างสีทองโผล่ออกมาจากกลางรอยแยกมหึมาที่แหวกออกบนท้องฟ้านั้น อานุภาพสั่นสะเทือนเก้าฟ้าสิบแผ่นดินประดุจนายเหนือหัวก็ไม่ปาน


ตูม!


หลังจากนั้นในสมองหลินสวินก็บังเกิดเสียงวู้มรุนแรง ภาพทั้งหมดที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามลายหายไปราวกับฟองมายา…


เขาพยายามเบิกตากว้าง แต่กลับมองไม่เห็นอีกต่อไป ร่างกายเหมือนจมสู่วังน้ำวน ฟ้าดินหมุนเคลื่อน


ในระหว่างที่สับสนงุนงง หลินสวินดูเหมือนจะได้ยินเสียงของตู้จี้และนางพญาอีกครั้ง…


“จดจำไว้!”


“ห้ามลืมเด็ดขาด…”



 

 

 


ตอนที่ 961 เหตุไฉนเรียกแก่นมรรค

 

สำหรับหลินสวิน ประสบการณ์ทั้งหมดก่อนหน้าราวข้ามผ่านวสันตสารทหลายครา กาลเวลาล่วงเลยไม่รู้กี่ย่ำสายัณห์


แต่สำหรับมู่เจิ้งที่อยู่นอกแท่นบัวหยกขาว เวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ


เขาหยัดปักหลักอยู่ตรงนั้น พร้อมจู่โจมทุกเมื่อ เห็นได้ว่ามีความอดทนยิ่ง


แขนขวาซึ่งเดิมโดนตัดขาดถูกเขาใช้วิชาลับต่อกลับนานแล้ว แม้ไม่อาจฟื้นคืนดังเคยชั่วคราว แต่หาได้กระทบต่อการต่อสู้


มู่เจิ้งนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เผชิญก่อนหน้า ในใจรู้สึกมีสุขบนความทุกข์คนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้


เขาเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มุ่งเน้นที่วาสนาชะตาลิขิต จากที่เห็นตอนนี้น่าจะเข้าทำนองหลักกรรมตามสนอง


บุญทำกรรมแต่ง ต่างเรียกว่าฟ้าลิขิต!


สิ่งที่เจ้าไม่ควรได้ แม้ทุ่มแรงใจก็ป่วยการ!


น่าเศร้าที่เด็กนี่ก็ถือเป็นเอกบุคคลรุ่นเยาว์แห่งยุคสมัย กลับต้องประสบเคราะห์เช่นนี้ บางทีก็อาจเป็นลิขิตสวรรค์เช่นกัน


มู่เจิ้งนึกถึงตรงนี้มุมปากพลันระบายยิ้มอย่างอดไม่อยู่


หลังจากเด็กนี่ประสบเคราะห์ รากโพธิ์แห้งเหี่ยวนั่น รวมถึงสมบัติอริยะในมือเขาล้วนต้องตกเป็นของตน นี่… ช่างเป็นมหาศุภโชคซึ่งหาได้ยากโดยแท้!


“หืม?”


แต่เวลานี้เองมู่เจิ้งพลันค้นพบว่า หลินสวินที่ถูกเขามองว่าต้องตายแน่กลับลืมตาขึ้น


เจ้าหมอนี่ยังไม่ตาย?


มู่เจิ้งเบิกตาโพลง ความคับแค้นเหลือจะเอ่ยจุกอก มันจะเป็นไปได้อย่างไร


แต่เมื่อเห็นมู่เจิ้ง หลินสวินพลันมึนงง อดไม่ได้ที่จะกล่าว “นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว”


มู่เจิ้งตะลึงงัน หมายความว่าอะไร นี่กำลังเหน็บแนมว่าตนไม่เคยพุ่งเข้าแท่นบัวหยกขาวหรือ


รังแกกันเกินไปแล้ว!


มู่เจิ้งสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาอึมครึม “เจ้านอกรีต อย่ามาเหิมเกริม แม้เจ้ารอดมาได้ คราวนี้ก็ยากพ้นเคราะห์!”


หลินสวินกลับไม่สนใจเขา นั่งบนแท่นบัวหยกขาวอย่างสบายอารมณ์ มองซากไม้ท่อนหนึ่งในมือพลางจมสู่ห้วงความคิด


ในหัวราวปรากฏฉากต่างๆ ที่เห็นเมื่อครู่อีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกคลุมเครือ


‘เมื่อก้าวถึงขั้นนั้น แม้อริยะล้วนต้องประสบ ที่แท้แล้วมันคืออะไรกันแน่’ หลินสวินพึมพำในใจ


เขาไม่อาจลืมทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่


ใต้ต้นโพธิ์ อริยะสองคนทำการอนุมานเนิ่นนาน ในที่สุดก็สรรค์สร้างคัมภีร์มรรคที่จะสืบทอดแก่ชนรุ่นหลังออกมาเล่มหนึ่ง ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด


เดิมนี่น่าจะเป็นผลงานที่เกริกก้องชั่วกาล แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าในช่วงเวลานั้นเคราะห์สังหารก็มาเยือน…


หลินสวินแน่ใจว่าอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬล้วนสิ้นชีพ เสียชีวิตบนแท่นดอกบัวแห่งนี้ ถูกเงาร่างสีทองดุจเจ้าเหนือหัวร่างหนึ่งจู่โจมสังหาร!


นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้โดยไม่ต้องสงสัย สมัยบรรพกาลเป็นเพราะอริยะทั้งสองก้าวสู่สิ่งต้องห้าม จึงประสบเคราะห์!


แต่ความเป็นจริงช่างชวนรู้สึกหดหู่


“เจ้านอกรีต! เจ้าฟังที่ข้าพูดหรือเปล่า” เสียงตวาดดังลั่นปลุกหลินสวินจากห้วงความคิด


เขาเชยตาขึ้นก็เห็นมู่เจิ้งถลึงมองตนด้วยหน้าคล้ำเขียว ประหนึ่งอรหันต์เวทบันดาลโทสะ ท่าทางอยากสังหารตนเสียเต็มประดา


“ภิกษุ แม้แต่แท่นบัวนี้เจ้ายังขึ้นมาไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาเอ็ดตะโร” หลินสวินตำหนิอย่างไม่ใส่ใจ


ขณะเดียวกันในใจเขารู้สึกประหลาดอยู่บ้าง สังเกตได้อย่างฉับไวว่าพลังแจ้งมรรคของตนเปลี่ยนไป เกิดการยกระดับอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน


มหามรรคธาตุไฟเลื่อนขั้น บรรลุระดับเจตจำนงแห่งมรรค!


มรรคดับดารากลืนกินเลื่อนขั้น ก้าวสู่ระดับท่วงทำนองแห่งมรรค!


ส่วนมหามรรคธาตุน้ำซึ่งเดิมบรรลุถึงระดับเจตจำนงแห่งมรรคขั้นสมบูรณ์ ก็ก้าวสู่ระดับแก่นมรรคในคราเดียว!


เหตุไฉนเรียกแก่นมรรค


คือแก่นจริงแท้แห่งมรรคอย่างไรเล่า


แก่นนั้น เดิมคือหลักแห่งแก่นแท้


แก่นมรรค ก็คือแก่นแท้จริงอันเป็นเนื้อแท้แห่งมหามรรคดั้งเดิม


สิ่งนี้คือระดับใหญ่ที่สามของการหยั่งรู้มหามรรค เมื่อบรรลุถึงระดับนี้จะทำให้ผู้ฝึกปราณเข้าใจพลังมหามรรคลึกซึ้งกว่าเดิม สังเกตแก่นอัศจรรย์แห่งเนื้อแท้ หยั่งถึงเจตจำนงตั้งต้น


หากใช้ในการต่อสู้ พลังของแก่นมรรคเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึง สามารถเผยธรรมลักษณ์แห่งมรรคหลากรูปแบบ อานุภาพทรงพลังกว่าระดับเจตจำนงแห่งมรรคเกินเท่าตัว!


โดยทั่วไปในระดับกระบวนแปรจุติแทบไร้คนหยั่งรู้พลังของแก่นมรรค เพราะระดับนี้เกี่ยวเนื่องถึงเนื้อแท้ดั้งเดิมของมหามรรค มีเพียงระดับราชันที่มองทะลุความเป็นความตายปรุโปร่งจึงจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้


แต่ปัจจุบันหลินสวินซึ่งมีปราณอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง ก็บรรลุมหามรรคธาตุน้ำถึงระดับ ‘แก่นมรรค’ แล้ว หากแพร่งพรายออกไปต้องสร้างความอึกทึกครึกโครมสุดคณนา


“เจ้านอกรีต! วาสนาเจ้าก็ได้ไปแล้ว เหตุใดล่าช้าไม่กล้าลงจากแท่นบัว หรือว่ากลัวจนหัวหด” ห่างไปเสียงมู่เจิ้งดั่งระฆัง หน้าคล้ำเขียวตวาดลั่น


ถูกมองข้ามอีกแล้ว!


เจ้าหมอนั่นท่าทางเหม่อลอย ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยใส่ใจมองตน ไม่เย่อหยิ่งไปหน่อยหรือ ช่างหลงระเริงเสียจริง!


ด้วยสภาวะจิตซึ่งแข็งแกร่งดั่งหินผาของมู่เจิ้ง บัดนี้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างอดไม่อยู่ สัมผัสถึงความเดือดดาลอย่างไม่เคยมีมาก่อน


“หนวกหู! ภิกษุ เจ้าเงียบหน่อยเป็นไหม”


หลินสวินถูกขัดความคิดอีกครั้งจึงมุ่นคิ้วอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง รู้สึกว่าเจ้านี่ช่างน่ารำคาญ ด่าว่าตนนอกรีตอยู่นั่น คิดหรือว่าตนจะกลัว


ขณะกล่าวหลินสวินจมสู่ภวังค์อีกครั้ง เขาพลันสังเกตเห็นว่าการแปรสภาพรอบด้านของพลังมหามรรคซึ่งตนยึดกุมครานี้ น่าจะข้องเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่!


ยามตนนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ สดับฟังอริยะทั้งสองถกมรรคสนทนา ดูเหมือนไม่ได้รับอะไร แต่อันที่จริงเหมือนกับการ ‘แจ้งมรรค’ ซึ่งหาได้ยากยิ่ง!


‘ประสบการณ์ทั้งมวลนี้ เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับรากโพธิ์ท่อนนี้…’ หลินสวินตระหนักได้ในใจ


ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาสามารถถอดจิตหวนอดีต เห็นเหตุการณ์แสดงมรรคจากอริยะทั้งสองก็เพราะกุมซากไม้นี่!


ซากไม้แห้งเหี่ยวในมือไหม้เกรียมราวถูกฟ้าผ่า จวนจะผุพัง ความยาวไม่ถึงฉื่อ บางราวแขนเด็ก


แต่หลินสวินกล้ายืนยันว่านี่คือสิ่งหลงเหลือจากต้นโพธิ์ซึ่งเคยตระหง่านข้างสองอริยะ เคยยืนหยัดค้ำฟ้า แผ่แสงเขียวท่วมนภาต้นนั่น!


ตูม!


เสียงปะทะชวนประหวั่นดังขึ้น แสงธรรมสะเทือนสนั่น


หลินสวินเงยหน้าก็เห็นเงาร่างมู่เจิ้งถูกกระเทือนจนซวนเซถอยร่น สีหน้าซีดเผือด อเนจอนาถพอควร


เห็นชัดว่าเมื่อครู่เขาทนไม่ไหว เข้าบุกโจมตี หมายขึ้นแท่นดอกบัวมาสังหารหลินสวิน แต่กลับถูกขวางและกระเด็นถอยไป


“วาสนาฟ้าลิขิต ดึงดันไปก็ไร้ประโยชน์ ภิกษุ เจ้าจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม” หลินสวินถอนใจ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้


มู่เจิ้งโกรธจนแทบกระอักเลือด ถูกมองข้ามไม่พอยังโดนสบประมาทเช่นนี้ ที่น่าแค้นที่สุดคือแท่นดอกบัวหยกขาวนั่นปฏิเสธเขาไม่ให้เข้าใกล้!


นี่ทำให้เขาโกรธเดือดดาล ต่อให้สภาวะจิตมั่นคงกว่านี้ก็ต้องคลั่งอยู่บ้าง


“เจ้านอกรีต! ถ้าเจ้ากล้าก็ลงมาสู้สักตั้ง!” มู่เจิ้งคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินดุจราชสีห์ เดือดคลั่งมากโทสะ


แต่ต่อมาเขาก็อึ้งงัน เพราะหลินสวินเผยท่าทีจิตลอยล่อง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว


มู่เจิ้งรู้สึกเพียงอัดอั้น เกือบกระอักเลือดเข้าจริงๆ แล้ว


ในฐานะยอดบุคคลซึ่งเป็นหนึ่งในสิบแปดสาวกแห่งอารามกษิติครรภ์ยุคปัจจุบัน มู่เจิ้งยอมเย่อหยิ่งทะนงตน มีความผยองเหยียดหยันใต้หล้า ไหนเลยจะเคยถูกเพิกเฉยเช่นนี้


“เจ้านอกรีต วันนี้ข้าจะโปรดสัตว์เจ้า!” มู่เจิ้งโกรธจนกัดฟันกรอด เสียงราวแผดคำราม


อันที่จริงตัวเขารู้ดี สาเหตุที่โมโหไม่ใช่เพราะถูกเมิน แต่เพราะรู้ว่าครานี้ตนไม่มีโอกาสชิงรากต้นโพธิ์นั่นอีก!


นี่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ


ไม่เช่นั้นแค่เพียงการมองข้ามและสบประมาท คงไม่อาจทำมู่เจิ้งเสียอาการเช่นนี้ได้


ขณะนี้หลินสวินไม่สนใจมู่เจิ้งจริงๆ เพราะเขาค้นพบอย่างน่าตะลึงว่า ไม้ต้นโพธิ์ในมือผนึกพลังสีทองอัศจรรย์หลากสาย!


‘เป็นของเจ้าหมอนั่น’ ในหัวหลินสวินปรากฏเงาร่างสีทองดั่งเจ้าเหนือหัว ในใจสั่นสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้


‘จดจำไว้!’


‘ห้ามลืมเด็ดขาด…’


เสียงของตู้จี้และนางพญาราวสะท้อนก้องอยู่ข้างหูอีกครั้ง หลินสวินรู้ว่าพลังสีทองนี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้อริยะทั้งสองสิ้นชีพ!


‘หากวันหนึ่งข้าสามารถก้าวสู่ระดับที่อริยะทั้งสองเคยก้าวผ่าน จะถูกพลังเช่นนี้สังหารหรือไม่’


เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินสวินก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของพลังสีทองนี่!


หากสามารถตีความปริศนาที่ซ่อนแฝง ภายภาคหน้าตนอาจสามารถหลบหลีกหายนะที่อริยะทั้งสองเคยเผชิญ อาจไม่ถึงขั้นประสบเคราะห์!


ในเวลาเดียวกัน เมื่อหลินสวินสงบจิตสัมผัสไม้ต้นโพธิ์ซึ่งไหม้เกรียม ในใจพลันปรากฏพลังมรดกคัมภีร์มรรคเล่มหนึ่งขึ้นมาโดยธรรมชาติ


มันลึกซึ้งยากหยั่งถึงขีดสุด ศักดิ์สิทธิ์เหลือประมาณ เลือนรางพร่ามัว ดุจมีเสียงธรรมและเสียงหงส์ขับขานสะท้อนก้องไปมาสนั่นหู


คัมภีร์มหาครรภ์จุติ!


ชั่วขณะนั้นหลินสวินใจเต้นโครมคราม ผิวหนังสั่นระรัวด้วยตื่นเต้น ภายในไม้ต้นโพธิ์แห้งเหี่ยวนี้ถึงกับซ่อนคัมภีร์มรรคชิ้นเอกที่สรรสร้างโดยอริยะตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ!


หลินสวินเคยเห็นขั้นตอนที่อริยะทั้งสองสร้างคัมภีร์นี้กับตา กระทั่งรู้ว่าปริศนาแห่งคัมภีร์นี้วิวัฒน์มาจาก ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ และ ‘วิชาจุติหงส์ทมิฬ’ สามารถเกริกก้องชั่วกัลปาวสาน!


ตูม!


ทว่าไม่รอให้หลินสวินศึกษาโดยละเอียด ก็รู้สึกเบื้องหน้าพลันซวนเซ ทำเขาผงะในใจวูบหนึ่ง


เมื่อเงยหน้ามองไปก็เห็นภิกษุมู่เจิ้งราวกับเป็นบ้า ใช้สมบัติอริยพุทธอาลยบาตรถล่มใส่แท่นบัวหยกขาวไม่หยุด


อาลยบาตรสาดแสง สะท้อนภาพมายาภิกษุมากมาย สำแดงพลังกดกำราบชวนประหวั่น สะเทือนแท่นบัวหยกขาวจนครวญคร่ำต่อเนื่องใกล้จะพังทลาย


นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ หยัดร่างขึ้นอย่างหมดความอดทนอยู่บ้าง


แท่นบัวหยกขาวนี้คือของล้ำค่าต่างหน้าของอริยะตู้จี้ มู่เจิ้งเองก็มาจากอารามกษิติครรภ์เหมือนอริยะตู้จี้ แต่บัดนี้เพื่อสังหารตนชิงไม้โพธิ์ เจ้าหมอนี่ถึงกับจะทำลายแท่นบัวโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด!


“หยุดนะ!” หลินสวินตวาดเย็นชา


กลับเห็นมู่เจิ้งเผยสีหน้าเรียบเฉยเยียบเย็นกล่าว “ตอนนี้นั่งไม่ติดแล้วรึ สายไปแล้ว!”


เขาในตอนนี้ทั่วร่างอาบแสงธรรม ร่างกำยำสูงใหญ่ข่มผู้คนดั่งบรรพตไม่หยุดสิ่งที่กระทำแม้แต่น้อย กลับเปลี่ยนเป็นดุดันยิ่งกว่าเดิม


แต่เมื่อหลินสวินเตรียมลงมือก็เห็นเงาทมิฬสายหนึ่งโฉบพุ่งออกไป ประดุจเคลื่อนย้ายแหวกอากาศ ชั่วพริบตาก็ปรากฏอยู่หลังมู่เจิ้งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง


นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด เงาร่างนี้เหมือนหงส์ทมิฬ ปีกดำสนิทราวราตรีนิรันดร์คุโชนด้วยเปลวอัคคีโชติช่วง ถึงกับเป็น ‘ครรภ์พุทธะ’ ซึ่งหนีไปจากซุ้มพระก่อนหน้านี้!


ทว่าในกรงเล็บมันกลับหิ้วกระทะดำใบหนึ่ง ท่าทางลับๆ ล่อๆ ถึงขั้นยังส่งสัญญาณบอกหลินสวินให้เงียบเสียง


ตั้งแต่ต้นจนจบมู่เจิ้งราวไม่รับรู้ทุกสิ่งอย่างนี้ ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจู่โจมแท่นบัวหยกขาวอย่างบ้าคลั่ง


จากนั้น…


เสียงเป๊งดังสนั่น นกทมิฬนั่นใช้กระทะดำฟาดกบาลใสของมู่เจิ้งเต็มแรง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)