Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 950-955

 ตอนที่ 950 ชายหนุ่มที่หลงผิด

 

หน้ายานสำเภา น้ำขุ่นในแม่น้ำซัดสาดถาโถม ม้วนตัวขึ้นราวกับคลื่นหิมะ


เสื้อผ้าของซุ่นไป๋เสวียนโบกสะบัดไปตามสายลม ผมยาวพลิ้วไหว มุมปากเหยียดโค้งเย่อหยิ่ง พูดเรียบๆ “ไป เรียกเทพมารหลินออกมา ข้าจะสู้กับเขาสักยก!”


บนยานสำเภา พวกของโค่วซิงต่างอึ้งงัน


เพิ่งโจมตีกลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์จนยับเยิน ตอนนี้ชายหนุ่มที่ดูเย่อหยิ่งอย่างมากโผล่มาอีกคน ทำให้พวกเขาเหนือความคาดหมายจริงๆ


ทว่าแตกต่างจากคราวก่อน พวกเขารู้ฐานะของ ‘คุณชายหลินซย่า’ คนนั้นแล้วว่าไม่ใช่นักชำนาญวิญญาณอะไร แต่เป็นเทพมารหลินที่ตอนนี้ชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งแดนฐิติประจิม!


ในฐานะผู้ฝึกปราณที่โตในแดนฐิติประจิม พวกเขารู้ดีอย่างที่สุดว่าชื่อเสียงของเทพมารหลินโด่งดังเพียงใด ทำให้ผู้แข็งแกร่งแดนฐิติประจิมมากมายพูดถึงแล้วต่างหน้าเปลี่ยนสี เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน


และเมื่อครู่นี้พวกเขาก็ได้เห็นแล้วว่าหลินสวินสังหารกลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนที่เห็นว่าซุ่นไป๋เสวียนกระโดดออกมาประกาศกร้าวว่าจะสู้กับหลินสวิน สีหน้าของพวกเขาต่างแปลกพิกลขึ้นมา


หรือนี่เป็นคนโง่คนหนึ่ง


ไม่ใช่สิ ท่าทางดูเป็นผู้เป็นคน แต่เหตุใดจึงไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนี้


พวกเขาฉงนใจ สีหน้าอดแฝงความเวทนาไม่ได้ ราวกับกำลังมองคนซื่อที่ไม่มีความคิดคนหนึ่ง


ซุ่นไป๋เสวียนอึ้งไป รับรู้ได้อย่างฉับไวว่าบรรยากาศดูผิดปกติ คนพวกนั้นมองมาด้วยสายตาอะไรกัน น่ารังเกียจเกินไปหรือเปล่า


เขาตะคอก “นิ่งอยู่ทำไม รีบไป! ทำข้าหัวเสียเข้า ระวังจะเดือดร้อน!”


เพียงแต่พวกโค่วซิงได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ตกใจ สีหน้ากลับยิ่งดูเวทนา นี่มันคนโง่ที่โผล่มาจากไหนกัน รู้ทั้งรู้ว่าคุณชายหลินสวินอยู่ ยังจะร้องเอะอะคุยโวโอ้อวด อยากตายมากนักหรือไง


“เขาคงไม่ได้มาเพราะต้องการชื่อเสียงหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้แม้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของคุณชายหลินสวิน พูดออกไปก็ยังเป็นเรื่องที่มีเกียรติ” เจ้าหน้าเขียวขมวดคิ้วพูด


“คงจะเป็นเช่นนั้น คนแบบนี้น่ารังเกียจที่สุด เพื่อชื่อเสียง แม้แต่ศีลธรรมก็ไม่สนใจแล้ว เกียรติของโลกผู้บำเพ็ญก็ถูกคนแบบนี้ทำลายนั่นแหละ” จงอางแดงไม่ปกปิดความเย้ยหยันของตนเลยสักนิด


“โลกเสื่อมเสียลงทุกวัน ใจคนก็ถดถอย เจ้าหมอนี่อยากมีชื่อเสียงจนบ้าไปแล้ว” โค่วซิงสีหน้าเคร่งขรึม โจมตีอย่างจริงจัง


ซุ่นไป๋เสวียนเบิกตาโพลง แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เจ้าพวกนี้ถึงกับ… ถึงกับกล้ากล่าวโทษตนขนาดนี้


เขาโกรธจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ เขาถูกมองว่าเป็น ‘ราชันมารจอมก่อกวน’ ใครเห็นก็ต้องกลัว ไม่มีใครกล้าดูหมิ่น


แต่ตอนนี้กลับถูกมองว่าเป็นตัวตลกที่ไม่มีศีลธรรม อยากจะมีชื่อเสียง!


คนพวกนี้ไม่อยากอยู่แล้วหรือ


ซุ่นไป๋เสวียนสีหน้ามืดทะมึนลง!


ห่างออกไป ลั่วเจียที่เห็นภาพนี้ก็อดเผยสีหน้าประหลาดไม่ได้ พยายามกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา คิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่เจอหลินสวินด้วยซ้ำ ซุ่นไป๋เสวียนก็ถูกกล่าวโทษโจมตีก่อนแล้ว


ในใจเขาคงกำลังจะคลั่งแล้วซินะ


ลั่วเจียรู้ดีว่าแม้ซุ่นไป๋เสวียนจะยโสโอหังและหยิ่งผยองมาก แต่กลับไม่สนใจไปสร้างความลำบากให้คนที่ไม่อยู่ในสายตาเขา จึงไม่ได้กังวลว่าซุ่นไป๋เสวียนจะคลั่งจนทำร้ายคน


“หุบปาก!” ซุ่นไป๋เสวียนตะเบ็งเสียง กลิ่นอายน่ากลัวพลุ่งพล่านทั่วร่างกาย ประกายศักดิ์สิทธิ์สีทองมากมายปรากฏขึ้น ขับเน้นให้ร่างเขาเป็นสีทองอร่ามทั้งตัว ราวกับเทพอย่างไรอย่างนั้น


พวกโค่วซิงแข็งทื่อไปทั้งตัว แต่กลับไม่ได้กลัว เพียงแค่แปลกใจมาก เจ้าโง่นี่ก็ดูเหมือนจะมีฝีมืออยู่บ้าง ถึงได้กล้ามาท้าทายคุณชายหลินสวินถึงแม่น้ำพรมแดน


“สหาย ข้าขอเตือนเจ้าสักประโยค รีบจากไปเถอะ บนโลกนี้มีวิธีที่ทำให้เจ้ามีชื่อเสียงมากมาย ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีทำให้ตนเองอับอายเช่นนี้”


โค่วซิงเตือน


“เจ้า… เจ้าบอกว่าข้าทำให้ตนเองอับอายเช่นนั้นหรือ” ซุ่นไป๋เสวียนชี้ตัวเองราวกับยากจะเชื่อ โกรธจนแผ่แสงสีทองทั่วร่างกาย แทบอยากจะฆ่าคน


“แม้คำพูดจะไม่น่าฟังไปบ้าง แต่ยาดีมักขมปาก ข้าเองก็หวังดีกับเจ้า ฟังคำเตือนของข้าสักครั้ง เจ้ายังอายุน้อย อย่าสูญเสียศักดิ์ศรีและศีลธรรมที่เป็นพื้นฐานที่สุดเพื่อชื่อเสียง เช่นนี้แม้สามารถมีชื่อเสียงได้ แต่จะถูกคนนินทาลับหลัง”


โค่วซิงคิดไปตามสัญชาตญาณว่า ที่ซุ่นไป๋เสวียนโกรธขนาดนี้เพราะถูกตนเปิดโปงความคิด จึงอายจนโกรธ


นี่ทำให้เขาอดหดหู่ใจไม่ได้ หนุ่มสาวสมัยนี้อวดดีและฉุนเฉียวขึ้นเรื่อยๆ เก็บอาการไม่อยู่เลยสักนิด


“สหาย รีบไปเถอะ หากคุณชายหลินถูกรบกวนเข้า ผลลัพธ์จะร้ายแรงมาก”


“เจ้าอายุยังน้อย อย่าทำเรื่องโง่ๆ หลงทางผิดเพียงครั้งเดียวจะกลายเป็นความชิงชังชั่วนิรันดร์ เจ้าจะต้องยืนหยัดให้ได้ อย่าหลงผิดในช่วงเวลาเช่นนี้”


เจ้าหน้าเขียวและจงอางแดงเองก็ส่งเสียงเตือนด้วยท่าทีจริงใจ


หลงผิด… หลงผิด… หัวสมองของซุ่นไป๋เสวียนมึนงง ใบหน้าเขียวไปหมด โกรธจนมือเท้าสั่น แผ่ไอสังหารที่น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ไปทั่วทั้งตัว


โดนดูถูกขนาดนี้ เขามีใจจะเปิดฉากสังหารแล้วจริงๆ น่าโมโหเกินไปแล้ว ดันเห็นเขาซุ่นไป๋เสวียนเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังจะหลงผิดงั้นหรือ นี่หากเผยแพร่ออกไปจะต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน!


ลั่วเจียไม่อาจมัวแต่มองดูความครื้นเครงได้อีก นัยน์ตาใสกระจ่างหดรัด สัมผัสได้ว่าซุ่นไป๋เสวียนกำลังจะระเบิดแล้ว หากเจ้าหมอนี่คลั่งขึ้นมา จะต้องได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน!


แม่นางเยวี่ยที่เงียบดูอยู่ข้างๆ เองก็ไหวหวั่น ทั้งระแวงและระวังขึ้นมา


ตอนที่หลินสวินเดินออกจากห้องก็เจอเข้ากับฉากนี้


เมื่อเห็นลั่วเจียเขาอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันมองซุ่นไป๋เสวียน เห็นสีหน้าอึมครึมและอัดอั้นจนแทบจะกระอักเลือด ตัวเขาเองก็อดนึกขำไม่ได้


เห็นได้ชัดว่าพวกของโค่วซิงคิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน จึง ‘เตือนด้วยความหวังดี’ เช่นนี้


ใครจะคิดว่ากลับทำให้เจ้าหมอนี่โกรธจนจะระเบิดแล้ว


พูดตามจริง ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายที่ซุ่นไป๋เสวียนเผยออกมาทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย เทียบกับอวี่หลิงคงแล้วยังไล่เลี่ยกัน


นี่เป็นบุคคลแห่งยุคอีกคนที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างดูจากท่าทาง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เย่อหยิ่งอวดดี


พรึ่บ!


ทันใดนั้นสายตาของซุ่นไป๋เสวียนราวกับสายฟ้าสว่างไสว จับจ้องหลินสวิน น่ากลัวราวกับคมมีด เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดพร้อมสีหน้าอึมครึม “เจ้าก็คือเทพมารหลินนั่นหรือ เจ้าปรากฏตัวได้ทันเวลามาก หากช้ากว่านี้เพียงนิด พรรคพวกเหล่านี้ของเจ้าก็คงจะประสบเคราะห์แล้ว!”


หลินสวินขมวดคิ้ว “พูดเช่นนี้ เจ้ามาหาเรื่องงั้นหรือ”


ระหว่างที่พูดเขาเหลือบมองลั่วเจียแวบหนึ่ง ผู้สืบทอดอริยะกระบี่ที่มาจากตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพคนนี้ สร้างความประทับใจให้เขาอย่างลึกซึ้ง


เพียงแต่ตอนนี้เขากลับไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด


‘ลั่วเจียคารวะคุณชาย’ ห่างออกไป ลั่วเจียสื่อจิตมา น้ำเสียงแฝงความจนปัญญา เล่าความเป็นมาเป็นไปให้กับหลินสวิน


หลินสวินเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้เจ้าคนที่ชื่อซุ่นไป๋เสวียนนี่ก็เล็งสมบัติของตนไว้ จึงจะมาแย่ง


‘คุณชาย อุปนิสัยของเจ้าหมอนี่ก็ไม่ได้แย่ หากมีอะไรที่ล่วงเกินโปรดอย่าถือสา’ ลั่วเจียถอนหายใจเบาๆ


แก้ตัวกับหลินสวินเช่นนี้ ทำให้นางเองก็อดอึดอัดไม่ได้


และกับเรื่องนี้ หลินสวินเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร อีกฝ่ายถึงขั้นจ้องสมบัติของตนจนวิ่งมาปล้นแล้ว หากเปิดศึกจริงๆ เขาจะไม่เกรงใจแน่!


“เทพมารหลิน เป้าหมายที่ข้ามาครั้งนี้ง่ายมาก ได้ยินว่าพลังต่อสู้ของเจ้าไม่เลว จึงคันไม้คันมือจนทนไม่ไหว อยากจะดวลกับเจ้า หากข้าชนะ เจ้าต้องให้ข้ายืมสมบัติอริยะในมือเจ้ามาเล่นสักหน่อย หากข้าแพ้ เจ้าจะจัดการอย่างไรก็ย่อมได้ เป็นอย่างไร”


ซุ่นไป๋เสวียนในตอนนี้ดูไม่มีความอดทนอย่างมาก บอกเจตนาโดยตรง เพราะเขากำลังจะควบคุมความโกรธของตนไม่ไหวแล้ว


ถูกคนเหยียดหยามและสั่งสอนเช่นนี้ แทบจะกลายเป็นคนหนุ่มที่หลงผิด การดูถูกเช่นนี้เขาจะทนได้อย่างไร


เขาต้องการที่ระบาย!


และหลินสวินคือที่ระบายที่ไม่เลวอย่างไม่ต้องสงสัย


“ถ้าข้าไม่ตอบรับล่ะ” หลินสวินเลิกคิ้วถาม เจ้าหมอนี่อวดดีจริงๆ เข้ามาท้าทายถึงที่ยังเย่อหยิ่งและมั่นใจเช่นนี้


“ไม่รับก็ต้องรับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า!” ซุ่นไป๋เสวียนพูดอย่างไม่พอใจ “แม้เจ้าจะกลัว ก็ต้องสู้ก่อนค่อยว่ากัน!”


พวกโค่วซิงอึ้ง เจ้าโง่คนนี้อาการหนักจริงๆ สมองระดับนี้คงไม่มีใครอีกแล้ว


หากซุ่นไป๋เสวียนรู้ความคิดของพวกเขาคงเดือดดาลจนคลั่งแน่ พูดตามจริง ตั้งแต่เขาฝึกปราณมายังไม่เคยโดนดูถูกเช่นนี้มาก่อน!


“ลูกหลานตระกูลซุ่นเปลี่ยนเป็นคนเกินเหตุขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” จู่ๆ แม่นางเยวี่ยก็พูดขึ้น เสียงแฝงความเยียบเย็นสายหนึ่ง


“อย่าเอาฐานะของข้ามาพูด สำหรับข้า ชื่อเสียงของตระกูลเป็นเพียงแค่ภาระหนึ่ง ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร!” ซุ่นไป๋เสวียนตะคอก ดูหยิ่งผยองอย่างมาก ก็ไม่รู้ว่าเมื่อบรรพบุรุษของเขาได้ยินเข้าจะโกรธจนไม้โลงศพยังกดไม่อยู่หรือไม่


แม้แต่แม่นางเยวี่ยยังอึ้ง ผู้แข็งแกร่งตระกูลซุ่นในความทรงจำของนางไม่ใช่แบบนี้เด็ดขาด บอกว่าเขาเป็นคนโง่ยังเป็นการชื่นชมเกินไป


ลั่วเจียยิ้มขื่น เพราะมีเพียงนางที่รู้ดีที่สุดว่าที่ซุ่นไป๋เสวียนพูดเป็นความจริง เขาเป็นราชันมารจอมก่อกวนที่ทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่เกรงกลัวใครจริงๆ แม้แต่คนในตระกูลยังปวดหัวกับเขา หลายปีมานี้เพราะเขาก่อเรื่อง คนในตระกูลตามเช็ดตามล้างให้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว


“หลินสวิน เจ้าจะสู้หรือไม่สู้กันแน่ เจ้าเลื่องชื่อว่าเป็นเทพมารไม่ใช่หรือ เอามาดของเทพมารออกมา เข้ามาสู้สักยก!” ดวงตาเย็นเยียบของซุ่นไป๋เสวียนปลดปล่อยสายฟ้า อานุภาพชวนกดดัน


“ในเมื่อเจ้าจะสู้ อย่างน้อยก็ต้องรอหลินสวินฟื้นตัวก่อน เจ้าทำเช่นนี้ถือว่าชนะอย่างไม่โปร่งใส” แม่นางเยวี่ยเหมือนดูนิสัยของคนผู้นี้ออก จึงพูดเสียงเย็น


ซุ่นไป๋เสวียนอึ้ง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอ เวลาหนึ่งก้านธูปพอหรือไม่”


คำพูดนี้ออกจากปาก ถือว่าทำให้ทุกคนเปลี่ยนภาพจำต่อเขาไปไม่น้อย แม้เจ้าหมอนี่จะหยิ่งผยอง แต่กลับมีความเที่ยงตรง ไม่ฉวยโอกาสรังแกคน


ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงใสเย็นที่พาให้คนใจสั่นพลันดังขึ้นในบริเวณนั้น


“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง” พร้อมๆ กับเสียงนั่น ซย่าจื้อในชุดคลุมสีดำตัวหลวมปรากฏตัวในที่นั้น ทั่วร่างแผ่ระลอกอันมืดมนที่เงียบสงัดออกมา


หลินสวินลอบอุทานว่าแย่แล้ว เมื่อครู่นี้ถูกขัดจังหวะการสนทนากับตน ทำให้นางหนูนี่ไม่ชอบใจมาก ตอนนี้เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจซุ่นไป๋เสวียนนี่อย่างที่สุด ถึงขั้นเป็นฝ่ายก้าวออกมาเองแล้ว


ในเวลาเดียวกัน นัยน์ตาลั่วเจียหดรัดลง ในใจสั่นสะท้าน เป็นนาง!


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น นางก็นึกถึงภาพนองเลือดที่เกิดขึ้นบนแท่นมรรคในเทศกาลโคมกถามรรค ตอนนั้นเด็กสาวคนนี้ราวกับเทพที่มาจากความมืด สังหารภายในการโจมตีเดียว กวาดล้างบุคคลแห่งยุคอย่างพวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวนราวกับเชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้นางเองยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด


พูดได้ว่า อย่าเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ร่างกายแบบบางอ่อนโยน ทว่าแท้จริงแล้วเป็นบุคคลที่อันตรายเสียยิ่งกว่าเทพมารหลินอย่างแน่นอน!



 

 

 


ตอนที่ 951 ปริศนาหงส์ดำเลือดทมิฬ

 

เพียงแต่ซุ่นไป๋เสวียนกลับไม่รู้จักซย่าจื้อ เมื่อมองเห็นแม่นางน้อยรูปร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งลุกออกมา เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที โบกมือกล่าวว่า “เรื่องของผู้ชาย แม่นางน้อยอย่างเจ้าจะยื่นมือเข้าแทรกอะไรกัน รีบหลบไป”


จากนั้นเขาก็มองหลินสวินอย่างไม่สบอารมณ์ “เสียทีที่เจ้ายังเรียกตัวเองว่าเทพมาร ไม่รู้สึกอับอายขายขี้หน้าหรือถึงให้แม่นางน้อยคนหนึ่งลุกออกมาแทน”


สีหน้าหลินสวินดูแปลกไปเล็กน้อย


ส่วนลั่วเจียทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว กำลังจะส่งเสียงเอ่ยเตือนออกมาอย่างอดไม่อยู่


แต่เวลานี้เองซย่าจื้อได้เคลื่อนไหวแล้ว เงาร่างเพรียวบางก้าวย่างออกไปฉับพลัน ราวกับกระแสน้ำในความมืดสายหนึ่ง


“เจ้าว่าต่อสู้กับข้ามันน่าอับอายมากหรือ”


น้ำเสียงใสกังวานเจือแววเย็นเยียบที่กรีดลึกถึงกระดูก ซย่าจื้อมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซุ่นไป๋เสวียนแล้ว รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ


“ชายชาตรีอย่างข้า ไยต้องรังแกสาวน้อยอย่างเจ้าด้วย รีบ…”


เห็นได้ชัดว่าซุ่นไป๋เสวียนหงุดหงิดยิ่ง เพียงแต่เพิ่งพูดได้ครึ่งประโยค นัยน์ตาของเขาพลันหดวูบ ร้องเสียงหลงออกมาหนึ่งครา เงาร่างถอยกรูด


ชิ้ง!


ทวนม่วงเรียบง่ายเก่าแก่มันปลาบเล่มหนึ่งฟันสังหารออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หากไม่เพราะเขาไหวตัวหลบทัน ก็เกือบถูกเจาะทะลุหน้าอกไปแล้ว


“เจ้า…” ซุ่นไป๋เสวียนโกรธจนตัวสั่น คราวนี้เพิ่งตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่เข้าที


“ชายชาตรีรู้จักแต่ถอยหลบหรือ” ซย่าจื้อย่างเท้าก้าวขึ้นหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบนางเย็นเยือกราวกับความมืดมิด เจือกลิ่นอายที่พาให้ผู้คนใจสะท้าน


ฟุ่บ!


ทวนม่วงพุ่งทะยาน สุดแสนเรียบง่าย แต่กลับทำให้ซุ่นไป๋เสวียนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง รับรู้ถึงแรงบีบคั้นน่าสะพรึงที่ประเดประดังเข้ามาวูบหนึ่ง เขาร้องเสียงหลงออกมาอีกหนึ่งคราอย่างอดไม่อยู่ ไม่อาจไม่หลบเลี่ยง


สีหน้าเขาบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ ถูกบีบให้ถอยสองคราติดพาให้เขาปั้นหน้าไม่ไหว ร้องตะโกนว่า “อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือโหดเหี้ยม!”


“บังคับเจ้าแล้วอย่างไร”


ซย่าจื้อก้าวขึ้นหน้า ทวนม่วงเปลี่ยนรูป ซัดจู่โจมออกไปอย่างเฉียบขาด นางดูคล้ายเยือกเย็น แต่กลับมีกลิ่นอายบีบเค้นอย่างหนึ่ง


“คิดว่าไม่กล้าจัดการเจ้าจริงๆ หรือ!”


ซุ่นไป๋เสวียนโกรธจนขาดสติ เรียกทวนศึกสีทองอร่ามเล่มหนึ่งออกมา เข้าปะทะอย่างแข็งกร้าว


เคร้ง!


ทั้งสองชนปะทะ รัศมีศักดิ์สิทธิ์หวีดคำราม บาดโสตประสาทเกือบหูดับ


ซุ่นไป๋เสวียนโซเซไปทั้งร่าง เกือบถูกซัดปลิวออกไป


ชั่วขณะนั้นเขาเบิกดวงตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เด็กสาวคนนี้มีพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร


ไม่รอให้เขาตอบสนอง ซย่าจื้อก็พุ่งสังหารเข้ามาอีกครั้ง


ทวนม่วงราวกับสายฟ้า อาภรณ์ดำพลิ้วไสว พาให้เด็กสาวดุจดั่งเทพไท้ที่เดินออกมาจากความมืดมิด มีอานุภาพเย็นเยียบเงียบสงัดประการหนึ่ง


ไม่ได้เหนือความคาดหมายใดๆ ซุ่นไป๋เสวียนถูกซัดปลิวส่งเสียงกรีดร้อง สภาพสะบักสะบอมทั้งโกรธเกรี้ยวและผิดคาด อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด


นี่เป็นไปได้อย่างไร


ซุ่นไป๋เสวียนมั่นใจในตัวเองและหยิ่งผยองเรื่อยมา เชื่อว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์ มีเพียงปีศาจพลิกฟ้าเพียงหยิบมือซึ่งอยู่ในแดนเร้นอริยะเท่านั้นจึงจะกร้าวแกร่งพอเข้าตาตนได้ นอกจากนั้นแล้ว ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ล้วนไม่อาจเปรียบเทียบ


ในความเป็นจริง เขาเองก็มีคุณสมบัติพอจะหยิ่งลำพองจริงๆ ไม่เพียงแค่พรสวรรค์โดดเด่น แม้กระทั่งสายเลือดและรากฐานต่างประหัตประหารไร้เทียมทาน ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะยากพบพานในช่วงหมื่นปีของตระกูลซุ่น


แต่ยามนี้ เด็กสาวคนหนึ่งกลับกดดันบีบจนเขาโงหัวไม่ขึ้น โจมตีเขาจนปลิวหนแล้วหนเล่า ข้อนี้พาให้เขาชักเริ่มสงสัยในชีวิตของตนเสียแล้ว!


……


ไกลออกไป สีหน้าพวกโค่วซิงเต็มไปด้วยความเวทนา เจ้าทึ่มตาถั่วคนนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ แม้แต่แม่นางน้อยคนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้ ยังไปยั่วยุคุณชายหลินสวินอีก นี่ไม่ใช่การสร้างความอัปยศให้ตัวเองหรอกหรือ


หากซุ่นไป๋เสวียนรู้ความคิดของพวกเขา คงหนีไม่พ้นต้องน้ำตานองหน้าเป็นแน่


อัจฉริยะแห่งยุคผู้สูงส่งของตระกูลซุ่นอย่างเขา ไม่พูดถึงว่าถูกคนมองว่าเป็นชายหนุ่มที่ก้าวพลาดหลงผิด ยังถูกคนมองว่าสร้างความอัปยศให้ตัวเอง ข้อนี้น่าโมโหเกินไปแล้ว


แม่นางเยวี่ยอึ้งงัน นางมองออกแต่แรกแล้วว่าซุ่ยไป๋เสวียนเป็นบุคคลที่กร้าวแกร่งถึงขีดสุดคนหนึ่งอย่างแน่นอน หาไม่ก่อนหน้านี้ก็คงไม่ยอมรอให้หลินสวินฟื้นตัว เพราะกลัวว่าถ้าชนะไปก็ชนะอย่างไม่ใสสะอาด


เพียงแต่นางยังคิดไม่ถึงอยู่ดีว่าสถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ เด็กสาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นคนหนึ่ง ถึงขั้นซัดจนซุ่นไป๋เสวียนคนนั้นสะบักสะบอมถอยกรูด เกือบกุมหัวมุดเข้ารูหนูไปแล้ว!


แน่นอน นางไม่คิดว่าชื่อเสียงซุ่นไป๋เสวียนไม่สมคำร่ำลือ ทุกอย่างนี้ได้แต่บ่งบอกว่าเด็กสาวคนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าซุ่นไปเสวียนเท่านั้น!


‘หรือว่านางก็คือเด็กสาวคนนั้น ที่เคยช่วยหลินสวินสังหารบุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่งในเทศกาลโคมกถามรรค’ ทันใดนั้นแม่นางเยวี่ยก็มีปฏิกิริยา ในใจสั่นสะท้าน


เรื่องนี้สร้างความฮือฮาอลหม่านในแดนฐิติประจิม ผู้คนมากมายต่างคาดเดาตัวตนและที่มาของเด็กสาวคนนั้น แต่กลับยังเป็นปริศนา ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่อยมา


แต่ยามนี้เห็นนางสยบซุ่นไป๋เสวียนเองกับตา คราวนี้แม่นางเยวี่ยจึงตระหนักได้ว่าข่าวลือไม่ได้คุยโตเกินจริง เด็กสาวคนนี้แข็งแกร่งเหนือคนอย่างแท้จริง!


ลั่วเจียลอบทอดถอนใจเบาๆ เดิมทีหมายจะเอ่ยเตือนซุ่นไป๋เสวียน แต่ยามนี้จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า ปล่อยให้เจ้าหมอนี่ถูกสั่งสอนหนักๆ สักทีก็ไม่เลวเหมือนกัน


สิ่งเดียวที่ทำให้นางค่อนข้างเป็นกังวลคือหากซุ่นไป๋เสวียนถูกฆ่าตาย เช่นนั้นผลที่ตามมาก็คงร้ายแรงน่าดู


และเวลานี้เอง เสียงสื่อจิตของหลินสวินก็ลอยมาข้างโสตประสาทของนาง ‘แม่นางลั่วเจียไม่ต้องกังวลไป ข้ากำชับไว้แล้วว่าจะไม่เอาชีวิตเขา’


ลั่วเจียช้อนสายตามองไป เห็นหลินสวินกำลังยิ้มแย้มมองมาที่ตน ท่าทางเหมือนมองทะลุความคิดของตน ข้อนี้พาให้ในใจนางรู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก


หากไม่ใช่เพราะซุ่นไป๋เสวียนคนนั้น ตนมีหรือจะต้องถูกหลินสวินด้วยปฏิบัติเช่นนี้ เล่นเอาตนเป็นเหมือนฝ่ายถูกกระทำเกินไป ซ้ำยังไม่อาจไม่รู้สึกซาบซึ้งใจอีก


ไกลออกไป ซุ่นไป๋เสวียนกำลังกรีดร้องเสียงพิกลราวกับหมาป่าโหยหวนผีสางร่ำไห้ก็ไม่ปาน ในน้ำเสียงเจือสภาพอารมณ์ต่างๆ ทั้งเดือดดาล หวั่นวิตก อัดอั้น อับอายเป็นต้น ราวกับหญิงสาวในห้องหอถูกย่ำยีอย่างไรอย่างนั้น


เวลานี้เขาอับอายจนสิ้นหวังแล้วจริงๆ เข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ทันต่อสู้กับเทพมารหลิน กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งซัดจนน่วมหมดสภาพ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงวีรบุรุษทั้งชีวิตของเขาคงพังพินาศหมด!


ซย่าจื้อไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ หากไม่ใช่เพราะหลินสวินกำชับแต่เนิ่นๆ ตามนิสัยของนางคงสังหารเจ้าคนที่ทำลายการสนทนาของนางกับหลินสวินคนนี้ตรงๆ แล้ว


ปึ้ก!


ทวนม่วงแหวกอากาศ หวดใส่กลางหลังซุ่นไป๋เสวียนเต็มแรง ซัดเขาปลิวออกไปในบัดดล ริมฝีปากส่งเสียงกรีดร้องออกมา เค้าหน้าหล่อเหลาดวงนั้นเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา


แต่เขาก็ยังนับว่ามีดีอยู่ ทั่วร่างเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่าม สมบัติและวิชามรรคที่สำแดงทั้งหมดเรียกได้ว่าสะท้านโลก แม้จะถูกซัดกระเด็นแต่ก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแท้จริง


ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกอัปยศอดสูหาใดเปรียบอยู่ดี เขาเป็นถึงราชันมารจอมก่อกวนที่ทำให้ผู้คนหน้าเปลี่ยนสียามพูดถึงเชียว แต่บัดนี้กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งย่ำยี หากผู้คนรู้เรื่องนี้เข้า นั่นไม่พ้นต้องกลายเป็นตัวตลกในใต้หล้าแน่


“เฮ้อ นี่ก็คือราคาที่ต้องจ่ายหากใจเร็วด่วนได้ พอพลาดท่าก็จะกลายเป็นความแค้นนับพัน!” โค่วซิงละเหี่ยใจ


“เคยเตือนเขาแต่แรกแล้วดันไม่ฟังเอง พวกใจร้อนหัวรั้นแบบนี้ก็สมควรได้รับบทเรียนเช่นนี้แล้ว”


“ข้ายังไม่เคยเห็นพวกตาถั่วแบบเขามาก่อนเลย!”


เจ้าหน้าเขียวกับจงอางแดงต่างก็ถอนหายใจปลงตก


ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาหลินสวินก็อดนึกขันไม่ได้ ซุ่นไป๋เสวียนคนนี้ดวงซวยเสียนี่กระไร หาเรื่องใครไม่ว่า ดันไปกระตุกหนวดซย่าจื้อ นี่ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกหรือ


“จริงสิ พวกเจ้าทั้งสองคนมุ่งหน้ามาแม่น้ำพรมแดนครั้งนี้จะทำอะไรหรือ” หลินสวินนึกสงสัย มองไปทางลั่วเจีย


“ไปแสวงวาสนา” ลั่วเจียก็ไม่ได้ปิดบัง บอกเรื่องเกี่ยวหงส์ดำเลือดทมิฬจนหมดเปลือก


คราวนี้หลินสวินถึงได้เข้าใจชัดเจน ลอบถอนหายใจ ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่เล็กน้อยจริงๆ ว่าลั่วเจียก็จะมาเพื่อสังหารเขาด้วย


“หงส์ดำเลือดทมิฬหรือ ที่แท้ข่าวลือก็เป็นเรื่องจริงนี่เอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางปลุกพลังพรสวรรค์ทางสายเลือดแล้วหรือ” แม่นางเยวี่ยอึ้งงันไป คล้ายขบคิดใคร่ครวญ


“ถูกต้อง” ลั่วเจียพยักหน้า จากนั้นก็ทอดสายตามองหลินสวิน เจือแววไถ่ถามน้อยๆ ด้วยไม่ใคร่รู้ชัดถึงที่มาของแม่นางเยวี่ย


“ผู้นี้คือแม่นางเยวี่ย ส่วนนี่คือแม่นางลั่วเจีย…” หลินสวินแนะนำตัวตนของพวกนางทั้งสองให้อีกฝ่ายอย่างเรียบง่ายหนึ่งครา


เมื่อได้รู้ว่าหญิงสาวงดงามที่แลดูป่วยออดแอดคนนี้ถึงกับมาจากแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่ง ดวงตาใสกระจ่างของลั่วเจียแข็งค้างน้อยๆ ก่อนกลับสู่สภาพเดิม


และเมื่อได้รู้ตัวตนของลั่วเจีย แม่นางเยวี่ยก็เผยสีหน้าเข้าใจกระจ่าง คล้ายกับเดาออกตั้งแต่แรกแล้ว


“เรื่องเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬนี้ข้ารู้มาบ้างเล็กน้อย ว่ากันว่ามันพ่ายแพ้ให้กับอริยบุคคลที่มีชาติกำเนิดจากเผ่าพงศ์วงศ์พุทธโบราณ มีจุดจบที่ร่างสลายมรรคดับสูญ เสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกปิดผนึกอยู่ในเศษซากสนามรบจุดหนึ่ง”


แม่นางเยวี่ยเอ่ยเนิบนาบ “เพียงแต่เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นตำนาน ยามนี้ดูแล้วเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง”


เห็นได้ชัดว่าลั่วเจียตกใจอยู่บ้าง คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าแม่นางเยวี่ยคนนี้ยังรู้เบื้องลึกเช่นนี้ด้วย


สำหรับการตกใจของนาง หลินสวินเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะเขาก็เคยสัมผัสถึงความรอบรู้และความฉลาดของแม่นางเยวี่ยผู้นี้มาก่อนว่าน่าทึ่งเพียงใด


“แม่นางลั่วเจีย เรื่องเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬ ข้ายังมีอีกหนึ่งประโยคที่ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยดีหรือไม่” แม่นางเยวี่ยกล่าว


“เชิญว่ามาเถอะ” ลั่วเจียก็สงสัยใคร่รู้เช่นกัน แม่นางเยวี่ยคนนี้รู้เรื่องเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬมากน้อยเพียงใดกันแน่


“เจ้าเคลื่อนไหวร่วมกับกับซุ่นไป๋เสวียนคนนั้นในครั้งนี้ เป็นเพราะอยากยืม ‘กระถางเทพมังกรขด’ อาวุธบรรพบุรุษตระกูลซุ่นของพวกเขามาข่มพลังเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬใช่หรือไม่”


“สายตาแม่นางเยวี่ยดั่งตาทิพย์ หยั่งรู้เหตุการณ์ดุจเทพ แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยังรู้” ดวงตาใสกระจ่างของลั่วเจียเปี่ยมด้วยแววแปลกประหลาด


“เรื่องนี้เดาง่ายมาก กระถางเทพมังกรขดเป็นสมบัติอริยะที่บรรพบุรุษตระกูลซุ่นหลอมออกมา บนนั้นประพรมด้วยเลือดแท้จริงของมังกรเขียวร่างกำเนิด ใช้ข่มพลังของหงส์ดำเลือดทมิฬได้อย่างเหมาะเจาะยิ่ง”


แม่นางเยวี่ยยิ้มน้อยๆ จากนั้นสีหน้าก็กลับสู่ความจริงจัง กล่าวว่า “เพียงแต่จากที่ข้าดู หากทำเช่นนี้เป็นไปได้ว่าอาจเกิดการต่อต้าน จากที่ดีจะกลายเป็นแย่เอาได้”


ลั่วเจียอึ้งไป ขมวดคิ้วกล่าวว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”


“เจ้ารู้นิสัยดั้งเดิมของเผ่าหงส์ดีกว่าข้า สูงส่งชั่วชีวิต ไม่เคารพสวรรค์ ไม่สนใจกฎแดนดิน เคารพเพียงตัวเอง หากเจ้าใช้กระถางเทพมังกรขดไปข่มมัน อาจควบคุมเสี้ยววิญญาณของมันได้ แต่ฝ่ายหลังเกรงว่าคงยอมตายดีกว่าให้เจ้าได้ในสิ่งที่ต้องการ”


ทันทีที่คำพูดนี้ของแม่นางเยวี่ยเอ่ยออกมา ก็พาให้ลั่วเจียอึ้งงันอยู่ตรงนั้นทันใด ดวงหน้าดั่งหยกเปลี่ยนสี จมสู่ภวังค์ความคิด


หลินสวินเห็นดังนี้ในใจก็อดทอดถอนใจกับตัวเองไม่ได้ แม่นางเยวี่ยคนนี้ช่างสุดยอดจริงๆ ไม่ให้ผู้คนนับถือคงไม่ได้แล้ว


“ขอบคุณที่ชี้แนะ” เนิ่นนานลั่วเจียก็ถอนหายใจออกมายืดยาว กล่าวขอบคุณอย่างเคร่งครัด สีหน้าเจือแววซาบซึ้ง


“หากแม่นางลั่วเจียไม่รังเกียจ ข้ามีอยู่หนึ่งวิธีสามารถช่วยเจ้าสะสางปัญหายากข้อนี้ และได้รับศุภโชคใหญ่นี้ด้วย”


ทันทีที่แม่นางเยวี่ยออกปาก ก็พาให้หัวใจลั่วเจียสั่นสะท้าน กล่าวว่า “ข้าอยากฟังรายละเอียด”


เห็นเช่นนี้หลินสวินตั้งใจจะหลบฉากไป อย่างไรเสียข้อมูลลับระดับนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป เกี่ยวโยงถึงศุภโชคใหญ่ ย่อมต้องถอยหลบอย่างรู้กาลเทศะเป็นธรรมดา


แต่เหนือความคาดหมายของเขา แม่นางเยวี่ยกลับเรียกเขาเอาไว้ กล่าวว่า “คุณชายโปรดอยู่ต่อด้วย การจะได้รับศุภโชคครั้งนี้จำเป็นต้องให้ท่านช่วยเหลือ”


“ข้าหรือ” หลินสวินงงงัน


ลั่วเจียก็รู้สึกเหนือความคาดหมายน้อยๆ เช่นกัน เหตุใดถึงไปเกี่ยวข้องกับหลินสวินอีกแล้ว


“ถูกต้อง” แม่นางเยวี่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น


เวลานี้เอง เสียงกรีดร้องประหนึ่งหมาป่าโหยหวนผีสางร่ำไห้สายหนึ่งก็ดังก้องขึ้น


หลังจากเสียงดังโครมหนึ่งครา ซุ่นไป๋เสวียนถูกโยนลงบนดาดฟ้ายานสมบัติ สองแขนขาหมอบราบกับพื้น ก้นชี้ฟ้า ไม่ต้องพูดถึงว่าสภาพสะบักสะบอมและน่าอับอายเพียงใด



 

 

 


ตอนที่ 952 แดนไร้ชีวิต อารามกษิติครรภ์

 

ทันใดนั้นการสนทนาถูกขัดจังหวะ สายตาของพวกหลินสวินทยอยมองไปทางซุ่นไป๋เสวียน


อัจฉริยะแห่งยุคจากตระกูลอริยะชั้นสูงผู้มีนิสัยหยิ่งผยองคนนี้ เวลานี้กลับผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่น บนผิวเต็มไปด้วยรอยแผล


แขนขาของเขาขนาบราบกับพื้น กระตุกเกร็งทั่วร่างเหมือนเป็นโรคลมชัก ตรงกันข้ามกับท่าทียโสโอหังไม่เห็นผู้ใดในสายตาเมื่อครู่ลิบลับ


เวลานี้เกรงว่า ต่อให้เป็นคนที่สนิทกับซุ่นไป๋เสวียนล้วนไม่กล้ารับว่ารู้จักกัน


น่าสมเพชเกินไปจริงๆ พาให้ผู้คนนึกเวทนา


“เฮ้อ ในที่สุดเจ้าคนตาถั่วคนนี้ก็ทำผิดพลาดจนได้”


พวกโค่วซิงถอนหายใจ


ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา อาการกระตุกเกร็งทั่วร่างของซุ่นไป๋เสวียนยิ่งรุนแรงขึ้น


เขาหันหน้าไปทางดาดฟ้าทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นสีหน้า แต่ทุกคนต่างรู้กันหมดว่า เขาในยามนี้กลัวแต่จะรู้สึกอับอายโกรธเกรี้ยวจนอยากตาย ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว


สีหน้าแม่นางเยวี่ยดูแปลกไป


ตระกูลซุ่นเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์รุ่งโรจน์ตระกูลหนึ่ง ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนปัจจุบันเคยมีอริยบุคคลย่างกรายออกมามากกว่าหนึ่งคน


ทั่วทั้งสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ ตระกูลซุ่นก็เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจหนึ่ง อำนาจสะท้านเขตแคว้น เมื่อเทียบกับสำนักโบราณชั้นสูงในตอนนี้ล้วนไม่ได้ด้อยไปกว่ากันนัก


ในฐานะทายาทตระกูลซุ่น ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะประหนึ่งราชันมาร ซุ่นไป๋เสวียนผู้นี้กลับถูกซัดน่วมจนเป็นสภาพเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนละห้อยละเหี่ยเสียจริง


สีหน้าลั่วเจียก็ดูพิกลไปน้อยๆ เช่นเดียวกัน


หากโลกภายนอกรู้เข้าว่าราชันมารจอมก่อกวนที่ทำให้คนรุ่นเยาว์หน้าเปลี่ยนสียามเอ่ยถึง วันนี้กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งซัดน่วมจนสภาพเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไร


“นี่พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่หรือ!”


ซุ่นไป๋เสวียนส่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว ถูกเด็กสาวคนนั้นซัดกระแทกก็ช่างเถิด เวลานี้ยังถูกพวกโค่วซิงถากถางเยาะเย้ย ทำให้เขาแทบคลั่ง


แต่เวลานี้เองซย่าจื้อก็ปรากฏตัว เงาร่างอรชรโรยตัวลงบนดาดฟ้าแผ่วเบา กลิ่นอายมืดมิดเงียบสงัดไร้รูปวูบหนึ่งคละคลุ้งแผ่ซ่าน


ซุ่นไป๋เสวียนแข็งทื่อไปทั้งร่าง เริ่มนอนแผ่ราบกับพื้นแสร้งตายทันที ช่วยไม่ได้ เขาถูกซัดจนเกือบแหลกลาญไปแล้วจริงๆ


พวกหลินสวินพากันอึ้งงัน จากนั้นก็หัวเราะโดยไร้เสียง


เห็นได้ชัดว่าซุ่นไป๋เสวียนถูกซัดจนเงาทะมึนครอบงำจิตใจไปแล้ว ยามนี้พอเห็นซย่าจื้อก็ยอมศิโรราบเหมือนหนูเห็นแมวทันที


……


“เป็นไปไม่ได้ที่เสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬจะยอมจำนน แต่ก็พอจะสื่อสารกันได้ ทว่าก่อนหน้านี้ยังมีหนึ่งปัญหาที่ต้องสะสางก่อน”


“อะไรหรือ”


“ทำลายผนึก!”


บนยานสมบัติ ในห้องมีหลินสวิน แม่นางเยวี่ย และลั่วเจียนั่งกับพื้น กำลังหารือกันเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬ


“ผนึกหรือ” ลั่วเจียกล่าว “ที่มาครั้งนี้ข้าพกเอาสมบัติล้ำค่าของสำนักอย่าง ‘กระบี่ยอดนภาเบิกมาร’ มาด้วย น่าจะพอรับมือได้”


“ไม่” แม่นางเยวี่ยส่ายหน้า “นั่นเป็นผนึกที่อริยะบำเพ็ญธรรมบรรพกาลทิ้งไว้ ใช้พลังฟาดฟันไม่สามารถทำลายมันได้”


“แม้แต่กระบี่ยอดนภาเบิกมารก็ไม่ได้หรือ” ลั่วเจียขมวดคิ้ว


“ไม่ได้” แม่นางเยวี่ยเอ่ยปากอย่างเข็มเดียวเห็นเลือด “หากไม่เข้าใจวิธีแก้ ไม่ว่าสมบัติใดก็ไม่สามารถทำลายผนึกทิ้งได้ สมบัติอริยะก็ทำไม่ได้เช่นกัน”


ทันใดนั้นในใจหลินสวินกับลั่วเจียต่างสะท้านไหว ต่างคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ผนึกอันเดียวจะถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเพียงนี้


“แล้วแม่นางเยวี่ยคิดว่าควรทำลายผนึกนี้อย่างไร” ลั่วเจียถาม


“นั่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีของคุณชายหลินแล้ว” แสงแพรวพรายเวียนวนในดวงตาใสกระจ่างของแม่นางเยวี่ย มองไปทางหลินสวินด้วยอาการเจือรอยยิ้ม


ไม่เพียงแค่ลั่วเจีย แม้แต่ตัวหลินสวินเองก็อึ้งงันด้วยเช่นกัน


ไม่รอให้ถามไถ่ แม่นางเยวี่ยก็กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าในเทศกาลโคมกถามรรค แม้แต่กระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันของเผ่าหงส์เขียวก็ยังไม่อาจหน่วงเหนี่ยวคุณชายไว้ได้สักเสี้ยว ดูแล้วคุณชายคงมีความเชี่ยวชาญสุดด้านศาสตร์สลักวิญญาณอย่างแน่นอน”


หลินสวินพยักหน้า เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง


“นั่นเป็นถึงกระบวนสลักมรรคราชัน แม้ชิงเหลียนเอ๋อร์จะไม่สามารถงัดศักยภาพทั้งหมดของมันออกมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะถูกทำลายได้ส่งเดช หากไม่ผิดจากที่คาด เกรงว่าคุณชายคงมีความเชี่ยวชาญระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้วกระมัง” แม่นางเยวี่ยกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ


หลินสวินพยักหน้าอีกครา ในใจกลับรู้สึกปลงตก หญิงสาวคนนี้ช่างมีตาทิพย์เสียจริง สามารถมองทะลุความจริงมากมายจากเบาะแสเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น น่าทึ่งจริงๆ


เมื่อเห็นเช่นนี้ในใจลั่วเจียก็เริ่มสั่นน้อยๆ คราวนี้จึงตระหนักโดยพลันว่าที่แท้เทพมารหลินที่อยู่ข้างๆ นี้ ยังมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งอีกด้วย!


“เป็นเช่นนี้ก็สะดวกขึ้นแล้ว ผนึกที่อริยะบำเพ็ญธรรมบรรพกาลทิ้งไว้นั้น แต่เดิมก็เป็นหนึ่งในสิ่งต้องห้ามวิเศษฟ้าประทานอย่างหนึ่ง มีเพียงปฐมาจารย์สลักวิญญาณและอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะสามารถทะลวงปริศนาในนั้นได้”


เสียงแม่นางเยวี่ยเนิบนาบ กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ถึงตอนนั้น แค่ต้องให้คุณชายลงมือทำลายผนึกนี้ ก็เพียงพอจะทำให้แม่นางลั่วเจียมองเห็นเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นได้แล้ว”


กล่าวถึงจุดนี้ลั่วเจียก็เข้าใจโดยสิ้นเชิง ในใจอดรู้สึกปลงตกไม่ได้ หากไม่ได้พบแม่นางเยวี่ยในครั้งนี้ เกรงว่าการเคลื่อนไหวเสาะหาวาสนาหนนี้ของตนคงต้องพังไม่เป็นท่าแน่


แต่หลินสวินกลับไม่ค่อยเข้าใจนัก เขากับลั่วเจียหาได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ แม้จะให้ช่วยเหลือ อย่างน้อยก็ต้องให้เหตุผลสักข้อหน่อยกระมัง


แม่นางเยวี่ยยิ้มกล่าวว่า “คุณชายอย่าได้ปฏิเสธเลย แม่นางลั่วเจียคนนี้ทำเพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘คัมภีร์หงส์ทมิฬสิ้นสลาย’ หนึ่งใน ‘เก้าคัมภีร์หงส์เซียน’ แต่สถานที่ที่ปิดผนึกนั้นไม่ได้มีเพียงวาสนาชิ้นนี้อย่างเดียว”


นางไม่ได้ปิดบัง และไม่ได้สื่อจิต ดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด “หากเบื้องลึกที่ข้ารู้มาไม่ผิดพลาด พื้นที่รอบผนึกนั้นยังหลงเหลือศุภโชคที่เกี่ยวกับอริยะบำเพ็ญธรรมอยู่ชิ้นหนึ่ง”


เนตรดาราของลั่วเจียหดรัด กล่าวอย่างกระจ่างในใจ “หากเรื่องนี้เป็นความจริง ข้ายินดีจะมอบศุภโชคนี้ให้ คิดเสียว่าเป็นสินน้ำใจที่ท่านทั้งสองช่วยเหลือเกื้อกูล”


แม่นางเยวี่ยกล่าวอมยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณไว้ล่วงหน้า ศุภโชคชิ้นนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้า หากได้รับมา กลับจะเป็นประโยชน์อย่างสุดประเมินสำหรับการฝึกปราณในอนาคตของคุณชายหลิน”


และในที่สุดหลินสวินก็มองออก ว่าเหตุที่แม่นางเยวี่ยเอาใจใส่ต่อเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอยากช่วยตนช่วงชิงศุภโชคชิ้นนี้มา!


สิ่งนี้ทำให้เขาอดรู้สึกประหลาดน้อยๆ ไม่ได้ แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็ตระหนักได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยช่วยนางคลี่คลายวิกฤตที่มาจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ อีกฝ่ายทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังยื่นลูกท้อแลกลูกไหน


……


บนเส้นทางต่อจากนี้ ภายใต้การนำทางของลั่วเจีย ขบวนนักผจญภัยเปลี่ยนทิศทาง ยานสมบัติพุ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำพรมแดน


ระหว่างทางถึงจะประสบภัยพิบัติอันตรายมากมาย แต่ก็ล้วนหลีกเลี่ยงได้โดยไม่มีอันตราย


การประสบภัยที่ร้ายแรงที่สุดคือ การพบกับหญ้ายมโลกที่ลอยยวบยาบอยู่บนแม่น้ำพรมแดน


นี่คือสิ่งอับโชคที่เป็นลางบอกเหตุถึงความกลัวและความตาย มีตำนานต่างๆ เกี่ยวกับมันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล


ว่ากันว่าเจ้าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับปริศนาต้นกำเนิดของการตายและวัฏจักร ทันทีที่ปรากฏ แม้แต่อริยะก็ได้แต่ถอยหลบ ด้วยเกรงว่าจะถูกกลิ่นอายของมันเปื้อนเปรอะ!


ในตอนนั้นที่พวกหลินสวินเจอเข้ากับหญ้ายมโลก หากไม่ได้แม่นางเยวี่ยเตือนได้ทันท่วงที คงเกือบถูกแสงรัศมีมืดสลัวสายหนึ่งที่เจ้าสิ่งนี้ปลดปล่อยออกมาเปื้อนเข้าแล้ว


ท้ายที่สุดถึงแม้จะหลบมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ยานสมบัติที่พวกเขาโดยสารลำนั้นกลับสลายกลายเป็นควัน อันตรธานอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา!


ภาพที่น่าพิศวงนี้พาให้หลินสวินขนลุกขนชันไปทั่วร่าง สิ่งที่ผลาญทำลายยานสมบัติอย่างไร้สุ้มเสียงนั้นเป็นเพียงแค่กลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้คนไม่สามารถป้องกันได้เลยสักนิด


หลังจากผ่านเรื่องนี้มาก็ทำให้หลินสวินรู้จักความน่ากลัวของแม่น้ำพรมแดนขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีสิ่งแปลกพิสดารและอัปมงคลมากมายเหลือเกิน


สองวันให้หลัง


หลังจากซย่าจื้อกินอาหารที่หลินสวินเตรียมไว้ให้นางอย่างพิถีพิถันก็จมสู่ห้วงนิทรา เริ่มต้นฝึกจุติกำเนิดใหม่เป็นครั้งที่สี่


หลินสวินบรรจงวางซย่าจื้อไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรอย่างระมัดระวัง


และหลายวันมานี้ คนหนุ่มผู้ยโสโอหัง คลั่งลำพองหาใดเปรียบอย่างซุ่นไป๋เสวียนก็สงบคำอย่างเห็นได้ชัดเรื่อยมา ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ย่างกรายออกมาข้างนอก


เห็นได้ชัดว่าการซัดกระหน่ำของซย่าจื้อสร้างเงาทะมึนยิ่งใหญ่มาสู่เขา จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถเดินออกมาจากเงาทะมึนนั้นได้


เวลาเคลื่อนคล้อย เวลาหลายวันผ่านไปอีกครา


ตั้งแต่พวกหลินสวินเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนจวบจนบัดนี้ก็เป็นเวลาราวๆ สิบวันแล้ว


พลังไล่ล่าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก พาให้แม่นางเยวี่ยแลดูผ่อนคลายลงไม่น้อยทีเดียว


“ถึงแล้ว”


ในวันนี้ เสียงลั่วเจียดังลอยมาจากยานสมบัติ ขณะที่พวกหลินสวินเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าพร้อมกัน ก็เห็นว่าบนแม่น้ำพรมแดนไกลออกไปถึงกับมีแอ่งน้ำวนมหึมาปรากฏขึ้น สีดำมะเมื่อม ค่อยๆ หมุนเกลียว พลังที่แผ่กว้างออกมานั้นบิดเบือนและพังห้วงอากาศละแวกใกล้เคียง


อาณาเขตแถบนี้ยังมีบรรยากาศเงียบสงัดพิศวง แม้แต่สายน้ำที่ไหลเชี่ยวก็ยังนิ่งสงบ มีเพียงแอ่งน้ำวนขนาดใหญ่ประหนึ่งหุบเหวเท่านั้นที่หมุนวนอ้อยอิ่ง แต่ก็ไร้สุ้มเสียงเช่นเดียวกัน


พวกหลินสวินต่างรู้สึกถึงความพรั่นพรึง เสมือนว่าส่วนลึกของแอ่งน้ำวนมหึมานั้นยังซุกซ่อนพลังน่าหวาดกลัวอะไรสักอย่าง


“ปีนั้นผู้แข็งแกร่งหงส์ดำเลือดทมิฬที่เหยียบย่างบนอริยมรรคผู้นั้นก็มอดดับ ณ ที่แห่งนี้ เสี้ยววิญญาณของมันถูกผนึกอยู่บริเวณนี้”


เนตรดาราของลั่วเจียเจือแววหดหู่เสี้ยวหนึ่ง ในมือนาง ละอองแสงขมุกขมัวซ่านเซ็นออกมาจากขนปีกหงส์สีดำเข้มเหมือนไหม้เกรียมอันหนึ่ง กลิ่นอายของมันถึงกับสะท้อนรับกับแอ่งน้ำวนมหึมาที่อยู่ไกลออกไปนั้น


เห็นได้ชัดว่าลั่วเจียค้นพบที่แห่งนี้ผ่านขนปีกหงส์ดำแท้จริงขนนี้นั่นเอง หาไม่ในแม่น้ำพรมแดนที่ทั้งเวิ้งว้างและอันตรายแห่งนี้ หากคิดจะหาสถานที่นี้ให้พบก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร


“หืม? มีคนมาแล้ว!”


เวลานี้เอง นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง บนตัวแผ่ไอซวนหนีออกมาโดยพลัน ครอบคลุมยานสมบัติทั้งลำไว้ภายในนั้น ชั่วอึดใจพวกเขาก็ดูเหมือนหายไปกลางห้วงอากาศ


พร้อมกันนั้น พวกลั่วเจีย แม่นางเยวี่ยก็มองเห็นเช่นกันว่าอีกฟากของแอ่งน้ำวนขนาดยักษ์นั้น จู่ๆ ก็ปรากฏขบวนแปลกประหลาดขึ้น


นั่นคือภิกษุกลุ่มหนึ่ง มีราวๆ สิบกว่ารูป ท่าทางยังอ่อนเยาว์กันมาก แต่กลับสวมจีวรสีดำ บนลำคอแขวนลูกประคำสีดำ แต่ละคนต่างพนมมือประกบกัน สีหน้าแน่วนิ่งไม่ไหวติง แลดูเคร่งครัดขึงขัง แต่กลับมีกลิ่นอายเศร้าสร้อยชวนให้ผู้คนเงียบกริบ ว้าเหว่


พวกเขาโดยสารบนดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง บัวดอกนั้นแบ่งเป็นยี่สิบสี่กลีบ ลักษณะคล้ายยานสมบัติลำหนึ่ง พยับหมอกสีดำเวียนวน ลอยคว้างอยู่บนผิวน้ำขุ่นมัว เข้ามาถึงอย่างเชื่องช้า


บัวสีดำดั่งเรือ บรรทุกคณะภิกษุจีวรดำปรากฏขึ้นกลางแม่น้ำพรมแดนอย่างปุบปับ กระตุ้นความลึกลับและพิศวงแก่สายตาผู้คน


“นี่คือผู้สืบทอดของอารามกษิติครรภ์ ‘แดนไร้ชีวิต’ !”


แม่นางเยวี่ยหรี่ตาลง “หรือว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง ผู้บำเพ็ญธรรมบรรพกาลที่สังหารหงส์ดำเลือดทมิฬในตอนนั้น ก็เป็นภิกษุกษิติครรภ์รูปหนึ่งด้วย?”


นางดูคล้ายตกใจยิ่ง เสียอาการเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก


อารามกษิติครรภ์?


แดนไร้ชีวิต?


หลินสวินกับลั่วเจียต่างรู้สึกไม่คุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นแม่นางเยวี่ยเสียอาการเช่นนี้ พวกเขาก็ตระหนักได้อย่างว่องไวว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป!


หรือว่าภิกษุจีวรดำคณะนี้ก็มาเพราะวาสนาที่ซุกซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน



 

 

 


ตอนที่ 953 ผู้บำเพ็ญข้ามทุกข์

 

ดอกบัวสีดำโอบล้อมด้วยพยับหมอกที่เหมือนภาพฝันมายา ลอยล่องอยู่บนแม่น้ำพรมแดนอันเงียบสงบ ภิกษุจีวรดำทั้งคณะสีหน้าเคร่งขรึม หว่างคิ้วเจือความยะเยือกเย็นและราบเรียบอันเป็นเอกลักษณ์


ภาพนี้ประหลาดยิ่ง พาให้ในใจผู้คนขนลุกขนพองเมื่อได้พบเห็น


ยามที่มาถึงเบื้องหน้าวังน้ำวนขนาดใหญ่แห่งนั้น ภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งเดินออกมา ริมฝีปากร่ายเสียงธรรมคลุมเครือเสียงหนึ่ง


ตูม!


บาตรสีดำใบหนึ่งลอยแหวกอากาศ สาดส่องแสงรัศมีสีดำสนิทมหาศาล วิวัฒน์กลายเป็นเงามายาภิกษุสายแล้วสายเล่า นั่งเป็นกองกำลังหลักอยู่กลางเวิ้งอากาศทั่วสารทิศ


ในระยะไกลลิบยังแว่วเสียงสวดโบราณดังก้องเสียงแล้วเสียงเล่า


ทันใดนั้นกระแสน้ำวนที่แต่เดิมยังหมุนช้าๆ พลันหยุดกึก ไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น ประหนึ่งถูกกักขังก็ไม่ปาน


“‘อาลยบาตร’ ของอารามกษิติครรภ์! เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย…” แม่นางเยวี่ยอึ้งงัน บนดวงหน้านวลใสอึมครึมไม่แน่วนิ่ง สามารถจินตนาการได้ว่าสภาพอารมณ์ภายในใจนางต้องไม่สงบอย่างแน่นอน


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ภิกษุจีวรดำลึกลับคณะนั้นก็อันตรธานหายเข้าไปในกระแสน้ำวนแอ่งนั้น


“พวกเขาเป็นใครกัน” หลินสวินอดถามไม่ได้


เวลานี้เขาปลดไอซวนหนีเรียบร้อยแล้ว เงาร่างกลุ่มคนและยานสมบัติต่างปรากฏขึ้นมา


“พวกเขาไม่ใช่ธรรมดา ทุกครั้งที่ปรากฏตัวจะต้องมีการเข่นฆ่านองเลือดตามมาด้วย!”


แม่นางเยวี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยความลับที่ปกปิดโลกโลกีย์ออกมา


……


แดนไร้ชีวิต คือแดนพิสุทธิ์บำเพ็ญธรรมแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงสูงสุดในยุคบรรพกาล ในนั้นเป็นที่ตั้งของขุมอำนาจบำเพ็ญธรรมที่ไม่เหมือนใครในโลก มีนามว่าอารามกษิติครรภ์


อารามกษิติครรภ์แตกต่างจากขุมอำนาจบำเพ็ญธรรมในโลก เก่าแก่และลึกลับเป็นที่สุด


ภิกษุที่มาจากอารามกษิติครรภ์ต่างนุ่งห่มจีวรสีดำ นับลูกประคำสีดำ ถือตำราหยกสีดำ นั่งบนเบาะรองนั่งดอกบัวสีดำ หยั่งรู้วิถีแห่งกษิติครรภ์!


ในช่วงบรรพกาล ผู้มากความสามารถระดับโพธิสัตว์รูปหนึ่งแห่งอารามกษิติครรภ์เคยลั่นปณิธานสูงสุดว่า ‘อาตมาไม่ตกนรก ผู้ใดจักตกนรก’ สะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินในคราเดียว พาให้อริยะมากมายในใต้หล้าต่างสะท้านไหว


ในเวลานั้น ผู้บำเพ็ญธรรมที่มาจากอารามกษิติครรภ์มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ผู้บำเพ็ญข้ามทุกข์’


เพราะเมื่อใดก็ตามที่จะเกิดมหันตภัยหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นกลางฟ้าดิน เงาร่างของพวกเขาก็จะปรากฏสู่โลก!


และใต้หล้าต่างรู้กันโดยปริยายว่า เมื่อใดก็ตามที่พบเห็นผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมมีนัยว่ามหันตภัยและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะหอบม้วนโลก


เมื่อแม่นางเยวี่ยพูดถึงตรงนี้ก็อดถอนหายใจหนึ่งคราไม่ได้ “สรุปแล้ว อารามกษิติครรภ์แห่งนี้ลึกลับยิ่ง นับตั้งแต่ดินแดนรกร้างโบราณถูกทำลายแตกแยกกลายเป็นสี่แดนวิภูเป็นต้นมา ผู้สืบทอดที่นั่นก็ไม่เคยปรากฏตัวบนโลกอีกเลย ผู้คนมากมายต่างสงสัยว่าพวกเขามอดม้วยในธารแห่งกาลเวลาไปนานแล้ว”


“ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากเวลาล่วงเลยมานานแสนนาน ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์จะปรากฏตัวอีกครั้งในยามที่มหายุคใกล้มาเยือน…”


“นี่ไม่ใช่หมายความว่ามหายุคซึ่งไม่เคยมีมาก่อนที่กำลังจะมาเยือน จะมีภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนปรากฏขึ้นหรอกหรือ” ลั่วเจียกล่าวด้วยความตกอกตกใจ


“เป็นเช่นนั้นแหละ”


แม่นางเยวี่ยพยักหน้า เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้นางแปลกใจคือ ขุมอำนาจบำเพ็ญธรรมอันลึกลับอย่างอารามกษิติครรภ์ถึงกับยังมีตัวตนอยู่!


นี่เป็นถึงข่าวใหญ่อย่างหนึ่งเชียว หากถูกสำนักโบราณในปัจจุบันพวกนั้นรู้เข้าจะต้องนั่งไม่ติดเป็นแน่!


เหตุผลนั้นแสนง่าย ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ถือเอาการ ‘ข้ามทุกข์’ เป็นหน้าที่ของตน ไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นจอมมารนอกรีต ล้วนถูกพวกเขา ‘โปรดสัตว์’ ทิ้งทั้งสิ้น!


พวกเขาไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร และไม่สนว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจใด ขอเพียงถูกพวกเขาหมายหัว นั่นก็เท่ากับรอการ ‘โปรดสัตว์’ ได้เลย


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเบื้องลึกเบื้องหลังอารามกษิติครรภ์นั้นน่าหวาดกลัวสุดขั้ว ไม่หวาดเกรงขุมอำนาจใดในโลกสักนิด แม้ว่าจะตายในสนามรบ พวกเขาก็จะ ‘โปรดสัตว์’ บุคคลที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นพวก ‘นอกรีต’ ต่อไปไม่ขาดสาย


ในยุคบรรพกาล ไม่รู้ว่ามีศิษย์ของขุมกำลังใหญ่ถูกผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์หมายหัว โปรดสัตว์ ‘ทั้งเป็น’ ไปตั้งเท่าไร


ขนาดบุคคลน่าสะพรึงที่เหยียบย่างระดับอริยะบางส่วนก็ยังเคยถูกกษิติครรภ์โพธิสัตว์ผู้นั้นโปรดสัตว์ แค่คิดก็รู้ว่าขุมกำลังนี้วิปริตขนาดไหน


“ไร้ชีวิตไร้กลัวเกรง ไร้อัตตาไร้หวาดหวั่น กษิติครรภ์เคลื่อนไหว ถือข้ามทุกข์เป็นหน้าที่ ไม่ตกนรก ผู้ใดจะตกนรก” แม่นางเยวี่ยพึมพำ


ต่อให้หลินสวินความรู้สึกช้าเพียงใด ก็ยังสัมผัสได้ว่าแม่นางเยวี่ยคล้ายจะมีความกริ่งเกรงต่ออารามกษิติครรภ์แห่งนี้อย่างที่สุด


“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าอารามกษิติครรภ์แห่งนี้ชั่วร้ายยิ่ง หากเป็นตามที่เจ้าพูด ก็เห็นชัดๆ ว่าพวกเขาเป็นพวกดึงดันบ้าคลั่งที่ยกข้ออ้าง ‘ข้ามทุกข์’ บังหน้ามาข่มเหง” หลินสวินพูดติดตลก


“ท่านอย่าพูดเล่นเช่นนี้เด็ดขาดเชียว หากถูกพวกเขาหมายหัว เทพมารหลินอย่างท่านก็กลัวแต่จะถูกพวกเขาไล่โปรดสัตว์เท่านั้นแล้ว” แม่นางเยวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง


หลินสวินหัวเราะ “หากพวกเขาไม่มีเหตุผลเช่นนี้จริงๆ ข้าก็ชิงโปรดสัตว์พวกเขาไปลงนรกก่อนก็สิ้นเรื่อง”


แม่นางเยวี่ยอดยิ้มไม่ได้ นางนับถือความกล้าเช่นนี้ของหลินสวินทีเดียว


“กล่าวเช่นนี้ หงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นที่ถูกผนึกอยู่ที่นี่ ปีนั้นก็ถูกอริยะบำเพ็ญธรรมในอารามกษิติครรภ์สังหารด้วยหรือ” ลั่วเจียหัวใจรัดเกร็ง


“เป็นเช่นนั้นแน่”


แม่นางเยวี่ยพูดถึงตรงนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปน้อยๆ กล่าวว่า “พวกเราก็ต้องเคลื่อนไหวโดยเร็ว ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์เหล่านั้นจะต้องมีจุดประสงค์เดียวกับพวกเราแน่!”


วู้ม!


เพิ่งสิ้นเสียง ลั่วเจียที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที


นางเรียกกระบี่เล่มหนึ่งออกมา สว่างเจิดจ้าปลดปล่อยวงรัศมีดวงทิวา ระยิบระยับพร่าตา ตัวกระบี่ยาวสามฉื่อ แต่กลับพาให้ผู้คนรู้สึกถึงอานุภาพล้นหลาม เบื้องบนเทียมเก้าสวรรค์ เบื้องล่างจรดใต้พิภพ


กลิ่นอายอริยะสูงสุดที่ไม่อาจอธิบายสายหนึ่งแผ่กว้างออกมา พาให้ห้วงอากาศแถบนี้ต่างกรีดร้องโหยหวน เสมือนกำลังร้องสวามิภักดิ์


กระบี่ยอดนภาเบิกมาร!


กระบี่คู่กายหลิงเจวี๋ยคง อริยะกระบี่ปรกอุดมอาจารย์ของลั่วเจีย เป็นกระบี่อริยมรรคที่ทรงอานุภาพสั่นฟ้าคลอนดินเล่มหนึ่ง!


ฉัวะ!


กลิ่นอายอริยมรรคไร้รูปวูบหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากตัวกระบี่ พาให้กระแสน้ำวนขนาดยักษ์แอ่งนั้นถูกกักขังในชั่วพริบตา


“ไป!”


ลั่วเจียแล่นปราดเข้าไปก่อนใครเพื่อน


หลินสวิน แม่นางเยวี่ยและซุ่นไป๋เสวียนไม่พูดสักคำ รีบตามไปติดๆ


ส่วนพวกโค่วซิงต่างก็รั้งรอ ซ่อนตัวในความมืดรอคอยอยู่ที่นี่ เมื่อเทียบกันแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ค่อยน่าพิสมัย หากเข้าไปรังแต่จะมีอันตรายถึงชีวิต


……


ครืน!


เมื่อเข้าสู่กระแสน้ำวนก็ประหนึ่งดิ่งสู่หมอกเมฆ สี่ด้านเวิ้งว้างไม่ว่าอะไรล้วนพร่าเลือนไปหมด ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงสั่นสะเทือนดังครืนๆ ของห้วงอากาศ


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เบื้องหน้าหลินสวินปรากฏแสงสว่างวูบหนึ่ง พาให้ตระหนักได้ว่าจวนจะถึงซากสนามรบที่ผนึกเสี้ยววิญญาณหงส์ดำเลือดทมิฬนั่นแล้ว


เพียงแต่ขณะที่เขาเตรียมตัวเคลื่อนไหวนั้น พลันบังเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติขึ้น…


ขรรค์มารร่วงหล่นเล่มหนึ่งแหวกอากาศเข้ามาปะทะ สาดแสงทมิฬท่วมฟ้ายะเยือกเย็นและชวนสยองขวัญ อานุภาพหนักหน่วง ส่งเสียงหวีดหวิวบาดหูออกมา


นั่นคือภิกษุจีวรดำรูปหนึ่ง ใบหน้าแข็งกร้าวดุจเหล็กกล้าเจือแววเย็นเยียบอันเป็นเอกลักษณ์ ราวกับอรหันต์ไร้กลัวเกรงในตำนาน


“รนหาที่ตาย!”


เรื่องเหนือความคาดหมายอุบัติขึ้น ไม่ทันรอให้หลินสวินลงมือก็มีคนชิงก่อเรื่องเสียก่อน ควงทวนศึกสีทองอร่ามเล่มหนึ่งโหมสังหารโดยพลัน ดุเดือดกร้าวแกร่งเป็นที่สุด


เป็นซุ่นไป๋เสวียนนั่นเอง!


เสียงเคร้งกึกก้องดังขึ้นหนึ่งครา ภิกษุจีวรดำที่ซุ่มโจมตีรูปนั้นถึงกับถูกซัดถอยกรูดอย่างจัง ขรรค์มารร่วงหล่นในมือส่งเสียงหวืดหวือ เกือบกระเด็นหลุดจากมือ


ซุ่นไป๋เสวียนทรงพลังไม่ไว้หน้าใคร ทั่วร่างเปล่งประกายสีทอง รัศมีเทพน่าสะพรึงพลุ่งพล่าน ทวนศึกเล่มหนึ่งสาดประกาย ตั้งท่ากวาดล้างผลาญจักรวาล อานุภาพชวนสยองเป็นที่สุด


โครม!


ชั่วอึดใจ ภิกษุจีวรดำรูปนั้นก็กระอักเลือดส่งเสียงอึดอัดออกมา ร่างกระแทกลงบนพื้นอย่างจัง


และเวลานี้เอง ในที่สุดพวกหลินสวินก็มองชัดถนัดตา ส่วนลึกของกระแสน้ำวนแห่งนี้เป็นดินแดนผุพังที่ทรุดโทรมเคว้งคว้าง เหมือนดินแดนลึกลับที่ถูกทิ้งร้าง


ฟ้าดินที่นี่มืดอึมครึม กลางห้วงอากาศคละคลุ้งไอเข่นฆ่านองเลือดที่ไม่เคยสลายไปหลังจากผ่านกาลเวลานับพันหมื่นปี พาให้ผู้คนใจสะท้าน


“ลาหัวโล้นอย่างเจ้าไม่ใฝ่ดี กลับใฝ่จะซุ่มโจมตีผู้อื่น เหตุใดถึงหน้าไม่อายเพียงนี้!” กลางห้วงอากาศ ซุ่นไป๋เสวียนประหนึ่งเทพสงครามที่ทั่วร่างเอ่อล้นด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทอง


เขาในยามนี้ดุดันอย่างที่สุด ไม่เสียแรงที่เป็นอัจฉริยะที่ถูกมองว่าเป็นราชันมารจอมก่อกวน ควงทวนศึกทองคำเล่มหนึ่ง วิวัฒน์เป็นเงาทวนนับพันนับหมื่น พุ่งกระแทกจนภิกษุจีวรดำรูปนั้นโงหัวไม่ขึ้น ถูกซัดปลิวต่อเนื่อง กระอักเลือดไม่หยุด


พวกหลินสวินต่างมองจนอึ้งงันอยู่พักหนึ่ง สีหน้าดูแปลกพิกล


นับตั้งแต่ถูกเด็กสาวที่เป็นเหมือนเทพเซียนอย่างซย่าจื้อซัดกระแทกหมดท่าเป็นต้นมา ตลอดทางมานี้ซุ่นไป๋เสวียนเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่พูดจาสักคำ สภาพเหมือนคนขวัญเสีย


ใครเลยจะคิดว่าเขาในยามนี้กลับระเบิดขึ้นมา ราวกับว่ากำลังระบายอารมณ์ที่เก็บกดอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ความบึ้งตึง อัปยศ เคียดแค้นต่างก็ระบายใส่ตัวฝ่ายตรงข้ามทั้งสิ้น


“ตาย!”


ซุ่นไป๋เสวียนคำรามลั่น สภาพบ้าคลั่ง ทวนศึกสีทองตรงดิ่งเจาะทะลุหน้าอกของภิกษุจีวรดำรูปนั้น เงื้อร่างอีกฝ่ายลอยขึ้นกลางอากาศ ฝนเลือดไหลหลั่งลงมา


เลือดสาดกระเซ็น กลับไม่สามารถดับเพลิงโทสะที่ปะทุภายในใจซุ่นไป๋เสวียนได้ เขาเก็บกดมานานเกินไป จวนจะกลายเป็นแผลช้ำในอยู่แล้ว


เวลานี้เด็กสาวที่ทิ้งอาการบาดเจ็บสาหัสทางจิตใจให้เขาอย่างซย่าจื้อไม่ได้อยู่ด้วย พาให้เขากล้าระบายอารมณ์อย่างสามหาวไร้กลัวเกรงในที่สุด


อยู่ดีไม่ว่าดี ภิกษุจีวรดำอารามกษิติครรภ์รูปนี้ดันแจ้นมาอยู่ในมือเขา จุดจบย่อมเป็นโศกนาฏกรรม


แต่พวกหลินสวินไม่อาจโทษที่ซุ่นไป๋เสวียนสังหารโหด ภิกษุจีวรดำรูปนี้ซ่อนตัวในความมืดอยู่ก่อนแล้วพุ่งพรวดออกมาลอบโจมตีพวกเขากะทันหัน ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่พูดจาสักประโยค การตั้งตนเป็นศัตรูนี้ชัดเจนเกินไปแล้ว


สวบๆ!


เสียงทะลวงอากาศดังขึ้นอยู่ไกลๆ ภิกษุจีวรดำสองรูปพุ่งเข้ามาติดๆ


พวกเขาสีหน้าราบเรียบ ใบหน้าเย็นยะเยือก ราวกับไม่มีอารมณ์แปรปรวน แม้จะเห็นสหายถูกฆ่าก็ไม่เคยส่งผลให้พวกเขาบังเกิดอารมณ์ใดๆ สักเสี้ยว


ชิ้ง!


ตึง!


ทันทีที่ทั้งคู่ปรากฏต่าง คนหนึ่งเรียกไม้เท้าธรรมสีเลือด อีกคนเรียกตะบองธรรมสีดำออกมา ห้อตะบึงมาเยือนโดยไม่พูดไม่จา


พิฆาต


โหดหี้ยม


ไม่มีเยิ่นเย้อ!


จุดนี้ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญธรรมที่มีเมตตาจิตในโลกเหล่านั้นสักนิด เข่นฆ่าเฉียบขาด ลงมือกร้าวแกร่ง น่าสะพรึงเป็นที่สุด


ซุ่นไป๋เสวียนกำลังหงุดหงิดที่เพลิงโทสะนี้ยังไม่ได้ระบายออกมา เห็นเช่นนี้ก็คำรามลั่นว่าเข้ามาเลยหนึ่งครา แล้วกระชับทวนศึกพุ่งสังหารเข้าไป


ชั่วอึดใจฟ้าดินแถบนั้นสับสนอลหม่าน ห้วงอากาศหวีดระเบิด ไอต่อสู้พุ่งเสียดฟ้า


เพียงแต่ไม่นานนักการต่อสู้ครั้งนี้ก็ปิดฉากลง ซุ่นไปเสวียนสำแดงท่วงท่าไร้เทียมทานที่อยู่เหนือคนรุ่นเดียวกันออกมา เผด็จการผงาดกร้าวถึงที่สุด ใช้ทวนศึกทะลวงทำลายอวัยวะภายในภิกษุจีวรดำสองรูปจนแตกระเบิด ตายอนาถคาที่


ภาพนั้นนองเลือดถึงขีดสุด พาให้หลินสวินยังอดทอดถอนใจไม่ได้ ไม่เสียแรงที่ซุ่นไป๋เสวียนคนนี้เป็นพวกวิปริตไม่ด้อยกว่าอวี่หลิงคงแต่อย่างใด ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะซย่าจื้อลงมือ ต่อให้ตนอยากเอาชนะเขาก็ยังต้องเสียแรงไปอีกระยะหนึ่ง


“ถุย เจ้าพวกไร้ค่า! ไม่ได้เรื่องสักคน!” ซุ่นไป๋เสวียนคล้ายไม่พอใจยิ่ง ท่าทางเหมือนเพลิงโทสะยังไม่มอดดับ


“มีกำลังก็เก็บไว้ก่อน เดี๋ยวมีช่วงให้เจ้าต่อสู้แน่ ไปเร็ว” ลั่วเจียร้อนใจเล็กน้อย กังวลว่าเหล่าผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์พวกนั้นจะแย่งศุภโชคตัดหน้าไปเสียก่อน



 

 

 


ตอนที่ 954 ซากอารามเก่าแก่

 

ขณะที่พูด ลั่วเจียเรียกขนปีกแท้จริงของหงส์ดำเลือดทมิฬออกมาโบกเบาๆ กลางห้วงอากาศ


วู้ม!


กลางห้วงอากาศ เสียงธรรมคลุมเครือสะท้อนกลับ ดังลอยมาจากบริเวณไกลๆ พร้อมกันนั้นยังมีเสียงระฆังก้องกระหึ่มดังตามมาด้วยสายหนึ่ง แกร่งกร้าวกำทวน


ชั่วขณะนั้นทุกคนก็เห็นว่ามีเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำลุกโชนบนขอบฟ้าไกลๆ เวิ้งนภาล้วนแต้มด้วยสีดำมืดมนอนธการ ประหนึ่งมุมของราตรีนิรันดร์


หง่าง!


เสียงระฆังนั้นราวกับระฆังย่ำรุ่งกลองพลบค่ำ ซ้ำยังเหมือนเสียงเตือนโลก ชะล้างร่างกายและจิตใจมนุษย์ พาให้พวกหลินสวินล้วนรู้สึกสั่นสะเทือน กึกก้องสนั่นหวั่นไหวกระทั่งคนหูหนวกยังได้ยิน


“สุดยอด!” หลินสวินตกใจ


พวกเขาไม่ได้โอ้เอ้ มุ่งปราดไปยังที่ห่างไกล ไม่นานก็มองเห็นอารามเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่บนซากปรักหักพัง


อารามเก่าแก่ผนังกำแพงทรุดโทรม เผยให้เห็นซากสถานพังทลาย ทุกหย่อมหญ้าคละคลุ้งด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ปรากฏเปลวเพลิงสีดำที่เสมือนคุโชนอยู่


หง่าง!


เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ เสียงระฆังยิ่งก้องกังวานขึ้นประดุจทำนองสวดของภิกษุ พาให้พลังทั่วร่างของพวกหลินสวินไหวสะเทือน เลือดลมทั่วร่างร้องคำราม คล้ายกับใกล้ถูกชะล้างทำความสะอาด


ประตูใหญ่อารามเก่าแก่ปิดสนิท แต่กลับมีแสงธรรมปานเทพศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจาย พาให้ที่แห่งนี้ดูครัดเคร่งราวกับแดนพิสุทธิ์ก็ไม่ปาน


“ที่นี่ไม่ใช่จุดที่ตรึงผนึก เหตุใดถึงปรากฏอารามสมบัติเก่าแก่ขึ้นได้” ซุ่นไป๋เสวียนงงงัน


“ที่นี่น่าจะถูกสร้างขึ้นโดยอริยบุคคลบรรพกาลของอารามกษิติครรภ์ผู้นั้น หรือไม่เสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นก็น่าจะถูกผนึกไว้ในนั้น” แม่นางเยวี่ยเริ่มไม่แน่ใจบ้างแล้วเช่นกัน


ถึงแม้นางจะรู้เรื่องราวมากมาย แต่กลับไม่เคยประจักษ์ด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มาถึงซากสถานลึกลับแห่งนี้เช่นกัน


“ข้าสัมผัสได้แล้ว เสี้ยววิญญาณหงส์ดำเลือดทมิฬอยู่ในนั้น!” เวลานี้เห็นได้ชัดว่าลั่วเจียตื่นเต้นมาก เนตรดาราเอ่อล้นแววหลากสีสัน


“อารามเก่าแก่แห่งนี้ก็คือผนึก!” เกือบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินแผ่จิตรับรู้ออกไป ก็รับรู้ได้ถึงบริเวณที่ผิดปกติบางจุดเช่นเดียวกัน


อารามเก่าแก่เงียบสงัด ทรุดโทรม กระดำกระด่าง ดูเหมือนพร้อมจะพังครืนลงมาทุกเมื่อ แต่กลับมีพลังผนึกต้องห้ามไร้รูปครอบมันไว้ภายในนั้น


กลิ่นอายผนึกต้องห้ามนั้นน่าตกใจยิ่ง พาให้หลินสวินใจเต้นเนื้อกระตุก ตระหนักถึงอันตรายถึงขีดสุด


แม่นางเยวี่ยเรียกกระดิ่งสีม่วงของตนออกมา เขย่าเบาๆ คลื่นเสียงสีม่วงสายแล้วสายเล่าแผ่กว้าง ขณะที่สัมผัสกับบานประตูอารามนั้น แสงธรรมอันสว่างไสวระเบิดออกมาทันทีทันใด


แสงธรรมนั้นทั้งพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ไพศาลและไร้ขอบเขต แต่กลับปรากฏสีดำเข้มสนิท พาให้ผู้คนไม่รู้สึกว่าใจสงบ ตรงข้ามกลับสะท้านใจสุดจะเปรียบ


“นี่คือผนึกเทพฟ้าประทาน!”


หว่างคิ้วแม่นางเยวี่ยเปี่ยมด้วยความเคร่งขรึม “หมายจะเข้าสู่ประตูบานี้ จำเป็นต้องคลี่คลายปริศนาลับภายในนั้น หากใช้พลังฝืนเปิดกลับจะกระตุ้นให้มันก่อเคราะห์สังหารน่าหวาดกลัวออกมา ผลที่ตามมานั้นเหลือจะจินตนาการ”


เวลานี้สายตาทุกคู่ล้วนมองไปทางหลินสวิน เพราะต่างรู้ดีว่าเขาคือปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่เชี่ยวชาญศาสตร์การสลักวิญญาณเพียงคนเดียวในที่นี้


“ให้ข้าลองดู”


หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่ง ขับเคลื่อนอานุภาพวิญญาณแห่งพลังจิต เริ่มสอดส่องและสัมผัสอารามเก่าแก่หักพังอันลึกลับแห่งนี้


เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ค้นพบความแตกต่าง


ในความรู้สึกของเขา อารามแห่งนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แสงธรรมพร่างพรายกระจายตัวอยู่ทุกแห่งในอารามเก่าแก่นี้ กลิ่นอายดุจหุบเหวดั่งอเวจี ดูคล้ายพิสุทธิ์และไพศาล แต่กลับซ่อนเคราะห์สังหารที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบเอาไว้


ระลอกคลื่นผนึกต้องห้ามสายแล้วสายเล่าตัดสลับไปมา สำแดงเป็นแสงธรรมสีดำวงแล้ววงเล่า


สิ่งที่ทำให้หลินสวินตกใจคือ ในแสงธรรมแต่ละวงนั้นเสมือนมีเงามายาภิกษุนั่งขัดสมาธิอยู่รูปแล้วรูปเล่า บ้างก็แย้มยิ้มแจ่มใส บ้างก็หลุบตาลง บ้างก็สีหน้าเคร่งขรึม บ้างก็ถมึงทึง…


เพียงชั่ววูบเท่านั้น ในใจหลินสวินก็สั่นสะท้าน รับรู้ถึงกลิ่นอายสูงสุดที่บีบคั้นหาใดเปรียบ พาให้จิตวิญญาณของเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกแช่แข็ง


“สยบ!”


หลินสวินโคจรเคล็ดเวทบริกรรมโดยไม่รีรอ ลักษณ์สุริยันจันทราดาราสามประสานปรากฏ ถึงได้ขจัดแรงกดดันและความอึดอัดในจิตวิญญาณไปได้


เวลานี้ขณะที่เขาจะไปสัมผัสอีกครั้ง อารามแห่งนี้ก็ต่างออกไปอีกแล้ว บนรอยผนึกทุกแห่งต่างหลอมประทับรอยสลักวิญญาณสีดำแปลกประหลาดแน่นขนัด แออัดเบียดเสียด มากเสียยิ่งกว่ามาก ผนึกต้องห้ามลึกลับนี้สร้างขึ้นมาจากพวกมันนั่นเอง


เห็นได้ชัดว่าหากหมายจะเข้าสู่อารามเก่าแก่ จะต้องไขปริศนารอยสลักวิญญาณเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน!


“ขอทุกท่านช่วยข้าเฝ้าระวังด้วย”


หลินสวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครา ความน่าสะพรึงของผนึกต้องห้ามนี้คือสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน มันทั้งคลุมเครือและยากคลี่คลายสุดขั้ว ขณะที่หยั่งอนุมานนั้นไม่สามารถแบ่งสมาธิได้โดยเด็ดขาด


“วางใจ มีข้าอยู่ ผู้ใดก็ไม่สามารถรบกวนเจ้าแม้เพียงเศษเสี้ยว” เวลานี้ลั่วเจียเผยความแน่วแน่ยิ่ง นัยน์ตาใสกระจ่างดุจประจุอสนี ผุดความขึงขังที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้


นางต้องพึ่งหลินสวินจึงจะสามารถเข้าไปในนี้ได้ เพราะฉะนั้นย่อมไม่ยอมให้เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น


“เฮอะ!” ซุ่นไป๋เสวียนดูเหมือนจะไม่ชอบใจยิ่ง แค่นเสียงเย็นหนึ่งครา แต่เมื่อสบสายตาเย็นเยียบของลั่วเจียเข้า สุดท้ายเขาก็กล่าวถอนหายใจว่า “ได้ ข้าจะฝืนใจช่วยเฝ้าระวังให้เจ้าหมอนี่สักหน”


“ต้องระวังผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์พวกนั้นด้วย” แม่นางเยวี่ยเอ่ยเตือนหนึ่งครา “พวกเขาอาจเข้าไปในอารามแห่งนี้แล้ว แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกรูเข้าไปกันหมด”


“ข้าอยากให้พวกเขากระโจนออกมาจนจะทนไม่ไหวแล้ว!” ซุ่นไป๋เสวียนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ใจต่อสู้พลุ่งพล่าน เพลิงโทสะในใจเขายังไม่ได้ระบายออกมาอย่างหมดจด


ขณะที่กำลังพูดคุยกัน หลินสวินนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นเรียบร้อยแล้ว เริ่มตั้งสมาธิทำการอนุมาน


เกี่ยวกับรอยสลักวิญญาณสายนั้น เขาไม่รู้สึกแปลกหน้าเลยสักนิด เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องไปสลายผนึกต้องห้ามที่สันนิษฐานว่าอริยบุคคลทิ้งเอาไว้ ข้อนี้พาให้เขายิ่งรู้สึกกดดันเป็นเท่าตัว


เพียงแต่เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ในหัวเขาก็ไม่มีความคิดใดๆ จมภวังค์ไปกับระลอกคลื่นผนึกต้องห้ามที่ครอบคลุมอารามเก่าแก่โดยสิ้นเชิง


ผนึกต้องห้าม สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ อาจเป็นพลังที่ลึกลับและน่าสะพรึง ดึงดูดพลังแห่งฟ้าดิน แปรเป็นสิ่งอัศจรรย์ลึกลับยากหยั่งถึง


แต่ในสายตาปฐมาจารย์สลักวิญญาณอย่างหลินสวิน ผนึกต้องห้ามก็ไม่พ้นเป็นเพียงพลังค่ายกลที่สร้างขึ้นจากรอยสลักวิญญาณอย่างหนึ่งเท่านั้น


ยิ่งเป็นผนึกต้องห้ามที่ยากพิชิตชัย สำหรับปฐมาจารย์สลักวิญญาณก็ยิ่งเป็นโอกาสเรียนรู้ล้ำค่าที่หายากสุดจะเปรียบเปรยอย่างหนึ่ง


ขอเพียงทำลายลงได้ ก็เท่ากับการไขคำตอบอย่างหนึ่ง สามารถได้รับปริศนาและนัยเร้นลับที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น นำมาประยุกต์กับตนเอง ใช้สิ่งนี้ทำให้ระดับความเชี่ยวชาญด้านการสลักวิญญาณของตนพัฒนาขึ้น


……


เวลาผันผ่าน หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


ในกระบวนการนี้ หลินสวินนั่งหลังตรงบนพื้น สีหน้าสงบนิ่งไม่ไหวติง มีกลิ่นอายสุกสว่างเหนือโลกีย์ ไม่เคยมีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย


นั่งอยู่เบื้องหน้าอารามเก่าแก่แห่งนี้ราวกับพุทธรูปดินเผาองค์หนึ่ง


แม่นางเยวี่ยเล่นกระดิ่งสีม่วงในมือ ไม่มีความร้อนรนให้เห็นสักเสี้ยว เห็นได้ชัดว่าสงบสำรวมยิ่ง


สายตาลั่วเจียกลับเย็นเยียบ เฝ้าระวังและตื่นตัวตลอดเวลา


ฟ้าดินแถบนี้มืดมน อารามเก่าแก่สภาพผุพัง ดูเหมือนเงียบสงบและปลอดภัยยิ่ง แต่กลับพาให้ผู้คนรู้สึกถึงบรรยากาศอันตรายบีบเค้นที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง


ซุ่นไป๋เสวียนกลับเริ่มร้อนใจบ้างแล้ว เขาตั้งตาคอยผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์พวกนั้นกระโจนออกมาตลอดเวลา แต่รอจนป่านนี้แล้วกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ สักนิด ข้อนี้พาให้เขากระวนกระวายยิ่ง


“เจ้าพวกลาหัวโล้นนี่ไม่ได้มีฉายาว่าผู้บำเพ็ญข้ามทุกข์หรอกหรือ เหตุใดถึงไม่ยอมมาโปรดสัตว์ข้าอีก” ซุ่นไป๋เสวียนไม่พอใจอย่างยิ่ง


“คุณชายซุ่น ประโยคนี้จะพูดพล่อยๆ ไม่ได้ เบื้องลึกเบื้องหลังอารามกษิติครรภ์ลึกล้ำยากหยั่งถึง หากถูกพวกเขามองเป็นพวกนอกรีต เกรงว่าท่านคงต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ถูกโปรดสัตว์ไปชั่วชีวิตแน่” แม่นางเยวี่ยเอ่ยเตือน


“เฮอะ ข้าไม่ใช่พวกหัวหดเสียหน่อย สงครามแห่งมหายุคใกล้มาเยือน ช่างหัวอารามกษิติครรภ์หรือสุคติครรภ์อะไรนั่นสิ หากกล้าขวางทางข้า แค่ล้างบางให้หมดก็สิ้นเรื่อง”


ซุ่นไป๋เสวียนทำหน้าดูถูกหยิ่งลำพอง เขาหาได้คุยโว แต่เพราะนิสัยเร่าร้อนจึงพูดมาจากใจจริงๆ


แม่นางเยวี่ยโจมตีอีกฝ่าย ก็ไม่รู้ว่ามีเจตนาหรือไม่ “เช่นนั้นข้าถามท่านหน่อยว่า ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้อยากยืมสมบัติของหลินสวินมาเล่นสักหน่อยหรือ เหตุใดจู่ๆ ยามนี้ถึงได้เปลี่ยนใจเสียแล้ว”


ดังคาด ซุ่นไป๋เสวียนคล้ายถูกจี้ใจดำ สีหน้าที่แต่เดิมหยิ่งลำพองทระนงพลันแข็งทื่อทันควัน มุมปากกระตุกน้อยๆ จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าไม่ต้องเซ้าซี้ เรื่องที่ข้าเคยบอกไว้ยังไม่เคยเปลี่ยนใจ เพียงแต่เวลานี้ยังไม่เหมาะก็เท่านั้น”


“หึๆ” แม่นางเยวี่ยหัวเราะอย่างมีเลศนัย


“เจ้าหัวเราะอะไร ตลกขนาดนี้เชียวหรือ” ซุ่นไป๋เสวียนขนชันทันใด รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนี้ของแม่นางเยวี่ยน่ารังเกียจเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่ากำลังเย้ยหยันเขาอยู่


“ที่ข้าหัวเราะ ก็ไม่ใช่เพราะถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งซัดน่วมมาแล้วหรือ เหตุใดถึงไม่กล้าเผชิญหน้า หรือว่าท่านกลัวจริงๆ เสียแล้ว” แม่นางเยวี่ยกล่าวอย่างสบายๆ


“เจ้า…” สีหน้าซุ่นไป๋เสวียนแปรเปลี่ยนไปสุดขีด โกรธจนควันออกเจ็ดทวาร


และเวลานี้เอง เสียงสื่อจิตของแม่นางเยวี่ยก็ดังขึ้นในโสตประสาทเขา ‘รีบเตรียมตัวให้พร้อม ศัตรูกำลังมา!’


เกือบจะในเวลาเดียวกัน ซุ่นไป๋เสวียนก็รู้สึกว่าพื้นดินที่เท้าตนระเบิดแตก ลำแสงเย็นเยียบปรากฏขึ้น พุ่งออกมาราวกับสายรุ้งวิเศษ


“ตาย!” ซุ่นไป๋เสวียนไม่ตระหนกกลับดีใจ ขณะที่ถอยหลบนั้นก็เสียบจ้วงทวนศึกสีทองในมือลงไปเต็มเหนี่ยว


เสียงกระแทกดังบาดหู แสงเย็นเยียบสายนั้นถูกทวนศึกซัดกระจุย


ตู้ม!


ทวนศึกเสียบกลางพื้น แหวกออกเป็นรอยแยกที่ลึกจนไม่อาจหยั่งรู้ พื้นดินแถวนั้นแตกระแหงเป็นรอยสายแล้วสายเล่า ดินโคลนพลิกตลบ


เสียงฟึ่บหนึ่งดังขึ้น เงาร่างสีดำสายหนึ่งปราดออกมา แต่ไม่ได้พุ่งไปทางซุ่นไปเสวียน กลับโฉบไปทางหลินสวินที่อยู่ใกล้ๆ


ภิกษุจีวรดำรูปนี้เคลื่อนไหวดั่งสายฟ้า ฉับไวดุจสายลม มือกระชับพลั่วจันทร์เสี้ยวสีดำเล่มหนึ่ง ว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ


แต่ยังมีคนที่เร็วกว่าเขา!


“เฉือน!” ทันทีที่ลั่วเจียซึ่งออมแรงรอคอยเริ่มลงมือ ก็ใช้กระบี่ยอดนภาเบิกมารออกมา คมกระบี่เรืองรองที่ครอบฟ้าคลุมดินเฉือนลงมา คละคลุ้งด้วยอานุภาพอริยะที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม


ฟุ่บ!


ภิกษุจีวรดำรูปนั้นไม่ทันหลบเลี่ยงก็ถูกปราณกระบี่ไพศาลปิดคลุม ทั้งตัวคนและแม้แต่พลั่วจันทร์เสี้ยวในมือก็ถูกปราณกระบี่ดับทำลายในบัดดล!


ดูเหมือนการระเหยผ่านอากาศไม่มีผิด


ความเผด็จการของสมบัติอริยมรรคอย่างกระบี่ยอดนภาเบิกมารได้สำแดงเดช ณ บัดนี้!


สวบๆ!


แต่ขณะเดียวกันนั้นก็มีเงาสีดำมากมายพุ่งออกมาจากใต้ดินในตำแหน่งต่างกัน บ้างก็มุ่งเข้าหาแม่นางเยวี่ย บ้างก็พุ่งไปทางหลินสวิน


ถูกลั่วเจียชิงตัดหน้าฆ่าศัตรู พาให้ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เวลานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะคว้าโอกาสเช่นนี้ไว้ได้ มีหรือจะประมาท


“สยบ!”


ในเสียงคำรามลั่น เหนือกระหม่อมของซุ่นไป๋เสวียนปรากฏกระถางมังกรขดขึ้น ส่องสะท้อนอานุภาพศักดิ์สิทธิ์สูงเสียดฟ้า มีแสนยานุภาพสยบห้วงอากาศ กำราบปฐพี พาให้ฟ้าดินแถบนี้ล้วนสั่นสะเทือน


ตู้ม!


กระถางใบนี้เปล่งแสง ส่งเสียงกัมปนาท แว่วเสียงถกมหามรรคดังขึ้น ทั่วกระถางสี่ด้านสาดแสงมรรคหนาทึบนับไม่ถ้วนกำราบลงมา


กระถางเทพมังกรขด!


สมบัติอริยะของบรรพบุรุษตระกูลซุ่น!


ชั่วขณะนี้อานุภาพของซุ่นไป๋เสวียนประดุจเทพ ราวกับกำลังจับกระถางสยบนิรันดร์กาล!


พรูดๆๆ!


เงาร่างหลายสายนั้นต่างไม่ทันตั้งตัว ร่างก็เป็นรูพรุนไปทุกส่วน จากนั้นระเบิดออกมาอย่างดุเดือด ฝนเลือดแตกฉานซ่านเซ็นทั่วฟ้าดินดั่งน้ำตก



 

 

 


ตอนที่ 955 สิบแปดสาวกแห่งกษิติครรภ์

 

“พวกหนูที่เอาแต่มุดหัวมุดหางก็ทำได้แค่นี้แหละ!”


กลางห้วงอากาศ ซุ่นไป๋เสวียนกระปรี้กระเปร่าแหงนหน้าระเบิดหัวเราะ คิดเองว่าตนในยามนี้จึงจะเป็นผู้ที่สะดุดตาที่สุด


นับจากพ่ายแพ้ให้กับซย่าจื้อ เขาก็เอาแต่อดกลั้น คิดว่านี่คือความอัปยศครั้งใหญ่ พาให้เขาโงหัวไม่ขึ้นจนป่านนี้


เขาอดทนมาแสนนาน ไม่อาจยอมให้ผู้อื่นเด่นกว่าอีกต่อไป หมายจะใช้โอกาสครั้งนี้ล้างอาย สร้างความสง่างามไร้เทียมทานของตนให้ปรากฏอีกครั้ง!


เพื่อทำให้แม่นางเยวี่ยที่ถากถางตนเบิกตาโตมองค้าง เขาซุ่นไป๋เสวียนใช่ว่าใครจะหัวเราะเยาะและสบประมาทได้ส่งเดช!


ชายหนุ่มหลงผิดอะไร ไปตายกันให้หมดซะเถอะ!


“หนวกหู!”


“หุบปาก!”


เพียงแต่ลั่วเจียกับแม่นางเยวี่ยต่างไม่ไว้หน้า พากันส่งเสียงผรุสวาท “หากรบกวนหลินสวินเข้า เจ้านั่นแหละที่เป็นตัวการร้าย!”


เสียงหัวเราะของซุ่นไป๋เสวียนชะงักกึก เนื่องจากหยุดลงกะทันหัน ลมหายใจเฮือกหนึ่งสำลักในลำคอเกือบขาดอากาศหมดสติไป ร่างกวัดแกว่งกลางอากาศแทบจะร่วงจ้ำเบ้า


น่าโมโหเกินไปแล้ว!


นี่คือท่าทีอะไรกัน


สีหน้าซุ่นไป๋เสวียนมืดมนไม่นิ่ง จวนจะคลั่งแล้วจริงๆ รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกเยียบย่ำโดยสิ้นเชิง เคืองขุ่นถึงขีดสุด


“คุณชายซุ่น ข้าต้องกล่าวขอโทษต่อท่าน” แม่นางเยวี่ยเอ่ย


ซุ่นไป๋เสวียนอึ้งงัน สีหน้าคลายลงไม่น้อย หญิงสาวนางนี้ไม่เลวทีเดียว รู้จักเป็นฝ่ายรับผิดก่อน พอจะแล้วกันไปได้


“เมื่อครู่เหตุที่ยั่วโมโหท่าน ก็เพราะอยากอาศัยโอกาสนี้ล่อบรรดาผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ที่ซ่อนตัวในความมืดออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเราทำสำเร็จแล้ว” แม่นางเยวี่ยกล่าวยิ้มๆ


“เจ้า…” ซุ่นไป๋เสวียนใจสะท้านเต็มแรงอีกครั้ง กล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “เมื่อครู่เจ้าใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อหรือ!”


“ข้าเห็นคุณชายอยากฆ่าศัตรูจนทนไม่ไหว ดังนั้นจึงใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ หรือว่ายามนี้คุณชายรู้สึกไม่เบิกบานใจหรือ” แม่นางเยวี่ยถาม


ซุ่นไป่เสวียนโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา แม้แต่ฆ่าศัตรูก็ยังถูกคนวางแผนไว้ให้ดิบดี พับผ่านี่มันเห็นตนเป็นหอกทวนชัดๆ!


เสียแรงที่ตนยังคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ล้างอาย ที่ไหนได้กลับเป็นแผนการทั้งสิ้น!


เป็นครั้งแรกที่ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกว่าการเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนหนนี้ถือว่าซวยหนักแปดชั่วโคตร แรกเริ่มก็ถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งซัดน่วมหนึ่งยก จากนั้นก็ยังถูกแม่นางเยวี่ยคนนี้วางอุบายเหมือนคนโง่… เหตุใดยามนี้ผู้หญิงพวกนี้ถึงได้น่ารังเกียจยิ่งนัก!


เวลานี้หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิบนพื้นเรื่อยมาพลันหยัดตัวลุกขึ้น นัยน์ตาสีดำกระจ่างชัด พลุ่งพล่านด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงสายแล้วสายเล่า


“ได้แล้วหรือ” ลั่วเจียถาม


“บอกได้แค่ว่าเข้าไปได้แล้ว”


หลินสวินมองบานประตูอารามเก่าแก่ที่ปิดสนิทบานนั้น กล่าวเสียงขรึมว่า “ผนึกต้องห้ามนี้เร้นลับและไม่ธรรมดาถึงที่สุด อนุมานได้จากภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถสอดส่องปริศนาทั้งหมดในนั้นได้”


“กล่าวเช่นนี้หมายความว่า ทำได้เพียงเข้าไปพลางคลี่คลายไปด้วยอย่างนั้นหรือ” แม่นางเยวี่ยคล้ายขบคิด


“ถูกต้อง” หลินสวินพยักหน้า


“เสียเวลาไปตั้งนานขนาดนี้ เจ้าไขได้แต่เรื่องกิ๊กก๊อกแค่นี้หรือ”


ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกไม่พอใจทันใด ครหาหลินสวิน “ข้าดูแล้วฐานะปฐมาจารย์สลักวิญญาณของเจ้าคงไม่สมคำร่ำลือเสียแล้ว”


“เจ้าทำได้ไหมเล่า” หลินสวินกล่าวยิ้มๆ


“ข้า…” ซุ่นไป๋เสวียนเพิ่งปริปากก็ถูกสายตาร้ายกาจของลั่วเจียจับจ้องถมึงทึง พาให้สีหน้าเขาแข็งค้าง แค่นเสียงดังเฮอะอย่างฉุนเฉียว ไม่พูดมากความอีก


“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ พวกเราสังหารผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ไปเจ็ดคน แต่คนพวกนี้ล้วนเป็นตัวเล็กๆ ยังมีคนเก่งกาจส่วนหนึ่งอีก เกรงว่าคงเข้าไปข้างในนั้นแล้ว” แม่นางเยวี่ยกล่าว


จากนั้นหลินสวินก็นำทางอยู่หน้าสุด โบกชายเสื้อหนึ่งครา รัศมีศักดิ์สิทธิ์สายแล้วสายเล่ากลายเป็นสัญลักษณ์รอยสลักวิญญาณพุ่งเข้าสู่ห้วงอากาศ


ก็เห็นทางข้างหน้าปรากฏระลอกคลื่นผนึกต้องห้ามคลุมเครือขึ้นมากะทันหัน แสงธรรมสว่างไสว นั่นคือแสงธรรมสีดำที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์ แผ่บรรยากาศน่าหวาดกลัวซึ่งพาให้ผู้คนใจสะท้านออกมา


คาดการณ์ได้ว่า เมื่อครู่หากพวกเขาเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ จะต้องพบกับกระบวนพิฆาตของผนึกต้องห้ามนี้เป็นแน่แท้!


ซุ่นไป๋เสวียนอึ้งงัน เงียบขรึมอย่างหาพบได้ยาก เพราะเขาเองก็มองออกว่าผนึกต้องห้ามนี้น่าสะพรึงสุดขั้นจริงๆ พาให้เขายังรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ


“ไป!”


หลินสวินเรียกดาบหักออกมาวนล้อมอยู่รอบตัว หว่างคิ้วเจือแววเคร่งขรึม


คนอื่นรีบตามหลังมาติดๆ


ครืนๆ!


ที่น่าทึ่งคือเมื่อหลินสวินก้าวไปข้างหน้า ผนึกต้องห้ามเหล่านั้นจางหายไปสองฝากฝั่งราวกับคลื่นน้ำก็มิปาน เห็นได้ชัดว่าปริศนาและไอสังหารภายในนั้นได้ถูกหลินสวินล้วงลับคลี่คลายได้แล้ว


ประตูใหญ่ของอารามเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง ด้านในสว่างจ้าทั้งแถบราวกับแสงธรรมส่องทาง ศักดิ์สิทธิ์สุดจะเปรียบเปรย


ขณะที่พวกหลินสวินก้าวขึ้นบันไดเข้าสู่บานประตูอารามเก่าแก่นั้น ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนแปลงไป ราวกับเข้าสู่โลกลึกลับใบหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น


ที่แห่งนี้เวิ้งนภาดั่งสีหมึก ราวกับปกคลุมด้วยม่านราตรีนิรันดร์


แสงธรรมสายแล้วสายเล่าสาดส่องกลางอากาศ ให้บรรยากาศมนต์ขลังที่หลุดพ้นและสงบสันติแก่ผู้คนอยู่รำไร


ทอดตาแลไกลออกไป ที่แห่งนี้ก็ทรุดโทรมมากเช่นกัน เศษอิฐแตกผนังกร่อน ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยว เงียบสงัดและวังเวง ราวกับลานธรรมสำนักพุทธที่ถูกทิ้งร้างมานานไม่รู้เท่าไร


“เจ้าลาหัวโล้นพวกนั้น!”


ซุ่นไป๋เสวียนร้องลั่น บริเวณส่วนลึกของอารามมีซุ้มพระสีดำเก่าแก่หลังหนึ่ง


เวลานี้มีภิกษุจีวรดำห้ารูปนั่งขัดสมาธิ มือจับลูกประคำสีดำ กำลังท่องบทสวดอะไรสักอย่างเสียงเบา


พวกหลินสวินต่างก็หนาวเยือกในใจ


ซุ้มพระสีดำคร่ำครึยิ่ง มองไม่เห็นความพิเศษอะไร แต่สิ่งที่ตั้งอยู่ในนั้นกลับไม่ใช่พระพุทธรูป แต่เป็นหงส์ทมิฬตัวหนึ่ง!


ปีกหงส์ทมิฬตัวนั้นหุบลู่ลง ลำตัวขดเป็นก้อน ดวงตาปิดสนิทราวกับครรภ์เทพไม่มีผิด


รอบตัวมันลุกโชนด้วยแสงเทพสีดำ ลายมรรคที่บิดเบี้ยวผิดแปลกสายแล้วสายเล่าไหลเวียนพริบไหวในแสงเทพสีดำ เร้นลับถึงขีดสุด


“ข้าสัมผัสได้แล้ว เสี้ยววิญญาณสายนั้นหลับใหลอยู่ในนั้น!” ลั่วเจียตื่นเต้นขึ้นมา อยากพุ่งตรงเข้าไปจนแทบทนไม่ไหว


“ระวัง!” หลินสวินรีบร้องเตือน ที่แห่งนี้ปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามแน่นขนัด ครั้นก้าวพลาดเพียงนิดก็อาจต้องพบกับเคราะห์สังหารที่เหลือจะคาดเดา


“นับแต่โบราณมา หงส์ครองอมตะ นิพพานแล้วเกิดใหม่ หากคาดการณ์เช่นนี้ หงส์ดำเลือดทมิฬที่ถูกฆ่าตายในปีนั้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจบรรลุนิพพานในช่วงที่ละสังขาร…” นัยน์ตาของแม่นางมีแสงแห่งปัญญาไหลวน ใคร่ครวญขบคิด


“จนป่านนี้แล้วยังพูดพล่ามอะไรอีก ตรงเข้าไปฆ่ากันเลย!” ไอสังหารของซุ่นไป๋เสวียนพวยพุ่ง เริ่มทนรอไม่ไหวแล้ว


และเวลานี้เอง ภิกษุจีวรดำห้ารูปที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นคล้ายจะตื่นขึ้น ทยอยหยัดตัวลุกยืน ทอดสายตามองเข้ามาทางนี้


บรรยากาศตึงเครียดในชั่วพริบตา!


“สหายยุทธ์ทั้งหลาย นี่คือสถานที่ต้องห้ามอริยะดับขันธ์ของอารามกษิติครรภ์ของพวกเรา โปรดออกไปโดยเร็ว หาไม่หายนะครั้งใหญ่จะมาเยือนเป็นแน่” ภิกษุจีวรดำที่อยู่หน้าสุดเอ่ยปาก


เขามีผิวพรรณขาวกระจ่าง คิ้วตาผ่องใส หน้าผากเกลี้ยงเกลา รูปร่างสูงโปร่งดุจต้นสน เพียงแต่สีหน้ากลับราบเรียบและเฉยเมยพาให้ผู้คนพรั่นใจ


เขายืนอยู่ตรงนั้นตามสบาย แต่กลับให้ความรู้สึกดั่งห้วงสมุทรแก่ผู้คน ราวกับอรหันต์รูปหนึ่งที่ยืนตระหง่านเหนือภูเขาศพทะเลเลือด กำลังข้ามกิเลสเภทภัยสรรพสัตว์


มองเพียงปราดเดียวก็พาให้พวกหลินสวินเสียววูบในใจ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของภิกษุหนุ่มรูปนี้ เป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งชัดๆ!


จู่ๆ แม่นางเยวี่ยก็พูดว่า “ถือลูกประคำสิบแปดเม็ด ดูท่าสหายยุทธ์ท่านนี้คงเป็นหนึ่งในสิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์รุ่นนี้กระมัง”


ขณะที่เอ่ยวาจา นางสื่อจิตไปทางพวกหลินสวิน กล่าวอธิบายให้ฟัง


นับแต่โบราณสืบมา สิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์ เป็นตัวแทนของบุคคลแนวหน้าสิบแปดคนที่หลอมร่างทองอรหันต์สำเร็จ แต่ละคนต่างสันทัดมรดกวิชาสยบโลกกันทั้งสิ้น


สิบแปดสาวกถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ได้แก่ หกรับรู้ หกราก หกธุลี


แต่ละฝ่ายมีหกอรหันต์ผู้แข็งแกร่งดูแลควบคุม รวมกันเป็นพลังมรดก ‘สิบแปดสาวก’ แห่งอารามกษิติครรภ์ขึ้นมา!


‘กล่าวโดยสรุป นี่ก็คือผู้กล้าแห่งยุคในหมู่ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ ศักยภาพกร้าวแกร่งหาใดเปรียบ’


หลังจากคำอธิบายนี้ พวกหลินสวินจึงเพิ่งกระจ่างแจ้ง สายตาที่มองไปทางภิกษุหนุ่มรูปนั้นก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)