Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 942-949

ตอนที่ 942 ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน

 

แม่นางเยวี่ยเจอสายตาของหลินสวินก็พยักหน้าพูดนิ่งๆ “ไม่ผิด”


“เพราะเหตุใด” หลินสวินไม่เข้าใจ


แม่นางเยวี่ยยิ้มน้อยๆ ฟันขาวเป็นประกาย ริมฝีปากดั่งดอกท้อโค้งองศาลุ่มลึก “หากข้าเดาไม่ผิด คุณชายก็คงเหมือนข้า จำต้องเลือกข้ามแม่น้ำพรมแดนเพราะปัญหารบกวนบางประการ”


หลินสวินหรี่ดวงตาดำขลับลงเล็กน้อย พลันยิ้มพูด “ไม่ผิด”


พูดถึงตรงนี้แม่นางเยวี่ยยกจอกเหล้าขึ้นชนกับหลินสวินอีกครั้ง แล้วดื่มหมดในคราเดียว ใบหน้างามที่เดิมซีดเซียวเผยสีแดงระเรื่อ เพิ่มสีสันงดงาม


นัยน์ตากระจ่างของนางหมุนวน พูดขึ้นว่า “ล้วนเป็นผู้ประสบเคราะห์ไม่ต่างกัน ข้าย่อมไม่อยากเกิดความเข้าใจผิดกับคุณชายโดยใช่เหตุ”


หลินสวินกล่าวเสียงถอดถอนใจ “แม่นางช่างมีจิตใจงดงาม ละเอียดรอบคอบ ทำให้ข้าไม่ชื่นชมไม่ได้จริงๆ”


ในใจเขาสงสัยรางๆ ว่าอีกฝ่ายคงเดาฐานะของตนออกแล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดโปง เขาก็ยินดีที่จะเป็นเช่นนี้


แม่นางเยวี่ยนั่งตัวตรง แฝงบุคลิกสง่าโดดเด่นทั้งร่าง “พูดตามตรงอย่างไม่ปิดบัง การสนทนากับคุณชายในครั้งนี้ข้าเองก็มีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง หวังว่าจะได้ร่วมมือกับคุณชายสักครั้ง”


“ร่วมมือหรือ”


“ใช่ คุณชายก็รู้แล้วว่าข้ากำลังถูกคนตามฆ่า ด้วยพลังของพวกโค่วซิง ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศัตรูแน่”


“เพราะฉะนั้นข้าอยากให้คุณชายช่วย” แม่นางเยวี่ยเอ่ย


หลินสวินบื้อใบ้ไป “แม่นางให้เกียรติข้าเกินไปหรือเปล่า”


ดวงตาคู่ใสของแม่นางเยวี่ยส่องประกาย จ้องมองหลินสวิน “คุณชายไม่ต้องถ่อมตัว บนโลกนี้อาจจะมีคนมากมายดูถูกท่าน แต่ไม่รวมข้าแน่ ตรงกันข้าม สำหรับข้าแล้วด้วยความสามารถของคุณชาย แม้อยู่ในแดนชัยบูรพาก็เพียงพอที่จะสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น”


หลินสวินตะลึง แอบคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้คงดูฐานะของตนออกตั้งนานแล้ว มิฉะนั้นจะพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร


“แน่นอน เราพบกันโดยบังเอิญ ทั้งยังเป็นการร่วมมือกันครั้งแรก เพื่อแสดงความจริงใจข้าจะมอบสิ่งนี้ให้กับท่าน เชื่อว่าคุณชายจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน”


ตอนที่แม่นางเยวี่ยพูด ในฝ่ามือขวาเรียวยาวขาวผ่องก็ปรากฏของสิ่งหนึ่ง


นี่คือป้ายคำสั่งที่รูปร่างคล้ายกระบี่บิน รูปแบบเรียบง่าย บนนั้นสลักลายมรรคแน่นขนัด มีกลิ่นอายการตกตะกอนของกาลเวลาแผ่กระจายออกมา


“นี่คือ?”


หลินสวินเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา เก่าแก่อย่างมาก คงผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานมากแล้ว อีกทั้งบนนั้นสลักรอยสลักมหามรรคที่แท้จริง นี่หายากและล้ำค่าอย่างยิ่ง


“หรือคุณชายไม่เคยได้ยินชื่อ ‘ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน’” แม่นางเยวี่ยแปลกใจไม่น้อย


หลินสวินส่ายหน้า เขาไม่รู้จักสิ่งนี้จริงๆ


แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญอยู่ครู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นราวกับปล่อยวาง “สมัยบรรพกาลเคยมีช่วงที่รุ่งโรจน์อย่างมาก ตอนนั้นโลกสันติสุข วิชามรรคเฟื่องฟู หมื่นเผ่าตั้งตระหง่าน ร้อยสำนักประชันภูมิ…”


“ช่วงเวลานั้น สามารถเรียกได้ว่าเป็นมหายุคเช่นกัน อัจฉริยะและผู้มีพรสวรรค์จากทั่วทุกสารทิศปรากฏตัวมากมายมหาศาล แข่งกันเบ่งบาน”


“และ ‘กระดานทองคำผู้กล้า’ ที่ชักนำให้ผู้คนทั่วหล้าแก่งแย่งแข่งขันไต่อันดับ ก็มาเยือนโลกในตอนนั้น”


“เป็นที่รู้กันว่า มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อบนกระดานทองคำผู้กล้าเท่านั้น จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง สำหรับผู้กล้าคนอื่นๆ ก็จะถูกคัดออกในที่สุด”


หลินสวินตั้งใจฟัง


เขารู้ว่าในเมื่อแม่นางเยวี่ยพูดเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่า ‘ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน’ ที่นางพูดถึง คงจะมีความเชื่อมโยงอย่างใดอย่างหนึ่งกับมหาสงครามและกระดานทองคำผู้กล้า


ตามคาด จากนั้นแม่นางเยวี่ยพูดต่อว่า “ตอนนั้นอิทธิพลของกระดานทองคำผู้กล้ามีมากเกินไป ถึงขั้นสามารถส่งผลกระทบต่ออนาคตและรูปแบบของคนรุ่นเยาว์ทั้งหมด แม้แต่สำนักในแดนเร้นอริยะก็นั่งไม่ติด”


“หลังจากนั้นก็มีป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันถือกำเนิดขึ้น” หลินสวินอึ้งไป จุดเปลี่ยนนี้เร็วเกินไป ทำให้เขาตอบสนองไม่ทันในชั่วขณะ


กลับเห็นแม่นางเยวี่ยอธิบายว่า “ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันนี้ ก็คือวิธีการที่ทำให้ผู้กล้าเข้าไปในสำนักโบราณได้แบบหนึ่ง ผู้ที่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในกระดานทองคำผู้กล้าได้ เพียงแค่ใช้ป้ายคำสั่งนี้ ก็จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะ”


หลินสวินเข้าใจทันที ในใจอดตะลึงไม่ได้


แดนเร้นอริยะเป็นถึงสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในปัจจุบัน ไม่ได้หมายความถึงสถานที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น แต่เป็นชื่อเรียกโดยรวมของสำนักที่ปลีกวิเวกอยู่ภายนอก


แดนเร้นอริยะคืออะไร


ก็คือสถานที่แห่งโลกภายนอกที่มีอริยะซ่อนตัวอยู่!


อิทธิพลเช่นนี้ ลึกลับและโดดเด่นยิ่งกว่าสำนักโบราณที่รู้จักกันในโลก รากฐานก็น่ากลัวอย่างที่สุด แต่ละสำนักล้วนอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล!


อย่างมหาวิหารธรรมที่เรียกกันว่าอนุสุขาวดี ก็เป็นแดนพิสุทธ์ผู้บำเพ็ญธรรมโบราณที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่งในแดนเร้นอริยะ


สำนักระดับนี้ อย่าว่าแต่สามัญชนคนทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกปราณหากไม่มีคนส่งตัวและแนะนำ ก็แทบไม่สามารถเห็นได้ ราวกับสำนักเซียนที่ตระหง่านอยู่บนชั้นฟ้า โดดเด่นเหนือโลกี ลึกลับอย่างหาที่สุดไม่ได้


แน่นอนว่าสำนักโบราณอย่างเรือนกระบี่เร้นปุจฉา และสำนักกระบี่เทียมฟ้า รากฐานก็ไม่ด้อยกว่าแดนเร้นอริยะ


นี่ก็เหมือนความแตกต่างของความสว่างกับความมืด ฝ่ายหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในแดนโลกีย์ ข่มขวัญใต้หล้า อีกฝ่ายปลีกวิเวกอยู่ภายนอก ล้วนมีฐานะสูงส่งน่าชื่นชม


ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวอาจเป็นจำนวนของสำนักโบราณในโลกปัจจุบันมีมากมาย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีทั้งดีและแย่ปะปนกัน มากมายหลากหลาย และเบื้องลึกเบื้องหลังก็แตกต่างกันไป


แต่แดนเร้นอริยะกลับแตกต่าง เลือกสำนักใดสักแห่งออกมา ต่างก็มีรากฐานที่ไม่ด้อยไปกว่าสำนักโบราณชั้นยอดในปัจจุบัน!


นี่เป็นเพียงความรู้ผิวเผินของหลินสวิน ส่วนดินแดนรกร้างโบราณจะมีแดนเร้นอริยะเท่าไหร่ และในแดนเร้นอริยะมีสำนักโบราณซ่อนอยู่อีกเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้


ทว่าเมื่อได้ยินว่าเพียงแค่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่ในกระดานทองคำผู้กล้าได้ จากนั้นอาศัยป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันนี้ ก็จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะ หลินสวินก็ตะลึงไม่น้อย


เท่าที่เขารู้ แดนเร้นอริยะไม่เคยรับลูกศิษย์จากโลกภายนอก คนในสำนักของพวกเขา แทบจะเป็นพวกที่เติบโตในแดนเร้นอริยะทั้งนั้น


……


หลังจากใช้เวลาทำความเข้าใจชั่วครู่ หลินสวินอดกล่าวทอดถอนหายใจไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่า เงื่อนไขที่แดนเร้นอริยะรับผู้สืบทอดจะเข้มงวดอย่างยิ่ง”


แม่นางเยวี่ยยิ้มพูด “ยิ่งเป็นสำนักที่เก่าแก่ก็ยิ่งเข้มงวดกับการเลือกลูกศิษย์ คำว่า ‘มรรคไม่อาจรั่วไหล วิชาไม่ถ่ายทอดโดยง่าย’ ก็เป็นเช่นนี้แหละ”


“อย่างสำนักที่ข้าอยู่ เวลาถ่ายทอดมรดกวิชา จะต้องดำเนินการคัดกรองและทดสอบอย่างเข้มงวดหลายครั้ง ทั้งด้านคุณธรรม จิตใจ อุปนิสัย การหยั่งรู้ รวมถึงพรสวรรค์ ชีพจรปราณโลหิต สติปัญญา และยังมีการทดสอบอื่นๆ อีก…”


“ว่าง่ายๆ ก็คือ หากต้องการได้รับมรดกวิชาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ก็ต้องมีความสามารถที่คู่ควร”


หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ “พูดเช่นนี้ เมื่อผ่านการคัดเลือกพวกนี้แล้ว ลูกศิษย์ที่สามารถรับมรดกได้เกรงว่าแต่ละคนคงวิปริตทั้งนั้นกระมัง”


“วิปริตหรือ”


แม่นางเยวี่ยยิ้มพลางพยักหน้าพูด “จริงอย่างว่า ข้าเคยเห็นบุตรเทพแต่กำเนิดที่แท้จริง นั่นเป็นลูกหลานเผ่านกปี้ฟาง ทันทีที่ปรากฏตัวสู่โลก ก็ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดในใต้หล้า ครอบครองพลังพรสวรรค์ที่หายาก”


“ทั้งยังเคยเห็นร่างวิญญาณและตัวประหลาดที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากศุภโชคธรรมชาติ ถือกำเนิดขึ้นกลางฟ้าดิน พรสวรรค์และรากฐานพลังของพวกเขาเพียงพอจะทำให้ผู้กล้าส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบันรู้สึกสิ้นหวังได้”


หลินสวินหมดคำพูดไปชั่วขณะ เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ


“อึ้งมากใช่ไหม”


แม่นางเยวี่ยกะพริบตาปริบๆ ท่าทางอย่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อน ยิ้มพูดว่า “ข้าเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ชินไปตั้งนานแล้ว”


“หากอวี่หลิงคงอยู่ในแดนเร้นอริยะ จะนับเป็นบุคคลระดับใด” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น เขาสงสัยมากจริงๆ


แม่นางเยวี่ยมองหลินสวินอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ราวกับคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะถามเช่นนี้ นางเอ่ยว่า “อวี่หลิงคงเกิดในตระกูลอริยะ และยังฝากตัวเป็นศิษย์ในแดนพิสุทธิ์อมตะ ไม่ว่าจะเป็นรากฐานหรือพรสวรรค์ แม้แต่ในแดนเร้นอริยะก็ยังเรียกได้ว่าเป็นชั้นยอด”


นางหยุดไปครู่ค่อยกล่าวต่อ “แต่บุคคลระดับเขา ในแดนเร้นอริยะแต่ละแห่งล้วนมีจำนวนไม่น้อย ไม่อาจพูดได้ว่าหายาก”


“แน่นอน เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้ว อวี่หลิงคงเรียกได้ว่าเป็นชั้นยอดแล้ว แต่ก็ต้องดูอีกทีว่าเอาเขาไปเทียบกับใคร”


พูดถึงตรงนี้แม่นางเยวี่ยพลันขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างครุ่นคิด “ความจริงสิ่งที่ข้าก็รู้แค่ผิวเผิน แดนเร้นอริยะทุกแห่งในโลกล้วนมีรากฐานอันน่าพรั่นพรึงที่ไม่สามารถบอกใครได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้คือ แดนเร้นอริยะทั้งหมดล้วนอยู่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล และสามารถยืนหยัดจนถึงปัจจุบันแม้ผ่านการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ความมั่นคงของรากฐานพลังนั้นไม่อาจดูถูกได้!”


“แดนเร้นอริยะ ช่างสมคำร่ำลือ…” หลินสวินถอนหายใจ


ดังคำกล่าวที่ว่าฟังคำแนะนำจากผู้รู้ดีกว่าอ่านตำราสิบปี ความลับเหล่านี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


“คุณชาย เท่าที่ข้าดู ด้วยรากฐานพลังของท่าน ไม่แพ้ใครในยุคปัจจุบันเลย สิ่งเดียวที่ขาดอาจจะเป็นสิ่งนี้”


ยามพูด แม่นางเยวี่ยก็ถือป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันในมือขึ้น น้ำเสียงมั่นคงเนิบช้าและจริงจัง


“ด้วยสิ่งนี้ คุณชายก็จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะ เช่นนี้อย่างน้อยก็สามารถทำให้การฝึกปราณหลังจากนี้ของคุณชาย แม้จะล่วงเกินขุมอำนาจใด ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกอีกฝ่ายแก้แค้นตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร”


หลินสวินเข้าใจแล้ว แม่นางเยวี่ยพูดมาขนาดนี้ ความจริงก็แค่ใช้เรื่องนี้อธิบายว่า เมื่อมีป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน ก็มีโอกาสที่ตนจะหาที่พึ่งพิงที่แข็งแกร่งให้กับตัวเอง!


แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่โอกาสเท่านั้น จะสามารถไขว่คว้าไว้ได้หรือไม่ ประเด็นสำคัญก็ขึ้นอยู่ที่ว่าตนจะไปช่วงชิงหรือไม่


‘สินบน’ นี้ ทำให้หลินสวินหวั่นไหวมากจริงๆ


เขาก่อนหน้านี้ถูกคนตามฆ่าไปทั่วในแดนฐิติประจิม ถูกสำนักโบราณมากมายพุ่งเป้า เพราะเหตุใด


เหตุผลก็เพราะเขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีที่พึ่ง และไม่มีคนหนุนหลัง จึงทำให้ศัตรูกดขี่อย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้


แต่ถ้าเขาสามารถเข้าสู่สำนักใดสำนักหนึ่งในแดนเร้นอริยะได้ ฐานะก็จะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป ในอนาคตใครจะเล่นงานเขา ก็ต้องชั่งใจถึงจุดจบที่ล่วงเกินสำนักเบื้องหลังของเขา!


ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชัน ก็คือโอกาสเปลี่ยนแปลงฐานะและที่พึ่งพิง!


แม่นางเยวี่ยเองก็อาจจะมองเห็นถึงจุดนี้ จึงเอาของสิ่งนี้มาติดสินบน ความจริงใจนั้นเรียกได้ว่าเต็มเปี่ยม หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นคงไม่ปฏิเสธ


หลินสวินเองก็กำลังใคร่ครวญ เขาอดหวั่นไหวไม่ได้


แต่เขาเองก็รู้ว่า หากยอมรับความจริงใจนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะส่งผลกระทบต่อมรรคาที่ตนจะเดินต่อจากนี้ ถึงขั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางในอนาคตของตน


ดังนั้นจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ



 

 

 


ตอนที่ 943 เก้าคัมภีร์หงส์เซียน

 

แม่น้ำพรมแดนไหลเชี่ยวกราก คลื่นขุ่นรุนแรง


ยานสำเภาลอดผ่านภายใน ราวกับปลาที่แหวกว่ายอย่างยากลำบากท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง


พวกโค่วซิงราวกับม้าแก่ชำนาญทาง แม้ระหว่างทางเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็ไม่คณามือพวกเขา ถูกพวกเขาหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิดครั้งแล้วครั้งเล่า


ภายในห้อง แม่นางเยวี่ยนั่งตัวตรง มือขาวสะอาดรินเหล้า รินเองดื่มเองอย่างผ่อนคลาย สงบใจรอ


ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันล่อใจผู้กล้าแห่งยุคทุกคนเป็นอย่างมาก หากสามารถไขว่คว้าโอกาสไว้ ก็จะสามารถเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะได้


นี่ไม่ด้อยไปกว่าปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร โผบินสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทั้งฐานะ ตำแหน่ง หรือแม้แต่มรรคาที่บำเพ็ญก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน


แต่เหนือความคาดหมายของแม่นางเยวี่ย ครู่ใหญ่หลินสวินกลับส่ายหน้าพูด “ของสิ่งนี้ข้าไม่สามารถรับไว้ได้”


“เพราะเหตุใด” แม่นางเยวี่ยอึ้ง


หลินสวินตอบตามจริง “สิ่งนี้เกี่ยวข้องถึงปัญหาสำคัญ ยากที่ข้าจะตัดสินใจตอนนี้”


“เข้าใจได้”


แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญแล้วยิ้มบางๆ พูด “แต่ท่านไม่จำเป็นต้องปฏิเสธตอนนี้ จะได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ ในอนาคตก็จะรู้เอง”


ว่าแล้วนางก็ยื่นป้ายคำสั่งนี้ให้หลินสวิน “คุณชายอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย ถือซะว่าเป็นการคบสหายคนหนึ่ง”


หลินสวินดื่มเหล้าจอกหนึ่งแล้วยิ้มพูดอึ้ง “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะรับไว้”


จากนั้นทั้งสองก็ดื่มเหล้าพลางคุย นับว่าคุยกันถูกคอ จวบจนกระทั่งเวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น หลินสวินจึงลุกขึ้นบอกลา


……


‘น่าสนใจ เทพมารหลินไม่ได้เย่อหยิ่งและดุดันเหมือนอย่างที่เล่าลือ…’ แม่นางเยวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคู่ใสดูเหม่อๆ ตกอยู่ในภวังค์ความคิด


เป็นอย่างที่หลินสวินคาดเดา นางอ่านฐานะของหลินสวินออกตั้งนานแล้ว


เพียงแต่หลังจากได้ปฏิสัมพันธ์กัน นางจึงพบว่าเทพมารหลินคนนี้ไม่ได้เย่อหยิ่งและดุดันเลยสักนิด ตรงกันข้ามยังถ่อมตัวและเก็บตัวอย่างมาก ทำให้นางดูตื้นลึกไม่ออกนัก


‘สำนักในแดนฐิติประจิมพวกนั้นโง่จริงๆ ดันไม่มีที่ยืนให้บุคคลมากสามารถแห่งยุคคนนี้ สักวันพวกเขาจะต้องเสียใจ’


‘หากเป็นไปได้ ถือว่าสามารถสานสัมพันธ์กับเขาไปอีกขั้นหนึ่ง…’


ครู่ใหญ่แม่นางเยวี่ยเล่นจอกเหล้าในมือ มุมปากเผยองศาอันคลุมเครือยากจะเข้าใจ


……


‘ฝีมือของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ งามทั้งภายนอกและภายใน รู้จักเข้าหาคน สติปัญญาเทียบอสูร เป็นบุคคลปานปีศาจอสูรมารจริงๆ’


ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็ทอดถอนใจ ดวงตาสีดำแฝงความชื่นชม


คบหาสมาคมกับคนฉลาด จะทำให้ระแวงโดยไม่รู้ตัว


แต่แม่นางเยวี่ยกลับแตกต่าง นางได้ซ่อนความสามารถของตนมานานแล้ว วางตัวอย่างรู้กาลเทศะ ใจกว้างไม่โอ้อวด ทำให้อคติไม่ลงจริงๆ


นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก และเป็นสติปัญญาที่แท้จริง


‘น่าสนใจ นางมาจากแดนเร้นอริยะสักแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะรู้ความลับมากมายที่คนนอกไม่อาจรู้ได้ ฐานะย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…’


หลินสวินเองก็กำลังใคร่ครวญ


จากที่คุยกับแม่นางเยวี่ยก่อนหน้านี้ ทำให้หลินสวินรู้แล้วว่าศัตรูที่ตามฆ่านางมาจากขุมอำนาจอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘อ้าวไหล’


อาณาจักรอ้าวไหลตั้งอยู่ใกล้กับทะเลอันกว้างใหญ่ของแดนชัยบูรพา อยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ถูกเรียกว่าเป็น ‘อาณาจักรโบราณนิรันดร์’


จากที่แม่นางเยวี่ยพูด อาณาจักรอ้าวไหลเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจเก่าแก่ชั้นยอดแห่งหนึ่ง ในอาณาจักรมีอริยะที่แท้จริงดูแล รากฐานมั่นคงอย่างที่สุด


ในอาณาจักรอ้าวไหล ขุมอำนาจทางการฝึกปราณล้วนปกครองโดย ‘ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์’ ทั้งเจ้าอาณาจักร ราชครู หรือผู้ยิ่งใหญ่ในระดับอาณาจักร ล้วนเป็นลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์


เรียกได้ว่า ทั้งอาณาจักรอ้าวไหล แท้จริงแล้วล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์


หลินสวินไม่ได้รู้สึกสนใจลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น ที่ทำให้เขาตะลึงจริงๆ คือ แม่นางเยวี่ยคนนั้นมาจากแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่ง แต่ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์กลับกล้าตามฆ่านาง จากเรื่องนี้สามารถดูออกว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาอย่างแน่นอน


ส่วนเหตุผลที่ถูกลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตามฆ่า คำตอบของแม่นางเยวี่ยในตอนนั้นง่ายมาก ‘ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นมรรคสายนอกมารร้าย อำพรางความชั่วร้าย ก่อกรรมทำเข็ญไปทั่วหล้า ทุกคนล้วนปรารถนาจะกำจัด’


แน่นอนว่าหลินสวินไม่เชื่อเหตุผลนี้ แต่สีหน้าในตอนนั้นของแม่นางเยวี่ยกลับจริงจังและเคร่งขรึมมาก ทำให้หลินสวินยากจะซักไซ้ต่อในชั่วขณะ


“หลินสวิน ข้าหิวแล้ว” ซย่าจื้อตื่นแล้ว ประโยคเดียวก็ทำให้หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด


……


ในเวลาเดียวกัน บนแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายเกินคาดเดา ยานสำเภาลำหนึ่งเคลื่อนที่พร้อมแสงประกายสีทองระยิบระยับอยู่กลางอากาศ


“แม้แม่น้ำพรมแดนจะอันตราย แต่ขอแค่ไม่เจอพวกเสี้ยวเจตจำนงอริยะสมควรตายพวกนั้น ก็ไม่สามารถคุกคามพวกเราได้มากนัก”


บนยานสำเภา ซุ่นไป๋เสวียนยิ้มพูด ดูย่ามใจอย่างมาก


“จริงสิ เจ้าเข้ามาในแม่น้ำพรมแดนครั้งนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เขาหันมองลั่วเจียที่อยู่ข้างๆ


“เสาะหาวาสนา”


ในมือลั่วเจียถือขนนกงดงามที่มีสีแดงสดราวกับเพลิง ขนนกสาดละอองแสงราวกับโลหิต แผ่กลิ่นคาวเลือดอันมืดมน น่าหวาดหวั่นอย่างมาก


ซุ่นไป๋เสวียนจำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่คือขนปีกบริสุทธิ์ของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวหนึ่ง วิเศษอย่างที่สุด มูลค่าไม่อาจประเมิน เป็นเจตวัตถุที่ใช้หลอมสมบัติอริยะ


อีกทั้งภายในของสิ่งนี้แฝงประทับมหามรรคของหงส์ดำเลือดทมิฬ มีประโยชน์ยอดเยี่ยมอย่างไม่อาจประเมินได้ต่อการฝึกปราณ


ซุ่นไป๋เสวียนราวกับตระหนักบางอย่างได้ พลันพูดอย่างแปลกใจ “เจ้าจะหาหงส์ดำเลือดทมิฬหรือ”


“ไม่ เป็นเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬ”


ลั่วเจียเองก็ไม่ปิดบัง “ตามที่อาจารย์ของข้าวิเคราะห์ บนแม่น้ำพรมแดนที่เชื่อมไปสู่แดนชัยบูรพา ในสมัยบรรพกาลเคยมีหงส์ดำเลือดทมิฬที่ก้าวสู่ระดับอริยะตัวหนึ่งสิ้นชีพ ณ ที่แห่งนี้ ทว่าวิญญาณไม่เคยจางหาย แต่ถูกปิดผนึกไว้ในซากสมรภูมิลึกลับแห่งหนึ่งของแม่น้ำพรมแดน”


“หากได้มันมาครอบครอง ข้าก็จะได้รับ ‘คัมภีร์หงส์ทมิฬสิ้นสลาย’!”


ในดวงตาซุ่นไป๋เสวียนวาบประกายเรืองรอง ราวกับหวั่นไหวอยู่บ้าง เอ่ยพูดว่า “คัมภีร์หงส์ทมิฬสิ้นสลาย นี่เป็นหนึ่งใน ‘เก้าคัมภีร์หงส์เซียน’ หรือว่าในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนั้น เจ้าได้ปลุกพลังสายเลือดของตนขึ้นมา ครอบครองความเร้นลับของ ‘มหามรรคหงส์เซียน’ แล้ว”


ลั่วเจียพยักหน้า สีหน้าเรียบเฉย นี่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง


ซุ่นไป๋เสวียนนิ่งไม่อยู่ทันที


เก้าคัมภีร์หงส์เซียนประกอบด้วยคัมภีร์มรรคหงส์ไร้เทียมทานเก้าเล่ม แม้ในสมัยบรรพกาล ยังเรียกได้ว่าเป็นมรดกข่มโลก เกือบจะเป็นดั่งตำนาน


แต่ละเล่มก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นมรดกลับไร้เทียมทาน และเก้าคัมภีร์หงส์เซียนฉบับสมบูรณ์ยิ่งเหลือเชื่อ มีความเร้นลับเชื่อมสวรรค์ที่ยากจะจินตนาการ


อย่างไรก็ตามเก้าคัมภีร์หงส์เซียนไม่เคยปรากฏอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แท้จริงตั้งแต่สมัยบรรพกาล มันถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน กระจายอยู่ทั่วหล้า จนปัจจุบันยังไม่เคยมีใครรวมมันเข้าด้วยกันได้


ที่วิปริตที่สุดคือ คัมภีร์มรรค์ชนิดนี้คลุมเครือและสูงส่งอย่างมาก มีเพียงทายาทเผ่าหงส์ที่ครอบครองพลังมหามรรคหงส์เซียนเท่านั้นจึงจะสามารถหยั่งรู้และครอบครองได้


พูดอีกนัยหนึ่ง หากผู้ฝึกปราณคนอื่นได้ครอบครองคัมภีร์นี้ ก็คงได้แค่ชื่นชม แต่ไม่สามารถฝึกได้


และเห็นได้ชัดว่า ลั่วเจียในตอนนี้มีคุณสมบัติให้หยั่งรู้และฝึกฝนเก้าคัมภีร์หงส์เซียนแล้ว!


นี่ต่างหากที่ทำให้ซุ่นไป๋เสวียนตะลึง


“ตอนนั้นจี้ซิงเหยาหยั่งถึงมหามรรคแห่งนิลกาฬที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดมรรคสังหาร อวี่หลิงคงบรรลุมหามรรคบงกชเขียวที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘มรรคปวงเทพแห่งฟ้าดิน’”


เสียงของลั่วเจียนุ่มนวลชัดเจน ราวกับน้ำตกใสไหลผ่านหุบเหว พูดอย่างช้าๆ “ส่วนข้าบรรลุมหามรรคหงส์เซียน”


ซุ่นไป๋เสวียนสายตาวูบไหว เอ่ยเสียงทอดถอนใจแฝงความเสียดาย “นี่ล้วนเป็นมหามรรคที่ถูกจัดอันดับในกระดานมรรคเทียมฟ้า เสียดายที่ข้ากลับพลาดวาสนายอดเยี่ยมระดับนี้…”


สมัยบรรพกาล อริยะทั่วหล้าอภิปรายมหามรรค คิดว่าในสามพันมหามรรค มีเพียงเก้าสิบเก้าประเภทเท่านั้นที่เรียกได้ว่า ‘เทียมฟ้า’


ภายหลัง ผู้ฝึกปราณบนโลกจัดอันดับมหามรรคเก้าสิบเก้าประเภทนี้ลงในกระดานมรรคเทียมฟ้า ตามความเร้นลับและอานุภาพ


นี่ก็คือเหตุผลที่ซุ่นไป๋เสวียนเสียดาย ด้วยตำแหน่งและฐานะของเขา ก็มีเพียงแค่ ‘มรรคเทียมฟ้า’ เท่านั้นที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้


“จริงสิ เทพมารหลินนั่นบรรลุความเร้นลับของมหามรรคใด” จู่ๆ ซุ่นไป๋เสวียนก็ถามขึ้น


“คล้ายจะเป็นมหามรรคแห่งวังน้ำวน แต่เห็นชัดว่าไม่เหมือนกัน ลึกลับมาก” ลั่วเจียขมวดคิ้ว จนตอนนี้นางก็ยังสงสัย ไม่สามารถรู้คำตอบที่ชัดเจนได้


ซุ่นไป๋เสวียนอึ้ง “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร คนอื่นๆ ก็ดูไม่ออกเหมือนกันหรือ”


ดวงตาคู่งามของลั่วเจียวาบประกายประหลาดเสี้ยวหนึ่ง “ใช่ ไม่มีใครดูออก เพราะศิลาหินหลักที่เขาแจ้งมรรคสลายไป ไม่มีร่องรอยให้เห็น”


“แปลกจริงๆ” ซุ่นไป๋เสวียนตะลึง


“เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าอย่าคิดเล่นงานเขาเลย บนตัวเขามีความเร้นลับอยู่ไม่น้อย แม้แต่ข้ายังดูไม่ออก” ลั่วเจียฉวยโอกาสนี้เตือนอีกครั้ง


เพียงแต่เหนือความคาดหมายของนาง ประโยคนี้กลับกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของซุ่นไป๋เสวียน อีกฝ่ายพลันพูดอย่างตื่นเต้น “ยิ่งเป็นคู่ต่อสู้เช่นนี้ยิ่งน่าสนใจ หากอ่อนแอเกินไปข้าก็คร้านจะสนใจ”


ลั่วเจียจนคำพูด


ตอนนี้เอง เสียงทลายอากาศเสียงหนึ่งดังขึ้นจากระยะไกล อานุภาพเกรียงไกร


หืม?


ลั่วเจียและซุ่นไป๋เสวียนต่างตกใจทันที ทั้งสองสบสายตากันแวบหนึ่ง


สวบ!


พริบตาต่อมา ทั้งสองก็ควบคุมยานสำเภาเคลื่อนไหวออกไปไกล อำพรางร่องรอย


ไม่นานเรือเรียวยาวที่ความยาวประมาณร้อยจั้ง ตัวเรือราวกับหลอมจากผลึกสีเลือด บดขยี้ห้วงอากาศคำรามเข้ามา


ภายนอกเรือลำนั้นมีรอยสลักวิญญาณแน่นขนัด แปรเป็นสัญลักษณ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์มากมาย มีพลังที่พาให้ตื่นตะลึง


บนเรือ ราชันกึ่งระดับหกคนยืนเคียงกัน แต่ละคนอยู่ในชุดคลุมสีดำ อานุภาพอันตราย น่าหวั่นหวาดอย่างที่สุด


“รายงานราชครูทุกท่าน กลิ่นอายของผู้หญิงคนนั้นถูกพวกเราจับตำแหน่งได้แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกครึ่งเค่อพวกเราก็จะตามทันแล้ว”


ชายชุดดำคนหนึ่งหมอบคลานอยู่บนพื้น พูดเสียงขรึม


“เตรียมพร้อมรบ ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้นางหนีไปได้!” ชายชราใบหน้าแดงฝาดที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเยียบเย็นเคร่งขรึม พูดเสียงเรียบ


“ขอรับ!”


ชายชุดดำยืนขึ้น แล้วเดินจากไปอย่างเร่งรีบ


ไม่นานเรือสีเลือดที่เผยกลิ่นอายเข่นฆ่าดุร้ายก็ทะลวงผ่านอากาศไปด้วยความเร็วที่แปลกประหลาด


“ราชครูและลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่? พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


ซุ่นไป๋เสวียนควบคุมยานสำเภาให้ปรากฏตัว สีหน้าของเขาประหลาดใจไม่น้อย


ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นลัทธิใหญ่เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรอ้าวไหล ประวัติศาสตร์สามารถย้อนไปในสมัยบรรพกาล ยาวนานอย่างยิ่ง


ทว่าชื่อเสียงของลัทธินี้ไม่ได้ดีนัก


ซุ่นไป๋เสวียนเองก็รู้เพียงเท่านี้ เพราะแม้อาณาจักรอ้าวไหลจะอยู่ในแดนชัยบูรพา แต่กลับครองอาณาเขตส่วนลึกของทะเลอันกว้างใหญ่ แทบจะตัดขาดจากโลก น้อยมากที่โลกภายนอกจะมีข่าวเกี่ยวกับ ‘อาณาจักรโบราณนิรันดร์’ นี้


“ไป พวกเราก็ไปดูสักหน่อย ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ลึกลับมาก พวกเขาปรากฏตัวที่นี่ จะต้องวางแผนทำเรื่องไม่ดีไม่งามที่ไม่สามารถบอกใครได้แน่!”


ไม่รอให้ลั่วเจียตอบตกลง ซุ่นไป๋เสวียนก็ควบคุมยานสำเภาออกเดินทางแล้ว


ลั่วเจียปวดหัวขึ้นมา เจ้าหมอนี่เป็นตัวหาเรื่องจริงๆ นี่เห็นได้ชัดว่าจะไปร่วมความครื้นเครงแล้ว…



 

 

 


ตอนที่ 944 หมัดที่ไม่อาจขวางกั้น

 

เรือสีเลือดเรียวยาว ขนาดประมาณร้อยจั้งพาดขวางอยู่ไกลๆ


บนเรือกลุ่มผู้ฝึกปราณที่กลิ่นอายเข่นฆ่าพลุ่งพล่านสีหน้าเรียบเฉย ต่างทอดสายตามองมา


ผู้เป็นหัวหน้าคือราชันกึ่งระดับถึงหกคน ล้วนอยู่ในชุดคลุมสีดำ แม้จะยืนอยู่เงียบๆ อานุภาพที่แผ่กระจายออกจากทั่วร่างกายกลับยิ่งใหญ่คับฟ้า สะท้านขวัญยิ่ง


พวกของโค่วซิง หน้าเขียวและจงอางแดงสีหน้าจริงจัง ในใจกระวนกระวาย


สำหรับอันตรายในแม่น้ำพรมแดน พวกเขาอาจจะสามารถคลี่คลายได้ด้วยประสบการณ์อันหลากหลายของตน แต่กับกองทัพที่แข็งแกร่งนี้ กลับทำให้พวกเขาหมดหนทาง รู้สึกสิ้นหวัง


ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากศักยภาพต่างกันมากเกินไป!


กองกำลังนี้เพิ่งพุ่งเข้ามาก็ขวางทางพวกเขาเอาไว้ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าจะต้องมาเพราะแม่นางเยวี่ยอย่างแน่นอน


“ตัวยุ่งยากมาแล้ว”


แม่นางเยวี่ยนับว่าสงบนิ่งมาก ถอนหายใจเหมือนจนปัญญาเบาๆ คราหนึ่ง


นางหันสายตาไปมองหลินสวินที่อยู่ข้างๆ “ดูสิ นั่นลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรอ้าวไหล ตาเฒ่าหกคนนั้นเป็นราชครูผู้คุมอำนาจของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนเข่นฆ่าอย่างไร้ปรานี เคยสังหารมาแล้วกว่าหมื่นชีวิต เรียกว่าเป็นเพชฌฆาตแห่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เกินไป”


หลินสวินขานรับว่าอืม เขากำลังพินิจอีกฝ่าย


ราชันกึ่งระดับหกคน มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสิบแปดคน พลังระดับนี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่มากจริงๆ เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับราชันรู้สึกสิ้นหวัง


แต่ไม่รวมหลินสวิน


เขาเพียงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย บนตัวของลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นราชันกึ่งระดับหรือระดับกระบวนแปรจุติ ล้วนแฝงกลิ่นอายมืดมนและน่าสะพรึงกลัวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก


“แม่นางเยวี่ย พวกเราพบกันอีกแล้ว เพียงแค่เจ้าส่ง ‘หินแหล่งกำเนิดมรรคเพลิงศักดิ์สิทธิ์’ มา บางทีเราอาจจะเมตตา ให้เจ้าตายโดยไม่ต้องทรมาน”


บนเรือสีเลือดที่อยู่ห่างไป ชายชราใบหน้าแดงฝาด สีหน้าอึมครึมเย็นเยียบพูดเสียงเรียบ “เจ้าอย่าคิดว่าจะโชคดีอีก ครั้งนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น”


หินแหล่งกำเนิดมรรคเพลิงศักดิ์สิทธิ์!


หลินสวินอึ้ง จากนั้นเสียงของแม่นางเยวี่ยก็ดังขึ้นข้างหู “นี่คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ภายในรวบรวม ‘แรงปรารถนา’ ที่พวกเขาดูดมาจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีส่วนช่วยสำคัญต่อการหลอมบูชายอดศาสตรามรรคมารบางประเภทของพวกเขา”


ในเวลาเดียวกัน แม่นางเยวี่ยยิ้มมองไปทางเรือสีเลือดที่อยู่ห่างไปพร้อมกับพูดว่า “หินแหล่งกำเนิดมรรคเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นทำลายฟ้า ขัดต่อศีลธรรม อันตรายต่อสรรพชีวิต เป็นบ่อเกิดความชั่วร้าย ไม่ควรมีบนโลก ข้ากำลังธำรงคุณธรรม พวกเจ้ากลับจะฆ่าข้า นี่ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด”


“อย่าคิดเถียง!” ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งตะเบ็งเสียง เสียงราวกับฟ้าร้องก้องไปทั่วฟ้าดิน


“หยุดพูดไร้สาระ ผู้หญิงคนนี้ดื้อดึงไม่ยอมรับผิด ฆ่าเสียก็สิ้นเรื่อง ยังมีพรรคพวกของนาง ในเมื่อร่วมมือกันทำชั่ว ก็ฆ่าทิ้งซะ!” ราชันกึ่งระดับคนอื่นพูดเสียงเย็น


“ก็ดี” ชายชราที่เป็นผู้นำพยักหน้า สีหน้าเย็นชา


ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่เคยสนใจใครนอกจากแม่นางเยวี่ย


เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือพวกโค่วซิงต่างถูกพวกเขามองข้าม ไม่เห็นอยู่ในสายตา


ท่าทีเย่อหยิ่งและเย็นชานี้ทำให้พวกโค่วซิงขุ่นเคืองและรู้สึกหดหู่อย่างที่สุด แม้แต่พวกเขาเองยังต้องยอมรับว่า อีกฝ่ายมีต้นทุนพอที่จะมองข้ามพวกเขา


หลินสวินเองก็ขมวดคิ้ว ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่หยิ่งผยองจริงๆ พอมาสองสามคำก็คิดจะฆ่าพวกเขาให้หมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนทำเรื่องจำพวกเอาชีวิตคนมามากเกินไป


โครม!


แต่ไม่ว่าหลินสวินจะคิดอย่างไร อีกฝ่ายก็ลงมือแล้ว ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำที่มีพลังปราณระดับกึ่งราชันเคลื่อนไหวผ่านห้วงอากาศเข้ามา เมื่อยื่นมือออกมา มือใหญ่สีดำสายหนึ่งสยบสังหารลงมา ปกคลุมฟ้าดิน เสียงธรรมกู่ก้อง เข้าครอบคลุมยานสำเภาที่พวกหลินสวินอยู่


เขาดูเรียบเฉยและเย็นชามาก ท่าทางสูงศักดิ์ราวกับผู้ครองอำนาจที่ควบคุมความเป็นความตาย


พวกของโค่วซิงแทบพังทลายแล้ว แม้พวกเขาอยากหนีและดิ้นรน แต่เมื่อเจอกับแรงกดดันของราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง กลับทำให้พวกเขาไม่สามารถมีความคิดต้านทานใดๆ ได้จริงๆ


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


ไม่ใช่คนในระดับเดียวกันเลยสักนิด ราวกับมดตะนอยกำลังเผชิญกับการจู่โจมของมังกรบนฟ้า


แม้แต่แม่นางเยวี่ยยามนี้ก็อดตื่นตระหนกไม่ได้ นางเองก็คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะเคลื่อนกำลังราชันกึ่งระดับถึงหกคน!


ต่อให้นางจะคาดหวังในตัวหลินสวิน แต่ตอนนี้ความมั่นใจก็อดสั่นคลอนไม่ได้ หว่างคิ้วเผยความกังวลที่ยากจะสังเกตเห็น


ตอนแรกหลินสวินยังใคร่ครวญว่า จะใช้วิธีที่ละมุนละม่อมคลี่คลายการขวางกั้นเส้นทางที่มาอย่างกะทันหันนี้


ถึงอย่างไรเขากับลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีความแค้นต่อกัน เพียงแค่ช่วยแม่นางเยวี่ยเท่านั้น ไม่ถึงขั้นต้องล้ำเส้นเกินไป


แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว!


ตั้งแต่อีกฝ่ายปรากฏตัวก็มองข้ามพวกเขา ทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับจะลงมือฆ่าพวกเขาให้หมด ท่าทีที่เย็นชาเมินเฉย ชี้ต้นตายชี้ปลายเป็นเช่นนั้น จะให้หลินสวินทนได้อย่างไร


ไม่มีความแค้นต่อกันยังลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าอีกฝ่ายเผด็จการแค่ไหน!


พูดแล้วเหมือนช้า แต่ความจริงว่องไวนัก ชั่วขณะที่อีกฝ่ายโจมตี หลินสวินก็ลงมือแล้วเช่นกัน เท้าก้าวย่างชือน้ำแข็ง ร่างกายพุ่งทะลวงขึ้น สะบัดหมัดหนึ่งออกไป


“หืม?”


ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำเหมือนประหลาดใจ ในสถานการณ์เช่นนี้กลับมีเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะขั้นสมบูรณ์คนหนึ่งกล้าก้าวออกมา ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ


จากนั้นเขาก็เข้าใจทันที สีหน้าเรียบเฉยเผยความเหยียดหยาม สังเกตได้ว่ากลิ่นอายของหลินสวินขยับจากระดับหยั่งสัจจะไปสู่ระดับกระบวนแปรจุติในพริบตา


ที่แท้ก็จงใจปกปิดความสามารถ…


ทว่า นี่ก็คือความมั่นใจที่ทำให้เขากล้าก้าวออกมาสู้กับตนหรือ


อ่อนหัดเกินไปแล้ว!


ชายวัยกลางคนสีหน้าเรียบเฉย เหมือนเห็นแมลงเม่าตัวหนึ่งพุ่งเข้ากองไฟ ไม่มีความสงสารและไม่มีความเห็นใจ ถึงขั้นที่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้


ในฐานะราชันกึ่งระดับ เขามีพลังที่สามารถดูถูกผู้ฝึกปราณ ‘ทั้งห้าระดับใหญ่’ ได้ตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้ฆ่าผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ จะสนใจการโต้ตอบเช่นนี้ได้อย่างไร


บนเรือสีเลือดที่อยู่ห่างออกไป สีหน้าของบรรดาราชครูและลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เองก็เรียบเฉย การดิ้นรนและตอบโต้ พวกเขาเจอมามากแล้ว นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ผู้ฝึกปราณทุกคนสามารถทำได้ก่อนตาย เห็นจนชินไปตั้งนานแล้ว


“นี่…” พวกของโค่วซิงอึ้งกันเป็นแถบ คิดไม่ถึงเลยว่าในสถานการณ์เช่นนี้ คุณชายหลินซย่าคนนี้กลับดึงดัน ยอมตายแต่ไม่ยอมนั่งงอมืองอเท้ารอความตาย


โครม!


ฝ่ามือของชายวัยกลางคนตบลงมา มืดฟ้ามัวดิน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด


ตูม!


ในเวลาเดียวกัน หมัดของหลินสวินก็ได้สะบัดออกมา เรียบง่าย ธรรมดา ไม่แฝงกลิ่นอายใดๆ แม้แต่เสี้ยวเดียว


จากนั้น ภาพที่ทุกคนคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น…


พลังหมัดของหลินสวิน ทรงพลังดุจทำลายหญ้าแห้งไม้ผุ โจมตีประทับฝ่ามือสีดำที่ปกคลุมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดินจนแตกสลายอย่างง่ายดาย!


ตู้ม!


เสียงกึกก้องระเบิดแตกดังสะเทือน พลังฝ่ามือแปรเป็นละอองแสงสาดกระจายทั่วฟ้า เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน


“ไม่ถูกต้อง!” บนเรือรบสีเลือดที่อยู่ห่างไป ทุกคนต่างหรี่ตาโดยพร้อมเพรียง


“นี่…” พวกโค่วซิงอึ้งจนพูดไม่ออก นั่นเป็นการโจมตีของราชันกึ่งระดับเชียวนะ ถูกสลายง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ


‘ช่างสมกับเป็นเทพมารหลินที่ก่อกวนคลื่นลมในแดนฐิติประจิม!’ แม่นางเยวี่ยแอบชื่นชมในใจ


ชายวัยกลางคนนั่นนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน เพิ่งตระหนักได้ว่า ความรุนแรงของหมัดนี้แตกต่างจากที่เขาคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง


ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงราชันกึ่งระดับ แม้นเผชิญอันตรายก็ไม่ลนลาน ยังคงสงบนิ่งและเย็นชา เรื่องเหนือความคาดหมายเล็กๆ นี้ไม่สามารถทำให้เขาเสียการควบคุมได้สักนิด


ตูม!


แรงหมัดนั่นระเบิดแสงประกายออกมา และกำลังบดขยี้อากาศคำรามเข้ามา


“สามารถสลายการโจมตีของข้าได้ถือว่าไม่เลว ข้าจะมอบความตายที่มีเกียรติแก่เจ้า” ชายวัยกลางคนพูดเสียงเย็น


สีหน้ายังคงสูงส่ง เย่อหยิ่งและทะนงตัว ราวกับกำลังทำทาน


ในขณะที่พูดเขาก็เป็นฝ่ายเคลื่อนมาเบื้องหน้า กดฝ่ามือลงมา ห้วงอากาศพังทลายลงกะทันหัน ฟ้าดินครวญคร่ำ แรงหมัดอันน่ากลัวพวยพุ่งออกมา


อานุภาพราวกับมังกรยักษ์ออกจากเหว ก่อกวนจักรวาล!


นี่ก็คืออานุภาพของราชันกึ่งระดับ แม้ไม่ใช่ราชันที่แท้จริง แต่อยู่เหนือ ‘ระดับใหญ่ทั้งห้า’ มีอานุภาพที่สามารถดูถูกทุกระดับได้


เพียงแต่…


ชั่วขณะที่พลังฝ่ามือของเขาปะทะแสงหมัดของหลินสวิน ชายวัยกลางคนจึงตระหนักได้ว่า ตนผิดไปแล้ว!


สีหน้าที่เดิมเฉยเมยและเย่อหยิ่งของเขาหายไป ถูกความตกใจเข้ามาแทนที่ราวกับยากจะเชื่อ หว่างคิ้วแฝงความลนลานที่ยากจะสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง


แต่เขาทำอะไรไม่ทันอีกแล้ว…


ครืนโครม!


หมัดอันน่าพรั่นพรึงราวกับภูเขาทลายคลื่นสมุทรโหมกระหน่ำ แฝงพลังยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานและไม่อาจทำลายได้ โจมตีพลังฝ่ามือของเขาจนยับเยินทันที


จากนั้น ภายใต้สายตาที่ยากจะเชื่อของเขา หมัดนั้นกระแทกบนตัวเขาอย่างแรง


โครม!


ในช่วงเวลาสำคัญนี้ เขาได้โคจรพลังทั้งหมดของราชันกึ่งระดับไปป้องกัน แต่ก็ยังคงรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว กระดูกหน้าอกหักโดยพลัน ส่งเสียงกร๊อบๆ ดังลั่น


จากนั้นเขาก็ถูกกระแทกจนปลิวออกไปทั้งตัว ราวกับว่าวที่สายป่านขาด ในระหว่างนี้เลือดพุ่งออกจากจมูกปากของเขา ใบหน้าบิดเบี้ยว หน้าอกยุบลง แผ่นหลังคดงอเหมือนกุ้งยักษ์ที่ถูกต้มจนสุกอย่างไรอย่างนั้น


“อ๊าก…” สุดท้ายชายวัยกลางคนก็กลั้นเสียงร้องที่ดังก้องไปทั่วฟ้าไม่ได้


ทั้งหมดนี้เล่าแล้วเหมือนช้า ความจริงนั้นจบลงในชั่วแสงฟ้าผ่าเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินเพียงออกหมัดเดียวเท่านั้น เริ่มจากทำลายประทับฝ่ามือจนสลายก่อน จากนั้นโจมตีพลังฝ่ามืออย่างง่ายดาย สุดท้ายกระแทกลงบนตัวของชายวัยกลางคน


ทรงพลังและไม่สามารถขวางกั้นได้ตลอดทาง!


ทั่วบริเวณล้วนเงียบเชียบ


ไม่ว่าจะเป็นคนจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์บนเรือรบสีเลือดหรือพวกของโค่วซิง ยามนี้แต่ละคนต่างเบิกตาโพลงราวกับโดนฟ้าผ่า ท่าทางตะลึงงันเหมือนไม่เชื่อสายตาของตน


ไวเกินไปแล้ว!


และเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!


เด็กหนุ่มที่ถูกมองว่าเป็นแมลงเม่าวิ่งเข้ากองไฟ กลับโจมตีราชันกึ่งระดับคนหนึ่งจนปลิวออกไปในหมัดเดียว แสดงอานุภาพที่ไร้เทียมทานออกมา!


มีเพียงแม่นางเยวี่ยเท่านั้นที่รู้ดีว่าชายวัยกลางคนนั่นรนหาที่ตาย ด้วยการมองหลินสวินเป็นมดตัวน้อยที่คิดเขย่าต้นไม้ใหญ่


กลับไม่รู้ว่าหลินสวินไม่ใช่มดตัวน้อย หากแต่เป็นเทพมารหลินที่อานุภาพดุร้ายสะเทือนแดนฐิติประจิม!


หากชายวัยกลางคนลงมืออย่างจริงจังเสียหน่อย อาจจะไม่พ่ายแพ้ไวขนาดนี้ แต่เขากลับอวดดีและประมาทขนาดนั้น นี่ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร


แน่นอนว่าเหตุผลหลักคือชายวัยกลางคนประมาทเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน ก็เพราะพลังต่อสู้ของหลินสวินพลิกฟ้าเกินไปด้วยเช่นกัน เหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกัน ตั้งแต่ยามเพิ่งเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ ก็สามารถกำราบลิ่นไท่เจินแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวได้แล้ว นั่นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันคนหนึ่งเช่นกัน


และตอนนี้ พลังต่อสู้ของหลินสวินไม่สามารถนำไปเทียบกับตอนนั้นได้แล้ว



 

 

 


ตอนที่ 945 สำแดงวิชาแห่งตน สู้ราชันกึ...

 

ไม่ว่าอย่างไร ความสามารถของหลินสวินทำให้แม่นางเยวี่ยลอบโล่งอก และอดตะลึงไม่ได้


แม้ชายวัยกลางคนชะล่าใจ แต่ก็ใช่ว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทุกคนจะทำได้ถึงขั้นนี้!


ชายวัยกลางคนกำลังกรีดร้อง ทั้งโกรธทั้งตะลึง หน้าอกของเขายุบลง บาดเจ็บสาหัสในการโจมตีเดียว ทำให้จนตอนนี้เขายังยากจะเชื่อ


บนเรือสีเลือด ทุกคนจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต่างตกตื่น ยากจะเชื่อเช่นกัน


โครม!


หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบอีกฝ่ายล้วนท่าทีหยิ่งผยอง เห็นเขาเป็นปลาที่พร้อมให้เชือดอยู่บนเขียง


ตอนนี้เขาเองก็คร้านจะพูดเช่นกัน ชั่วขณะที่โจมตีอีกฝ่ายจนยับเยินก็พุ่งออกไป เงาร่างราวกับสายฟ้า เร็วจนถึงขีดสุด


ราชันกึ่งระดับอะไร เขาหลินสวินก็ใช่จะไม่เคยฆ่า!


“มารผจญ เจ้ารนหาที่ตาย!”


เห็นหลินสวินพุ่งเข้ามา ชายวัยกลางคนคำรามอย่างเดือดดาล เบ้าตาแทบหลุดออกมา สีหน้าอึมครึมน่ากลัว กลิ่นอายอันน่าสะพรึงแผ่กระจายออกจากร่างกายของเขาราวกับกระแสน้ำ


นี่คืออานุภาพของราชันกึ่งระดับ ยามนี้เขาไม่ดูถูกอีกต่อไป และไม่คิดประมาทอีก จะโจมตีสังหารหลินสวินเพื่อล้างความอับอาย


เขาควบคุมเพลิงดำ ปลดปล่อยกลิ่นอายผลาญฟ้าทำลายดินอานุภาพน่าทึ่ง พุ่งเข้าไปหาหลินสวิน


“เพลิงศักดิ์สิทธิ์ผลาญฟ้า!”


ชายวัยกลางคนตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล กดฝ่ามือกลางอากาศ เพลิงสีดำปรากฏทั่วฟ้า ร้อนเร่าไร้ที่เปรียบ ท่วมท้นท้องฟ้าทั้งผืน


ครืน!


นัยน์ตาหลินสวินสาดประกาย ไม่ถอยแม้สักนิด เงาร่างราวกับชือน้ำแข็งทะยานฟ้า สำแดงความเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ พลังหมัดสว่างไสวราวกับสุริยันส่องสะท้อน มีพลานุภาพน่าตะลึง


ทันใดนั้นชายกลางคนชุดคลุมดำกระอักเลือดอีกครั้ง การโจมตีของเขาถูกบดขยี้ ไม่เพียงไม่สามารถทำร้ายหลินสวินได้ กลับยังถูกโจมตีจนปลิวออกไปอีกครั้ง


เขาร้องโหยหวน กระอักเลือดไม่หยุด กระตุกไปทั้งตัว


เฮือก!


เสียงสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจดังขึ้นทั้งที่นั้น นี่เป็นถึงราชันกึ่งระดับเชียวนะ! แต่ตอนนี้กลับมีแนวโน้มจะพ่ายแพ้ แม้แต่ต้านทานยังไม่สามารถทำได้!


“เจ้า… เป็นใครกันแน่” ชายวัยกลางคนตกใจ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้อย่างที่สุด แม้ไม่ได้ประมาท ก็ยังรู้สึกว่าไม่อาจต้านทานได้


นี่เหลือเชื่อเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!


หลินสวินไม่สนใจเขา ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังท่าทางเย่อหยิ่ง มองข้ามทุกอย่าง ตอนนี้เขายังจะมีกะจิตกะใจจากไหนมาสนใจอีกฝ่าย


ฆ่า!


เขาโจมตีอีกครั้ง ผมดำพลิ้วไหว เงาร่างสง่างามอาบไล้แสงรัศมีใส มีอานุภาพที่กลืนกินแปดด้าน ผงาดผยองเหนือจักรวาล


ทุกคนต่างตะลึงงัน พวกโค่วซิงเกือบจะคิดว่าตนเกิดภาพลวงตา ยังไม่กล้าเชื่อ


ตอนนี้ใครกล้าบอกว่าคุณชายหลินซย่าคนนี้เป็นนักชำนาญวิญญาณ พวกเขาจะถุยน้ำลายใส่ให้ตายไปเลย!


“หึ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาที่นี่ เหนือความคาดหมายจริงๆ แต่ว่า… คิดจริงๆ หรือว่าไม่มีใครสยบเจ้าได้”


เห็นว่าชายวัยกลางคนกำลังจะประสบเคราะห์ เสียงอันเรียบเฉยหนึ่งก็ดังขึ้นกะทันหัน


พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น เงาร่างราชันกึ่งระดับร่างแล้วร่างเล่าพุ่งออกจากเรือสีเลือด เข้าสังหารเข้ามาทางหลินสวิน


แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทนให้พวกของตนถูกฆ่าคาตาตัวเองได้!


ในเวลาเดียวกัน กลุ่มลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เองก็โจมตี พุ่งเข้าไปหาพวกของแม่นางเยวี่ยที่อยู่บนยานสำเภา


ข้อได้เปรียบของจำนวนคน แสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ในตอนนี้


สีหน้าของพวกโค่วซิงเปลี่ยนไป ความหวังเสี้ยวหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจในตอนแรกก็ดับสลายไปเพราะเหตุนี้


แม่นางเยวี่ยเองก็หัวใจหล่นวูบ


ฝั่งพวกเขามีแค่หลินสวินที่อาจจะสามารถต่อสู้โดยลำพังได้ แต่สองหมัดยากจะสู้สี่มือ ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะคาดหวังให้หลินสวินพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่


ยากมาก!


ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าไม่มีหวัง เหตุผลก็คือ อีกฝ่ายได้เปรียบในเรื่องของจำนวนคน!


ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ แม่นางเยวี่ยกัดฟันขาวดั่งเปลือกหอย ภายในดวงตากระจ่างเผยความเหี้ยมโหด ราวกับได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง


เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะเคลื่อนไหว ตรงหน้าพลันปรากฏแสงดาบเจิดจ้าดั่งหิมะกะทันหัน


ดาบหักเล่มหนึ่งโฉบพุ่งแหวกอากาศเข้ามา ราวกับทะลวงผ่านกาลเวลา สาดเสี้ยวเงาวูบหนึ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า


ฟุ่บ!


ฟุ่บ!


ฟุ่บ!


ลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งเข้ามาเป็นกลุ่มแรก ยังเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศแท้ๆ แต่ร่างกายได้ถูกแสงดาบสายแล้วสายเล่าฟันเอวจนขาดเป็นสองท่อนแล้ว!


เลือดสดสีแดงราวกับดอกไม้ไฟดอกแล้วดอกเล่า ระเบิดออกบนอากาศเหนือแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายและปั่นป่วนนี้ ทั้งบาดตาและน่าพรั่นพรึง


ลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นล้วนเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้…


กลับเปราะบางราวกับกระดาษ!


ในพริบตาเดียวนั้น หนึ่งดาบเปิดฉากเป็นตาย!


พวกของโค่วซิงกล้าสาบานว่าชาตินี้ถูกกำหนดให้ไม่สามารถลืมภาพตรงหน้าได้ หนึ่งดาบทะยานฟ้า สังหารกลุ่มศัตรูราวกับตัดถอนต้นหญ้า!


แม้แต่แม่นางเยวี่ยยังอดตะลึงไม่ได้ ทีแรกนางเตรียมจะใช้วิชาต้องห้ามเข้าสู้อย่างไม่เสียดายชีวิต


แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว


ในที่นั้นเงียบไปในช่วงสั้นๆ จากนั้นเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย


“สารเลว!”


“ฆ่า ฆ่ามารผจญนี่ซะ!”


“น่าชังนัก…”


ราชครูและลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นต่างถูกกระตุ้นจนคลั่ง ไม่สามารถรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้


ต่างไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ในสถานการณ์ที่ถูกกลุ่มราชันกึ่งระดับปิดล้อมโจมตี เด็กหนุ่มคนนั้นกลับยังสามารถควบคุมดาบหักไปช่วยคนอื่นๆ ได้


“ฟัน!”


ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งเรียกกระบี่ดำเล่มหนึ่งออกมาแล้วฟันลง เจตกระบี่ราวกับเพลิง แสงกระบี่ยาวพันจั้ง ฟันอากาศแยกออก


“ตาย!”


ในเวลาเดียกกัน ราชันกึ่งระดับอื่นๆ อีกหลายคนก็โจมตีจากทิศทางที่ต่างกัน


วู้ม!


กรรไกรยักษ์สีดำแปลกประหลาดกวาดอากาศ ปากคมพาดสลับ ราวกับสามารถตัดจักรวาลและหยินหยางได้


ตูม!


ค้อนยักษ์ที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าดิ่งลงมา สาดสายฟ้านับหมื่นสาย สว่างไสวแสบตา


เพียะ!


แส้ยาวหลากสีเส้นหนึ่งโฉบกวาดในอากาศ กวัดไกวออกเป็นเงาแส้วงกลมหลากสีปกคลุมลงมา


…ในชั่วขณะนั้น สมบัติและวิชาลับต่างๆ ราวกับลมพายุ ตัดสลับทับซ้อนกันไปทั่วในบริเวณนั้น เผยปรากฏการณ์ประหลาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สภาพการณ์น่ากลัวอย่างยิ่ง


พื้นผิวแม่น้ำในรัศมีพันลี้กำลังพังทลายกลายเป็นกระแสน้ำปั่นป่วนที่ไหลเชี่ยว กลางอากาศปรากฏรอยแตกที่น่าตกใจมากมาย


ฟ้าดินมืดสลัว เสียงปะทะราวกับฟ้าร้อง ปรากฏสัญญาณแห่งการทำลายล้างทั้งแถบ


การต่อสู้ระดับนี้ตะลึงโลกเกินไปจริงๆ ราชันกึ่งระดับแต่ละคนออกโจมตี หากอยู่ในสถานการณ์ปกติสามารถทำลายเมืองหนึ่ง ทำให้ภูผาธาราแถบหนึ่งจมดิ่งอย่างง่ายดาย!


และท่ามกลางการปิดล้อมโจมตีเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณคนใด เกรงว่าคงรู้สึกหมดหวัง แตกตื่นตกตะลึง ไม่อาจปลุกใจให้คิดต่อต้านได้


ทว่าหลินสวินกลับเป็นข้อยกเว้น


สิ่งที่เหนือความคาดหมายที่สุดคือ ตอนนี้เขายังคงโจมตีไปทางชายวัยกลางคนคนนั้น เพียงแต่ที่แตกต่างกับก่อนหน้านี้คือ เขาได้ใช้พลังทั้งหมดแล้ว!


โครม!


ชือน้ำแข็งสีขาวดั่งหิมะทะยานฟ้า ประทับปี้อั้นที่เรียบง่ายโบราณและหนาหนักกดทับห้วงอากาศ ผนึกป้าเซี่ยแปรเป็นคลื่นผนึกต้องห้ามอันคลุมเครือปรากฏออกมา เสียงคำรามผูเหลาระลอกแล้วระลอกเหล่าแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงสีทองแผ่กระจายออกไป ปะทะฟู่ซี่…


ชั่วขณะนั้น ความเร้นลับมากมายของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรถูกหลินสวินสำแดงออกมาในเวลาเดียวกัน


ทอดสายตามองไป ก็เห็นว่ารอบตัวเขาปรากฏเงามายาของสัตว์เทพตัวแล้วตัวเหล่า เปล่งแสงสว่างไสวราวกับมีชีวิตขึ้นมา เป็นภาพที่ตะลึงโลก


นี่ยังไม่จบ ในร่างกายของหลินสวิน นัยเร้นลับของโทสะหยาจื้อโคจร ทำให้ลมเลือดทั่วร่างกายของเขาราวกับเดือดพล่าน พลังขับเคลื่อนรุนแรง…


ในมือเขา ความเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ถูกใช้เต็มกำลัง ปรากฏอานุภาพน่าสะพรึงที่ฟ้าถล่มดินทลาย สรรพสิ่งแหลกสลาย


ส่วนในห้วงนิมิตของเขา ดอกเทพเจิดจรัสเหนือวิญญาณแห่งพลังจิตครัดเคร่งน่าเกรงขาม ควบคุมดาบหักอย่างสมบูรณ์แบบ สำแดงความเร้นลับของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า สกัดกั้นอันตรายให้พวกโค่วซิง และสังหารศัตรูตรงหน้ายานสำเภา…


หลินสวินในตอนนี้ราวกับแปลงร่างเป็นสามเศียรหกกร เผยอานุภาพทุกอย่างของตนออกมาอย่างเต็มกำลังในเวลาเดียวกัน ทั้งร่างราวกับเทพมาร โจมตีกวาดล้างเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!


……


ครืนโครมๆ


ชั่วขณะนั้นในบริเวณนั้นเกิดการปะทะสะเทือนฟ้าดิน ราวกับสายฟ้าเก้าสวรรค์กำลังปั่นป่วน แสงมรรคและรัศมีเทพเรืองรองม้วนตัวพลุ่งพล่าน ทุกอย่างดูปั่นป่วนและสับสนวุ่นวาย


แม้จะเป็นพวกแม่นางเยวี่ยก็ต่างไม่สามารถมองเห็นการเข่นฆ่าในที่นั้นได้ชัดเจน เพราะมันเจิดจ้าแสบตาเกินไป พาให้อกสั่นขวัญแขวน ไม่สามารถมองใกล้ๆ ได้


นี่ทำให้พวกเขาอดกังวลไม่ได้ ว่าหลินสวินพบเจอการปิดล้อมโจมตีเช่นนี้จะต้านทานได้หรือไม่


ฉัวะ!


ดาบหักที่ขาวเจิดจ้าดั่งหิมะกำลังไหวกะพริบ ฉีกทึ้งห้วงอากาศเป็นเสี่ยงๆ ฟาดฟันประกายดาบอันดุดันไร้ที่เปรียบมากมาย


ลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไม่กล้าเข้าใกล้ ถึงขั้นที่แม้แต่ราชันกึ่งระดับยังไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของดาบหักได้ ถูกบีบบังคับให้ถอยอย่างทุลักทุเล


เมื่อเห็นภาพนี้จึงทำให้พวกแม่นางเยวี่ยโล่งอกไปเล็กน้อย แต่ในทันใดนั้นพวกเขาก็จมสู่ความตะลึง หลินสวินเพียงคนเดียว กลับสกัดกั้นการโจมตีของกลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้งั้นหรือ


นี่หากเผยแพร่ออกไป จะต้องพาให้เกิดคลื่นลูกใหญ่อย่างแน่นอน!


เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นยิ่งตะลึง หากไม่ได้เห็นกับตา พวกเขาล้วนไม่กล้าเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีเด็กหนุ่มที่พลิกฟ้าปานนี้ได้อย่างไร


ตัวคนเดียว กลับต้านทานการปิดล้อมโจมตีของกลุ่มราชันกึ่งระดับ แล้วยังมีพลังเหลือไปคุ้มกันพรรคพวกของเขาอีก!


ใครจะกล้าเชื่อ


“ฆ่า!”


ราชันกึ่งระดับเหล่านั้นเดือดดาล โกรธจนหน้าเขียว เกิดจิตสังหารอย่างแท้จริง


หากให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ จะต้องเป็นความอับอายใหญ่หลวงที่ยากจะลบล้างสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน ต้องถูกมองเป็นตัวตลก ถูกคนทั่วโลกหัวเราะเยาะ


……


หลินสวินในตอนนี้ รู้สึกถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!


สู้กันถึงตอนท้าย เขาจำต้องใช้วิชาอริยะยุทธ์ จึงพอจะต้านทานการโจมตีสะท้านขวัญที่มาจากทั่วทุกสารทิศ


แต่ในเวลาเดียวกัน หลินสวินก็รู้สึกถึงความสะใจที่หายากอย่างที่สุด สัมผัสถึงความรู้สึก ‘อกสั่นขวัญสะเทือน’ ซึ่งการเข่นฆ่าอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้นที่จะสามารถนำพามาได้


การต่อสู้สามารถทำให้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด


และบ่อเกิดของการเปลี่ยนแปลงนี้ก็มาจากคำว่า ‘อกสั่นขวัญสะเทือน’ นี่เป็นความรู้สึกที่สามารถสัมผัสได้ในการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น


การแลกเปลี่ยนฝีมือและการประลองทั่วไป รู้อยู่แล้วว่าไม่ถึงแก่ชีวิต แน่นอนว่าไม่สามารถเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้


มีเพียงภายใต้การกดดันของความเป็นความตายเช่นนี้ ศักยภาพในตัวจึงถูกกระตุ้นออกมาอย่างเต็มที่ แสดงพลังที่เหนือกว่าปกติออกมา!


แน่นอนว่านี่อันตรายมาก หากไม่ระวังก็อาจถึงตายได้!


ตอนนี้โลหิตของหลินสวินร้อนราวกับเพลิงโหม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เดือดพล่าน แต่สภาวะจิตกลับปลอดโปร่งเหนือโลกีย์ นัยเร้นลับของการต่อสู้ไหลหลั่งอยู่ในใจ ทำให้ในระหว่างการต่อสู้เขากระตุ้นศักยภาพออกมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งสู้ก็ยิ่งอาจหาญ


จวบจนกระทั่งตอนท้าย ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขาเริ่มร้อนเร่า ราวกับตื่นจากการหลับใหล ได้โคจรความเร้นลับของมรรคดับดารากลืนกินโดยไม่รู้ตัว…


อานุภาพของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ราวกับเทพมารแห่งการต่อสู้ แต่กลับเพิ่มกลิ่นอายสะท้านขวัญ กลืนกินสรรพสิ่ง…



 

 

 


ตอนที่ 946 กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์

 

ตึง!


พลังหมัดของหลินสวินเรืองแสง ปะทะเข้ากับค้อนยักษ์สายฟ้าที่ทะลวงอากาศเข้ามาอย่างจัง สายฟ้าสาดกระเซ็น ส่งเสียงคำรามอึกทึกเสียดหู


ในเวลาเดียวกัน เงาแส้สีสันสดใสแต่ละวงปกคลุมลงมา ฉีกทำลายห้วงอากาศ อานุภาพน่าตกใจ หมายจะกักร่างของหลินสวินไว้


หลินสวินไม่ถอยแต่ยังเดินหน้า ปากส่งเสียงออกไป ระลอกคลื่นสีทองแผ่กระจาย เขย่าเงาแส้เต็มท้องฟ้าจนแหลกสลาย แปรเป็นละอองแสงแตกซ่าน


ส่วนมือซ้ายของเขาใช้ประทับปี้อั้นออกมา มือขวาสำแดงความเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ สู้กับราชันกึ่งระดับที่มาจากสองข้าง


โครม ตูมๆ


ห้วงอากาศพังทลายราวกับถูกระเบิด


หลินสวินคนเดียวเผยวิชามรรคเยี่ยมยอดที่แตกต่างกัน เผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของราชันกึ่งระดับสี่คนในเวลาเดียวกัน ผงาดผยองและแข็งแกร่งถึงขีดสุด


ที่น่ากลัวที่สุดคือ ในระหว่างนั้นวิญญาณแห่งพลังจิตของเขายังควบคุมดาบหัก โจมตีคู่ต่อสู้อยู่อีกที่ของสนามรบ


ในบรรดาคู่ต่อสู้เหล่านั้นก็มีราชันกึ่งระดับสองคนเช่นกัน!


พวกโค่วซิงอึ้งค้างไปแล้ว ตกใจจนพูดไม่ออก เดิมทีพวกเขายังคิดว่าจะช่วย แต่ไม่นานก็พบว่า ไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะแทรกแซงเลยด้วยซ้ำ


มีเพียงแม่นางเยวี่ยที่เรียกกระพรวนสีม่วงพวงหนึ่งออกมา สำแดงความลึกลับอันไม่มีที่สิ้นสุดของมรรคแห่งศาสตร์ดนตรี ดังกริ๊งๆ อยู่ในสนามรบ ช่วยดาบหักของหลินสวินสกัดกั้นการพุ่งสังหารของศัตรู


แม้จะเป็นเช่นนี้ในใจแม่นางเยวี่ยก็ยังสั่นสะเทือน นางสามารถคาดการณ์ได้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งอย่างมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้!


ทอดสายตามองไปในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของทั้งดินแดนรกร้างโบราณ กลัวว่าคงหาคนที่ทำได้ขนาดนี้ได้ไม่กี่คน


ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงราชครูผู้คุมอำนาจหกคนของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนล้วนเป็นราชันกึ่งระดับ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่พุ่งเข้ามาโจมตี!


แต่หลินสวินกลับใช้พลังปราณระดับกระบวนแปรจุติพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ ปะทะกลุ่มศัตรูอย่างจัง!


……


“ฆ่า!”


ทุกคนจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์สู้จนเดือดดาลแล้วจริงๆ ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา พวกเขาระดมกำลังมา กลับถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งขวางไว้ นี่ขายหน้าเกินไปแล้ว


ในเวลาเดียวกันพลังต่อสู้ของหลินสวินก็ทำให้พวกเขาตกใจ ตระหนักได้ว่านี่คือปีศาจที่มีอานุภาพเย้ยฟ้า จะมองแบบทั่วๆ ไปไม่ได้เด็ดขาด


สิ่งที่ทำให้พวกเขาทนไม่ได้ที่สุดคือ สู้กันจนถึงตอนนี้พวกเขากลับไม่ได้เปรียบเลยสักนิด ถึงขั้นไม่สามารถกำราบคู่ต่อสู้ไว้ได้!


“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายชราที่เป็นหัวหน้าตะเบ็งเสียง เขารู้สึกหวั่นหวาด สงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดชั้นยอดที่มาจากสำนักน่าพรั่นพรึงสำนักใดสำนักหนึ่ง


ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ เองก็โกรธจนหน้าเขียว ในใจตื่นตะลึง


พวกเขายังสงสัยว่า หากไม่ใช่เพราะพวกเขาร่วมมือกันโจมตี คงไม่สามารถสู้กับเด็กหนุ่มคนนี้ได้!


และในสายตาพวกเขา ในโลกปัจจุบันก็มีเพียงแค่เหล่าปีศาจไร้เทียมทานที่อยู่ในสำนักโบราณเท่านั้นจึงจะมีพลังต่อสู้พลิกฟ้าปานนี้ สามารถต่อสู้ข้ามระดับ วิปริตอย่างที่สุด


หลินสวินไม่พูด รอบตัวเขาพลังต่อสู้โคจร เงาร่างราวกับเทพมารโจมตี มีพลานุภาพกลืนกินโลก เข้าปะทะเต็มกำลัง


การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดมาก แรงกดดันยิ่งใหญ่ไม่ใช่ธรรมดา ทว่าในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้ ทำให้ร่างกายของหลินสวินถูกกระตุ้นอย่างสิ้นเชิง ใช้การต่อสู้เคี่ยวกรำพลังยุทธ์ ทั้งร่างรู้สึกปลอดโปร่งสะใจที่ได้ปลดปล่อยถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


ตอนที่อยู่ในเทศกาลโคมกถามรรค เขาได้เคี่ยวกรำของตนสู่ขอบเขตมกุฎแล้ว สามารถกดดันกลุ่มผู้กล้า เข่นฆ่าอวี่หลิงคงอย่างแข็งกร้าว แม้เป็นการประชันในมกุฎมรรคา ก็มีอานุภาพที่เพียงพอจะโจมตีศัตรูให้พ่ายแพ้ยับเยิน


แต่นี่ไม่ได้หมายถึงความสมบูรณ์!


พลังปราณของเขายังไม่เคยไปถึงขั้นสมบูรณ์ในระดับกระบวนแปรจุติ


เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นวิชามรรคอันเยี่ยมยอดอย่างธารดาราหลอมเพลิง หรือหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า เขาก็ไม่เคยเข้าใจแก่นพิสุทธิ์ของมันอน่างปรุโปร่ง


นอกจากนี้การควบคุมมหามรรคธาตุไฟของเขาก็อยู่ในระดับท่วงทำนองแห่งมรรคเท่านั้น ห่างจากระดับเจตจำนงแห่งมรรคอีกก้าวหนึ่ง…


เหล่านี้ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่เป็นพลังแฝง มีเพียงการขุดออกมาอย่างหมดจด และบรรลุให้ถึงขั้นสมบูรณ์ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นมกุฎสมบูรณ์ที่แท้จริง


บางทีในสายตาของคนอื่น เขาได้ยืนอยู่ในระดับที่สูงพอจะทำให้คนรุ่นเยาว์ทุกคนตะลึง แต่สำหรับหลินสวินเอง นี่ยังไม่พอเลยสักนิด


อย่างน้อยเมื่อเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ศัตรูของเขา ก็ยังไม่พอ!


‘วิถียุทธ์ไร้ขอบเขต!’


ในระหว่างการต่อสู้ ในใจหลินสวินเกิดความเข้าใจอย่างหนึ่ง


พลังปราณมีระดับจำกัด แต่วิชายุทธ์กลับไร้ขอบแดน!


อย่างเช่นตอนนี้ พลังปราณของเขาหยุดอยู่ที่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง แต่กับการควบคุมและสำแดงวิชายุทธ์ สามารถค้นพบศักยภาพแฝงรูปแบบใหม่ได้ทุกครั้งไป


ศักยภาพแฝงเช่นนี้มาจากมรรคและวิชาที่ฝึก การหยั่งถึงปริศนาแห่งมหามรรค สามารถทำให้อานุภาพวิชายุทธ์เผยพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าได้


เช่นเดียวกัน การฝึกวิชาลับการต่อสู้ ก็สามารถทำให้อานุภาพวิชายุทธ์ได้รับการยกระดับในรูปแบบใหม่เช่นกัน!


พูดง่ายๆ ก็คือ พลังปราณเป็นต้นกำเนิดของพลัง ตัดสินความแข็งแกร่งและอ่อนแอของวิชายุทธ์


ส่วนวิชาลับที่ฝึกฝน รวมทั้งความเร้นลับแห่งมหามรรคที่หยั่งถึง สามารถทำให้วิชายุทธ์แสดงอานุภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าได้!


อย่างเช่นหลินสวินในตอนนี้ พลังปราณอาจจะยังอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง แต่ไม่ว่าจะเป็นวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิงหรือหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าที่เขาฝึก ขอเพียงแค่นัยเร้นลับนี้ถูกควบคุมอย่างสิ้นเชิง ย่อมสามารถทำให้พลังต่อสู้ของเขาเกิดการยกระดับอย่างชัดเจน


เช่นเดียวกัน การบรรลุและควบคุมมหามรรคธาตุไฟและมรรคดับดารากลืนกินไปได้อีกก้าว ก็สามารถทำให้พลังต่อสู้ในตัวสูงขึ้นตามไปด้วย


นี่ก็คือความเชื่อมโยงระหว่างมหามรรค วิชาลับและวิถียุทธ์


แน่นอนว่าพลังปราณยังคงเป็นรากฐานที่กำหนดพลังยุทธ์ การหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของวิถียุทธ์ไร้ขอบเขต เป็นเพียงแค่วิธีที่ทำให้พลังต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นบนพื้นฐานของการฝึกปราณ


หืม?


หลินสวินที่เคี่ยวเข็ญตัวเองในการต่อสู้ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายถึงขีดสุดเสี้ยวหนึ่ง ทำให้เขาได้สติโดยพลัน


ชิ้ง!


แทบจะในเวลาเดียวกัน จู่ๆ ชายชราที่เป็นผู้นำพวกลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกสมบัติประหลาดที่แผ่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีชิ้นหนึ่งออกมา


นี่คือกระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง สาดส่องเปลวไฟห้าสี สว่างไสวแสบตา ขยายใหญ่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว ปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้


ทันใดนั้นเปลวเพลิงทั่วฟ้าไหลพุ่งลงมา ลายมรรคที่ไม่มีที่สิ้นสุดม้วนตลบปรากฏขึ้น มีอานุภาพเผาฟ้าผลาญดิน อัศจรรย์และน่ากลัวถึงขีดสุด


“กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์!” บนยานสำเภาที่อยู่ห่างไป แม่นางเยวี่ยนัยน์ตาหดรัด สีหน้าเผยความตะลึง ในใจตึงเครียด


สมบัติชิ้นนี้มีชื่อเสียงมากเกินไปแล้ว เคยเปล่งประกายอย่างมากในสมัยบรรพกาล ดุร้ายตะลึงโลก ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งอานุภาพเลิศล้ำเท่าไหร่ถูกมันสังหาร


ว่ากันว่ากระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์หลอมขึ้นจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดห้าชนิด อย่างเพลิงเขียวธาตุไม้อิก เพลิงขาวทองหลอม เพลิงดำวารีพิสุทธ์ เพลิงเหลืองแดนพิภพ เพลิงแดงสมบัติสุริยัน วิวัฒน์เป็นแก่นอัศจรรย์ปัญจธาตุ เรียกได้ว่าหลอมจักรวาล ผลาญธารดารา!


ตำนานเกี่ยวกับสมบัตินี้มีมากมาย ลือกันว่าอริยะบรรพกาลคนหนึ่งหลอมขึ้นกับมือ ตอนที่หลอมสำเร็จ สุริยันจันทราไร้ประกาย ภูเขาแม่น้ำในระยะแสนลี้กลายเป็นขี้เถ้า หมื่นวิญญาณดับสูญ ราวกับพิบัติเคราะห์สิ้นโลกกำลังจะมาเยือน ปรากฏการณ์ประหลาดตะลึงโลก


ที่ผ่านมาเมื่อสมบัติชิ้นนี้ปรากฏขึ้น บรรดาอริยะต้องหลีกทาง กำจัดผู้เก่งกาจบรรพกาลมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่!


สรุปแล้วนี่คือสมบัติอริยะกายสิทธิ์ชิ้นหนึ่ง มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล เคยเผยอานุภาพเทียมฟ้าในสมัยนั้น


แต่จากนั้นแม่นางเยวี่ยก็ตระหนักได้ว่า สมบัติที่ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เรียกออกมานี้ คงจะเป็นเพียงแค่ของลอกเลียนแบบ แม้ฤทธิ์เดชจะน่ากลัว แต่ไม่มีอานุภาพไร้เทียมทานเพียงพอจะสะเทือนสวรรค์และสยบแดนดินฝั่งหนึ่ง


ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลอกเลียนชิ้นนี้ก็เพียงพอจะสร้างความตื่นตะลึง ราวกับเตาหลอมป่วนโลก ประหนึ่งสามารถผลาญสรรพสิ่ง ทำให้ไม่อาจจินตนาการได้ว่า เมื่อกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงปรากฏขึ้นจะน่ากลัวเพียงใด


แม้หลินสวินไม่รู้จักสมบัติชิ้นนี้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างที่สุดในทันที พลันขนลุกไปทั้งตัว


“สามารถบีบให้ข้าเรียกสมบัติชิ้นนี้ออกมา เจ้าก็สามารถตายอย่างไม่เสียดายได้แล้ว” ชายชราพูดเรียบๆ เสียงเยียบเย็นอย่างที่สุด


เขาในตอนนี้มั่นใจไร้ใดเปรียบ


ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ ต่างถอยออก ไม่ยอมถูกม้วนเข้าไป พวกเขารู้ถึงความน่ากลัวของกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ หากว่าพวกเขาถูกปกคลุมก็จะประสบเคราะห์เช่นกัน


ครื้นโครม


กระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ราวกับสุริยันห้อยโหนกลางอากาศ สาดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันห้าประเภทลงมา ราวกับเพลิงสวรรค์พวยพุ่ง เป็นภาพที่งดงามและน่าสะพรึงถึงขีดสุด


“น่าขัน!”


กลับเห็นหลินสวินนิ่งสงบไม่หวาดกลัว มุมปากเผยความดูถูกอย่างไม่มีปกปิดเลยสักนิด


ราชันกึ่งระดับหกคน กลับทำได้เพียงใช้สมบัติกำราบเขา นี่ดูน่าขันมากจริงๆ หลินสวินยังรู้สึกขายหน้าแทนพวกเขา


น่าขัน!


สองคำนี้เป็นคำแรกที่หลินสวินพูดตั้งแต่ต่อสู้มา ความเย้ยหยันและดูถูกที่ไม่ปกปิดนั่น ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต่างสีหน้าเคร่งขรึม ดูแย่ขึ้นมา


เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ความตายมาเยือนแล้วยังไม่รู้จักกลัว กลับยังมีหน้ามาเย้ยหยันพวกเขา นี่ทำให้พวกเขาข่มอารมณ์บนใบหน้าไม่อยู่แล้ว


“เจ้าหนุ่ม อย่าว่าแต่เจ้ายังไม่เติบใหญ่เลย ต่อให้เติบใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะล่วงเกินได้!”


“ไม่ว่าจะพลิกฟ้าแค่ไหน ก่อนที่จะกลายเป็นราชันก็ยังเป็นแค่มดปลวกอยู่ดี”


“สหายยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระ ใช้พลังทั้งหมดที่มีหลอมมันเถอะ!”


สายตาของราชันกึ่งระดับเหล่านั้นราวกับจ้องคนตายคนหนึ่ง สีหน้าอึมครึม ไม่ฆ่าหลินสวินซะก็ไม่สามารถล้างความอับอายในใจพวกเขาได้


ความจริงตอนที่พวกเขาส่งเสียง หลินสวินก็ถูกห่อหุ้มอยู่ในเขตแดนที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมแล้ว กำลังหลบการโจมตีของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่พวยพุ่งลงมาก


นี่ทำให้หัวใจของพวกแม่นางเยวี่ยและโค่วซิงต่างแขวนลอยขึ้นมา กังวลถึงขีดสุด


ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ไม่มีเวลาแบ่งสมาธิ เพราะศัตรูที่พวกเขาเผชิญก็ฉวยโอกาสเปิดการโจมตีอย่างดุเดือด


หากไม่ใช่เพราะดาบหักทะยานอากาศ สกัดกั้นอย่างเต็มกำลัง เกรงว่าพวกเขาคงประสบเคราะห์ไปตั้งนานแล้ว!


สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย เหมือนว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ


“ตายซะ!”


ชายชราที่เป็นหัวหน้าพูดอย่างนิ่งสงบ ในสายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา กระตุ้นกระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีพุ่งดิ่งลงมาราวกับน้ำตก สว่างไสวและแสบตา เผาอากาศจนถล่มทลาย


“ตายหรือ ข้าอยากดูนักว่าใครจะตายก่อน!”


และพร้อมกันนั้นเอง หลินสวินพลิกมือออกไป ขวดหยกมันแพะใบหนึ่งที่มีขนาดเพียงไม่กี่ชุ่นโฉบพุ่งกลางอากาศอย่างกะทันหัน แผ่แสงประกายอันคลุมเครือและแปลกประหลาดแถบหนึ่งออกมา


ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต!


ตั้งแต่เมื่อครั้นอยู่ในเทศกาลโคมกถามรรค ขวดนี้ก็ได้สั่งสมอานุภาพของกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันจนเต็มแล้ว เดิมทีหลินสวินวางแผนว่าจะใช้ตอนฆ่าพวกมู่เจี้ยนถิง ภายหลังเพราะซย่าจื้อพุ่งสังหาร ทำให้ขวดนี้ไม่เคยได้แสดงอานุภาพออกมาเสียที


แต่ตอนนี้หลินสวินไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่นแล้ว กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่สร้างภัยคุกคามให้เขามากเกินไป สุ่มเสี่ยงถึงชีวิต ไม่สามารถเก็บรั้งไว้ได้


วู้ม!


ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตเปล่งแสง พลังกระบวนผนึกมรรคราชันที่ถูกสั่งสมไว้ซัดกระจายออกมา และอานุภาพนั้นแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัวเต็มๆ


ทันใดนั้นฟ้าดินตกตะลึง ห้วงอากาศแถบนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย!



 

 

 


ตอนที่ 947 เฉือนสังหาร

 

แม้กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติลอกเลียนแบบ แต่กลับผ่านการหลอมจากอริยะที่แท้จริง อานุภาพจึงน่ากลัวอย่างที่สุดเช่นกัน แข็งแกร่งกว่ายอดศาสตรามรรคราชันหนึ่งระดับใหญ่


หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้พลังต่อสู้ที่หลินสวินแสดงออกมาพลิกฟ้าเกินไป ชายชราที่เป็นหัวหน้าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ใช้สมบัติระดับนี้กับเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง


ตอนนี้เห็นว่ากระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์สำแดงฤทธิ์ เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจะถูกสังหาร กลุ่มคนจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต่างหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา


อย่างที่พวกเขาพูดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้กล้าที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ก่อนที่จะกลายเป็นราชันก็ยังคงเป็นเหมือนมดปลวก สามารถชี้เป็นชี้ตายได้


แต่ไม่นานสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป!


เด็กหนุ่มที่ถูกพวกเขามองว่าจะกลายเป็นเถ้าถ่าน หลังจากเรียกขวดเล็กแปลกประหลาดใบหนึ่งออกมา ก็ทำให้ทุกอย่างเกิดการพลิกผัน…


ตูม!


พลังต้องห้ามอันน่ากลัว ราวกับน้ำท่วมจากเขื่อนแตกพวยพุ่งออกจากขวดเล็กนั่นอย่างมืดฟ้ามัวดิน แผ่กว้างไปทั่วทั้งที่นั้นทันที


รอยสลักวิญญาณหนาแน่นและเรืองรองกะพริบวาบ สำแดงอานุภาพที่คลุมเครือและน่าพรั่นพรึงออกมา แพร่กระจายในฟ้าดินผืนนี้


ครืน… เพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่กระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยออกมา ยามนี้ยังไม่ทันได้เผยพลานุภาพก็ถูกท่วมท้น โจมตีจนกระจายและดับสูญจนสิ้น


นี่ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตัวแข็งทื่อ แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง!


นี่มันสมบัติอะไร ทำไมถึงมีพลานุภาพน่าหวั่นหวาดเพียงนี้


ตึง!


ในห้วงอากาศ กระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์เองก็ได้รับผลกระทบ ส่งเสียงดังหึ่งอย่างรุนแรง สั่นไม่หยุด แทบจะถูกคลื่นผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงกลัวท่วมท้น


แม้แต่แม่นางเยวี่ยยังอึ้งค้าง เดิมทีนางคิดว่าหลินสวินจะเรียกเจดีย์สมบัติที่เคยแผลงฤทธิ์อย่างยิ่งใหญ่ในเทศกาลโคมกถามรรค เพราะโลกภายนอกต่างกำลังเล่าลือว่า เจดีย์สมบัตินั่นสามารถสกัดกั้นพลังของตำหนักอมตะได้ เป็นสมบัติอริยะที่อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบอย่างแน่นอน


แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ขวดหยกมันแพะเล็กๆ ใบหนึ่งที่หลินสวินเรียกออกมากลับยังสามารถแสดงอานุภาพที่น่ากลัวปานนี้ได้


นางถึงขั้นสงสัยว่า การโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่แท้จริงก็คงไม่ต่างจากนี้!


“สวรรค์…”


“คุณชายหลินซย่าแกร่งเกินไปแล้ว!”


พวกโค่วซิงสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ รู้สึกตะลึงอย่างมากเช่นกัน


ตูม!


กระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์สั่นไหวโอนเอน ส่งเสียงคำรามหึ่งอย่างรุนแรง แทบจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว


ไม่เพียงเท่านี้ พลังต้องห้ามที่ราวกับกระแสน้ำหลากนั้น ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายอยู่รอบทิศต่างได้รับผลกระทบไปด้วย


ในชั่วขณะทั้งที่นั้นวุ่นวายอลม่าน เสียงกรีดร้อง เสียงอุทานด้วยความตกใจ เสียงคำรามอย่างเดือดดาลดังอย่างไม่ขาดสาย


“น่าชังนัก นี่มันพลังต้องห้ามอะไรกัน เหตุใดจึงน่ากลัวเพียงนี้”


ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งไม่ทันระวัง ถูกม้วนเข้าไปอยู่ในกระแสน้ำต้องห้าม ร่างกายราวกับถูกภูเขาใหญ่กดทับ กระดูกเอ็นแตกหัก ปากกระอักเลือด


ข้างๆ เขา ลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์หลายคนส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ถูกคลื่นผนึกต้องห้ามท่วมทับโดยตรง เพียงพริบตาก็ตายคาที่


นอกจากนี้ ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ เองก็ลำบากไม่ต่างกัน ต่างหลบหนีและต่อต้านอย่างสะบักสะบอม แต่ละคนทั้งโกรธทั้งกลัว ไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งนี้ได้


การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้กะทันหันเกินไป ใครก็คิดไม่ถึงว่าขนาดเรียกกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว แต่สิ่งที่ได้มากลับไม่ใช่ความตายของคู่ต่อสู้ แต่เป็นสถานการณ์ที่พลิกผัน!


ที่เลวร้ายที่สุดคือชายวัยกลางคนชุดคลุมดำคนนั้น ก่อนหน้านี้เขาถูกหลินสวินโจมตีจนบาดเจ็บหนัก เกือบจะตายแล้ว


ตอนนี้เมื่อถูกคลื่นผนึกต้องห้ามพุ่งโจมตี เขายืนหยัดไม่ไหวทันที เผ้าผมและขนทั่วร่างกายถูกเผา ผิวหนังไหม้เกรียม ร่างกายราวกับถูกเตาหลอมเผาผลาญ ไม่เหลือพื้นที่ที่สมบูรณ์อีกเลยแม้แต่ส่วนเดียว


เขาแทบจะใช้พลังทั้งหมดกว่าจะฝืนหลุดจากพลังผนึกต้องห้ามได้ หนีไปในระยะไกลอย่างบ้าคลั่ง


เพียงแต่เขายังไม่ทันได้หลบ ก็ถูกหลินสวินที่ออกโจมตีมาแต่แรกขวางไว้


“เจ้า…” ชายวัยกลางคนตกใจจนวิญญาณเกือบบินออกจากร่าง จากนั้นเขาถูกหลินสวินกระแทกจนร่างแหลกในหมัดเดียว ละอองเลือดสาดกระเซ็นขึ้นสูง


ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งโดนฆ่า!


พวกของโค่วซิงเห็นเช่นนี้ลูกตาก็แทบหลุดออกมา แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ราวกับเทพมารที่ฝืนฟ้าตัดวิถี แม้แต่ราชันกึ่งระดับยังถูกฆ่าอย่างแข็งกร้าว นี่ยากจะเชื่อยิ่งนัก


“กล้านัก!”


ราชันกึ่งระดับลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ เบิกตาถลน โกรธจนหน้าเขียว พุ่งสังหารมาทางนี้


โดยเฉพาะชายชราที่เป็นหัวหน้า เร่งเร้ากระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์อย่างสุดกำลัง แปรเป็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวเต็มท้องฟ้า เข้ากำราบอย่างรวดเร็ว หมายจะกำจัดหลินสวินอย่างสิ้นเชิง


ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังที่ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตปลดปล่อยออกมา แม้ช่วยหลินสวินคลี่คลายวิกฤตได้ และโจมตีกลุ่มศัตรูจนรับมือไม่ทัน แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่พลังในตัวของหลินสวิน ไม่นานก็ยุบทลาย ทำให้ราชันกึ่งระดับเหล่านั้นมีโอกาสหายใจและโต้ตอบ


ทว่าหลินสวินหลุดรอดแล้ว ราวกับเสือร้ายออกจากกรง แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง ใต้เท้าปรากฏชือน้ำแข็งตัวหนึ่ง ทะยานฟ้าพร้อมเสียงมังกรครวญ


และในฝ่ามือของเขา ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตถูกเร่งเร้า ราวกับหลุมดำที่ลึกไม่เห็นก้น กำลังดูดกลืนพลังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ตกลงจากฟ้า


“หืม? แย่แล้ว!” ชายชราที่เป็นผู้นำตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าขวดเล็กนั่นจะอัศจรรย์และแปลกประหลาดเช่นนี้ สามารถกลืนกินและหลอมพลังของกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ นี่มันเกินคาดมากไปแล้ว


นี่ก็คือความอัศจรรย์ของขวดมหามรรคไร้ขอบเขต ไม่เพียงสามารถโจมตีได้ ยังสามารถกลืนการโจมตีของอีกฝ่าย สั่งสมไว้ในตัวขวด มหัศจรรย์ไร้เทียมทาน


ฉวยโอกาสนี้ หลินสวินได้ออกโจมตีอย่างแข็งกร้าวแล้ว


ปัง!


ประทับปี้อั้นทะยานฟ้า ล้อมรอบด้วยอานุภาพที่แข็งแกร่งทนทาน ไม่สามารถสั่นคลอน บดขยี้ห้วงอากาศสังหารออกมา


เสียงปังดังลั่น ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งถูกตบจนปลิวในทันที ร่างกายสั่นสะท้าน ส่งเสียงโหยหวน เพียงแต่ชั่วพริบตาเสียงร้องของเขาก็หยุดไป


เพราะชือน้ำแข็งตัวหนึ่งพุ่งออกมา ขาวเป็นประกายราวกับหิมะ ร่างที่ใหญ่ราวกับภูเขาขดล้อมรัดตัวเขาจนตาย เลือดเนื้อร่วงหล่น


ราชันกึ่งระดับถูกสังหารอีกคน!


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว หลินสวินในตอนนี้เหมือนมังกรคลั่งออกจากเหว เทพมารหลุดพ้น พลังต่อสู้ทำลายล้าง ปราบปรามคู่ต่อสู้


ทุกคนตื่นตะลึง ต่างรู้สึกสันหลังเย็นวาบ


“เดรัจฉาน! ตายซะ!” ชายชราที่เป็นหัวหน้าโกรธจนคลั่ง กระตุ้นกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


ครืนโครม ที่แห่งนี้เพลิงศักดิ์สิทธิ์รุนแรง เปลวเพลิงสีขาว ดำ ทอง เขียว เป็นประกายราวกับฝน ปกคลุมห้วงอากาศ ราวกับทะเลเพลิงที่สีสันสวยงามผืนหนึ่ง


สมัยบรรพกาล กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามปราบปรามโลก เพียงพอที่จะทำให้อริยะทุกคนถอยหนี สังหารผู้ยิ่งใหญ่ที่สะเทือนฟ้าดินมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นจะมีชื่อเสียงดุร้ายตะลึงโลกเช่นนี้ได้อย่างไร


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าแม้จะเป็นของเลียนแบบ แต่อานุภาพยังคงไม่อาจดูถูกได้ เพียงพอที่จะทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันไม่กล้าสู้


แต่ตอนนี้ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่า หลินสวินที่มีขวดมหามรรคไร้ขอบเขตในมือ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากทุกอย่างบนโลก กลืนกินฝนเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั่วฟ้าอย่างง่ายดาย


ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่บาดเจ็บเลยสักนิด ราวกับคนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย นี่ทำให้ทุกคนตัวแข็งค้าง ไม่สามารถจินตนาการ และไม่เคยเจอเรื่องที่มหัศจรรย์และแปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน


ขวดเล็กนั่นเป็นสมบัติพลิกฟ้าระดับใดกันแน่


และในเวลาเดียวกัน หลินสวินก็กระตุ้นเร้าความเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร อานุภาพสะท้านขวัญเข้าสังหารคู่ต่อสู้


ปึก!


ไม่กี่อึดใจเท่านั้น ราชันกึ่งระดับอีกคนก็ประสบเคราะห์ ถูกปะทะฟู่ซี่ของหลินสวินกระแทกจนปลิว ระหว่างที่ลอยคว้างกลางอากาศก็ระเบิดกระจุยกะทันหัน ละอองเลือดสาดกระเซ็น แดงฉานสยดสยอง


ผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต่างใจหาย ทั้งเดือดดาลทั้งหวาดกลัว ตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน แต่ไม่เคยคิดเลยว่ากระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เกิดผล ไม่สามารถทำอะไรเด็กหนุ่มคนนี้ได้


“แย่แล้ว!”


ชายชราที่เป็นหัวหน้าถอยร่น สังเกตเห็นว่าหลินสวินพุ่งสังหารเข้ามาแล้ว พลานุภาพหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้เขามีความรู้สึกกดดันที่ไม่กล้าปะทะซึ่งหน้า


แทบจะในเวลาเดียวกัน กลุ่มลูกศิษย์และราชันกึ่งระดับสองคนของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังโจมตีพวกแม่นางเยวี่ยและโค่วซิงต่างรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ล้วนพุ่งมาล้อมหลินสวินโดยไม่สนใจอย่างอื่น


จะว่าไปก็ทำให้พวกเขาอัดอั้น ตั้งแต่เริ่มต่อสู้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะสามารถเหยียบย่ำยานสำเภาลำนั้นให้แหลกได้อย่างง่ายดาย แล้วสังหารพวกแม่นางเยวี่ยเสีย


เคยคิดเสียที่ไหนว่าดาบหักเล่มเดียวเท่านั้นก็ปิดกั้นการโจมตีของพวกเขา แม้แต่ราชันกึ่งระดับสองคนยังไม่สามารถทะลวงเข้าไปได้


นี่ทำให้พวกเขาต่างสงสัย หากหลินสวินจดจ่อกับการต่อสู้ ไม่ต้องคอยห่วงพวกแม่นางเยวี่ย จะสามารถแสดงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าใช่หรือไม่


คำตอบคือใช่!


เพราะตอนที่พวกเขาพุ่งเข้ามา หลินสวินก็หมดห่วงและไม่มีอะไรต้องพะวงอย่างสิ้นเชิง ความคิดขยับไหว เรียกดาบหักกลับมา โจมตีอย่างแข็งกร้าว


กระบวนเฉือนคว้าดารา!


กระบวนเฉือนสอยจันทรา!


กระบวนเฉือนเผาตะวัน!


ในชั่วพริบตา ดาบหักระเบิดอานุภาพที่น่าหวั่นหวาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คมดาบเจิดจ้าราวกับหิมะสว่างไสวถึงขีดสุด เผยความเร้นลับแท้จริงของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าออกมา


ฟุ่บๆๆ…


เหล่าลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังปราณเพียงระดับกระบวนแปรจุติประสบเคราะห์ในชั่วพริบตา บ้างถูกตัดหัว บางถูกผ่าเป็นสองท่อน บ้างถูกปราณดาบที่ตัดสลับไปมากรีดเฉือนจนเนื้อละเอียดในทันที…


แม้แต่ราชันกึ่งระดับสามคนที่เหลืออยู่ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน แทบจะสติหลุด ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าสถานการณ์จะมาถึงขั้นนี้


เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง กลับสังหารพวกเขาจนพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนั้นหรือ


ต่อให้กระจายไปสู่โลกภายนอก ใครจะกล้าเชื่อกัน


นี่เหลือเชื่อเกินไป ไม่สมจริงราวกับฝันร้าย!


ตอนนี้ความแข็งแกร่งของหลินสวินถูกเผยออกมาอย่างเต็มที่ แม้แต่อาวุธสังหารที่ชื่อเสียงดุร้ายอย่างกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ยังยากจะขวางกั้นฝีเท้าของเขา


“รีบไป!”


ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งจะหนี เพราะเขารู้ว่าสถานการณ์อันตรายมากแล้ว เสียเปรียบอย่างมาก ขืนสู้ต่อไปความสูญเสียก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะวินาศโดยสิ้นเชิง


เสียดายที่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ทั้งร่างหลินสวินปะทุราวกับสายฟ้าน่าตะหนก โคจรอานุภาพของดาบหักจนถึงขีดสุด ฟันสังหารออกไป


กระบวนเฉือนนภาสงัด!


เสียงฉึกดังขึ้น ดาบหักดิ่งลง ผ่าพลังป้องกันของราชันกึ่งระดับคนนั้นออก โจมตีจนโล่สำริดที่เขาเรียกออกมาแหลกละเอียดไปด้วย จากนั้นเฉือนศีรษะของเขาจนหลุด เลือดสดพรั่งพรู


หลินสวินพุ่งออกไปอีก เข้าจู่โจมชายชราที่เป็นหัวหน้าโดยไม่หันมองด้วยซ้ำ


ตึง!


กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสง ระเบิดฝนเพลิงออกไป พุ่งเข้าหาหลินสวินอย่างแรงเหมือนจะเผาทำลายสรรพสิ่ง


หลินสวินไม่มีหลบเลี่ยง ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตถูกเขาโคจรอย่างต่อเนื่อง ปากขวดพรั่งพรูแสงประกายสดใสคลุมเครือ กลืนกินและหลอมอย่างต่อเนื่อง


ฉัวะ!


ดาบหักจู่โจมออกมา ชายชราตกใจหนัก หมุนตัวหนีทันที จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พังทลายอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้าลังเลอีก


ทว่าดาบหักราวกับภูตผี เคลื่อนผ่านอากาศตามมาไล่สังหารต่อ แม้ชายชราจะพยายามคลี่คลาย ก็ยังคงถูกดาบหักฟาดฟันไหล่ แขนถูกฟันขาดไปท่อนใหญ่


ไวเกินไปแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา


หลินสวินสังหารกลุ่มลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก่อน แล้วฉวยโอกาสฆ่าราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง ตอนนี้ทำให้ชายชราที่เป็นผู้นำก็ประสบเคราะห์ไปด้วย!



 

 

 


ตอนที่ 948 เจตจำนงอริยะ

 

พวกโค่วซิงอึ้งค้างอยู่ตรงนั้นอย่างสิ้นเชิง


คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มที่เจ้าเฒ่าสากกะเบือเฒ่าไป่เฟิงหลิวฝากมา จะเป็นปีศาจไร้เทียมทานที่เก็บซ่อนความสามารถลึกล้ำขนาดนี้!


ก่อนที่ศึกนี้จะเริ่มขึ้น พวกเขาต่างรู้สึกหมดหวังเพราะพลังของคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป


ราชันกึ่งระดับถึงหกคนกับกลุ่มมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ใครจะไม่หมดหวัง


แม้พวกเขาจะเป็นนักผจญภัยที่เข้าออกในแม่น้ำพรมแดนตลอดทั้งปี แต่คนเถื่อนที่โหดเหี้ยมอย่างพวกเขากลับรู้ความสามารถของตนดี ว่าไม่เพียงพอจะเผชิญกับพลังระดับนั้นเลยสักนิด!


แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับทำให้พวกเขาสงสัยในสายตาของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ตะลึงจนขวัญหนีซ้ำไปมา


คุณชายหลินซย่าเพียงคนเดียวก็ต้านการกดดันของกลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ ช่างเหมือนเทพมารที่ไร้เทียมทาน สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้!


ที่น่ากลัวที่สุดคือ ต่อสู้กันจนถึงตอนนี้มีราชันกึ่งระดับถึงสามคนถูกเขาสังหารอย่างแข็งกร้าว และมีลูกศิษย์มากกว่าครึ่งของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ทันได้ดิ้นรนก็ถูกสังหาร เลือดสาดกระเซ็นคาที่!


หากไม่ใช่เพราะเห็นกับตา คงไม่มีใครกล้าเชื่อ


และตอนนี้ ในสายตาของพวกโค่วซิง หลินสวินเปรียบเสมือนเทพมารที่ไม่มีใครต้านทานได้ มีท่าทางผงาดผยองที่สามารถกำราบศัตรูทั้งปวงได้


แม่นางเยวี่ยเองก็ไม่สามารถนิ่งสงบได้ นึกถึงหลายเรื่องในชั่วขณะนี้


นึกถึงบุตรเทพแต่กำเนิดแห่งเผ่านกปี้ฟางที่ถือกำเนิดในแดนเร้นอริยะ


นึกถึงเด็กหนุ่มผู้ถือกำเนิดจากครรภ์แหล่งกำเนิดทองคำสวรรค์ประทานที่เคยได้เจอในสำนักเมื่อครั้งยังเด็ก ตอนนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักยังต้องเกรงใจและสุภาพต่อเด็กหนุ่มคนนั้นสามส่วน


นึกถึง…


ความคิดที่สับสนวุ่นวายเกิดขึ้น ปีศาจไร้เทียมทานแต่ละคนที่เคยสร้างรอยประทับลึกล้ำในความทรงจำให้กับแม่นางเยวี่ย ต่างผุดขึ้นมาเปรียบเทียบกับหลินสวินในตอนนี้


สุดท้ายนางได้ข้อสรุปที่ทำให้ตัวนางเองยังอึ้งไม่น้อย ตั้งแต่ต้นจนจบ กลับหาใครที่สามารถสยบหลินสวินอย่างง่ายดายไม่ได้เลย!


‘หรือว่า… เจ้าหมอนี่จะสามารถเทียบเคียงพวกสัตว์ประหลาดในแดนเร้นอริยะได้แล้ว…’ แม่นางเยวี่ยความคิดล่องลอย ดูเหม่อไปบ้าง


……


ในบริเวณนั้นการต่อสู้ยังคงดำเนินอยู่


เพียงแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นการขับเคลื่อนฝ่ายเดียว หลินสวินโคจรวิชาของตน ดาบหักลอดผ่านห้วงอากาศ กำลังโจมตีสังหารคู่ต่อสู้เต็มกำลัง


ฝั่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหลือราชันกึ่งระดับเพียงสามคนแล้ว เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาต่างถูกฆ่าจนอกสั่นขวัญหนี จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พังเกือบจะพังทลาย กำลังจะสิ้นหวังแล้ว


ตีหัวให้แตกพวกเขาก็ไม่กล้าเชื่อ ในสถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบอย่างแน่นอน กลับแพ้ด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งยังแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้!


ลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ยิ่งสุดจะรับได้ แต่ละคนต่างขาสั่น ตกใจจนขวัญเสียหนีเตลิดออกไป ตื่นตระหนกราวกับสุนัขไร้บ้าน เมื่อเทียบกับความโหดเหี้ยมเย็นชาก่อนหน้านี้แล้ว ราวกับเป็นคนละคน


ปัง!


ทันใดนั้นเสียงปะทะสะเทือนหูดังสนั่นขึ้น เตาหลอมเพลิงแดงที่อยู่ข้างๆ ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งถูกดาบหักเฉือนจนแหลกละเอียด ระเบิดดังสนั่น ทำให้เขาได้รับผลกระทบไปด้วย ผมและเคราลุกไหม้ขึ้นมา


แต่สุดท้ายก็รอดชีวิต นี่ทำให้เขาหวาดผวาและอดรู้สึกโชคดีที่รอดจากความตายไม่ได้


เพียงแต่ยังไม่รอให้เขาดีใจ พลังหมัดสว่างไสวก็ทะลวงห้วงอากาศเข้ามา!


ตูม!


เขาเบิกตาโพลงโดยพลัน ในครรลองสายตาพลังหมัดนั่นราวกับขยายใหญ่ไร้ขีดจำกัด เต็มไปด้วยแสงมรรคอันน่ากลัวที่ทำให้ฟ้าดินยังสั่นสะเทือน ปั่นป่วนจักรวาล


นี่ ยังใช่พลังที่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติสามารถมีได้อีกหรือ เด็กหนุ่มคนนี้เขา… เขาเป็นใครกันแน่


นี่ก็คือความคิดสุดท้ายก่อนตายของราชันกึ่งระดับคนนี้


จากนั้นเขาก็ถูกทำลายล้างด้วยพลังหมัดรุนแรง ร่างกายราวกับกระจกสีที่ระเบิดออก เนื้อเลือดกระจายในทันที


ราชันกึ่งระดับถูกฆ่าอีกคน!


หลินสวินในตอนนี้เส้นผมสีดำพลิ้วไหว บนใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉย เสื้อผ้าเปื้อนเลือดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


นั่นล้วนเป็นเลือดของศัตรู แดงสดเสียดตา ทั้งยังไม่เคยแห้ง ขับเน้นให้เขามีอานุภาพน่าหวั่นหวาด ราวกับเทพมารกระหายเลือด


“เจ้า…”


“น่าชังนัก!!!”


ชายชราที่เป็นหัวหน้าและราชันกึ่งระดับอีกคนเดือดดาลตาแทบถลน หางตาต่างกำลังหลั่งเลือด โกรธจนแทบคลั่ง ทั้งยังตกใจจนเย็นวาบไปทั้งตัว


ฝึกปราณจนถึงวันนี้ พวกเขายังไม่เคยสะบักสะบอมขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คู่ต่อสู้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น! ทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางเท่านั้น!


“ตาพวกเจ้าแล้ว” หลินสวินก้าวย่างมา ชือน้ำแข็งที่ขาวดั่งหิมะปรากฏใต้เท้า เบิกทางให้เขา อานุภาพตะลึงโลก


เปิดฉากสังหารแล้ว เขาไม่คิดจะไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว


ตอนแรกที่เริ่มรบ เขาต้องการใช้การต่อสู้เคี่ยวกรำตนเอง กระตุ้นศักยภาพแฝงแห่งวิชายุทธ์ จึงยังไม่ได้ลงมืออย่างเด็ดขาดเสียที


ถึงขั้นพูดได้ว่า หากอีกฝ่ายไม่ได้เรียกกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาไวขนาดนั้น การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะไม่ปรากฏภาพดังเช่นที่ปรากฏตรงหน้าไวขนาดนี้


พูดอีกนัยหนึ่ง ก่อนหน้านี้หลินสวินเพียงแค่ใช้พวกเขาเป็นหินลับมีดก็เท่านั้น


สำหรับเขาในตอนนี้ ราชันกึ่งระดับอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่ขอเพียงแค่ไม่ใช่พวกที่วิปริตเกินไป ก็ไม่สามารถสยบหลินสวินได้จริงๆ


ต้องรู้ว่าตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นสมบูรณ์ เขาก็เคยสังหารราชันกึ่งระดับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกับมือมาแล้ว!


“แย่แล้ว…”


ชายชราที่เป็นผู้นำหน้าซีด เขาพยายามหนีเต็มกำลังแต่ก็ถูกเพ่งเล็งไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่สามารถหลุดพ้นได้ นี่ทำให้เขาตระหนักได้อย่างสิ้นเชิงว่า วันนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตัวเองจะตายที่นี่


เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งเองนะ!


ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้


ชายชราจิตใจห่อเหี่ยวไร้ที่พึ่งจนแทบจะทรุดแล้ว


วู้ม!


ทว่าตอนนี้เอง จู่ๆ ในกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเขาควบคุมก็ส่งพลังเจตจำนงที่น่ากลัวออกมา กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร ทะลวงผ่านทั้งบนและล่างจักรวาล!


“ประทับเจตจำนงที่อริยะเสริมเพิ่มเข้าไปในสมบัตินี้!” สีหน้าของแม่นางเยวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“ของบ้าๆ นี่อีกแล้ว!”


หลินสวินเองก็สีหน้าเคร่งขรึมลง โคจรขวดมหามรรคไร้ขอบเขตจนถึงขีดสุด ประกายแสงคลุมเครือเจิดจ้าไหลพรั่งพรู


ตอนนั้นหลังจากสังหารอวี่หลิงคง ในตำหนักอมตะก็เคยปรากฏพลังทำนองนี้มาแล้ว ทำให้หลินสวินได้รับผลกระทบรุนแรงที่ยากจะจินตนาการ


และตอนนี้ ในกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่กลับปลุกพลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของอริยะขึ้นมา ทำให้หลินสวินรู้สึกหวาดหวั่น


แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่ได้เลือกที่จะเข่นฆ่า แต่แปรเปลี่ยนเป็นละอองแสงทั่วฟ้า พาผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหนีกลับไป


ชายชราที่เป็นหัวหน้าดีใจมาก นี่เป็นการรอดจากความตายอย่างแน่นอน!


หลินสวินสีหน้าอึมครึม จะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร พลันควบคุมดาบหักเข้าไปสังหาร


“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ในกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏเสียงกึกก้องยิ่งใหญ่ออกมา เย็นชาไร้อารมณ์ น่าตกใจราวกับผู้ครอบครองเก้าสวรรค์


ตูม!


ชั่วพริบตากระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวราวกับสุริยันดวงใหญ่ ร้อนแรงและน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ค่อยๆ หมุนท่ามกลางอากาศ สาดฝนเพลิงศักดิ์สิทธิ์นับหมื่น


เพลิงเขียวธาตุไม้อิก เพลิงขาวทองหลอม เพลิงดำวารีพิสุทธ์ เพลิงเหลืองแดนพิภพ เพลิงแดงสมบัติสุริยัน… หนาแน่นราวกับพายุรุนแรง ปกคลุมฟ้าดินทั้งผืน


อานุภาพนั่นน่าสะพรึงเกินไป แข็งแกร่งกว่าที่ชายชราคนนั้นใช้ไม่รู้เท่าไหร่!


พวกแม่นางเยวี่ยแข็งทื่อไปทั้งตัว เป็นใครก็คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์ที่หลินสวินกำลังจะได้รับชัยชนะ กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้น


พลังเจตจำนงของอริยะนั่น น่ากลัวไร้ขอบเขตอย่างชัดแจ้ง


ภายใต้การโจมตีนี้ กลัวว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าปะทะ!


แต่สิ่งที่ทุกคนยากจะเชื่อคือ ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงขีดสุดเช่นนี้ หลินสวินไม่ถอยกลับยังเดินหน้าพุ่งเข้าไป!


นี่…


พวกแม่นางเยวี่ยอึ้ง


ในสายตาของพวกเขา เงาร่างของหลินสวินถูกฝนเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้จำกัดท่วมท้นในชั่วพริบตา มองไม่เห็นอีก


แต่ไม่นานพวกเขาก็สังเกตเห็นว่า ฝนเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นหายไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ… ราวกับถูกเหวลึกกลืนกินไปอย่างไร้สุ้มเสียงอย่างไรอย่างนั้น


จากนั้นเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏท่ามกลางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ราวกับภาพมายา ในฝ่ามือของเขา ขวดหยกมันแพะซึ่งยาวไม่กี่ชุ่นพรั่งพรูแสงมรรคที่แปลกประหลาดคลุมเครือ กำลังกลืนกินเพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีซึ่งเทลงมาจากทั่วสารทิศ…


ชิ้ง!


ในเวลาเดียวกัน ดาบหักทะยานฟ้าโดยไม่กลัวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันน่าหวาดหวั่นนั่น ฟันลงบนกระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์


เสียงกึกก้องดังสนั่น ฟ้าดินต่างสั่นสะเทือน กระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงหึ่งๆ รุนแรง ส่ายไปมาอยู่กลางอากาศ ถูกโจมตีจนแทบจะร่วงหล่นลงมา


“เจ้าเด็กน้อย วันหลังค่อยจัดการเจ้า!” ในกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์มีเสียงดุดันเคร่งขรึมดังขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว


จากนั้นมันก็ทิ้งผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเอาไว้ กะพริบไหวกะทันหัน ฉีกอากาศหายวับไป


เห็นได้ชัดว่า ประทับเจตจำนงอริยะนั่นกังวลว่ากระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะตกอยู่ในมือของหลินสวิน จึงหนีไปโดยที่ไม่สนใจผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นแล้ว!


เพราะเร็วเกินไป ทำให้ตอนที่หลินสวินจะเข้าไปสกัดก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว


“เจ้าลัทธิ!”


พวกผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์อึ้งงันอย่างสิ้นเชิง เดิมทีคิดว่าจะรอดจากความตาย พ้นจากอันตรายแต่เพียงเท่านี้ ไม่คิดว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน พวกเขาถูกโจมตีจนสิ้นหวังอีกแล้ว!


เจ้าลัทธิ?


หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเจตจำนงอริยะที่ซ่อนอยู่ในกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ถึงกับมาจากเจ้าลัทธิแห่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์!


เขาไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้ ดวงตาสีดำเย็นชามองไปทางผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทิ้ง


“เจ้า… เจ้า…” ชายชราที่เป็นหัวหน้ากลัวมาก ตกใจจนพูดไม่ออก ความคิดของเขาสับสนวุ่นวาย แม้แต่พลังเจตจำนงของเจ้าลัทธิยังทำอะไรเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปทั้งตัว


หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง สำแดงผนึกป้าเซี่ยไปทั่วพื้นที่นี้ จากนั้นเปิดฉากสังหาร


ฟุ่บ!


ฟุ่บ!


ฟุ่บ!


ไม่มีความกังวลใดเลยสักนิด ท่ามกลางความสามารถอันน่ากลัวและการกำราบของดาบหัก แม้กลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะดิ้นรนสุดความสามารถแล้ว ก็ยังทยอยถูกสังหารคาที่


“เจ้าหนุ่ม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ด้วยการกระทำของเจ้าในวันนี้ ต่อไปจะต้องถูกลัทธิของข้าแก้แค้นอย่างนองเลือด!”


“ญาติมิตร สำนักของเจ้า… จะประสบเคราะห์เพราะเจ้า!”


ชายชราที่เป็นหัวหน้าส่งเสียงสาปแช่งอย่างอาฆาตแค้นจนแทบจะบ้าคลั่ง “เจ้าคอยดู คอย…”


พูดยังไม่ทันจบดาบหักก็ตวัดผ่านตัดศีรษะของเขา ร่างที่ไม่มีศีรษะร่วงลงและจมหายไปในแม่น้ำพรมแดนที่ม้วนตลบไม่หยุด


พื้นที่ทั้งแถบเงียบสงัด พวกของโค่วซิงตะลึงอึ้งค้างอยู่กับที่ ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!


กลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากอาณาจักรอ้าวไหล กลับถูกหลินสวินโจมตีสังหารจนสิ้นโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยซ้ำ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว


จิตใจของแม่นางเยวี่ยเองก็ไม่สามารถสงบได้ พลิกตลบพลุ่งพล่าน


นางรู้ดีว่ารากฐานของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเพียงใด แต่กลับคิดไม่ถึงว่า แม้แต่กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่อานุภาพสะเทือนบรรพกาลยังทำอะไรหลินสวินไม่ได้ กลับเป็นฝ่ายถูกสังหารจนไม่เหลือซาก!


นี่จึงจะเป็นท่วงท่าแห่งเทพมารหลินใช่หรือไม่



 

 

 


ตอนที่ 949 ข้อเรียกร้องพิเศษของซย่าจื้อ

 

แม่นางเยวี่ยรู้ว่าในตัวหลินสวินมีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันเรียกได้ว่าไม่มีใครสู้ได้ และสามารถสังหารศัตรูข้ามระดับได้


ในโลกปัจจุบัน คนที่สามารถสู้กับเขาได้ก็มีเพียงแค่พวกปีศาจที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎและรากฐานพลังน่ากลัว!


แม่นางเยวี่ยมาจากแดนเร้นอริยะ สติปัญญายอดเยี่ยม ประสบการณ์ย่อมกว้างขวางไม่ธรรมดา แต่เมื่อนางตัดสินความสามารถของหลินสวินในตอนนี้ ในใจนางเองก็อดรู้สึกถึงแรงกดดันไม่ได้


หากเขาเข้าไปในแดนชัยบูรพา พุ่งเป้าหมายไปที่ไหน ใครจะสู้ได้


นี่ไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยรูปแบบที่ยอมรับกันในปัจจุบัน ไม่สามารถประเมินพลังต่อสู้ของหลินสวินได้แล้ว!


มหาสงครามจะต้องมีที่ยืนของเขาแน่ ที่น่าขันคือ แต่ละสำนักในแดนฐิติประจิมกลับคิดแต่จะฆ่าผู้ที่โดดเด่นไร้เทียมทานระดับนี้ เลอะเลือนจริงๆ


แม่นางเยวี่ยนึกถึงการต่อต้านและโจมตีที่หลินสวินประสบในแดนฐิติประจิม ในใจก็รู้สึกเหลวไหลและนึกขำ


ทว่านางก็เข้าใจดี ไม่ว่าผู้กล้าคนใดถือกำเนิดขึ้น ก็ล้วนถูกกำหนดให้ชักนำมาซึ่งการโจมตีและศัตรูอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินยังมาจากโลกชั้นล่าง หัวเดียวกระเทียมลีบ ศัตรูและการกดขี่ที่เผชิญแน่นอนว่าต้องมากกว่า นี่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!


แม้เข้าสู่แดนชัยบูรพา หากไม่มีขุมอำนาจสำนักที่แข็งแกร่งหนุนหลัง หลินสวินอยากผงาดเติบใหญ่ต่อ คงต้องเผชิญแรงกดดันมากมาย!


……


“รีบไปจากที่นี่” หลินสวินกลับมาแล้ว แม้จะได้รับชัยชนะแต่สีหน้าของเขากลับดูเคร่งขรึมกว่าก่อนหน้านี้


ดวงตาคู่ใสของแม่นางเยวี่ยวาบประกายเยียบเย็น พลันสั่งว่า “ออกเดินทางเต็มกำลัง!”


พวกโค่วซิงเห็นเช่นนี้ แม้ในใจจะสงสัยแต่ไม่กล้าชักช้าสักนิด รีบควบคุมยานสำเภาเคลื่อนห่างออกไป


“ทำไมหรือ” แม่นางเยวี่ยเดินเข้ามาถาม


“มีคนแอบจับตาดูอยู่ และการต่อสู้เมื่อครู่นี้สะเทือนไหวเกินไป กลัวว่าคงดึงดูดความสนใจของสิ่งมีชีวิตน่ากลัวบางชนิดในแม่น้ำพรมแดนแล้ว”


หลินสวินสีหน้าจริงจัง ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าจะเก็บกวาดสนามรบ ตักตวงผลประโยชน์จากเหล่าผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นสักหน่อย


แต่ในใจเขากลับเกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง รู้สึกกระวนกระวาย สัญชาตญาณที่บ่มเพาะมานานทำให้เขาตัดสินใจถอนตัวอย่างเด็ดขาด


นี่คือแม่น้ำพรมแดน ตั้งแต่บรรพกาลจนตอนนี้มีตำนานซึ่งทำให้ทุกคนที่พูดถึงล้วนหน้าเปลี่ยนสี อันตรายไม่อาจคาดเดา ถูกมองว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าก้าวเข้ามาง่ายๆ


แม้ปัจจุบันแม่น้ำพรมแดนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เริ่มดึงดูดผู้แข็งแกร่งมากมายเข้ามาผจญภัยและสำรวจ


แต่ถึงอย่างไรก็ยังอันตรายเกินไป!


แม่นางเยวี่ยตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ อดพูดไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”


“ยังดี” หลินสวินพูดสบายๆ


ความจริงการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาเองก็เสียแรงไปมาก โดยเฉพาะตอนที่ใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตต่อต้านกระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาเกือบจะต้านทานไม่ไหว


สมบัตินี้แม้จะวิเศษอัศจรรย์ แต่ตอนที่กลืนกินและสั่งสมพลัง กลับต้องการพลังวิญญาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนมัน


โชคดีที่ครั้งนี้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตสั่งสมพลังจนเต็มอีกครั้ง และเป็นอานุภาพที่มาจากกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แม้ตอนนี้เจอศัตรูอีก เพียงปลดปล่อยออกมาก็สามารถทำให้เกิดพลังทำลายล้างที่น่ากลัวอย่างไม่สามารถจินตนาการได้!


……


พวกหลินสวินเพิ่งจากไป ยานสำเภาสีทองอร่ามลำหนึ่งก็โฉมเข้ามา


“ลั่วเจีย ตอนนี้เจ้าควรบอกข้าว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครได้แล้วกระมัง” บนยานสำเภา สายตาของซุ่นไป๋เสวียนราวกับสายฟ้า กวาดมองสนามรบ


ก่อนหน้านี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในที่มืด เฝ้าดูการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าตะลึงโลก ทำให้ซุ่นไป๋เสวียนเองก็รู้สึกตะลึง ในใจไม่สามารถสงบได้


เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ในแม่น้ำพรมแดนนี้จะสามารถเจอ ‘คนรุ่นเดียวกัน’ ที่พลิกฟ้าเพียงนี้ ฆ่าราชันกึ่งระดับราวกับหั่นแตงสับผัก วิปริตเกินไปแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น เขาสนใจดาบหักและขวดมหามรรคไร้ขอบเขตในมือหลินสวินอย่างมาก สัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์และแข็งแกร่งของมัน


ลั่วเจียเงียบ นางกำลังคิดทบทวนแต่ละภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้อย่างละเอียด ในที่สุดนางก็ได้ข้อสรุปหนึ่ง เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ในเทศกาลโคมกถามรรค เด็กหนุ่มที่ถูกมองว่าเป็นเทพมารคนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว!


“เขาคงไม่ใช่เทพมารหลินนั่นหรอกนะ” ซุ่นไป๋เสวียนสงสัย


“นอกจากเขา ยังมีใครที่มีพลังต่อสู้พลิกฟ้าเพียงนี้” ลั่วเจียคืนสู่ความสงบ เสื้อผ้าพลิ้วไปตามสายลม นัยน์ตานิ่งสงบ ใบหน้าเรียบเฉย


“เป็นเขาจริงๆ หรือนี่” ซุ่นไป๋เสวียนตะลึง “ไม่ใช่บอกว่าที่พึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือเจดีย์สมบัติลึกลับที่สร้างจากเหล็กเทพศุภโชคองค์หนึ่งหรือ”


ลั่วเจียถอนหายใจเบาๆ กล่าว “เขายังไม่ได้ใช้เจดีย์สมบัติด้วยซ้ำก็สามารถต้านทานพลังเจตจำนงอริยะได้แล้ว นี่ต่างหากที่น่ากลัวกว่าไม่ใช่หรือ”


ซุ่นไป๋เสวียนคิดตามคร่าวๆ ก็เข้าใจทันที จากนั้นยิ้มพูดว่า “ในที่สุดก็ได้เห็นศักยภาพของเทพมารหลิน ไม่เลว หาใช่ชื่อเสียงจอมปลอม เฮ้อ ไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้ข้า ‘ยืม’ เล่นสมบัติในมือหรือไม่”


พูดถึงตรงนี้ ประกายไหววาบพลุ่งพล่านในดวงตาเขา สว่างไสวน่ากลัว แผ่อานุภาพไร้รูปไปทั่วร่างกาย ราวกับจักรพรรดิที่มาเยือนโลก หยิ่งผยองและอวดดี


คิ้วงามของลั่วเจียขมวดเข้าหากันทันที เอ่ยว่า “เจ้าก็ได้เห็นความน่ากลัวของเขาแล้ว ยังคิดจะไปหาเรื่องเขาอีกหรือ”


“หาเรื่อง?”


ซุ่นไป๋เสวียนยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวดั่งหิมะที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ “ไม่ ข้าเจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงแล้วยากจะทนความตื่นเต้นในใจ อยากจะดวลกับเขาสักครั้ง หากสามารถยืมสมบัติในมือเขามาเล่นสักหน่อยก็ยิ่งดี”


พูดถึงตรงนี้เขาเหมือนทนรอแทบไม่ไหวแล้ว เร่งยานสำเภาเคลื่อนไปในทิศทางที่พวกของหลินสวินหายไป “ดูฤกษ์ไม่สู้บังเอิญ ไปๆๆ ไปเล่นตอนนี้เลย!”


ลั่วเจียปวดหัวขึ้นมา หากพูดถึงความสามารถในการหาเรื่อง ซุ่นไป๋เสวียนคนนี้ฝีมือดีจริงๆ และอะไรที่เขาตัดสินใจแล้ว ใครก็ห้ามไม่ได้


บรรดาคนรุ่นเยาว์ในตระกูลอริยะปัจจุบัน ทายาทสายตรงที่มาจากตระกูลซุ่นมีฉายาว่า ‘ราชันมารจอมก่อกวน’ ไม่เห็นใครในสายตา ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ!


หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของอีกฝ่ายกับขุมอำนาจที่นางอยู่ตอนนี้ไม่เลว นางไม่มีทางขอให้เจ้าหมอนี่มาช่วยตนแน่


“เจ้าลืมเป้าหมายครั้งนี้ของเราแล้วหรือ” ลั่วเจียตั้งใจจะห้ามอีกครั้ง


“จะกล้าลืมได้อย่างไร หลังจากสู้กับเจ้าหมอนั่นสักตาหนึ่ง ข้าก็จะไปกำราบเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นให้เจ้า!” ซุ่นไป๋เสวียนยิ้มพูดอย่างลำพองใจ


“ในมือเขามีสมบัติอริยะ!”


“เหอะ การเดินทางครั้งนี้ข้าก็พกอาวุธสังหารที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษในตระกูลมาด้วยชิ้นหนึ่ง ไปกำราบเสี้ยววิญญาณหงส์ดำเลือดทมิฬครานี้ต้องพึ่งสมบัตินี่เชียวนะ”


“เจ้าไม่กลัวโดนจัดการหรือ”


“ฮ่าๆๆ ลั่วเจีย แม้เทพมารหลินนั่นจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเขาหรือ” สีหน้าของซุ่นไป๋เสวียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ


ตอนนี้ลั่วเจียล้มเลิกความคิดที่จะห้ามเขาแล้ว ในใจคิดเพียงว่าหากหลินสวินสามารถต่อยเจ้าหมอนี่หนักๆ สักยก กำจัดความหยิ่งผยองของเขาสักหน่อยก็ไม่เลว


……


ในห้อง หลินสวินนั่งขัดสมาธิฟื้นพลังกาย


ข้างๆ ซย่าจื้อนั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะ กินอาหารที่หลินสวินเตรียมให้นางอย่างตั้งใจ ดวงหน้าเล็กขาวผ่องที่สามารถทำให้ฟ้าดินมืดมนลงนิ่งสงบเหมือนเคย


“ฆ่าศัตรูก็คือฆ่าศัตรู เหตุใดต้องเคี่ยวกรำวิชายุทธ์ หากตอนนั้นเจ้ามีสมาธิเสียหน่อย การต่อสู้ครั้งนั้นคงจบไปตั้งนานแล้ว” ซย่าจื้อกินข้าวไปพลางวิจารณ์ไปด้วย เสียงที่ใสราวกับน้ำพุดังก้องอยู่ในห้อง


ถูกแม่นางน้อยอย่างซย่าจื้อสบประมาท ทำให้ใบหน้าหลินสวินแทบแขวนไว้ไม่อยู่ เอ่ยปากอธิบายว่า “ฆ่าศัตรูเป็นเรื่องรอง สิ่งที่ข้าขาดที่สุดตอนนี้คือยกระดับพลังต่อสู้ นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด”


“วิธียกระดับพลังต่อสู้มีมากมาย ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้”


ซย่าจื้อคีบแผ่นเนื้อที่ย่างอย่างอิ่มฉ่ำมันเยิ้มชิ้นหนึ่งเข้าปากไป เคี้ยวไปด้วยพร้อมพูดงึมงำ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อีกไม่นานข้าอาจจะเข้าสู่การจุติครั้งที่สี่แล้ว ก่อนหน้านั้นข้าหวังว่าเจ้าจะรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”


หลินสวินอึ้ง “เร็วขนาดนี้เลยหรือ”


ซย่าจื้อขานรับว่าอืม ยังคงกินต่อ


“เรื่องอะไร หากทำได้ข้ารับปากทั้งหมด” หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอบอย่างเด็ดเดี่ยว นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าจื้อเป็นฝ่ายเสนอข้อเรียกร้องก่อน เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร


“ง่ายมาก”


พูดถึงตรงนี้ ซย่าจื้อวางถ้วยและตะเกียบลง เงยดวงหน้าเล็กอันงดงามราวกับภาพวาดขึ้น ดวงตาเสี้ยวพระจันทร์ที่กระจ่างใสราวกับดวงดาราจ้องหลินสวินซึ่งอยู่ตรงหน้าพร้อมพูดอย่างจริงจัง “ช่วงที่ข้าจุติกำเนิดใหม่ เจ้าห้ามหยอกล้อยั่วเย้าผู้หญิง ห้ามมีผู้หญิงข้างนอก แม้คนอื่นเข้าหาก่อน ก็ห้าม”


หลินสวิน “…”


มุมปากของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่อยู่ อึ้งจนไปต่อไม่ถูก เดาอย่างไรเขาก็เดาไม่ออกเลยว่าซย่าจื้อจะเสนอข้อเรียกร้องที่ ‘เกิดเหตุ’ เช่นนี้!


เขาพูดอย่างหัวเสีย “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยทำเช่นนี้เลย เจ้ากำชับเช่นนี้ ไม่เคารพความรู้สึกของข้าเกินไปแล้วกระมัง”


ซย่าจื้อพูดอย่างสมเหตุสมผล “ข้ากำลังดับไฟแต่ต้นลม ที่ผ่านมาไม่เคยทำ ไม่ได้หมายความว่าต่อไปเจ้าจะไม่ทำ”


แตกต่างจากเมื่อก่อน ซย่าจื้อในตอนนี้กลายเป็นเด็กสาวที่สวยงามตะลึงโลกแล้ว งดงามบริสุทธิ์ คิ้วตาราวกับจันทราบนท้องฟ้า เรือนร่างอรชรแบบบางแต่สง่างาม ไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว


กับข้อเรียกร้องเช่นนี้ของนาง คงไม่มีใครใจร้ายปฏิเสธได้ลง


แต่หลินสวินกลับรู้สึกอัดอั้นอย่างมาก นับดูแล้วตนกำลังจะอายุสิบแปดปีแล้ว กลับยังไม่เคยสัมผัสกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ตอนนี้ยังจะถูกห้ามไม่ให้ทำเช่นนี้ นี่จะให้เขาเดียวดายไปชั่วชีวิตหรือ


ข้อเรียกร้องนี้ยอมไม่ได้จริงๆ!


“ไม่ได้” หลินสวินปฏิเสธข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลนี้อย่างเด็ดเดี่ยว ทนไม่ได้หรอกนะ หากทน ชีวิตต่อจากนี้จะอยู่อย่างไร


วิธีการของซย่าจื้อง่ายดายมาก ลุกขึ้นพูด “เช่นนั้นตอนที่ข้าตื่นมาอีกครั้ง ข้าจะโกรธมาก”


หลินสวินอึ้ง “จริงจังหรือ”


ซย่าจื้อพยักหน้านิ่งๆ


หลินสวินลุกขึ้นพูดอย่างหัวเสีย “นี่เจ้าคิดจะก่อกบฏหรือ เจ้าทำได้ลงคอหรือ”


ซย่าจื้อเลิกคิ้วละมุนละไม คิดๆ แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ ข้าถอยให้ก้าวหนึ่ง ถึงตอนนั้นหากเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะยอมรับการปฏิเสธของเจ้า แต่ถ้าไม่สามารถชนะข้าได้ เจ้าก็ต้องยอมรับ”


หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเล “ตกลงตามนั้น!”


เขาไม่เชื่อว่าเขาจะทำไม่ได้!


“หลินสวิน บนโลกนี้ ข้ายอมถอยให้เจ้าแค่คนเดียว” ซย่าจื้อพูดอย่างจริงจัง


เผชิญกับดวงตาคู่ใสกระจ่างของซย่าจื้อ มองสีหน้าจริงจังบนดวงหน้าเล็กอันงดงามและขาวเนียนของเด็กสาว ในใจหลินสวินก็สั่นไหวเบาๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ


ตอนนี้เอง เสียงรบกวนที่สับสนวุ่นวายดังขึ้นจากนอกห้อง ทำให้หลินสวินตกใจ เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว


ซย่าจื้อเองก็เหมือนไม่พอใจ คิ้วสีดำสนิทราวกับหมึกทั้งคู่ขมวดอย่างยากจะสังเกตเห็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)