Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 938-941

ตอนที่ 938 แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจ

 

“เคยเห็น”


ผู้สืบสอดสำนักยุทธ์พันเวทที่เฝ้าอยู่แถวแม่น้ำพรมแดนสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของผู้แข็งแกร่งกลุ่มนี้ ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ


“สองชั่วยามก่อน แม่นางคนนี้เข้ามาในแม่น้ำพรมแดนพร้อมกับนักผจญภัยกลุ่มหนึ่ง”


“เจ้ารู้จักนักผจญภัยพวกนั้นหรือไม่” ชายชราเคราขาวหน้าอมเลือดฝาดเอ่ยถามเสียงเย็น


พรึ่บ!


คนผู้นั้นรีบหยิบคันฉ่องทะลวงมายาออกมาทันใด แสงวิญญาณหมุนวนคุโชน เริ่มทำการพลิกหา เนิ่นนานในที่สุดก็พบภาพยามที่ขบวนของพวกหลินสวินเข้ารับการตรวจค้น


“เป็นพวกเขา”


สายตาดั่งสายฟ้าของชายชรากวาดสำรวจบนตัวพวกโค่วซิง หน้าเขียว จงอางแดง และหลินสวินทีละคน ท้ายที่สุดก็มองไปบนตัว ‘แม่นางเยวี่ย’ คนนั้น


“เป็นนาง!” กลุ่มผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ชายชราต่างเผยสีหน้าเจือไอสังหาร คล้ายอยากเคลื่อนไหวเต็มกำลัง


“ไป!”


จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็พุ่งไปทางแม่น้ำพรมแดนราวกับลมกระโชก


“พวกเขาเป็นใคร น่ากลัวชะมัดยาด!”


“ดูท่าทางไม่คล้ายขุมอำนาจของแดนฐิติประจิมของพวกเราเลย…”


“จะวุ่นวายแล้ว แม่น้ำพรมแดนเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ จะต้องเกิดคลื่นลมมากมายขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน!”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในบริเวณนั้นดังไม่หยุด กลุ่มผู้ฝึกปราณต่างหวั่นใจอยู่ไม่สุข


กลุ่มคนเมื่อครู่นั้นแต่ละคนราวกับเดินออกมาจากขุมนรก ไอสังหารคละคลุ้งรอบกาย น่าสะพรึงหาใดเปรียบ


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พวกเขามีราชันกึ่งระดับเป็นกองกำลังหลักหกคนเต็มๆ!


……


แม่น้ำพรมแดนกว้างใหญ่ ไหลเชี่ยวพลุ่งพล่าน สามารถพบเห็นมรสุมหอบม้วนได้ทุกหนทุกแห่ง ห้วงอากาศปั่นป่วน ภัยธรรมชาติเกรี้ยวกราดพบได้บ่อยครั้งบนที่แห่งนี้ เป็นภาพน่าสยดสยองถึงที่สุด


หลังจากเข้าสู่แม่น้ำพรมแดน โค่วซิงเรียกยานสมบัติสีเทาเข้มออกมาลำหนึ่ง บรรทุกทุกคนเดินหน้ากลางห้วงอากาศอย่างระมัดระวัง


หน้าเขียวกำลังนำทาง


จงอางแดงพานักผจญภัยคนอื่นๆ เฝ้าประจำการตามมุมต่างๆ ในยานสมบัติ รอตั้งรับเต็มรูปแบบ


ตามที่พวกเขากล่าวมา หลังจากเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนแล้ว อันตรายจะอุบัติขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แม้จะเป็นพวกหน้าเก่าที่มากประสบการณ์ก็ไม่กล้าละเลยการป้องกัน


ในแม่น้ำพรมแดนมีความเร้นลับและแปลกประหลาดมากมายเกินไป เวิ้งนภามืดสลัว มีบางจุดแตกเป็นเสี่ยงกลายเป็นหลุมดำหมุนวนที่พาให้คนพรั่นใจ บรรยากาศบีบเค้นหาที่เปรียบไม่ได้


ระหว่างทางพวกเขาได้พบเงาร่างของผู้ฝึกปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเป็นครั้งคราว เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกปราณระหว่างทางก็ค่อยๆ ลดน้อยลง…


ทันใดนั้นเสียงแปลกประหลาดลอยมาระลอกหนึ่ง เสียงอือๆ ฮือๆ เหมือนตัดพ้อร้องรำพัน ถึงจะแสนเบาหวิวแต่กลับสมจริงยิ่งนัก ราวกับลอยมาจากจุดลึกสุดของใต้หล้า


โค่วซิงหน้าเปลี่ยนสี เผนแววตกใจ ทอดมองไปยังที่ไกลๆ


ก็เห็นว่าบนพื้นผิวแม่น้ำสีเทาเข้มที่ไหลเชี่ยวพลุ่งพล่านไกลๆ มีเบาะรองนั่งสีเลือดน่าอัศจรรย์ใบหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลอยคว้างไม่มั่นคง


บนเบาะรองนั่งมีเงาร่างหญิงสาวที่คล้ายมีแต่ไม่มีคนหนึ่งกำลังก้มหน้าหลั่งน้ำตา บริเวณลำคอของนางถูกกระบี่เลือดเล่มหนึ่งเสียบผ่าน พาให้ผู้คนสะท้านสั่นเทา


คนอื่นๆ ต่างก็ผงะ เบาะรองนั่งสีเลือด มีหญิงสาวร่ำไห้ เสียงร้องโหยหวนเย็นยะเยือก กระบี่เลือดเจาะทะลุลำคอของนาง แต่นางกลับดูเหมือนไม่รู้ตัว


ภาพนี้ออกจะสยองขวัญไปหน่อยแล้ว


เพียงแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น โค่วซิงคล้ายมองเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ร้องตะโกนเสียงเข้ม “หนีเร็ว!”


นั่นคืออะไร


หลินสวินอยากถาม แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก พวกโค่วซิงก็บังคับยานสมบัติถอยห่างจากพื้นที่บริเวณนี้


โครมครืน!


ไม่นานหลนสวินก็ใจสะท้าน มองเห็นพื้นที่เบื้องหน้าพวกเขาแตกสลายกลายเป็นเสี่ยง เวิ้งนภาพังครืน แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกลายเป็นกระแสน้ำวนปั่นป่วน กลืนกินพื้นที่แถบนั้นทั้งแถบ…


“นี่…”


หลินสวินไหวหวั่น เมื่อครู่หากชักช้าไปเพียงนิดเดียว เกรงว่าคงจมมิดไปในพริบตา


“ลือกันว่านั่นคือเสี้ยวเจตจำนงอริยะที่เน่าเปื่อยในที่แห่งนี้ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ผ่านการกัดเซาะของกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุดก็ไม่ถูกดับทำลาย ในแม่น้ำพรมแดน ขอเพียงบังเอิญพบเจ้าของเส็งเคร็งนี่ต้องรีบหนีห่างทันที หาไม่คงต้องทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่!”


จงอางแดงอยู่แถวนั้นคล้ายกับมองออกว่าหลินสวินกำลังสงสัย จึงอธิบายเสียงขรึมหนึ่งครา


เสี้ยวเจตจำนงอริยะ!


หลินสวินนึกถึง ‘กองทัพวิญญาณอาฆาต’ ซึ่งเคยเจอที่สุสานสมุทรฝังมรรคในทะเลกลืนวิญญาณขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าเสี้ยวเจตจำนงอริยะนี้น่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


ยานสมบัติมุ่งหน้าต่อไป บรรยากาศโดยรอบยิ่งบีบเค้นมากขึ้นทุกที ฟ้าดินมืดสลัว แม่น้ำไหลเชี่ยว ห้วงอากาศปั่นป่วน สายฟ้าและมรสุมเกรี้ยวกราดไม่หยุดหย่อน


แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกใจเต้นเนื้อกระตุก หากเขามาเองคงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปลึกกว่านี้แน่


และไม่น่าแปลกใจที่ในคำเล่าขานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แม่น้ำพรมแดนถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาภายในนี้ เพราะภาพในนี้น่าสะพรึงเกินไปจริงๆ


ตามคำบอกเล่าของจงอางแดง หากคิดจะไปถึงแดนชัยบูรพาอีกฝั่งหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาข้ามแม่น้ำพรมแดนนานกว่าครึ่งเดือน!


ยิ่งกว่านั้นเมื่อเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนลึกเข้าไป ความแปลกประหลาดและเคลือบคลุมที่พานพบทั้งหมดยังมีแต่จะน่ากลัวและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ…


โชคดีเพียงอย่างเดียวคือพวกโค่วซิงต่างเป็นมือฉมังมากประสบการณ์ เคยเข้าออกแม่น้ำพรมแดนหลายต่อหลายครั้ง มีพวกเขาคอยนำทางก็พอจะหลบเลี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิตส่วนหนึ่งได้


“หัวหน้า ท่านดูนั่น ภูเขากระดูกขาวลูกนั้นโผล่มาอีกแล้ว!” นักผจญภัยคนหนึ่งร้องอุทานเสียงหลง


ในบริเวณไกลโพ้น แม่น้ำม้วนตลบ ปรากฏภูเขาลูกใหญ่ที่เกิดจากการทับถมของกระดูกขาวลูกหนึ่ง มีหยาดเลือดไหลหลั่งเจิ่งนองออกจากภูเขากระดูกขาว แปลกประหลาดและน่าสยดสยอง


ภูเขากระดูกขาวไม่รู้ว่ามีขนาดใหญ่เพียงใด กระดูกขาวที่ทับถมบนนั้นถึงกับมีดอกไม้เลือดดอกแล้วดอกเล่ากำเนิดขึ้น กลีบดอกสีแดงฉานหาที่เปรียบไม่ได้ หยาดเลือดที่ไหลล้นออกมาก็หลั่งออกมาจากเกสรดอกไม้นั่น


“ภูเขาฝังวิญญาณ ดอกไม้นรกสีเลือด!”


พวกโค่วซิงต่างอึ้งงัน คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าต้องเจอกับภาพ ‘ดุดันยิ่งใหญ่’ ถึงเพียงนี้หลังจากที่เพิ่งเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนได้เพียงสองชั่วยาม


ภูเขาฝังวิญญาณ สิ่งที่กลบฝังอยู่คือดวงวิญญาณของผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาล


ส่วนดอกไม้นรกสีเลือดนั้นกลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า หล่อเลี้ยงโดยใช้เลือดเนื้อของผู้แข็งแกร่ง เพียงสัมผัสโดน ก็จะถูกทำลายกายเนื้อในชั่วพริบตาราวกับตกสู่แดนนรกสีเลือด!


ปกติแล้วไม่ว่าภูเขาฝังวิญญาณหรือดอกไม้นรกสีเลือด ต่างก็มีอยู่เฉพาะสมัยบรรพกาลเท่านั้น มีเพียงสถานที่แสนอันตรายนองเลือดที่สุดจึงจะปรากฏสิ่งอัปมงคลเช่นนี้ขึ้นมา


แต่ขอเพียงพวกมันปรากฏขึ้น นั่นหมายความว่าหายนะอับโชคกำลังจะมาเยือนอย่างแน่นอน!


“หนีเร็ว!”


โค่วซิงสีหน้าไม่น่าดู เดิมคิดว่าแม่น้ำพรมแดนเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจ ความอัปมงคลและพิสดารทั้งหมดจะสงบลงไม่น้อย ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหวได้ไม่ทันไรก็เจอกับภาพประหลาดสองครั้งติดกันแล้ว


ก่อนหน้านี้คือเสี้ยวเจตจำนงอริยะ และยามนี้ก็มีภูเขาฝังวิญญาณกับดอกไม้นรกสีเลือดปรากฏขึ้นมาตรงๆ!


สิ่งนี้ทำให้ในใจพวกโค่วซิงต่างปกคลุมด้วยเงาทะมึนชั้นหนึ่ง


“หากมีผู้บำเพ็ญธรรมมากสามารถอยู่ที่นี่ สำหรับพวกเขาแล้ว ภูเขาฝังวิญญาณกับดอกไม้นรกสีเลือดนี้กลับเป็นวาสนาชิ้นโตอย่างหนึ่ง”


ทันใดนั้นแม่นางเยวี่ยเอ่ยปากเสียงเบา “สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างประเมินค่าไม่ได้ต่อการฝึก ‘จิตฌาณไร้หวั่น’ และ ‘ร่างทองอรหันต์’ ของพวกเขา”


นัยน์ตาสีดำของหลินสวินฉายแววประหลาดใจ ตระหนักได้อย่างฉับไวว่าแม่นางน้อยที่ดูขี้โรคออดแอดคนนี้ เหมือนจะรู้ความลับมากมายที่ไม่มีใครรู้


พวกโค่วซิงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หลังจากที่เห็นภาพประหลาดเช่นนี้ พวกเขาก็บังคับยานสมบัติหลบหนีเต็มกำลังตั้งแต่เนิ่นๆ กังวลว่าหายนะจะมาเยือน


เพียงแต่ครู่เดียวเท่านั้นโค่วซิงก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างมาก ส่งเสียงร้องตะโกน “ไม่ดีแล้ว เตรียมต่อสู้!”


“หืม?”


ในขณะเดียวกันหลินสวินแผ่จิตรับรู้กระจายออกไป กลับไม่พบอันตรายอะไรอยู่เลยสักนิด


และระหว่างที่เขานึกแปลกใจอยู่นั้น ก็เห็นพวกโค่วซิงทอดสมอยานสมบัติกลางอากาศ สายตาต่างมองไปทางข้างหน้าราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจก็ไม่ปาน


“เห็นหรือไม่ พยับหมอกสีเทาพวกนั้นถูกพวกเรานักผจญภัยขนานนามว่า ‘หมอกหายนะอัปมงคล’ เมื่อปรากฏขึ้น จะต้องมีอันตรายมาเยือนอย่างแน่นอน” จงอางแดงอธิบายเสียงขรึมอยู่ข้างๆ


นางมีทัศคติที่ดีต่อหลินสวิน ดังนั้นจึงให้การดูแลเป็นอย่างดีตลอดทาง ซ้ำยังชี้แนะประสบการณ์ในการแสวงหาโชคลาภและหลบเลี่ยงอันตรายในแม่น้ำพรมแดนให้หลินสวินเป็นครั้งคราวอีกด้วย


หลินสวินทอดสายตามองไปก็เห็นว่าบนผิวน้ำไหลเชี่ยวไกลออกไป มีไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าลอยออกมา คลุมเครือราวกับควันเมฆ


ทันใดนั้นหลินสวินใจเต้นเนื้อกระตุกทั่วสรรพางค์กาย ผิวหนังหนาวเหน็บ พยับหมอกเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีพิษภัยอะไร แต่กลับเจือกลิ่นอายแปลกประหลาดวูบหนึ่ง


“มาแล้ว!” โค่วซิงสีหน้าเคร่งขรึม


พร้อมกันนั้นหลินสวินก็มองเห็น ว่าท่ามกลางพยับหมอกขมุกขมัวเหล่านั้นปรากฏพยับเมฆสีดำทะมึนทั้งแถบอย่างไร้สุ้มเสียง


เมื่อเพ่งมองโดยถี่ถ้วน นั่นไม่ใช่พยับเมฆจริงๆ แต่เป็นแมลงเม่าตัวแล้วตัวเล่าที่รูปร่างคล้ายผีเสื้อ แต่ลำตัวสีดำสนิท มีดวงตาสีแดงฉาน เขี้ยวสีขาวหิมะ


แมลงเม่าทุกตัวล้วนมีขนาดเท่าฝ่ามือ ปีกสีดำสนิท ปลดปล่อยไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่า เหมือนแมลงเม่ามารที่มาจากขุมนรกชัดๆ เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดและดุร้าย


พวกมันมีจำนวนมากมาย เบียดเสียดแน่นขนัดปกคลุมฟ้าดิน มองออกไปจากไกลๆ จึงคล้ายกับชั้นเมฆสีดำทะมึนทั้งแถบ พาให้ผู้คนรู้สึกถึงความบีบคั้นจนแทบหายใจไม่ออก


“แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจ!”


“เป็นพวกมันนั่นเอง คราวนี้ปัญหาใหญ่แล้ว!”


“หมดกัน ครั้งนี้อาจเจอคราวเคราะห์…”


ทันใดนั้นพวกนักผจญภัยอย่างโค่วซิงต่างหน้าเปลี่ยนสี แข็งทื่อไปทั้งร่าง หัวใจผุดความหนาวสั่น พวกเขามีประสบการณ์มากมาย หลายปีมานี้เคยได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้ง ไม่ว่าแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจปรากฏขึ้นที่ใดก็ตาม จะต้องมีแต่ความตายไร้ชีวิตอย่างแน่นอน!


“น่ากลัวมากเลยหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว


เหนือความคาดหมาย คนที่เอ่ยอธิบายคือแม่นางเยวี่ยคนนั้น “แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอย่างหนึ่งในยุคบรรพกาล ลำตัวของมันวิวัฒน์มาจากพลังวิญญาณทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากต้องการฆ่าพวกมัน วิชายุทธ์ทั่วไปใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิด จะต้องใช้วิธีพิเศษที่ควบคุมจิตวิญญาณโดยเฉพาะจึงจะสามารถสังหารพวกมันได้”


“พวกมันถือกำเนิดโดยการกลืนกินเศษเสี้ยววิญญาณของผู้แข็งแกร่งที่ร่วงหล่น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหลังจากถูกพวกมันกลืนกิน ความทรงจำอย่างมรดกตกทอด วิชาลับที่หลงเหลืออยู่ในเศษเสี้ยววิญญาณของผู้แข็งแกร่งก็จะถูกพวกมันควบคุมด้วยเช่นกัน เมื่อใช้ในการต่อสู้จะปะทุอานุภาพที่ยากคาดเดาออกมา”


ในใจหลินสวินรู้สึกอึ้งทึ่ง เจ้าแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจนี้น่าพิศวงจริงๆ!


“แล้วแม่นางเยวี่ยมีวิธีจัดการกับพวกมันหรือไม่” โค่วซิงอดถามไม่ได้


“ในมือข้ามีกระดิ่งใบหนึ่ง น่าจะพอบังคับพวกมันได้ แต่ข้าจำเป็นต้องให้พวกเจ้าออกไปต่อสู้สยบพวกมันเต็มกำลัง” แม่นางเยวี่ยที่ดูอ่อนแอขี้โรค เวลานี้ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของนางกลับฉายแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่วูบหนึ่ง


“ดี! พวกข้าจะต่อสู้สุดความสามารถแน่!” พวกโค่วซิงพยักหน้าตอบรับโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด


“คุณชายหลินซย่า เจ้าไม่ควรมัวโอ้เอ้อยู่ที่นี่ กลับไปซ่อนตัวในห้องจะดีกว่า เดี๋ยวพอเปิดศึกเกรงว่าพวกข้าคงดูแลเจ้าไม่ได้” จงอางแดงพูดกับหลินสวินที่อยู่ด้านข้าง เตือนให้เขาไปซ่อนตัว


หลินสวินอึ้งงัน ในใจไม่รู้ควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี หากถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ รู้เข้าว่าเทพมารหลินอย่างเขาถึงกับถูกคน ‘ดูแล’ เช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรกันบ้าง


แต่ว่าได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากจงอางแดง กลับทำให้หลินสวินค่อนข้างรู้สึกประทับใจและอิ่มเอม


เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มหันตภัยอยู่ตรงหน้ามีหรือข้าจะล่าถอย ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นตัวถ่วงพวกเจ้าหรอก”


ทุกคนต่างลงเรือลำเดียวกัน หนำซ้ำหลินสวินยังต้องอาศัยความช่วยเหลือของพวกโค่วซิงเพื่อมุ่งหน้าสู่แดนชัยบูรพาอีกด้วย ช่วงเวลาเช่นนี้หลินสวินย่อมไม่อาจยืนชมอย่างสบายใจเฉิบได้เป็นธรรมดา


จงอางแดงขมวดคิ้ว ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ เสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังลอยมาแต่ไกล!


เสียงนั้นคล้ายกับใบมีดคมกริบเสียดสีบนพื้น พาให้หลายคนขนลุกขนชัน จิตวิญญาณบังเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบเป็นระลอก


นี่คือการโจมตีจิตวิญญาณอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย!


“มาแล้ว เตรียมต่อสู้!” โค่วซิงคำรามดุดัน



 

 

 


ตอนที่ 939 กระดิ่งสีม่วง

 

ท่ามกลางหมอกสีเทาขุ่นไกลออกไป แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจขนาดเท่าฝ่ามือเบียดเสียดบีบคั้นห้วงอากาศ ราวกับเมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้า


เสียงร้องเล็กแหลมก้องกระหึ่มทั่วฟ้าดิน โจมตีจิตวิญญาณของผู้คนโดยตรง เปี่ยมด้วยพลังฉีกทึ้งเจาะทะลวงอันน่าพรั่นพรึง น่าผวาหาใดเปรียบ


พวกมันถูกหมอกสีเทาห่อหุ้ม พุ่งกรูกันเข้ามาทางยานสมบัติที่พวกหลินสวินอยู่!


ตูม!


พวกโค่วซิงลงมือโดยไม่ลังเล การโจมตีอันหนักหน่วงแผ่ออกไปยังห้วงอากาศห่างไกลหนแล้วหนเล่า


อานุภาพสุดแสนน่าทึ่ง แต่ประสิทธิภาพกลับพาให้ผู้คนฉงนสนเท่ห์


ก็เห็นแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจเหล่านั้นยังคงโถมเข้ามาตามเดิม ไม่ว่าการโจมตีจะรุนแรงและทรงพลังเพียงใดกลับไม่สามารถต้านพวกมันได้เลย ตรงข้ามพวกมันกลับฝ่าทะลวงเข้ามาอย่างง่ายดาย!


มีเพียงแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจเพียงส่วนน้อยที่ถูกบดขยี้สลายกลายเป็นผุยผง แต่เมื่อเทียบกับกองทัพแมลงเม่าที่ครอบฟ้าคลุมดินนั้นแล้ว ความสูญเสียนี้แทบไม่สลักสำคัญ


นี่เป็นเรื่องบัดซบเสียจนพาให้ผู้คนสิ้นหวัง เจ้าพวกเส็งเคร็งเหล่านี้น่าพิศวงเกินไป วิธีต่อสู้ธรรมดาทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย!


“นี่ก็คือแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจ มันวิวัฒน์มาจากพลังวิญญาณ กำเนิดโดยการกลืนกินเศษเสี้ยววิญญาณผู้แข็งแกร่ง ต้องระวังตัวให้มากๆ!” แม่นางเยวี่ยเอ่ยเตือน


ขณะที่พูดนางพลิกมือเรียว กลางฝ่ามือปรากฏกระดิ่งเล็กๆ พวงหนึ่งขึ้น มีทั้งหมดเก้าใบ แต่ละใบต่างดูเหมือนตีหลอมขึ้นจากกระจกแก้วสีม่วง พื้นผิวสลักลวดลายโบราณเช่น วิหคบุปผามัจฉาแมลง แว่นแคว้นภูผาธารา ฟ้าเสถียรดินขนานเป็นต้น


กระดิ่งเก้าใบถูกร้อยเข้าด้วยกันด้วยเชือกสีแดงที่มีรอยไหม้เส้นหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏก็ส่งเสียงกังวานเสนาะหู ก้องสะท้อนทั่วฟ้าดิน


กรุ๊งกริ๊ง!


จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคลื่นเสียงสีม่วงสว่างไสวแผ่กว้างออกไปวงแล้ววงเล่า วิวัฒน์เป็นเงากระบี่นับพันนับหมื่นกลางห้วงอากาศ ส่งเสียงหวีดหวิวแน่นขนัด


เงากระบี่แต่ละสายต่างสาดแสงสีม่วงงดงามออกมา ดุกร้าวไร้เทียมทาน รายล้อมด้วยพลังเจตจำนงมรรค ล้วนวิวัฒน์มาจากคลื่นเสียงบริสุทธิ์ทั้งหมด


เวลานี้เงากระบี่พันหมื่นพุ่งปราดออกไปพร้อมกันราวกับกระบี่หมื่นเล่ม ภาพนี้น่าตื่นตาอย่างแท้จริง มีพลังสะเทือนจิตใจผู้คน!


โครม!


เพียงชั่วขณะ กองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจที่เหมือนเมฆดำปกคลุมฟ้าดินก็ถูกแทงทะลุเป็นรูกลวงตัวแล้วตัวเล่าในชั่วพริบตา ไม่รู้ว่ามีแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจเท่าไรที่ถูกสังหารคาที่ ร่างแตกเป็นเสี่ยงกลายเป็นพยับหมอกสีเทาขุ่นและมลายหายไป


โค่วซิงและคนอื่นๆ ต่างอึ้งงัน ในใจสั่นสะท้าน กระดิ่งสีม่วงแวววาวพวงหนึ่งถึงกับสาดพลังสังหารน่าสะพรึงเช่นนี้ออกมา นี่เหนือจินตนาการของพวกเขาโดยสิ้นเชิง


แม้แต่หลินสวิน เวลานี้ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน จากนั้นจึงตระหนักได้ว่ากระดิ่งในมือแม่นางเยวี่ยพวงนั้นจะต้องเป็นยอดสมบัติคีตะอย่างแน่นอน


กระทั่งอาจเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นศาสตราจิตอย่างหนึ่ง!


ศาสตราจิต หล่อหลอมจากเจตวัตถุ ขับเคลื่อนด้วยพลังจิตวิญญาณ อานุภาพยากหยั่งถึง ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับยอดศาสตรามรรคราชัน!


‘น่าสนใจ ที่มาของแม่นางเยวี่ยผู้นี้เกรงว่าคงไม่ธรรมดาเป็นแน่ เพียงแต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ถึงต้องอาศัยความช่วยเหลือในการข้ามแม่น้ำพรมแดนสู่แดนชัยบูรพา…’


หลินสวินขบคิด


กริ๊งๆ!


กระดิ่งสีม่วงส่งเสียงกังวานเสนาะหู ระลอกคลื่นเสียงแผ่ขยายกว้างวงแล้ววงเล่า บ้างก็กลายเป็นปราณกระบี่ที่เสมือนจริง บ้างก็กลายเป็นการโจมตีลับอันแสนมหัศจรรย์…


ถึงแม้พลังสังหารจะน่าตกใจหาใดเปรียบ แต่จำนวนแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจเหล่านั้นมีมหาศาลเกินไป ดำมะเมื่อมราวกับพยับเมฆ ครอบฟ้าคลุมดินเสมือนว่าฆ่าไม่จบไม่สิ้น


บรรดานักผจญภัยอย่างพวกโค่วซิงไม่กล้าชะล่าใจ ซัดโจมตีสุดกำลัง พวกเขาต่างรู้ดี หากไม่สามารถต้านการโจมตีของแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจได้ คราวนี้จะต้องพังพินาศอย่างแน่นอน!


‘ไม่ถูกสิ!’


หลินสวินกำลังเตรียมจะโจมตี จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความไม่เข้าที ในส่วนลึกของกองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจนั้นยังซุกซ่อนกลิ่นอายน่าหวาดกลัวถึงขีดสุดอยู่ บงการทุกอย่างได้ราวกับผู้เป็นราชัน


ถึงแม้อีกฝ่ายจะซุกซ่อนอย่างเร้นลับถึงขีดสุด แต่ภายใต้การครอบคลุมของพลังจิตรับรู้มหึมาของหลินสวิน ก็ยังถูกจับได้อยู่ดี


ดังคาด ขณะเดียวกับที่หลินสวินค้นพบ จู่ๆ ในส่วนลึกของกองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจนั้นก็มีเสียงกรีดร้องเสียดฟ้าสายหนึ่งดังขึ้น ซัดสะเทือนห้วงอากาศในบริเวณนี้จนสั่นไหวรุนแรง ลำพังแค่คลื่นเสียงก็เพียงพอจะโหมพิฆาตยอดฝีมือในพื้นที่นี้ทั้งเป็นได้แล้ว!


โชคดีที่บนยานสมบัติมีกระดิ่งสีม่วงของแม่นางเยวี่ยคุ้มกันอยู่ คลื่นเสียงสีม่วงที่แผ่ขยายออกไปมีประสิทธิภาพสลายการโจมตีชนิดนี้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บรรดานักผจญภัยอย่างพวกโค่วซิงไม่ได้รับบาดเจ็บ


“ทุกคนระวังตัวด้วย มีราชันแมลงเม่าตัวหนึ่งบัญชาการอยู่ที่นี่!” แม่นางเยวี่ยก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมถึงขีดสุด


ไกลออกไป ในส่วนลึกของกองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจปรากฏสิ่งมีชีวิตลำตัวสีเงินตัวหนึ่ง ดวงตาเจิดจ้าประหนึ่งเพชรสีเลือด สาดแสงแวววาวแปลกพิสดารน่าพรั่นพรึงผ่านพยับหมอกสีเทา กวาดมองมายังยานสมบัติ


มันน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวกลับเสมือนราชันที่แท้จริง กระพือปีกแผ่คลื่นเสียงพลังวิญญาณสีเงินออกมาซัดกระแทกกับพลังกระดิ่งสีม่วงในมือแม่นางเยวี่ย


พรึ่บ!


เงาร่างแม่นางเยวี่ยไหววูบ ทะยานขึ้นกลางอากาศ กระดิ่งสีม่วงพวงนั้นถูกนางบังคับเต็มกำลัง พาให้ทั่วสรรพางค์กายของนางรายล้อมด้วยรัศมีสีม่วงสุกสกาว


นางไม่อาจไม่ต่อสู้กับราชันแมลงเม่าตัวนั้น หาไม่ทุกคนบนยานสมบัติลำนี้จะต้องพบหายนะเป็นแน่!


“ทุกคน สถานการณ์สุ่มเสี่ยง พวกเราจะต้องสู้สุดแรงเกิด ส่วนจะแพ้หรือชนะคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามเจตนาสวรรค์…” แม่นางเยวี่ยส่งเสียงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง


สีหน้าของพวกโค่วซิงก็เคร่งขรึมถึงขีดสุดเช่นกัน นี่คือหายนะครั้งใหญ่ กระทั่งพาให้ผู้คนรู้สึกถึงความสิ้นหวัง หากสู้สุดใจอาจยังพอมีหวังรอดชีวิต หากไม่สู้ย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย


โครม!


เพียงครู่เดียว แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจก็กรูเข้ามา โถมขึ้นไปบนยานสมบัติประหนึ่งสายน้ำไหลเชี่ยว


และเวลานี้เอง พวกโค่วซิงจึงตระหนักได้ว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดยุคบรรพกาลชนิดนี้น่าหวาดกลัวเพียงใด แต่ละตัวโหดเหี้ยมอำมหิตหาใดเปรียบ แกล้วกล้าไม่หวั่นตาย พุ่งโจมตีจิตวิญญาณของมนุษย์โดยตรง!


พวกมันหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยการกลืนกินเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งที่ร่วงหล่น มรดกตกทอดและความทรงจำที่บรรจุอยู่ในเสี้ยวจิตวิญญาณล้วนถูกพวกมันหลอมรวมและควบคุมด้วยเช่นกัน น่ากลัวถึงที่สุด


หากมีเพียงสองสามตัวนั่นย่อมรับมือได้ง่าย แต่ยามนี้กลับทะลักเข้ามาประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว เหมือนห่าตั๊กแตนชัดๆ นั่นพาให้ผู้คนสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด


“อ๊าก…!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น


การป้องกันของยานสมบัติถูกโจมตี ผู้แข็งแกร่งหญิงคนหนึ่งไม่ว่าจะต้านทานอย่างไรก็ถูกฝูงแมลงเม่าหุ้มรุมกายทั้งบนล่างในชั่วขณะ


เพียงครู่เดียวบนพื้นก็เหลือเพียงศพสมบูรณ์หนึ่งศพ แต่จิตวิญญาณของนางกลับถูกกลืนกินจนเกลี้ยงตั้งแต่แรกแล้ว!


นี่ทำให้พวกโค่วซิงดวงตาแทบถลน ทั้งตกใจระคนเดือดดาล


ความแข็งแกร่งของผู้แข็งแกร่งหญิงคนนั้นหาได้อ่อนแอ ครอบครองปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง แต่ทันทีที่โรมรันกันกลับตกที่นั่งลำบากจนตาย!


“ทุกคนระวัง ต้องปกป้องจิตวิญญาณเอาไว้!”


จงอางแดงร้องตะโกนเตือนคนอื่นๆ เหตุที่ผู้แข็งแกร่งหญิงคนนั้นตกที่นั่งลำบากเมื่อครู่เป็นเพราะจิตวิญญาณถูกโจมตี พาให้นางตอบสนองช้าไปหนึ่งก้าว


เดิมทีหลินสวินคิดจะไปช่วย แต่กลับไม่ทันเลยสักนิด เพราะแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจพวกนั้นมีมากเกินไป มาเยือนจากทั่วสารทิศอย่างแน่นหนา แม้แต่เขาก็ยังถูกปิดล้อม


“เจ้าตัวเส็งเคร็งสมควรตายพวกนี้!”


หลินสวินใช้เคล็ดเวทบริกรรม ไม่ว่าการโจมตีจิตวิญญาณแบบใดถาโถมเข้ามา ล้วนไม่อาจทำร้ายเขาได้


อีกทั้งเขายังสำแดงความเร้นลับแห่งเสียงคำรามผูเหลา โคจรพลังหมัด ทันใดนั้นก็ได้รับผลลัพธ์อัศจรรย์อันน่าเหลือเชื่อ


แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าระเบิดตายเกลื่อนทันทีทันใด


“ไม่…!” ไม่ไกลจากหลินสวินนัก ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องลั่นด้วยความตกใจ เขากำลังหนีอุตลุด ใกล้จะประสบหายนะอยู่รอมร่อแล้ว


สวบ!


ดาบหักสีขาวเจิดจ้าดุจหิมะเล่มหนึ่งโฉบออกไป เพียงพริบไหวแผ่วเบาก็พิฆาตแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจที่อยู่รอบตัวชายหนุ่มคนนั้นจนเกลี้ยง


เมื่อรอดชีวิตจากความตายทำให้ชายคนนั้นราวกับยกภูเขาออกจากอก สีหน้าฉายแววซาบซึ้ง เพียงแต่ไม่รอให้เขากล่าวขอบคุณ หลินสวินก็หันไปสังหารอีกทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ตูม!


บนยานสมบัติ แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจหวีดร้องโหมโจมตีทุกด้าน สถานการณ์อันตรายถึงขีดสุด พาให้พวกโค่วซิงตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม


เพราะสายพันธุ์ประหลาดยุคบรรพกาลเหล่านี้แปลกประหลาดเกินไปจริงๆ หลอมวิวัฒน์มาจากจิตวิญญาณทั้งหมด วิธีต่อสู้ทั่วๆ ไปไม่สามารถฆ่าพวกมันได้เลย


และถึงแม้พลังจิตวิญญาณของพวกโค่วซิงจะนับว่าไม่เลว แต่กลับขาดวิชาต่อสู้จิตวิญญาณ จึงพาให้พวกเขาตกสู่สภาพผู้ถูกกระทำทันทีที่เปิดศึก


“ฆ่า!”


หลินสวินกระตุ้นไอสังหาร ปลายเท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เคลื่อนที่โคจรรอบยานสมบัติ ทุกจุดที่เคลื่อนผ่าน แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจล้วนถูกสังหารทีละกลุ่มประหนึ่งกระดาษว่าวก็มิปาน ไม่สามารถต้านทานได้เลย


พร้อมกันนั้นดาบหักขยับไหว ถูกควบคุมโดยจิตวิญญาณของหลินสวิน พุ่งไปช่วยเหลือพวกโค่วซิง


หลินสวินไม่อาจทนเห็นพวกโค่วซิงประสบหายนะได้ เขาต้องมุ่งหน้าไปยังแดนชัยบูรพา ยังต้องให้พวกโค่วซิงชี้แนะและนำทางอยู่


“หืม?”


ไม่นานพวกโค่วซิงก็ไหวหวั่น เพิ่งสังเกตเห็นว่านักชำนาญวิญญาณนามว่าหลินซย่า ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับพวกเขาในครั้งนี้ถึงกับสำแดงอานุภาพวิเศษครั้งใหญ่ ซัดสังหารอีกฝ่ายประดุจผ่าลำไผ่ ประหนึ่งเข้าสู่ระดับไร้ทัดเทียม!


“เจ้าหนูนี่เป็นถึงยอดฝีมือซ่อนคมในฝักคนหนึ่ง!” ในดวงตาดอกท้อทรงเสน่ห์คู่นั้นของจงอางแดงฉายแววแปลกประหลาดวูบหนึ่ง


“เยี่ยม!” นักผจญภัยบางส่วนร้องลั่น หลินสวินช่วยชีวิตพวกเขาได้ไม่น้อยในระยะเวลาสั้นๆ พาให้พวกเขาฮึกเหิมและประหลาดใจ


แต่การกระทำครั้งนี้ของหลินสวินกลับเหมือนจ้วงรังแตน แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจมากมายมหาศาลแถวนั้นเริ่มรวมตัวกัน จากนั้นก็พุ่งมาทางหลินสวิน หมายจะปลิดชีพเขา


ตูม!


หลินสวินยื่นมือซัดเปรี้ยง ทะเลเพลิงแถบหนึ่งขจรขจายออกไป ดวงดาวลุกไหม้แตกระเบิดดวงแล้วดวงเล่า แปลงเป็นพลังเร้นลับแห่งเสียงคำรามผูเหลาที่แผ่ขยายออกมา


นี่คือการผสานของเสียงคำรามผูเหลาและวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิง


ก็เห็นว่าห้วงอากาศบริเวณที่ทะเลเพลิงแผ่ขยายไป แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจนับร้อยนับพันถูกหลอมละลาย สลายหายลับชั่วพริบตา พลังทำลายล้างน่าตกใจหาใดเปรียบ


สำหรับคนอื่นๆ การโจมตีจิตวิญญาณอาจน่ากลัวถึงที่สุด แต่สำหรับหลินสวินที่พลังจิตวิญญาณบรรลุระดับดอกเทพรวมยอดแล้ว ไม่ได้มีภัยคุกคามใดๆ เลย


ไม่ว่าจะเป็นเสียงคำรามผูเหลาหรือดาบหัก ต่างก็ข่มสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ประหลาดยุคบรรพกาลที่วิวัฒน์มาจากจิตวิญญาณเหล่านี้ได้โดยธรรมชาติ


ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ ทั้งตัวหลินสวินเป็นเหมือนดาบคมเล่มหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดไม่พังทลาย ไร้ศัตรูเทียบเทียม อานุภาพแข็งกร้าวซัดสะเทือน


พวกโค่วซิงสะเทือนไหวไร้คำพูดไปนานแล้ว นี่ไหนเลยจะเป็นนักชำนาญวิญญาณที่เชี่ยวชาญการหาชีพจรปราณ เห็นอยู่ว่าเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานคนหนึ่งชัดๆ!


ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนดูเบาเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินซย่าคนนี้กันทั้งสิ้น!


เวลานี้แม้กระทั่งแม่นางเยวี่ยที่กำลังจัดการกับ ‘ราชันแมลงเม่า’ ตัวนั้นก็ยังเผยแววประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


แต่ไม่นานนางก็ไม่อาจคิดมากได้อีก เพราะพลังของราชันแมลงเม่าตัวนั้นน่าสะพรึงเป็นล้นพ้น พาให้นางสัมผัสถึงแรงกดดันหาใดเปรียบ ไม่กล้าแบ่งสมาธิแม้แต่นิดเดียว


และพร้อมกันนั้น หลินสวินที่กำลังพุ่งสังหารอยู่ก็ขมวดคิ้วอย่างยากจับสังเกต ‘ไม่ไหว เจ้าตัวเส็งเคร็งพวกนี้มีจำนวนมากเกินไป จะฆ่าให้หมดในชั่วขณะแทบเป็นไปไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่เข้าท่าแน่…’


นึกถึงจุดนี้ เขาก็มองไปทาง ‘ราชันแมลงเม่า’ ตัวนั้นที่กำลังต่อสู้กับแม่นางเยวี่ยกลางห้วงอากาศไกลออกไป



 

 

 


ตอนที่ 940 วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปล...

 

ทั่วลำตัวราชันแมลงเม่าเปล่งแสงสีเงินสุกสว่าง เห็นได้ชัดว่าต่างจากพวกพ้อง มีพลังแห่งราชัน


ซ้ำมันยังเชี่ยวชาญวิชาลับจิตวิญญาณ คลื่นเสียงโจมตีที่ปลดปล่อยออกมาสามารถวิวัฒน์พลังอัศจรรย์ที่แตกต่าง น่าทึ่งถึงที่สุด


หากไม่ใช่เพราะกระดิ่งสีม่วงพวงนั้นที่อยู่ในมือแม่นางเยวี่ยสกัดกั้นพลังจิตวิญญาณชนิดนี้ เกรงว่าคงยืนหยัดไม่ไหวตั้งแต่ต้น


แม้จะเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ ณ ปัจจุบันของนางก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก


พลังของราชันแมลงเม่านั้นน่าสะพรึงเกินไป คลื่นเสียงดั่งกระแสน้ำ ครอบฟ้าคลุมดิน ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นแสงรัศมีสีเงินเปล่งประกาย ซัดห้วงอากาศบริเวณนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ


‘ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว หากเอาอยู่ ก็เพียงพอจะทำให้พวกเจ้าเลื่อนระดับไปยังขั้นต่อไป นี่เป็นถึงวาสนาที่ยากจะได้รับครั้งหนึ่งเชียวนะ…’


หลินสวินกำชับอยู่ในใจ


พร้อมกันนั้น หนอนกินเทพที่ถูกหลินสวินใช้ ‘เคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอน’ เพาะเลี้ยงในห้วงนิมิตก็ตื่นจากการหลับใหล หลังจากได้ยินคำสั่งของหลินสวิน หนอนกินเทพที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวเหล่านี้ต่างกระปรี้กระเปร่าผิดปกติ ไหวกระเพื่อมตื่นเต้น


ฟุ่บๆๆ!


เพียงชั่วครู่พวกมันก็พุ่งปราดออกไป ทะลวงผ่านห้วงอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง โฉบไปทางราชันแมลงเม่าตัวนั้นที่กำลังต่อสู้กับแม่นางเยวี่ยในระยะไกล


ยามนี้จิตรับรู้ของหลินสวินปกคลุมเหล่าหนอนกินเทพ สัมผัสได้อย่างฉับไวว่าราชันแมลงเม่าตัวนั้นส่งเสียงกรีดร้องเล็กแหลมออกมาคล้ายกับตื่นตระหนก


“หนอนกินเทพ!! น่าชังนัก! พวกเจ้า… พวกเจ้าไม่ได้ตายสิ้นไปตั้งนานแล้วหรือ!?” ราชันแมลงเม่าส่งเสียงคำรามเดือดดาลคลุมเครือออกมา มีเพียงหนอนกินเทพเท่านั้นที่สามารถจับสัมผัสได้อย่างฉับไว


มันคล้ายกริ่งเกรงถึงขีดสุด ถึงกับละทิ้งแม่นางเยวี่ยโดยไม่ลังเล กระพือปีกสีเงินหนีอุตลุดออกไป


สิ่งนี้พาให้แม่นางเยวี่ยอึ้งงันมึนงง


ขณะเดียวกันนั้นหลินสวินก็ตกใจน้อยๆ เช่นกัน คิดไม่ถึงสักนิดว่าหนอนกินเทพที่เพิ่งอยู่ในขั้นแรก ซ้ำยังเป็นแค่ตัวอ่อนเท่านั้น แต่ถึงกับทำให้ราชันแมลงเม่าตัวนั้นกริ่งเกรงเช่นนี้ ยังไม่ทันโรมรันก็หนีโดยไม่คิดสู้เสียแล้ว!


เห็นได้ชัดว่าหนอนกินเทพเป็นศัตรูโดยธรรมชาติของแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจ!


หลินสวินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป ปล่อยให้หนอนกินเทพเก้าตัวไปไล่ล่าราชันแมลงเม่าตัวนั้น ส่วนเขาก็เคลื่อนไหวพุ่งสังหารแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจตัวอื่นต่อไป


เวลานี้สถานการณ์ในบริเวณนั้นเห็นได้ชัดว่าเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว พอราชันแมลงเม่าเผ่นหนี กองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมฟ้าดินนั้นก็เริ่มสับสนอลหม่าน เสมือนกองทัพที่สูญเสียการควบคุมกองหนึ่ง


สิ่งนี้ทำให้แรงกดดันของพวกโค่วซิงลดลงไปไม่น้อยในทันที พวกเขาก็แปลกใจเช่นกัน กองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจที่เดิมทีไหลทะลักเป็นอะไรไปเสียแล้ว


ครืน!


เวลานี้แม่นางเยวี่ยวกกลับขึ้นยานสมบัติอีกครั้ง สำแดงกระดิ่งสีม่วง ช่วยพวกหลินสวินสังหารแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจเหล่านั้นอีกแรง


เมื่อเป็นเช่นนี้กองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจจึงเริ่มส่อแววพ่ายแพ้ ถูกพิฆาตชีวิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า


บรรดานักผจญภัยอย่างโค่วซิงฮึกเหิม เดิมทีพวกเขาล้วนรู้สึกถึงความสิ้นหวัง ไหนเลยจะคิดว่าสถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลง ภายใต้ความพลิกผันปั่นป่วนทำให้พวกเขามองเห็นความหวังในการรอดชีวิต


ส่วนหลินสวินเองก็ลอบถอนหายใจโล่งอก พึมพำในใจ หากรู้เช่นนี้แต่แรกก็คงส่งหนอนกินเทพไปไล่สังหารราชันแมลงเม่าตัวนั้นโดยตรง ไม่ต้องวุ่นวายเช่นนี้เลยสักนิด


พร้อมกันนั้นสีหน้าเคร่มขรึมของแม่นางเยวี่ยก็ทุเลาลงไม่น้อย ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นชำเลืองมองหลินสวินซึ่งอยู่ไม่ไกลอย่างใช้ความคิด จากนั้นจึงเอ่ยอู้อี้ทันใด “คิดไม่ถึงเลยว่าบนโลกนี้จะยังมีหนอนวิเศษบรรพกาลอย่างหนอนกินเทพอยู่อีก ครั้งนี้โชคดีเหลือเกินที่พวกมันเปลี่ยนภัยเป็นสวัสดิภาพ…”


“แม่นางเยวี่ยก็รู้จักหนอนกินเทพด้วยหรือ” หลินสวินกล่าวอย่างฉงนใจอยู่บ้าง


“นี่คือหนอนวิเศษที่อยู่ในสิบอันดับแรกสมัยบรรพกาล เคยกลืนกินวิญญาณแห่งอริยะที่แท้จริง น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ มีหรือข้าจะไม่รู้”


แม่นางเยวี่ยเอ่ยเสียงเบา “แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้ หนอนกินเทพเป็นหนอนเทพพิทักษ์เผ่าของเผ่าราชันเร้นดาราในยุคบรรพกาล สูญพันธุ์ไปตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้เห็นเงาร่างของพวกมันอยู่อีก”


หลินสวินลอบตกใจ แม่นางน้อยที่ดูป่วยออดๆ แอดๆ คนนี้ เห็นได้ชัดว่ารู้ความลับมากมาย แม้แต่เผ่าราชันเร้นดารานางก็ยังรู้จัก นี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติเกินไปแล้ว


นางเป็นใครกันแน่


‘คุณชาย บังอาจถามหนึ่งข้อ หนอนกินเทพพวกนี้ท่านเป็นคนเพาะเลี้ยงหรือ’ ทันใดนั้นโสตประสาทหลินสวินก็มีเสียงสื่อจิตของแม่นางเยวี่ยดังขึ้นมา


‘ถูกต้อง’ หลินสวินสงบนิ่ง เขารู้ว่าเรื่องพวกนี้ปกปิดดวงตาเฉียบคมของอีกฝ่ายไม่ได้ ปิดบังไปก็รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยต่อตน


‘เป็นเช่นนี้นี่เอง’ แม่นางเยวี่ยพยักหน้า ไม่ได้ถามเจาะลึก นางชาญฉลาดยิ่ง มองปราดเดียวก็ดูออกว่าหลินสวินหาได้ยินดีจะพูดคุยประเด็นนี้


‘คุณชาย หนอนชนิดนี้กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ หากเพาะเลี้ยงไม่ถูกต้อง จะประสบกับการแว้งกัดของมันเอาง่ายๆ หวังว่าคุณชายจะระวังตัว’ นางเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค


จากจุดนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ก่อนหน้านี้แม่นางเยวี่ยคนนี้อาจไม่เคยเห็นหนอนกินเทพ แต่กลับรอบรู้รายละเอียดของหนอนกินเทพเป็นอย่างดี!


‘ขอบคุณมาก’ หลินสวินยิ่งแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าภูมิหลังของหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดา


แต่เห็นหลินสวินเยือกเย็นเช่นนี้ แม่นางเยวี่ยกลับอึ้งงัน คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง กล่าวหัวเราะเยาะตัวเอง ‘ดูท่าข้าคงคิดมากไป ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของคุณชายกับเผ่าราชันเร้นดาราจะไม่ธรรมดา และสันทัดวิชาเพาะเลี้ยงหนอนชนิดนี้แต่แรกแล้ว’


หลินสวินคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าพลังหยั่งรู้ของอีกฝ่ายจะละเอียดอ่อนเช่นนี้ ตนยังไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ก็ถูกอีกฝ่ายเดาเค้าลางได้บางส่วนแล้ว!


แต่จวบจนบัดนี้เขากลับดูไม่ออกถึงที่มาของหญิงสาวคนนี้แม้แต่น้อย ข้อนี้ทำให้ในใจหลินสวินอดรู้สึกระวังตัวน้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้


‘คุณชาย ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเราจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไร แต่ยามนี้กลับลงเรือลำเดียวกัน นี่ก็คือพรหมลิขิตอย่างหนึ่ง ข้าเองก็ไม่อาจมีเจตนาร้ายใดๆ ต่อคุณชาย หวังว่าคุณชายอย่าได้กังวล’


ไม่อาจไม่พูด แม่นางเยวี่ยคนนี้ฉลาดเหลือแสน คล้ายกับมองทะลุความคิดในใจหลินสวิน จึงสื่อจิตอธิบายออกมา ดูจริงใจยิ่งอย่างเห็นได้ชัด ‘รอหลังจากคลี่คลายอันตรายตรงหน้านี้แล้ว ข้ายินดีจะสนทนากับคุณชายเป็นอย่างยิ่ง’


หลินสวินคลี่ยิ้ม พยักหน้าตอบรับ


อีกฝ่ายเปิดเผยยิ่ง แต่กลับทำให้หลินสวินไม่อาจไม่ยอมรับ นี่คือหญิงสาวคนหนึ่งที่เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาอย่างแน่นอน


……


เวลาครึ่งเค่อให้หลัง การต่อสู้ปิดฉากลง


ท้ายที่สุดกองทัพแมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจที่ไร้จ่าฝูงก็แพ้พ่ายแตกซ่าน หายลับไปในบริเวณส่วนลึกผิวน้ำอันเวิ้งว้าง


พวกโค่วซิง หน้าเขียว จงอางแดงต่างยกภูเขาออกจากอก รู้สึกยินดีปรีดาหลังรอดชีวิตจากหายนะ


ในการต่อสู้ครั้งนี้ถึงแม้ร่างกายของพวกเขาจะไม่เคยได้รับบาดเจ็บ แต่จิตวิญญาณกลับถูกโหมโจมตี ต่างได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย


นอกจากนี้พวกเขายังมีสหายร่วมอุดมการณ์สองคนที่เคราะห์ร้ายดับชีวิตลง นี่ก็เป็นเรื่องน่าจนใจเช่นกัน สถานการณ์เมื่อครู่อันตรายเกินไป เลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายได้ยาก


กระทั่งครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะมีแม่นางเยวี่ยและหลินสวินอยู่ด้วย พวกเขาล้วนต้องประสบเคราะห์กันหมด!


“ครั้งนี้สามารถสลายภัยร้ายได้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของทั้งสองท่าน บุญคุณใหญ่หลวงที่ช่วยชีวิตหนนี้ พวกข้าจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด” โค่วซิงประสานมือคารวะ กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง


คนอื่นๆ ต่างก็ทำเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะสายตาที่มองมาทางหลินสวิน เริ่มเปลี่ยนไปจนแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง


ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ อานุภาพหลินสวินดุจผ่าลำไผ่ ท่วงท่าไร้ทัดเทียมนั้นสร้างพลังโจมตีและความตระหนกใหญ่ยิ่งให้กับพวกเขา


พวกเขาต่างเป็นมือฉมังที่คมดาบชโลมเลือดมานานปี ประสบการณ์เหลือล้น รู้ดียิ่งว่าหลินสวินต้องไม่ใช่เพียงนักชำนาญวิญญาณคนหนึ่งง่ายๆ แค่นั้นแน่นอน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ละลาบละล้วงซักถาม


พวกเขารู้ดี ที่หลินสวินปกปิดตัวตนอาจมีเรื่องลับที่บอกใครไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าพวกเขายังซักไซ้อีกก็ไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด


“คุณชาย ยามนี้ยินดีจะร่วมดื่มกับข้าสักหน่อยหรือไม่” ไม่นานนักแม่นางเยวี่ยก็หันไปส่งเสียงเชิญชวนหลินสวิน


“ยินดีอย่างยิ่ง” หลินสวินยิ้มตอบรับ เขาก็ใคร่รู้เช่นกันว่าแม่นางคนนี้เป็นคนแบบไหนกันแน่


จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในห้องห้องหนึ่งบนยานสมบัติ


พวกโค่วซิงเห็นดังนี้ต่างก็แยกย้ายไปทำธุระของตนอย่างรู้หน้าที่


แม้ว่าแรงคุกคามที่แมลงเม่าวิญญาณปีกปีศาจนำมาให้จะถูกสลายไปแล้ว แต่บนแม่น้ำพรมแดนที่สุดแสนอันตรายหาใดเปรียบนี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าสะเพร่ากันทั้งนั้น


และยิ่งเข้าไปลึกขึ้น ภัยอันตรายที่พานพบตลอดทางก็มีแต่จะยิ่งน่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ


……


ห่างจากยานสมบัติออกไปหลายร้อยลี้ แม่น้ำไหลเชี่ยว พยับหมอกสีเทาพวยพุ่งท่วมท้นฟ้าดิน เห็นได้ชัดว่าพิศวงและสยองขวัญ


บริเวณส่วนลึกของพยับหมอกสีเทา ปรากฏกองกระดูกขาวที่มีลักษณะคล้ายรังผึ้งขึ้น เวลานี้มีเสียงกรีดร้องโหยหวนวังเวงหาใดเปรียบดังก้องออกมาจากกองกระดูก


นั่นคือราชันแมลงเม่าปีกสีเงินยวงตัวนั้น เพียงแต่ยามนี้กลับถูกหนอนกินเทพเก้าตัวขังตรึงอย่างแน่นหนา กำลังแทะกินลำตัวของมันทีละน้อย


ในกระบวนการนี้ ไม่ว่ามันจะขัดขืนอย่างไรก็ล้วนไม่สามารถหลุดพ้น เห็นได้ชัดว่าร้อนรนและกลัวลาน ทั้งหมดหวังและสิ้นท่า


เพียงชั่วครู่ ราชันแมลงเม่าตัวนี้ก็ถูกกัดแทะจนเกลี้ยง


หนอนกินเทพเก้าตัวกำลังเปล่งแสง ลำตัวคล้ายเมล็ดข้าวมีแสงสีดำแปลกประหลาดไหลหลั่ง จากนั้นร่างกายของพวกมันถึงกับปริออกทีละชุ่นๆ…


ฉัวะ! ฉัวะ!


สุดท้ายพวกมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สลัดคราบเดิมทิ้ง วิวัฒน์เป็นสีขาวเงินดูคล้ายเมล็ดงาที่ไม่สะดุดตา มีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก


แต่เมื่อลองมองอย่างถี่ถ้วน ลำตัวของพวกมันกลับไหลเอ่อด้วยแสงประกายประหลาดสีขาวเงิน เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ถึงกับให้ความรู้สึกพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งแก่ผู้คน


นี่ก็คือวิวัฒนาการขั้นที่สองของหนอนกินเทพ!


บรรลุถึงขั้นนี้ หนอนกินเทพประดุจเกิดใหม่จากกองเพลิง สามารถกลืนกินจิตวิญญาณของมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอย่างง่ายดาย ยิ่งกว่านั้นภายใต้สิ่งเหนือคาดหมาย แม้แต่ราชันกึ่งระดับก็ยังเกือบจะเพลี่ยงพล้ำ!


อย่างไรก็ตาม…


หลังจากลอกคราบเสร็จสมบูรณ์กลับบังเกิดภาพที่น่าตกใจยิ่งกว่าขึ้นฉากหนึ่ง!


หนอนกินเทพหนึ่งในนั้นดันพุ่งปราดไปยังพวกพ้องที่อยู่ด้านข้างฉับพลัน ใช้ท่วงท่าทรงพลังและเผด็จการกลืนกินอีกฝ่ายลงไปในชั่วพริบตา!


เกือบในเวลาเดียวกัน หนอนกินเทพตัวอื่นโกลาหล หมายจะเผ่นหนี คล้ายกับรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย


แต่หนอนกินเทพตัวที่สำแดงการโจมตีก่อนส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาหนึ่งครา หนอนกินเทพตัวอื่นๆ ต่างหมอบยวบยาบอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับส่งเดชคล้ายกับยอมรับชะตากรรมก็ไม่ปาน


จากนั้นหนอนกินเทพก็ถูกกลืนกินลงไปตัวแล้วตัวเล่า ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงหนอนกินเทพตัวนั้นตัวเดียว!


มันยังคงมีขนาดเท่าเมล็ดงาตามเดิม ดูเหมือนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่สีลำตัวของมันกลับเริ่มเข้มขึ้นและเก็บงำประกายขึ้นมาก ประหนึ่งโลหะเย็นเยียบสีเงิน ทั่วร่างยิ่งเปล่งอานุภาพอันยากจะอธิบายออกมา ฉายแววเด่นสะดุดตาดุจดั่งตัวอ่อนหนอนราชันก็ไม่ปาน!


มันปักหลักอยู่กลางอากาศ วกวนไม่สงบสุขคล้ายกำลังลังเลอะไรบางอย่าง


เกือบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินที่เพิ่งนั่งลงในห้องกำลังจะพูดคุยกับแม่นางเยวี่ยพลันสีหน้าเคร่งขรึม ในห้วงนิมิตยามนี้จู่ๆ พลันบังเกิดความปั่นป่วนระลอกหนึ่ง ทำให้เขาเข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดกับหนอนกินเทพเก้าตัวนั่นในบัดดล


‘กลับมา!’ เขาใช้จิตรับรู้ออกคำสั่ง ถ้อยวาจาหนักแน่น


หนอนกินเทพตัวนั้นลังเล คล้ายร้อนรนเล็กน้อย ตัดสินใจไม่ถูก


‘อย่าลืมว่าใครทำให้เจ้าถอดคราบมาจนถึงขั้นนี้ ครอบครองความสามารถแฝงที่กลายเป็นราชันหนอนได้ หากเจ้าตัดสินใจหนีไป ข้าจะบอกเจ้าว่าราคาของการทรยศคืออะไร!’ หลินสวินถ่ายทอดเจตจำนงเย็นเยียบ ร้องเอ่ยเตือน



 

 

 


ตอนที่ 941 เสี่ยวอิ๋นขุ่นเคืองมาก

 

เสียงของหลินสวินแฝงแววไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ


ความจริงในใจเขาไม่ได้นิ่งสงบเหมือนภายนอก เขาคิดไม่ถึงว่าหลังจากกลืนราชันแมลงเม่าตัวหนึ่งเข้าไป หนอนกินเทพทั้งเก้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่ครั้งเดียว


และยังบ่มเพาะหนอนกินเทพพิเศษที่มีศักยภาพในการบรรลุสู่ราชันได้ตัวหนึ่ง!


ตามบันทึกของเคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอน ความน่าจะเป็นที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้เห็นได้ยากมาก แม้แต่ในอดีตยังเรียกได้ว่าหนึ่งในหมื่น


หนอนกินเทพที่พิเศษชนิดนี้ ยังถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ตัวอ่อนหนอนราชัน’ โดยทั่วไปจะพบตอนที่หนอนกินเทพวิวัฒนาการสู่ขั้นที่สามเท่านั้น


ตัวอ่อนหนอนราชันเผด็จการอย่างมาก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ตอนที่ถือกำเนิดจะกลืนกินหนอนกินเทพตัวอื่นๆ ทั้งหมด แล้วหลอมเป็นศักยภาพแฝงอันเป็นเอกลักษณ์ของตน


อีกทั้งมันจะเริ่มตื่นรู้มีสติปัญญาอันเป็นอิสระ ราวกับราชันที่มีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของตน ต่อต้านการเลี้ยงและสั่งการอย่างที่สุด


ในอดีตกาลก็เคยมีกรณีที่ตัวอ่อนหนอนราชันแว้งกัดเจ้าของมาแล้ว


ตอนแรกหลินสวินเองก็ไม่ได้เป็นห่วง เพราะในเคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอนบันทึกวิชาการควบคุมและสั่งการโดยเฉพาะเอาไว้


แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่ทันที่เขาจะเตรียมตัว เพียงแค่บรรลุสู่ขั้นที่สองเท่านั้น ในหนอนกินเทพเหล่านั้นก็ถือกำเนิดตัวอ่อนหนอนราชันตัวหนึ่งแล้ว!


นี่ทำให้หลินสวินไม่คาดคิดและค่อนข้างรับมือไม่ทัน ในใจอดกังวลไม่ได้ ตนอุตส่าห์เลี้ยงตัวอ่อนหนอนราชันได้ตัวหนึ่ง หากปล่อยให้มันหนีไปได้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าความพยายามทั้งหมดล้วนคว้าน้ำเหลว


……


วู้มๆ


หนอนกินเทพตัวนั้นยิ่งดูร้อนรนขึ้น ร่างสีเงินเข้มขนาดประมาณเม็ดงาแผ่คลื่นอันคลุมเครือเป็นระลอกๆ


จากนั้นเสียงอันอ่อนเยาว์ก็ดังขึ้นในห้วงนิมิตของหลินสวิน ‘นายท่าน ข้าไม่ได้อกตัญญู บุญคุณที่เลี้ยงดูสักวันจะตอบแทน ตอนนี้ศักยภาพแฝงในการบรรลุสู่ราชันของข้าได้ตื่นรู้แล้ว จะแสวงหาหนทางกลายเป็นราชันด้วยตัวเอง หาใช่การทรยศไม่’


‘เหลวไหล!’ หลินสวินเหยียดหยาม ‘สุดท้ายก็แค่พวกทรยศ’


‘นายท่าน นับรบฆ่าได้หยามไม่ได้ เอาคำว่าทรยศมาดูหมิ่นศักดิ์ศรีของข้าได้อย่างไร’ หนอนกินเทพขุ่นเคือง แสดงออกว่าต่อต้าน


หลินสวินชะงัก พลันสัมผัสได้ว่านี่เป็นเจ้าตัวเล็กที่เย่อหยิ่งอย่างที่สุด ไม่ยินยอมอยู่กินแบบได้เปล่ากับตน จึงตั้งใจจะจากไปเพียงลำพัง


อีกทั้งเจ้าตัวเล็กยังให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและเกียรติยศอย่างมาก ไม่ยอมให้ใครดูหมิ่น


‘เสี่ยวอิ๋น’


จู่ๆ หลินสวินก็ส่งเสียงถอนหายใจเบาๆ ‘จะว่าไป เจ้าก็ถือว่าเป็นหนอนที่ข้าเลี้ยงมากับมืออย่างยากลำบาก หากเจ้าจากไป ข้าย่อมอาลัยอาวรณ์และไม่เข้าใจอย่างมาก เจ้าเองก็ต้องเห็นใจ’


‘เสี่ยวอิ๋นหรือ นายท่าน ชื่อนี้ออกจะ…’ หนอนกินเทพขนลุกขึ้นมาระลอกหนึ่ง ราวกับรับไม่ได้ยิ่ง


‘อย่าเปลี่ยนเรื่อง ฟังข้าพูดก่อน’


หลินสวินมุ่นคิ้วก่อนจะเอ่ยเสียงทอดถอนใจ ‘เจ้าจะไปก็ได้ แต่ภายหลังก็อย่ากลับมาอีก นับจากวันนี้เราทั้งสองตัดขาดจากกัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก ข้าจะถือซะว่าช่วยส่งเสริมเจ้าสักครั้ง ทำฝันการเป็นราชันของเจ้าให้เป็นจริง’


‘นายท่าน ข้า…’ หนอนกินเทพสับสนและลังเลมาก


หลินสวินถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า ‘ไปเถอะ เจ้าไม่ต้องไม่สบายใจ ไม่ต้องรู้สึกผิดและติดใจอะไร’


หนอนกินเทพหมดคำพูด จะให้มันไม่ต้องรู้สึกผิดและไม่ติดใจได้อย่างไร


‘นายท่าน ข้า…’ หนอนกินเทพสูดหายใจเข้าลึกๆ กำลังเตรียมจะตัดสินใจอะไรสักอย่าง


พลันเห็นหลินสวินชิงพูดขึ้นก่อน ‘ตอนนี้ยังมีเวลา เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ เจ้าเพิ่งเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลง ทำไมต้องเร่งรีบจากไปตอนนี้ สู้อยู่ต่อก่อน ทบทวนคำถามนี้ให้ถี่ถ้วน รอให้เจ้าคิดให้กระจ่างก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย’


คำพูดจริงใจและอ่อนโยน เหมือนคำเตือนที่เอาใจใส่และรอบคอบของผู้ใหญ่


หนอนกินเทพอึ้งงัน ตะลึงไม่น้อย ไม่เข้าใจว่าหลินสวินมีกลอุบายอันใด คำพูดที่พูดออกมาพาให้ลังเลเกินไปแล้ว!


‘นายท่าน เช่นนั้น…’ หนอนกินเทพรู้สึกว่าในหัวตนสับสนจนพันกันหมด สติที่เพิ่งตื่นรู้ขึ้นมาก็เลอะเลือนขึ้นบ้างแล้ว


‘เสี่ยวอิ๋น อยู่ต่อก่อนเถอะ รอให้เจ้าไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน ข้าจะให้อิสระที่เจ้าต้องการ’ น้ำเสียงของหลินสวินแฝงความหวัง


‘ได้!’ สุดท้ายหนอนกินเทพก็กัดฟันตอบตกลง


หลินสวินดีใจ ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปากพูด หนอนกินเทพก็ยื่นข้อเสนอหนึ่งอย่างครัดเคร่ง ‘ข้ามีเงื่อนไขหนึ่ง’


‘ว่ามา’


‘ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวอิ๋นอีก!’ หนอนกินเทพพูดออกมาทีละคำ นี่มันชื่ออะไรกัน น่าเกลียดเกินไปแล้ว!


หลินสวินผงะ ยิ้มพูด ‘ได้สิ… ไม่มีปัญหา!’


ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็เรียกจิตรับรู้คืนมา และเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า แม่นางเยวี่ยที่นั่งรินเหล้าอยู่ตรงหน้ากำลังมองตนด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด ราวกับมองคนโง่คนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น…


หลินสวินใบหน้าร้อนผ่าว ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้ตนมัวแต่ ‘หว่านล้อม’ ให้หนอนกินเทพอยู่ต่อก่อน


แต่กลับลืมไปว่า การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเมื่อครู่นี้ของเขาอยู่ในสายตาของแม่นางเยวี่ยอย่างไม่ตกหล่น


“ขออภัย ข้ามีเรื่องด่วนต้องจัดการ วันหลังค่อยคุยดีหรือไม่” ในขณะที่พูดหลินสวินก็ลุกขึ้นยืน เขาไม่สนใจจะอธิบายแล้ว


“ก็ดี” แม่นางเยวี่ยท่าทางดูเข้าใจมาก


เพียงแต่หลินสวินเพิ่งออกจากประตูห้อง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่กลั้นมานานของแม่นางเยวี่ยไล่หลังมา…


ในใจหลินสวินยิ่งอักอ่วน แค่คิดก็รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเมื่อครู่นี้ของตน จะต้องสร้างความประทับใจอัน ‘ลึกซึ้ง’ ให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน


ขายหน้าจริง!


เพราะเสี่ยวอิ๋นตัวนี้ตัวเดียว!


หลินสวินโกรธจนแอบกัดฟัน


……


‘นายท่าน เหตุใดต้องขังข้าไว้ที่นี่’ เสี่ยวอิ๋นงุนงงอย่างมาก ทันทีที่มันกลับมาก็ถูกหลินสวินขังไว้ในห้วงนิมิต และใช้เคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอนกำราบไว้


หลินสวินยิ้ม พูดอย่างอดทน ‘เจ้าไม่รู้สึกว่าเช่นนี้ยิ่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อย่างใจเย็นได้ง่ายกว่าหรือ อย่างเช่นปัญหาเรื่องจะอยู่ต่อหรือจากไปของเจ้า’


‘แต่… เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนถูกขัง’ เสี่ยวอิ๋นพูดอึ้งๆ


หลินสวินลอบถอนหายใจ เจ้าเด็กโง่นี่ซื่อจริงๆ จนตอนนี้แล้วยังไม่รู้ตัว ยังจะเรียกร้องจะไปท่องโลกแสวงมหามรรคเพียงลำพัง ด้วยสติปัญญาเพียงเท่านี้ ไม่ถูกเอาเปรียบตายก็ถือว่าโชคดีแล้ว


‘เสี่ยวอิ๋น ข้าหวังดีกับเจ้า รอให้เจ้าคิดทบทวนเจตนาของข้าจนกระจ่าง หากเจ้าจะไป ข้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าอีกแล้ว’ หลินสวินท่าทางเหมือนอาจารย์ผู้เป็นตัวอย่างที่ดีคอยพร่ำสอน


‘นายท่าน!’ เสี่ยวอิ๋นขุ่นเคือง ‘ท่านสัญญาแล้วว่าจะไม่เรียกชื่อน่าเกลียดนั่นอีก! ท่านกลับไม่รักษาคำพูด’


‘อยากเปลี่ยนชื่องั้นหรือ ง่ายมาก รอให้คิดให้กระจ่างก่อน เจ้าจะชื่ออะไรก็ย่อมได้’ หลินสวินยิ้มอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตร


เสี่ยวอิ๋นเงียบไปแล้ว มันเหมือนตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ ครู่ใหญ่มันจึงแผดเสียงขึ้น ‘นายท่าน ท่านหลอกข้าตั้งแต่แรกใช่หรือไม่’


แต่กลับไม่มีคนตอบกลับมันอีก


หลินสวินได้ตัดสินใจแล้วว่าจะ ‘ให้บทเรียน’ เจ้าตัวเล็กนี่ กำจัดความเย่อหยิ่งของมันซะ ต่อไปจะได้ไม่คิดแต่จะออกไปท่องโลกเพียงลำพังเหมือนคนซื่อที่หัวอ่อน เกิดถูกเอาเปรียบขึ้นมาจะน่าอับอายแค่ไหน


‘นายท่าน ท่านใจร้าย ใจดำ เสแสร้ง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!’


ในที่สุดเสี่ยวอิ๋นก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแล้ว เดือดดาลยกใหญ่ ในฐานะหนอนกินเทพที่มีศักยภาพแฝงในการบรรลุสู่ราชัน แน่นอนว่าไม่ได้โง่ มันแค่ไม่เคยผ่านความโหดเหี้ยมของใจคน การตอบสนองจึงดูช้ามากก็เท่านั้น


‘ท่านคอยดูเถอะ! หากข้าหลุดออกไปได้เมื่อไหร่ท่านจะต้องเสียใจ ขอโทษก็ไม่มีประโยชน์!’ เสี่ยวอิ๋นตะเบ็งเสียง


ไม่มีใครตอบรับ


‘ข้าๆๆ… ข้าไม่เคยเจอใครที่หน้าหนาขนาดนี้มาก่อน!’


ยังคงไม่มีคนตอบรับ


เสี่ยวอิ๋นแทบคลั่งแล้ว มันรู้สึกบอบช้ำมาก ตนเชื่อใจนายท่านขนาดนั้น อีกฝ่ายกลับไร้ยางอายและเลวทรามขนาดนี้ เพื่อรั้งตนเอาไว้ ถึงกับหลอกลวงตนอย่างแนบเนียน หน้าไม่อาย… หน้าไม่อายเกินไปแล้ว!


เสี่ยวอิ๋นเป็นหนอนกินเทพที่เย่อหยิ่งอย่างมาก ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและเกียรติยศอย่างที่สุด โดนหลอกเช่นนี้ทำให้มันอึดอัดจนแทบอาเจียนเป็นเลือด


ไม่คิดเลยว่ามันดันเจอนายท่านใจดำที่ไม่เดินไปตามลู่ทางที่ถูกต้อง พาให้คนโกรธรังเกียจยิ่ง!


‘เจ้ายังเด็ก ที่ข้าทำก็เพราะหวังดีกับเจ้า…’


นี่ก็คือความคิดของหลินสวิน เขาตัดสินใจเมินเจ้าตัวเล็กนี่ไปสักวันสองวัน ให้อีกฝ่ายทบทวนตัวเองอย่างใจเย็นก่อน


ไม่ว่าอย่างไร การ ‘รั้ง’ เสี่ยวอิ๋นไว้สำเร็จ ทำให้หลินสวินสบายใจและผ่อนคลายมาก


เขาตัดสินใจจะไปคุยกับแม่นางเยวี่ย


……


แม่นางเยวี่ยราวกับไม่แปลกใจที่หลินสวินจากไปไม่นานก็กลับมา นางนั่งอยู่ตรงนั้น ยื่นมือขาวผ่องออกไปหยิบกาเหล้าหยกสีเรียบรินใส่จอกเหล้าจนเต็ม จากนั้นจึงยิ้มถามว่า “หนอนกินเทพเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใช่ไหม”


กลิ่นเหล้าหอมฟุ้ง แฝงกลิ่นหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์อบอวลอยู่ในห้อง


แม้แม่นางเยวี่ยจะดูป่วยกะปลกกะเปลี้ย แต่ทุกอิริยาบถทุกท่าทางกลับมีความสง่างามและผ่อนคลายอันเป็นเอกลักษณ์ ดูสวยงามน่ามอง


หลินสวินพูดอย่างแปลกใจ “แม่นางสายตาเฉียบแหลม ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังท่านได้”


แม่นางเยวี่ยยกจอกขึ้นชนกับหลินสวิน จากนั้นจิบเหล้าชั้นเลิศสีอำพันที่โปร่งใสระยิบระยับคำหนึ่ง ค่อยยิ้มพูดว่า “คุณชายชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงบังเอิญรู้เรื่องเกี่ยวกับหนอนกินเทพมาบ้าง รู้ว่าการจะเลี้ยงหนอนวิเศษบรรพกาลชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย”


ทักทายกันคร่าวๆ ไม่รอให้หลินสวินหยั่งเชิง แม่นางเยวี่ยก็พูดเรียบๆ “คุณชายคงประหลาดใจมากว่าเหตุใดข้าต้องเลือกวิธีข้ามแม่น้ำพรมแดนเพื่อเดินทางไปแดนชัยบูรพา ง่ายมาก ข้ากำลังหลบภัย หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่นานคนที่ตามฆ่าข้าก็จะตามมาแล้ว”


หลินสวินขานรับว่าอ้อ ก่อนจะพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”


เขาพอจะเดาออกตั้งนานแล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไร


“ตอนนี้สิ่งที่ข้าพอจะบอกคุณชายได้คือ ข้ามาจากแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่งในแดนชัยบูรพา ส่วนคนที่ตามฆ่าข้ามาจากขุมอำนาจอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งในแดนชัยบูรพา”


ดวงตาคู่ใสของแม่นางเยวี่ยนิ่งสงบ เสียงแฝงความจริงจัง มองหลินสวินพร้อมเอ่ยว่า “ก็หมายความว่า แม้ข้ากับคุณชายจะอยู่บนยานลำเดียวกัน แต่ข้าไม่มีเจตนาร้ายใดๆ เพราะฉะนั้นคุณชายไม่จำเป็นต้องระวังและระแวงข้า”


พูดถึงตรงนี้นางพลันหัวเราะเยาะตัวเอง “ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสภาพอ่อนแอของข้าในตอนนี้ แม้อยากทำร้ายคุณชายก็คงเป็นเรื่องเพ้อฝัน”


แดนเร้นอริยะ!


หลินสวินหัวใจสะท้าน ตั้งแต่เข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ นี่เป็นบุคคลจากแดนเร้นอริยะคนแรกที่เขาเจอ


ก่อนหน้านี้เขาเพียงเคยได้ยินเรื่องของสิงเจินจื่อ ผู้สืบทอดมหาวิหารธรรมที่ถูกเรียกเป็น ‘อนุสุขาวดี’ ในแดนเร้นอริยะ แต่ไม่เคยเจอกันจริงๆ


“แม่นางเยวี่ย ขอเสียมารยาทถามสักคำ เหมือนว่าท่านกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าข้าจะเข้าใจท่านผิด” หลินสวินคล้ายขบคิด มุมปากแฝงรอยยิ้มบางๆ สีหน้าก็นิ่งสงบมากเช่นกัน


ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว สติปัญญาเฉียบแหลม อาศัยคำพูดเพียงสองสามคำไม่สามารถทำให้เขาเลิกระแวงได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)