Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 934-937
ตอนที่ 934 แม่น้ำพรมแดนเปลี่ยนแปลง
พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย
สำหรับหลินสวิน การที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงสามารถ ‘ตายแล้วฟื้นคืนชีพ’ ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่า สถานการณ์เช่นนี้มีเพียงดื่มให้เมาจึงจะสะใจ
“หากข้าพูดความจริงเจ้าอย่าตีข้าล่ะ”
“ว่ามา!”
“ตอนที่เลือกจบชีวิตตัวเองในเทศกาลโคมกถามรรค ข้าก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์เท่าไหร่ เพราะข้ารู้ว่าสักวันข้าจะฟื้นกลับมา แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้สึกผิดถึงเพียงนี้ ฮ่าๆๆๆ หากเผยแพร่ออกไปว่าเทพมารหลินเองก็รู้สึกผิดเป็น ผู้คนบนโลกจะคิดอย่างไร”
“ไสหัวไป!”
“นี่ อย่าทำสีหน้าแย่ขนาดนี้ ดื่มเหล้าๆ”
ริมทะเลสาบหลิวเขียว หลินสวินกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงกำลังดื่มเหล้า ข้างๆ ทั้งสองมีไหเหล้าล้มระเนระนาดอยู่สิบกว่าไหแล้ว
เหล้านี้คือ ‘เมานิรันดร์’ ที่เมืองพันทะเลสาบหมักขึ้นพิเศษ รสชาติเผ็ดร้อนราวกับกลืนไฟลงคอ
ทั้งสองต่างเมาจนตาเบลอพร่า หากไม่ใช่เพราะมีพลังปราณอยู่กับตัว คงเมามายจนไม่รู้เรื่องราว เฝ้าฝันถึงไหนต่อไหนตั้งนานแล้ว
ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยยืนอยู่ห่างๆ ยิ้มมองภาพทั้งหมด แค่มองอยู่เช่นนี้เขาก็รู้สึกมีพลังและสบายใจอย่างมากแล้ว
“เพื่อไม่ให้พลอยเดือดร้อนไปด้วย สำนักยุทธ์พันเวทได้ตัดขาดกับเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไร”
“ง่ายมาก เดินบนทางของตน แจ้งมรรคของตน ใต้หล้ายิ่งใหญ่เพียงนี้ จะไม่มีที่ยืนของข้าเยวี่ยเจี้ยนหมิงเลยหรือ”
“เจ้าไม่แค้นหรือ”
“แน่นอนว่าแค้น ข้าเห็นสำนักเป็นบ้าน พวกเขากลับทอดทิ้งข้า แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็มีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงกับข้า แม้จะเกลียดแค้น ก็จะไม่ไปทวงความเป็นธรรมอะไร ตัดขาดความสัมพันธ์กันเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
“ดูท่าเจ้าจะคิดตกแล้ว”
“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดตก ข้าไม่ใช่อริยะที่รู้แจ้งถ่องแท้ ถูกทอดทิ้งเช่นนี้ในใจข้าก็อัดอั้น คอยดูเถอะ สักวันข้าจะทำให้สำนักยุทธ์พันเวทเสียใจภายหลังกับการตัดสินใจนี้!”
“นี่ถึงจะเหมือนลูกผู้ชาย”
“ข้าก็เป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว!”
ระหว่างดื่มเหล้า ทั้งสองคุยกันหลายเรื่องเหมือนขี้เหล้าสองคน คุยกันอยู่ริมฝั่งทะเลสาบหลิวเขียวอันเงียบสงบไม่หยุด นกกระสาไม่รู้เท่าไหร่บินว่อน
จวบจนกระทั่งสายันณ์ แสงอาทิตย์ยามเย็นเรืองรอง ย้อมพื้นผิวทะเลสาบเป็นสีแดง เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งร่างเมาจนตาพร่ามัว สะอึกพูด “ข้าจะไปแล้ว จะไปจากเมืองพันทะเลสาบ”
“ไปไหน”
“พเนจรทั่วหล้า” เยวี่ยเจี้ยนหมิงหัวเราะแฮะๆ พูด
จากนั้นเขาก็ขึ้นขี่หลังม้าตัวผอมแห้งสีขนไม่เสมอที่ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยจูงเข้ามา มาโบกมือให้หลินสวินแล้วขี่ม้าจากไป
เรียกได้ว่าจากไปอย่างอิสระเสรี
บางทีก็อาจเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ เขาเคย ‘ตาย’ มาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ไม่สามารถรู้แจ้งอย่างถ่องแท้ แต่บางเรื่องก็คิดตกได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
การจากไปครั้งนี้ ก็เพื่อเดินบนทางของตน แจ้งมรรคของตน
“อย่ากังวลว่าหนทางเบื้องหน้าไร้มิตรรู้ใจ ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดมิรู้จักท่าน”
ในระยะไกล เสียงหัวเราะของเยวี่ยเจี้ยนหมิงดังลั่นมา “หลินสวิน ข้าจะไปหาเจ้าที่แดนชัยบูรพา”
เสียงค่อยๆ เบาจนกระทั่งไม่ได้ยิน ท่ามกลางพระอาทิตย์ตก ข้ารับใช้ชราจูงม้าตัวผอม เงาร่างของเยวี่ยเจี้ยนหมิงส่ายไปมา เดินห่างไกลออกไปแล้ว
หลินสวินมองส่งอีกฝ่ายจากไป ครู่ใหญ่จึงยิ้มพูด “พเนจรทั่วหล้าบ้าบออันใด เจ้าไปเที่ยวเล่นล่ะสิ…”
……
สองวันหลังจากนั้น ณ นครเตโช
หอสุราเหมยเมามาย ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เป็นสถานที่นัดพบของหลินสวินกับไป่เฟิงหลิว
เจ้าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวมาถึงแล้ว แวบแรกที่เห็นหลินสวินเขาก็ถอนหายใจเอ่ย “ใครจะไปคิดว่าเทพมารหลินที่ก่อเรื่องวุ่นวายจนไก่กระพือหมากระเจิงไปทั้งแดนฐิติประจิม ตอนนี้กำลังเลี้ยงข้าไป่เฟิงหลิวเพียงลำพัง”
ไป่เฟิงหลิวคนนี้ยังคงไร้ยางอายและไม่ปกติเหมือนที่ผ่านมา
“หยุดพูดจาไร้สาระ ตามเจ้ามาครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะถาม” หลินสวินพูดอย่างไม่อภิรมย์
ไป่เฟิงหลิวกลอกตาพูด “ให้ข้าเดา เกี่ยวข้องกับการไปจากแดนฐิติประจิมใช่หรือไม่”
หลินสวินแปลกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ไป่เฟิงหลิวสีหน้าได้ใจเต็มประดา ยิ้มพูด “เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นชายที่ต้องการจะเป็น ‘ราชันแห่งข่าวสาร’ เชียวนะ เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนฐิติประจิมจะปิดบังหูตาข้าไปได้หรือ”
หลังจากผ่านการอธิบาย หลินสวินจึงรู้ว่าสำนักโบราณมากมายได้คาดเดาออกมานานแล้วว่า ภายใต้สถานการณ์ที่คลื่นลมพัดโหมเช่นนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตนจะเลือกจากไป เพราะมีเพียงเช่นนี้ จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการแก้แค้นมากมายที่จะมาถึงตัวได้
“ปัจจุบัน แต่ละขุมอำนาจเก่าแก่ยิ่งใหญ่อย่างเผ่าฉลามสมุทร ตระกูลจงหลี เผ่าหงส์เขียว อารามพรางมรกต เผ่าอสนีรกร้าง… ได้ประกาศกร้าวแล้วว่า ใครกล้าช่วยเจ้าเทพมารหลินออกจากแดนฐิติประจิม ก็จะกลายเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเขา จะต้องประสบเคราะห์ถูกกวาดล้างสำนัก!”
สีหน้าไป่เฟิงหลิวเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พูดว่า “ในขณะเดียวกัน ขุมอำนาจเหล่านี้ได้ส่งกองกำลังต่างๆ ตามหาร่องรอยของเจ้าในแดนฐิติประจิมอย่างเต็มกำลัง ทั้งยังตั้งรางวัลนำจับที่เรียกได้ว่าน่าทึ่ง ท่าทางต้องการกำจัดให้สิ้นซาก”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า แม้เทศกาลโคมกถามรรคสิ้นสุดลงแล้ว แต่สถานการณ์ของเขากลับยิ่งไม่สู้ดี
“ดูเหมือนพวกเขาคงคิดว่าข้ายังฆ่าคนไม่มากพอ” เขาพึมพำ
ไป่เฟิงหลิวรีบพูดว่า “เจ้าอย่าซี้ซั้วทำอะไร ได้ยินว่าครั้งนี้เพื่อจะเล่นงานเจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันของขุมอำนาจไม่น้อยต่างเตรียมเคลื่อนพลแล้ว!”
หลินสวินเงียบไปชั่วขณะ ว่ากันถึงที่สุด พวกเขาก็แค่รังแกตนที่หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีคนหนุนหลังก็เท่านั้น!
ไป่เฟิงหลิวเอ่ยเสียงทอดถอนใจ “หากจะไปเผชิญหน้ากับสำนักโบราณเหล่านั้นเพียงลำพังก็ยากเกินไปจริงๆ ไม่ต่างอะไรกับการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ข้าว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องใจเย็น ออกจากแดนฐิติประจิมไปหลบภัยสักหน่อยก็ดี”
หลินสวินพยักหน้า “ข้าไม่บุ่มบ่ามทำอะไรหรอก”
เขาวางแผนจะเดินทางไปยังแดนชัยบูรพาอยู่แล้ว แม้ในใจเคียดแค้นที่สำนักโบราณเหล่านั้นรังแกกัน แต่ก็รู้ว่าก่อนที่ตนจะก้าวสู่ระดับราชัน ก็ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงความขัดแย้งนี้ไปก่อน ออกจากกระแสน้ำวนอันตรายที่ร้อนแรงอย่างแดนฐิติประจิมนี้ซะ
แน่นอนว่าแม้ไม่จากไป หลินสวินก็ไม่กลัวทั้งหมดนี้
ในมือเขายังมีไม้ตายไม่น้อย แม้ไม่สามารถกำจัดสำนักโบราณพวกนั้นให้สิ้นซากได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บหนัก พลังชีวิตเสียหาย!
ที่พำนักของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬในแดนฐิติประจิมถูกกวาดล้าง ก็เป็นการยืนยันที่ดีที่สุด
ทว่าหากไม่ถูกบีบจนจนตรอก หลินสวินก็จะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากหญิงลึกลับในห้องโถงมรรคาสวรรค์นั่น
หญิงลึกลับคนนั้นรับปากจะช่วยเขาสามครั้ง เขาใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่อยากสูญเสียโอกาสอันล้ำค่ายิ่งกับเรื่องไม่จำเป็นพวกนั้นอีก
“จริงสิ สุดท้ายศุภโชคอันดับหนึ่งในเทศกาลโคมกถามรรคถูกใครช่วงชิงไป” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น
ไป่เฟิงหลิวส่ายหน้า “ไม่แน่ชัด อาจจะเป็นจี้ซิงเหยา หรืออาจจะเป็นลั่วเจียผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมที่มาจากแดนประมุขพิภพ”
พูดถึงตรงนี้ไป่เฟิงหลิวก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง พลันพูดอย่างมีลับลมคมใน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอวี่หลิงคงยังไม่ตาย”
เป็นจริงดังคาด!
หลินสวินสะท้านในใจ แม้ไป๋หลิงซีจะเคยพูดเรื่องนี้แล้ว แต่เมื่อได้รับการยืนยันจากไป่เฟิงหลิวเขาก็ยังรู้สึกหดหู่ไม่น้อย อยากฆ่าบุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง ยากมากจริงๆ…
“ได้ยินว่าเจ้าหมอนั่นถูกสมบัติอริยะตำหนักอมตะช่วยไว้ แต่เพราะบาดแผลรุนแรงไม่น้อย จึงเร่งรีบออกจากแดนฐิติประจิม กลับแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณเพื่อฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบ”
“ก่อนไปเขาเคยพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า เจอกันครั้งหน้าจะเป็นวันตายของเจ้า!”
สีหน้าของไป่เฟิงหลิวเองก็แฝงความจริงจัง “ต้องยอมรับว่ารากฐานพลังของอวี่หลิงคงนั่นน่าทึ่งเกินไปแล้ว นี่เท่ากับเจ้าฆ่าเขาครั้งหนึ่งแล้ว ข้าสงสัยว่า ไม่ว่าจะเป็นแดนพิสุทธิ์อมตะหรือตระกูลอวี่ล้วนยืนอยู่ข้างอวี่หลิงคง เห็นเจ้าเป็นหนามยอกอก!”
หลินสวินได้ยินเช่นนี้กลับยิ้ม ขุมอำนาจที่เห็นเขาเป็นศัตรูมีไม่รู้เท่าไหร่ จนตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ
เขาพูดอย่างสบายๆ “เจ้าหมอนั่นตายไปแล้วครั้งหนึ่งก็ยังไม่หลาบจำ ยังจะกล้าคุยโวเช่นนี้ เช่นนั้นก็ลองดูว่าใครจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด”
ไป่เฟิงหลิวชูนิ้วโป้งขึ้นชม “ข้าไม่นับถือใครทั้งนั้นนอกจากเจ้าเทพมารหลิน ปั่นโลกจนสับสนวุ่นวาย ตั้งแต่อดีตและปัจจุบัน ทอดสายตามองไปในยุคนี้ ผู้กล้าคนใดที่สามารถครอบครองความองอาจและฝีมือระดับนี้”
หลินสวินหมดคำพูด “อย่าทำให้ข้าสะอิดสะเอียนถึงเพียงนี้ได้หรือไม่”
ไป่เฟิงหลิวหัวเราะแฮะๆ “ได้ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ตอนนี้เจ้าอยากไปจากแดนฐิติประจิม จะพึ่งค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณของสำนักโบราณเห็นจะไม่ได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี”
“ลองว่ามา”
“จากข่าวล่าสุดที่ข้ารู้มา แม่น้ำพรมแดนที่กระจายอยู่ในสี่แดนวิภูอย่างชัยบูรพา ฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณ ตอนนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือแม่น้ำพรมแดนกำลังค่อยๆ หายไป!”
“หายไปหรือ”
“ใช่ อิงจากการวิเคราะห์ของสัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้สี่แดนวิภูที่เดิมแบ่งแยกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณสิ้นสุดสภาพแตกแยก กลับมาสมบูรณ์เหมือนในอดีตอีกครา”
“แต่ตอนนี้มีเพียงแค่เล็กน้อย ตามการคาดการณ์ เมื่อมหายุคมาเยือนอย่างแท้จริง สี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณจะทำลายรูปแบบแตกแยกโดดเดี่ยว และกลับคืนสู่สภาพโลกที่สมบูรณ์”
“และการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ก็ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณที่มหายุคจะมาเยือน”
“ถึงตอนนั้น สี่แดนวิภูรวมเป็นหนึ่ง ดินแดนรกร้างโบราณจะต้องปรากฏมหายุครูปแบบใหม่!”
พูดถึงตรงนี้ไป๋เฟิงหลิวเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ สี่แดนวิภูแยกจากกันมานานแล้ว ขัดขวางหนทางของผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่
สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไป อยากจะข้ามไปฝึกปราณที่แดนวิภูอื่น ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ เพราะมีแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายเกินคาดเดาขวางกั้นอยู่
ตอนนี้ได้ปรากฏสัญญาณที่สี่แดนวิภูจะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว มหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ถูกกำหนดให้มาเยือน จะให้ไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
หลินสวินอดหวั่นไหวไม่ได้ เท่าที่เขารู้ สมัยโบราณสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณเป็นโลกที่สมบูรณ์ใบหนึ่ง เพียงแต่ภายหลังเพราะการเปลี่ยนแปลงสะเทือนฟ้าครั้งหนึ่ง ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณแตกออก แบ่งออกเป็นสี่แดนวิภูจนถึงทุกวันนี้
หากครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันและฟื้นฟูความสมบูรณ์ นี่ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับผู้ฝึกปราณทุกคน
“แน่นอนว่าพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ยังเร็วไป แต่พลังของแม่น้ำพรมแดนกำลังลดลงเป็นความจริงที่ไร้ข้อกังขา ปัจจุบันผู้ฝึกปราณมากมายในแดนฐิติประจิมได้เริ่มค้นหาความลับที่แม่น้ำพรมแดนเกิดการเปลี่ยนแปลง พยายามหาเส้นทางสู่โลกอีกฝั่ง”
ไป่เฟิงหลิวพูด “หากเจ้าต้องการจากไป เลือกข้ามแม่น้ำพรมแดนก็ได้”
“ข้ามแม่น้ำพรมแดนงั้นหรือ” หลินสวินเหมือนคิดอะไรอยู่
“ใช่ เจ้าไตร่ตรองดูก่อน หากตัดสินใจจะทำเช่นนี้จริงๆ ข้าสามารถจัดเตรียมฐานะใหม่ให้เจ้า เข้าร่วมขบวนหนึ่งเพื่อเคลื่อนไหวพร้อมกัน อีกสามวันก็สามารถออกเดินทางได้”
ไป่เฟิงหลิวสีหน้าเคร่งเครียด
ตอนที่ 935 อยู่ข้างนอกเจ้ามีผู้หญิงกี...
สามวันหลังจากนั้น
ณ ชานเมืองฝั่งตะวันตกของนครเตโช
ฟ้าเพิ่งสางก็มีคนกลุ่มหนึ่งมารออยู่ที่นั่นแล้ว
“ทุกท่าน ข้าจะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก ท่านนี้คือหลินซย่า เป็นนักชำนาญวิญญาณที่เชี่ยวชาญการทำนายโชคเคราะห์ เสาะหาชีพจรปราณ ครั้งนี้จะข้ามแม่น้ำพรมแดนไปฝึกปราณที่แดนชัยบูรพา ระหว่างทางรบกวนทุกท่านให้การดูแลด้วย”
ไป่เฟิงหลิวแนะนำอย่างคล่องแคล่ว
หลินซย่าก็คือชื่อใหม่ที่หลินสวินใช้อำพรางตัว และหลังจากตัดสินใจว่าจะข้ามแม่น้ำพรมแดน เขาก็ได้ใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และบุคลิกไปแล้ว
คนทั้งกลุ่มกำลังพินิจหลินสวินที่อยู่ข้างๆ ไป่เฟิงหลิว พบว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพลังปราณเพียงระดับหยั่งสัจจะ อีกทั้งรูปลักษณ์ก็ไม่ได้โดดเด่น จึงไม่สนใจเลยสักนิด พลันเก็บสายตากลับไป
“หลินซย่า ข้าจะแนะนำสหายยุทธ์เหล่านี้ให้เจ้า…” ไป่เฟิงหลิวพูดพล่ามอยู่พักใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี
เพียงแต่หลินสวินกลับขมวดคิ้วอย่างยากจะสังเกตเห็น
คนขบวนนี้ถือว่าแข็งแกร่ง ทั้งหมดสิบหกคน แต่ละคนเฉียบแหลมมากประสบการณ์ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดยังมีพลังปราณถึงระดับหยั่งสัจจะ
แต่สำหรับหลินสวิน กองกำลังเช่นนี้อยากจะข้ามแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าก้าวเข้าไปง่ายๆ ก็เห็นจะไม่เพียงพอ
‘ไม่ต้องห่วง พวกนี้ล้วนเป็นตัวอันตรายที่โหดเหี้ยมอำมหิต และมักจะกบดานอยู่บริเวณแม่น้ำพรมแดน เป็นขบวนผจญภัยที่มากประสบการณ์’
ไป่เฟิงหลิวดูเหมือนอ่านความฉงนในใจหลินสวินออก พลันสื่อจิตอธิบาย ‘แม่น้ำพรมแดนนั่นอาจจะอันตรายมาก แต่สำหรับตัวอันตรายพวกนี้ กลับมีวิธีการของตนที่จะเอาตัวรอด ครั้งนี้พวกเขาถูกจ้างวานให้คุ้มกันบุคคลลึกลับคนหนึ่งข้ามแม่น้ำพรมแดนไปแดนชัยบูรพา การที่ให้เจ้าเคลื่อนไหวไปกับพวกเขา ประการแรกสามารถปิดบังฐานะ ประการที่สองสามารถอำนวยความสะดวก ตอนข้ามแม่น้ำพรมแดนค่อนข้างปลอดภัยกว่า’
หลินสวินพยักหน้า
เขาก็เคยได้ยินมาว่า แม้แม่น้ำพรมแดนจะอันตรายมาก แต่ภายในก็ซ่อนวัตถุดิบวิญญาณและสมบัติหายากจำนวนไม่น้อย
ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็มีนักผจญภัยและพวกชอบเสี่ยงมากมายที่เดินทางเข้าไป บ้างก็ปรารถนาความมั่งคั่ง บ้างก็ปรารถนาวาสนา
ในทำนองเดียวกันก็มีคนชั่วที่กระทำความผิดอย่างใหญ่หลวง เลือกที่จะหนีเข้าไปหลบการตามฆ่าในแม่น้ำพรมแดน
จนปัจจุบันในแม่น้ำพรมแดนนั่น มีสถานที่นอกกฎหมายที่นักผจญภัยรวมตัวกัน และยังกลายเป็นอิทธิพลชั่วร้ายมากมายทั้งใหญ่และเล็ก
แน่นอนว่านี่คือพื้นที่รอบนอกของแม่น้ำพรมแดน
ในส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดนยังคงเป็นเหมือนสถานที่ต้องห้าม แม้จะเป็นพวกนักผจญภัยหรือโจรชั่วก็น้อยมากที่จะมีคนกล้าเข้าไป
เห็นได้ชัดว่าขบวนที่ไป่เฟิงหลิวหามานี้เป็นการรวมตัวของกลุ่มนักผจญภัย ทั้งผ่านลมฝนมานาน ประสบการณ์หลากหลาย
“ไปเถอะ อีกไม่นานข้าก็จะไปแดนชัยบูรพา ที่นั่นเป็นถึงสถานที่หัวใจสำคัญของดินแดนรกร้างโบราณ ถูกเรียกว่าเป็น ‘แหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ’ เช่นเดียวกัน ในอนาคตข้าจะสามารถเป็นราชันแห่งข่าวสารที่ชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งอดีตและปัจจุบันได้หรือไม่ ล้วนต้องดูว่าข้าจะสามารถสร้างผลงานโดดเด่นเหนือผู้อื่นที่แดนชัยบูรพาได้หรือไม่!”
ก่อนจากกันไป่เฟิงหลิวเผยความภาคภูมิใจ ปณิธานแรงกล้า ฮึกเหิมเต็มประดา
“รักษาตัวด้วย” หลินสวินพยักหน้า
ในด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรค หลินสวินได้ดอกบัวเพลิงมาไม่น้อย เขาหลอมไปแล้วดอกหนึ่ง ได้รับวิชามรรคธารดาราเพลิงหลอมมา
ส่วนที่เหลือก็ถูกเขาแบ่งให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงกับไป่เฟิงหลิว
เรียกได้ว่าในแดนฐิติประจิม สหายที่หลินสวินคบไม่ได้มาก เยวี่ยเจี้ยนหมิงและไป่เฟิงหลิวเป็นสองคนที่เขาเชื่อใจที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
……
ฟิ้ว!
ในชั้นเมฆ ยานสำเภาลำหนึ่งบดขยี้คลื่นอากาศแล่นไปทางตะวันออกสุดของแดนฐิติประจิม
บนยานสำเภา สมาชิกขบวนนักผจญภัยกำลังหารือกันอยู่ ส่วนหลินสวินกำลังใคร่ครวญบางอย่างอยู่ในห้องห้องหนึ่ง
พวกเขาออกเดินทางมาได้หลายชั่วยามแล้ว หลังจากปฏิสัมพันธ์ในช่วงสั้นๆ ทำให้หลินสวินพอจะรู้จักขบวนนักผจญภัยขบวนนี้คร่าวๆ แล้ว
หัวหน้าเป็นชายเฉลียวฉลาดที่บุคลิกห้าวหาญราวกับเสือ ชื่อว่าโค่วซิง รูปร่างผอมสูง ผิวสีทองแดง สีหน้าเคร่งขรึม
เขาแบกดาบคู่หนึ่ง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเผยให้เห็นถึงความมากประสบการณ์ มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูง
นอกจากนี้ยังมีชายหญิงคู่หนึ่งเป็นที่สนใจของหลินสวิน
คนหนึ่งฉายาว่า ‘หน้าเขียว’ รูปร่างกำยำทรงพลัง บนผิวหนังปกคลุมไปด้วยรอยสักหนาแน่น โดยเฉพาะส่วนใบหน้า ถูกปกคลุมด้วยรอยสักสีเขียว ให้ความรู้สึกสยดสยองอย่างที่สุด
จากที่ไป่เฟิงหลิวแนะนำก่อนหน้านี้ คนผู้นี้มาจาก ‘เผ่าเลือดเขียว’ มีพลังหยั่งรู้ต่ออันตรายที่เฉียบแหลมอย่างที่สุดแต่กำเนิด เขามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น นิสัยเงียบขรึมพูดน้อย
อีกคนหนึ่งฉายาว่า ‘จงอางแดง’ มีเสน่ห์น่าหลงใหล รูปร่างเย้ายวนร้อนแรงอย่างที่สุด มีนัยน์ตาดอกท้อที่น่าดึงดูด ใบหูทั้งสองข้างมีงูสีแดงตัวเล็กๆ สองตัวห้อยอยู่ นางเองก็มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้นเช่นเดียวกับเจ้าหน้าเขียว อุปนิสัยฉุนเฉียว
เห็นได้ชัดว่าขบวนนี้มีสามคนนี้เป็นผู้นำ คนที่เหลือแม้พลังปราณไม่เหมือนกัน แต่กลิ่นอายก็ดุร้ายอย่างที่สุด ดูก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพที่ผ่านประสบการณ์มามาก
นอกจากนี้ในขบวนยังมี ‘ผู้ลึกลับ’ อีกคน
ครั้งนี้ขบวนนี้ก็ถูกผู้ลึกลับคนนี้ว่าจ้างมา
ตอนที่ก้าวขึ้นยานสำเภาลำนี้ หลินสวินเคยเห็นอีกฝ่าย แต่กลับรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะผู้ลึกลับคนนี้เป็นเด็กสาวที่กะปลกกะเปลี้ยคนหนึ่ง
นางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี หน้าตาสะสวย บุคลิกอ่อนโยน ปลอมตัวเป็นชายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เพียงแต่คิ้วงามของเธอขมวดแน่น สีผิวดูขาวซีดผิดปกติ เวลาเดินราวกับต้นหลิวที่พลิ้วไปตามสายลม ให้ความรู้สึกอ่อนแอเหมือนคนป่วย
ในบทสนทนาของพวกโค่วซิง หน้าเขียวและจงอางแดง ต่างเรียกหญิงสาวคนนี้ว่า ‘แม่นางเยวี่ย’
พอรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ยังมีหลินสวินอีกคน แม่นางเยวี่ยคนนี้ดูต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเจรจาจึงยอมให้หลินสวินเดินทางด้วยในที่สุด
แม่นางเยวี่ยเองก็จะเดินทางไปแดนชัยบูรพา เพียงแต่หลินสวินสังเกตได้อย่างมีไหวพริบว่า อีกฝ่ายเหมือนมีเรื่องที่ทุกข์ใจอย่างมาก ขมวดคิ้วแน่นมาตลอดทางโดยไม่เคยผ่อนคลายลง ทั้งยังเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ดูเงียบสงบมาก
เดิมทีหลินสวินตั้งใจจะสืบข้อมูลเกี่ยวกับแดนชัยบูรพาจากอีกฝ่าย แต่เห็นเช่นนี้ก็คงต้องล้มเลิกความคิด
วู้ม!
ไม่นานหลินสวินก็วางผนึกต้องห้ามง่ายๆ เพื่อใช้แยกการลอบสอดแนมจากโลกภายนอก
จากนั้นซย่าจื้อปรากฏตัวขึ้น นางเพิ่งตื่น พอเห็นหลินสวินประโยคแรกที่พูดก็คือ “หลินสวิน ข้าหิวแล้ว”
หลินสวินจนคำพูด โชคดีที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าต้องมีฉากนี้ จึงเตรียมอาหารมาล่วงหน้าแล้ว
เม็ดข้าวเหนียวนุ่มที่ขาวและใสราวกับหิมะถูกตักมาวางบนใบบัวสีเขียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ไอวิญญาณเต็มเปี่ยม
นอกจากนี้ยังมีเนื้อฉลามสมุทรตุ๋นและปีกหงส์เขียวย่างอย่างละหนึ่งจานใหญ่ ครบทั้งรูปรสกลิ่นสี เพียงพอให้สิบกว่าคนกินร่วมกัน
แน่นอนว่าอาหารประเภทนี้หายากอย่างที่สุด เป็นทรัพย์หลังศึกที่หลินสวินเก็บมาด้วยตอนฆ่าซาหลิวฉานและโจมตีชิงเหลียนเอ๋อร์จนบาดเจ็บสาหัส
ตอนนี้ถูกเขาปรุงเป็นอาหารให้ซย่าจื้อได้กิน หากผู้แข็งแกร่งของทั้งสองเผ่ามาเห็นเข้าต้องโกรธจนระเบิดแน่
ซย่าจื้อถือถ้วยตะเกียบ นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น จากนั้นเริ่มกินอย่างไม่เร็วไม่ช้า แต่ด้วยความที่กินจุจึงไม่เคยหยุดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
หลินสวินยิ้มมองภาพนี้ พักใหญ่จึงนึกบางอย่างขึ้นได้ พลันจุ๊ปากพูดอย่างเสียดาย “เสียดายที่เนื้อสุนัขสวรรค์มายาทมิฬถูกข้ากินไปหมดแล้ว เนื้อนั่นอร่อยมาก ไม่ว่าจะตุ๋น ผัด ย่าง ทอด ล้วนเรียกได้ว่าไร้ที่เปรียบ”
ซย่าจื้อไม่ได้สนใจเขา ยังคงกินต่อ ร่างอันผอมบางของนางเหมือนหลุมที่ไม่มีที่สิ้นสุด กินข้าวไปถ้วยแล้วถ้วยเล่า ใบบัวสีเขียวข้างๆ กองเป็นปึกหนา
หากไม่ใช่เพราะหลินสวินเตรียมตัวมาดี คงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของซย่าจื้อได้จริงๆ
ครู่ใหญ่ซย่าจื้อจึงวางถ้วยและตะเกียบลง เชยดวงตาที่กระจ่างใสราวกับเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นมองหลินสวินแล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อไปมีของดีอะไร อย่ากินคนเดียว”
หลินสวินเองก็ตอบอย่างจริงจัง “ต่อไปจะไม่ทำอีก”
ซย่าจื้อขานรับว่าอืม จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ข้ามีคำถามหนึ่ง”
“เจ้าว่ามา” หลินสวินถือชาถ้วยหนึ่งขึ้นมาพลางเอ่ยอย่างประหลาดใจ
ซย่าจื้อใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงพูดว่า “หลินสวิน อยู่ข้างนอกเจ้ามีผู้หญิงกี่คนแล้ว”
พรวด!
หลินสวินพ่นชาในปากออกมา สำลักจนไอไม่หยุด เขาจ้องมองแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแปลกประหลาด พร้อมพูดอย่างไม่อภิรมย์ “ทำไมจู่ๆ เจ้าถามคำถามแบบนี้ ข้าเหมือนคนที่ชอบหว่านเสน่ห์โดยใช่เหตุหรือ”
ซย่าจื้อขมวดคิ้วที่ดำราวกับน้ำหมึก ใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงพูดว่า “เหมือน”
หลินสวินจนคำพูด ฟ้าเห็นก็คงสงสาร เขาฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยคบหาผู้หญิงคนไหนอย่างจริงจัง จะ… จะมีผู้หญิงข้างนอกได้อย่างไร
บางครั้งหลินสวินยังรู้สึกว่าตนโดดเดี่ยวยิ่งกว่าภิกษุ แต่ตอนนี้กลับถูกซย่าจื้อ ‘ใส่ความ’ นี่จะยอมไม่ได้เด็ดขาด!
เพียงแต่เมื่อเขากลั่นกรองอยู่ครู่หนึ่งเพิ่งเตรียมจะพูด พลันเห็นซย่าจื้อพูดว่า “เจ้าไม่ต้องอธิบาย ข้าไม่ชอบให้เจ้าโกหกข้า”
“ข้า…” หลินสวินแทบจะโกรธจนเป็นลม นี่มันเข้าใจผิดเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าเขามีหญิงรู้ใจมากมายขนาดนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่ประเด็นคือจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวต่างหาก!
“ไม่ว่าอย่างไร ในอนาคตหากเจ้าจะแต่งงานก็ต้องผ่านด่านข้าก่อน” ซย่าจื้อมองหลินสวิน ดวงหน้าเล็กขาวเนียนที่สวยงามไร้ที่ติเต็มไปด้วยความจริงจัง
“มีสิทธิ์อะไร” หลินสวินหัวเสีย
“เพราะถ้าอยากให้ใครอีกคนนอกเหนือจากเจ้ามาอยู่ในโลกของข้า… จะยากมาก” ซย่าจื้อตอบราวกับนี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
หลินสวินพูดไม่ออก จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า เมื่อเผชิญหน้ากับซย่าจื้อที่จริงจังขึ้นมา ไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็ดูไร้ประโยชน์ยิ่ง เพราะ…
อีกฝ่ายไม่ฟังเลยสักนิด!
“หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าควรปฏิสัมพันธ์และคบหากับผู้หญิงให้มาก…” หลินสวินเหม่อ รู้สึกเสียดายมากที่ในอดีตใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเกินไป ไม่ได้จีบผู้หญิงสวยๆ สักคนสองคนมาทำให้ความรู้สึกในเส้นทางการฝึกปราณหลากหลายขึ้น ไม่คุ้มเลยจริงๆ
“เจ้าพูดอะไรนะ” ซย่าจื้อเลิกคิ้ว ดวงหน้าเล็กที่งดงามสดใสอย่างที่สุดแฝงอาการซักไซ้อย่างยากจะเห็น
“ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดเรื่องที่จะเดินทางไปแดนชัยบูรพา”
หลินสวินเบี่ยงประเด็นอย่างเด็ดขาด เขารู้สึกว่าหากถกกันเช่นนี้ต่อไป ภายใต้คำพูดอันนิ่งสงบที่คิดเองเออเองของซย่าจื้อ ตนจะต้องล่มสลายแน่
“งั้นเจ้าคิดไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว” สีหน้าของซย่าจื้อไม่ได้ดูจริงจังแล้ว หลังจากอิ่มท้องนางก็จะเริ่มง่วงเหมือนเคย
“อย่าเพิ่ง ดูบางสิ่งกับข้าก่อน” หลินสวินรีบเรียกนางไว้ จากนั้นหยิบใบไม้ต้นข่าวสารสีทองอร่ามใบหนึ่งออกมาจากอกอย่างระมัดระวัง
ตอนที่ 936 หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า
นี่คือใบข่าวสารทองคำใบหนึ่งซึ่งเป็นของกำนัลจากไป่เฟิงหลิว
ยามที่ได้ยินว่าหลินสวินมุ่งสู่แดนชัยบูรพาเพราะต้องการสืบข่าวเกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ ในคราแรกไป่เฟิงหลิวรู้สึกตกใจยิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามมากความอะไร แต่ใช้เวลาหนึ่งวันวกกลับไปที่พำนักเผ่าวาทวาโย
เมื่อย้อนกลับไปก็ได้มอบใบข่าวสารทองคำใบนี้ให้หลินสวิน
ในนั้นบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋ซึ่งสายสืบเผ่าวาทวาโยบังเอิญพบเห็น แต่เพราะอิทธิพลของอวิ๋นชิ่งไป๋ในดินแดนรกร้างโบราณนั้นมีมากเกินไป จึงทำให้ข่าวนี้ถูกเบื้องสูงของเผ่าวาทวาโยปิดผนึกเอาไว้อย่างระมัดระวังก่อนที่จะเผยแพร่สู่ภายนอก
ครั้งนี้โชคดีที่ไป่เฟิงหลิวออกหน้า จึงขอใบข่าวสารทองคำใบนี้ออกมาได้ หาไม่ตราบใดที่อวิ๋นชิ่งไป๋ยังมีชีวิตอยู่ ข่าวที่บันทึกไว้ในนั้นเกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก
วู้ม!
พร้อมกับระลอกคลื่นประหลาด ใบข่าวสารทองคำแผ่ขยายออก ปลดปล่อยแสงแวววาวงดงามและกลายเป็นจอภาพม่านแสงสายหนึ่งในตอนท้าย
บนจอภาพ ชายหนุ่มชุดคลุมขาวคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ริมฝั่งทะเลเลือด อาภรณ์โบกสะบัด เรือนผมยาวปลิวไสวตามสายลม เผยให้เห็นดวงหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แยแสเป็นที่สุด
เขารูปร่างสูงโปร่ง ราวกับกระบี่กรีดนภา ดวงหน้าหล่อเหลาไร้เทียมทาน ยืนตามสบายอยู่ตรงนั้น ก็มีความองอาจผงาดเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ท่วงท่าสง่าไม่มีใครเทียบได้
ทะเลเลือดปั่นป่วน แปลกพิสดารและน่าสะพรึง เจียวหลงสีเลือดมหึมาตัวหนึ่งห้อทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงคำรามระลอกหนึ่ง พลิกเกลียวคลื่นสีเลือดนับพันนับหมื่น
ลำตัวของมันใหญ่หนาเท่าบ้าน ความยาวหลายพันจั้ง บนนั้นปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรสีเลือดแน่นขนัดเย็นเยียบ ดวงตาสีเลือดคู่นั้นราวกับทะเลสาบสะท้อนสรรพสิ่งบนโลกก็ไม่ปาน
โฮก!
มันแหงนหน้าร้องคำราม ลำตัวยึดครองห้วงอากาศ กลิ่นอายน่าหวาดกลัวยากจะพรรณนาวูบหนึ่งคละคลุ้งระหว่างฟ้าดิน พาให้ทะเลเลือดทั้งแถบพลุ่งพล่านร้องกระหึ่ม ห้วงอากาศพันลี้แหลกสลายชุ่นแล้วชุ่นเล่า ทรงพลังน่าหวาดกลัวเป็นที่สุด
เพียงแค่มองก็พาให้หลินสวินรู้สึกถึงกลิ่นอายบีบเค้นที่ประเดประดังเข้ามา
เจียวหลงสีเลือดที่เหยียบย่างระดับกึ่งราชันตัวหนึ่ง!
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากในสายเลือดของมันบรรจุปราณมังกร ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ของมันกร้าวแกร่งและน่าสะพรึงยิ่งกว่าราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ เสียอีก!
ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวเริ่มขยับตัว เหยียบย่างบนห้วงอากาศมุ่งตรงไปข้างหน้า ทั่วสรรพางค์กายปลดปล่อยเจตกระบี่ดุกร้าวพุ่งนภา พร่าวพราวตาไร้ที่เปรียบราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่างจ้า
ตูม!
เจียวหลงสะบัดหาง สำแดงวิชาลับน่าสะพรึง สัญลักษณ์ลายมรรคสีเลือดพุ่งไปแผ่คลุมทางชายหนุ่มชุดคลุมขาวสายแล้วสายเล่า
เพียงแต่การโจมตีเหล่านี้ยังไม่เคยเฉียดใกล้ก็ระเบิดตูม สลายไปประหนึ่งพุ่งชนกำแพงไร้รูป ถึงกับไม่สามารถสร้างอันตรายใดๆ ได้เลยสักนิด
นัยน์ตาหลินสวินหดลง นี่คือแสนยานุภาพวิถีกระบี่ไร้รูป เพียงแต่มันกลับพิทักษ์รอบกายชายหนุ่มชุดคลุมขาวราวกับแก่นแท้ พาให้เขาประหนึ่ง ‘หมื่นวิชามิอาจรุกราน’!
เจียวหลงคล้ายจะดาลเดือด บนลำตัวสีเลือดเจิดจ้าเปล่งแสง ระลอกคลื่นวงหนึ่งที่ประดุจลายมรรคแผ่กว้างออกไปในห้วงอากาศ
ตูม!
ฟ้าสะท้านดินสะเทือน ลายมรรคสีเลือดนั้นทั้งคลุมเครือและลึกลับ เต็มไปด้วยกลิ่นอายมหามรรคที่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่ามังกร พาให้ฟ้าดินสั่นคลอน สรรพสิ่งแหลกลาญ น่าสะพรึงถึงที่สุด
จากการคาดเดาของหลินสวิน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาศัยตัวช่วยจากมหาอาวุธพิฆาตอย่างเจดีย์สมบัติไร้อักษร หรือคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร หากเขาคิดจะสลายการโจมตีหนนี้ คงต้องทุ่มแรงมหาศาลกว่าจะทำสำเร็จ
แต่สำหรับชายหนุ่มชุดคลุมขาวคนนั้น เขาทำเพียงวาดมือส่งๆ ปัดเจตกระบี่ที่เกือบจะเป็นดั่งภาพมายาสายหนึ่งออกไปก็ผลาญทำลายทุกสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย!
ชิ้ง!
จากนั้นนัยน์ตาชายหนุ่มชุดคลุมขาวมีสายรุ้งวิเศษเจิดจรัสคู่หนึ่งพุ่งออกมา สอดประสานหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นกระบี่มรรคเล่มหนึ่ง
กระบี่ยาวสามฉื่อสามชุ่น กว้างสี่นิ้วมือ ตัวดาบปกคลุมด้วยลายสลักคลุมเครือแน่นขนัด ทันทีที่ปรากฏ ฟ้าดินสั่นสะเทือน ห้วงอากาศอลหม่าน เจตกระบี่เทียมฟ้าที่ยากจะอธิบายวูบหนึ่งปรากฏขึ้นในใต้หล้า เสมือนว่าสามารถสร้างความสะเทือนให้อดีตจนมาถึงปัจจุบันได้!
ดวงตาหลินสวินปวดแปลบขึ้นมาหนึ่งระลอก มองไม่เห็นอะไรเลย
และพร้อมกันนั้น ม่านแสงสายนั้นพลันหายลับไป สิ้นสุดอย่างฉับพลัน ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้หนึ่งกระบี่เทียมฟ้าอันงดงามหาใดเปรียบนั้น เจียวหลงตัวนั้นจะมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่
ภายในห้องเงียบสงัด ในหัวหลินสวินกำลังนึกย้อนถึงกระบี่สายนั้น ยิ่งพยายามไตร่ตรองก็ยิ่งรู้สึกใจสั่น กลิ่นอายมหามรรคบนนั้นรุนแรงและไพศาลมากเกินไป ประหัตประหารจนถึงขีดสุด และน่าสะพรึงถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน
โดยไม่ทันรู้ตัว เสื้อผ้าตรงแผ่นหลังของหลินสวินเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬ
อวิ๋นชิ่งไป๋!
ชายหนุ่มชุดคลุมขาวคนนั้น ก็คือบุคคลในตำนานที่ถูกเรียกขานว่าผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งดินแดนรกร้างโบราณในยุคนี้ เป็นบุคคลที่ได้รับฉายาว่าไร้ศัตรูในระดับต่ำกว่าระดับราชัน!
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว คนผู้นี้มีแค่สถานะเดียว นั่นก็คือผู้ร้ายที่ล้างบางครอบครัวสายตรงตระกูลหลินของเขา
“ห้าปีก่อนเขาก็แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว…”
หลินสวินพึมพำ ในใจหนึกอึ้งอยู่บ้าง เมื่อได้เห็นการต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋กับตา ถึงจะเป็นเพียงฉากสั้นๆ แต่กลับทำให้หลินสวินตระหนึกได้ว่าศัตรูคนนี้น่ากลัวเพียงใด
นี่ขนาดแค่การต่อสู้ครั้งหนึ่งเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น สำหรับบุคคลแห่งยุคที่โดดเด่นที่สุดอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ ระยะเวลาห้าปีก็เพียงพอให้ความแข็งแกร่งของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่!
แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกคาดเดาไม่ถูก ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในวันนี้จะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้วกันแน่
“พลังของเขาบริสุทธิ์มาก รากฐานแข็งแกร่งเป็นที่สุด สำหรับการควบคุมพลังมหามรรคยิ่งถึงขั้นเหนือสุด หากต่อสู้กับเขายามนี้ ข้ามีสิทธิ์เอาชนะเขาเพียงแค่สองส่วนเท่านั้น แต่คิดจะฆ่าเขาให้ตาย ไม่มีสิทธิ์แม้แต่นิดเดียว”
ด้านข้าง ซย่าจื้อเอ่ยปากพูดเสียงเบา น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูราวกับดนตรีสวรรค์
แต่ครั้นนางเอ่ยคำนี้ออกมา กลับทำให้สีหน้าหลินสวินยิ่งเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
การต่อสู้เมื่อครู่นี้ พลังปราณของอวิ๋นชิ่งไป๋เพิ่งอยู่แค่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่กลับทำให้ซย่าจื้อยอมจำนนว่าฆ่าเขาไม่ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลังต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งน่าสะพรึงเพียงใด
ควรรู้ว่าในเทศกาลโคมกถามรรค ตอนที่ซย่าจื้อสังหารบุคคลแห่งยุคอย่างพวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน ก็ใช้เพียงกระบวนท่าเดียวกวาดล้างคู่ต่อสู้ไปทีละคนได้แล้ว!
“แต่ว่า หากเขาคิดจะสังหารข้าก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน”
ซย่าจื้อให้ความเห็นอย่างจริงจัง ใบหน้าน้อยๆ ที่งดงามสมบูรณ์พาให้ฟ้าดินหม่นแสงลงทันควัน เต็มไปด้วยแววครุ่นคิดพิจารณา “หากเจ้าเป็นศัตรูกับเขา ดูจากสภาพการณ์ตอนนี้แล้ว ถ้าเปรียบเทียบเฉพาะพลังต่อสู้ โอกาสชนะนับว่าริบหรี่มาก”
“นี่คือการต่อสู้เมื่อห้าปีก่อน” หลินสวินเอ่ยเตือน
“นั่นยิ่งไม่มีหวังเข้าไปใหญ่” ซย่าจื้อกล่าวง่ายๆ นี่ก็คือซย่าจื้อ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยโกหกหลินสวิน คำพูดก็ไม่เคยอ้อมค้อมด้วยเช่นกัน แต่หาได้จงใจโจมตีหลินสวิน
หลินสวินเงียบไปชั่วขณะ ความแข็งแกร่งของศัตรูเหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง และยามนี้เขาเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าต่อให้จะหาอวิ๋นชิ่งไป๋พบตอนนี้ การแก้แค้นก็ถูกกำหนดให้ไร้ความหวัง
“แต่ว่า ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้ามากกว่า” ซย่าจื้อเอ่ยอย่างกะทันหัน
“ข้าตกต่ำจนถึงขั้นต้องให้เจ้ามาปลอบใจข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” หลินสวินยิ้มขื่นกล่าว
“ข้าจริงจังนะ” ซย่าจื้อเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าจะมองเจ้าผิดไปอย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ…” หลินสวินไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ในใจกลับชื่นมื่น การได้เห็นอานุภาพไร้เทียมทานของอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อครู่สร้างแรงโจมตีไม่น้อยให้เขาได้จริงๆ
“เชื่อข้า เจ้าก็แค่เริ่มช้ากว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าในอนาคตจะต้องทะยานอยู่เหนือเขาอย่างแน่นอน”
คำพูดของซย่าจื้อราบเรียบ กลับเจือกลิ่นอายสมเหตุสมผล แน่วแน่จริงแท้ยิ่งประการหนึ่ง นี่คือความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมที่มีต่อหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย
จากนั้น นางก็เข้านอน
อวิ๋นชิ่งไป๋อาจจะแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่ทำให้นางรู้สึกสนใจแม้แต่น้อย และไม่อาจสร้างผลกระทบใดๆ กับนางได้เลย
ในโลกของนาง บางทีนอกจากการฝึกปราณแล้ว ก็ยอมให้แค่หลินสวินคนเดียวเท่านั้น
……
ในช่วงเวลาต่อมา หลินสวินเฝ้าสังเกตฉากการต่อสู้ที่บันทึกบนใบข่าวสารทองคำซ้ำไปซ้ำมา
แต่ต่างจากก่อนหน้านี้ สภาพจิตใจของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งและแน่วแน่ กำลังสังเกตความแข็งแกร่งของศัตรูเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน
วิธีที่ดีที่สุดในการโจมตีศัตรู ก็คือต้องทำความเข้าใจศัตรูให้ครบทุกด้านเสียก่อน!
ความแข็งแกร่งของอวิ๋นชิ่งไป๋สร้างผลกระทบให้หลินสวินอย่างมาก และถูกกระตุ้นจนบังเกิดปณิธานการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่เช่นนั้นหลังออกจากคุกอันไกลโพ้นแห่งนั้น ก็คงไม่อาจครอบครองความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
เป็นอย่างที่ซย่าจื้อบอกไว้ จุดเด่นที่อวิ๋นชิ่งไป๋มีทั้งหมด ก็อยู่ที่เขาเหยียบย่างบนเส้นทางการฝึกปราณก่อนหลินสวิน
ตอนที่หลินสวินยังไม่ทันเกิด อวิ๋นชิ่งไป๋ก็ได้เป็นบุคคลแห่งยุคที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในสำนักกระบี่เทียมฟ้าแล้ว
ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของอวิ๋นชิ่งไป๋ในทุกวันนี้ได้มาอย่างไม่ขาวสะอาด ที่นำมาใช้ก็หาใช่พลังของเขาเองทั้งหมด!
อย่างน้อยที่สุดหากเขาไม่มีชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่ชิงจากตัวหลินสวิน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกิตติศัพท์อย่างทุกวันนี้เป็นอันขาด!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สิ่งเดียวที่หลินสวินขาดไปในปัจจุบัน อาจจะเป็นเวลาเท่านั้น
“เจ้าแข็งแกร่งขึ้น มีหรือข้าจะไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าในสักวัน!”
เนิ่นนาน หลินสวินสูดหายใจลึกๆ จิตใจแน่วแน่ขึ้นทุกที ทั้งตัวมีท่วงทำนองพิสุทธิ์และหลุดพ้นดุจดั่งบังเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ปาน
……
ครึ่งเดือนให้หลัง
ในที่สุดยานสมบัติที่บรรทุกขบวนของหลินสวินก็บรรลุถึงที่หมาย
เมืองชลาสินธุ์ ตั้งอยู่ใกล้ตะวันออกสุดของแดนฐิติประจิม เชื่อมต่อกับแม่น้ำพรมแดน
เทียบกับอดีต พักนี้เมืองชลาสินธุ์เริ่มครึกครื้นผิดปกติ ผู้ฝึกปราณมากหน้าหลายตาจากทุกสารทิศต่างมารวมตัวกัน
สาเหตุนั้นง่ายดายมาก เพราะแม่น้ำพรมแดนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตระหนก กำลังจางหายไปอย่างช้าๆ เป็นไปได้สูงว่านี่คือสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการรวมสี่มหาวิภูเป็นหนึ่งเดียว!
เพื่อสำรวจต้นกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจครั้งนี้ ผู้ฝึกปราณจำนวนมากจากแดนฐิติประจิมล้วนถูกดึงดูดให้เข้ามา
ยิ่งกว่านั้นในระยะเวลาอันสั้น มีผู้ฝึกปราณมากมายที่มุ่งหน้ามาสำรวจแม่น้ำพรมแดนต่างก็ได้รับวาสนาส่วนหนึ่งไปไม่มากก็น้อย
มีของล้ำค่าประหลาดโบราณที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และก็มีวัตถุดิบวิญญาณที่แสนพิสารและหายาก ยิ่งไม่ขาดของโบราณแตกหักชำรุดส่วนหนึ่งที่มีอยู่เฉพาะยุคบรรพกาลเท่านั้น
วัตถุเหล่านี้ก็ถูกค้นพบเป็นครั้งคราวในอดีต แต่ไม่ได้พบถี่เหมือนเมื่อไม่นานมานี้
ยามเกลียวคลื่นถดถอย ก็เผยให้เห็นไข่มุกและเปลือกหอยที่เหลืออยู่บนชายหาด
เช่นเดียวกัน หากแม่น้ำพรมแดนค่อยๆ จางหายไปจริงๆ เช่นนั้นวาสนาและความเร้นลับบางส่วนซึ่งซุกซ่อนอยู่ในนั้น จะต้องปรากฏสู่โลกเป็นแน่!
ไม่ว่าอย่างไรสัญญาณทั้งหมดนี้บอกล่วงหน้าว่า ในแม่น้ำพรมแดนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกบางประการอุบัติขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข่าวใหญ่! ผู้ฝึกปราณเผ่าเตียวม่วงประจุเงินคนหนึ่งเสี่ยงตายเข้าไปในซากปรักหักพังโบราณแห่งหนึ่งในแม่น้ำพรมแดน พบทวนศึกเปื้อนเลือดชำรุดเล่มหนึ่ง ถึงจะมีรอยด่างและผุผัง แต่คราบเลือดบนนั้นกลับคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายอริยบุคคลที่แท้จริงอยู่!”
“ไม่ผิดจากที่คาด ทวนศึกโบราณชำรุดเล่มนี้เคยดื่มเลือดอริยบุคคล!”
เมื่อขบวนของพวกหลินสวินเข้าสู่เมืองชลาสินธุ์ ก็บังเอิญได้ยินข่าวใหญ่ครึกโครมที่เพิ่งแพร่สะพัดกลับมาวันนี้พอดิบพอดี
ตอนที่ 937 ซุ่นไป๋เสวียน
ทวนศึกชำรุดที่สันนิษฐานว่าเคยเปื้อนเลือดอริยบุคคล!
ข่าวนี้ช่างน่าตกใจจริงๆ แม่น้ำพรมแดนเกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงกับปรากฏสมบัติระดับนี้ขึ้นมา แค่คิดก็รู้ว่าเมื่อข่าวนี้แพร่งพรายออกไปจะต้องดึงดูดผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรเร่งรุดมาสำรวจ
“นับแต่อดีตจนปัจจุบันมีข่าวลือเรื่องนี้โดยตลอด ว่ากันว่าในยุคบรรพกาลเคยเกิดศึกแห่งเหล่าอริยะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตอนนั้นเวิ้งนภาฝนเลือดสาดกระเซ็น สรรพสิ่งทรุดจม กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างราวกับวันสิ้นโลก… ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งร้อยวันเต็มๆ”
“และเป็นเพราะศึกอริยะครั้งนี้ ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถูกแบ่งเป็นสี่แดนวิภูเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน”
“ส่วนแม่น้ำพรมแดนสายนั้นก็คือรอยต่อที่แตกแยกของดินแดนรกร้างโบราณ เป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตขับเคี่ยวกันดุเดือดมากที่สุด”
บนท้องถนน จงอางแดงผู้งดงามอรชรเอ่ยปากเสียงเบา “ยามนี้ดูท่าข่าวลือมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง”
ทั้งขบวนหยุดพักในเมืองชลาสินธุ์ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำพรมแดนที่อยู่ไกลจากนอกเมืองหลายร้อยลี้
ระหว่างทางสามารถมองเห็นขบวนผู้ฝึกปราณมากมายก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ต่างเหาะเหินกล่างห้วงอากาศ เบียดเสียดแน่นขนัด ตระการตานัก
ในนั้นมีทั้งนักผจญภัยที่กบดานอยู่ละแวกแม่น้ำพรมแดนมานานปี และมีผู้ฝึกปราณบางส่วนที่เร่งเดินทางมาจากทั่วแดนฐิติประจิมในระยะนี้
กระทั่งยังมีผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจใหญ่เก่าแก่ปรากฏตัวด้วย
“การเปลี่ยนแปลงประหลาดของแม่น้ำพรมแดนดึงดูดความสนใจของผู้คนในใต้หล้าเป็นที่เรียบร้อย สถานที่แห่งนี้จะต้องกลายเป็นศูนย์รวมปัญหาในอนาคต และอาจเกิดคลื่นลมมากมายเป็นแน่”
โค่วซิงที่เป็นผู้นำเอ่ยปาก เขาสะพายดาบคู่ บุคลิกกร้าวแกร่งเย็นชา มองเห็นความครึกครื้นเอ็ดตะโรกับตาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“ต้องรีบเคลื่อนไหวแล้ว”
จากนั้นทั้งขบวนก็เร่งความเร็วขึ้น
เบื้องหน้าแม่น้ำพรมแดน น้ำสีเงินกว้างใหญ่แปลกประหลาดหลั่งรินลงมาจากเวิ้งนภา ดิ่งทะยานท่ามกลางห้วงอากาศ จากนั้นก็ทะลวงสู่กลางแม่น้ำพรมแดนที่ราวกับไร้ขอบเขตแห่งนั้น
ทอดสายตาออกไปไกล ท้องฟ้ากับสายน้ำเชื่อมต่อกัน ไพศาลและพลุ่งพล่าน ไหนเลยจะเหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง เห็นๆ อยู่ว่าเหมือนกับทะเลไร้ขอบเขตหนึ่งผืน พาดอยู่ตรงนั้นเสมือนกำแพงกั้นโลก!
ภายในแม่น้ำพรมแดนสายฟ้าคำรามก้องกระหึ่ม ห้วงอากาศปั่นป่วน มีหลุมดำน่าสะพรึงแวบขึ้นมาเป็นระยะ ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างที่หมายจะเขมือบทุกสิ่งออกมา พาให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน
นี่ก็คือแม่น้ำพรมแดน
ขวางกั้นอยู่ระหว่างสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ ปิดกั้นเส้นทางของผู้ฝึกปราณไม่รู้ตั้งเท่าไรราวกับป้อมปราการธรรมชาติ
แม่น้ำพรมแดนยังถูกมองเป็นสถานที่มหันตภัยที่เลื่องชื่อลือชาในดินแดนรกร้างโบราณด้วย ภายในนั้นมีสิ่งแปลกประหลาดและอัปมงคลมากมายอาศัยอยู่ ลี้ลับและน่าสะพรึง
เคยมีราชันแท้จริงพยายามจะข้ามแม่น้ำพรมแดนไปยังอีกฟากหนึ่ง กลับแหลกลาญไม่เหลือโครงกระดูกอยู่กลางทาง
ว่ากันว่าสิ่งที่สังหารราชันคนนี้เป็นเพียงมัจฉาแดงที่รูปลักษณ์ไม่เข้าตาตัวหนึ่ง!
และเรื่องเล่าที่คล้ายคลึงกันนี้ก็ยังมีอีกมากมาย พาให้แม่น้ำพรมแดนกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามโดยปริยาย แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ยังไม่อยากเหยียบย่างไปข้างในนั้นง่ายๆ
แต่ว่าตอนนี้แตกต่างไปจากในอดีต หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ แม่น้ำพรมแดนในปัจจุบันไม่ได้ดุร้ายบ้าระห่ำเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นค่อนข้างเงียบสงบ
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังเรียกได้ว่าอันตรายยากหยั่งถึง แปลกประหลาดและเร้นลับ
“หืม?”
ขณะที่ขบวนของหลินสวินมาถึง จู่ๆ ก็ผงะไป
เพราะไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำพรมแดนถึงกับถูกขุมกำลังผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งปิดกั้น ปักหลักเป็นด่านขวางเอาไว้ หมายจะเข้าออกแม่น้ำพรมแดนจำเป็นต้องผ่านการตรวจค้น
เวลานี้มีผู้ฝึกปราณมากมายยืนต่อแถวยาวเหยียดรอคอยการตรวจค้นอยู่ตรงนั้น แต่ละคนล้วนทำตามกฎอย่างเห็นได้ชัด
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
โค่วซิงที่เป็นหัวหน้าเรียกผู้ฝึกปราณคนหนึ่งมาซักถาม
“นั่นคือผู้แข็งแกร่งที่มาจากสำนักยุทธ์พันเวท ที่ปิดกั้นพื้นที่แถบนี้เอาไว้เพราะจะจับตัวเทพมารหลิน ขวางไม่ให้เขาผ่านแม่น้ำพรมแดนหนีออกจากแดนฐิติประจิม”
ผู้ฝึกปราณคนนั้นอธิบายอย่างอดทน “ยามนี้ไม่เพียงพื้นที่นี้เท่านั้น ตามละแวกแม่น้ำพรมแดนในพื้นที่แถบอื่นๆ ของแดนฐิติประจิม ล้วนถูกควบคุมโดยขุมกำลังสำนักโบราณที่ต่างกันออกไป เป้าหมายเพื่อการจับตัวเทพมารหลินคนนั้น”
ที่แท้ก็ทำไปเพื่อจับตัวเทพมารหลิน!
พวกโค่วซิง หน้าเขียว จงอางแดงต่างเข้าใจกระจ่างแจ้งทันที
มีเพียงหลินสวินที่เลิกคิ้ว ลอบกล่าวในใจว่าไป่เฟิงหลิวพูดถูก เพื่อจะจับกุมตนสำนักโบราณเหล่านี้ได้เดิมพันเทหมดตักโดยสิ้นเชิง!
“เฮอะ บุคคลยอดเยี่ยมแห่งยุคอย่างเทพมารหลิน มีหรือจะถูกจับตัวง่ายๆ ขนาดนั้น” หน้าเขียวแค่นเสียงเย็น
“สำนักโบราณพวกนี้ข่มเหงรังแกคนอื่นชัดๆ การแย่งชิงในเทศกาลโคมกถามรรคย่อมเลี่ยงเรื่องความเป็นความตายไม่ได้ จะให้พวกเขาสังหารเทพมารหลินได้ แต่ไม่ยอมให้เทพมารหลินโต้กลับอย่างนั้นหรือ”
จงอางแดงทำหน้าดูถูก เหยียดหยามเช่นเดียวกัน
หลินสวินกลับรู้สึกเหนือความคาดหมาย คิดไม่ถึงว่าหน้าเขียวกับจงอางแดงจะเอ่ยถึงความไม่เป็นธรรมที่ตนได้รับ
“พูดให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่ว่าจะเป็นเทพมารหลินหรือสำนักโบราณพวกนั้น ต่างก็ไม่ใช่คนที่พวกเราจะไปออกความเห็นส่งเดชได้”
โค่วซิงที่เป็นผู้นำมุ่นคิ้วติเตียนหนึ่งประโยค
ยามนี้ทั้งหน้าเขียวและจงอางแดงต่างพากันเงียบปาก
“เทพมารหลินที่พวกเจ้าพูดถึง ก็คือหลินสวินคนที่สังหารเหล่าผู้กล้าอย่างโกรธแค้นในเทศกาลโคมกถามรรคหรือ” ทันใดนั้น ‘แม่นางเยวี่ย’ ที่เดินอยู่กลางขบวนก็เอ่ยปากขึ้น
นางสวมอาภรณ์สีเข้มทั้งชุด ปลอมตัวเป็นชาย ดวงหน้างามซีดเผือด เจือกลิ่นอายของพวกขี้โรคจางๆ
“ถูกต้อง” โค่วซิงพยักหน้า
แม่นางเยวี่ยร้องอ้อหนึ่งคราแล้วไม่พูดมากความอีก คิ้วเรียวของนางขมวดมุ่นตลอดเวลาคล้ายมีเรื่องในใจ
กลุ่มคนต่อแถวรอคอยอย่างอดทน จวบจนหนึ่งก้านธูปให้หลังจึงมาถึงรอบพวกเขาเข้ารับการตรวจค้น
วู้ม!
ศิษย์สำนักยุทธ์พันเวทคนหนึ่งถือถาดสำริดในมือ รอยสลักวิญญาณลุกโชนกลางถาด ปรากฏแสงเปล่งประกายพร่างพราวขึ้น เริ่มทำการตรวจค้นพวกโค่วซิงทีละคน
ถาดสำริดมีชื่อว่า ‘คันฉ่องทะลวงมายา’ ไม่ว่าผู้ฝึกปราณใช้เคล็ดมายาปลอมตัวอย่างไรต่างก็ถูกล่วงรู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริง
น่าเสียดายที่ถึงแม้ของสิ่งนี้จะลี้ลับอัศจรรย์ แต่กลับไม่มีผลต่อ ‘เคล็ดวิชามหาไร้รูป’
นี่หาใช่เคล็ดมายา แต่เป็นวิชามรรคที่สืบทอดมาในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ความอัศจรรย์ของมันคือ แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่อาจมองทะลุ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคันฉ่องทะลวงมายาขี้ปะติ๋วอันเดียวเลย
หลินสวินเข้ารับการตรวจค้นอย่างเยือกเย็น และจากนั้นก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นยิ่ง
เพียงแต่ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป กลับเหลือบเห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งเข้ากะทันหัน
คนผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีม่วง รูปร่างสะโอดสะอง คิ้วตาดุจภาพวาด รูปโฉมประหนึ่งธารนิ่ง หน้าผากเนียนขาวกระจ่าง นัยน์ตาสุกใสเปี่ยมด้วยสติปัญญา รอบกายรายล้อมด้วยกลิ่นอายนุ่มนวลพิสุทธิ์ ดูลึกลับและแปลกแยกอย่างชัดเจน
เป็นลั่วเจีย ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมที่มาจากแดนประมุขพิภพนั่นเอง!
เวลานี้นางกำลังพูดคุยอะไรสักอย่างกับชายหนุ่มชุดขนนกที่อยู่ข้างๆ อิริยาบถเรียบร้อยนุ่มนวล บุคลิกโดดเด่นราวกับกล้วยไม้กลางหุบเขา
นางมาได้อย่างไร
หลินสวินอึ้งงัน จากนั้นก็เก็บสายตากลับมา มุ่งหน้าเดินต่อไปโดยไม่คิดมากความอีก
เขากับลั่วเจียไม่มีความขุนเคืองคับข้องใจกัน ยิ่งกว่านั้นในเทศกาลโคมกถามรรคก็ไม่เคยเกิดข้อพิพาทใดๆ ย่อมไม่มีความคิดอื่นใดเกิดขึ้นเพียงเพราะการปรากฏตัวของนาง
“ลั่วเจีย เทพมารหลินคนนั้นน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือ” อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มชุดขนนกมุ่นคิ้วน้อยๆ
ลั่วเจียครุ่นคิดและกล่าวว่า “เขาเหมือนกับเจ้าและข้า เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแล้ว ทั้งยังครองสมบัติอริยะหนึ่งชิ้น…”
ไม่รอให้เอ่ยจบ ชายหนุ่มชุดขนนกก็ตาลุกวาว “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ เจ้ารู้ที่มาของสมบัติวิเศษชิ้นนั้นหรือไม่”
ลั่วเจียส่ายหน้า “ข้ารู้เพียงแต่ว่านั่นคือเจดีย์สมบัติที่สร้างมาจากเหล็กเทพศุภโชค อานุภาพไม่อาจมองออกว่าน่ากลัวเพียงใด แต่กลับสามารถควบคุมพลังของตำหนักอมตะได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดายิ่ง”
เหล็กเทพศุภโชค!
นัยน์ตาชายหนุ่มชุดขนนกพลุ่งพล่านด้วยประกายลุกโชน ราวกับจับจ้องเหยื่อที่แสนล่อตาล่อใจหาใดเปรียบอย่างหนึ่ง ทั้งตัวปลดปล่อยพลังน่าสะพรึงออกมาวูบหนึ่ง พาให้ผู้ฝึกปราณใกล้เคียงจำนวนไม่น้อยต่างหน้าเปลี่ยนสี หัวใจสั่นสะท้านไม่สิ้นสุด
“สมบัติล้ำค่าในตำนานอย่างเหล็กเทพศุภโชค เป็นของวิเศษที่สามารถทำให้อริยะคลั่งไคล้ และเทพมารหลินคนนั้นถึงกับครอบครองเจดีย์สมบัติที่ทำจากเหล็กเทพศุภโชคชิ้นหนึ่ง สมบัตินี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่!”
น้ำเสียงชายหนุ่มชุดขนนกเจือความกระตือรือร้น “ลั่วเจีย เจ้าว่าเทพมารหลินคนนี้จะเลือกข้ามแม่น้ำพรมแดนออกไปจากแดนฐิติประจิมจริงหรือไม่”
ลั่วเจียรู้ดี เขาหมายปองเจดีย์สมบัติในมือหลินสวิน จึงอดกล่าวเตือนสติไม่ได้ “หากไม่ใช่เพราะอวี่หลิงคงมีตำหนักอมตะช่วยชีวิตเอาไว้ ป่านนี้ก็คงตายด้วยน้ำมือของเขาแล้ว”
ชายหนุ่มชุดขนนกอึ้งงัน จากนั้นมุมปากก็ยกโค้งอย่างนึกสนุก “อวี่หลิงคงหรือ ก็แค่ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งที่อริยะในตระกูลทุ่มทรัพยากรบำเพ็ญเพียรจำนวนมหาศาลออกมาให้ก็เท่านั้น เปลี่ยนให้ข้าไปต่อสู้กับเขา เขาก็ต้องพ่ายแพ้เหมือนเดิมนั่นแหละ!”
คำพูดเจือแววดูเบา เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวเองถึงที่สุด
ลั่วเจียมุ่นคิ้ว ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดมากความอะไร
ชายหนุ่มชุดขนนกนามว่าซุ่นไป๋เสวียน มาจากตระกูลอริยะเก่าแก่แห่งหนึ่ง รากฐานเหนือกว่าตระกูลอวี่หนึ่งส่วน และซุ่นไป๋เสวียนคนนี้ก็ถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดน้อยแห่งตระกูลซุ่น มีบุคลิกพลิกฟ้า สายเลือดสะท้านโลก นิสัยวางอำนาจและหยิ่งผยอง
หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้มีเรื่องให้ซุ่นไป๋เสวียนช่วยเหลือ ลั่วเจียคงไม่เต็มใจจะปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่าย
ไม่ใช่อะไรอื่น เจ้าหมอนี่ก็เป็นราชันมารจอมก่อกวนคนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ก่อเรื่องวุ่นวายที่นั่น อาละวาดจนเละเทะไปหมด
และยามนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาหมายหัวเทพมารหลินแล้ว เรื่องนี้ทำให้ลั่วเจียอดรู้สึกปวดหัวน้อยๆ ไม่ได้
นางรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของเทพมารหลิน หากซุ่นไป๋เสวียนยั่วโมโหอีกฝ่าย จะต้องเกิดศึกนองเลือดดุเดือดหาใดเปรียบขึ้นฉากหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ผลที่ตามมาต่างไม่ใช่สิ่งที่ลั่วเจียอยากเห็นทั้งนั้น
“มุ่งสู่แม่น้ำพรมแดนครั้งนี้ ข้ามาเพื่อเสาะหาของอย่างหนึ่ง หากเจ้ายังมีความคิดอื่นอีก เช่นนั้นข้าก็คงต้องเคลื่อนไหวเพียงลำพังแล้ว” ลั่วเจียเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ข้าจะมีความคิดอื่นใดอะไรได้อีก”
ซุ่นไป๋เสวียนหัวเราะกล่าวว่า “แน่นอน หากบังเอิญพบเทพมารหลินระหว่างทาง จะเอาสมบัติอริยะในมือเขาติดไม้ติดมือมาเล่นสักหน่อยคงไม่เป็นไร”
ลั่วเจียขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ลอบถอนหายใจ ไม่เอ่ยเตือนอีกต่อไป เจ้าหมอนี่มีนิสัยดื้อแพ่ง เตือนไม่ฟังแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ลั่วเจียไม่คิดว่าจะได้พบเทพมารหลินโดยบังเอิญขนาดนั้นในระหว่างการเดินทาง สุดท้ายจึงไม่ได้ปฏิเสธ ปล่อยให้ซุ่นไป๋เสวียนร่วมเดินทางด้วย
ไม่นานนักทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนไหว มุ่งหน้าสู่แม่น้ำพรมแดน
……
สองชั่วยามหลังจากขบวนของหลินสวินเข้าสู่แม่น้ำพรมแดน
ริมฝั่งแม่น้ำพรมแดน จู่ๆ ก็มีผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ท่าทางขึงขังกรูเข้ามา แต่ละคนกลิ่นอายน่าตกใจ ผู้ที่อยู่หน้าสุดเป็นถึงราชันกึ่งระดับหกคน!
ชั่วขณะเดียวในที่นั้นล้วนเงียบสงัด เบิกตาโพลง ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้มีผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวมากมายขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากขุมกำลังเดียวกัน
“เคยเห็นแม่นางน้อยคนนี้หรือไม่” ชายชราที่สีหน้าเคร่งขรึม เคราขาวผิวหน้าอมเลือดฝาดที่อยู่หน้าสุดคนหนึ่งเอ่ยเสียงเรียบ ในมือของเขาคือภาพเหมือนม้วนหนึ่ง บนภาพเป็นแม่นางน้อยรูปโฉมงามวิไล มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน คิ้วเรียวขมวดมุ่น ผิวพรรณซีดขาว
หากหลินสวินอยู่ที่นี่จะต้องจำได้อย่างแน่นอน แม่นางน้อยในภาพวาดนี้ก็คือ ‘แม่นางเยวี่ย’ คนนั้นที่ร่วมขบวนกับพวกเขานั่นเอง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น