Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 928-933

ตอนที่ 928 กำจัดให้สิ้นซาก

 

โครม!


รอยสลักวิญญาณพร่าเลือนเต็มฟ้าไหววูบ แน่นขนัดราวกระแสน้ำผุดขึ้น รัศมีเทพเปล่งประกายปะทุออก


ในชั่วขณะเดียว ภูเขาลูกใหญ่ที่เดิมเพียงเรียกได้ว่างดงามเหนือธรรมดา กลับมีปรากฏความยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ราวตื่นจากความเงียบงัน ลมเมฆน่าหวั่นใจปะทุขึ้น ส่องสว่างทั้งจักรวาล


ส่วนผู้ที่อยู่ในนั้น สถานการณ์กลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง


บางพื้นที่ประหนึ่งพิภพทะเลหินหนืด คลื่นร้อนไหวกระเพื่อมพลุ่งพล่าน มีเงาวิหคชาดสยายปีกอยู่ภายใน แผดเสียงร้องกังวาน ผลาญฟ้าทลายดิน


บางพื้นที่กว้างใหญ่เกรียงไกร ฟ้าดินปรากฏสภาวะแห้งแล้ง มีกลิ่นอายกดดันเทพผี มังกรเขียวตัวหนึ่งกระหวัดร่างยาวหมื่นจั้ง ร้องคำรามสะท้านเก้าชั้นฟ้า


ส่วนบางพื้นที่ก็มืดสนิทไปหมด ไอสังหารราวเมฆดำกดทับทั่วนคร พยัคฆ์ขาวน่าหวาดหวั่นเป็นพิเศษตัวหนึ่งลืมตาเหี้ยมเกรียมเฉยชาทั้งสองข้างขึ้น ไอสังหารสะเทือนแปดทิศ


และในอีกพื้นที่หนึ่ง ก็มีเต่าดำตัวหนึ่งเคลื่อนฝ่าเท้าที่ประหนึ่งเสาค้ำฟ้าทั้งสี่ ทุกครั้งที่เหยียบย่างลงมา ห้วงอากาศจะยุบตัว ผืนปฐพีจมลง


น่าหวาดผวาเกินไปแล้ว สุดขอบฟ้าดินทั้งสี่ทิศแปรเปลี่ยนเป็นวินาศภัยวันสิ้นโลกโดยสมบูรณ์!


……


ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน ตกใจจนหนาวเยือกขนลุกเกรียวไปทั้งกาย


ติดกับแล้ว!


ภูเขาที่เดิมทีธรรมดาลูกหนึ่งกลับแสดงปรากฏการณ์น่าครั่นคร้ามเช่นนี้ออกมาในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการซุ่มโจมตีที่วางแผนไว้ก่อนแล้ว


ผู้แข็งแกร่งหลายคนจะหนีไปโดยไม่ลังเล แต่พบว่าหนีไม่พ้นแล้ว นี่เป็นกระบวนผนึกมรรคราชันกระบวนหนึ่ง ยิ่งถูกหลินสวินวางไว้บนชีพจรปราณวิญญาณของภูเขาลูกนี้ เชื่อมต่ออานุภาพแห่งฟ้าดิน พลานุภาพก็ยิ่งไม่ธรรมดา


“อ๊าก…”


หญิงชราผมขาวผู้นั้นยังร้องโหยหวน เสียงชวนหดหู่หาใดเทียบ พาให้ผู้อื่นขนลุกเกรียว ทั้งกายของนางถูกกลบอยู่ในทะเลเพลิงช่วงโชตินั้น แต่กลับไม่อาจดิ้นรนออกมาได้ กำลังถูกหลอมละลาย


เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้า ผิวหนัง เส้นผม และร่างกายของนางล้วนถูกเผาจนไหม้ดำเป็นตอตะโก น่าตื่นตระหนกยิ่ง


“แม่งเอ๊ย นี่มันกระบวนผนึก! พวกเราติดกับเทพมารหลินนั่นแล้ว!” มีผู้แข็งแกร่งคำรามดาลเดือด โมโหยากรับไหว


ที่จริงแล้วไม่ต้องอธิบายเลย ผู้ฝึกปราณบนภูเขาทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดีแล้ว


เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินที่ถูกตำหนักอมตะโจมตี ได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตายในงานเทศกาลโคมกถามรรคชัดๆ เหตุใดยังสามารถวางค่ายกลใหญ่น่าหวาดหวั่นได้


“สารเลว!”


หลายคนสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ในใจนึกเสียใจภายหลัง


ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านี้หลินสวินถึงได้ใจเย็นและสุขุม ทั้งยังร้องแรกว่าจะส่งพวกเขาไปตายเสียให้หมด


ตอนนั้นพวกเขายังดูแคลน คิดว่าหลินสวินเสแสร้งหลอกลวง แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างคิดผิด!


ผิดมหันต์ด้วย!


นี่ทำให้พวกเขานึกเสียใจจนอยากจะตีอกชกหัว แต่ละคนสีหน้าย่ำแย่หาใดเทียบ


ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองและโอหังปานไหน มองหลินสวินเป็นเนื้อปลาบนเขียง แย่งกันจะฆ่าเขาให้ตายเป็นคนแรกเพื่อชิงสมบัติอริยะที่อยู่ในมือเขา


แต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งเสียใจและขัดเคืองจนแทบจะก่นด่าออกมาแล้ว


“ไอ้เดรัจฉานน้อย รอข้าหลุดออกไปได้ก่อนเถอะ จะต้องป่นกระดูกเจ้าเป็นผุยผง!” อีกด้านหนึ่ง คฤหัสถ์ผาคีรีผู้นั้นก็ร้องโหยหวนคำรามเดือดดาล


เขาถูกกดดันอยู่ในบริเวณที่เต่าดำอยู่ กำลังถูกกำราบ ฝ่าเท้ามหึมาค้ำฟ้าของเต่าดำเหยียบลงมา ทำให้ร่างเขาแทบแหลกสลาย


ทุกคนตกตะลึงขึ้นอีกระลอกหนึ่ง


คฤหัสถ์ผาคีรีเป็นถึงราชันกึ่งระดับที่พลังต่อสู้กล้าแข็งถึงที่สุดผู้หนึ่งเช่นเดียวกับหญิงชราผมขาว แต่ตอนนี้ถูกขังอยู่ในค่ายกล ประสบเคราะห์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นได้ น่าครั่นคร้ามเกินไปแล้ว


“ไอ้แก่โง่ ตัวเองความโลภบังตา ในใจคิดไม่ซื่อ ตอนนี้ประสบเคราะห์กลับมาโกรธแค้นข้า ยังมียางอายอยู่ไหม”


ในค่ายกลใหญ่ เสียงเฉยชาเยียบเย็นของหลินสวินดังขึ้น


หลินสวินในตอนนี้กำลังควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันอยู่ เคลื่อนไหวอย่างคุ้นชินคล่องมือ สำแดงพลังและความเชี่ยวชาญของปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่งออกมาอย่างหมดจด


โครม!


อานุภาพของค่ายกลใหญ่ยิ่งน่ากลัวขึ้น ส่งเสียงกึกก้องราวอสนีบาต


“สหายน้อย ข้าขออภัยเจ้าด้วย ขอเจ้าเมตตาปล่อยข้าไปสักครั้ง”


อีกพื้นที่หนึ่ง สิงห์อสนีหยกขาวที่มาจากอารามพรางมรกตตัวนั้นกำลังโอดครวญ เขาโชคร้ายร่วงลงเข้าไปในพื้นที่มืดดำ กำลังถูกเงามายาพยัคฆ์ขาวกำราบ


พยัคฆ์ขาวออกประหัตประหารน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ เมื่อกรงเล็บแหลมคมตะปบลงมา ไอสังหารราวกระบี่ ฟันให้ร่างของสิงห์อสนีหยกขาวตัวนั้นมีแต่รอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกรอยแล้วรอยเล่า เลือดสดๆ พรั่งพรูราวน้ำตก น่าสลดถึงที่สุด


ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็ต่างพบเจออันตราย ผู้ที่พลังค่อนข้างอ่อนแอบางคนถูกกำจัดทิ้งให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปก่อนแล้ว


“จะปล่อยเจ้าก็ได้ มอบจิตวิญญาณของเจ้าและมาเป็นสัตว์พาหนะให้ข้า ใช้สิ่งนี้แทนคำขอโทษของเจ้าเป็นอย่างไร” หลินสวินน้ำเสียงเรียบเฉย


“ฝันไปเถอะ!”


สิงห์อสนีหยกขาวเดือดดาล ถลึงตาจนเบ้าตาแทบฉีกออก เขาเป็นถึงอสูรพิทักษ์เขาแห่งอารามพรางมรกต มีอานุภาพระดับราชันกึ่งระดับ ตอนนี้กลับถูกเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งมองว่าเป็นสัตว์พาหนะ นี่ย่อมเป็นความอัปยศที่ไม่อาจยอมรับได้


“เช่นนั้นเจ้าก็รอความตายไปเถอะ”


เสียงหลินสวินเย็นชา


เขาไม่ได้พูดออกมาจากใจจริงอยู่แล้ว คำพูดเมื่อครู่ก็เป็นการเหยียดหยามสิงห์ตัวนี้ พูดตามตรงถ้าอีกฝ่ายแปรพักตร์ ตกลงเป็นสัตว์พาหนะของเขา เขากลับไม่ยินดี


เป็นเพียงสิงห์เฒ่าระดับราชันกึ่งระดับตัวหนึ่งเท่านั้น แม้ไม่อาศัยค่ายกลนี้เขาก็ฆ่ามันให้ตายได้ ต่อให้เป็นสัตว์พาหนะอยู่ข้างกายเขา ก็ไม่มีพลังอะไรที่สามารถตักตวงได้อยู่ดี


“เทพมารหลิน ข้ากับเจ้าไม่ได้เคืองแค้นหรือคับข้องใจกัน ขอให้เจ้าลงมืออย่างปรานี ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยความจริงใจแน่นอน!”


“เจ้าเดรัจฉานน้อย เจ้าหลอกลวงผู้อื่นเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องประสบเคราะห์!”


“สารเลว! สารเลวเอ๊ย!”


ภายในค่ายกลใหญ่ เสียงต่างๆ ทั้งเสียงร้องตะโกน เสียงอ้อนวอน เสียงคำราม… ดังเข้าสู่โสตประสาทไม่ว่างเว้น สถานการณ์น่าสลดราวกับขุมนรก


ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งต่างถูกกำจัดจนสิ้นซาก แปรสภาพเป็นเถ้าธุลี


ทั้งมีผู้แข็งแกร่งบางส่วนกำลังดิ้นรน ไม่ยินยอมประสบเคราะห์และตายไปเช่นนี้


“นี่เป็นค่ายกลที่ตกทอดทอดมาในเผ่าหงส์เขียวของพวกเจ้านะ พวกเจ้าไม่มีวิธีสลายหรือ” คชสารมังกรหยกดำคำราม


ร่างของมันใหญ่โตราวขุนเขา พลานุภาพแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น แต่ตอนนี้โชคร้ายตกลงไปในพื้นที่ที่เงามายาของมังกรเขียวอยู่


เทียบกับเงามายามังกรเขียวแล้ว มันก็เหมือนกับแมลงตัวจ้อยตัวหนึ่ง ถูกกำราบจนกล้ามเนื้อและกระดูกทั้งกายแตกหัก เลือดเนื้อปลิวว่อน น่าหดหู่ถึงที่สุด


“ค่ายกลนี้มาจากเผ่าข้าก็จริง แต่อย่างไรเสียนี่ก็เป็นกระบวนผนึกมรรคราชันที่แท้จริง เมื่อตกลงมาในนี้ พวกเราก็ไม่สามารถหนีออกไปได้!”


หงส์เขียวดิ้นรนสุดกำลังกลางทะเลเพลิง


เป็นอย่างที่คชสารมังกรหยกดำพูด ค่ายกลนี้มาจากเผ่าหงส์เขียวของพวกเขา แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ถึงทำให้มันรู้สึกหมดหวัง เพราะมันรู้ถึงความน่ากลัวของค่ายกลนี้ดียิ่ง ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับราชันเข้ามายังประสบเคราะห์!


แต่เมื่อคิดว่าสมบัติของเผ่าหงส์เขียวของพวกเขา ตอนนี้กลับถูกหลินสวินนำมากำราบพวกตน ก็ทำให้หงส์เขียวตัวนี้รู้สึกอับอายและอัดอั้นตันใจจนแทบคลุ้มคลั่ง


เมื่อได้ยินมันพูดเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็หมดอาลัยตายอยาก รู้สึกเคืองแค้นและสิ้นหวังหาใดเปรียบ


“อ๊าก…”


เสียงหวีดร้องน่าสยดสยองเสียงหนึ่งดังขึ้น กลับเห็นว่าหญิงชราผมขาวผู้นั้นถูกหลอมละลายจนหมดสิ้น ร่างกายถูกทะเลเพลิงถาโถมเผาไหม้ให้กลายเป็นเถ้าธุลี ไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก


ไม่นานนักคฤหัสถ์ผาคีรีก็ต้านรับไม่ไหว ถูกเงามายาเต่าดำใช้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งซัดให้กระเด็น ร่างกายระเบิดแหลกกลางอากาศ ฝนเลือดกระเซ็นกระสาย


เมื่อได้เห็นภาพโหดร้ายแต่ละภาพนี้ ผู้แข็งแกร่งอื่นๆ ต่างตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อแทบเสียสติ


พวกเขาเริ่มร้องขอชีวิต พลางโอดครวญให้หลินสวินไว้ชีวิตพวกเขาสักครั้งหนึ่ง ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีบางคนสาบานหนักแน่นว่าจะไม่สร้างความลำบากให้หลินสวินอีก


แต่หลินสวินในตอนนี้ไร้ความปรานีและโหดเหี้ยมผิดธรรมดา ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว


ตอนอยู่บนเขาพยับคราม เขาก็ถูกบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์จากขุมอำนาจพวกนี้หมายหัว ถูกเล่นงานและท้าทายไม่ว่างเว้น


หากไม่ใช่เพราะพลังของเขาแก่กล้าพอ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าตายไปกี่ครั้งแล้ว!


แต่ตอนนี้ เจ้าพวกคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตในแดนฐิติประจิมพวกนี้ แต่ละคนกลับไม่สนใจฐานะแม้สักนิด พากันเฮโลมาตามฆ่า หมายจะเอาชีวิตเขาแล้วชิงสมบัติอริยะของเขาไป เช่นนี้ใครจะทนได้


ไม่นานนักสิงห์อสนีหยกขาวก็ตายลง ร่างกายถูกเงามายาพยัคฆ์ขาวฟันออกเป็นหลายท่อน เลือดเนื้อแหลกเละจนดูไม่ออก


คชสารมังกรหยกดำก็ตายตามมาติดๆ ถูกเงามายามังกรเขียวตบจนแบน ลักษณะที่ตายไม่น่าดูที่สุด


กระบวนผนึกมรรคราชันที่มีนามว่า ‘จตุลักษณ์ราชัน’ กระบวนนี้ ในตอนนี้สำแดงอนุภาพน่ากริ่งเกรงที่สามารถสะเทือนฟ้าดิน พาให้เทพภูตสะอื้นไห้!


……


ไกลออกไปจากภูเขาลูกนี้ เซี่ยอวี้ถังงงงวยราวกับต้องอสนีบาต ปากก็กำลังหวีดร้องเหมือนเสียสติว่า “เป็นไปได้อย่างไร นี่มันเป็นไปได้อย่างไร”


ยกพลกันมาพร้อมหน้า กลับถูกคนอื่นกำจัดเสียสิ้นซาก นี่กระทบกระเทือนจิตใจมากไปแล้ว ทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้


อีกด้านหนึ่งเบื้องหน้าสายตาของจั๋วขวงหลันก็มืดดำไปชั่วขณะหนึ่ง โกรธจนแทบกระอักเลือด แม้ทำเช่นนี้ก็ไม่อาจสังหารหลินสวินได้ กลับถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสวางกับดักจนแทบตายกันทั้งกองทัพ นี่ทำให้เขาแทบสิ้นสภาพ


คนที่ได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรงที่สุดก็คือชิงเหลียนเอ๋อร์


นางเบิกตากว้างถลน โกรธจนสั่นระริกไปทั้งตัว หวีดร้องว่า “มัน… มันจะต่ำช้าไร้ยางอายเลวเกินไปแล้ว! ถึงกับเอาค่ายกลที่สืบทอดกันมาในเผ่าหงส์เขียวของข้ามาทำเรื่องพรรค์นี้ได้ ข้า… ข้า… อั่ก!”


พูดถึงตอนท้าย ด้วยโทสะจู่โจมหัวใจ ถึงกับกระอักเลือดออกมา ร่างที่เดิมทีอ่อนแอหาใดเทียบอยู่แล้วซวนเซแทบล้มลง บนใบหน้ายิ่งมีสีหม่นมัวเพิ่มขึ้นมา


พวกเขามาเพื่อมองดูกับตาว่าหลินสวินถูกฆ่า จึงไม่ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหว แต่เมื่อเห็นภาพนี้จากที่ไกลออกไป กลับทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาได้รับความกระทบกระเทือนอันยากจะรับไหว


“ทุกท่าน ข้ามาส่งพวกเจ้าไปตาย”


ก็ในตอนนี้เอง เงาร่างอ้อนแอ้นของไป๋หลิงซีก็ปรากฏขึ้นในที่นั้น อาภรณ์สีขาวยิ่งกว่าหิมะงดงามผุดผ่อง ในมือถือกระบี่มรรคเจิดจรัสราวน้ำค้างแข็งสีเงินเล่มหนึ่ง


ฉับพลันทันใด พวกเซี่ยอวี้ถังก็ได้สติขึ้นมาจากไฟโทสะและความเคืองแค้น


“ไป๋หลิงซี พวกเราต่างมาจากจักรวรรดิ ตระกูลไป๋ของพวกเจ้ากับตระกูลเซี่ยของพวกข้ายังมีความสัมพันธ์กันไม่น้อย เจ้าจะช่วยคนเลวสร้างกรรมชั่วหรือ” เซี่ยอวี้ถังขุ่นเคือง


“ไม่ใช่ช่วยคนเลวสร้างกรรมชั่ว ข้ากำลังช่วยตระกูลเซี่ยของพวกเจ้ากำจัดภัยพิบัติ จะได้ไม่ชักนำเภทภัยครั้งใหญ่มาให้ตระกูลเซี่ยของพวกเจ้าในภายภาคหน้า”


ยามไป๋หลิงซีเอื้อนเอ่ย เงาร่างก็ไหววูบ ลงมือโดยตรงแล้ว


“ถ้าเป็นหลินสวินมาล่ะก็ ข้าอาจจะยังกลัวเกรงอยู่บ้าง แต่คนอย่างเจ้าก็คุยโตเช่นนี้ได้ด้วยหรือ” จั๋วขวงหลันที่อยู่อีกด้านหนึ่งพูดออกมาอย่างเยียบเย็น เงาร่างพุ่งกระโจนออกไปต่อกรกับไป๋หลิงซีร่วมกับเซี่ยอวี้ถัง


“รีบฆ่านาง หาไม่แล้วรอเมื่อหลินสวินตามมาทัน คิดจะหนีก็สายไปแล้ว!”


ชิงเหลียนเอ๋อร์ร้อนรน


เพียงแต่นางเพิ่งพูดจบ เหนือเวิ้งฟ้าก็มีดาบหักขาวเปล่งปลั่งราวหิมะคล้ายเป็นเงามายาตกลงมา ฟาดฟันด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ


ฟุ่บ!


ชิงเหลียนเอ๋อร์ที่เดิมอ่อนแอหาใดเทียบไม่ทันได้หลบหนี ศีรษะก็ถูกฟันขาด เลือดสาดกระเซ็นทันใด


และเมื่อเห็นภาพนี้ เซี่ยอวี้ถังกับจั๋วขวงหลันที่กำลังต่อกรกับไป๋หลิงซีก็หน้าถอดสีทันที ตื่นตระหนกจนแทบคุมสติไม่อยู่

 

 

 


ตอนที่ 929 ข่าวลือเรื่องแหล่งกำเนิดแห...

 

ดาบหักออกจู่โจม ไอพิฆาตพุ่งทะลุเมฆา


นี่ย่อมเป็นฝีมือของหลินสวิน ด้วยพลังจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ ก็สามารถทำหลายอย่างพร้อมกันได้นานแล้ว ทั้งดาบหักยังเป็นศาสตราจิต สามารถใช้พลังจิตวิญญาณควบคุมได้ การสังหารศัตรูที่อยู่คนละที่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้คล่องมืออย่างสมบูรณ์


สำหรับหลินสวินแล้ว ที่เขาแค้นที่สุดก็คือพวกเซี่ยอวี้ถัง ชิงเหลียนเอ๋อร์ จั๋วขวงหลันเหล่านี้ พวกเขาต่างฝ่ายต่างผูกแค้นกันอย่างลึกซึ้งอยู่ก่อนแล้ว หากไม่ถือโอกาสนี้สังหารพวกเขาให้หมด ภายภาคหน้าก็ไม่รู้ว่าจะก่อความยุ่งยากให้ตนอีกเพียงไหน


ฉึบ!


ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ผ่านไปเพียงครู่เดียว จั๋วขวงหลันผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินก็ถูกฟันตายคาที่


ส่วนเซี่ยอวี้ถัง หลินสวินคิดไปคิดมา ท้ายที่สุดก็ยังไม่ฆ่าเขา


เซี่ยอวี้ถังที่เดิมทีสิ้นหวังไปแล้วงงงัน ตาเบิกกว้าง ทำใจเชื่อได้ยากว่าในตอนนี้หลินสวินกลับปล่อยเขาไป


จากนั้นเสียงเยียบเย็นเฉยชาของหลินสวินก็ดังขึ้นในโสตประสาทของเขา ‘อย่าลืมคำที่ข้าเคยพูดไว้ตอนอยู่ในเทศกาลโคมกถามรรค’


“เจ้า…”


เซี่ยอวี้ถังบันดาลโทสะในชั่วพริบตา สีหน้าคล้ำเขียวและซีดขาวปนเปกันไป


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า สาเหตุที่หลินสวินไม่ฆ่าเขา ไม่ใช่เพราะเกิดมีมโนธรรม แต่เพราะมีเป้าหมายอีกอย่าง!


‘ข้าจะให้เจ้าเห็นกับตาว่าข้าผงาดในดินแดนรกร้างโบราณอย่างไร ชิงชัยเหนือมหามรรคทีละก้าวอย่างไร และเจ้า จะต้องเป็นแค่หนอนน่าสงสารตัวหนึ่งที่ได้แต่อยู่ใต้เงาข้าชั่วชีวิต!’


วาจาเช่นนี้เซี่ยอวี้ถังจะลืมได้อย่างไร


สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามที่ใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!


พริบตาเดียว ดวงตาของเซี่ยอวี้ถังก็เต็มไปด้วยความแค้นและความกลัว ตัวเขาแข็งทื่อ โกรธจนสมองว่างเปล่า เหม่อลอยอยู่เช่นนั้น


ไป๋หลิงซีอึ้งไป คล้ายจนใจอยู่บ้าง ส่ายหัวไปมาแล้วรำพึงกับตัวเองว่า ‘ตระกูลเซี่ยก็ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพล เซี่ยอวี้ถังในตอนนั้นหยิ่งทระนงปานไหน ใครจะไปคิดว่าหลังจากมาถึงดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ เขาก็ไม่เหมือนตัวเขาในตอนแรกอีกแล้ว…’


นางนึกพลางหันกายจากไป ไม่มองเซี่ยอวี้ถังอีกแม้แต่ครั้งเดียว


……


หืม?


หลินสวินดวงตาหดรัด พลันถอนหายใจ


แทบจะในเวลาเดียวกัน กระบวนผนึกมรรคราชันที่ปกคลุมภูเขาทั้งลูกอยู่เกิดเสียงวิ้งวู้ม อานุภาพที่แผ่กระจายออกมาลดลงอย่างชัดเจน แสงสว่างเรืองรองหม่นลง รอยสลักวิญญาณมลายหายไป


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ค่ายกลใหญ่ก็จางหายไปราวควันเมฆ


สาเหตุก็ง่ายดายนัก พลังสายแร่แกนวิญญาณที่เก็บกักอยู่ใต้ภูเขาลูกนี้ถูกดึงมาใช้จนหมด แปรสภาพเป็นของเสียไปแล้ว ไม่อาจจ่ายพลังให้กระบวนผนึกมรรคราชันได้อีก


ค่ายกลใหญ่จางหายไป เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาลูกนี้ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นกระจายออกมา เตะจมูกถึงที่สุด


ทุกที่ในภูเขาลูกนั้นมีซากศพแหลกเละ กองเลือดสีแดงสด สมบัติที่แตกหัก… เรียกได้ว่าคาวเลือดและวุ่นวายไปทั่ว


ตัวภูเขาล้วนปรากฏสีแดงเลือดน่าหวั่นหวาด


นี่ก็คือผลลัพธ์หลังจากกระบวนผนึกมรรคราชันสำแดงเดช ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งในนั้นกลายเป็นเถ้าธุลี ไม่เหลือร่องรอยแม้สักนิดบนโลกนี้


ขณะนี้ลมภูเขาหวีดหวิว เหลือเพียงผู้แข็งแกร่งสิบกว่าคนที่กระจัดกระจายกันยังมีชีวิตอยู่ พวกเขายืนอยู่ในบริเวณต่างๆ บนกายเปื้อนเลือดไม่มากก็น้อย ลมหายใจติดขัด ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงไม่ว่างเว้น


โชคดีพ้นเคราะห์มาได้ครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเขาออกจะทำใจเชื่อได้ยาก ยังนึกว่าฝันไป ครู่หนึ่งถึงมั่นใจว่านี่เป็นความจริง!


“หลินสวิน!”


ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาก็พากันกวาดมองไปยังบริเวณไหล่เขา หลินสวินกำลังยืนอยู่ใต้ต้นสนโบราณเก่าแก่ต้นหนึ่ง เรือนร่างสูงโปร่ง สุขุมเยือกเย็นและเฉยชา


ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ สายตาที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้มองไปที่หลินสวินมีทั้งแค้นใจ ชิงชัง ขุ่นเคือง แต่กลับมีความหวาดกลัวที่มาจากภายในจิตใจมากยิ่งกว่า


เมื่อกี้ก็เป็นเด็กหนุ่มที่รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่เป็นพิษภัยต่อทั้งมนุษย์และเหล่าสัตว์ผู้นี้ ที่บรรจงวางกระบวนผนึกมรรคราชันกระบวนหนึ่ง ลวงสังหารราชันกึ่งระดับไปหลายสิบคน!


นี่น่าตื่นตระหนกและน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว สามารถทำให้ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดก็สั่นระริกและครั่นคร้าม ถ้ากระจายออกไปจะต้องก่อให้เกิดแรงสะเทือนไปทั้งแดนฐิติประจิม เกรงว่าสำนักโบราณมากมายต่างนั่งไม่ติดที่แน่


เพียงแต่ เหตุใดในท้ายที่สุดนี้หลินสวินถึงปล่อยพวกเขา


นี่เขาอยากจะทำอะไรกันแน่


ความสงสัยอย่างแล้วอย่างเล่าผุดขึ้นในใจผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ เมื่อกี้เสียเปรียบมากมายปานนั้น เพิ่งหนีพ้นความตายมาได้ ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความหวั่นเกรงและระแวดระวัง ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือล้างแค้นอีก ด้วยกังวลว่าจะถูกหลอกอีกครั้ง


ที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาก็คือ หลินสวินไม่พูดอะไรเลย ขนาดการแสดงออกสักนิดยังไม่มี พอหันกายก็จากไปพร้อมกับไป๋หลิงซี


พรึบ!


ยานขนส่งอวกาศไหววูบแผ่วเบาแล้วตัดผ่านท้องนภาไกลลิบ หายลับไป


“นี่…”


“เขาจะจากไปเช่นนี้หรือ”


“ยังมีชีวิตอยู่ได้…”


ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นตกตะลึง แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง


แต่ไม่นานนักพวกเขาก็เข้าใจแล้ว!


ฟึ่บๆๆ!


ในห้วงอากาศไกลลิบพลันมีเสียงทะลุอากาศแสบแก้วหูหาใดเทียบดังขึ้น แสงเคลื่อนไหวแสงแล้วแสงเล่าเคลื่อนผ่านนภากาศราวรุ้งเทพ เจิดจรัสเรืองรอง กำลังพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี


นั่นคือผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่ง มีหลายสิบคน ท่าทางฮึกเหิม ไอสังหารพลุ่งพล่าน


เมื่อได้เห็นภาพนี้ ผู้ฝึกปราณที่เหลืออยู่เหล่านั้นจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเทพมารหลินไม่ได้ใจดีอ่อนข้อ แต่สังเกตได้ล่วงหน้าว่าจะมีศัตรูแข็งแกร่งกลุ่มใหญ่เข้ามาใกล้อีก!


“เทพมารหลินนั่นก็ต้องอยู่ใกล้ๆ นี่ล่ะ!”


ไกลออกไปมีคนร้องตะโกนตื่นเต้น


“เอ๊ะ! นั่นมัน…”


แต่เมื่อเข้าใกล้ภูเขาลูกนี้ ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างนัยน์ตาหดรัดลง พากันสูดหายใจเย็นเยียบ ตัวภูเขาเปื้อนเลือด ซากศพเกลื่อนกลาด เห็นได้ชัดว่าเกิดการเข่นฆ่าโหดเหี้ยมหาใดเทียบมาก่อน


และเมื่อได้รู้ต้นสายปลายเหตุของสิ่งนี้ ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ที่เดิมทีท่วงท่าฮึกเหิมต่างพากันร่างกายแข็งทื่อไปทีละคน หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้าผาก


นี่น่าตกใจยิ่งนัก หากชิงมาถึงที่นี่ก่อนก้าวหนึ่ง จะไม่ประสบกับเคราะห์สังหารเช่นนี้เหมือนกันหรือ


ไม่นานนักในท้องฟ้าสูงอีกด้านหนึ่งก็มีผู้แข็งแกร่งเคลื่อนมาอีกกลุ่ม เป้าหมายก็เช่นเดียวกัน คือมาเพื่อตามฆ่าหลินสวิน


แต่ไม่นานนัก วกเขาก็จิตใจหนาวเหน็บ ตื่นตะลึงไม่หยุด


ใครจะไปคาดคิดว่าเทพมารหลินผู้นั้นจะอาศัยกระบวนผนึกมรรคราชันกระบวนหนึ่ง ลวงฆ่าบุคคลระดับระชันกึ่งระดับหลายสิบคนอย่างตรงไปตรงมาและแข็งกร้าวเช่นนี้


“ในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนฐิติประจิมแห่งนี้ เทพมารหลินผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งแล้ว…”


บางคนทอดถอนใจ สีหน้าซับซ้อน


“เขามาจากโลกชั้นล่างยังไม่ถึงหนึ่งปี ก็ก่อกวนคลื่นลมแดนฐิติประจิมแล้ว ภายภาคหน้า… ใครจะยังควบคุมเขาได้”


“น่าแค้นนัก เขาหนีออกจากเทศกาลโคมกถามรรคคราวนี้แล้ว ทำให้พลาดโอกาสงามที่จะสังหารเขาไปครั้งหนึ่ง!”


ไม่ว่าจะเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นไร ทุกคนต่างรู้ดีว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใครคิดจะไปสังหารเทพมารหลิน ก็ต้องไตร่ตรองดูว่ามีหน่วยก้านพอหรือไม่!


งานเทศกาลโคมกถามรรคครั้งเดียวเท่านั้น บุคคลระดับผู้กล้าที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็มากมายนับไม่ถ้วน ซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ อวี่หลิงคง ชิงเหลียนเอ๋อร์…


เบื้องหลังของแต่ละคนต่างมีขุมอำนาจยิ่งใหญ่ในแถบนี้หนุนอยู่ แต่เทพมารหลินกลับแน่วแน่เด็ดขาด แผลงฤทธิ์ไม่หวั่นเกรง ไม่เคยยอมถอยหรือหวาดกลัว!


กระทั่งตอนนี้ ขนาดบุคคลระดับราชันกึ่งระดับหลายสิบคนยังถูกกำจัดจนสิ้นซาก ในแดนฐิติประจิมภายภาคหน้า นอกจากจะมีความแค้น ใครจะกล้าไปหาเรื่องอีก


……


“บนทางข้างหน้าน่าจะสงบขึ้นบ้างแล้ว” บนชั้นเมฆ ภายในยานขนส่งอวกาศ ในที่สุดหลินสวินก็สามารถผ่อนคลายขึ้นได้


“สงบหรือ”


ไป๋หลิงซีอดไม่ได้เอ่ยเตือนว่า “เจ้าฆ่าผู้สืบทอดสำนักโบราณมากมายขนาดนั้น ขอเพียงยังอยู่ในแดนฐิติประจิมก็จะมีคู่แค้นที่ไม่อาจคาดคิดมาเยือนถึงที่”


“เจ้าอย่าประเมินสำนักเหล่านั้นต่ำไป พวกเขาครองอำนาจบนโลกมาไม่รู้กี่เดือนปี กระทั่งตอนนี้ยังตั้งตระหง่านไม่ล้มลงดังเดิม โอหังเหนือใต้หล้า ความแข็งแกร่งของภูมิหลัง ความยิ่งใหญ่ของอำนาจ สามารถทำให้บุคคลระดับราชันต่างครั่นคร้าม”


หลินสวินพยักหน้า เขาเข้าใจเรื่องเหล่านี้


สาเหตุที่สำนักโบราณน่ากลัว เหตุผลใหญ่ที่สุดข้อหนึ่งก็คือ ภายในสำนักโบราณมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันควบคุมดูแลอยู่ ทั้งยังไม่ได้มีเพียงคนเดียว


และในหมู่สำนักโบราณชั้นยอดบางสำนัก ยังมีอริยะที่แท้จริงดูแลด้วย!


เช่นในเรือนกระบี่เร้นปุจฉา สำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม ก็มีบุคคลระดับอริยะที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้หนึ่ง


นี่ก็เป็นรากฐานพลัง และเป็นหนึ่งในข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างสำนักโบราณกับขุมอำนาจอื่นเช่นกัน


“ดังนั้นรอหลังจากข้าสะสางเรื่องที่อยู่ในมือแล้ว ก็จะออกจากแดนฐิติประจิมทันที ตอนนี้จะหาเรื่องก็ไม่ได้ จะให้ข้าหลบหลีกไม่ได้ด้วยอีกหรือ” หลินสวินยิ้มพลางพูด


“ทันทีหรือ เจ้าคิดจะไปที่ไหนกัน” ไป๋หลิงซีสงสัย


“แดนชัยบูรพา”


หลินสวินไม่ปิดบัง เขาต้องเตรียมตัวเพื่อแก้แค้น ไปสืบหารายละเอียดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า โดยเฉพาะต้องเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนเช่นไรกันแน่!


“นั่นเป็นถึงแดนวิภูที่เจิดจรัสและรุ่งเรืองที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ ใช้คำว่า ‘มรรควิถีมากมายราวพงไพร หมื่นสำนักประชันกัน’ มาบรรยายยังไม่เกินไปเลย”


เห็นได้ชัดว่าไป๋หลิงซีรู้เรื่องราวบางอย่างของแดนชัยบูรพา กล่าวว่า “เช่นแดนฐิติประจิมนี้ มีเพียงสำนักชั้นยอดไม่กี่สำนักอย่างเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ถึงจะมีอริยะที่แท้จริงดูแล”


“แต่ในแดนชัยบูรพา สำนักโบราณที่คล้ายคลึงกับเรือนกระบี่เร้นปุจฉานี้อย่างน้อยก็มีมากกว่าถึงหลายสิบสำนัก!”


หลินสวินใจสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เพียงแค่ห่างกันเพียงแดนเดียวเท่านั้น แดนฐิติประจิมกับแดนชัยบูรพาก็แตกต่างกันมากมายเช่นนี้


ไป๋หลิงซีพูดต่อว่า “อีกทั้งแดนชัยบูรพายังถูกมองว่าเป็นสถานที่ต้นกำเนิดแห่ง ‘ดินแดนรกร้างโบราณ’ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็มีชื่อเสียงดีงามอย่าง ‘แหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ’ ‘พิภพแห่งการสืบทอดอริยมรรค’ ความยาวนานและเก่าแก่ของรากฐานพลังนั้นล้ำไกลกว่าสามแดนวิภูที่เหลือมาก”


“ข้าเคยได้ยินอวี่หลิงคงพูดว่า ในหมู่ผู้กล้าแห่งยุคชั้นยอดในยุคปัจจุบัน เจ็ดส่วนต่างอยู่ในแดนชัยบูรพา อีกสามส่วนที่เหลือถูกแดนฐิติประจิม กาฬทักษิณ และดาราอุดรครองไปแดนละส่วน จากจุดนี้ก็คาดเดาได้ว่า แดนชัยบูรพารุ่งเรืองและเจิดจรัสปานไหน!”


พูดถึงตรงนี้ เสียงของนางก็เจือไปด้วยความคาดหวังและปรารถนาที่ไม่อาจเก็บกลั้นไว้ได้


หลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างเลี่ยงไม่ได้ แหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ! พิภพแห่งการสืบทอดอริยมรรค! เพียงได้ยินกิตติศัพท์เหล่านี้ก็รู้ว่าแดนชัยบูรพาไม่ธรรมดาขนาดไหนแล้ว


“ตอนมาที่แดนฐิติประจิม อวี่หลิงคงก็เคยพูดไว้ว่า รอเมื่อกลับไปคราวนี้ก็จะไปแดนชัยบูรพาทันที เพราะถ้า ‘กระดานทองคำผู้กล้า’ อันสะท้านโลกาตั้งแต่ยุคบรรพกาลจะปรากฏขึ้น ก็ต้องปรากฏขึ้นที่แดนชัยบูรพา”


“และเจ้าน่าจะรู้ดีเช่นกันว่า ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็มีสิ่งที่เป็นที่ยอมรับโดยกว้างขวางอย่างหนึ่งว่า มีเพียงสามารถพาชื่อของตนไปอยู่บนกระดานนี้ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าที่แท้จริง และถึงมีคุณสมบัติเสาะแสวงมหามรรคระดับมกุฎราชันในมหาสงครามได้!”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินสวินเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้จริง บุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์ในสี่แดนวิภูในใต้หล้านี้ จะไม่ไปโผล่ที่แดนชัยบูรพาก่อนมหาสงครามมาเยือนกันหมดหรือ”


“เป็นเช่นนี้ล่ะ” ไป๋หลิงซีพยักหน้า


ยามพูดถึงตรงนี้ นางก็นึกเรื่องหนึ่งออกในทันใด หว่างคิ้วปรากฏแววหนักอึ้ง “ข้าต้องเตือนเจ้าเรื่องหนึ่ง”


“อะไรหรือ”


“อวี่หลิงคงยังไม่ตาย!”


ดวงตาของหลินสวินหดรัดลงทันที ทำใจเชื่อได้ยากว่าอวี่หลิงคงที่ถูกเขาฆ่าตายกับมือ เหตุใดถึงยังมีชีวิตอยู่


ไป๋หลิงซีพูดอย่างจริงจังว่า “เพราะวิญญาณส่วนหนึ่งของเขาถูกฟูมฟักไว้ในตำหนักอมตะอยู่ก่อนแล้ว นอกจากจะทำลายวิญญาณส่วนนี้ หาไม่แล้วบนโลกนี้ก็ไม่มีใครสังหารเขาได้โดยสมบูรณ์!”


ตอนนี้หลินสวินถึงตระหนักได้ ในใจออกจะไม่สงบอยู่บ้าง อดไม่ได้นิ่วหน้าเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ ถ้าคิดจะฆ่าวิญญาณส่วนนี้ของเขา ต้องมีพลังที่สามารถกำราบตำหนักอมตะนั่นได้โดยสิ้นเชิงหรือ”


“เป็นเช่นนี้ล่ะ” ไป๋หลิงซีพูดพลางถอนใจเบาๆ “ไม่ว่าจะเป็นแดนพิสุทธิ์อมตะหรือตระกูลอวี่ ล้วนไม่ยินยอมให้เรื่องอย่างอวี่หลิงคงถูกสังหารเกิดขึ้นได้ เพราะอวี่หลิงคงได้รับการหนุนหลังจากพวกเขาทั้งสองฝ่ายเหมือนกัน ด้วยเห็นว่าเขามีความหวังที่จะเหยียบย่างลงบนมกุฎราชันในมหาสงครามมากที่สุด”


หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งก็ยิ้มเยียบเย็น แล้วพูดว่า “ถ้าข้าฆ่าเขาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องฆ่าเขาได้เป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และอีกไม่รู้กี่ครั้ง!”

 

 

 


ตอนที่ 930 คลื่นลมการหมั้นหมาย

 

ไป๋หลิงซีอดไม่ได้เงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นว่าดวงตาดำของหลินสวินล้ำลึก หว่างคิ้วฉายแววผงาดกร้าวสุขุมเยือกเย็น


มาคิดดูก็ถูก ถ้าไม่ใช่เพราะตำหนักอมตะ อวี่หลิงคงย่อมไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวิน ไม่ต้องกังวลอะไรจริงๆ


ทันใดนั้นจู่ๆ ไป๋หลิงซีก็รับรู้ได้ว่า นางนึกว่าหลินสวินยังเป็นหลินสวินในตอนนั้นอยู่เสมอ แต่กลับเพิกเฉยเรื่องหนึ่งไป


ในหมู่คนรุ่นเยาว์ในแดนฐิติประจิมแห่งนี้ หลินสวินได้หล่อหลอมกิตติศัพท์ไร้เทียมทานของตนเองผ่านการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่ามานานแล้ว ผู้ที่สามารถประมือกับเขาแทบจะมีเพียงไม่กี่คน!


……


หลายชั่วยามผ่านไป


เมื่อมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นต้าฉิน ไป๋หลิงซีก็จากไปแล้ว


นางต้องไปเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ด้วยมีคนใหญ่คนโตที่แดนพิสุทธิ์อมตะผู้หนึ่งรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นไป๋หลิงซี หรือผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคคนอื่นๆ ล้วนต้องไปรวมตัวที่นั่น จากนั้นจึงค่อยออกเดินทางกลับสำนัก


หาไม่แล้ว อาศัยพลังของพวกเขาเองย่อมไม่อาจข้ามแดนกลับไปยังแดนกาฬทักษิณได้


นี่ก็ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ทันทีว่า ถ้าตนต้องการออกจากแดนฐิติประจิมไปยังแดนชัยบูรพา ก็ต้องคลี่คลายปัญหาข้อหนึ่งที่ว่า จะข้ามแดนอย่างไร


ก่อนหน้านี้หลินสวินยังเคยหวังให้เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวช่วยตนแก้ปัญหานี้ แต่เพราะความขัดแย้งครั้งหนึ่ง ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ไป


หลินสวินครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงตัดสินใจ รอส่งโครงกระดูกของเยวี่ยเจี้ยนหมิงกลับไปยังบ้านเกิดแล้ว ก็จะเริ่มสะสางปัญหานี้ทันที


……


เจ็ดวันผ่านไป


แคว้นวิญญาณอัคนี นครเตโช


หลินสวินเดินเข้าไปในนครอันเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ ยามเขามาถึงดินแดนรกร้างโบราณครั้งแรกเมื่อครึ่งปีก่อน เมืองแรกที่เข้ามาเยือนก็คือเมืองนี้


ได้เดินทางกลับมาเมืองนี้อีกครั้ง หลินสวินก็นึกถึงซย่าเสี่ยวฉง เด็กสาวใสซื่อเลอะเลือนผู้นั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนึกถึงบุคคลลี้ลับผู้หนึ่งที่จำศีลอยู่ที่ยอดเขาดาราโรยในภูเขาโคม่วง… เซ่าเฮ่า


เซ่าเฮ่ามาจากเผ่าราชันเร้นดารา เป็นนายน้อยแห่งเผ่านี้ สถานที่ที่เขาจำศีลอยู่ลี้ลับหาใดเทียบ มี ‘ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์หมู่ดารา’ ปกป้อง มี ‘ไข่แห่งกลุ่มดาว’ เป็นที่พำนัก


ตอนนั้นหลินสวินก็มีสังหรณ์แรงกล้าอย่างหนึ่งว่า เมื่อเซ่าเฮ่าปรากฏตัวบนโลกหลังจากการจำศีลนิ่งเงียบ คลื่นลมจะต้องซัดสาดในโลกา เจิดจรัสเรืองรอง!


เพราะเขาไม่ธรรมดาเกินไป มีทั้งความมุ่งมั่น จิตใจ และความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ที่มาของเขาลึกลับ ไม่รู้ว่าเขานิ่งเงียบมานานแค่ไหนแล้ว รอเมื่อมหาสงครามมาเยือนก็จะถือกำเนิดมาสู่โลก


ตอนนั้นเซ่าเฮ่ายังเคยออกตัวมอบเคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอนให้แก่หลินสวิน นี่เป็นวิชาลับในการเลี้ยงหนอนกินเทพโดยเฉพาะวิชาหนึ่ง เรียกได้ว่าคลี่คลายเรื่องเร่งด่วนของหลินสวินไปได้


‘เซ่าเฮ่า… ไหนจะนายน้อยลึกลับที่ได้รับการปกป้องจากวานรเฒ่าชุดเขียวผู้นั้นที่เกาะอริยะปัญจธาตุ น่าจะเป็นคนจำพวกเดียวกัน เมื่อมหาสงครามมาเยือน พวกเขาจะต้องผงาดขึ้นมาแน่’


ยามหลินสวินครุ่นคิด ก็มาถึงหน้าต้นข่าวสารที่อยู่กลางเมืองแล้วโดยไม่รู้ตัว


ที่นี่ยังอึกทึกครึกโครมดังเดิม ล้อมรอบไปด้วยเงาร่างผู้ฝึกปราณมากมาย


“จะว่าไปเทพมารหลินผู้นี้ก็เริ่มผงาดขึ้นจากนครเตโชของพวกเรานี่ เขาในตอนนั้นยังเพิ่งสำแดงความสามารถ ใครจะคาดคิดได้ว่าตอนนี้เขาเลื่องชื่อไปทั้งแดนฐิติประจิมแล้ว ประหนึ่งราชันในหมู่คนรุ่นเยาว์ ไม่มีศัตรูเทียบเทียม”


“นี่ก็เรียกว่าผู้คนในตอนนั้นไม่รู้ว่าต้นไม้นี้จะสูงใหญ่เทียมเมฆได้ กระทั่งมันสูงเทียมเมฆจริงๆ ถึงได้ยอมรับกันว่าสูง ที่น่าเสียดายก็คือ หนทางแห่งความรุ่งเรืองของเทพมารหลินนองเลือดเกินไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าล่วงเกินสำนักโบราณไปกี่สำนัก ทางข้างหน้าของเขาย่อมพ่วงไปด้วยอันตรายและเคราะห์สังหาร!”


“หึ นี่เรียกว่าไร้เหตุผลสิ้นดี ไม่ใช่เพราะเทพมารหลินมาจากโลกชั้นล่างไร้ที่พึ่งพิงหรอกหรือ ยอมให้สำนักโบราณเหล่านั้นรังแกผู้อื่นเท่านั้น แต่ไม่ยอมให้เทพมารหลินโต้กลับหรือ นี่ช่างไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!”


ข่าวบนต้นข่าวสารมากมายนัก เกินกว่าครึ่งของข่าวเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลโคมกถามรรค และข่าวที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลโคมกถามรรค ก็ต้องหนีไม่พ้นหลินสวิน


ดังนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเขาจึงย่อมกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมที่สุดเป็นธรรมดา


หลินสวินใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปเปลี่ยนแปลงหน้าตาและกลิ่นอายประจำตัวไว้ก่อนแล้ว หาไม่จะต้องถูกจำได้ในทันที


สายตาของหลินสวินกวาดไปมาบนต้นข่าวสารอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงหันกายจากไป


เขารู้ดีว่ายิ่งตนชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น สำนักโบราณเหล่านั้นย่อมไม่รามือโดยง่าย


สำหรับเขาแล้ว แดนฐิติประจิมแห่งนี้เหมือนกลายเป็นวังน้ำวนที่มีคลื่นประหลาดแปรปรวน อันตรายรายล้อมลูกหนึ่ง ไม่ควรอยู่นาน


เรื่องที่จะออกจากที่นี่ กลายเป็นเรื่องที่ต้องจัดการโดยเร็วที่สุดแล้ว


“ช่วยข้าติดต่อไป่เฟิงหลิวที บอกว่าถ้าต้องการศุภโชค อีกสามวันให้มาเจอกันที่นครเตโช”


ไม่นานนักหลินสวินก็พบผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยผู้หนึ่ง หลังจากบอกความต้องการของตัวเองแล้ว ก็มอบแกนวิญญาณขั้นกลางหนึ่งร้อยก้อนแก่อีกฝ่าย จากนั้นก็ลอยละล่องจากไป


……


แคว้นวิญญาณอัคนี เมืองพันทะเลสาบ


ที่นี่คือเมืองเล็กอันไกลลิบเมืองหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่โต เทียบกับนครเตโชแล้วก็เหมือนชนบทห่างไกลความเจริญ


ตระกูลเจิ้งเป็นตระกูลทรงอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองพันทะเลสาบ แต่บุคคลระดับผู้ก่อตั้งที่มีพลังปราณสูงสุดในตระกูล ยังมีพลังปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น


หนึ่งวันผ่านไป เงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้นที่เมืองพันทะเลสาบ


“เยวี่ยเจี้ยนหมิงหรือ ข้ารู้จักแน่นอน เขาเป็นถึงความภาคภูมิใจของพวกเราเมืองพันทะเลสาบเชียวนะ ในหมู่คนรุ่นเยาว์ก็เขานี่ล่ะที่โดดเด่นที่สุด ได้ยินว่าชื่อเสียงของเขาในตอนนี้ขจรทั่วแคว้นวิญญาณอัคนีไปนานแล้ว”


ระหว่างทาง หลินสวินหาผู้ฝึกปราณคนหนึ่งมาสอบถาม ฝ่ายหลังท่าทางภูมิใจ ปากก็มีแต่ความเคารพเยวี่ยเจี้ยนหมิง


นี่ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ในทันทีว่าข่าวการตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิงเหมือนจะยังมาไม่ถึงเมืองเล็กอันห่างไกลแห่งนี้


“เช่นนั้นเจ้าคงรู้ว่าตระกูลเยวี่ยอยู่ที่ใด”


“ริมทะเลสาบหลิวเขียว ไปถึงที่นั่นเจ้าก็รู้เอง”


“ขอบคุณมาก”


หลินสวินบอกลาผู้ฝึกปราณคนนั้น ไม่นานนักก็หาที่หมายพบ


ที่นั่นเป็นทะเลสาบงดงามสันโดษแห่งหนึ่ง น้ำทะเลสาบเป็นสีมรกตใสสะอาด ต้นหลิวสีเขียวชอุ่มเก่าแก่ต้นหนึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ใบหลิวพลิ้วไหวลู่ลม สีเขียวเปล่งปลั่ง งดงามอ่อนช้อย


บ้านตระกูลเยวี่ยตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบ นั่นเป็นคฤหาสน์ที่เรียบง่ายแต่ภูมิฐานหลังหนึ่ง


ระหว่างทางที่มาหลินสวินก็สืบข่าวมาแล้วว่า ยามเยวี่ยเจี้ยนหมิงอายุเจ็ดปี มารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็จากไปเพราะป่วยหนักด้วยโรคเรื้อรัง ด้วยความเสียใจมากล้น บิดาของเขาผมหงอกขาวในคืนเดียว เวลาผ่านไปครึ่งปีเท่านั้นก็ปลีกตัวจากผู้คน จากไปอย่างกะทันหัน


ตระกูลเยวี่ยในตอนนี้ เหลือเพียงเยวี่ยเจี้ยนหมิงกับน้องชายฝาแฝดของเขาเยวี่ยเจี้ยนเฟย


เจี้ยนหมิง (กระบี่ขับขาน) คราขับขาน สะท้านใจผู้คน


เจี้ยนเฟย (กระบี่โบยบิน) คราโบยบิน พุ่งทะลุฟ้า


แค่จากชื่อ ก็รู้ว่าพี่น้องคู่นี้รับฝากความคาดหวังอันยิ่งใหญ่จากบิดามารดาของพวกเขา


แต่ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจก็คือ พรสวรรค์ของเยวี่ยเจี้ยนหมิงก้าวล้ำเกินคนทั่วไป โดดเด่นเหนือธรรมดา เหมาะสมแก่การฝึกปราณถึงที่สุด ตอนเขาอายุสิบสามปีก็ได้รับความชื่นชมจากคนเบื้องบนในสำนักยุทธ์พันเวท รับเข้าเป็นศิษย์เป็นกรณีพิเศษ


แต่เยวี่ยเจี้ยนเฟยกลับตรงข้าม ตั้งแต่เล็กก็ร่างกายอ่อนแอขี้โรค ทั้งสติปัญญาคล้ายบกพร่อง เหมือนกับคนโง่สมองทึบ กระทั่งตอนนี้ยังไม่หายเป็นปกติ


เรื่องนี้ยังกลายเป็นเรื่องพิศวงเรื่องหนึ่งในเมืองพันทะเลสาบแห่งนี้ คนพี่เป็นดั่งผู้กล้า ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วแคว้นวิญญาณอัคนี แต่คนน้องกลับบกพร่องแต่กำเนิด ทึ่มทื่อราวคนโง่ จะไม่ให้ผู้อื่นสนใจย่อมเป็นเรื่องยาก


ทว่าตั้งแต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเข้าสำนักยุทธ์พันเวท ในเมืองพันทะเลสาบแห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเยวี่ยเจี้ยนเฟยน้องชายของเขาอีก


เอี๊ยด~


หลังจากหลินสวินก้าวไปเคาะประตู ประตูบ้านตระกูลเยวี่ยที่ปิดสนิทบานนั้นก็ถูกเปิดออก ข้ารับใช้ชราที่แต่งกายเรียบง่ายผู้หนึ่งเดินออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “คุณชายมาหาใครหรือ”


“เยวี่ยเจี้ยนเฟย” หลินสวินพูดพลางประสานมือทักมาย เขาค้นพบอย่างเหนือความคาดหมายอยู่บ้างว่าข้ารับใช้ชราตรงหน้าเหมือนถูกคนอื่นตบตีอย่างรุนแรงมาก่อน จมูกคล้ำเขียวใบหน้าบวมเป่ง ตามเสื้อผ้ายังหลงเหลือรอยเท้ามากมาย ท่าทางสะบักสะบอมนัก


ข้ารับใช้ชราหน้าเปลี่ยนสีในทันใด พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าเป็นคนที่ตระกูลเจิ้งส่งมาล่ะสิ คุณชายรองตระกูลข้าก็ถูกพวกเจ้าจับไปแล้ว พวกเจ้ายังจะทำอะไรอีก”


ตระกูลเจิ้งหรือ


หลินสวินอึ้งไป นิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า “ผู้เฒ่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นเพื่อนของเยวี่ยเจี้ยนหมิง คราวนี้มีเรื่องจึงมาหา”


“เอ๋?”


ข้ารับใช้ชรางงงวย ทันใดนั้นก็พูดขึ้นอย่างปรีดาว่า “คุณชายทะ… ท่านเป็นเพื่อนของเจี้ยนหมิงจริงหรือ พูดเช่นนี้ ท่านก็เป็นศิษย์ชั้นสูงจากสำนักยุทธ์พันเวทหรือ ดียิ่งแล้ว! ทีนี้คุณชายรองก็ถือว่ามีคนช่วยแล้ว ถ้าท่านไม่มาล่ะก็ ข้าคงไปขอความช่วยเหลือที่สำนักยุทธ์พันเวทด้วยตัวเองแล้ว!”


เขาพูดไปดวงตาแก่ชราก็มีน้ำตาคลอหน่วย ร้องไห้ด้วยความปรีดาถึงที่สุด


“เยวี่ยเจี้ยนเฟยถูกจับไปหรือ” ดวงตาหลินสวินหรี่ลง ในใจมีสังหรณ์ไม่ดี จึงถามไปตรงๆ ว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้เฒ่าท่านเล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดที”


“ได้ๆๆ!” ข้ารับใช้ชราเช็ดน้ำตาที่เอ่อจากดวงตา พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ


……


ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลินสวินก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในที่สุด


ที่แท้ในตอนที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเข้าสำนักยุทธ์พันเวทนั้น ตระกูลเจิ้ง ตระกูลทรงอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองพันทะเลสาบก็มาหาถึงบ้าน หมายจะจับคู่เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยว บุตรสาวคนเล็กของเจ้าบ้านตระกูลเจิ้งกับเยวี่ยเจี้ยนเฟย และได้ทำหนังสือสัญญาหมั้นหมายไว้ รอเมื่อเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวอายุครบสิบแปดปีก็จะแต่งงานให้เยวี่ยเจี้ยนเฟยอย่างเป็นทางการ


ในตอนนั้นเรื่องนี้ก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมใหญ่โตถึงที่สุด เพราะใครก็รู้ว่าเยวี่ยเจี้ยนเฟยเป็นคนโง่คนหนึ่ง ตระกูลเจิ้งทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการใช้วิธีแต่งงานไปสร้างความสัมพันธ์กับเยวี่ยเจี้ยนหมิงให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น


อย่างไรเสียตอนนั้นเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็เข้าสำนักยุทธ์พันเวทไปแล้ว หนทางข้างหน้าเรียกได้ว่าไม่อาจจำกัดได้ ถ้ากลายเป็นครอบครัวของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ฐานะของตระกูลเจิ้งในเมืองพันทะเลสาบก็ยิ่งมั่นคงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย


เยวี่ยเจี้ยนหมิงย่อมรู้เรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ยังตอบรับเรื่องการแต่งงานไป เพราะเมื่อเขาไปฝึกปราณที่สำนักยุทธ์พันเวท ย่อมไม่อาจดูแลน้องชายเขาได้อีก


เพื่อไม่ให้น้องชายที่สติปัญญาบกพร่องถูกรังแก เยวี่ยเจี้ยนหมิงจึงตัดสินใจเช่นนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อให้น้องชายของเขาได้รับความคุ้มครองจากตระกูลเจิ้ง สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายไร้กังวล


เรื่องการแต่งงานดองกันนี้ดำเนินมาถึงปีนี้ ว่ากันตามอายุ เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวบุตรสาวของเจ้าบ้านตระกูลเจิ้งผู้นั้นอายุครบสิบแปดแล้ว ถึงเวลาที่ควรแต่งงานแล้ว


แต่ไม่กี่วันก่อน ตระกูลเจิ้งกลับกลับคำกะทันหัน ปฏิเสธว่าไม่เคยตอบรับเรื่องนี้ ทั้งยังโวยวายว่าคุณหนูตระกูลเจิ้งไม่มีทางแต่งงานกับคนโง่คนหนึ่งเด็ดขาด!


ตอนนี้ตระกูลเยวี่ยก็เหลือเพียงข้ารับใช้ชราที่ดูแลสารทุกข์สุกดิบในชีวิตประจำวันของเยวี่ยเจี้ยนเฟยเพียงผู้เดียว เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวไม่คาดฝันเช่นนี้ก็ลุกลี้ลุกลน โกรธเคืองแต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรอย่างกะทันหัน


ส่วนเยวี่ยเจี้ยนเฟยก็เป็นคนที่สติปัญญาบกพร่องผู้หนึ่ง จึงช่วยอะไรไม่ได้เลย


เดิมทีข้ารับใช้ชรายังหวังว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ฝึกปราณในสำนักยุทธ์พันเวทจะกลับมารักษาความเป็นธรรมได้


ใครจะคิดว่าในเช้าวันนี้เอง จู่ๆ ตระกูลเจิ้งก็ส่งคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในบ้านตระกูลเยวี่ย แล้วจับเยวี่ยเจี้ยนเฟยที่กำลังกินข้าวอยู่ไป!


เมื่อหลินสวินมาถึง ข้ารับใช้ชรากำลังเขียนจดหมาย จะไปขอความช่วยเหลือจากเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่อยู่สำนักยุทธ์พันเวท


แน่นอนว่า หลินสวินรู้ดีว่าต่อให้จดหมายนี้ส่งถึงสำนักยุทธ์พันเวท เยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว…


เมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ แววโหดเหี้ยมพลันไหววูบในดวงตาของหลินสวิน ในใจบังเกิดความขัดเคืองที่ไม่สามารถเก็บกลั้นไว้ได้


เพราะการตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ทำให้เขาละอายและเจ็บปวดใจไม่ว่างเว้น แล้วตอนนี้ยังมาได้ยินว่าน้องชายร่วมอุทรของเขาถึงกับถูกผู้อื่นรังแกเช่นนี้ นี่จะให้หลินสวินไม่โกรธได้อย่างไร


——

 

 

 


ตอนที่ 931 เหยียบตระกูลเจิ้ง

 

พรึ่บ!


หลังจากเล่าความเป็นมาเป็นไปของเรื่องจบ ข้ารับใช้ชราก็คุกเข่าลงพื้น “คุณชายโปรดออกหน้า ช่วยคุณชายรองตระกูลข้าด้วย”


หลินสวินรีบพยุงเขาขึ้นมาพร้อมพูด “ผู้เฒ่า ท่านโปรดวางใจ เจี้ยนหมิงเป็นเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกับข้า น้องชายของเขาก็คือน้องชายของข้า!”


ในขณะที่พูด ความเยียบเย็นสายหนึ่งแวบผ่านดวงตาดำของเขา


ระหว่างทางที่มาเยือนเมืองพันทะเลสาบ หลินสวินก็ได้รู้แล้วว่าตระกูลเจิ้งนั่นเป็นตระกูลอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองพันทะเลสาบ ราวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับอยู่บนเมืองพันทะเลสาบ ไม่มีใครสามารถทำให้สั่นคลอนได้


เพียงแต่ในสายตาหลินสวิน ตระกูลเจิ้งไม่มีพลังคุกคามเลยสักนิด


ผู้แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเจิ้งก็เพียงแค่ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ สำหรับคนในเมือง อาจจะเป็นบุคคลที่สุดยอดมากแล้ว


แต่เสียดาย ในสายตาของหลินสวินตอนนี้ บุคคลเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาที่อ่อนแอแตกหักง่าย


นี่ไม่ใช่การอวดอ้างตัวเองมากเกินไป แต่เป็นความเย่อหยิ่งผงาดผยองที่บ่มเพาะจากการต่อสู้มานานปี


ต้องรู้ว่าตั้งแต่เข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณจนถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติที่ตายในมือหลินสวินมีนับไม่ถ้วน และส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้กล้าชั้นยอดที่ชื่อเสียงโด่งดังในแดนฐิติประจิม


มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่ว่าของตระกูลเจิ้งนั่น ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถือรองเท้าให้ผู้กล้าเหล่านี้ด้วยซ้ำ!


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ราชันกึ่งระดับที่ตายในมือหลินสวินก็ไม่น้อยเช่นกัน


ในสถานการณ์เช่นนี้ หากหลินสวินมีความกังวล นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าขัน


“ผู้เฒ่าโปรดนำทาง”


“คุณชายคุณธรรมสูงส่ง แม้ข้าเป็นเพียงคนชราที่แก่หงำเหงือก แต่ก็ยินดีติดตามคุณชาย ไม่บอกปัดอย่างแน่นอน!”


……


ตระกูลเจิ้ง


ห้องโถงใหญ่ที่โอ่อ่าตระการตา บรรยากาศดูประณีตอย่างมาก


เจิ้งเฉียนหลงผู้นำตระกูลเจิ้งนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งประธาน สีหน้าดูเรียบเฉย ดวงตาทั้งคู่หลุบต่ำ มองลงมายังเด็กหนุ่มคนหนึ่งตรงกลางโถง ในแววตาไร้ซึ่งอารมณ์ใด


ชายหนุ่มสวมใส่สะอาดสะอ้านเรียบร้อย ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามอย่างมาก เพียงแต่ตอนนี้กลับนั่งอยู่บนพื้นอย่างน่าอดสู ในปากพึมพำประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา “ข้าหิว… ข้าหิว…”


นี่ก็คือเยวี่ยเจี้ยนเฟย


สองฝั่งของห้องโถงใหญ่ มีบุคคลชั้นแนวหน้ามากมายของตระกูลเจิ้งนั่งอยู่ มีทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและชรา ยามนี้ต่างไม่เก็บความเหยียดหยาม รังเกียจและดูถูกของตนเลยสักนิด


เพราะพวกเขารู้ว่า เจ้าคนที่แต่งตัวอย่างเหมาะเจาะสวยงาม ท่าทางมากความสามารถคนนี้ ความจริงเป็นคนโง่แต่กำเนิด


แค่คนโง่เท่านั้น จะแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร


เหมือนอย่างตอนนี้ที่เขานั่งอยู่บนพื้นตรงกลางห้องโถง ถูกสายตาของทุกคนมองเหยียดหยันลงมา กลับไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิด เอาแต่พึมพำว่าหิว โง่เขลาอย่างที่สุด


“หลานชาย อยากอิ่มท้องก็ย่อมได้ แต่เอาสัญญาหมั้นหมายของเจ้าออกมาก่อนและยกเลิกงานแต่งอย่างไม่มีข้อแม้ ข้าจะตกรางวัลเป็นข้าวให้เจ้าสักถ้วย”


เจิ้งเฉียนหลงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทางเหยียดหยามใดๆ บุคคลระดับเขา หากถือสาคนโง่คนหนึ่ง นั่นต่างหากที่เรียกว่าเสียฐานะ


“ลุงเจิ้ง ยกเลิกงานแต่งคืออะไร กินได้ไหม” เยวี่ยเจี้ยนเฟยใบหน้างุนงงเต็มประดา


เจิ้งเฉียนหลงสีหน้าอึมครึม ในใจเริ่มหมดความอดทน เอ่ยว่า “เอาอย่างนี้ เจ้าส่งสัญญาหมั้นหมายมาก็พอ”


“อะไรคือสัญญาหมั้นหมาย สิ่งนี้คงกินได้ใช่ไหม” เยวี่ยเจี้ยนเฟยถามต่อ ฟังความเหลืออดในคำพูดของเจิ้งเฉียนหลงไม่ออกสักนิด ดูจริงจังและประหลาดใจอย่างมาก


ทุกคนต่างพูดไม่ออก ช่างเป็นคนที่โง่เขลาเหลือเกิน!


“พี่ใหญ่ พูดจาไร้สาระกับคนโง่คนหนึ่งมากมายขนาดนี้ทำไม ฆ่าไปเสียก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือ” บุคคลชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของตระกูลเจิ้งหงุดหงิดมาก


“ฆ่าคนโง่คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถึงอย่างไรคนโง่คนนี้ก็เป็นน้องชายของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ระวังผลกระทบที่จะตามมาสักหน่อยจะดีกว่า” เจิ้งเฉียนหลงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


“เยวี่ยเจี้ยนหมิงหรือ”


หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งหลุดขำออกมา คำพูดเย็นชา “ผู้กล้าที่ชื่อเสียงเลื่องลือในแคว้นวิญญาณอัคนีคนนี้ช่างเย่อหยิ่งทะนงตัว เอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเทพมารหลินที่สังหารจนบ้าคลั่งชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตายอย่างห้าวหาญจริงๆ”


“เยวี่ยเจี้ยนหมิงนี่ตายได้จังหวะมาก หากเขายังมีชีวิตอยู่ มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเราเข้าจะขนาดไหน”


ชายชราผมขาวคนหนึ่งลูบเคลาพูด “เขาเป็นถึงสหายของเทพมารหลิน และเทพมารหลินก็ถูกสำนักโบราณมากมายของแดนฐิติประจิมหมายตาไว้ ทุกคนล้วนสามารถฆ่าเขาให้ตายได้ เป็นตัวหายนะตัวใหญ่คนหนึ่ง ใครยุ่งเกี่ยวก็พลอยต้องซวยไปด้วย หากเยวี่ยเจี้ยนหมิงยังไม่ตาย ต่อไปตระกูลเจิ้งของเราคงต้องเดือดร้อนไปด้วย!”


หญิงวัยกลางคนหัวเราะเหอะๆ “ไม่ผิด ข้าได้ยินว่าสำนักยุทธ์พันเวทเริ่มลนแล้ว ไม่กล้าแก้แค้นแทนเยวี่ยเจี้ยนหมิง กลับตัดความสัมพันธ์กับเยวี่ยเจี้ยนหมิง ประกาศต่อโลกว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงหาเรื่องใส่ตัว สมควรได้รับบทลงโทษ ไม่เกี่ยวกับสำนักยุทธ์พันเวทของพวกเขา”


“แม้แต่สำนักยุทธ์พันเวทยังทอดทิ้งเยวี่ยเจี้ยนหมิง ตระกูลเจิ้งของเราจะเดือดร้อนเพราะเจ้าหมอนั่นไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นวันนี้จะต้องกำจัดคนโง่คนนี้ซะ!”


ในห้องโถงแต่ละคนพูดขึ้นมาคนละประโยคสองประโยค พูดเองเออเองไม่มีปกปิด ไม่กลัวเยวี่ยเจี้ยนเฟยได้ยินเลยสักนิด


“ข้าหิว… ข้าหิวจริงๆ… ข้าอยากกลับบ้าน…” เยวี่ยเจี้ยนเฟยเอาแต่พึมพำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอดสู


“มา เจี้ยนเฟย กินข้าวก่อน” หญิงสาวกิริยาอ่อนหวานแช่มช้อย รูปลักษณ์งดงามคนหนึ่งเดินเข้ามาในโถงพร้อมอาหารร้อนๆ


“อวิ๋นเฉี่ยว เจ้าทำอะไร!” เจิ้งเฉียนหลงขมวดคิ้ว


“ท่านพ่อ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพูดอย่างอ่อนโยน และได้คุกเข่าลงไปยื่นอาหารให้เยวี่ยเจี้ยนเฟยแล้ว


เยวี่ยเจี้ยนเฟยประคองถ้วยข้าวแล้วกินอย่างตะกละตะกลาม ในปากยังคงงึมงำอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ “อย่างไรเฉียวเฉี่ยวก็ดีกับข้าที่สุด รอพี่ชายข้ากลับมา จะต้องให้เขาจัดงานแต่งงานให้เราด้วยตัวเอง”


เสียงหลุดขำดังขึ้นในห้องโถง จนขนาดนี้แล้วเจ้าโง่นี่ยังคิดถึงเรื่องแต่งงาน โง่ที่สุดเลย


เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพูดอย่างอ่อนโยน “เจี้ยนเฟย ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าข้าดีกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า สัญญาณหมั้นหมายของเราอยู่ที่ไหนกันแน่”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยงุนงง “เฉียวเฉี่ยว สัญญาหมั้นหมายคือสิ่งใด เหตุใดพวกเจ้าจึงอยากได้นัก”


เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวกำลังจะอธิบาย แต่กลับเห็นเยวี่ยเจี้ยนเฟยมุดหัวลงไปกินอย่างมูมมามแล้ว “เฉียวเฉี่ยว รอข้ากินอิ่มก่อนค่อยพูดได้หรือไม่”


ความอ่อนโยนบนใบหน้าของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวหายไปในชั่วพริบตา กลายเป็นรังเกียจและเดือดดาล ความแค้นเคืองที่ข่มกลั้นอยู่ในใจมานานควบคุมไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว พลันปัดถ้วยตะเกียบในมือเยวี่ยเจี้ยนเฟยจนคว่ำ


เคร้ง!


ถ้วยแตกกระจาย เศษถ้วยที่กระเด็นขึ้นมาราวกับคมดาบ เฉียดผ่านพวงแก้มของเยวี่ยเจี้ยนเฟย ทิ้งรอยเลือดเอาไว้รอยหนึ่ง


ทันใดนั้นเยวี่ยเจี้ยนเฟยอึ้งงันไป เบิกตาโพลง ในปากยังเต็มไปด้วยอาหาร ท่าทางดูโง่เขลาและมึนงง “เฉียวเฉี่ยว ข้า… ข้าทำอะไรผิดอีกแล้วหรือ”


เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ด่าว่าเสียงแหลม “กินๆๆ รู้จักแต่กิน ข้าทนคนปัญญาอ่อนอย่างเจ้ามามากพอแล้ว! ที่ผ่านมาหากไม่ใช่เพราะพี่ชายเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจคนโง่อย่างเจ้าหรือ”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยพูดอึ้งๆ “เฉียวเฉี่ยว เจ้าบอกว่าเจ้าชอบคนโง่ที่สุดไม่ใช่หรือ ที่แท้เจ้าก็โกหกข้ามาโดยตลอด…”


เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวโกรธจนหน้าแดง “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! คนปัญญาอ่อนน่ะสิถึงจะชอบคนโง่ จะบอกให้นะ พี่ชายเจ้าตายแล้ว ตระกูลเยวี่ยของเจ้าเหลือแค่คนโง่อย่างเจ้า เจ้าคิดว่าอาศัยแค่คนไร้ค่าอย่างเจ้าก็อยากมาแต่งงานกับข้าได้งั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยตัวแข็งค้างอยู่กับที่ แม้สติปัญญาจะบกพร่อง แต่เขาก็เป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อและมีความรู้สึก ถูกกระทบกระเทือนจิตใจเช่นนี้ย่อมโศกเศร้าเสียใจเป็น


“เจ้า… เจ้า… เจ้าโกหกข้า พี่ชายข้าไม่มีทางตาย!”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยแผดเสียง ตื่นตัวจนแม้แต่ร่างกายยังสั่น ตาแดงขึ้นมาแล้ว “เฉียวเฉี่ยว เจ้ากำลังโกหกข้าใช่หรือไม่”


“ข้าจำเป็นต้องโกหกคนโง่อย่างเจ้าหรือ” เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวหลุดขำ


“นี่… นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด พี่ชายข้าบอกว่าในอนาคตจะรักษาข้า ให้ข้าสามารถฝึกปราณกับเขาได้ เขาโกหกกันได้อย่างไร…”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยน้ำตาปริ่มขอบตา นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น รอยแผลบนใบหน้ามีเลือดไหลออกมา กับข้าวน้ำแกงบนพื้นกระจัดกระจาย ทำให้เขาดูไร้ที่พึ่งและทุลักทุเลผิดปกติ


เพียงแต่คนตระกูลเจิ้งในห้องโถงต่างเย็นชา แค่คนโง่คนหนึ่งเท่านั้น ไม่คู่ควรให้พวกเขาเข้าใจและเห็นใจ


“สัญญาหมั้นหมายอยู่ไหน เจ้าจะพูดหรือไม่”


เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวหมดความอดทนอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนที่รู้ข่าวการตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ความเคียดแค้นและเดือดดาลที่เก็บอยู่ในใจนางมาหลายปีก็ไม่สามารถควบคุมได้อีก


ฟ้ามีตา ในที่สุดก็ปลดปล่อยนางออกจากการผูกมัดของโชคชะตา ไม่ต้องแต่งงานกับคนโง่อีกแล้ว!


เยวี่ยเจี้ยนเฟยราวกับไม่รู้ตัว นั่งพึมพำอย่างเลอะเลือนอยู่บนพื้น “พี่ชายข้าไม่มีทางตาย เขาไม่เคยโกหกข้า… เขาจะต้องกลับมาหาข้า…”


ทันใดนั้นเพลิงโทสะของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพุ่งขึ้นสมองอย่างไม่สามารถควบคุมได้ มือขวายกขึ้นมาหมายจะสะบัดใส่ใบหน้าของเยวี่ยเจี้ยนหมิง


ไอ้โง่นี่!


หากไม่ใช่เพราะสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้น นางคงฆ่าเขาให้ตายเป็นร้อยรอบพันรอบไปนานแล้ว!


เห็นการกระทำของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยว เหล่าคนยิ่งใหญ่ตระกูลเจิ้งที่นั่งอยู่ต่างเข้าใจ ไม่มีใครห้าม ความคิดของพวกเขาเหมือนกัน แค่คนโง่คนเดียวเท่านั้น แม้ฆ่าตายแล้วจะทำไม


“ถ้าเจ้ากล้าลงมือ ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่สามารถ!”


ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ตอนที่เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวง้างมือขึ้น เสียงเยียบเย็นสายหนึ่งดังขึ้นในห้องโถงกะทันหัน


ราวกับพายุหิมะที่เย็นยะเยือกเสียดกระดูกม้วนตัวเข้ามา อุณหภูมิลดฮวบ อากาศคร่ำครวญ ภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความกดดันที่พาให้หายใจไม่ออก!


เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวสั่นเทิ้มไปทั้งกาย นางรับรู้ได้อย่างแรงกล้ามากกว่าคนอื่น ราวกับมีเหล็กหมาดจ่อหัวใจ หากนางกล้าขยับอีกเพียงนิด ก็จะเกิดจุดจบที่ไม่สามารถจินตนาการได้


ชั่วขณะนี้นางรู้สึกเหมือนถูกมัจจุราชหมายตาเข้า!


ตอนนั้นเองกลุ่มบุคคลชั้นแนวหน้าของตระกูลเจิ้งต่างหรี่ตา หัวใจกระตุกวูบคราหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ตามองไปที่นอกห้องโถงโดยพร้อมเพรียง


ก็ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มในชุดสีขาวพระจันทร์มายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมยาวสยาย เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านแต่เย็นชา


โดยเฉพาะดวงตาของเขา ลึกล้ำราวกับหุบเหว เผยประกายที่พาให้วิญญาณผู้คนสะท้านไหว


นอกจากเด็กหนุ่มคนนี้ ข้างๆ ยังมีข้ารับใช้ชราคนหนึ่งยืนอยู่ เหล่าบุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งจำได้ นั่นคือข้ารับใช้ชราเพียงคนเดียวของตระกูลเยวี่ย พวกข้าทาส ไม่คู่ควรให้ค่า


เด็กหนุ่มคนนั้นพวกเขาอ่านไม่ออก นี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ระแวงเป็นอันดับแรก ทว่าเป็นเดือดดาล


ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยคนหนึ่ง กล้าพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งบุกเข้ามาในตระกูลเจิ้งของพวกเขา เหิมเกริมเกินไปแล้ว!


ในฐานะตระกูลทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของเมืองพันทะเลสาบ บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งเหล่านี้วางอำนาจจนเป็นนิสัยแล้ว และไม่มีคนกล้าล่วงเกินพวกเขามานานปี ทำให้พวกเขาบ่มเพาะความยโสโอหังขึ้นมา


ดังเช่นคำพูดประโยคหนึ่งที่เผยแพร่ในเมืองพันทะเลสาบโดยตลอด ยอมล่วงเกินผีตนหนึ่งข้างกายพญายม ดีกว่าล่วงเกินสุนัขตัวหนึ่งของตระกูลเจิ้ง!


——

 

 

 


ตอนที่ 932 คุกเข่า!

 

ประโยคเดียวก็สามารถดูออกว่า ตระกูลเจิ้งยโสโอหังแค่ไหนในเมืองพันทะเลสาบ


ดังนั้นแม้ตอนที่สังเกตว่ากลิ่นอายของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ธรรมดา ปฏิกิริยาแรกของบุคคลชั้นแนวหน้าของตระกูลเจิ้งไม่ใช่หวาดกลัว แต่เป็นโมโห


“คุณชายรอง!”


ข้ารับใช้ชราส่งเสียงอย่างโศกเศร้า พลันพุ่งเข้าไป


เขาไม่คิดเลยว่าเยวี่ยเจี้ยนเฟยจะนั่งอยู่บนพื้น และบนใบหน้าจะยังมีเลือด ตรงหน้ามีอาหารกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าถูกเหยียดหยามมามาก


“พวกเจ้าใจร้ายนัก!” ข้ารับใช้ชราถลึงตา


“ลุงเหวิน พวกเขาบอกว่า… พี่ชายข้าจะไม่กลับมาแล้ว พวกเขากำลังโกหกกันใช่ไหม” เยวี่ยเจี้ยนเฟยเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตได้ จับแขนของข้ารับใช้ชราแน่น ใบหน้าแฝงความหวัง


“อะไรนะ คุณชายใหญ่จะไม่กลับมาแล้วหรือ” ข้ารับใช้ชราสั่นเทิ้มไปทั้งกายราวกับถูกฟ้าผ่า พลันพูดเสียงหลง “ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด คุณชายใหญ่เป็นถึงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวท จะไม่กลับมาได้อย่างไร”


“เฮอะ ยังไม่ตัดใจอีก ไอ้แก่ จะบอกให้นะ เยวี่ยเจี้ยนหมิงตายแล้ว อย่าหวังว่าเขาจะกลับมาออกหน้าให้พวกเจ้าได้อีก!”


หญิงวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มเยาะ “อีกอย่าง สำนักยุทธ์พันเวทเองก็ประกาศแล้วว่า การตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิงเป็นเพราะเขาหาเรื่องใส่ตัว ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักยุทธ์พันเวทอีกต่อไป นี่ก็หมายความว่า สำนักยุทธ์พันเวทไม่มีทางสนใจคุณชายรองผู้โง่เขลาคนนี้ของตระกูลเยวี่ย”


นางย่ามใจมาก มองข้ามหลินสวินที่อยู่นอกห้องโถง ฉวยโอกาสนี้โจมตีข้ารับใช้ชราอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด น้ำเสียงร้ายกาจ


ภาพตรงหน้าข้ารับใช้ชรามืดสลัวลง รู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมา


คุณชายใหญ่จะตายได้อย่างไร


เขาเป็นเหมือนกับเยวี่ยเจี้ยนเฟย ไม่สามารถรับข่าวร้ายนี้ได้


นอกห้องโถง หลินสวินถอนหายใจในใจ สายตาที่มองเยวี่ยเจี้ยนเฟยแฝงความสับสน อีกฝ่ายกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงเป็นฝาแฝดกัน ใบหน้าเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน


พอเห็นเขา พลันทำให้หลินสวินนึกถึงเยวี่ยเจี้ยนหมิงโดยไม่รู้ตัว นึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดก่อนตาย…


‘เจ้าเห็นข้าเยวี่ยเจี้ยนหมิงเป็นสหาย ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้าถูกคนอื่นข่มขู่!’


เยวี่ยเจี้ยนหมิงในตอนนั้นเด็ดเดี่ยวและนิ่งสงบ ก่อนตายบนใบหน้ายังแฝงความรู้สึกผิด


คิดถึงตรงนี้ ในใจหลินสวินก็รู้สึกอัดอั้นขึ้นมา ราวกับในใจเต็มไปด้วยความหดหู่ เขาพึมพำในใจ ‘เจ้าเห็นข้าหลินสวินเป็นสหาย แล้วข้าจะยอมให้ใครเหยียดหยามน้องชายเจ้าได้อย่างไร…’


“ไอ้แก่เจ้ามาได้เวลาพอดี หากรู้จักเจียมตัวก็บอกมาว่าสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้นอยู่ไหน เราส่งคนไปค้นที่บ้านตระกูลเยวี่ยแล้ว ขุดดินเข้าไปลึกสามฉื่อก็ยังไม่เจอสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้น แล้วคนโง่เขลาคนนี้ก็ไม่รู้อะไรเลย บอกมาว่าพวกเจ้าซ่อนสัญญาหมั้นหมายเอาไว้ใช่หรือไม่”


หญิงวัยกลางคนลุกขึ้น ด่าว่าข้ารับใช้ชราพร้อมสายตาเหี้ยมโหด “จะบอกให้นะ พาตัวช่วยมาก็ไม่มีประโยชน์หรอก ที่นี่คือตระกูลเจิ้ง! ในเมืองพันทะเลสาบไม่มีใครกล้าเหิมเกริมในตระกูลเจิ้งของข้า!”


“ที่แท้… พวกเจ้ารู้ว่าคุณชายใหญ่ตายแล้ว จึงเหยียดหยามตระกูลเยวี่ยของเราเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่า พวกเจ้ามันพวกเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณ!”


เส้นเลือดตรงหน้าผากของข้ารับใช้ชราปูดนูนออกมา พลันตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล “แม้วันนี้ข้าต้องตาย ก็ไม่มีทางเอาสัญญาหมั้นหมายออกมา จะให้ตระกูลเจิ้งของพวกเจ้าถูกตราหน้าว่าเนรคุณตลอดชีวิต!”


“เจ้ารนหาที่ตาย!”


หญิงวัยกลางคนที่เห็นได้ชัดว่าวางอำนาจจนเป็นนิสัยก้าวไปข้างหน้าทันที สะบัดฝ่ามือออกไปหมายจะสั่งสอนข้ารับใช้ชราสักหน่อย


แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินได้สติจากความรู้สึกผิด ตอนที่เห็นภาพนี้ ในสายตาสาดประกายเย็นเยียบที่น่าหวาดหวั่นทันควัน


เขาถึงขั้นเผยอานุภาพออกมาแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่หยุด กลับยังคงยโสโอหังและหยิ่งผยองเพียงนี้ เห็นได้ว่าเมื่อก่อนตระกูลเจิ้งของพวกเขาวางอำนาจเพียงใดในเมืองพันทะเลสาบ


ฟุ่บ!


เงาร่างกายของเขาวูบไหว พลันปรากฏตัวตรงหน้าข้ารับใช้ชรา ยื่นมือออกไปคว้าแขนของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นไว้ แล้วสะบัดมือทิ้งออกไป


เสียงปังดังขึ้น หญิงวัยกลางคนล้มจนมึนเวียน ภาพตรงหน้าพร่ามัว ส่งเสียงกรีดร้องอย่างหัวเสีย “เจ้ากล้าลงมือในตระกูลเจิ้งของข้าหรือ”


“คุกเข่า!” เสียงของหลินสวินทุ้มต่ำและเยียบเย็น


“ให้ข้าคุกเข่างั้นหรือ เจ้ากล้านัก…”


หญิงวัยกลางคนยิ่งระเบิดความโกรธ ที่ผ่านมานางวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองพันทะเลสาบจนเป็นนิสัย ไม่เคยถูกต่อว่าเช่นนี้มาก่อน เพลิงโกรธพุ่งขึ้นศีรษะโดยพลัน สติหลุดไปอย่างสิ้นเชิง


แต่ยังไม่รอให้นางพูดจบ นางก็เหมือนถูกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทับอยู่บนร่าง คุกเข่าลงพื้นดังปึง กระดูกทั่วร่างกายดังกร๊อบๆ ทวารทั้งเจ็ดหลั่งเลือด เกือบจะหมดสติไป


นางตื่นตะลึง อ้าปากหมายจะขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ได้


พร้อมกันนั้นพวกคนชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างพรั่นพรึง สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน


ตั้งแต่หลินสวินเข้ามาในห้องโถง จนหญิงวัยกลางคนคุกเข่าลง ทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น แต่ฝีมือที่หลินสวินแสดงออกมาได้ทำให้พวกเขาตกใจกลัวแล้ว


เดิมทีพวกเขายังคิดว่าแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเปิดศึกกับตระกูลเจิ้งของพวกเขา อย่างมากก็แค่มาขอร้องแทนตระกูลเยวี่ย ดังนั้นแม้จะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้หวาดหวั่นนัก


แต่ตอนนี้ พวกเขานั่งไม่ติดขึ้นมาแล้ว


“สหายน้อย ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของตระกูลเจิ้ง เจ้าบุกเข้ามาเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ” ชายชราเผ้าผมและหนวดเคราขาวโพลนพูดขึ้น


“อาศัยว่าตนอายุมากกว่าข่มคนอื่น เจ้าก็คุกเข่าลง!”


หลินสวินในตอนนี้คิ้วคมราวกับดาบ ดวงตาดำเยียบเย็นราวกับสายฟ้า กำจายอานุภาพที่สยดสยองและน่าหวั่นหวาดไปทั่วร่างกาย


ไม่เหมือนแขกที่มาเยือน กลับเหมือนนายเหนือหัวผู้กุมความเป็นตายของที่แห่งนี้!


ปึง!


สิ้นเสียงของหลินสวิน ก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไร ทว่าชายชราผมขาวนั่นพลันส่งเสียงร้องโอดครวญกะทันหัน ร่างกายทรุดลง คุกเข่าสองข้างลงกับพื้น ใบหน้าชราอึดอัดจนม่วงช้ำขึ้นมา


ทันใดนั้นทั้งห้องโถงพลันเงียบสนิท บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งเหล่านี้ไม่ได้โง่ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เกรงกลัว ก็เพียงเพราะตระกูลของตนเป็นตระกูลทรงอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองพันทะเลสาบ นำพาความมั่นใจให้พวกเขาอย่างมาก


อีกอย่างหลินสวินนั้นตัวคนเดียวและยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงว่าอานุภาพของอีกฝ่ายจะน่ากลัวถึงเพียงนี้!


ไม่เคยลงมือ แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ก็สามารถข่มให้บุคคลชั้นแนวหน้าสองคนในตระกูลเจิ้งของพวกเขาคุกเข่าลง นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว


ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยนั่นไปหาคนดุร้ายเช่นนี้มาจากไหน


“คุณชายท่านนี้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ก่อนหน้านี้หากล่วงเกินประการใดโปรดอภัยให้ด้วย” ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าแฝงรอยยิ้มถ่อมตัว


“ไม่มีความจริงใจ คุกเข่า!”


หลินสวินไม่หันมองด้วยซ้ำ ประโยคเดียวก็ทำให้ชายวัยกลางคนชุดผ้าไหมคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง สองเข่าล้วนแตกหัก ส่งเสียงร้องโหยหวน ใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา


ในห้องโถงยิ่งเงียบงันกว่าเดิม


ในใจทุกคนต่างรู้สึกตระหนกและโกรธอย่างควบคุมไม่อยู่ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมีอานุภาพที่น่ากลัวถึงเพียงนี้


ยุ่งยากใหญ่แล้ว!


หัวใจของเจิ้งเฉียนหลงดิ่งวูบ เย็นวาบไปทั้งตัว ตระหนักได้ว่าคราวนี้เจอกำแพงเหล็กเข้าแล้ว


คำว่ามังกรแกร่งไม่อาจสยบคนพาลอะไรนั่นล้วนเป็นคำลวง เมื่อเผชิญกับศักยภาพที่จริงแท้แน่นอน ทุกสิ่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษ!


“ลุงเหวิน เหตุใดจู่ๆ พวกเขาจึงคุกเข่าลง กำลังเล่นกลหรือ”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยเอ่ยอย่างงุนงง ดังกังวานผิดปกติท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบกริบนี้


เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้เหลวไหลและน่าขันมาก หากอยู่ในสถานการณ์อื่น คนตระกูลเจิ้งที่นั่งอยู่จะต้องหัวเราะลั่น เยาะเย้ยอย่างไม่มีปิดบังแน่


แต่ตอนนี้พวกเขากลับหัวเราะไม่ออก แต่ละคนสีหน้าแข็งทื่อหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับเจอเรื่องทุกข์ระทมที่สุดอย่างไรอย่างนั้น


ส่วนข้ารับใช้ชราคนนั้นตะลึงกับวิธีเผด็จการและเด็ดขาดของหลินสวินตั้งนานแล้ว อีกทั้งพลังปราณของเขาตื้นเขิน ดูความเร้นลับภายในไม่ออกเช่นกัน แน่นอนว่าไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้


“ไม่ได้เล่นกล เป็นพวกเขากำลังไถ่โทษต่างหาก” หลินสวินพูดเสียงอบอุ่น


“ไถ่โทษหรือ” เยวี่ยเจี้ยนเฟยงงงวย


“ใช่ พวกเขาจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำวันนี้!”


คำพูดนี้ของหลินสวินประหนึ่งค้อนทุบหนักๆ ลงมา ทำให้คนตระกูลเจิ้งต่างงุนงง ในใจตื่นตะลึง นี่ไม่คิดจะวางมือยุติเรื่องราวโดยดีงั้นหรือ


“คุณชาย ดูออกว่าท่านมาเพื่อเยวี่ยเจี้ยนเฟย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีอะไรย่อมคุยกันได้ เหตุใดต้องทำร้ายกัน”


ในที่สุดเจิ้งเฉียนหลงก็นั่งไม่ติดแล้ว ลุกขึ้นพูดเสียงขรึม “ที่ผ่านมาตระกูลเจิ้งของข้าไม่ได้เอาเปรียบเยวี่ยเจี้ยนเฟย ที่เกิดเรื่องวันนี้ขึ้นก็เป็นการเข้าใจผิด หากทำผิดพลาดประการใด ตระกูลเจิ้งของข้าก็ยินดีจะชดใช้อย่างสาสม คุณชายคิดว่าอย่างไร”


“เข้าใจผิดงั้นหรือ”


แววเย็นเยียบแวบผ่านในดวงตาหลินสวิน ก่อนหน้านี้เขามาถึงตระกูลเจิ้งตั้งนานแล้ว จิตรับรู้ปกคลุมพื้นที่ทั้งแถบ ได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกของเจิ้งเฉียนหลงอย่างชัดเจน ย่อมรู้ดีว่าเจ้าหมอนี่ที่ดูเหมือนจริงใจ ความจริงก็ยังโกหก!


“คุกเข่าลงพูด”


ดวงตาดำขลับของหลินสวินกวาดมองไป ราวกับทันทีที่พูดออกมาก็กลายเป็นกฎที่บังคับใช้โดยพลัน ความน่าเกรงขามแผ่กระจาย


“เจ้า!”


เจิ้งเฉียนหลงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ระหว่างที่รับมือไม่ทันก็เกือบจะถูกกำราบจนคุกเข่ากับพื้น เขาดิ้นรนสุดชีวิต ในใจทั้งตะลึงทั้งโกรธ


เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลเจิ้ง เป็นเหมือนเจ้าเหนือหัวเด็ดขาดในเมืองพันทะเลสาบ หากคุกเข่าลงไป เช่นนั้นต่อไปจะให้เขายืนอยู่ในเมืองพันทะเลสาบได้อย่างไร


แต่สิ่งที่ทำให้เจิ้งเฉียนหลงกลัวคือ ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร ในชั่วพริบตาเดียว ร่างกายของเขาก็ถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่สามารถต้านทานได้กดลงพื้น


ในระหว่างนี้เขาโกรธจนเผ้าผมหนวดเคราชี้สูง คำรามดิ้นรน เรียกได้ว่าต่อต้านสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังคุกเข่าลง กระดูกทั่วร่างไม่รู้ว่าหักไปกี่ท่อนต่อกี่ท่อนแล้ว น่าอนาถอย่างที่สุด


“ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น คิดว่าหลบอยู่ในเมืองเล็กๆ อันห่างไกลนี้ ก็สามารถเรียกว่าเป็นราชันได้แล้วจริงๆ หรือ”


เสียงหลินสวินเรียบเฉย


นี่เรียกว่าในป่าไม่มีเสือ ลิงจึงอ้างตัวเป็นราชันโดยแท้ เหมือนอย่างในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า เหลียนหรูเฟิงที่มีพลังปราณเพียงระดับกำลังภายในยังกล้ากดขี่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน วางอำนาจบาตรใหญ่ ก่อกรรมทำชั่วจนแม้แต่สวรรค์และผู้คนต่างพากันเคียดแค้น แต่กลับไม่มีใครกล้าต่อต้าน


เพราะเหตุใด


เพราะหมู่บ้านเฟยอวิ๋นไร้ซึ่งผู้แข็งแกร่ง!


ตระกูลเจิ้งนี่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานการณ์เดียวกัน คิดเองเออเองว่าอยู่ในเมืองเล็กที่ไม่อยู่ในสายตาอย่างเมืองพันทะเลสาบนี้แล้วจะสามารถกําเริบเสิบสานได้ สาเหตุเพราะอะไร


ก็เพราะที่นี่ไม่มีผู้แข็งแกร่งที่สามารถข่มขวัญพวกเขาได้!


เสียดายที่วันนี้พวกเขาเจอกับหลินสวิน


เจิ้งเฉียนหลงคุกเข่าลง ทำให้บุคคลระดับสูงของตระกูลเจิ้งคนอื่นๆ ในห้องโถงอกสั่นขวัญหนี ไอเย็นเยียบแผ่ซ่านในใจ ตกใจจนขาสั่น สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


ก่อนหน้านี้พวกเขายังหยิ่งผยอง มั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่เคยกลัวหลินสวินอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้พวกเขาเหมือนมะเขือเหี่ยวที่ไม่มีชีวิตจิตใจอย่างไรอย่างนั้น


ความแตกต่างนี้มากเกินไปแล้ว ทำให้ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยยังอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น


ดวงตาดำของหลินสวินราวกับสายฟ้า กวาดมองรอบๆ “ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ เช่นนั้นก็คุกเข่าลงฟังให้หมด!”


เพิ่งจะสิ้นเสียง เสียงคุกเข่าลงพื้นตึงๆ ระลอกหนึ่งดังขึ้นในห้องโถง ทันใดนั้นในห้องโถงนอกจากหลินสวิน ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยและเยวี่ยเจี้ยนเฟยที่ถูกพยุงขึ้นมา คนอื่นๆ ต่างคุกเข่าลงพื้นทั้งหมด


และตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินไม่ได้ขยับเลยแม้แต่ปลายนิ้ว!


อานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ ทำให้บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งรู้สึกหมดหวัง ตระหนักได้ว่าครั้งนี้เตะใส่แผ่นเหล็กเข้าแล้ว


“เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า เหตุใดต้องเหยียดหยามพวกเราเช่นนี้ ว่ากันถึงที่สุด ก็เพราะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราปฏิบัติต่อเยวี่ยเจี้ยนเฟยแบบเดียวกันแล้วจะผิดอะไร”


แต่ตอนนี้เอง เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับเหมือนไม่จำยอมอย่างมาก กรีดร้องเสียงแหลมออกมา


แย่แล้ว!


ในใจพวกเจิ้งเฉียนหลงกระตุกวูบ ความท้าทายในคำพูดนี้รุนแรงเกินไป หากยั่วโทสะเด็กหนุ่มคนนี้เข้าจะต้องเกิดวิบัติภัยครั้งใหญ่แน่!

 

 

 


ตอนที่ 933 สองร่างหนึ่งวิญญาณ

 

คำถามที่แฝงความเดือดดาลของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวดังก้องอยู่ในห้องโถง แต่กลับทำให้บรรยากาศยิ่งกดดันกว่าเดิม


ที่เหนือความคาดหมายคือ หลินสวินไม่ได้โมโหจนลงมือ แต่พยักหน้าพูดว่า “เจ้าพูดไม่ผิด วิถีโลกใบนี้บูชาพลัง ผู้แข็งแกร่งมีชัยเหนือผู้อ่อนแอ”


“แต่ว่า…”


หลินสวินเปลี่ยนประเด็น นัยน์ตาดำราวกับสายฟ้า กวาดมองคนตระกูลเจิ้งทุกคนที่อยู่ในห้องโถง สุดท้ายหยุดอยู่ที่เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยว “ตระกูลเจิ้งของพวกเจ้าผิดแล้ว!”


“มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้” เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวไม่จำยอม


“เพราะข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า หมัดใหญ่กว่าพวกเจ้า พวกเจ้าเหยียดหยามน้องชายของสหายข้า ก็เท่ากับเหยียดหยามน้องชายของข้า ให้พวกเจ้าคุกเข่าลงไถ่โทษแล้วมีปัญหาอะไรหรือ”


หลินสวินสีหน้าจริงจังราบเรียบ แต่ละคำราวกับสายฟ้า


คำพูดนี้ดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่กลับไม่มีเหตุผลเลยสักนิด เผด็จการอย่างที่สุด ทำให้เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวพูดอะไรไม่ออก


“ว่ากันถึงที่สุด ก็ยังคงเป็นการใช้อำนาจรังแกกันเท่านั้น” ครู่หนึ่งเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวจึงพูดอย่างร้ายกาจ สายตาอำมหิต


“ข้าจะรังแกตระกูลเจิ้งของพวกเจ้าแล้วอย่างไร”


หลินสวินพูดอย่างเหยียดหยาม “เจ้าอ่อนแอจึงมีเหตุผลหรือ หากเจ้าเข้าใจว่าบูชาผู้แข็งแกร่งหมายความว่าอย่างไรจริงๆ ก็คงไม่ถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้”


สีหน้าของเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวอึมครึมไม่นิ่ง แต่สุดท้ายก็เงียบ นางรู้ว่าเวลานี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์จริงๆ


ห้องโถงเงียบกริบ บุคคลชั้นแนวหน้าตระกูลเจิ้งรวมทั้งเจิ้งเฉียนหลงต่างคุกเข่ากับพื้น ในใจแต่ละคนตื่นตระหนกหวาดหวั่น


ครั้นเห็นภาพนี้ ในใจข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยรู้สึกสบายใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพียงแต่พอคิดถึงว่าคุณชายใหญ่อาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว ในใจเขาก็อดเศร้าไม่ได้


“คุณชายคนนี้ เจ้ามาก่อเรื่องถึงตระกูลเจิ้งของข้า เห็นจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า” เสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น


ผู้อาวุโสใหญ่!


ชั่วขณะนั้น พวกเจิ้งเฉียนหลงดวงตาเป็นประกาย ในใจที่เดิมทีตื่นตระหนกไร้ที่พึ่งเกิดความหวังขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง


ผู้อาวุโสใหญ่นามว่าเจิ้งหยวนซิว ชื่อเสียงโด่งดังมาหลายปีแล้ว เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ไม่เพียงแค่ในเมืองพันทะเลสาบ ในเมืองอื่นๆ บริเวณรอบๆ ก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือ


ในสายตาของทุกคน ครั้งนี้หากผู้อาวุโสใหญ่ออกหน้า บางทีเรื่องราวอาจจะพลิกผัน!


พร้อมกับเสียงนั่น ชายชราในชุดคลุมสีเขียวเข้ม ท่าทางเกรียงไกรและเคร่งขรึมก้าวเท้าเข้ามา มีความแข็งแกร่งราวกับภูผาอย่างหนึ่ง


ตอนที่เห็นคนตระกูลเจิ้งคุกเข่าอยู่บนพื้น สายตาของเจิ้งหยวนซิวหรี่ลงอย่างยากจะสังเกต หว่างคิ้วปรากฏความอึมครึม ก่อนที่สายตาจะมองไปยังหลินสวิน “ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มมากสามารถซึ่งก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง มิน่าถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรเลย”


พลันพูดกับทุกคนบนพื้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงความขัดเคือง “ข้ามาแล้วยังจะคุกเข่าอยู่ทำไม ยังขายหน้าไม่พอหรือ”


แม้จะเป็นการต่อว่า แต่พวกเจิ้งเฉียนหลงกลับสบายใจอย่างมาก คิดว่าผู้อาวุโสใหญ่มีความมั่นใจที่จะจัดการเด็กหนุ่มคนนั้นให้อยู่หมัดได้


เพียงแต่ตอนที่พวกเขาคิดจะลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกว่าแรงกดดันรอบตัวเพิ่มขึ้น กดข่มจนพวกเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้น กระดูกเอ็นเกือบจะแตกหัก


ในเวลาเดียวกันก็เห็นหลินสวินใช้เสียงที่ราบเรียบยิ่งกว่าเจิ้งหยวนซิวพูดขึ้น “ตาเฒ่า หยิ่งผยองเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เจ้าก็คุกเข่าลงพูดเถอะ!”


“ไอ้เด็กจองหอง ที่บ้านเจ้าเคยสอนมารยาทเจ้าหรือไม่”


เจิ้งหยวนซิวสีหน้ามืดหม่น เขาคิดว่าตนเองใช้คำพูดเกรงใจมามากพอแล้ว ทั้งไม่ได้สร้างความลำบากใจในทันที แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลับมองข้ามความหวังดีของเขา ท้าทายเขาขึ้นมา


“ให้ข้ามีมารยาทงั้นหรือ ตาเฒ่าอย่างเจ้าก็คู่ควรหรือ”


หลินสวินพูดพร้อมสะบัดฝ่ามือออกอย่างสบายๆ ง่ายดายและตรงไปตรงมา ดูธรรมดาอย่างมาก


“รนหาที่ตายจริงๆ!”


เจิ้งหยวนซิวเดือดดาลโดยสิ้นเชิง เสียงครืนโครมดังสนั่น รอบตัวพลันระเบิดอานุภาพที่น่ากลัว แผ่กระจายออกมาราวกับมังกรเฒ่าที่ตื่นจากการหลับใหล


เขาเองก็สะบัดฝ่ามือออกไป อานุภาพฝ่ามือแข็งกร้าวและเป็นประกาย แค่เด็กหนุ่มระดับแปรจุติขั้นกลางคนหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าอวดดีเช่นนี้ ต้องเป็นพวกเด็กกำเริบเสิบสานที่ไม่เคยผ่านความยากลำบากมาแน่


เขาตัดสินใจว่าจะให้บทเรียนที่ยากจะลืมไปทั้งชีวิตกับเด็กจองหองคนนี้!


ปัง!


เพียงแต่ตอนที่แรงฝ่ามือสัมผัสลงไป เจิ้งหยวนซิวเป็นต้องตะลึง พบว่าฝ่ามือของตนราวกับตีบนก้อนสำลี มีความรู้สึกว่างเปล่าประการหนึ่ง พลังฝ่ามือทั้งหมดล้วนถูกกลืนกินในชั่วขณะ


“นี่…” ในใจเจิ้งหยวนซิวพลันสังเกตเห็นว่าท่าไม่ดี


เพียงแต่ตอนที่เขาเพิ่งเตรียมจะเปลี่ยนกระบวนท่า ก็รับรู้ได้ว่าพลังฝ่ามือที่เบาเหมือนสำลีในตอนแรกเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน


กลายเป็นเหมือนเหวดุจนรก สะท้านขวัญไร้ขอบเขต!


เสียงกร๊อบดังขึ้นคราหนึ่ง ฝ่ามือและแขนของเจิ้งหยวนซิวราวกับถูกพลังมหาศาลปานภูเขาทลายมหาสมุทรถล่มกระแทกจนขาด เลือดสดสาดกระเซ็น


“อ๊าก…” เจิ้งหยวนซิวส่งเสียงร้องโหยหวน ตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง แทบไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง


นี่คือพลังที่เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางควรมีงั้นหรือ


ตูม!


ไม่รอให้เขาตอบสนอง พลังฝ่ามือน่ากลัวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย ราวกับภูเขาลูกใหญ่ทับลงมา มีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้


ทันใดนั้นท่ามกลางสายตาหวาดกลัวและตกตื่นของทุกคน ผู้อาวุโสใหญ่ที่ราวกับเสาเทพค้ำสมุทรในใจพวกเขา กลับคุกเข่าลงพื้นดังตึง สองเข่ากระแทกพื้น พื้นดินยังถูกกระแทกเป็นหลุมใหญ่ เศษหินปลิวว่อน


ทั้งห้องโถงเงียบสนิท


ทุกสายตาที่มองมาทางหลินสวินราวกับกำลังมองเทพมารคนหนึ่ง เต็มไปด้วยความยากจะเชื่อและหวาดกลัว


นี่เป็นเด็กหนุ่มอย่างไรกัน


ผู้อาวุโสใหญ่ที่มีปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ กลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้ ถูกกดข่มให้คุกเข่าลง น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!


“ตาเฒ่า ตอนนี้เจ้ายังคิดว่ามีสิทธิ์สอนมารยาทข้าอยู่หรือไม่” น้ำเสียงของหลินสวินแฝงความเย้ยหยันบางๆ


ส่วนข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยนั่นก็ตาค้างอย่างสิ้นเชิง เพราะหลายปีมานี้ แม้แต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเจิ้งหยวนซิวยังต้องนอบน้อมสามส่วน เคารพฐานะและพลังของอีกฝ่าย


แต่ไม่เคยคิดว่า เมื่อเผชิญหน้ากับสหายของคุณชายใหญ่ท่านนี้ เจิ้งหยวนซิวกลับต้านทานไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว!


“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่” เส้นเลือดตรงหน้าผากของเจิ้งหยวนซิวปูดนูนออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยว รู้สึกอับอายและตื่นตระหนกอย่างที่สุด


“ข้าเป็นสหายของเยวี่ยเจี้ยนหมิง” คำพูดของหลินสวินจริงจังมาก จริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นคำพูดที่มาจากใจอย่างแน่นอน


เพียงแต่น่าเสียดายที่คนตระกูลเจิ้งในห้องโถงต่างไม่เข้าใจ เพื่อสหายคนเดียว ก็บุกเข้าตระกูลเจิ้งของพวกเขามาอาละวาด ใครจะเชื่อ


“หืม”


จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่า เยวี่ยเจี้ยนเฟยที่อยู่ไม่ไกลคล้ายกับต้องอาคมกะทันหัน ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ดูเหมือนเจ็บปวดอย่างที่สุด


ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เจดีย์สมบัติไร้อักษรก็สั่นไหวขึ้นมา


เกิดจากศพของเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ถูกเก็บไว้ในนั้น!


หลินสวินรับรู้ได้ทันที ในใจเขาสั่นไหวขึ้นมา เรียกศพนั้นออกมา


“คุณชายใหญ่!” ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยส่งเสียงร้องโอดครวญราวกับถูกฟ้าผ่า


ส่วนพวกคนตระกูลเจิ้งต่างอึ้งงัน แม้พวกเขาได้ยินข่าวการตายของเยวี่ยเจี้ยนหมิงมานานแล้ว แต่เมื่อเห็นศพของเขากับตาก็ยังตกใจไม่น้อย


“หรือว่า… เขาคือ…” เจิ้งหยวนซิวเหมือนตระหนักอะไรขึ้นได้ นัยน์ตาที่มองหลินสวินหดรัดลง ใบหน้าแก่ชราขาวซีดขึ้นมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อกสั่นขวัญหนี


หลินสวินไม่ได้สังเกตเห็น ด้วยตอนนี้เขาถูกภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าดึงดูดจิตใจอย่างสิ้นเชิง


ศพของเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ถูกเขาอุ้มด้วยสองมือ ตอนนี้กลับกลายเป็นละอองแสงไปทีละน้อย ลอยล่องไปบนร่างกายของผู้เป็นน้องเยวี่ยเจี้ยนเฟย ทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายอาบอยู่ท่ามกลางแสงสว่างไสว


ครู่หนึ่งละอองแสงก็หายไป


ร่างกายของเยวี่ยเจี้ยนเฟยหยุดสั่น กลับคืนสู่ความสงบ ทั้งทั่วร่างยังแผ่ท่วงทำนองปราณราวกับถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ดูเปลี่ยนไปจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง


จากนั้นเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นยืน สายตากวาดผ่านร่างกายของคนตระกูลเจิ้ง สุดท้ายจึงหันมองหลินสวิน


“หลินสวิน พวกเราเจอกันอีกแล้ว” เขายิ้มอย่างแฝงความซาบซึ้ง “ขอบคุณเจ้าที่เอาร่างวิญญาณครึ่งหนึ่งของข้ากลับมา”


“พี่เยวี่ยหรือ” หลินสวินหวั่นไหว แม้แต่เขายังยากจะเชื่อ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร


นี่…


ส่วนพวกคนตระกูลเจิ้งตะลึงค้างไปหมดแล้ว พริบตาเดียวเท่านั้น เหตุใดเยวี่ยเจี้ยนเฟยจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


“เป็นเขาจริงๆ ด้วย… เป็นเขาจริงๆ…” มีเพียงเจิ้งหยวนซิวที่พอได้ยินคำว่า ‘หลินสวิน’ ก็เหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อึ้งงั้นไปหมด หัวสมองว่างเปล่า


“ไว้ข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จ ค่อยอธิบายความเป็นมาเป็นไปกับเจ้า” เยวี่ยเจี้ยนเฟยยิ้มพูด


หลินสวินพยักหน้า “ก็ดี”


ตอนที่เยวี่ยเจี้ยนเฟยหันมองพวกเจิ้งหยวนซิว ได้กำจายอานุภาพดุดันและกดข่มไปทั่วทั้งร่าง ราวกับกระบี่สมบัติที่ถูกซ่อนอยู่ก้นหีบกำลังออกจากฝัก


“เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ข้ารู้หมดแล้ว ยกเลิกการหมั้นหมายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สามารถมอบหนังสือหย่าให้พวกเจ้าได้”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยเอ่ยเสียงเรียบ “ตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้าขอให้ข้ากำหนดการแต่งงานนี้ ข้าก็คิดไว้แล้วว่าจะมีวันนี้ แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงไวขนาดนี้”


หนังสือหย่า!


เบื้องหน้าเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวมืดสลัวลงทันที นางยังไม่ได้แต่งงานก็ถูกหย่าแล้ว หากแบกรับชื่อเสียงเช่นนี้ ต่อไปจะให้นางเอาหน้าที่ไหนออกไปเจอผู้คน


“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่” เจิ้งเฉียนหลงตะโกนราวกับเห็นผี


“ข้าคือเยวี่ยเจี้ยนหมิง แล้วก็เป็นเยวี่ยเจี้ยนเฟยด้วย” เยวี่ยเจี้ยนเฟยพูดเสียงเรียบ


ทันใดนั้นคนตระกูลเจิ้งในห้องโถงต่างอึ้งงัน ในใจมีเลือดหยดลงมา หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่า หากพวกเขาไม่ถอนหมั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่เจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวจะได้แต่งงานกับบุคคลระดับผู้กล้าที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแคว้นวิญญาณอัคนีอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิงงั้นหรือ


แต่…


เขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร


……


สุดท้ายเจิ้งอวิ๋นเฉี่ยวก็ถูกหย่า นี่คือบทลงโทษของ ‘เยวี่ยเจี้ยนเฟย’ ต่อตระกูลเจิ้ง


“พวกเขาทำกับน้องชายเจ้าเช่นนี้ เจ้าไม่โกรธหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะทนไม่ไหวอยากฆ่าสักสองสามคนเสียอีก”


ตอนที่เดินออกจากตระกูลเจิ้ง หลินสวินอดถามไม่ได้


“แม้พวกเขาจะไร้ยางอายไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรหลายปีที่ผ่านมาก็ช่วยข้าดูแลน้องชาย ถือว่าหายกันก็พอแล้ว” ‘เยวี่ยเจี้ยนเฟย’ พูด


“แล้วเจ้าล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลินสวินถาม


“ว่าแล้วว่าเจ้าต้องอดถามไม่ได้” ‘เยวี่ยเจี้ยนเฟย’ ยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินเรื่องสองร่างหนึ่งวิญญาณหรือไม่”


สองร่างหนึ่งวิญญาณ!


หลินสวินเข้าใจทันที


นี่คือคุณลักษณะพรสวรรค์ที่หาได้ยากมากอย่างหนึ่ง หนึ่งจิตวิญญาณฝากเก็บไว้ในร่างสองร่าง แตกต่างจากฝาแฝดอย่างสิ้นเชิง


สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ คนที่มีคุณลักษณะระดับนี้ ไม่เพียงสามารถนำพาผลประโยชน์ที่เหนือความคาดหมายมาให้ในการฝึกปราณ แม้อีกร่างหนึ่งถูกทำลาย ก็จะยังไม่ตายอย่างสมบูรณ์!


ข้อเสียเพียงประการเดียวคือ ทั้งสองใช้จิตวิญญาณเดียวกัน อีกร่างหนึ่งจึงถูกกำหนดให้เป็น ‘คนโง่’ ในสายตาของผู้อื่นเพราะขาดพลังจิตวิญญาณ


“ครั้งนี้ข้านับว่าโชคดีในคราวเคราะห์ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสกับความตายอย่างแท้จริงครั้งหนึ่ง แม้ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง แต่กลับทำให้ข้ารู้จักพลังปราณในรูปแบบใหม่ทั้งหมด อีกทั้งจากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้ข้าค้นพบความเร้นลับต้นกำเนิดของ ‘สองร่างหนึ่งวิญญาณ’ ไม่แน่ว่าในอนาคต ข้าอาจจะเหนือกว่าเจ้าในด้านมรรคา”


เยวี่ยเจี้ยนเฟยในตอนนี้ก็คือเยวี่ยเจี้ยนหมิง หว่างคิ้วเผยความมั่นใจที่หลินสวินคุ้นเคย


หลินสวินกระแทกหมัดหนึ่งบนไหล่ของอีกฝ่าย ยิ้มพร้อมก่นด่าว่า “ถึงว่าตอนนั้นเจ้าตายอย่างเด็ดขาดชัดเจน ทำข้าเสียใจโดยใช่เหตุ!”


ในใจเขากลับมีความสุขที่พูดไม่ออกอย่างหนึ่ง “ไปๆๆ ไปดื่มกัน!”


“ดื่มจนเมาไปเลยดีหรือไม่”


“ดื่มจนเมาไปเลย!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)