Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 924-927

 ตอนที่ 924 ราชันแห่งเหล่าอริยะหรือ

 

ระฆังมหามรรคไร้กฎ!


เมื่อหลินสวินได้ยินชื่อนี้ สิ่งที่คิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือขวดมหามรรคไร้ขอบเขตขวดนั้นที่ตนได้มา


ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงระฆังสำริดซึ่งเห็นบนโต๊ะที่ยอดแท่นมรรคใบนั้น


อันหนึ่งเป็นระฆังไร้กฎ


อันหนึ่งเป็นขวดไร้ขอบเขต


ล้วนใช้คำว่า ‘มหามรรค’ ตั้งชื่อ ในชื่อนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่


“ตอนนั้นวิธีของเหล่าอริยะก็ไม่ผิด พวกเขาสันนิษฐานไว้ก่อนแล้วว่าจะมีวันเช่นนี้ วันที่มหาสงครามมาเยือน หาไม่แล้วก็คงไม่ทิ้งระฆังมหามรรคไร้กฎที่ทุ่มเททั้งชีวิตหลอมขึ้นมาใบนี้ไว้ที่นี่…”


อันธพาลเฒ่าพึมพำ สีหน้าเจือไปด้วยความเศร้าสร้อยและสะอื้นไห้ เขาไม่ได้เสแสร้ง เหมือนนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย


“สมบัตินี้ ก็คือ ‘ผลึกแห่งเลือดหัวใจสรรพชีวิต’ ที่เจ้าพูดถึงหรือ” หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้


พวกเขายังคงเดินหน้าไปบนกิ่งก้าน มาถึงส่วนลึกของชั้นเมฆ ทางข้างหน้ากว้างใหญ่ไพศาล ยังหาทางออกไปยังโลกภายนอกไม่พบ


“ถูกต้อง”


อันธพาลเฒ่าพยักหน้า “ระฆังที่เจ้าเห็นบนแท่นมรรคใบนั้น ก็คือระฆังมหามรรคไร้กฎ หลอมขึ้นโดยอริยะมากมายทุ่มเทร่วมกันหลอมขึ้นมาจนสำเร็จ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นครั้งหนึ่ง ก็หมายถึงพลังของสรรพชีวิตรวมตัวกัน สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลโดยง่าย ทำให้ผีเทพถอยหนี ลี้ลับถึงที่สุด หากผู้ใดได้ครอบครอง ผู้นั้นก็เท่ากับถือครองพลังแห่งสรรพชีวิต!”


“น่าเสียดาย…” ในใจหลินสวินออกจะจนใจ หากไม่ใช่ว่าคราวนี้สถานการณ์ไม่สู้ดี เขาคงไม่พลาดศุภโชคระดับนี้ไปแน่


“น่าเสียดายรึ เจ้าหนูนี่ไม่รู้จักพอจริงๆ!”


กลับเห็นว่าใบหน้าของอันธพาลเฒ่าเต็มไปด้วยความดูถูกและรังเกียจ “ระฆังมหามรรคไร้กฎนั่นเป็นตัวแทนของพลังแห่งสรรพชีวิตทั้งมวล ตอนนั้นที่เหล่าอริยะหลอมขึ้นสำเร็จ ก็เพราะสมบัตินี้ละเมิดข้อห้าม ได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์อย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะได้มา ก็ไม่อาจใช้ได้ในเวลาอันสั้น”


หลินสวินอึ้งไป “นี่เป็นเพราะเหตุใด”


“ขาดพลังแห่งสรรพชีวิต”


อันธพาลเฒ่าเอ่ย “พลังแห่งสรรพชีวิต เกี่ยวข้องกับแรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต มีเพียงผู้เก่งกาจที่สักการะอริยมรรคสำเร็จถึงสามารถไปรวบรวมได้ ทีนี้เจ้าหนูอย่างเจ้าน่าจะเข้าใจแล้วกระมัง ว่าสมบัตินี้ไม่ใช้สิ่งที่พวกเจ้าคนรุ่นหลังวัยเยาว์เหล่านี้ใช้ได้!”


แรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต…


หลินสวินใจสะท้าน ตามตำนาน อริยะเผยแพร่มรรคแก่ใต้หล้า สั่งสอนกล่อมเกลาสรรพชีวิต ย่อมได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสรรพชีวิตโดยไม่อาจกำหนดได้ และรวมตัวเป็นพลังลี้ลับอย่างหนึ่ง… แรงปรารถนา!


เปรียบดั่งรูปปั้นทวยเทพในอารามในโลก ได้รับการบูชากราบไหว้จากปุถุชนมานานปี ย่อมมีกลิ่นอายน่าเกรงขามน่าหวาดกลัวเป็นธรรมดา


กลิ่นอายเหล่านั้นก็คือแรงปรารถนาอันผิวเผินอย่างหนึ่ง


ทว่าแรงปรารถนาสำหรับผู้ฝึกปราณนั้นกลับต่างออกไป เป็นตัวแทนแห่งภาพที่วาดหวังในวิถีบำเพ็ญเพียรอันยิ่งใหญ่ อริยะที่แท้จริงทุกคนล้วนตั้งปณิธานมหามรรคอันเกริกไกรของตนเอง


เพื่อสิ่งนี้ อริยะบางคนเลือกเข้าสู่สังคม สั่งสอนสรรพชีวิต ส่งเสริมปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน ได้รับศรัทธาและการยอมรับจากสรรพชีวิต ก็จะได้รับแรงปรารถนาสรรพชีวิตอย่างไม่ขาดสาย


เช่นเดียวกัน อริยนะบางคนเลือกออกจากสังคม ใช้ภาพที่วาดหวังของตนพิสูจน์กับหมื่นมรรคธรรมบาล ยามแผ้ววิถีบำเพ็ญเพียรใหม่ หรือบุกเบิกวิชามรรคใหม่ ก็จะได้รับแรงปรารถนาเช่นกัน


แรงปรารถนาเช่นนี้ จะถูกเรียกขานว่าแรงปรารถนามหามรรค


ไม่ว่าจะเข้าสู่สังคมหรือออกจากสังคม หนทางแห่งอริยมรรคย่อมสัมพันธ์กับแรงปรารถนาอย่างแยกไม่ออก


หลินสวินยังจำได้ว่า สมัยเขาอยู่ในป่าต้นหม่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด จักจั่นทองลี้ลับตัวนั้นก็เคยเอ่ยความปรารถนายิ่งใหญ่ที่สามารถสะท้านโลกา สะเทือนนิรันดร์กาล…


ปรารถนาว่าสักวันหนึ่งหมื่นวิญญาณในใต้หล้าจะกลายเป็นอริยะได้!


นี่ ก็เป็นปณิธานมหามรรคอย่างหนึ่งเช่นกัน


เพียงแต่หลินสวินยังคิดไม่ถึงอยู่ดีว่าระฆังมหามรรคไร้กฎใบนั้นจะอัศจรรย์เช่นนี้ เพียงแค่ใช้งานเท่านั้น ก็ต้องใช้พลังแห่งสรรพชีวิตเป็นแหล่งพลัง


“เหนือความคาดหมายจริงๆ”


“ดังนั้นเจ้าหนูเจ้าก็เสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย เทียบกับระฆังมหามรรคไร้กฎ ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตที่เจ้าได้มาขวดนั้นถึงจะเป็นของดีที่แท้จริง”


ยามอันธพาลเฒ่าพูดจา ถึงกับเจือน้ำเสียงอิจฉา “สิ่งนี้ก็เป็นสมบัติที่หลอมขึ้นโดยสรรพชีวิตเช่นกัน น่าเสียดายที่พลังเจ้าอ่อนด้อยเกินไป ไม่อาจใช้อานุภาพทั้งหมดของมันได้ ตอนที่อริยะเขาพยับครามผู้หนึ่งถือขวดนี้ไว้ในมือ เพียงคนเดียวก็สังหารอริยะได้ห้าคน เรียกได้ว่าอานุภาพอริยะเทียมฟ้า!”


หลินสวินสีหน้าผิดเพี้ยนไป พูดอย่างแปลกประหลาดว่า “ขวดนี้เป็นรางวัลพิเศษที่ข้าได้รับที่เขตขีดจำกัด ทำไมเจ้ารู้ได้”


อันธพาลเฒ่าอึ้งไป แล้วก็พูดอย่างคลุมเครือว่า “ตลกน่า บนเขาพยับครามแห่งนี้ยังมีเรื่องที่ข้าไม่รู้หรือ”


ในขณะเดียวกันอันธพาลเฒ่าก็รีบร้อนเตือนว่า “ถึงทางออกแล้ว หยุดเดินเร็ว”


สายตาหลินสวินมองไปรอบทิศ ก็เห็นว่าทั้งสี่ด้านเวิ้งว้างกว้างใหญ่ มีแต่เมฆหมอก มีทางออกเสียที่ไหนกัน


“รีบปล่อยข้าออกมา ข้าจะเบิกทางผ่านให้พวกเจ้า” อันธพาลเฒ่าร้องขึ้น


“บอกข้าก่อน เจ้าเป็นใครกันแน่” หลินสวินพลันถามขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย ดวงตาสีดำลุ่มลึก


“หา? ข้าหรือ” อันธพาลเฒ่ามีทีท่าไม่เข้าใจ “ไม่ใช่บอกไปแล้วหรือ ไม่ว่าข้าจะเดินหรือนั่งก็ไม่เปลี่ยนชื่อแซ่ เป็นโสมสมบัติเก้าห้องที่เกิดขึ้นเพราะรับบัญชาฟ้าลิขิตต้นหนึ่ง…”


หลินสวินไม่รอให้พูดจบก็ตัดบทว่า “มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังหลอกข้าหรือ ทั้งเขาพยับครามมีเพียงเจ้าผู้เดียวที่มีสติปัญญา เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือ”


“ตั้งแต่การทดสอบถกมรรคด่านแรกเริ่มขึ้น ก็มีเสียงระฆังลี้ลับดังขึ้นมาประกาศว่าการทดสอบสิ้นสุด เสียงระฆังนี้น่าจะมาจากระฆังมหามรรคไร้กฎที่เจ้าพูดถึงนั่น”


“กระทั่งมาถึงหน้าแท่นมรรคแท่นนั้น ก็มีเสียงลี้ลับดังขึ้นท่ามกลางฟ้าดิน ประกาศคัดชื่อผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีวาสนาเข้าชิงศุภโชคคนแล้วคนเล่าออก”


พูดถึงตรงนี้ ดวงตาสีดำของหลินสวินก็ฉายแววประหลาดวูบไหว “และตอนตำหนักอมตะจะสังหารข้า เสียงลึกลับเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใช้พลังของระฆังมหามรรคไร้กฎบีบให้ตำหนักอมตะถอยออกไป”


“ต่อมาเสียงลี้ลับนั่นก็ประกาศขึ้นอีกว่า ซย่าจื้อกับมหามรรคที่ว่านั้นไม่เข้ากัน ไม่มีคุณสมบัติช่วงชิงศุภโชคอันดับหนึ่ง”


“เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือ” หลินสวินพูดชัดถ้อยชัดคำ


“แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ” อันธพาลเฒ่าผู้นี้ท่าทางประหลาดใจและงุนงง “ข้าถูกเจ้ากำราบอยู่ในเจดีย์สมบัตินี้มาตลอดนะ ไม่รู้เรื่องที่เจ้าพูดมาเลย”


ดวงตาหลินสวินฉายแววใคร่ครวญ “ถ้าเจ้ายอมรับ ข้ากลับจะสงสัยว่าเจ้ากำลังโกหก แต่ตอนนี้เจ้ากลับปฏิเสธทั้งหมด ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าเจ้ามีเจตนาแอบแฝง!”


“เจ้าไม่ใช่พูดว่าบนเขาพยับครามแห่งนี้ไม่มีเรื่องที่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ทว่าเหตุใดเจ้ากลับไม่อธิบายเรื่องเสียงระฆังกับเสียงลี้ลับนั่น แต่กลับปฏิเสธมาตรงๆ ล่ะ”


อันธพาลเฒ่าท่าทางเหมือนถูกใส่ร้าย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่เจ้าคิดมากไปชัดๆ ขี้สงสัยมากไปมันไม่ดีนะ”


“จริงหรือ” หลินสวินจ้องเขม็งที่ตาแก่ผู้นี้


กลับเห็นว่าจู่ๆ อันธพาลเฒ่าก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ้างว้างและลุ่มลึก “ในเมื่อถูกเจ้าดูออกแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า เรื่องราวมาถึงป่านนี้ ก็ถึงเวลาที่ข้าจะประกาศตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว…”


เขาเงยหน้าขึ้น สายตาโอหัง พูดอย่างเนิบนาบว่า “กาลเวลาเคลื่อนคล้อย หมื่นโลกผันแปร เดิมข้าคิดว่าจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลือหยอกล้อสร้างสุขได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะยังมีคนวัยเยาว์ที่มีปัญญาเฉียบแหลมเช่นเจ้าอีก”


“ช่างเถอะ บอกเจ้าโดยไม่ปิดบังก็ได้ ข้าก็คือนายแห่งเขาพยับครามนี้ ในสมัยบรรพกาลถูกผู้คนในโลกขนานนามว่า ‘อาจารย์แห่งเหล่าอริยะ’ ได้รับการเคารพบูชาจากสรรพชีวิตหลายเผ่าพันธุ์…”


โอสถราชันกายสิทธิ์ที่เหมือนอันธพาลกร่างต้นหนึ่ง ตอนนี้กลับแสดงท่วงท่าอย่างผู้สูงส่ง ยอมรับว่าตนเป็นนายแห่งเขาพยับครามแห่งนี้ ทั้งมีฉายาว่าอาจารย์แห่งเหล่าอริยะด้วยน้ำเสียงเจนโลกและเจ็บปวด นี่ทำให้มุมปากของหลินสวินอดไม่ได้ที่จะกระตุกแรงๆ หมายใจจะเล่นงานเขาให้ได้


เฒ่าสากกะเบืออย่างไป่เฟิงหลิวไร้ยางอายถึงที่สุด เจ้าคางคกขี้อวดเหิมเกริมถึงที่สุด แต่เจ้าอันธพาลเฒ่านี่ย่อมเรียกได้ว่าไร้ยางอาย ขี้อวด และหน้าด้านถึงที่สุด!


หลินสวินยังไม่เคยพบเคยเห็นคนพรรค์นี้ จะขี้โม้คุยโวก็พอทน แต่ยังกล้ามองว่าตนเป็น ‘อาจารย์แห่งเหล่าอริยะ’ นี่จะหน้าด้านไร้ยางอายเกินไปแล้ว


“เอ๊ะ เจ้าหนูนี่มันสายตาอะไรกัน หากอยู่ในสมัยบรรพกาล ขนาดอริยะเห็นข้าเข้าก็ต้องคำนับด้วยความเคารพนับถือถึงที่สุด เด็กเวรแบบเจ้ากลับไม่มีมารยาทเลยสักนิด…”


อันธพาลเฒ่าไม่พอใจกับปฏิกิริยาของหลินสวินนัก ร้องบ่นใหญ่โต


นี่หรือราชันแห่งเหล่าอริยะ


หลินสวินทนไม่ไหวแล้ว ปล่อยตาแก่วิปลาสเช่นนี้ออกมา เขามองออกว่า นอกเสียจากเจ้าอันธพาลเฒ่าผู้นี้ยอมพูดเอง หาไม่แล้วอย่าคิดว่าจะได้ข้อมูลที่มีคุณค่าใดๆ ออกมาจากปากเขา


เมื่อได้เห็นท้องฟ้าอีกครั้ง อันธพาลเฒ่าดีใจจนน้ำตาแทบไหล โดยเฉพาะเมื่อเห็นซย่าจื้อที่อยู่ข้างกายหลินสวินยิ่งตาเป็นประกาย เจือไปด้วยแววตาคลั่งไคล้


“หลินสวิน โอสถวิญญาณนี้กินได้ไหม” เสียงของซย่าจื้อกังวานรื่นหู เจือความสงสัยเล็กน้อย เหมือนจับจ้องอาหาร


อันธพาลเฒ่าตัวสั่นงันงก รีบร้อนแกว่งไกวหนวดราก “กินไม่ได้ๆ กินข้าแล้วจะท้องไส้ปั่นป่วน จะท้องเสียไปตลอดมรรคาของตัวเอง…”


เขายิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ หลินสวินฟังจนปวดหัวขึ้นมาระลอกหนึ่ง เอ่ยว่า “เลิกพูดจาไร้สาระ รีบเบิกทางเร็วเข้า”


ฮูม!


อันธพาลเฒ่าเริงร่านัก เขาไม่ได้เคลื่อนไหว แต่เมฆหมอกขาวเวิ้งว้างนั้นพลันมีคลื่นโหมแรงระลอกหนึ่งซัดสาด ห้วงอากาศเคลื่อนที่ขึ้นลงราวกระแสธาร ในที่สุดก็โอบล้อมให้เป็นประตูที่แทบเหมือนไม่มีอยู่จริงบานหนึ่ง


หลินสวินอึ้งไป ตาแก่นี่ไม่ได้หลอกตนจริง…


ซย่าจื้อกับไป๋หลิงซีก็ตระหนกตกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าโอสถราชันไร้เทียมทานแสนวิปลาสต้นนี้กลับยังมีฝีมืออัศจรรย์เช่นนี้


“เจ้าหนู ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ แม้ทางเดินนี้จะส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่เจ้าเข่นฆ่าสังหารมาตลอดทาง เกรงว่ากลิ่นอายบนร่างจะถูกผู้อื่นเพ่งเล็งอยู่นานแล้ว ยามพวกเจ้าออกไปจะต้องก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นบ้างแน่”


อันธพาลเฒ่ากล่าวอย่างจริงจัง


จู่ๆ เขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหวังดี กลับทำให้หลินสวินออกจะปรับตัวไม่ทันไปบ้าง


“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าเป็นคำถามสุดท้าย สำนักที่ตั้งอยู่บนเขาพยับครามแห่งนี้ในตอนนั้นมีชื่อว่าอะไร” หลินสวินเอ่ยถาม


อันธพาลเฒ่าส่ายหน้า “เป็นเรื่องที่ผ่านไปนานมากแล้ว จะพูดถึงมันทำไม ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆ ภายหน้าไปเยือนแหล่งสถานคุนหลุนสักครั้งก็รู้แล้ว”


เขาพูดจบก็กวาดหนวดรากเส้นนั้น ราวกับซ่อนจักรวาลไว้ในแขนเสื้อ บรรจุพลังแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่าโดยรอบ ส่งพวกหลินสวินทุกคนเข้าไปในประตูที่แทบเหมือนไม่มีอยู่จริงบานนั้น


ในระหว่างนี้ พวกหลินสวินขนาดจะตอบโต้ยังไม่ทัน ทั้งไม่อาจต้านทานได้!


หลงกลแล้ว เจ้าแก่นี่ต้องไม่ได้เป็นแค่โอสถราชันธรรมดาแน่!


นี่ก็คือความคิดเพียงอย่างเดียวในใจหลินสวินเมื่อกำลังจะจากไป


“ให้ตายสิ ในที่สุดก็ส่งเจ้าหนูนี่ออกไปได้แล้ว เพียงแต่ เหตุใดเจดีย์องค์นั้นถึงตกอยู่ในมือเขาได้ หรือเขาจะเคยเข้าไปในคีรีแห่งดวงกมลที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์…”


“ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตถูกเขาเอาไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคหรือเป็นภัย…”


โอสถราชันกายสิทธิ์ที่ถูกหลินสวินมองว่าเป็นอันธพาลเฒ่าต้นนั้น ตอนนี้กลับแสดงสีหน้าครุ่นคิด ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปโดยปริยาย


ท่วงท่าดุจจักรวาล น่าเกรงขามราวห้วงสมุทร



 

 

 


ตอนที่ 925 รุ่งเรืองเสื่อมถอยเวียนวน

 

นอกเขาพยับคราม


“อวี่หลิงคงตายแล้ว!”


เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ความคิดแรกของผู้ฝึกปราณทุกคนก็คือ ข่าวเท็จ!


คนผู้นั้นเป็นถึงบุคคลแห่งยุคของแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณ มีชาติกำเนิดจากตระกูลอริยะ ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วแดนกาฬทักษิณนานแล้ว ความสามารถเข้มแข็งโดดเด่นเหนือคนรุ่นเดียวกัน


คนเช่นนี้เหตุใดถึงถูกฆ่าตายได้


แต่ยิ่งข่าวซึ่งเกี่ยวข้องกับการตายของอวี่หลิงคงกระจายออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้ฝึกปราณยิ่งเงียบเชียบ สีหน้าผันแปรไม่ว่างเว้น ในใจมีคลื่นความตระหนกซัดสาดประหนึ่งอสนีบาตสะเทือนเลือนลั่นโครมคราม


แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างท่านย่ากระเรียนทอง ตอนนี้ก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง


เทพมารหลินคนนั้น แข็งแกร่งปานนี้จริงหรือ


ถ้าอวี่หลิงคงถูกเขาฆ่าจริง เช่นนั้นในรุ่นเดียวกันพลังปราณของเขาจะถึงขั้นไหนแล้ว


“ตำหนักอมตะก็ไร้ประโยชน์ มันถูกเจดีย์สมบัติลี้ลับองค์หนึ่งในมือเทพมารหลินตรึงไว้ ไม่อาจทำให้อวี่หลิงคงโต้กลับ”


เมื่อได้ข่าวเช่นนี้ ความรู้สึกของเหล่าผู้ฝึกปราณก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นเสียแล้ว ในความสั่นสะท้านมีความงุนงงที่ไม่อาจควบคุมได้อยู่ด้วย


เทพมารหลินผู้นั้นครอบครองสมบัติอริยะตามข่าวลือจริงๆ เสียด้วย!


อีกทั้งยังไม่ใช่สมบัติอริยะทั่วไป หาไม่แล้วจะต่อกรกับยอดสมบัติอริยมรรคอย่างตำหนักอมตะได้อย่างไร


เด็กหนุ่มที่มาจากโลกเบื้องล่างผู้หนึ่ง กลับสร้างคลื่นลมผันผวนแก่แดนฐิติประจิม ก้าวหน้าคว้าชัย สะเทือนผู้คนในโลกหล้าครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งปี


เขาไร้ที่พึ่งพิง หัวเดียวกระเทียมลีบ แต่กลับฟันฝ่าการแก่งแย่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ได้อย่างเจิดจรัสแข็งกร้าว สิ่งนี้ก็เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ สามารถสะท้านโลกได้แล้วอย่างหนึ่ง


จวบจนตอนนี้ มีใครในแดนฐิติประจิมไม่รู้จักชื่อของเทพมารหลินบ้าง


คาดเดาได้เลยว่าหลังจากข่าวที่เขาสังหารอวี่หลิงคงกระจายออกไป เกรงว่าไม่เพียงจะสะเทือนแดนฐิติประจิม ยังถึงขั้นทำให้กิตติศัพท์ของเขาแผ่กระจายไปถึงแดนชัยบูรพา แดนกาฬทักษิณ และแดนดาราอุดร!


ผู้ฝึกปราณมากมายต่างงงงัน เทพมารหลินผู้นี้ผงาดขึ้นไวเกินแล้ว หรือในหมู่คนรุ่นเยาว์ เขาแทบจะไม่มีศัตรูแล้วจริงๆ


ในหมู่คนรุ่นเดียวกันบนโลกนี้ ยังมีใครสามารถต้านทานเทพมารหลินได้หรือไม่


และมีผู้ฝึกปราณหลายคนจิตใจเสียศูนย์ ไม่อาจยอมรับได้ว่าเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอันแห้งแล้งผู้หนึ่ง ขนาดสำนักยังไม่มี แต่กลับโดดเด่นถึงที่สุด ก่อให้เกิดลมพายุในแดนฐิติประจิม นี่จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไร


และในบรรยากาศที่เงียบเชียบและกดดันเช่นนี้ ก็มีข่าวใหม่ล่าสุดกระจายออกมาอีก…


“เทพมารหลินประสบเคราะห์ ถูกตำหนักอมตะโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังถูกเหล่าผู้กล้าล้อมโจมตี หากไม่เหนือความคาดหมาย เป็นไปได้สูงมากที่เขาจะถูกปลิดชีพ!”


ทันใดนั้นบรรยากาศที่กดดันเงียบสงัดอยู่เดิมก็ถูกทำลายลง ทำให้ทั้งนอกเขาพยับครามฮือฮา เสียงต่างๆ ดังขึ้นเซ็งแซ่ครึกโครม


“ทำชั่วมากนักย่อมฆ่าตัวเอง! คนอย่างเทพมารหลินก็ไม่ควรหลงเหลืออยู่บนโลก!”


มีผู้ฝึกปราณมีความสุขที่เห็นผู้อื่นลำบาก


“เป็นไปไม่ได้ บนโลกนี้ยากนักที่จะมีบุคคลแห่งยุคอย่างเทพมารหลินสักคน ภายหน้าต้องเป็นผู้นำแห่งยุคคนหนึ่ง จะถูกปลิดชีพเช่นนี้ได้อย่างไร”


และมีผู้ฝึกปราณไม่อาจยอมรับได้


ส่วนเหล่าคนใหญ่คนโตกลับล้วนลอบถอนใจโล่งอกโดยมิได้นัดหมาย หลายคนก็เผยรอยยิ้มรางเลือน


ถ้าเทพมารหลินมีชีวิตอยู่ ต้องกำราบจนผู้สืบทอดในสำนักเก่าแก่ของพวกเขาเหล่านั้นไม่อาจชูคอขึ้นมาได้ เหมือนมหาบรรพตที่ทำให้ผู้อื่นหายใจติดขัด


ยังดี ในที่สุดเขาก็ประสบเคราะห์แล้ว!


ท่านย่ากระเรียนทองเสียดายนัก นางเสนอให้เชื้อเชิญหลินสวินมาเป็นศิษย์มาโดยตลอด คิดว่าอัจฉริยะไร้เทียมทานเช่นนี้ควรมีทางข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่ยาวไกลยิ่งขึ้นไป แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเขาประสบเคราะห์ จิตใจก็แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนหาใดเทียบในทันใด


เพียงแต่รอมาครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นว่ามีข่าวใหม่กระจายออกมา ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่อยู่นอกเขาพยับครามต่างร้อนรนจนทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว


‘ตกลงเทพมารหลินตายไปหรือยัง’


ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนเกิดความสงสัยขึ้นในใจ


และก็ในตอนนี้เอง ข่าวใหม่ล่าสุดก็กระจายออกมา… เทพมารหลินไม่ได้ถูกสังหาร แต่กลับเป็นเหล่าผู้กล้าแห่งยุคที่ล้อมโจมตีเขาเหล่านั้นถูกฆ่าตายคาที่ ส่วนผู้ที่ทำทุกอย่างนี้ เป็นเด็กสาวลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันผู้หนึ่ง!


“น่ากลัวเกินไปแล้ว โจมตีด้วยทวนครั้งเดียวก็ฆ่าตายไปคนหนึ่ง ไม่มีทางรอดไปได้ บุคคลแห่งยุคเหล่านั้นล้วนตายด้วยน้ำมือของนางประหนึ่งเศษกระดาษอ่อนแอที่รับไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว!”


เมื่อข่าวนี้กระจายออกมา แรกเริ่มในที่นั้นเงียบสงัดอย่างประหลาด จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงดังอื้ออึงเดือดพล่าน


มีคนตื่นเต้นฮึกเหิม และมีคนอกสั่นขวัญหาย


ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมนี้ ยังมีเสียงคำรามดาลเดือดราวจะฉีกทึ้งหัวใจและปอดระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้น


“กล้าฆ่ามู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอารามพรางมรกตของข้า ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”


“เป็นไปไม่ได้ ซางเจี่ยหลานของข้าคนนั้นครอบครองลายมรรคลี้ลับแต่กำเนิด เหตุใดถึงมาประสบเคราะห์เอาตอนนี้ได้ เทพมารหลิน เจ้าอย่าหวังจะได้ตายดีเลย!”


“ตั้งแต่วันนี้ไป สำนักยุทธ์สมุทรครามของข้าจะสังหารเทพมาหลินเพื่อแก้แค้นให้หลี่ชิงฮวนโดยไม่สนว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ!”


คนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนสีหน้าคล้ำเขียว ไฟโทสะแผดเผา ท่าทางแทบคลุ้มคลั่ง ฟ้าดินเต็มไปด้วยไอสังหารน่าหวาดหวั่น ทำให้บริเวณนี้แปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมหาใดเทียบ


ทันใดนั้นเสียงฮือฮานอกเขาพยับครามก็ถูกกดทับ


ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่า คราวนี้ต่อให้เทพมารหลินรอดชีวิตเดินออกมา ก็ต้องเผชิญหน้ากับไฟโทสะของคนใหญ่คนโตมากมาย!


เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้


ง่ายดาย แม้เทพมารหลินจะแข็งแกร่ง แต่ไม่มีขุมอำนาจใหญ่ที่สามารถคุ้มครองเขาได้ ทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านี้กล้าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง พุ่งเป้าไปที่เขาเช่นนี้!


ไม่ต้องคิดมากมายเลย เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้รุนแรงเกินไป ต้องกลายเป็นพายุคลั่งเฉียดฟ้าลูกหนึ่งแน่ ในวันคืนต่อจากนี้ไปจะสะเทือนสำนักเก่าแก่ใหญ่โตต่างๆ ในแดนฐิติประจิม และจะทำให้ชื่อของเด็กหนุ่มเทพมารหลินกระจายไปทั้งใต้หล้าอีกครั้ง กลายเป็นผู้มีอิทธิพลสมคำร่ำลือ


แน่นอนว่ายังมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ยามเทพมารหลินเดินออกมาจากเขาพยับคราม จะตั้งรับไฟโทสะและไอสังหารจากคนใหญ่คนโตเหล่านั้นไว้ได้หรือไม่


ขณะเดียวกัน ยังมีความสงสัยข้อหนึ่งวนเวียนอยู่ในใจของผู้ฝึกปราณทุกคน เด็กสาวลึกลับที่ถือร่มดำกำทวนม่วงผู้นั้นเป็นใครกัน


……


ในประตูที่แทบเหมือนไม่มีอยู่จริงนั้น เป็นทางเดินมิติเส้นหนึ่ง เส้นแสงกาลเวลาหลากสีบิดงอรวมกัน งดงามน่าหวาดผวา


เมื่อเข้าไปในนั้นประหนึ่งเข้าไปในห้วงความว่างเปล่าอันสวยงาม โดยรอบปราฏไอหมอกสลัว สิ่งเหล่านั้นแปรสภาพมาจากพลังกฎเกณฑ์ มีเพียงอริยะถึงสามารถมองทะลุความลี้ลับสูงส่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นได้


ซ่า!


ราวกับชั่วพริบตา พวกหลินสวินต่างไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกพลังแห่งมิติผลักออกไป


มายังโลกภายนอก


ภูเขาไกลลิบเขียวชอุ่ม ครามเข้มราวควัน ที่นี่เป็นหุบเขากลางภูเขาแห่งหนึ่ง เงยหน้าขึ้นไปมอง ภูเขาน้อยใหญ่ราวมารวมตัวกันที่นี่ หมู่คีรีทบซ้อนเขียวขจี ฟ้าดินสูงไกล มีบรรยากาศดึกดำบรรพ์ดั่งทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง


ตู้ม…!


น้ำตกสายหนึ่งเทลงมาจากยอดเขาสูงใหญ่ราวกับมังกรขาวห้อยหัว ส่งเสียงครึกโครมดั่งอสนีบาต ไอน้ำอบอวล ฟองคลื่นราวหิมะ


ที่นี่คือที่ไหนกัน และห่างจากเขาพยับครามแค่ไหน


พวกหลินสวินมืดแปดด้าน แต่ที่มั่นใจได้ก็คือที่นี่ไม่ใช่นอกเขาพยับคราม อย่างน้อยก็เรียกว่าเป็นที่ปลอดภัยได้ชั่วคราว


“หลินสวิน ข้าอยากนอนแล้ว” จู่ๆ ซย่าจื้อที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปาก นางถือร่มดำคันหนึ่ง สีสันราวราตรีนิรันดร์ บดบังแสงสว่างของท้องฟ้า


“จะฝึกปราณจุติอีกแล้วหรือ” หัวใจหลินสวินบีบรัด


“ไม่ใช่” ซย่าจื้อส่ายหัว “วิชาที่ข้าฝึก รุ่งเรืองเสื่อมถอยเวียนวน เมื่อรุ่งโรจน์ถึงที่สุดก็จะร่วงโรย เมื่อร่วงโรยถึงที่สุดก็จะรุ่งโรจน์ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา น่าหงุดหงิดยิ่ง มีเพียงทลายสิ่งกีดขวางที่จำกัด บรรลุขอบเขตไร้ขีดจำกัด ถึงจะขจัดข้อบกพร่องนี้ได้”


พูดจนจบ คิ้วงามหมดจดของนางก็ขมวดขึ้น


“พูดแบบนี้ ตอนนี้เจ้า…” หลินสวินนัยน์ตาหดรัด


“ไม่สามารถต่อสู้ได้” ซย่าจื้อไม่ปิดบังสักนิด


หลินสวินตกตะลึง วิชาจุตินพชาตินี้แปลกประหลาดเสียจริง เขาไม่กล้าอ้อยอิ่ง ให้ซย่าจื้อเข้าไปพักผ่อนในเจดีย์สมบัติไร้อักษร


“เจ้ากับนาง… มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่” ไป๋หลิงซีนิ่งเงียบมาโดยตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็อดไม่ได้ถามออกมาแล้ว


“เก็บกลับมาจากป่าเขาเมื่อหลายปีก่อน” หลินสวินยิ้มขึ้นมา “ตั้งแต่ตอนนั้น พวกเราสองคนก็แทบจะเรียกได้ว่ามีชีวิตพึ่งพากันและกัน”


ไป๋หลิงซีประหลาดใจ รู้สึกขบขันนัก เก็บเด็กสาวผู้มีเอกลักษณ์และแข็งแกร่งเช่นนี้คนหนึ่งกลับมาง่ายๆ หรือ


จากนั้นนางก็ปล่อยวาง คิดว่าหลินสวินล้อเล่น เพราะไม่ต้องการพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซย่าจื้อมาก


“แล้วต่อไปเจ้าคิดจะทำอย่างไร” ไป๋หลิงซีเอ่ยถาม


“รีบรักษาอาการบาดเจ็บ” หลินสวินตอบโดยไม่ลังเล


“ยังไม่ไปตอนนี้หรือ”


“ข้าสงสัยว่าไม่นานจะมีคนมาหาถึงที่”


ดวงตาสีดำของหลินสวินลุ่มลึก ก่อนออกจากเขาพยับคราม อันธพาลเฒ่าได้เคยเตือนอย่างจริงจังว่า แม้จะมาถึงโลกภายนอก ในเวลาอันสั้นก็จะไม่ปลอดภัย


หลินสวินตัดสินใจ แล้วมอบแก่นแท้โอสถราชันหยดหนึ่งให้ไป๋หลิงซี “ใช้สิ่งนี้รักษาอาการบาดเจ็บ จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”


สิ่งนี้คือแก่นแท้แหล่งกำเนิดที่นำออกมาจากร่างของอันธพาลเฒ่าหยดหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า มีสรรพคุณวิเศษสามารถฟื้นคืนชีวิตได้


หลินสวินใช้ทุกวิถีทาง ก็ยังขู่เข็ญเอามาจากมือตาแก่นั่นได้สามหยดเท่านั้น


“นี่… จะไม่ล้ำค่าเกินไปหรือ” ไป๋หลิงซีหน้าเปลี่ยนสี ใบหน้าพริ้งเพราผ่องแผ้วปรากฏแววประหลาด


นางมองปราดเดียวก็ดูความอัศจรรย์ของโอสถนี้ออก เพียงแค่หนึ่งหยดเท่านั้น แต่กลับอบอวลไปด้วยแสงมรรคเทวา รัศมีศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าสายแล้วสายเล่าแผ่พุ่งออกมา ประหนึ่ง ‘น้ำค้างเซียน’ ในตำนาน


“ให้เจ้าเอาไปก็เอาไปเถอะน่า” หลินสวินพูดพลางยิ้มแล้วยัดเยียดให้นาง


ตอนอยู่บนยอดแท่นมรรคนั้น ไป๋หลิงซีตั้งรับการสังหารแทนตนโดยไม่สนความเป็นตาย เพราะเรื่องนี้ถึงทำให้นางได้รับบาดเจ็บมากมาย


นี่เป็นถึงมิตรภาพร่วมเป็นร่วมตาย เพียงแค่แก่นแท้โอสถราชันหยดหนึ่งเท่านั้น หลินสวินจะเสียดายได้อย่างไร


“รีบฝึกปราณเถอะ”


หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนหินที่อยู่ด้านหนึ่งของน้ำตก เริ่มกำหนดลมหายใจเต็มกำลัง


คราวนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ถูกพลังกฎเกณฑ์ของสมบัติอริยะเล่นงานอย่างหนักจนแทบจะสิ้นชีพ ที่สามารถฝืนทนมาได้ถึงตอนนี้ ก็เพราะได้รากเส้นหนึ่งกับใบไม้เขียวขจีใบหนึ่งที่อันธพาลเฒ่านั่นมอบให้


สมบัติสองอย่างนี้แม้สู้แก่นแท้โอสถราชันไม่ได้ แต่ก็มีสรรพคุณวิเศษน่าตื่นตะลึง สามารถรักษาอาการบาดเจ็บทั่วร่างเขาได้ ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดเพียงอย่างเดียวก็คือเวลาฟื้นตัว


ไป๋หลิงซียืนนิ่งอยู่เช่นนั้น อาภรณ์สีขาวเปื้อนเลือด ใบหน้างามซีดขาว แต่ท่าทางยังคงปราดเปรียวและงดงาม ดุจดั่งเดินออกมาจากภาพเขียน


นางมองดูหลินสวินที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกปราณอย่างอึ้งงันอยู่ครู่ใหญ่ ริมฝีปากเปล่งปลั่งปรากฏรอยยิ้มเข้าใจยากขึ้น


‘ถ้าเลือกคู่บำเพ็ญ หมอนี่ก็ไม่เลวหรอก…’


เพียงแต่ไม่นานนางก็นึกถึงซย่าจื้อขึ้นมาอีก ในใจพลันยิ้มหยันขึ้นครั้งหนึ่ง ใครคิดจะเป็นคู่บำเพ็ญกับหลินสวิน ต้องผ่านด่านซย่าจื้อให้ได้เป็นด่านแรก


เด็กสาวคนนี้ประหนึ่งเทพ เมื่อนึกถึงฝีมือแก่กล้าจนทำให้ทุกคนสิ้นหวังเช่นนั้นของซย่าจื้อ ความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่นั้นของไป๋หลิงซีก็มลายหายไปในทันใด


‘ภายหน้าข้าอยากเห็นเสียจริงว่าผู้หญิงคนไหนจะกล้าเย้าแหย่หลินสวิน…’ ไป๋หลิงซีคิดขึ้นอย่างล้อเลียนอยู่บ้าง



 

 

 


ตอนที่ 926 ตามฆ่าและโต้กลับ

 

ลมโชยอ่อน เมฆเบาบาง หมู่เขางามเด่น


ด้านหนึ่งของน้ำตกในหุบเขา หลินสวินนั่งขัดสมาธิ พลังขับเคลื่อนรอบกายดังโครมคราม ตัวเขาอาบชโลมท่ามกลางรัศมีกระจ่างราวภาพนิมิต


สำหรับหลินสวินแล้ว เรียกได้ว่าได้รับประโยชน์มากมายจากเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้


ก่อนอื่นก็ได้เรียนรู้วิชามรรคชั้นเลิศอย่างวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิง ได้หยั่งรู้มหามรรคแห่งไฟ จากนั้นก็ได้ทะลวงขีดจำกัดในเขตขีดจำกัด ได้รับขวดมหามรรคไร้ขอบเขตอีกด้วย


เหนือทะเลปรวนแปร เขาก็บรรลุระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง…


ในด่านจุดโคมวิญญาณ จิตวิญญาณทะลวงระดับ เข้าสู่ระดับดอกเทพรวมยอด…


ในป่าศิลาแจ้งมรรค พบเจอความเร้นลับในชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิน ครอบครองมรรคดับดารากลืนกินที่หาได้ยากนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน


ก่อนหน้าแท่นมรรค ได้ฟังเสียงแห่งธรรมมหามรรค พิสูจน์มกุฎมรรคานานาชนิดทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทำความเข้าใจและเปรียบเทียบ จัดระเบียบและเติมเต็มมรรคาของตนเอง รู้แจ้งถึงแก่นแท้ของ ‘ไตรวิถีมกุฎ’…


กระทั่งเหยียบย่างลงบนยอดแท่นมรรค ประลองกับอวี่หลิงคง ผ่านการประหัตประหารนองเลือดอันยากเข็ญและอันตรายครั้งหนึ่ง ก็ทำให้หลินสวินหยั่งรู้มากมายในระหว่างต่อสู้


สิ่งที่ได้รับและหยั่งรู้ทั้งหมดนี้ ย่อมเรียกได้ว่าเป็นมหาศุภโชคที่หายากไร้สิ่งใดเทียบเทียมครั้งหนึ่ง แม้จะช่วงชิงระฆังมหามรรคไร้กฎใบนั้นมาครองไม่ได้ เขาก็ไม่เสียใจแต่อย่างใด


‘รอเมื่อข้าแปรสภาพการหยั่งรู้และสิ่งที่ได้รับเหล่านี้เป็นของตนโดยสมบูรณ์ ย่อมสามารถไปถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดของระดับกระบวนแปรจุติแน่!’


ในใจหลินสวินบังเกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า


เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็หมายความว่าเขาได้เหยียบย่างลงบนจุดสูงสุดแห่ง ‘ระดับพลังปราณทั้งห้า’ เรียกได้ว่าสมบูรณ์พร้อมห้าระดับ!


และก้าวต่อไป ก็เป็นระดับราชันที่ก้าวล้ำเหนือระดับทั้งห้า!


‘หญิงสาวลึกลับที่อยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ผู้นั้นเคยกล่าวไว้ว่า มหาสงครามจะต้องมาเยือนภายในสามปี คิดจะพิสูจน์วิถีแห่งระดับมกุฎราชันที่ไม่เคยมีมาก่อน ต้องทำให้พลังปราณในกายสมบูรณ์ถึงขีดสุดไว้ก่อน…’


‘ขอเพียงไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เวลาก็น่าจะเพียงพอ’


หลินสวินฟื้นฟูอาการบาดเจ็บไปพลาง ใคร่ครวญไตร่ตรองไปพลาง


……


สองชั่วยามผ่านไป


หลินสวินฟื้นขึ้นจากการนั่งสมาธิ อาการบาดเจ็บทั่วกายฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ แม้แต่พลังปราณก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก พลังเอ่อล้นพรั่งพรูราวเหวดุจนรก


สวบ!


ยามเขาลืมตา ในนัยน์ตาดำฉายแววเย็นเยียบลึกล้ำราวเหวลึก น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงส่งเสียงหวีดร้องคล้ายรับไว้ไม่ไหว


ไป๋หลิงซีตื่นขึ้นจาการเข้าฌานอยู่ก่อนแล้ว กำลังอาบน้ำแต่งตัวหน้าน้ำตก และเปลี่ยนอาภรณ์สีขาวเปื้อนเลือดทั้งตัวไป


เมื่อสังเกตเห็นว่าหลินสวินฟื้นขึ้นมา ในใจนางก็อดไม่ได้ร้องอุทานออกมา พลังปราณของหมอนี่แข็งแกร่งขึ้นมากนัก เห็นได้ชัดว่าได้รับอะไรมาไม่น้อย


ในขณะเดียวกันหลินสวินก็อึ้งไปเช่นกัน


ไป๋หลิงซีในตอนนี้อยู่ในอาภรณ์ขาวปลอด ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลีทั้งชุด ใบหน้ากระจ่างใสเพริศพริ้ง ไม่ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้


ผมดำขลับเพิ่งสระเสร็จ ยังคงความชื้นเล็กน้อย เกล้าผมเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย ทำให้ตัวนางมีกลิ่นอายแช่มช้าและสดชื่นเพิ่มขึ้นมา


นางยืนอยู่ที่นั่น เงาร่างราวบัวกระจ่างต้นหนึ่ง แขนเสื้อปลิวไสว คิ้วตาราวภาพเขียน งดงามสดใสเหนือธรรมดา


“ทำไมหรือ” ไป๋หลิงซีเดินมา


“ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยค้นพบมาก่อนเลยว่า ที่แท้เจ้าก็งดงามเช่นนี้” หลินสวินยิ้มพลางหยอกเย้า


ไป๋หลิงซีเงียบไป


เนตรดาราของนางกลอกหมุน ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าชอบข้าเด็ดขาด หาไม่แล้วเด็กสาวที่ราวเทพคนนั้นจะต้องมองข้าเป็นศัตรูและเพ่งเล็งข้าแน่”


หลินสวินอึ้งงันกว่าจะมีปฏิกิริยากลับมา คนที่นางพูดถึงคือซย่าจื้อ เพียงแต่ ซย่าจื้อคงไม่ได้เป็นขนาดนั้นหรอกกระมัง…


ทั้งสองพูดคุยกันพลาง เคลื่อนกายไปยังที่ไกลออกไป


ระหว่างทางหลินสวินพบอสูรมารในเขาตนหนึ่ง จากการสอบถามถึงได้รู้ว่าที่นี่คือเทือกเขามุกวิญญาณ ตั้งอยู่ที่แถบตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นต้าฉิน ห่างจากตำแหน่งของเขาพยับครามไกลถึงหลายหมื่นลี้


“ตอนนี้เทศกาลโคมกถามรรคคงจบไปนานแล้วกระมัง” ไป๋หลิงซีกล่าว


หลินสวินพยักหน้า เรื่องนี้แน่ใจได้ ปัญหาเพียงอย่างเดียวที่ต้องกังวลก็คือ หลังจากพบว่าตนหายไปแล้ว จะถูกศัตรูหาพบหรือไม่


อย่างขุมอำนาจสำนักเก่าแก่เหล่านั้น ถ้าคิดจะหาคนสักคนหนึ่งช่างง่ายดายยิ่งนัก เพียงอาศัยกลิ่นอายที่ตนเหลือทิ้งไว้บ้างก็ทำให้พวกเขาตามหาได้


หือ?


ในตอนที่หลินสวินเพิ่งคิดถึงตรงนี้ พลันสังเกตเห็นความผิดปกติได้เสี้ยวหนึ่ง


ภายใต้จิตรับรู้ที่ปกคลุมของของเขา เหนือห้วงอากาศไกลลิบกำลังมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งใช้รุ้งเทพเคลื่อนที่มา


ความเร็วของพวกเขาไม่ได้รวดเร็ว ตลอดทางเหมือนกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง ลาดตระเวนอยู่เหนือหมู่เขา


“เป็นพวกเขา!”


ดวงตาสีดำของหลินสวินหรี่ลง หลังจากพลังจิตวิญญาณของเขาบรรลุระดับดอกเทพรวมยอด ก็แปรเปลี่ยนเป็นมหัศจรรย์ยิ่งขึ้น แม้ว่าจะห่างกันไกล แต่ก็ยังมองเห็นได้ชัดเจนดังเดิมว่าเงาร่างเหล่านั้นมี ‘คนคุ้นเคยเก่าๆ’ อยู่สองสามคน


เซี่ยอวี้ถัง จั๋วขวงหลัน… ทั้งยังมีชิงเหลียนเอ๋อร์!


ส่วนข้างกายพวกเขาก็มีผู้ยิ่งใหญ่กลิ่นอายแก่กล้าถึงที่สุดตามมาติดๆ ทั้งคชสารมังกรหยกดำ หงส์เขียว สิงห์อสนีหยกขาว…


น่าตื่นตระหนกนัก!


“ถูกเจ้าอันธพาลเฒ่านั่นทายถูกจริงๆ ด้วย”


หลินสวินไม่ได้ลังเล ลากตัวไป๋หลิงซีพลางสำแดงวิชาไอซวนหนีกำบังกายพวกเขา หายลับไปจากที่เดิมในทันใด


……


“อยู่ที่นี่!”


ไม่นานนักผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งก็มาพร้อมกับไอสังหารพลุ่งพล่าน อานุภาพที่แผ่กระจายออกมาจากร่าง ทำให้สิ่งมีชีวิตที่จำศีลอยู่ในหมู่เขาต่างตัวสั่นงันงก หมอบลงไปกับพื้น


“ในที่สุดก็หาเจอแล้ว ที่นี่มีกลิ่นอายของไอ้หมอนั่นหลงเหลืออยู่!”


หน้าน้ำตกในหุบเขา เซี่ยอวี้ถังร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น


“ไม่ผิด มันเคยหยุดพักที่นี่ช่วงหนึ่ง และจากการประเมินของ ‘เข็มเทพราหู’ มันน่าจะจากไปได้ไม่นาน”


จั๋วขวงหลันสีหน้าอึมครึม เขาถือกระดองเต่าสีขาวรูปแปดเหลี่ยมแผ่นหนึ่งไว้ในมือ บนพื้นผิวของกระดองเต่านั้นมีเส้นสายสีทองพันพัว รวมตัวเป็นรอยสลักลึกลับรอยหนึ่ง


ตรงกลางของรอยสลักมีเข็มสีดำเรียวเล็กลี้ลับเล่มหนึ่งลอยตัวอยู่ กำลังสั่นไหวดังวู้มๆ


“แน่ใจหรือ”


ชิงเหลียนเอ๋อร์ถาม ใบหน้างามของนางซีดขาวไร้สี พลังปราณอ่อนแอถึงที่สุด ลมหายใจรวยริน แต่สีหน้ากลับอาฆาตแค้นหาใดเทียบ


เมื่อเทศกาลโคมกถามรรคจบลง พอนางได้ยินว่าหลินสวินหลบหนีออกไปก่อนแล้วก็แค้นจนกัดฟันกรอด ดังนั้นคราวนี้จึงเข้าร่วมการตามฆ่าหลินสวินโดยไม่ลังเล


นางต้องการเห็นกับตาตัวเองว่าเขาจะถูกฆ่าเช่นไร!


ผู้ที่รวมตัวเคลื่อนไหวคราวนี้มีบุคคลระดับราชันกึ่งระดับถึงสิบกว่าคน ส่วนหนึ่งมาจากเหล่าสำนักและตระกูลเก่าแก่อย่างเผ่าหงส์เขียว สำนักกระบี่โผผิน อารามพรางมรกต ตระกูลจงหลี


พวกเขาล้วนมาเพื่อแก้แค้น


ราชันกึ่งระดับอีกส่วนหนึ่ง กลับมาฆ่าหลินสวินเพื่อชิงศุภโชคที่อยู่กับตัวเขาโดยเฉพาะ ที่มาของพวกเขาซับซ้อน มีทั้งผู้ฝึกปราณอิสระที่เดินทางไปทั่วดินแดนแถบหนึ่ง และคนใหญ่คนโตที่มาจากขุมอำนาจใหญ่กลุ่มอื่น


ดังนั้นชิงเหลียนเอ๋อร์จึงมั่นใจมากว่า ถ้าคราวนี้หาร่องรอยของหลินสวินพบ อีกฝ่ายย่อมหลบหนีเคราะห์ภัยได้ยาก!


“เจ้าเด็กนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงกับหนีรอดออกมาจากเทศกาลโคมธรรมกถามรรคได้ก่อน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” มีคนใหญ่คนโตทอดถอนใจ


“หึ ต่อให้ยอดเยี่ยมกว่านี้มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปทั้งตัว ที่ต้องกลัวเพียงอย่างเดียวก็คือเด็กสาวลึกลับที่อยู่ข้างกายมันผู้นั้น ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้ จะต้องให้พวกเราร่วมกันลงมือทำไม”


คชสารมังกรหยกดำกล่าวเสียงอู้อี้ ร่างกายใหญ่โตราวขุนเขาของเขาเคลื่อนไปเหนือห้วงอากาศ ให้ความรู้สึกกดดันน่าหวาดหวั่น


“จะรอช้าไม่ได้ รีบลงมือเถอะ เทศกาลโคมธรรมกถามรรคครั้งนี้จบลง ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเพียงไหนหมายหัวเทพมารหลินผู้นี้ ไม่เพียงแต่พวกเรา ยังมีคนใหญ่คนโตอีกมากเริ่มเคลื่อนไหวตามหาที่อยู่ของเจ้าเด็กนั่น ในเวลาเช่นนี้จะให้คนอื่นชิงไปก่อนไม่ได้เด็ดขาด!”


สิงห์อสนีหยกขาวที่มาจากอารามพรางมรกตคำรามเสียงดัง ดูร้อนรนนัก


ทุกคนสะท้านไหว ต่างรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหา การสังหารหลินสวินผู้นั้นอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่คิดจะฆ่าเขาเป็นคนแรก กลับต้องแข่งกับเวลา ชิงตัดหน้าคนอื่น


“ไป!”


พวกเขาไม่ร่ำไร ออกเคลื่อนไหวทันที


……


“นี่เจ้าจะโต้กลับหรือ”


เมฆลอยสูงขึ้นและก่อตัวกันช้าๆ ตรงหน้าภูเขาใหญ่ที่งดงามผิดธรรมดาลูกหนึ่ง ไป๋หลิงซีถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง


เมื่อมาถึงที่นี่หลินสวินก็ไม่หนีแล้ว กลับเริ่มกุลีกุจอนำธงกระบวนมากมายออกมา เงาร่างวูบไหวอยู่ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาลูกนี้ตลอด


เห็นได้ชัดว่าเขากำลังวางค่ายกล


“ไม่เห็นหรือ พวกเขาไม่คิดจะรามือ ถ้าไม่ฆ่าพวกเขาให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง ภายหน้าจะยิ่งเกิดเรื่องทำนองนี้มากขึ้น”


หลินสวินไม่แม้แต่จะหันหน้ามา ยุ่งวุ่นวายพลางเอ่ยปาก


ในมือเขามีกระบวนผนึกมรรคราชันชุดหนึ่ง เป็นสิ่งที่ชิงมาจากมือชิงเหลียนเอ๋อร์ ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์ แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจจะเอามาใช้งานสักหน่อย!


พูดขึ้นมาก็น่าแค้นใจ ในเทศกาลโคมกถามรรคนั้น เขาถูกบุคคลแห่งยุคที่เรียกขานกันมากมายเพ่งเล็งและเล่นงานมาโดยตลอด เขายังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับพวกเขาเป็นรายตัวเลย เจ้าพวกนั้นกลับเฮโลมาตามฆ่าเขาอีก นี่จะรังแกกันเกินไปแล้ว


ภูเขาใหญ่ตรงหน้านี้อุดมไปด้วยสายแร่แกนวิญญาณมากมาย เป็นสถานที่วางค่ายกลที่ดีที่สุดที่หลินสวินใช้นัยน์ตาเฉาเฟิงหาได้


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ใช้สายแร่แกนวิญญาณในภูเขาสนับสนุน ทำให้เขาไม่ต้องเปลืองแกนวิญญาณโดยสิ้นเชิง ก็สามารถโคจรกระบวนผนึกมรรคราชันนี้ขึ้นมาได้โดยสมบูรณ์!


“ทำได้จริงหรือ” ไป๋หลิงซีกังวลใจอยู่บ้าง


“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้ายังเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งด้วย” หลินสวินพูดพลางยิ้ม “ถ้าไม่กำจัดพวกเขาให้หมด ความสามารถด้านศาสตร์สลักรอยวิญญาณของข้านี้คงเรียนมาเสียเปล่าแล้ว”


ทันใดนั้นไป๋หลิงซีก็ยิ้ม นึกถึงเรื่องใหญ่โตสั่นสะเทือนบางเรื่องที่หลินสวินเคยก่อยามอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าขึ้นมาได้ จิตใจจึงสงบลงมาก


กระทั่งว่านางออกจะตั้งตารอให้ศัตรูเหล่านั้นปรากฏตัวเร็วขึ้นหน่อย…


วิ้ง!


ไม่นานนัก ทั้งด้านบนและด้านล่างของภูเขาบังเกิดคลื่นต้องห้ามพร่าเลือนลี้ลับระลอกหนึ่งโดยพลัน ส่องแสงไหววูบสุกสกาวราวกระแสวารี พลังพุ่งทะลุเมฆา มหัศจรรย์เหนือธรรมดา


“สำเร็จแล้ว!”


หลินสวินมือหนึ่งถือธงกระบวน อีกมือทำมุทรา เมื่อความคิดไหวเคลื่อน ทันใดนั้นปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภูเขาลูกนี้ก็มลายหายไปสิ้น คืนสู่สภาพเดิม ขนาดร่องรอยต้องห้ามสักนิดยังไม่พบ


ไป๋หลิงซีชื่นชมในใจ ความเชี่ยนชาญในศาสตร์สลักรอยวิญญาณนี้เหนือกว่าพวกชิงเหลียนเอ๋อร์จนไม่รู้จะเทียบอย่างไร


ตอนพวกเขาใช้ค่ายกลนี้มาต่อกรหลินสวินบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ก็ไม่ได้เกิดความเคลื่อนไหวและปรากฏการณ์ประหลาดอัศจรรย์เช่นนี้


“ไปเถอะ”


หลินสวินปาดเหงื่อที่อยู่บนศีรษะราวยกภูเขาออกจากอก พาไป๋หลิงซีเดินเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาลูกนี้ไปด้วยกัน


เขาใช้ความรู้ความสามารถหมดสิ้นเพื่อวางค่ายกลนี้ เมื่อครู่จึงเสียพละกำลังทั้งกายใจไปมาก


แต่ผลลัพธ์ยังถือว่าทำให้หลินสวินพอใจ ที่เหลือก็คือรอศัตรูมาติดร่างแหอย่างใจเย็นแล้ว


“ที่นี่ล่ะ คราวนี้มันไม่ได้หนีไป แต่หลบอยู่ในภูเขานี้ นี่เป็นโอกาสงามที่พวกเราจะฆ่ามันพอดี!”


ไม่นานนัก พวกชิงเหลียนเอ๋อร์ จั๋วขวงหลัน เซี่ยอวี้ถัง กับราชันกึ่งระดับกลุ่มหนึ่งก็มาถึงที่นี่อย่างมืดฟ้ามัวดินราวเมฆครึ้ม



 

 

 


ตอนที่ 927 ส่งพวกเจ้าไปตาย

 

เมื่อมาถึงที่นี่ก็ไม่ต้องให้จั๋วขวงหลันใช้เข็มเทพราหูนำทางแล้ว ทุกคนมองดูปราดเดียวก็เห็นหลินสวิน


ที่สุดไหล่เขา ใต้ต้นสนโบราณแข็งแรงต้นหนึ่ง หลินสวินยืนประสานมือไว้ข้างหลัง ลมภูเขาพัดโบกแขนเสื้อของเขาให้ปลิวไสวโดดเด่น


เมื่อได้เห็นภาพนี้ทุกคนล้วนอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเผยร่องรอยอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้


“หลินสวิน นี่เจ้ารู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางหนีได้เลยกำลังรอความตายอยู่หรือ”


เซี่ยอวี้ถังตะโกนอย่างฮึกเหิม สายตาเคียดแค้น ยามเขาอยู่ชายฝั่งทะเลปรานแปร ถูกหลินสวินเหยียบย่ำจนอับอายขายหน้า ชื่อเสียงป่นปี้


“เปล่า ข้ากำลังรอส่งพวกเจ้าไปตาย”


หลินสวินตอบกลับอย่างเรียบเฉย สุขุมเยือกเย็นนัก ทำให้ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นต่างฉงน ออกจะคาดเดาไม่ถูก


“เลิกเสแสร้งเล่นลูกไม้เสียที ถ้าไม่กลัวทำไมเมื่อกี้ถึงต้องหนีด้วย” เซี่ยอวี้ถังดูถูก ตะคอกเสียงดัง


เขารู้สึกสาแก่ใจนัก มั่นใจประหนึ่งจับเต่าในไห กำลังจะได้แก้แค้นครั้งใหญ่


ผู้แข็งแกร่งคนอื่นกลับพิจารณาและสำรวจรอบทิศ รอบคอบยิ่งนัก ด้วยกังวลว่าจะถูกหลอก แม้มั่นใจว่าอาศัยพลังของพวกเขาก็สามารถฆ่าหลินสวินได้อย่างง่ายดายก็ตาม


แต่พวกเขากลับไม่กล้าชะล่าใจ ในเทศกาลโคมกถามรรคหลินสวินลงมือสังหารอย่างร้ายกาจ ทั้งยังมีสมบัติอริยะในมือ ทำให้พวกเขาต้องระมัดระวัง


“หลินสวิน รีบให้เด็กสาวผู้นั้นออกมาเถอะ ตอนนี้เจ้าจนมุมแล้ว ถอยจนไร้ทางถอย เหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยเล่า”


คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งกล่าวเสียงเรียบ


“ฆ่าพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็พอแล้ว” หลินสวินมองเหยียดหยัน น้ำเสียงยิ่งเยียบเย็น


“ผู้อาวุโสทุกท่าน ขอให้พวกท่านลงมือด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่กำลังหลอกล่อ ตั้งใจถ่วงเวลา” เซี่ยอวี่ถังร้องออกมา


“ช้าก่อน ฟังข้าพูดสักหน่อย”


ทันใดนั้นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เขาคือชายชราชุดเทาผู้หนึ่ง สายตาฉลาดเฉลียว มองดูหลินสวินจากไกลๆ “พ่อหนุ่ม ถ้าเจ้ามอบสมบัติที่อยู่ในมือเจ้า ข้ารับรองว่าจะช่วยให้เจ้ามีโอกาสรอดชีวิตได้ครั้งหนึ่ง ไม่ถึงกับตายที่นี่”


ทุกคนกระสับกระส่ายทันใด ไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อจำฐานะของชายชราได้ ต่างจิตใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดอะไรอีก


ชายผู้นี้เป็นผู้ฝึกปราณอิสระอาวุโสที่มีชื่อเสียงมากในแดนฐิติประจิมผู้หนึ่ง เรียกตัวเองว่าคฤหัสถ์ผาคีรี พลังปราณในกายยากหยั่งถึง บรรลุราชันกึ่งระดับมานานมากแล้ว


“หลินสวิน เจ้าเห็นสถานการณ์ตรงหน้าชัดเจนแล้ว อาศัยโอกาสนี้ ถ้าเจ้าส่งสมบัติทุกอย่างที่อยู่กับตัวเจ้ามาเสียดีๆ ข้าก็จะช่วยให้เจ้ามีโอกาสรอดชีวิตเช่นกัน”


หญิงชราที่ผมขาวโพลน ใบหน้าซูบตอบผู้หนึ่งก็เอ่ยปากแล้ว ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่เพราะที่มาที่ไปของหญิงชราผู้นี้น่าตกใจกว่าคฤหัสถ์ผาคีรี พวกเขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นไม่พูดจา


“เจ้าแก่โง่สองคน จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก” หลินสวินยิ้มหยัน วาจาไม่เกรงใจสักนิด


เพียงครู่เดียว คฤหัสถ์ผาคีรีกับหญิงชราผมขาวก็โกรธจนหน้าคล้ำเขียว ไอสังหารแผ่พุ่ง ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างสีหน้าแปลกประหลาด


มาถึงตอนนี้แล้ว เทพมารหลินนี่กลับยังกล้าแข็งกร้าวและจองหองเช่นนี้ ใครให้ความกล้าเขามากัน


ยิ่งหลินสวินมั่นใจไม่หวาดหวั่น ก็ยิ่งทำให้พวกเขาละล้าละลัง บ้างคิดว่าเขากำลังเล่นลูกไม้ถ่วงเวลา บ้างคิดว่าเขารู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องตายจึงลองเสี่ยงดู


กระทั่งยังมีคนสงสัยว่าหลินสวินเสียสติไปแล้วหรือไม่…


อย่างไรเสียหากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปสักคน ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่แสดงออกอย่างไม่สนใจเช่นนี้


แต่ด้วยเวลาคับขัน พวกเขาไม่อาจคิดมากได้แล้ว


ต่อมาคนบางส่วนเดินไปข้างหน้าหมายจะขึ้นเขา บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นกะทันหัน กลิ่นอายยะเยือกอบอวล ลมฝนกำลังจะมา


“น่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว!”


ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยอวี่ถัง จั๋วขวงหลันหรือชิงเหลียนเอ๋อร์ ตอนนี้แววตาเหี้ยมเกรียมต่างปะทุออกมา จับจ้องหลินสวินนิ่ง ต้องการดูว่าเขาจะถูกฆ่าตายอย่างไร


“พ่อหนุ่ม ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เจ้ากลับไม่เห็นค่า เหตุใดต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วยเล่า” คฤหัสถ์ผาคีรีเยื้องย่าง สีหน้าสุขุมเยือกเย็น มั่นใจในตัวเองยิ่งนัก


“หลินสวิน เจ้าไปกับข้าเถอะ เจ้าก็ถือว่าเป็นบุคคลแห่งยุคไม่เป็นสองรองใครในปัจจุบัน ถ้าตายไปเช่นนี้แล้วจะไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ” หญิงชราผมขาวเอ่ยเสียงเรียบ มีอานุภาพอหังการอันไม่อาจเคลือบแคลงได้ น่าหวาดกลัวถึงที่สุด


คนใหญ่คนโตอื่นๆ จะมองดูหลินสวินถูกผู้อื่นฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร แต่ละคนต่างเคลื่อนไหว แย่งชิงนำหน้า ด้วยกลัวว่าหากช้าไปก้าวเดียวก็จะถูกผู้อื่นแย่งชิงสมบัติที่อยู่กับตัวหลินสวินไปก่อน


เมื่อได้เห็นภาพนี้หลินสวินยังคงเฉยชาดังเดิม ดวงตาสีดำลุ่มลึกเย็นเยียบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้สักนิด สายตาที่มองไปยังผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นเหมือนจดจ้องคนตายกลุ่มหนึ่งอยู่…


หือ?


ในขณะเดียวกัน หลินสวินก็สังเกตเห็นว่ายังมีผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ก้าวมาข้างหน้า มีท่าทีลังเลไม่ว่างเว้น


ทันใดนั้นหลินสวินก็แสดงสีหน้าระแวดระวังและกังวลใจ ยามผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้า ก็มองเป็นท่าทีตื่นตระหนก ไม่อาจควบคุมได้


“ทุกคนดูสิ เจ้าหมอนี่เผยไต๋แล้ว เริ่มกลัวแล้ว!”


เซี่ยอวี้ถังหัวเราะร่า เจือความเย้ยหยันลึกซึ้ง “หลินสวิน เจ้าแสร้งทำต่อไปสิ ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงกลัวแล้วล่ะ”


ชิงเหลียนเอ๋อร์กับจั๋วขวงหลันก็สังเกตได้อย่างเฉียบไวถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินสวิน ในใจพลันสงบขึ้นมาก ไม่กังวลอีก


ต่อให้เป็นเทพมารหลิน ยามเผชิญหน้ากับความตายก็ไม่พ้นเท่านี้!


ในขณะเดียวกัน คนใหญ่คนโตที่ชิงเคลื่อนไหวก่อนเหล่านั้นต่างก็เร่งฝีเท้า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาหวาดกลัวกันเองคงชิงลงมือไปนานแล้ว


“หลินสวิน ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ” หญิงชราผมขาวสีหน้าเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน แต่เสียงกลับเจือแววข่มขู่ “แต่ถ้ายังลังเลอีก เช่นนั้นก็กู้สถานการณ์ไม่ได้แล้วจริงๆ”


นางก้าวเท้าก้าวเดียวก็ลอยละล่องขึ้นมาบนเขา


หลินสวินยิ้มเหี้ยมในใจ ยายเฒ่านี่น่ารังเกียจชะมัด นึกว่าตัวเองสามารถควบคุมเขาอย่างง่ายดาย วาจาหมายขู่ให้กลัว กลับไม่รู้เลยว่านางจนมุมมานานแล้ว!


ถ้าไม่คิดจะฆ่าทีเดียวให้สิ้นซาก หลินสวินคงเปิดฉากสังหารไปนานแล้ว


“พ่อหนุ่ม โอกาสอยู่เพียงชั่วแล่น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เลอะเลือน หาไม่แล้วจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แน่” คฤหัสถ์ผาคีรีดูสำรวมและมั่นใจในตัวเอง แต่ความจริงแล้วก้าวเท้าเร็วกว่าใครเพื่อน ท่าทางหมายจะเข้าไปฆ่าหลินสวินเป็นคนแรก


แม้คนใหญ่คนโตผู้อื่นจะไม่พูดอะไร แต่ต่างเข้าประชิดหลินสวินจากทิศต่างๆ กัน


ส่วนผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่เฝ้าระวังอยู่ที่เดิม ล้วนระงับใจไม่อยู่บ้างแล้ว ไม่อาจทนให้หลินสวินถูกคนอื่นแย่งไปก่อน


ทันใดนั้นสิงห์อสนีหยกขาวตัวนั้นก็คำรามเสียงดังว่า “ฆ่าสวะตัวจ้อยที่เจ็บหนักทั้งตัวคนเดียวเท่านั้น ทำไมต้องวุ่นวายปานนี้ด้วย หลีกไปให้หมด!”


โครม!


มันโผนขึ้นไปในอากาศ กรงเล็บยักษ์ข้างหนึ่งตะปบออกไปอย่างรุนแรง พายุอสนีกรรโชก รวมตัวเป็นรอยกรงเล็บมหึมาบดบังท้องฟ้ารอยหนึ่ง พุ่งตะปบไปยังเขาลูกนั้นอย่างจัง


ฉับพลันฟ้าดินเปลี่ยนสี ห้วงอากาศวิปโยค นี่เป็นถึงการโจมตีของราชันกึ่งระดับ สามารถทำลายภูผาธาราแห่งนี้ให้สลายไปอย่างง่ายดาย!


หลินสวินเกร็งเครียดในใจ ถ้าโดนการโจมตีนี้ ค่ายกลใหญ่ที่เขาวางไว้ล่วงหน้าก็จะถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น แผนสังหารให้สิ้นซากก็จะถูกทำลาย


“บังอาจ!”


“คิดจะชิงสมบัติไปต่อหน้าต่อตาข้าหรือ อย่าหวังเลย!”


ทว่ากลับมีคนที่กระวนกระวายใจยิ่งกว่าหลินสวิน ก็เห็นว่าหญิงชราผมขาวกับคฤหัสถ์ผาคีรีล้วนดาลเดือด ชิงลงมือสลายการโจมตีของสิงห์อสนีหยกขาวนี้ก่อน ช่วยหลินสวินครั้งใหญ่โดยไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น


ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เร่งฝีเท้าพุ่งมายังไหล่เขา


ที่ผ่านมาระยะห่างเช่นนี้เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็ไปถึง แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งขึ้นไปบนเขาก็ยิ่งดูห่างไกลออกไป


แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาไม่ใส่ใจมากนัก ยังคิดว่าหลินสวินใช้วิชาพรางตา แต่ไม่นานนักพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย สังเกตได้ว่าออกจะไม่ชอบมาพากล แต่ตอนนี้ก็ลงจากหลังเสือได้ยากแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงพุ่งไปข้างหน้า


อีกทั้งในใจพวกเขาย่อมคิดแน่นอนว่าแม้จะมีการซุ่มโจมตี แต่ด้วยฝีมืออย่างพวกเขาก็สามารถสลายไปได้อย่างง่ายดาย


ส่วนคนใหญ่คนโตที่เดิมยืนเฝ้าระวังอยู่ที่เดิมเหล่านั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ต่างไม่รั้งรออีก พุ่งออกไปเต็มกำลัง การโจมตีของสิงห์อสนีหยกขาวถูกผู้อื่นสลายลง เดาได้เลยว่าถ้าไม่กระโจนออกไปก็ไม่มีทางฉกฉวยโอกาสได้


“ในที่สุดก็มาแล้ว…” หลินสวินยิ้ม ดวงตาดำฉายแววเย็นเยียบไหววูบ


“เจ้าหมอนี่ยัง… ยังยิ้มได้หรือ”


เซี่ยอวี่ถังเบิกตากว้าง กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ช่างไม่รู้ดีชั่วเสียจริงนะ ข้ายังไม่เคยเห็นคนจองหองอย่างเขามาก่อน!”


จั๋วขวงหลันกับชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ต่างสีหน้าเหยเกไปบ้าง หลินสวินในตอนนี้จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นไม่สะทกสะท้านอย่างยิ่ง ทั้งรอยยิ้มก็เจิดจ้า ไม่มีความรู้สึกกระวนกระวายอับจนหนทาง หรือสิ้นหวังเลยสักนิด นี่ทำให้พวกเขาต่างไม่อาจยอมรับได้ รู้สึกอึดอัดใจ


พวกเขาอยากจะเห็นกระบวนการที่หลินสวินถูกสังหารทั้งหมดกับตาตัวเอง ไม่ได้อยากเห็นเรื่องพวกนี้!


“เจ้าหนู ให้โอกาสเจ้าแล้ว น่าเสียดายเจ้าไม่รักษาไว้เอง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน”


ในที่สุดหญิงชราก็มาถึงเป็นคนแรก เมื่อนางเอ่ยปากก็กระโจนออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด นิ้วมือว่องไวปานสายฟ้าคว้าไปที่หลินสวิน


นางไม่รีบร้อนได้หรือ เมื่อเห็นผู้อื่นตามมาติดๆ นางย่อมไม่ต้องการให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้


“ยายแก่โง่เง่า ต้องเป็นข้าส่งพวกเจ้าไปตายสิถึงจะถูก!”


และในตอนนี้เอง หลินสวินก็ยื่นสองมือที่ประสานไว้ที่หลังออกมา แผ่นจานกระบวนที่ถือไว้ในมือก่อนนานแล้วส่งเสียงขึ้นมาในตอนนี้


โครม!


เงามายาของวิหคชาดแดงเพลิงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตีปีกสีแดงสด ปลดปล่อยเปลวเพลิงเปล่งประกายโชติช่วงนับหมื่นนับพันลูกพุ่งออกไปปกคลุมหญิงชราผมขาว


“อ๊าก…”


ด้วยไม่ทันป้องกันตัว หญิงชราผมขาวผู้นั้นร้องโอดโอยออกมา เดิมทีนางมั่นใจในตัวเองและอหังการนัก ผลสุดท้ายตอนนี้กลับเต้นผาง ส่งเสียงร้องน่าหดหู่ราวกับหมูถูกเชือด หมดรูปดูยับเยินในทันใด


เงามายาของวิหคชาดตัวนั้นพุ่งกวาด ฝนแสงเปลวเพลิงปลิวว่อน ต่างเป็นสิ่งที่จำแลงมาจากผนึกมรรคราชัน พลังสังหารน่าพรั่นพรึงไร้ที่สิ้นสุด


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หญิงชราผมขาวผู้นั้นก็ถูกปกคลุมท่ามกลางทะเลเพลิง เต้นเร่าๆ ต้องการจะสลัดให้หลุด แต่กลับหนีไม่ได้ ถูกกักอยู่ภายในนั้น ได้แต่ส่งเสียงร้องโหยหวนราวผีร้องหมาหอน


ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริด อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก คนผู้นั้นเป็นถึงราชันกึ่งระดับที่ลือชื่อผู้หนึ่ง เหตุใดถึงประสบเคราะห์โดยกะทันหันกัน


เสียงร้องนั่นก็น่าหดหูเกินไปแล้วกระมัง


แต่ไม่นานพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ สังหรณ์ได้ว่าไม่ชอบมาพากล หนาวเยือกไปทั้งตัว หรือว่านี่จะเป็นกับดักที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว


ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยถอนตัวโดยไม่ลังเล คิดจะถอยหนี เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง แต่ก็ช้าไปแล้ว


ตอนนี้หลินสวินคอยมานานแล้ว ถึงเวลาเก็บแหแล้ว ย่อมไม่ยอมให้มีใครหนีไปได้อีก


เขากระตุ้นแผ่นจานกระบวน โคจรกระบวนผนึกมรรคราชันที่ปกคลุมเหนือเขาลูกนี้


ชั่วพริบตาฟ้าดินบริเวณนี้พลันแปรเปลี่ยน ไอหมอกบดบังท้องนภา ไอสังหารพลุ่งพล่าน รอยสลักลับต้องห้ามหนาแน่นราวกระแสน้ำผุดขึ้นปกคลุมฟ้าดิน รังสีอันตรายน่าหวาดผวาไหววูบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)