Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 920-923
ตอนที่ 920 มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่
ตำหนักอมตะเผยสีสำริดเก่าแก่ โอ่อ่าสง่างาม มีกลิ่นอายอริยมรรคสูงส่งห้อมล้อม ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต
มันเหมือนตื่นจากความเงียบ พลังอำนาจที่ระเบิดออกมาขณะนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนอยู่ในมืออวี่หลิงคง
ทำให้ผู้คนแค่มองจากที่ห่างไกลก็รู้สึกสิ้นหวัง ไม่อาจมีความคิดต้านทานแต่แรก
อันที่จริงตอนนี้หลินสวินไม่อาจขยับเขยื้อน หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีเมื่อครู่ สองเพราะตำหนักอมตะนี้น่ากลัวเกินไป
แค่เพียงกลิ่นอายที่แผ่กระจายก็พันธนาการหลินสวินอยู่ตรงนั้น บีบกดจนจิตวิญญาณเขาแทบพังทลาย
ต้องรู้ว่าปัจจุบันหลินสวินมีพลังจิตวิญญาณระดับดอกเทพรวมยอด!
แต่กลับถูกสะเทือนและกำราบโดยสิ้นเชิง ไร้แรงขัดขืน แค่คิดก็รู้ว่าพลานุภาพของตำหนักอมตะไร้ขีดจำกัดระดับใด
นี่ก็คืออานุภาพแห่งสมบัติอริยะที่แท้จริง!
และเป็นครั้งแรกที่หลินสวินเผชิญภัยคุกคามของสมบัติวิเศษเช่นนี้นับตั้งแต่ฝึกปราณมาจวบจนปัจจุบัน ทำให้เขารู้ซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่าหมดหนทางและไร้เรี่ยวแรง
สิ่งเดียวที่หลินสวินทำได้ตอนนี้คือโคจรเจดีย์สมบัติไร้อักษรเต็มกำลัง หวังว่ามันจะช่วยคลี่คลายภาวะคับขันตรงหน้า
แต่หลินสวินก็รู้ว่าความหวังช่างริบหรี่ ภายใต้ความประมาท เขาถูกตำหนักอมตะนั่นฉวยโอกาสจนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
ในช่วงคับขันเข้าขั้นวิกฤติหาใดเปรียบนี้ กลางฟ้าดินพลันมีเสียงเย็นชาหนึ่ง…
“แดนสืบทอดศุภโชค ห้ามสิ่งภายนอกรบกวน ถอยไป!”
พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น ระฆังสำริดซึ่งอยู่บนโต๊ะกลางแท่นมรรคพลันส่งเสียงระฆังกึกก้อง
กึง!
ราวกับเสียงจักรวาลแรกกำเนิด ฟ้าดินกระเพื่อมไหว อานุภาพยิ่งใหญ่ชวนประหวั่นไร้ขอบเขตแผ่ขยาย พุ่งซัดไปทางตำหนักอมตะ
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างแข็งทื่อไปทั้งตัวราวสายฟ้าฟาด จิตวิญญาณเลือนราง ซวนเซไปมาดั่งเมาสุรา โงนเงนแทบล้มพับ
ตำหนักอมตะพลันสั่นสะเทือน ระเบิดแสงมรรคไร้ขีดจำกัดดังตูม พลังกฎเกณฑ์อริยมรรคพรั่งพรูดั่งกระแสน้ำตก ซัดกระหน่ำน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด
แต่เสียงระฆังนั่นกลับราวไร้สรรพสิ่งมาทำลาย แผ่ขยายข่มอานุภาพตำหนักอมตะอยู่หมัด!
ยากจะเชื่อเกินไปแล้ว
ใครเล่าจะคาดคิด ระฆังสำริดที่พวกเขามองเป็นศุภโชคอันดับหนึ่ง กำลังสำแดงแสนยานุภาพกำราบและขับไล่ตำหนักอมตะในเวลานี้?
นี่ต่างหากจึงจะเป็นการประลองของสมบัติอริยะที่แท้จริง!
ซ่า…
รอบตำหนักอมตะปรากฏภาพรอยสลักลายมรรคสุดหยั่ง มีภาพน่าตระหนกของการเซ่นไหว้บรรพชน ภาพกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อย ภาพเทพมารนองเลือด
อานุภาพมันชวนประหวั่นยิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งอริยะก็ไม่ปาน ซัดกฎเกณฑ์อริยมรรคนับหมื่นพันออกไป ต่อกรกับเสียงระฆังที่แผ่กระจายราวเกลียวคลื่นนั่น!
ทุกคนขนพองสยองเกล้า ความกล้ากระเจิดกระเจิง พลังที่แผ่ออกมาในการประลองนี้สูงส่งและแข็งแกร่งเกินไป นอกเหนือขอบเขตที่พวกเขาสามารถเข้าใจ ประดุจศึกอริยะที่แท้จริง!
“เสียงระฆังคือสรรพชีวิต อริยมรรคเกิดจากสรรพสิ่ง ต่อต้านเท่ากับทรยศ!” น้ำเสียงราบเรียบนั่นดังก้องกลางฟ้าดินอีกครั้ง
ตึง!
เสียงระฆังแผ่ไพศาล อานุภาพเพิ่มขึ้นอีกมาก ดุจพลังหลอมรวมสรรพสิ่ง ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ตำหนักอมตะลายมรรคคลุมเครือไหลหลั่ง กลิ่นอายอริยเทพแผ่ลอย แต่สุดท้ายมันคล้ายรู้ว่าศึกนี้ไร้หนทาง จึงละทิ้งการคุมเชิง
วู้ม…
ทั่วร่างมันแสงสว่างห้อมล้อม แสงศักดิ์สิทธิ์เพริศพรายสายหนึ่งพรั่งพรูออกมา เก็บศพและเลือดเนื้อไร้วิญญาณที่อวี่หลิงคงหลงเหลือไว้ จากนั้นจึงฉีกแหวกอากาศจากไป
แต่ต้นจนจบไม่อาจถูกขัดขวาง!
ขณะเดียวกัน เสียงระฆังกังวานนั่นก็เงียบสงัด
หากไม่ใช่ว่าศพอวี่หลิงคงหายไป ทุกคนคงสงสัยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือความฝันฉากหนึ่ง เหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง
การประลองสมบัติอริยะ?
พวกเขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก อานุภาพเหนือธรรมดาก้าวสู่อริยะนั่นน่าหวาดกลัวยิ่ง พาให้คนรู้สึกตัวเล็กจ้อยและไร้ทางช่วยเป็นพิเศษ!
หลินสวินซึ่งรอดจากความตายตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว
เขาเพิ่งรับรู้ถึงความหมายของคำว่า ‘สมบัติอริยะกายสิทธิ์’ ก็คราวนี้ สมบัติชิ้นหนึ่ง เมื่อมีพลังกฎเกณฑ์อริยมรรคจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสมือนมีวิญญาณ อานุภาพดั่งว่างเปล่า ยิ่งใหญ่เกินคาดเดา!
หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่าอวี่หลิงคงตายไปแล้วจริงหรือไม่
บนโต๊ะ ระฆังสำริดสูงครึ่งฉื่อเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ไหลเวียนแสงสีเขียว เสียงราบเรียบกลางฟ้าดินนั่นเงียบสนิทไม่ปรากฏขึ้นอีก
ทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟ รวดเร็วอย่างที่สุด เมื่อทุกคนฟื้นคืนสติ ในบริเวณนั้นก็เหลือเพียงหลินสวินที่บาดเจ็บสาหัส
และเวลานี้เอง เหล่าผู้แข็งแกร่งที่จับจ้องทุกอย่างนานแล้วก็ตอบสนอง คนส่วนหนึ่งออกลงมือ พุ่งสังหารมาทางหลินสวิน!
“พวกเจ้า…!” ไป๋หลิงซีโมโห พุ่งทะยานไปปกป้องหลินสวินโดยไม่ลังเล
พวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน ซางเจี่ยต่างลงมือ หมายฉวยโอกาสนี้สังหารให้สิ้น กำจัดคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างหลินสวิน
เพราะพวกเขาล้วนดูออก หลินสวินในตอนนี้อ่อนแอหาใดเปรียบ ซ้ำได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่เป็นบาดแผลจากการโจมตีของสมบัติอริยะตำหนักอมตะ แน่นอนว่าไม่มีทางเท็จเทียม
นี่กลายเป็นโอกาสทองในการสังหารหลินสวินโดยไม่ต้องสงสัย!
ฟุ่บ!
มู่เจี้ยนถิงแทบจะมาถึงเป็นคนแรก เขาแค้นหลินสวินอยู่ก่อนแล้ว เมื่อสบโอกาสมีหรือจะเกรงใจ กระบี่เล่มหนึ่งฟันสังหารลงมา
“ต่ำช้า!” ไป๋หลิงซีเดือดดาล ดวงหน้างามประณีตผุดผ่องเปี่ยมโทสะ นางติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาตลอด แน่นอนว่าไม่อาจทนเห็นหลินสวินถูกคนอื่นฆ่า
ฟุ่บ!
เงาร่างนางพลิ้วไหว ทั่วร่างเผยแสงกระจ่างดุจภาพฝัน เรียกกระบี่มรรคของตนลงมือเต็มกำลัง
ที่แห่งนี้เกิดเสียงสะเทือน เจตกระบี่ตัดสลับไปมา ไป๋หลิงซีโรมรันกับมู่เจี้ยนถิง ระเบิดแสงเจิดจรัสลานตา
ความเงียบเหนือยอดแท่นมรรคถูกทำลายลงด้วยประการฉะนี้!
ฟึ่บ!
ทวนสุวรรณเล่มหนึ่งวาดกวาด เฉียบคมไร้เทียมทาน ไอสังหารแหวกเมฆา ทะลวงผ่านห้วงอากาศเล็งหัวใจหลินสวินโดยตรง
ซางเจี่ยลงมือแล้ว ตอนที่ปีนแท่นมรรคเขาก็เคยลอบโจมตีหลินสวิน หมายออกหน้าแทนชิงเหลียนเอ๋อร์ นำชีวิตหลินสวินเป็นสินสอดไปสู่ขอชิงเหลียนเอ๋อร์
และบัดนี้เขาฉวยโอกาสออกจู่โจม แน่นอนว่าต้องอำมหิตไม่เป็นสองรองใคร
หลินสวินจำต้องถอย อาการบาดเจ็บของเขาปิดบังใครไม่ได้แต่แรก ไม่ใช่แค่สาหัสธรรมดา พลังอริยมรรคของตำหนักอมตะน่ากลัวเกินไป หากไม่ได้เจดีย์สมบัติไร้อักษรช่วยสลายการโจมตีไปกว่าครึ่ง เขาคงถูกฆ่าตายตรงนั้นนานแล้ว
ฟุ่บ!
อีกฟากหนึ่งหลี่ชิงฮวนเองก็พุ่งสังหารเข้ามา เล่นแง่รอบจัด ใช้ดาบแสงเจิดจรัสบุกจู่โจม เสียบจ้วงรวดเร็ว
คนพวกนี้บ้างหมายชีวิตหลินสวิน บ้างจับจ้องแย่งชิงเจดีย์สมบัติในมือหลินสวิน เป้าหมายแม้แตกต่าง แต่กลับออกจู่โจมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อันที่จริงไม่เพียงแต่คนเหล่านี้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นส่วนหนึ่งก็เช่นกัน เจดีย์สมบัติไร้อักษรสามารถคุมเชิงกับตำหนักอมตะได้ แน่นอนว่าเป็นสมบัติอริยะโดยไม่ต้องสงสัย
ต่อหน้าโอกาสซึ่งหาได้ยากเช่นนี้ ใครเล่าจะสามารถทานทน
หากรอหลินสวินฟื้นตัว เช่นนั้นคงยากรับมือนัก แม้แต่อวี่หลิงคงยังถูกเขาสังหาร ใครยังจะสามารถต้านทานได้
พลังต่อสู้ไป๋หลิงซีไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าล้ำเลิศ แต่เมื่อเจอการโจมตีของบุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่ง นางพลันด้อยกว่าชัดเจน ใกล้ตกสู่สถานการณ์อันตราย
ส่วนพวกจี้ซิงเหยาและลั่วเจียไม่เข้าร่วม พวกนางกำลังชิงศุภโชคอันดับหนึ่งบนโต๊ะ เหล่าผู้กล้าต่างไปสังหารหลินสวิน กลับเป็นการมอบโอกาสอันดีแก่พวกนางทางอ้อม
สรุปคือสถานการณ์ในที่นั้นโกลาหล และหลินสวินตกเป็นเป้าโจมตี สถานการณ์ล่อแหลมอันตรายยิ่งกว่าเมื่อครู่ด้วยซ้ำ!
หากไม่ได้เจดีย์สมบัติไร้อักษรคอยป้องกัน คงยากยืนหยัดประคับประคอง!
พรูด!
ไม่นานนักไป๋หลิงซีก็กระอักเลือดได้รับบาดเจ็บ
นัยน์ตาดำหลินสวินเย็นชา จ้องมองคนเหล่านี้ ในใจโกรธแค้นถึงขีดสุด เจ้าพวกนี้ยังหวังจะได้ของดีติดมือไปโดยไม่ต้องเสียอะไรตอบแทนมากมาย ฉวยโอกาสคร่าชีวิตเขา นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจอดกลั้น
แต่หลินสวินกลับจำต้องยอมรับความจริงเรื่องหนึ่ง อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงเกินไป หากเป็นอย่างนี้ต่อไป แม้ไม่ถูกฆ่าตายก็คงสิ้นแรงตาย
‘เสือพลัดถิ่นก็ถูกสุนัขรังแก…’ หลินสวินทอดถอนใจ แต่ไม่ได้ยอมแพ้ เขานึกถึงโสมขาวกายสิทธิ์นั่น!
เมื่อรู้ว่าหลินสวินจะยืมฤทธิ์ยาบางส่วนของตนรักษาแผล เจ้าอันธพาลเฒ่าพลันกระทืบเท้า ปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ไม่มีทาง! อย่าแม้แต่จะคิด ข้าลำบากลำบนทุ่มเทเวลาเนิ่นนานกว่าจะตื่นรู้มีปัญญาเสี้ยวหนึ่ง มีหรือจะให้ไอ้ลูกเต่าอย่างเจ้าได้ประโยชน์!”
หลินสวินไม่มีอารมณ์ล้อเล่นแม้แต่น้อย เวลานี้แม้แต่ลูกกลอนวิญญาณยาอัศจรรย์ล้ำค่าก็ยากฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขา ที่น่าเสียดายคือ ‘อมฤตแกนสุวรรณ’ ที่ได้มาจากรังราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่น ใช้หมดไปตอนทะลวงระดับกระบวนแปรจุติแล้ว
ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องมาเถียงกับเจ้าอันธพาลเฒ่านี่ สาเหตุที่เจรจากับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากทำลายโอสถเก่าแก่นี้เท่านั้น
“ข้าไม่รอด เจ้าก็อย่าหวังจะรอด!” หลินสวินตัดสินใจทันทีว่าจะกินไอ้แก่นี่ทั้งต้น!
“เจ้าจะทำอะไร” อันธพาลเฒ่าตกใจตะโกนลั่น “ได้ๆๆ เจ้าอย่าลงมือ ข้ายอมเจ้าแล้วพอใจหรือยัง” เขาพูดพลางทำหน้าปวดใจ ใบหน้าชราบิดเบี้ยวขมวดมุ่น
สุดท้ายเขาเด็ดรากเสี้ยวหนึ่งและใบเขียวขจีสดใหม่ของตนใบหนึ่ง โยนออกไปพลางก่นด่า “หากภายหน้าข้ากลายเป็นรากอริยะโอสถไม่ได้ ไอ้เด็กเวรอย่างเจ้าต้องรับผิดชอบ!”
“หลินสวิน เจ้าบาดเจ็บหรือ” แต่ขณะเดียวกัน เสียงใสเสนาะหูดังขึ้นจากเจดีย์สมบัติไร้อักษร
ในใจหลินสวินพลันสั่นสะท้าน
หินหยกแปลกประหลาดขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ถูกวางอย่างระวังในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ ยามนี้เริ่มเกิดเสียงครวญคร่ำ จากนั้นก็ระเบิดแตกภายใต้เสียงเปรี๊ยะๆ
ร่างงามอรชรหนึ่งหยัดยืนขึ้นจากภายใน ประดุจภาพฝันลวงตา ทั่วร่างหมอกแสงสีดำราวรัตติกาลนิรันดร์ไหลวน
นางสวมเสื้อคลุมดำหลวมๆ หมวกคลุมบดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เผยเพียงริมฝีปากที่ค่อนข้างซีดขาว และคางขาวกระจ่างเรียบเนียนส่วนหนึ่ง
ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังเผยความงามที่พาให้คนตกตะลึงใจสั่น ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มน้อยๆ จมูกโด่งเป็นสัน ผิวพรรณไร้ตำหนิขาวกระจ่างราวหยกมันแพะ เนียนนุ่มละเอียดลออ ถูกหมวกคลุมสีดำปกปิด ดูลึกลับชวนตะลึง ทำให้ทุกอย่างต่างสลัวเลือนราง
ซย่าจื้อ!
ในที่สุดนางก็ตื่นจากการจุติ แต่เทียบกับเมื่อก่อนเห็นชัดว่านางสูงขึ้นไม่น้อย เงาร่างสูงเพรียวหยัดตรง ชุดคลุมสีดำไม่อาจคลุมข้อเท้า เผยเท้าหยกแบบบางน่ารักดุจแกะสลักจากหยกขาว เรืองประกายแวววาว
หากกล่าวว่าซย่าจื้อในอดีตคือเด็กหญิงตัวน้อยที่งามบริสุทธิ์สมบูรณ์คนหนึ่ง เช่นนั้นนางในตอนนี้ก็เติบโตขึ้นจนสะโอดสะอง เปลี่ยนเป็นเด็กสาวงามระหงที่เปี่ยมเสน่ห์งดงาม
“ดูเหมือนทุกครั้งที่เจอเจ้า เจ้าล้วนทุลักทุเลทั้งสิ้น มีคนรังแกเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงกระจ่างเปี่ยมเสน่ห์ราบเรียบเสนาะหู ประดุจเสียงจากธรรมชาติ
ขณะกล่าวซย่าจื้อเอื้อมพลิกเปิดหมวกคลุม ในมือมีทวนม่วงเล่มหนึ่งและร่มดำคันหนึ่งเพิ่มเข้ามา
“ข้าช่วยเจ้าเอง”
เหมือนปีนั้นที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น นางก็เคยกล่าวเช่นนี้ นัยน์ตาใสดั่งมณีนิลคู่หนึ่งเปี่ยมความจริงจัง
แต่วาจานางกลับเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนกับปีนั้นทุกประการไม่เคยเปลี่ยนไปเพียงนิด
ตอนที่ 921 ทวนม่วง ร่มดำ
อันธพาลเฒ่าเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น
ซย่าจื้อปลดหมวกคลุมลง เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกบดบัง เครื่องหน้าทั้งห้าของนางงดงามถึงที่สุดประดุจผลงานชั้นเลิศจากสรวงสวรรค์
คิ้วงามราวน้ำหมึก เนตรดาราสุกสกาว ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งราวมันแพะ ร่างแบบบางสูงโปร่ง ทั้งตัวนางเหมือนดอกบัวเขียวกลางฝนหมอกพร่ามัวดอกหนึ่ง มีความงดงามที่พาให้สรรพสิ่งบนฟ้าดินล้วนหม่นหมอง
งดงามผุดผ่องราวภาพเขียน!
ในใจอันธพาลเฒ่าตื่นตะลึงอย่างรุนแรง เท่าที่เขาดู ความงามของเด็กสาวผู้นี้เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า สามารถล่มบ้านล่มเมืองได้อย่างแน่นอน
“ให้ตายสิ นี่เป็นเซียนสาวที่จากแดนเซียนหรือ…” อันธพาลเฒ่าพึมพำเสียงหลง
ซย่าจื้อชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง ดวงตาทรงจันทร์เสี้ยวใสกระจ่างเต็มไปด้วยความเย็นชาถึงที่สุด อันธพาลเฒ่าแข็งทื่อไปทั้งตัว ถึงกับรู้สึกหวาดผวาสะทกสะท้าน
ยามเขาได้สติกลับมาอีกครั้ง เงาร่างของซย่าจื้อก็หายไปนานแล้ว
“แม่หนูนี่… ทะ…ทำไมไม่เหมือนคนบนโลกนี้” อันธพาลเฒ่าหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนพบเจอเรื่องยากยิ่ง
……
บนแท่นมรรค การต่อสู้กำลังปะทุอย่างดุเดือดและโหดเหี้ยม
ไป๋หลิงซีกระอักเลือดออกมาหลายครั้งแล้ว อาภรณ์สีขาวย้อมโลหิต แต่นางก็ยังคงแข็งขืน
ทว่าในที่สุดก็พลังไม่เพียงพอ ไม่อาจตั้งรับทุกคนไว้ได้
“หลินสวิน ข้าเพียงขอใช้หัวเจ้าครั้งเดียว เจ้าต้องสงเคราะห์ข้าให้ได้!” รอบกายซางเจี่ยมีสีทองเจิดจ้า ทวนศึกกวาดออกไปในอากาศ สังหารอย่างดุดัน
ตูม!
ไป๋หลิงซีเคลื่อนกายมารับการโจมตีนี้ไว้ เพียงแต่ที่ตามมาติดๆ คือการจู่โจมจากศัตรูหลายคน ทำให้นางกระอักเลือดออกจากปากอีกครั้ง สีหน้าซีดขาวจนแทบโปร่งแสง
“เจ้ารีบหนีไป! ไม่อยากอยู่แล้วหรือ!”
หลินสวินเพิ่งดึงจิตรับรู้กลับมาจากเจดีย์สมบัติไร้อักษรก็เห็นภาพนี้เข้า พลันโมโหจนเลือดแทบเต็มดวงตา
เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีกระตุ้นเจดีย์สมบัติไร้อักษร กลับยากจะสัมฤทธิ์ผล อาการบาดเจ็บรุนแรงเกินไปทำให้เขาไม่อาจทำต่อไปได้
“เจ้ากับข้าได้รู้จักกันครั้งหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจดูเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาได้แล้ว” ไป๋หลิงซีเอ่ยปาก เสียงเจือไปด้วยความอ่อนระโหย แต่กลับแน่วแน่อย่างผิดธรรมดา
“หึ! จนป่านนี้แล้วยังโง่มาช่วยเจ้าเด็กนี่ บอกเจ้าให้ เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
มู่เจี้ยนถิงถือกระบี่จู่โจมเข้ามา สีหน้าเหี้ยมเกรียมเย็นชา เขาแค้นหลินสวินถึงที่สุด เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะตาย ในใจเขาก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ในชั่วขณะเป็นตาย หลินสวินก็เร่งเร้าเสียงคำรามผูเหลา วงคลื่นสีทองแผ่กระจายออกฝืนรับการสังหารของมู่เจี้ยนถิงไว้ แต่ตัวเขากลับถูกสะเทือนจนกระอักเลือด ร่างกายโคลงเคลงแทบล้มลง
“แข็งใจต่อไปไม่ไหวแล้วหรือ”
หลี่ชิงฮวนฝ่าเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง เขารอบคอบและระมัดระวังมาก เมื่อโจมตีไม่โดนครั้งหนึ่งก็หายตัวถอยไป แต่ขอเพียงเขาออกโจมตี ต้องโหดเหี้ยมร้ายกาจถึงที่สุด
“มันเป็นของข้า!”
ซาเจี่ยตะคอก แสงทองพรั่งพรูทั่วกาย ทวนใหญ่ปกคลุมฟ้า โจมตีสังหารออกไปอย่างอุกอาจยิ่งนัก
“ตายซะ!”
และอีกด้านหนึ่ง มู่เจี้ยนถิงก็จู่โจมเข้ามาก่อนแล้ว!
ชั่วพริบตา รอบตัวหลินสวินทุกทิศก็ถูกโอบล้อมโดยสมบูรณ์ จะหลบก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่สามารถ
ส่วนไป๋หลิงซีก็ถูกล้อมไว้ ไม่ว่านางจะพุ่งโจมตีเช่นไรก็ไม่อาจฝ่าวงล้อมออกไปได้ นี่ทำให้นางกระวนกระวายถึงที่สุด รู้สึกไร้พลังขนาดนี้เป็นครั้งแรก
หลินสวินเคลื่อนที่ได้ยาก อย่างมากก็ฝืนทำได้เพียงใช้ดาบหักตั้งรับการจู่โจมส่วนหนึ่ง แต่กลับถูกพุ่งโจมตี ทำให้อาการบาดเจ็บของเขายิ่งรุนแรง เลือดสดๆ ในกายพรั่งพรูหลั่งไหล น่าตื่นตระหนกยิ่ง
“ไสหัวไป!” ไป๋หลิงซีต่อสู้ถวายชีวิต พุ่งออกไปทั้งซ้ายขวา แต่ก็ยังสลัดวงล้อมไม่ได้อยู่ดี กลับกัน เพราะนางร้อนใจจะฝ่าวงล้อม กลับได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง
สวบ!
กระบี่มรรคลายสนของมู่เจี้ยนถิงฟันลงมา แทงเข้าที่กลางหลังหลินสวิน
“ไปตายซะ!” มุมปากหลี่ชิงฮวนปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม เขามั่นใจว่าหลินสวินจะต้องตายคาที่ในการโจมตีนี้
อีกด้านหนึ่งพวกซางเจี่ยก็ลงมือ ทำให้หลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์คับขันในทันใด
เพียงแต่หลินสวินสีหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว ฝ่ามือของเขากำขวดหยกมันแพะขวดเล็กๆ ไว้ขวดหนึ่ง นี่คือขวดมหามรรคสุดหยั่ง เก็บพลังของกระบวนผนึกมรรคราชันอยู่เต็มเปี่ยมไว้ก่อนแล้ว
เขาหวั่นใจว่าบุคคลแห่งยุคเหล่านี้จะมีไพ่ตายน่ากลัวมาโดยตลอด ดังนั้นจึงยังไม่ได้ใช้สมบัตินี้สักที แต่ตอนนี้เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาไม่สนใจสิ่งอื่นแล้ว
“เหตุใดต้องฝืนทำเป็นแข็งแกร่งด้วย กังวลว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาหรือ ข้าไม่ใช่ตัวข้าสมัยก่อนแล้วนะ เจ้าไปพักผ่อนที่ด้านข้างเถอะ”
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ร่มดำคันหนึ่งก็กางออกกำบังหลินสวินไว้ภายในนั้นราวกับจะตัดขาดออกจากทั้งโลก พร้อมกับเสียงกังวานรื่นหูนั้น
จากนั้นซย่าจื้อก็ปรากฏตัวในที่นั้น มือถือทวนม่วงเล่มหนึ่งกวาดโจมตีทั่วทิศอย่างสบายๆ
ปังๆๆ!
เสียงกระแทกดังลั่นจนหูแทบหนวกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง การโจมตีที่พุ่งเข้ามาจากรอบทิศล้วนถูกขจัดสิ้น แตกกระสานซ่านเซ็นเป็นละอองแสงกระจัดกระจาย
ส่วนพวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวนที่พุ่งโจมตีมายิ่งคล้ายต้องอสนีบาต ร่างกายพากันสั่นสะท้าน รับการจู่โจมน่าหวาดหวั่นจนถอยหลังโซซัดโซเซ
เหตุไม่คาดฝันที่เข้ามาโดยกะทันหันนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง แทบจะปิดฉากลงในชั่วพริบตา
ส่วนในที่นั้น เงาร่างของหลินสวินถูกร่มดำบดบังไว้ ร่มเหมือนฝาปิด บังฟ้าห่มดิน ราวราตรีนิรันดร์ปกคลุมจักรวาล
เบื้องหน้าเขา เด็กสาวสวมเสื้อคลุมสีดำทั้งชุด หมวกปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นเพียงคางขาวกระจ่างละเอียดลออ ผิวพรรณเปล่งปลั่งดุจมันแพะ ขับเน้นอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ ให้ความรู้สึกงามตะลึงน่าตื่นตา
เงาร่างนางแบบบาง เท้าเปลือยเปล่าเรียวงาม ถือทวนยาวสีม่วงเล่มหนึ่งอยู่ ทั้งที่ตัวคนเดียวชัดๆ แต่เมื่อยืนอยู่ที่นั่น กลับมีมาดสง่างามโดดเด่นที่สามารถต้านทานลมฝนจากรอบทิศแปดด้านได้
นางเป็นใครกัน
พวกมู่เจี้ยนถิงล้วนสีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึม ก่อนหน้านี้พวกเขาเกือบจะสังหารหลินสวินได้แล้ว แต่กลับถูกทำให้เสียเรื่อง ในใจต่างเดือดดาลจนไม่อาจยั้งไว้ได้
ตอนนี้ขนาดผู้แข็งแกร่งที่ล้อมโจมตีไป๋หลิงซีอยู่ไม่ไกลยังออกจะประหลาดใจ ไม่อาจคาดคิดได้ว่าเหตุใดเด็กสาวผู้มีเอกลักษณ์และลึกลับเช่นนี้ผู้หนึ่งถึงปรากฏตัวในตอนนี้ได้
“หลบไป!”
มู่เจี้ยนถิงไม่พอใจอย่างที่สุด โกรธเคืองหาใดเทียบ โอกาสดีที่สุดในการสังหารเทพมารหลินถูกทำลายลงเช่นนี้ ทำให้เขาโกรธจนแทบเสียสติ
โครม!
เขาออกโจมตีโดยไม่ลังเล กระบี่มรรคลายแผ่เจตกระบี่ไพศาลเหลือคณา ลี้ลับยากหยั่งถึง มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ ซย่าจื้อพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาจันทร์เสี้ยวงดงามกระจ่างใสคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากใต้หมวกคลุม เพียงแต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเรียบเฉย ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์เลยสักนิด
หืม?
มู่เจี้ยนถิงถูกสายตานั้นกวาดมองปราดหนึ่งก็รู้สึกเพียงแข็งทื่อไปทั้งตัว เหมือนถูกคมดาบแหลมคมจี้เข้าที่คอหอย ความเดือดดาลกับความไม่ยินยอมในใจถูกความหวาดหวั่นเข้าแทนที่โดยสมบูรณ์
นี่เป็นดวงตาเช่นไรกัน?
การช้อนตามองอย่างลี้ลับและลุ่มลึกราวราตรีนิรันดร์ แต่กลับเหมือนมาจากหุบเหวลึกในนรกในคราวเดียว คล้ายสามารถกักขังจิตวิญญาณของผู้คนและยึดครองไว้ในนั้นโดยสมบูรณ์
ชั่วพริบตา มู่เจี้ยนถิงสังเกตเห็นอันตรายถึงที่สุด หน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง จะพุ่งตัวถอยไปอย่างไม่ลังเล
แต่เห็นได้ชัดว่าช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง
ปึก!
ทุกคนเพียงรู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว เงาร่างของเด็กสาวก็หายลับไปในอากาศ เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มาอยู่ตรงหน้ามู่เจี้ยนถิงแล้ว
แต่ทว่าทวนม่วงลี้ลับในมือนางกลับแทงทะลุตำแหน่งทรวงอกของมู่เจี้ยนถิงแล้วช้อนร่างเขาขึ้น เลือดสดๆ เทลงมาราวน้ำตกไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน
ชั่วพริบตา ทั้งที่นั้นก็เงียบสนิท พวกหลี่ชิงฮวนเหงื่อกาฬอาบไปทั้งร่าง
เมื่อกี้นี้เอง พวกเขายังไม่ทันเห็นได้ชัดเจน มู่เจี้ยนถิงก็ถูกทวนม่วงในมือเด็กสาวผู้นั้นแทงทะลุอย่างง่ายดาย!
ความเร็วนั้นว่องไวยิ่งนัก ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นเช่นนี้แล้ว ทำให้ผู้คนต่างตอบโต้ไม่ทัน ภาพการณ์น่ากลัวจนน่าตื่นตระหนกเมื่อได้เห็น
นี่ทำให้ทุกคนทำใจเชื่อได้ยาก ดังนั้นจึงรู้สึกสั่นสะท้านและตระหนกอย่างยากบรรยาย
ไกลออกไป หลินสวินผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง ทันทีที่หย่อนก้นลงนั่งกับพื้น ก็ยัดรากโสมขาวกับใบไม้เข้าปาก หลอมเต็มกำลัง
เพียงแต่เมื่อได้เห็นการต่อสู้ของซย่าจื้อก็ยังทำให้หลินสวินสั่นสะท้านในใจ ไม่อาจสงบนิ่งได้ดังเดิม
เขารู้ดีว่าวิชาที่ซย่าจื้อสืบทอดคือมรดกตกทอดของราชินีรัตติกาล สิ่งที่ฝึกก็คือคัมภีร์จุตินพชาติ วิชาลี้ลับที่หายากตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันวิชาหนึ่ง
ทุกครั้งที่แปรสภาพ ล้วนดุจดั่งกำเนิดใหม่หลังจุติ พลังทั้งหมดที่ฝึกปราณมาแต่ก่อนจะกลายเป็นพลังแฝงอย่างหนึ่ง ทำให้ร่างกาย แก่นกระดูกรวมถึงพรสวรรค์เกิดการแปรสภาพใหม่เอี่ยม
นี่เพิ่งเป็นการ ‘จุติ’ ครั้งที่สามของซย่าจื้อ แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าพลังต่อสู้ของนางก็แกร่งกล้าถึงขั้นนี้แล้ว ช่วงชิงศุภโชคจนหมดสิ้น ประหนึ่งเย้ยฟ้าอย่างแท้จริง!
‘ดูท่า ก่อนหน้านี้ข้าจะประเมินนางต่ำไปจริงๆ นางหนูนี่ยังเหมือนแต่ก่อน วิธีการต่อสู้เรียบง่ายตรงไปตรงมา แต่มีอานุภาพถึงชีวิต…’ หลินสวินพึมพำในใจ
เขาไม่ได้คิดอะไรอีก สื่อจิตกับซย่าจื้อ ให้นางช่วยไป๋หลิงซีคลี่คลายสถานการณ์อันตราย
ปฏิกิริยาของซย่าจื้อในตอนนี้ออกจะประหลาดไปบ้าง ดวงตาใสกระจ่างมองไป๋หลิงซีปราดหนึ่ง คิ้วสีดำสนิทราวหมึกขมวดเข้าหากันอย่างยากสังเกต
ซ่า!
ศพของมู่เจี้ยนถิงถูกช้อนขึ้น เลือดยังคงหลั่งรินลงมา พอกระแทกกับพื้นก็ส่งเสียงสาดกระเซ็นชวนใจสั่น
ซย่าจื้อเขย่าทวนม่วงแล้วโยนศพของฝ่ายหลังออกไปเหมือนทิ้งขยะ ไม่ชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว แล้วพูดกับหลินสวินว่า “รอข้าฆ่าเจ้าพวกนี้จนเกลี้ยงแล้วค่อยไปช่วยนาง”
หลินสวินอึ้งไป ยังไม่ทันที่เขาได้สติกลับมา ซย่าจื้อก็ออกโจมตีแล้ว
ชิ้ง!
ทวนศึกสีม่วงยาวหนึ่งจั้ง ปลายแหลมคมปลาบ เรียบง่ายไม่ซับซ้อน มีความรู้สึกหนักแน่นเหมือนกาลเวลาที่ตั้งมั่น
ชั่วพริบตาท่าทางของซย่าจื้อก็เปลี่ยนไปแล้ว รอบกายราวอาบชโลมในราตรีนิรันดร์ แสงสว่างไม่ดำรงอยู่ ล้วนแปรสภาพเป็นความมืดมิด
พลังปราณของนางเยียบเย็นและเฉยชา เสื้อคลุมสีดำทั้งตัวโบกพลิ้ว ประหนึ่งเทพเทวาที่เดินออกมาจากความมืดมิด เต็มไปด้วยพลังน่าหวาดผวา
“ร่วมกันลงมือ!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน พวกหลี่ชิงฮวนต่างสังเกตได้ถึงอันตราย หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เลือกร่วมมือกันโดยไม่ลังเล
พลังปราณของเด็กสาวผู้นี้ลี้ลับและน่ากลัวเกินไปแล้ว แม้เก็บกักไว้ภายในถึงขีดสุด แต่กลับยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัว มีกลิ่นอายที่ทำให้พวกเขาสะท้านขวัญสงบใจได้ยากยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้ากับหลินสวิน
เพียงแต่ร่วมกันลงมือเช่นนี้ย่อมไร้ประโยชน์
ต่อมา ซย่าจื้อก็ใช้การเคลื่อนไหวบอกหลินสวินว่า ที่เขาประเมินพลังที่แท้จริงของซย่าจื้อไว้ก่อนหน้านี้ ดูอ่อนแอและหม่นหมองปานไหน
ฟุ่บ!
เงาร่างของซย่าจื้อรวดเร็วและตรงไปตรงมาราวเงาแสงมืดมิด พริบตาที่เงาร่างหายไปก็มาอยู่ตรงหน้าหลี่ชิงฮวนแล้ว เมื่อทวนม่วงเคลื่อนออกมา พุ่งแทงไปที่คอหอยของฝ่ายหลังอย่างเรียบง่ายไม่อ้อมค้อม
ในระหว่างนี้หลี่ชิงฮวนคว้าสมบัติลับออกมาสำแดงวิชามรรคชั้นเลิศ โคจรพลังต่อสู้ของตัวเองถึงขีดสุดเพื่อต่อต้าน
แต่ทั้งหมดนี้ถูกทวนม่วงแทงทะลุอย่างง่ายดายเหมือนเศษกระดาษ ไม่อาจต้านทานได้!
หลี่ชิงฮวนตื่นตระหนกจนชาหนึบไปทั้งศีรษะ แทบระเบิดออกมา เด็กสาวผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมีพลังน่าหวาดหวั่นปานนี้ได้
เขาไม่กล้าลังเลอีก หันกายจะหนี
ปึก!
เพียงแต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหนีพ้น ถูกทวนม่วงแทงพรวดเข้าที่แผ่นหลัง เลือดหัวใจสีแดงฉานระอุไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เจ้า…” หลี่ชิงฮวนตาเบิกกว้าง กระทั่งตายก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าตนจะแพ้หมดรูปเช่นนี้!
ตอนที่ 922 พลังที่แท้จริงอันน่าหวาดหว...
ปึง!
ศพของหลี่ชิงฮวนถูกโยนทิ้งไป กระแทกเข้ากับพื้น ใบหน้าก่อนตายยังเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและงงงวยดังเดิม
เขาคิดไม่ถึงว่าตนจะมีช่วงเวลาอ่อนแอเช่นนี้ได้
ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะเดินตามรอยมู่เจี้ยนถิง ถูกเด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันคนหนึ่งสังหารในการโจมตีเดียวเช่นกัน
ไม่ว่ามู่เจี้ยนถิงหรือหลี่ชิงฮวน ล้วนเป็นถึงบุคคลแห่งยุคในหมู่คนรุ่นเยาว์ของแดนฐิติประจิม พรสวรรค์เหนือคนทั่วไป พลังต่อสู้ล้ำเกินผู้ใด ทั้งมาจากสำนักเก่าแก่ ครอบครองไพ่ตายที่สามารถรักษาชีวิตได้
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ทันได้ใช้พลังที่อยู่ในครอบครอง ก็ถูกสังหารในการโจมตีเดียวแล้ว วิธีฆ่าคนที่เรียบง่ายและปราดเปรียวปานนั้น น่าตื่นตระหนกเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
นางเป็นใครกันแน่
หรือเป็นผู้มีปราณระดับราชันผู้หนึ่ง
แต่เห็นได้ชัดว่าพลังปราณของนางอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ เพียงแต่ดูมีเอกลักษณ์ถึงที่สุด ประหนึ่งตัวนางอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ไม่ได้อยู่ในโลกนี้
ความกระวนกระวายยากบรรยายผุดขึ้นในจิตใจของพวกซางเจี่ย ศุภโชคอันดับหนึ่งอยู่ตรงหน้า แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าชีวิตประสบกับภัยคุกคามร้ายแรง พวกเขาก็ไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้
“หนี!”
พวกเขาไม่ต้องปรึกษากันแต่อย่างใดก็สลายตัวหนีไปทั่วทิศ พุ่งออกไปยังใต้แท่นมรรค
สวบ!
เพียงแต่การเคลื่อนไหวของเด็กสาวว่องไวยิ่งกว่าพวกเขา ฉับพลันทันใดก็ปรากฏตัวหน้าทางออกของเส้นทางที่ผ่านไปยังใต้แท่นมรรคสายนั้น ถือทวนม่วงกั้นขวางอยู่
รอบกายนางโอบล้อมไปด้วยแสงรัตติกาลนิรันดร์ ราวกับความมืดมิดปกคลุมที่นั่น ครู่เดียวก็ทำให้พวกซางเจี่ยต่างหน้าเปลี่ยนสี
และตอนนี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่ล้อมโจมตีไป๋หลิงซีอยู่ไกลออกไปก็ล้วนฉงน ละจากไป๋หลิงซีไปอย่างไม่ลังเล เลือกระมัดระวังและป้องกันตัว
เด็กสาวผู้นั้นลึกลับและน่ากลัวเกินไป ทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหา
ไป๋หลิงซีฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวมาตรงหน้าหลินสวินในที่สุด
นางได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว ใบหน้างามซีดเผือดแทบโปร่งแสง แต่ตอนนี้ก็ตื่นตระหนกระลอกหนึ่งด้วย ไม่อาจคาดคิดได้เช่นกันว่าเด็กสาวเช่นนี้หลินสวินไปหามาจากไหนกัน เหตุใดถึงแข็งแกร่งปานนี้
“เจ้าตั้งรับอยู่ตรงนั้น ไม่กังวลว่าพวกเราจะไปฆ่าหลินสวินหรือ” มีผู้แข็งแกร่งเอ่ยปาก สีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ สายตาไหววูบ
ต่อสิ่งนี้ การตอบโต้ของซย่าจื้อเรียบง่ายนัก นางขว้างทวนม่วงในมือออกไป
วู้มๆๆ!
ห้วงอากาศระเบิดแหลก แปรสภาพเป็นกระแสแปรปรวน ไม่รู้ว่าทวนม่วงนั้นเป็นสมบัติชั้นไหนถึงได้น่ากลัวหาใดเทียบ มีอานุภาพสังหารสรรพสิ่ง แข็งแกร่งเกินต้านทาน
ปึก!
ผู้แข็งแกร่งที่เอ่ยปากข่มขู่ผู้นั้นยังไม่ทันได้หลบหนีก็ถูกโจมตีทะลุร่าง ล้มหน้าหงายลงไปกับพื้น
มีบุคคลแห่งยุคตายไปคนหนึ่งแล้ว!
สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นในปัจจุบันแล้ว เหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างซางเจี่ยเหมือนยอดเขาสูงที่ปีนข้ามได้ยาก ไม่อาจหวั่นไหว
แต่ด้วยน้ำมือของซย่าจื้อ พวกเขากลับเหมือนของไร้ราคา ไม่อาจต้านทานการโจมตีได้!
การโจมตีเดียวก็นำพาให้วิญญาณดวงหนึ่งหลุดลอยไป ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่ได้พูดเลยสักคำ ท่วงท่าเรียบเฉยและแปลกแยกนั้นดูน่ากลัวอย่างยิ่งในสายตาทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
แผ่นหลังของพวกเขาเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ในใจบีบคั้นถึงที่สุด รู้สึกถึงความคุกความอย่างรุนแรง แม้ในมือพวกเขาแต่ละคนล้วนมีไพ่ตายที่ทรงพลังก็ตาม
แต่ในตอนนี้พวกเขากลับสูญเสียความมั่นใจ ไม่แน่ใจว่าจะสลายภยันตรายได้หรือไม่
สวบ!
เพียงแต่ในตอนที่พวกเขากำลังลังเลว่าจะเอาชีวิตเข้าแลกดีหรือไม่นั้น ซย่าจื้อกลับเคลื่อนไหวก่อนแล้ว
นางเหมือนหมดความอดทน หมายจะรีบสู้ให้จบๆ ไป ควบคุมทวนม่วงในมือ เงาร่างคลุมเครือเยื้องย่างอยู่ในที่นั้น
มีคนยินดีปรีดา นึกว่าพบความเป็นไปได้ที่จะหลบหนี
แต่ยังไม่ทันฝ่าไปถึงทางออกก็ถูกสังหารตายคาที่ เลือดสดๆ ย้อมพื้นดินให้เป็นสีแดง
ในระหว่างนี้ผู้แข็งแกร่งคนนี้ก็ต่อต้านและได้ใช้ไพ่ตายแล้ว แต่ทุกอย่างดูสูญเปล่าและไร้ประโยชน์
เด็กสาวราวหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย ตัวนางอยู่ในราตรีนิรันดร์มืดมิด เมื่อปล่อยทวนม่วงออกมาต้องเป็นการโจมตีที่ชี้เป็นชี้ตายครั้งหนึ่ง มีพลังสังหารที่น่าสะท้านขวัญ
พวกซางเจี่ยย่อมไม่สามารถนั่งรอความตายได้ ต่างทุ่มสุดตัวใช้ไพ่ตาย ชั่วครู่เดียวในพื้นที่นี้ก็มีแสงเทพเปล่งประกายสะดุดตา สมบัติโบราณนานาชนิดเริงระบำ สภาพการณ์น่าพรั่นพรึง
ฮูม!
เด็กสาวยกมือโบกสะบัด ร่มดำก็ทะยานขึ้นฟ้า ปล่อยแสงราตรีนิรันดร์มืดมิดทำลายหมื่นวิชา ขวางกั้นสมบัติโบราณและการสังหารทั้งมวล มหัศจรรย์ถึงที่สุด
พรูด!
และในระหว่างนี้นางก็ฝ่าสังหารต่อไป ทุกชั่วพริบตาจะต้องปลิดชีพคู่ต่อสู้ได้คนหนึ่ง เลือดสดๆ ผลิบานออกมาไม่ว่างเว้นคล้ายดอกไม้ไฟ งดงามน่าหวาดหวั่นและพาให้ผู้อื่นสิ้นหวัง
นี่เป็นการต่อสู้เสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นการสังหารหมู่ที่ฝ่ายหนึ่งเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง!
หากแพร่งพรายไปยังโลกภายนอก ต้องก่อให้เกิดพายุลูกใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ตื่นตระหนกไปทั้งใต้หล้า!
……
หลินสวินสูดหายใจเยียบเย็น ทำใจเชื่อได้ยาก
เห็นได้ชัดว่าพลังของซย่าจื้อล้ำเกินขอบเขตของระดับกระบวนแปรจุติไปแล้ว แต่พลังปราณที่นางสำแดงออกมากลับเป็นระดับกระบวนแปรจุติดังเดิม
ทั้งหลินสวินยังมั่นใจว่า พลังต่อสู้ที่ซย่าจื้อมี เกรงว่าขนาดตนยังไม่อาจเทียบเคียงได้
‘นี่เป็นพลังระดับไหนกัน’
หลินสวินไม่รู้ชัด สิ่งเดียวที่แน่ใจได้คือ ซย่าจื้อไม่ได้เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคา แต่พลังที่นางครอบครองแข็งกล้ากว่า ถึงทำให้อานุภาพที่นางสำแดงออกมาแข็งแกร่งปานนั้น
อีกด้านหนึ่งไป๋หลิงซีก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน จิตใจสงบลงได้ยาก ฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยพบเรื่องพิสดารและน่าตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน
เด็กสาวผู้หนึ่งมองเหล่าบุคคลแห่งยุคราวไม่มีอยู่ เข้าสังหารราวผักปลา ภาพนองเลือดแต่ละภาพนั้นไม่เหมือนจริง ดุจฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า
……
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร พวกจี้ซิงเหยา ลั่วเจีย ซื่ออวิ๋นต่างรามือแล้ว
เดิมพวกเขาคิดว่าหากคว้าจังหวะล้ำเลิศไว้ก็จะถือโอกาสนี้ชิงระฆังสำริดบนโต๊ะนั้นไปได้ แต่ไม่คิดว่าจะยังคงเป็นสภาวะตะลุมบอนกันเอง ใครก็ไม่อาจได้เปรียบ
อีกทั้งในการสังหารดุเดือด พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่มากก็น้อยแล้ว
กระทั่งยามสังเกตเห็นว่าซย่าจื้อปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน แล้วจากนั้นก็ใช้ท่วงท่าเด็ดขาดกวาดโจมตีทั้งที่นั้น พวกเขาก็สั่นสะท้าน เกิดคลื่นซัดสาดในใจเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตอนหลินสวินสังหารอวี่หลิงคง ก็สำแดงอานุภาพสะท้านโลกาออกมาแล้ว
แต่ตอนนี้ เด็กสาวลึกลับที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันดูเหมือนจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก ตั้งแต่เริ่มจนจบ ยังไม่มีใครสามารถขัดขวางการสังหารของนางได้สักคน!
ด้วยความหวั่นกลัวและระแวดระวังโดยสัญชาตญาณ พวกเขาล้วนหยุดมือ เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้นัดหมาย
……
โลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องโหยหวนสะท้อนก้อง
เหนือแท่นมรรคราวกับแปรสภาพเป็นขุมนรกนองเลือด
ซย่าจื้อสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เงาร่างคลุมเครือ ทวนม่วงเรียบง่าย ระหว่างที่นางเดินไปมา ดูเหมือนแช่มช้า แต่แท้จริงแล้วว่องไวถึงที่สุด ราวกับเคลื่อนไหวในชั่วกะพริบตา
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ เท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นของนางยังผ่องแผ้วเปล่งปลั่ง ไม่แปดเปื้อนโลหิตและฝุ่นธุลีสักนิด
แต่รอบกายนางกลับปกคลุมไปด้วยแสงราตรีนิรันดร์ พื้นดินนองเลือด เท้างามขาวสะอาด เงาร่างอ้อนแอ้นประหนึ่งตัดออกมาจากรัตติกาลชั่วกัลป์ ร่วมกันถักทอให้เป็นภาพที่ทั้งประหลาดและน่าพรั่นพรึงภาพหนึ่ง
ส่วนภายในภาพนั้น ซย่าจื้อก็เหมือนราชันองค์หนึ่งผู้ย่ำเหยียบในความมืด สันโดษโดดเดี่ยว แต่กลับเป็นนายเหนือรัตติกาลนิรันดร์นี้
ปึก!
ผู้แข็งแกร่งคนสุดท้ายถูกสังหาร ศพล้มลงไปในกองเลือด
กระทั่งตอนนี้ทุกคนถึงราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน เมื่อเห็นศพเต็มพื้น กองเลือดแดงฉาน รวมถึงเด็กสาวตัวคนเดียวที่ยืนอยู่ภายในนั้น ความเย็นยะเยือกที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ถาโถมสู่จิตใจของทุกคน
นี่เป็นเด็กสาวเช่นไรกันแน่
ไม่มีใครรู้
รวมถึงหลินสวิน ก็ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปของซย่าจื้ออย่างแท้จริง
“ที่แท้ ก็เพื่อช่วงชิงสมบัติชิ้นนี้”
ทันใดนั้น ซย่าจื้อก็ทอดสายตาไปยังระฆังสำริดที่อยู่บนโต๊ะไกลออกไปชิ้นนั้น
ชั่วครู่เดียวประสาทสัมผัสของพวกจี้ซิงเหยา ลั่วเจียก็ระแวดระวังขึ้นมา เตรียมพร้อมลงมือ ซย่าจื้ออาจจะมีพลังแกร่งกล้าที่ไม่อาจคาดคิด แต่พวกเขาก็มีไพ่ตายที่สามารถเทียบเคียงได้เช่นกัน
เพียงแต่ไม่ถึงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ใครก็ไม่อาจใช้ได้โดยง่าย
ดวงตาหลินสวินก็หรี่ลง หากเกิดการต่อสู้ระหว่างซย่าจื้อกับพวกจี้ซิงเหยา ในใจเขาก็กระวนกระวายอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นจี้ซิงเหยาหรือว่าลั่วเจีย ล้วนมีพื้นเพพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าอวี่หลิงคง ทั้งยังเป็นไปได้สูงที่จะครอบครองสมบัติอริยะ
ประมือกับพวกเขา เพียงอาศัยการประชันด้านพลังนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง
อย่างตัวหลินสวินเอง แม้สังหารอวี่หลิงคงได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ยังถูกตำหนักอมตะทำให้บาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้สถานการณ์ของตัวเองแปรเปลี่ยนเป็นอันตรายถึงที่สุด
ดังนั้นหลินสวินจึงไม่อยากให้เรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับซย่าจื้ออีก
เพียงแต่เหนือความคาดหมายของทุกคน ในเวลาเช่นนี้เสียงเฉยชาที่เงียบเชียบมานานแล้วนั้นดังขึ้นเองอย่างหาได้ยากนัก…
“มรรคาไม่สมกัน ไร้วาสนากับศุภโชค ขอถอย!”
ทันใดนั้นคิ้วงามของซย่าจื้อขมวดขึ้น พลังน่าหวาดหวั่นไหวเคลื่อนในดวงตาใสกระจ่าง
ส่วนพวกจี้ซิงเหยาและลั่วเจียก็อึ้งงันไปก่อน จากนั้นต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยินดีปรีดาเกินคาด นี่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า เด็กสาวคนนั้นสูญเสียคุณสมบัติที่จะแย่งชิงศุภโชคอันดับหนึ่งไปแล้ว!
เมื่อลองถามตัวเองดู ใครก็ไม่ต้องการประลองกับซย่าจื้อ ภาพแต่ละภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้พวกเขาล้วนรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของนาง นอกจากจะไม่มีทางเลือกจริงๆ ใครก็ไม่อยากสู้กันชนิดเอาชีวิตเข้าแลก
“พวกเราไปกันเถอะ!”
และในตอนนี้เอง หลินสวินก็ดึงไป๋หลิงซีแล้วรีบรุดไปยังทางออกแท่นมรรค
ซย่าจื้ออึ้งไป “ไม่เอาแล้วหรือ”
“รักษาชีวิตสำคัญกว่า” หลินสวินพูดพลางคว้าท่อนแขนของซย่าจื้อเดินลงไปที่ฐานแท่นมรรค
ซย่าจื้ออดไม่ได้หันหน้ากลับมา มองระฆังสำริดที่อยู่บนโต๊ะนั้นครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ห้ามใจไว้แล้วตามหลินสวินจากไปด้วยกัน
แต่ก่อนนางก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงหลินสวินอยู่ นางไม่เคยสนใจเรื่องอื่น
ก็เหมือนคำที่นางเคยพูดไว้ตอนนั้นว่าโลกของนางเล็กนัก ยอมให้หลินสวินอยู่ได้เพียงผู้เดียว
การจากไปอย่างกะทันหันของหลินสวินก็ทำให้พวกจี้ซิงเหยา ลั่วเจียเหลือเชื่อเช่นกัน ผ่านการสังหารและภยันตราย ในที่สุดก็อดทนมาได้ถึงตอนนี้ จะยอมแพ้เช่นนี้แล้วหรือ
หากจะเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังต้องสู้ตายกับอวี่หลิงคง
ทั้งเหตุใดถึงต้องถูกตำหนักอมตะนั่นทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แทบจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขันด้วย
จ่ายค่าตอบแทนมากมายเช่นนี้ จะยอมแพ้ไปเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ
……
แน่นอนว่าหลินสวินไม่ยินยอม แต่เขารู้ดีว่าซย่าจื้อเสียคุณสมบัติที่จะไปแย่งชิงแล้ว ส่วนตนได้รับบาดเจ็บสาหัสยังไม่หาย ไป๋หลิงซีก็บาดเจ็บสะสมเพราะมาช่วยตน ถ้าไปแย่งชิงศุภโชคกับพวกจี้ซิงเหยาย่อมมีความหวังริบหรี่แน่
ดังนั้นหลินสวินจึงยอมแพ้อย่างแน่วแน่ถึงที่สุด
แน่นอนว่ายังมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือวันนี้มีบุคคลแห่งยุคตายไปมากเกินไปแล้ว คนใหญ่คนโตที่หนุนหลังพวกเขาแต่ละคนต่างรอคอยอยู่ที่โลกภายนอก ทันทีที่ศุภโชคคราวนี้ปิดฉากลง ยามเดินออกไปจากเขาพยับครามนี้ ต้องพบกับการเอาคืนและโจมตีที่คาดไม่ถึงแน่
ดังนั้น ต้องออกไปก่อน!
ไม่เช่นนั้นหากรอจนเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ปิดฉากลงแล้วค่อยไป ก็จะสายไปแล้ว
แม้ศุภโชคอันดับหนึ่งชิ้นนั้นจะเย้ายวนใจหาใดเทียบ แต่ก็ต้องมีชีวิตไปช่วงชิง หลินสวินไม่ได้คิดจะเอาชีวิตน้อยๆ ของตนมาทิ้งไว้ที่นี่
ตอนที่ 923 ต่อรองราคา
ใต้แท่นมรรค มีผู้แข็งแกร่งบางคนยืนอยู่
ก่อนหน้านี้พวกเขาละทิ้งการช่วงชิงศุภโชค ยังอยู่ด้านล่างต้นโคมสำริดมรรคโบราณ เพียงแต่เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นบนแท่นมรรคนั้น ก็อดใจไม่ไหวจนออกมาแล้ว
ที่น่าเสียดายก็คือผนึกต้องห้ามบนแท่นมรรคคลุมเครือ น่าหวาดหวั่นเกินไป ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าใกล้ ทำได้เพียงยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้
“อวี่หลิงคงถูกฟันแล้ว ในหมู่คนรุ่นเยาว์บนโลกนี้ยังมีใครต้านทานก้าวย่างของเทพมารหลินได้ไหม”
“ตำหนักอมตะน่ากริ่งเกรงเกินไปแล้ว สมกับเป็นยอดสมบัติอริยมรรคของแดนพิสุทธิ์อมตะ การโจมตีเมื่อครู่นั้นทำให้เทพมารหลินแทบประสบเคราะห์!”
“เด็กสาวคนนั้นเป็นใคร เหตุใดถึงทรงพลังเช่นนี้”
“นะนะนาง… ถึงกับฆ่าบุคคลแห่งยุคมากมายเพียงนี้!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น แม้ไม่อาจเข้าใกล้ยอดของแท่นมรรค แต่ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้กลับสามารถมองเห็นการประหัตประหารนองเลือดที่เกิดขึ้นด้านบนนั้นได้รางเลือน
กระทั่งเมื่อเห็นว่าลำพังซย่าจื้อเพียงผู้เดียวสังหารบุคคลแห่งยุคคนแล้วคนเล่าราวกับผักปลา ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนตระหนก ความหนาวยะเยือกผุดขึ้นมาในหัวใจ ขนพองสยองเกล้า
“ฮ่าๆ เด็กสาวผู้นั้นแข็งแกร่งปานนี้ แต่ดัน… ดันไม่มีคุณสมบัติช่วงชิงศุภโชคอันดับหนึ่ง คราวนี้กลายเป็นเรื่องเศร้าเสียแล้ว”
และเมื่อได้รู้ข่าวนี้ ก็มีคนอดไม่ได้ที่จะมีความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์
แต่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นเขาก็หุบปาก นัยน์ตาขยายกว้าง นิ่งงันอยู่ตรงนั้นราวถูกสายฟ้าฟาด ในใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ไม่เพียงแค่เขา ผู้แข็งแกร่งคนอื่นในที่นั้นต่างพากันเงียบเชียบไร้เสียง แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสียิ่ง เผยความหวั่นเกรงหาใดเทียบ
ในครรลองสายตาของเขาพวกเขา เทพมารหลินกับเด็กสาวลึกลับผู้นั้นรวมถึงไป๋หลิงซี เดินลงมาจากด้านบนแท่นมรรคแล้ว…
หลินสวินไม่สนใจพวกเขา พาซย่าจื้อกับไป๋หลิงซีเดินตรงดิ่งจากไปอย่างรีบร้อน
กระทั่งเงาร่างของพวกเขาหายไป ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ถึงกล้าผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย แต่ละคนต่างมีท่าทางราวยกภูเขาออกจากอก
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือซย่าจื้อ ต่างใช้ผลการต่อสู้อันเจิดจรัสนองเลือดพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน ไม่ใช่คนที่พวกเขาเหล่านี้จะกล้าวิจารณ์ต่อหน้าได้!
“ข่าวกระจายออกไปหรือยัง” มีคนเอ่ยปากขึ้นทันใด
“กระจายออกไปแล้ว”
“สามารถคาดการณ์ได้ว่า หลังจากเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ปิดฉาก ยามเทพมารหลินคนนั้นเดินออกไปจากเขาพยับคราม ต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์สังหารที่คาดเดาได้ยากอีกครั้งหนึ่งแน่!”
“แต่ว่า นี่เขาไม่ได้ออกไปก่อนหรอกหรือ”
“ไม่ เขาออกไปไม่ได้หรอก เทศกาลโคมธรรมกถามรรคยังไม่ปิดฉากลง ใครก็ไม่อาจออกไปได้!”
……
“พวกเราต้องออกไปให้เร็วที่สุด”
ระหว่างทาง หลินสวินขมวดคิ้วเคร่ง เขารับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหาเช่นกัน
เงาร่างซย่าจื้ออ้อนแอ้นอรชร เท้าเปลือยเปล่าของนางราวหยก เดินเคียงไหล่ข้างหลินสวิน ในมือขาวกระจ่างเรียวยาวถือร่มดำคันหนึ่ง มีกลิ่นอายเยียบเย็นสงบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์
“เพียงแต่ อิงตามประสบการณ์ในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านมา หากการช่วงชิงศุภโชคอันดับหนึ่งไม่ปิดฉากลง พวกเราเหล่าคนที่มาถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณคนไหนก็ออกไปไม่ได้”
คิ้วงามของไป๋หลิงซีมุ่นขึ้นเล็กน้อย อาภรณ์ขาวของนางเปื้อนเลือด ใบหน้าพริ้งเพราใสกระจ่างซีดขาว ดูอ่อนแรงอยู่บ้าง
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้นางได้รับบาดเจ็บอย่างมาก ทั้งอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลินสวิน
ยามไป๋หลิงซีพูดก็ชะงักไปเล็กน้อย นางรับรู้ได้อย่างเฉียบคมว่าเด็กสาวลึกลับข้างกายหลินสวินผู้นั้นกำลังประเมินนางอยู่
ไม่ใช่การประเมินอย่างลับๆ แต่เป็นการพินิจพิเคราะห์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ในดวงตาจันทร์เสี้ยวสีดำสนิทราวราตรีนิรันดร์คู่นั้น เจือความเฉยชาอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีคลื่นอารมณ์ไหววูบแม้แต่น้อย
นี่ทำให้ไป๋หลิงซีอึ้งไป ออกจะไม่สบายใจเล็กน้อย
และในตอนนี้เอง ซย่าจื้อก็เอ่ยปากแล้ว เสียงกังวานราวกระดิ่งกระทบกัน “เจ้ากับหลินสวินมีความสัมพันธ์เช่นไรกัน”
วาจาเช่นนี้เดิมทีควรเป็นคำถามส่วนตัวนัก อีกทั้งต่อให้เอ่ยถาม ก็ควรไปถามหลินสวินถึงจะถูก
แต่เห็นได้ชัดว่าซย่าจื้อไม่เหมือนคนอื่น นางเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง เรียบง่ายและตรงไปตรงมาถึงเพียงนั้น ทำให้ไป๋หลิงซีอดอึ้งไม่ได้
“เพื่อนน่ะ”
ทันใดนั้นนางก็แย้มยิ้ม สังเกตเห็นว่าซย่าจื้อเหมือนจะใส่ใจหลินสวินมาก ดังนั้นถึงได้เอ่ยถามเช่นนี้ออกมา เสียแต่วิธีถามตรงไปตรงมาเกินไป
“เพื่อนหรือ” คิ้วงามสีดำขลับราวน้ำหมึกของซย่าจื้อมุ่นขึ้นอย่างยากสังเกตเห็น
“ใช่ เพื่อน” ไป๋หลิงซีรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง หลินสวินกับเด็กสาวผู้นี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่ เหตุใดนางถึงใส่ใจเรื่องแบบนี้ด้วย
แต่กลับเห็นว่าซย่าจื้อพยักหน้าแล้วพูดว่า “เป็นเพื่อนก็ดี”
จากนั้นนางก็ชักสายตากลับไป ไม่มองไป๋หลิงซีอีก คล้ายว่าแน่ใจกับคำตอบนี้ ทำให้นางหมดความสนใจจับจ้องไป๋หลิงซีไปแล้ว
ไป๋หลิงซียิ่งรู้สึกประหลาดยิ่งขึ้นไปอีก คิดไปคิดมา ก็ทำได้เพียงตัดสินว่าความสัมพันธ์ของหลินสวินกับเด็กสาวคนนี้ต้องไม่ธรรมดา
‘น่าสนใจจริงๆ ถ้าข้างกายหลินสวินมีสาวงามรู้ใจที่ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนบางคนเพิ่มขึ้นมา เกรงว่าเด็กสาวคนนี้จะไม่ยอมรับเป็นคนแรกกระมัง’
ความคิดประหลาดบังเกิดขึ้นในใจไป๋หลิงซี
……
หลินสวินย่อมได้ยินทุกอย่างนี้ แต่เขาก็ชาชินมานานแล้ว เพราะซย่าจื้อก็ไม่เหมือนใครมาแต่ไหนแต่ไร
ตั้งแต่เมื่อก่อนถึงตอนนี้ นางก็เป็นเช่นนี้มาตลอด
แม้จะแปลกใจอยู่บ้างว่าเหตุใดซย่าจื้อถึงถามคำถามแบบไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ แต่ตอนนี้หลินสวินไม่มีแก่ใจมาถามอะไรมากมาย
เขากำลังคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่
“ตาแก่ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เส้นทางที่ใช้ออกจากที่นี่” ไม่นานนักหลินสวินก็เรียกโอสถกายสิทธิ์เฒ่าต้นนั้น
เมื่ออันธพาลเฒ่าผู้นี้ได้ยินก็ยิ้มเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “ไร้สาระ ข้ามีชีวิตอยู่ในเขาพยับครามแห่งนี้ไม่รู้กี่เดือนกี่ปี ที่ไหนมีโพรงมดยังเล็ดรอดสายตาข้าไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเส้นทางเส้นเดียวเล่า”
ในใจหลินสวินพลันตื่นเต้น “อยู่ที่ไหน”
อันธพาลเฒ่าพูดอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้ารับปากมาก่อนสิว่าจะปล่อยข้าไป ข้าจากไปก็จะบอกเจ้า หาไม่แล้วเจ้าก็ฆ่าข้าเสีย แล้วอย่าคิดจะออกไปเลย!”
เห็นได้ชัดว่าเขาฉวยโอกาสต่อรองกับหลินสวิน ทั้งยังมั่นใจมากด้วย
หลินสวินยิ้มเหี้ยม “นี่เจ้าครั่นเนื้อครั่นตัวอยากโดนตีอีกแล้วใช่ไหม”
อันธพาลเฒ่าหน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นก็ผรุสวาทอย่างขุ่นเคืองว่า “ไอ้เด็กเวรแบบเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่ไหม เมื่อกี้เป็นใครกันที่มอบโอสถวิญญาณช่วยชีวิตเจ้ายามคับขัน ไม่รู้บุญคุณก็ไม่น่าเล่นเช่นนี้กระมัง แน่จริงก็ฆ่าข้าสิ ถ้าข้านิ่วหน้าแม้แต่นิดจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้าเลย!”
ที่เขาพูดก็คือรากกับใบโสมขาวก่อนหน้านี้
หลินสวินจนคำพูดไปครู่หนึ่ง เป็นถึงโอสถราชันไร้เทียมทานกายสิทธิ์ต้นหนึ่ง แต่กลับเหมือนกุ๊ยชั้นต่ำ ช่างผิดธรรมดาเกินไปแล้ว
ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ อันธพาลเฒ่าก็เปลี่ยนเรื่อง “แน่นอน ข้ารู้ด้วยเช่นกันว่าเจ้าต้องคิดอาศัยพลังของข้ามาฝึกปราณ”
สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มีกลิ่นอายน่าเกรงขาม “ตอนนั้นข้าเห็นเหล่าอริยะเผยแผ่มรรคบนเขาพยับคราม และเคยได้ฟังผู้ฝึกปราณระดับราชันมากมายสาธยายความลี้ลับแห่งมหามรรค ทั้งได้เป็นประจักษ์พยานว่าคนรุ่นเยาว์ที่เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคาแต่ละคนผงาดขึ้นเช่นไร บอกเจ้าได้อย่างแจ่มแจ้งเลยว่า ทันทีที่เจ้าทำเช่นนี้แล้ว ชีวิตนี้อย่าหวังว่าจะได้เหยียบย่างบนมกุฎมรรคในระดับราชันเลย!”
“มรรคแห่งมกุฎ ล้วนต้องค้นหาด้วยตัวเอง พิสูจน์กับหมื่นมรรคธรรมบาล ถึงจะแผ้วทางมกุฎราชันที่ถือเป็นของตนได้”
“หากใช้ประโยชน์จากสิ่งภายนอก มรรคที่สำเร็จก็ไม่ถือเป็นของเจ้าอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องเพ้อพกถึงหนทางมกุฎราชันอะไรนั่นเลย”
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้จะมีความรู้เช่นนี้ ทำให้เขาออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก ทว่าที่ข้าจับเจ้ามาไม่ได้ทำเพื่อหลอมมรรคของตนเอง แต่นำมาเป็นวิธีช่วยชีวิตเท่านั้น เจ้าไม่คิดว่าเมื่อครู่หากข้ากลืนเจ้าลงไปจนหมด อาการบาดเจ็บบนร่างกายจะไม่ดีขึ้นยิ่งกว่าหรือ” หลินสวินชำเลืองมองเขา
อันธพาลเฒ่าหน้าหม่นแสง กลิ่นอายน่าเกรงขามพลันหายไป
เขาโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง กัดฟันพูดว่า “เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้ากำลังดูหมิ่นอริยโอสถที่ภายภาคหน้าจะสำเร็จอริยะกลายเป็นปรมาจารย์ผู้หนึ่งอยู่!”
“เพ้อเจ้อให้มันน้อยๆ หน่อย จะบอกหรือไม่บอกกันแน่” หลินสวินตำหนิ
“ตีให้ตายก็ไม่บอก”
คราวนี้อันธพาลเฒ่าแข็งข้อผิดปกติ “นอกจากเจ้าจะปล่อยข้าไป”
“จริงหรือ”
“จริงสิ!”
“โอ๊ยๆ ไอ้หนูเหตุใดเจ้ายังลงมืออีกเล่า”
……
ในที่สุดหลังจากผ่านการไต่สวนโดยใช้วิธีการต่างๆ ทั้งขู่ให้กลัว กำราบ และเกลี้ยกล่อม หลินสวินก็รับปากว่าจะปล่อยอันธพาลเฒ่าผู้นี้ไป
ส่วนอันธพาลเฒ่าก็ยอมรับเงื่อนไขของหลินสวิน ทั้งยังจะมอบ ‘แก่นแท้โอสถราชัน’ สามหยดและเมล็ดโอสถราชันเมล็ดหนึ่งทดแทนให้หลินสวิน
“ให้ตายสิ ข้าไม่เคยพบเคยเห็นเด็กเวรร้ายกาจอย่างเจ้ามาก่อนเลย จะไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว!”
อันธพาลเฒ่าด่าสาดเสียเทเสีย เขากำลังเจ็บปวดใจ แก่นแท้โอสถราชันเป็นถึงแหล่งกำเนิดของเขา เพียงแค่หยดเดียวก็ฟื้นคืนชีวิตได้ ต่อให้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ ก็จะฟื้นตัวขึ้นในชั่วพริบตา
เช่นเดียวกัน เมล็ดโอสถราชันที่เขาให้นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า หาไม่ได้อีกแล้วในในโลกยุคปัจจุบัน
“จำไว้ ข้าเป็น ‘โสมสมบัติเก้าห้อง’ ที่ได้รับบัญชาชะตาฟ้าดินให้ถือกำเนิดขึ้นมา มีหนึ่งไม่มีสองทั้งบนฟ้าและใต้หล้า เมล็ดนี้ก็จะถือเป็นลูกหลานเพียงหนึ่งเดียวของข้า เจ้าอย่าทำให้มันเสียเปล่าเด็ดขาด”
อันธพาลเฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าหวังว่าเจ้าจะไปขุดเอาดินปราณห้าสีบนแหล่งสถานคุนหลุน ไปรับเอาน้ำอริยะเร้นมรรคที่ใต้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไปเด็ดแกนแห่งฟ้าดินบางส่วนจากแหล่งสถานศุภโชค ไปที่แหล่งสถานอัศจรรย์เพื่อ… เอ้อ ทางไปแหล่งสถานอัศจรรย์ขาดไปนานแล้ว…”
“ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร มีดินปราณห้าสี น้ำอริยะเร้นมรรคกับแกนแห่งฟ้าดินก็พอจะหล่อเลี้ยงทายาทผู้เดียวของข้านี้ได้แบบพอถูไถ ถ้าเป็นเช่นนี้สักวันหนึ่ง ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นเหมือนข้า เบิกดวงใจเก้าห้อง มีพลังแฝงสามารถเป็นอริยะปฐมาจารย์ได้”
เมื่อหลินสวินฟังจบเขาก็รู้สึกอยากจะฆ่าคนเสียแล้ว ดินปราณห้าสี น้ำอริยะเร้นมรรคกับแกนแห่งฟ้าดินหรือ นั่นเป็นถึงของวิเศษหายากในตำนานนะ!
ขนาดอริยะยังไม่เคยเห็นว่าใครจะเคยเจอ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอันธพาลเฒ่าผู้นี้กำลังพูดจาส่งเดช เพ้อเจ้อกับตนอยู่!
……
บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ภายใต้การชี้นำของอันธพาลเฒ่า พวกหลินสวินก็เดินเลียบกิ่งก้านหนึ่งในนั้นห่างออกมาเรื่อยๆ เดินเข้าสู่ส่วนลึกของเมฆสูง
“ในสมัยบรรพกาล กิ่งก้านทุกกิ่งของต้นไม้นี้ล้วนไปยังโลกที่แตกต่างกัน ผู้ฝึกปราณที่อยู่บนเขาพยับครามอาศัยต้นไม้นี้ไปท่องเที่ยวโลกต่างๆ ได้ น่าเสียดาย เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้มันประสบเคราะห์ ตอนนี้เหลือเพียงเปลือกนอกที่เย็นเยียบ… พอพูดขึ้นมา ตอนนั้นพวกเราทั้งสองเป็นสหายที่คุยกันทุกเรื่องนะ…”
อันธพาลเฒ่าถอนหายใจ
หลินสวินนึกเสียใจภายหลังขึ้นมากะทันหัน เห็นได้ชัดว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้ล่วงรู้ความลับมากมาย ปล่อยเขาไปเช่นนี้ช่างไม่คุ้มอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นเจ้าคงรู้ว่าศุภโชคอันดับหนึ่งนั่นเป็นสมบัติระดับไหนกันแน่สินะ” หลินสวินใจเต้น
อันธพาลเฒ่าเอ่ยอย่างดูถูกว่า “บนเขาพยับครามแห่งนี้ยังไม่มีเรื่องที่ข้าไม่รู้ ศุภโชคอันดับหนึ่งที่พวกเจ้าว่ากัน เป็นของขวัญบางชิ้นที่อริยะเหล่านั้นทิ้งไว้ในสมัยก่อนเท่านั้นเอง”
พูดถึงตรงนี้เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยพึมพำว่า “แต่ว่าไปแล้ว ศุภโชคที่ปรากฏขึ้นคราวนี้ กลับเป็นระฆังมหามรรคไร้กฎใบนั้น ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น