Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 910-913
ตอนที่ 910 ศุภโชคอันดับหนึ่ง
ม้วนหนังสัตว์ถูกลายมรรคสีทองสายหนึ่งผูกไว้เหมือนเส้นด้าย เปิดออกมาไม่ได้
แต่มันกลับอบอวลไปด้วยรัศมีเทพสีเขียว ทั้งยังมีเสียงธรรมเสียงแล้วเสียงเล่าแว่วมาจากในนั้นอย่างรางเลือน ดุจเสียงอริยบุคคลท่องแก่นแท้มหามรรค
มหัศจรรย์จริงๆ!
พลังจิตวิญญาณของหลินสวินแข็งแกรงปานใด บรรลุระดับดอกเทพรวมยอดอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับไม่อาจสืบเสาะเข้าไปมองปริศนาภายในนั้น
‘หรือว่าปริศนาที่บันทึกไว้ในม้วนหนังสัตว์นี้จะลึกซึ้งและสูงส่งเกินไป ยังไม่ใช่สิ่งที่ข้าซึ่งมีปราณระดับนี้สามารถหยั่งรู้ได้’
หลินสวินใคร่ครวญ
เขารับรู้ได้ว่ากุญแจสำคัญที่จะเปิดม้วนหนังสัตว์นี้ ก็อยู่ที่รอยมรรคสีทองเหมือนเส้นด้ายที่พันผูกอยู่ด้านบนเส้นนั้น
หลังจากเขาศึกษาโดยละเอียดกลับตื่นตะลึงนัก เพราะกลิ่นอายของลายมรรคสีทองนี้มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่สั่นสะท้านจิตใจผู้คนอยู่
‘รัศมีเขียวแผ่พลิ้ว เสียงธรรมก้องสะท้อน ใช้ลายมรรคสีทองพันผูก… ปริศนาที่ซุกซ่อนอยู่ในม้วนหนังสัตว์นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!’
ครู่ใหญ่หลินสวินถึงเก็บสิ่งนี้ไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร ผนึกไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทอดสายตามองไปยังกระบวนผนึกมรรคราชันชุดนั้น
กระบวนค่ายกลนี้ประกอบขึ้นจากธงกระบวนหยกขาวหนึ่งร้อยแปดผืนกับแผ่นจานกระบวนสามแผ่น มีนามว่า ‘จตุลักษณ์ราชัน’ เป็นกระบวนราชันที่บรรพชนเผ่าหงส์เขียวหลอมขึ้นกับมือกระบวนหนึ่ง
ทันทีที่เรียกออกมา สามารถเชื่อมโยงพลังฟ้าดิน ใช้วิชาจตุลักษณ์ คลื่นต้องห้ามที่สร้างขึ้นสามารถกักขังสังหารผู้แข็งแกร่งระดับราชันได้!
พูดได้ว่า นี่ย่อมเป็นมหาอาวุธสังหารชุดหนึ่ง อานุภาพเกินจินตนาการ
ทว่าก็มีเพียงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันเท่านั้น ถึงสามารถปลดปล่อยความเร้นลับและอานุภาพของค่ายกลนี้ออกมาได้ทั้งหมด
อย่างก่อนหน้านี้ยามพวกชิงเหลียนเอ๋อร์วางค่ายกลนี้ แม้ร่วมมือกันควบคุมค่ายกล แต่พลังสังหารที่สำแดงออกมากลับไม่ถึงสามส่วนของอานุภาพทั้งหมด!
และหลังจากศึกษาปริศนาทั้งหมดของกระบวนผนึกมรรคราชันชุดนี้โดยละเอียด ในใจหลินสวินก็เกิดกลัวขึ้นมา เขาแน่ใจได้ว่า หากเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่งลงมือ เกรงว่าตนจะถูกปลิดชีพในชั่วพริบตา!
‘น่าเสียดาย การใช้ค่ายกลนี้ไม่เพียงสิ้นเปลืองพลังกาย ยังต้องใช้แกนวิญญาณขั้นสูงอย่างน้อยนับหมื่นชิ้นเป็นแหล่งพลังงาน ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายมากเกินไปแล้ว…’
หลินสวินถอนใจในใจ
เขารู้ดีว่ากระบวนผนึกมรรคราชันเช่นนี้ มีเพียงวางไว้บนชีพจรปราณวิญญาณที่ล้ำเลิศหาใดเทียบเท่านั้นถึงสามารถโคจรได้อย่างไม่ขาดสาย ไม่สามารถใช้ได้ตามใจชอบ
อย่างไรเสียค่าตอบแทนที่เป็นแกนวิญญาณขั้นสูงนับหมื่นชิ้น อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย แม้แต่ผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้นก็เกรงว่าจะรับได้ยาก!
แกนวิญญาณจำนวนมหาศาลเช่นนี้ สามารถนำไปซื้อยอดศาสตรามรรคราชันได้ชิ้นหนึ่งเลย!
‘แต่ว่า ถ้าสามารถปิดล้อมสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้ สิ่งที่ต้องจ่ายเช่นนี้ก็คุ้มค่านัก…’ หลินสวินลอบตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้กระบวนค่ายกลนี้เป็นอาวุธไม้ตาย จะไม่เอามาใช้โดยง่าย
ที่ทำให้เขายินดีก็คือ เขาชิงแกนวิญญาณขั้นสูงมาได้เกือบสามหมื่นชิ้นจากกำไลหยกเก็บของที่ชิงเหลียนเอ๋อร์ทิ้งไว้
เห็นได้ชัดว่านางก็รู้ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเพื่อโคจรค่ายกลนี้ ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ นางไม่ได้เป็นทั้งผู้แข็งแกร่งระดับราชัน และไม่ได้เป็นปฐมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ต่อให้เตรียมตัวพร้อมสรรพกว่านี้ก็ไม่อาจสำแดงพลานุภาพที่แท้จริงของกระบวนค่ายกลนี้ได้
วู้ม!
ทันใดนั้นต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่เงียบสงบมานาน ตอนนี้กลับแผ่คลื่นคลุมเครือน่าตื่นตระหนกราวฟื้นขึ้นมาใหม่
ชั่วพริบตา รัศมีเทพสีม่วงเปล่งประกายก็ตลบอบอวลออกมาจากลำต้นที่เหมือนหล่อขึ้นจากสำริด พลังชีวิตน่าตื่นตระหนกสาดส่อง
ไม่เพียงแต่หลินสวิน ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ใกล้กับยอดต้นไม้เทพตอนนี้ล้วนตกใจทันที ศุภโชคจะมาถึงแล้วหรือ
……
นอกเขาพยับคราม ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนก็รออยู่ จิตใจร้อนรุ่ม สงสัยนักว่าต้นโคมสำริดมรรคโบราณเงียบเชียบนานไปแล้ว นี่ผ่านไปจะหกชั่วยาม ยังไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิด
“ไม่น่าจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายกระมัง” คนใหญ่คนโตบางคนนิ่วหน้า
ในตอนนี้เองเสียงโครมหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นว่าไหล่เขาครึ่งหนึ่งของเขาพยับครามที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีรัศมีเทพสีม่วงเปล่งประกายหาใดเทียบพุ่งตรงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้า ทำลายชั้นเมฆให้แหลกสลายกระจัดกระจาย
ในชั่วครู่เดียว ฟ้าดิน ภูผาธารา และสรรพสัตว์ล้วนถูกสีม่วงพร่างพรายและศักดิ์สิทธิ์ย้อมขึ้นชั้นหนึ่ง งดงามไร้ขอบเขต ไพศาลสุกสกาว
“นี่…”
ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนหวาดผวา ดวงตาเบิกกว้าง จากนั้นก็ตื่นเต้นเต็มทีแล้ว
“ต้องเป็นมหาศุภโชคมาเยือนแน่แล้ว!”
ชั่วขณะเดียว แม้แต่คนใหญ่คนโตพวกท่านย่ากระเรียนทองยังตื่นเต้นอยู่ในใจ พวกเขารอคอยมาเนิ่นนานแล้ว และภาพศักดิ์สิทธิ์ที่ฉายขึ้นตรงหน้านี้ ทำให้พวกเขาล้วนรับรู้ได้ว่าศุภโชคที่กำลังจะมาถึงคราวนี้ต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างจากก่อนหน้านี้!
……
“ศุภโชคใหญ่ที่แท้จริงจะถือกำเนิดแล้ว…” ใต้ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ มีผู้แข็งแกร่งมากมายรายล้อมอยู่เช่นกัน เพื่อรักษาชีวิต พวกเขาถอยออกจากบนต้นไม้โบราณมาก่อนนานแล้ว ไม่ต้องการเข้าร่วมอีก
แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้เข้า ในใจก็อดกระวนกระวายไม่ได้ อยากจะเข้าไปลองดู
ผู้แข็งแกร่งบางส่วนกัดฟัน เคลื่อนกายพุ่งไปบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณอีกครั้ง พวกเขาไม่ยินยอมมองดูเช่นนี้ ไม่ต้องการพลาดวาสนาใหญ่ที่นานทีปีหนจะมีสักครั้งเช่นนี้
ต่อให้มีความเสี่ยงที่จะสิ้นชีพ แต่หากชิงศุภโชคไปได้ ความทุ่มเททั้งหมดนี้ก็คุ้มค่า!
เพียงแต่แค่ครึ่งทางพวกเขาก็งงงวยเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น เพราะในครรลองสายตาของพวกเขา ดอกตูมสำริดที่เหลืออยู่พวกนั้นยังไม่ทันเบ่งบาน ตอนนี้ก็โรยราไปทีละดอก!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนล้วนงงงัน ยังคงไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง
กลีบดอกไม้ร่วงโรยไปทีละกลีบ หลุดออกจากกิ่งก้าน เหมือนสูญเสียพลังชีวิต ปลิวไปในอากาศไม่นานก็สลายไปเหมือนฝุ่นควัน หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดอกตูมสำริดแต่ละดอกล้วนเป็นตัวแทนของศุภโชคแต่ละชิ้น!
แต่ตอนนี้กลับโรยราแห้งเหี่ยว นั่นช่างเหมือนมองดูศุภโชคชิ้นแล้วชิ้นเล่าสูญสลายไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เหล่าผู้กล้าล้วนใจสั่นระรัว ยอมรับได้ยาก
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้
“ดูนั่น! พลังชีวิตที่ดอกตูมสำริดเหล่านั้นพรั่งพรูออกมาล้วนไหลพุ่งไปยังบริเวณยอดต้นไม้!” มีผู้แข็งแกร่งร้องดังลั่น
คำพูดเดียวปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ พบเห็นความแปลกประหลาดในยามนี้ สาเหตุที่ดอกตูมสำริดเหล่านั้นโรยรา ก็เพราะกำลังสูญเสียพลังชีวิตที่บรรจุอยู่ภายใน
ถูกดึงไปรวมที่ยอดต้นไม้ ราวกับถูกพลังไร้รูปร่างดูดกลืน!
ส่วนบริเวณยอดต้น ตอนนี้เหมือนมีดวงอาทิตย์สีม่วงดวงหนึ่งกำลังส่องแสง รังสีเปล่งประกาย สาดส่องชั้นเมฆสูง ตระการตาถึงที่สุด
แม้เป็นด้านล่างของต้นไม้โบราณ หรือนอกภูเขาพยับครามก็เห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“สวรรค์ นั่นคือ…”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในบริเวณต่างๆ ผู้แข็งแกร่งทุกคนล้วนแสดงสีหน้าตื่นตระหนก เพราะนั่นไม่ใช่ดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง แต่เป็นดอกตูมสำริดที่กำลังจะเบ่งบานดอกหนึ่ง
เพียงแต่เพราะแสงที่สาดส่องออกมานั้นเจิดจ้าและแสบตาเกินไป ส่องสว่างทั้งฟ้าดิน ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นดวงอาทิตย์ส่องแสงกลางนภา
“ศุภโชคอันดับหนึ่ง นั่นต้องเป็นศุภโชคอันดับหนึ่งแน่ ไม่เคยมีมาก่อน หายากทั้งในอดีตและปัจจุบัน ต้องไม่เหมือนสิ่งใดในโลกา!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งพึมพำเสียงหลง ตื่นเต้นจนตัวสั่น
คนใหญ่คนโตผู้อื่นก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาต่างดูออกว่าศุภโชคอันดับหนึ่งคราวนี้ดูต่างออกไปยิ่งนัก ไม่เหมือนกับในเทศกาลโคมธรรมกถามรรคคราวก่อนๆ โดยสิ้นเชิง
เพราะในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ศุภโชคที่ดอกตูมสำริดดอกอื่นให้กำเนิดกลับไหลพุ่งขึ้นไปที่ดอกตูมสำริดดอกเดียวเท่านั้น ประหนึ่งหมื่นสายธารหวนคืนต้นกำเนิด นี่ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก
ดุจดั่งเหล่าขุนนางกำลังสักการะราชันองค์หนึ่ง!
……
‘มาแล้ว!’
อวี่หลิงคงผุดลุกขึ้น สายตาราวรุ้งเทพแผ่พุ่ง น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ เงาร่างของเขาไหววูบ หายตัวไปจากที่เดิมแล้ว
‘ก็ไม่รู้ว่าศุภโชคอันดับหนึ่งคราวนี้จะเป็นสิ่งใดกันแน่ เป็นมรดก หรือจะเป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง หรือไม่แน่อาจจะเป็นสมบัติเทพบางอย่าง’
จี้ซิงเหยาใคร่ครวญไปพลางก้าวเดิน เงาร่างคลุมเครือเคลื่อนไปยังที่ไกลออกไป
‘มหาสงครามกำลังจะมาถึง มหาศุภโชคที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังจะถือกำเนิดขึ้น คราวนี้ก็ต้องดูว่าใครจะมีความสามารถแย่งมันมาไว้ในมือได้แล้ว…’
ลั่วเจียครุ่นคิด ร่างสูงโปร่งอรชรของนางส่องแสงสกาว ผุดผ่องและตระการตาราวหงส์เซียน
“อันธพาลเฒ่า เจ้าว่าอะไรนะ”
ยามเมื่อหลินสวินเตรียมการเคลื่อนไหว กลับสังเกตเห็นในทันใด ว่าโสมขาวที่กำราบอยู่ในเจดีย์วิญญาณไร้อักษรต้นนั้นกลับพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ศุภโชคเช่นนี้ อย่างพวกเจ้าก็คิดจะยื่นมือเข้าไปหรือ อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!”
“อยากรู้ไหมล่ะ หึๆ ปล่อยข้าไปก็จะบอกเจ้าให้!” เจ้าเฒ่านี่พูดอย่างไร้กังวล เป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่งชัดๆ แต่ท่าทางกลับเหมือนอันธพาลเฒ่า
ตู้ม!
หลินสวินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ใช้แสงมรรคทองนิลกาฬกำราบ ทรมานอันธพาลเฒ่าผู้นี้จนร้องโหยหวน ปากก็ด่าทอด้วยวาจาสกปรกหยาบคายฟังไม่เข้าหู
แต่สุดท้ายมันก็กลัวแล้ว ท่าทางหมองเศร้าขุ่นเคืองจนอยากตาย “นั่นเป็นที่อยู่ของรากฐานแห่งเขาพยับคราม เป็นก้อนผลึกเลือดหัวใจทั้งชีวิตของเหล่าอริยะ ข้ากล้ารับรองเลยว่าผู้กล้าที่เรียกกันอย่างพวกเจ้านี้ ไม่มีทางโชคดีได้มันไปครอง กลับกันจะชักนำภัยพิบัติถึงตายมาให้พวกเจ้า!”
หลินสวินใจสั่นระรัว เจ้าอันธพาลเฒ่าผู้นี้ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆ
“พูดให้มันชัดเจนหน่อย!” หลินสวินเค้นถามเสียงเหี้ยมเกรียม ใช้แสงมรรคทองนิลกาฬกดอยู่เช่นนั้น สะสมพลังรอปลดปล่อย
ต่อกรกับอันธพาลเฒ่าพรรค์นี้ ก็ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะใจดีด้วยไม่ได้เด็ดขาด
“ตกลงเป็นอะไรกันแน่ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” อันธพาลเฒ่าร้องเสียงดังเดือดดาล
หลินสวินไม่เกรงใจสักนิด ปู้ยี่ปู้ยำอีกรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายอันธพาลเฒ่าผู้นี้กลับพูดที่มาที่ไปออกมาไม่ได้
สุดท้ายบีบเค้นมันหนักจนยิ่งข่มขู่ว่า “ไอ้เด็กระยำ เจ้าแม่งฆ่าข้าเสียตอนนี้เลยสิวะ หาไม่แล้วรอวันที่ข้าหลุดออกไปได้ จะฆ่าเจ้าให้ตายคามือเลย”
คำว่า ‘ฆ่า’ ถูกเขากัดฟันกรอดเน้นเสียง แสดงสันดานอันธพาลออกมาอย่างหมดจด
ช่างทำให้ผู้อื่นไม่อาจคาดคิดได้ว่า โอสถราชันไร้เทียมทานที่มีสติปัญญาเช่นนี้ต้นหนึ่ง มีนิสัยอันธพาลชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไร
ในที่สุดหลินสวินก็เลิกเค้นถาม ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหันกายเคลื่อนไปยังบริเวณยอดต้นไม้นั้น
แม้กล่าวว่าอันธพาลเฒ่าไม่ได้พูดอะไรชัดเจนออกมา แต่กลับทำให้หลินสวินเข้าใจว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในดอกตูมสำริดดอกนั้น จะต้องเป็นมหาศุภโชคที่เหล่าอริยะใช้เลือดหัวใจทั้งชีวิตเหลือทิ้งไว้ ทั้งถูกขนานนามว่าเป็นรากฐานของเขาพยับครามแห่งนี้!
เรื่องนี้น่าตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย เกี่ยวข้องกับเหล่าอริยะ แค่คิดก็รู้ว่าศุภโชคนี้ไม่ธรรมดาปานไหน!
ยอดต้นโคมสำริดมรรคโบราณ แสงสีม่วงตลบอบอวลเจิดจ้า ที่ยอดลำต้นต้นไม้โบราณมีดอกตูมสำริดดอกหนึ่งกำลังจะเบ่งบาน แสงมรรคแสบตาหาใดเทียบพรั่งพรูออกมา
ครืนโครม!
เสียงธรรมยิ่งใหญ่เกรียงไกรระลอกแล้วระลอกเล่าดังออกมาจากดอกตูมสำริดดอกนั้น เหมือนระฆังทองสั่นสะท้านกังวาน พาให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
เมื่อหลินสวินมาถึงบริเวณนี้ ผู้กล้าแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา ลั่วเจีย รวมถึงคนอื่นๆ บางส่วนก็มาถึงแล้ว
สายตาทุกคู่ล้วนพากันจับจ้องที่ดอกตูมสำริดดอกนั้น สีหน้าแตกต่างกันไป
ตอนที่ 911 ลานธรรมแจ้งมรรค
ยอดต้นไม้สูงเสียดยอดเมฆ ที่แห่งนี้หมอกม่วงรำไรดุจอยู่บนสวรรค์
ส่วนยอดลำต้นโคมสำริดมรรคโบราณซึ่งกว้างราวสิบกว่าคนโอบ ดอกตูมสำริดกำลังแสดงฉากวิเศษอัศจรรย์
มันขนาดเพียงกำปั้น แต่สาดส่องแสงมรรคไร้สิ้นสุด เปล่งประกายดั่งโคมแห่งตะวัน สาดส่องจักรวาลภูผาธารา
เสียงธรรมเลือนรางสะท้อนก้องจากตรงกลาง ดุจระฆังอรุณกลองสายัณห์ สะเทือนโสตแม้คนหูหนวกยังได้ยิน
เมื่อดูโดยละเอียด ดอกตูมที่พร้อมผลิบานนั้นมีสี่สิบเก้ากลีบพอดี แต่ละกลีบล้วนปรากฏกลิ่นอายแตกต่าง เสมือนร่องรอยมหามรรคประทับอยู่บนนั้น มหัศจรรย์หาใดเปรียบ
“มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง เสื่อมสูญมากล้นเพิ่มเสริมไม่พอ”
“ดอกไม้นี้ซ่อนจำนวนแห่งอุบัติฟ้า อาศัยลักษณ์แห่งโคมเผยร่องรอยมรรคอัศจรรย์ เหมือน ‘หนึ่ง’ รอดพ้นนั้นเริ่มก่อเกิดสรรพสิ่ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมหามรรค…”
“ศุภโชคที่ซ่อนแฝงในคำพูดนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!”
มีผู้แข็งแกร่งพึมพำ สีหน้าเปี่ยมความไหวสั่นและฮึกเหิม
บริเวณใกล้เคียง บุคคลแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ลั่วเจียและผู้แข็งแกร่งอื่นล้วนมาถึง เห็นปรากฏการณ์ประหลาดยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลาเช่นนี้กับตา จิตใจต่างไม่อาจนิ่งสงบ
ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่แหละคือศุภโชคอันดับหนึ่ง!
ในใจหลินสวินพลันตื่นตะลึง ดอกตูมสำริดหนึ่งเดียวนี้ปรากฏลักษณ์สะเทือนใต้หล้า วิเศษอัศจรรย์ผิดธรรมดาเหลือเกิน
เพียงแต่ หากศุภโชคซึ่งซ่อนอยู่ภายในคือสิ่งที่เหล่าอริยะเมื่อครั้งบรรพกาลใช้เลือดหัวใจทั้งชีวิตเหลือทิ้งไว้จริง เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องปกติ
‘หลินสวิน เจ้าระวังตัวด้วย อวี่หลิงคงหมายมั่นสังหารเจ้าแล้ว เจ้าต้องระวังให้ดี!’ ทันใดนั้นข้างหูหลินสวินได้ยินเสียงสื่อจิตใสไพเราะหนึ่ง
หลินสวินสีหน้าคงเดิม แต่ตัดสินได้ในฉับพลันว่าเสียงนี้มาจากไป๋หลิงซี ขณะนี้นางกำลังยืนอยู่ข้างอวี่หลิงคง
ที่อยู่กับนางยังมีผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะอีกสี่ห้าคน
หลินสวินยังจำได้แม่นว่าตอนเข้าร่วมบททดสอบถกมรรค มีผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะราวสิบกว่าคนมาเข้าร่วม
แต่เห็นชัดว่าเกินครึ่งล้วนถูกคัดออกในระหว่างการทดสอบ เหลือแค่พวกไป๋หลิงซีและอวี่หลิงคงมาถึงที่แห่งนี้พร้อมกัน
‘ข้ารู้’ หลินสวินสื่อจิตตอบกลับ ไม่ได้รู้สึกเกินคาดหมาย ต่อให้อวี่หลิงคงไม่มาหาเขา เขาก็จะไปหาอวี่หลิงคงเอง!
‘เจ้าอย่าได้ประมาท ตัวอวี่หลิงคงก้าวสู่มกุฎมรรคา มรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดนานแล้ว อีกทั้งในมือเขายังถือครองสมบัติอริยะตำหนักอมตะ นี่เป็นสมบัติพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่งของแดนพิสุทธิ์อมตะ มีพลังพิฆาตน่ากลัวอย่างที่สุด ข้าว่าเจ้า…’
ไป๋หลิงซีเหมือนวิตกกังวลยิ่ง กล่าวเตือนและเกลี้ยกล่อมหลินสวิน
หลินสวินฟังเงียบๆ ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น แม้กล่าวว่าเขามีศัตรูมากมาย แต่ก็มีสหายไม่น้อยเช่นกัน
ไป๋หลิงซีคือหนึ่งในนั้นโดยไม่ต้องสงสัย
‘หลิงซี รับปากข้าเรื่องหนึ่ง’ หลินสวินสื่อจิตกล่าว ‘หากข้าและอวี่หลิงคงเกิดปะทะกัน เจ้าอย่าได้เข้ามาขวาง’
ไป๋หลิงซีชะงักงัน เนตรดาราฉายแววสับสน แอบทอดถอนใจ ตระหนักได้ว่าการประลองนี้ยากเปลี่ยนแปลง
เพราะไม่ว่าอวี่หลิงคงหรือหลินสวิน จากนิสัยของพวกเขาคงไม่ยอมถอยสักก้าว!
…
สวบ!
ทันใดนั้นมีผู้แข็งแกร่งอดรนทนไม่ไหว ชิงออกเคลื่อนไหวก่อน หมายเข้าไปสืบค้นเสาะหา
แต่ยังไม่รอให้เข้าประชิดก็ถูกแสงมรรคสีม่วงสายหนึ่งกวาดลอยออกไป ร่วงคะมำนอกระยะสิบกว่าจั้งอย่างหนักหน่วง สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นเห็นดังนี้ในใจพลันสั่นสะท้าน ข่มความละโมบและวู่วามลง ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
บางคนหัวเราะเยาะ “ศุภโชคยังไม่เกิดขึ้นจริงก็หมายชิงลงมือก่อน อยากตายจนทนไม่ไหวจริงๆ นะ”
ตามเวลาที่ล่วงเลย ดอกตูมสำริดนั้นเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ทำผู้คนไม่อาจมองโดยตรง อีกทั้งเสียงธรรมระลอกแล้วระลอกเล่ากึกก้องไร้ขีดจำกัด ประดุจเสียงเทพกรอกหู พาให้คนรู้สึกจิตวิญญาณสั่นสะท้าน
ซ่า…
ทันใดนั้นดอกตูมสำริดดอกนั้นพลันเบ่งบาน แสงมรรคมงคลนับหมื่นพันพวยพุ่งออกมาหลากสาย ทะลวงขึ้นห้วงนภา
ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันพร่ามัว ฟ้าดินกลายเป็นอีกทัศนียภาพกะทันหัน
ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้า กิ่งก้านเขียวชอุ่มพลิ้วไหว ใต้ต้นไม้โบราณกลับเป็นลานธรรมเก่าแก่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง
ฟ้าดินเปิดโล่ง เวิ้งฟ้าเมฆมงคลแผ่วพลิ้ว กลางห้วงอากาศไอขุ่นมัวตลบอบอวล มีกลิ่นอายแห่งกาลเวลาที่พุ่งเข้ามา ราวกับมาถึงยุคบรรพกาล
ตรงกลางลานธรรม เงาร่างสิบกว่าร่างแยกกันนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง มีทั้งชายและหญิง ทั้งชราและเยาว์วัย รูปร่างลักษณะแม้แตกต่าง แต่ทุกคนล้วนอบอวลไออริยเทพ อานุภาพเทียมฟ้า มีความน่าเกรงขามพาให้สรรพสิ่งในฟ้าดินยำเกรง
พวกเขาคล้ายกำลังถกมรรค ทั่วลานธรรมเต็มไปด้วยเสียงต่างๆ บ้างฉะฉาน บ้างอ่อนโยน บ้างห้าวหาญ บ้างนุ่มนวล เมื่อได้ยินแล้วกลับเป็นเสน่ห์อีกแบบ ประดุจสัทครรลองมหามรรคกำลังสะท้อนก้อง มีพลังที่สัมผัสถึงส่วนลึกในจิตใจ
เพียงชั่วขณะทุกคนต่างนิ่งงันอยู่ตรงนั้น สีหน้ามึนงง
ภายในจิตพวกเขาราวมีเสียงธรรมหลากสายไหลบ่า คล้ายมาจากธรรมชาติอันห่างไกล พาให้สมองทุกคนปราศจากสิ่งใด กระจ่างว่างเปล่า นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นตามจิตใต้สำนึก
หลินสวินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาในเวลานี้ราวเด็กน้อยไม่รู้ประสาที่ได้ฟังมหามรรคเป็นครั้งแรก งงงวยเคลิบเคลิ้ม พิศวงมึนงง ไม่ทราบที่มา ไม่รู้จุดจบ แต่กลับตระหนักถึงพลังแห่งมรรคได้โดยธรรมชาติ คล้องตามสอดคล้องกับหมื่นมายาฟ้าดิน
ทั่วร่างเขาอบอวลไปด้วยเจตจำนงแห่งมรรคหลากสาย เรืองแสงแวววาว ว่างเปล่าไร้มลทิน พลังทั่วร่างขับเคลื่อนตามอารมณ์ ไหลเวียนหมุนวนไม่หยุดหย่อน
ท่ามกลางความเคลิ้มลอย เขาคล้ายเห็นว่ากลางลานธรรมมีมังกรฟ้าขดล้อม หงส์เพลิงสยายปีก บุปผากระจ่างมหามรรคโปรยปราย แสงสุวรรณหลากสายฉายสาดทุกแห่งหน
อริยเทพทั้งหมดกำลังถกมรรค เป็นภาพปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่กลางฟ้าดิน
ทว่าไม่ทันไรลักษณ์ประหลาดทั้งหลายก็เลือนหาย ทุกคนต่างตื่นจากสภาพมึนงงเมื่อครู่กะทันหัน
ต่อมาพวกเขาก็พบว่า ปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านั้นแม้จางหาย แต่ลานธรรมยังคงอยู่ เพียงแต่ว่างเปล่าไปทั้งแถบ เงาร่างอริยเทพทั้งหมดที่ถกมรรค รวมถึงต้นไม้ใหญ่เก่าแก่เขียวชอุ่มต่างหายลับจากไป
“นี่…”
ทุกคนนัยน์ตาหดรัด หรือนี่คือศุภโชคอันดับหนึ่ง
พวกเขาดูไม่ออก
อัศจรรย์เกินไปแล้ว แต่ละภาพเมื่อครู่ยังค้างอยู่ในความทรงจำ เห็นชัดว่าไม่ได้ฝันไป
สิ่งนี้สื่อความนัยโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ศุภโชคบังเกิดต่อหน้าแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยความเร้นลับ ต้องทำการสืบค้นและเสาะหา!
วู้ม…
คลื่นมหัศจรรย์ซ่อนเร้นแผ่กระจายเป็นระลอกอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นว่าใต้ฝ่าเท้าตนปรากฏเบาะรองนั่งหนึ่ง
พลันมีคนใจหวั่นไหวคล้อยตาม เริ่มนั่งสมาธิก่อน เพียงชั่วขณะก็เห็นทั่วร่างเขาส่องประกาย กลางฟ้าดินก้องเสียงธรรมหลากสายปกคลุมทั้งตัวเขา
หรือกำลังรับมรดก?
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นเห็นดังนี้ ต่างขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นกลางฟ้าดินมีเสียงธรรมดั่งคลื่นซัดสาดไหลบ่าลง อาบไล้ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนไว้ภายใน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เห็นได้ว่ายุติธรรมยิ่ง
เสียงธรรมที่ได้ยินข้างหูพาให้คนร่างสั่นเทิ้ม จิตวิญญาณขานรับไปกับมัน ในใจหลินสวินพลันปรากฏการหยั่งรู้นานัปการ
นี่คือแก่นอัศจรรย์แห่งมหามรรคที่เหล่าอริยะเผยแพร่ ไม่ใช่มรดกสืบทอดโดยจำเพาะ แต่เป็นประสบการณ์และใจความที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียร
แต่ไม่ต้องสงสัย ใจความและการหยั่งรู้เช่นนี้ล้ำค่าเสียยิ่งกว่า!
หลินสวินตั้งจิตหยั่งรู้ วิญญาณแห่งพลังจิตกลับระวังโดยรอบ ด้วยห่วงว่าจะถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นลอบโจมตีเวลานี้
เขารับฟังโดยละเอียด โคจรวิชาลับดวงใจฉิวหนิวมาหยั่งรู้ ศึกษาแก่นอัศจรรย์อันล้ำลึกยอดเยี่ยมแห่งมหามรรคที่ถูกบรรยายออกมาเหล่านี้โดยละเอียด กายจิตถูกกระเทือนอย่างรุนแรง
ท่ามกลางความเลื่อนลอย คล้ายหวนกลับไปสู่อดีตสมัยบรรพกาล ได้เป็นประจักษ์พยานให้อริยะคนแล้วคนเล่าตั้งแต่เริ่มก้าวสู่มหามรรค จนถึงผงาดง้ำกลางฟ้าดิน กรำศึกทั่วจตุรทิศ พุ่งไปบนหนทางบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่งใหญ่
แต่ละเส้นทางล้วนต่างกันไป
บ้างชาติกำเนิดต้อยต่ำ แต่อาศัยร่างอันต่ำต้อยเข้าถึงมรรค พลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต ก้าวสู่อิสระอันยิ่งใหญ่ หนทางอริยะแห่งอิสระไร้ผูกมัด
บ้างพรสวรรค์เป็นเลิศ ผ่านประสบการณ์อันตราย มรรคาลุ่มดอนไร้เสถียร เก้ามรณาหนึ่งรอดพ้น อาศัยเจตจำนงแน่วแน่เข้าถึงมรรคกลายเป็นอริยะ
และยังมีบางคนไม่ดำเนินตามขนบ หนทางบำเพ็ญเพียรมาพร้อมด่านเคราะห์ชั้นเล่าชั้นเล่า ย่ำกระดูกขาวกองพะเนิน ฟันฝ่ามรรคาแห่งตนออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือดอย่างแข็งกร้าว!
…
มรรคาที่แตกต่าง การบำเพ็ญเพียรที่แตกต่าง กลายเป็นประสบการณ์และการหยั่งรู้นานัปการที่แตกต่างไป ต่างกำลังเปิดออกภายในใจหลินสวินราวกับม้วนภาพหลากหลาย
เขาดื่มด่ำอยู่ภายใน ลิ้มรสโดยละเอียด ใช้มรรคาของคนในอดีตมาเป็นกระจก ส่องสะท้อนและคลี่คลายหนทางแห่งตน ได้รับการเบิกทางขนานใหญ่ ปริศนาบางส่วนที่ก่อนหน้านี้ยังไม่กระจ่างยามบำเพ็ญเพียรทยอยถูกเปิดออก มีความรู้สึกประหนึ่งพบทางสว่างฉับพลัน ได้รับประโยชน์ใหญ่หลวง
พรูด!
ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปทั่วร่างไหวสั่นรุนแรง กระอักเลือดออกจากปากคำหนึ่ง
เกือบจะเวลาเดียวกัน เสียงเฉยชาเสียงหนึ่งสะท้อนก้องกลางฟ้าดิน “จิตไม่แน่วแน่ ลุ่มหลงแก่นอัศจรรย์มหามรรค บิดเบือนจิตมรรคแห่งตน ไม่อาจรับมรรคาแห่งข้า ไร้วาสนาต่อศุภโชค ถอยไปเสีย!”
ตามหลังเสียงนั้น ผู้แข็งแกร่งที่กระอักเลือดคนนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกคลื่นอากาศพัดหายไปจากจุดเดิม
ทันใดนั้นทุกคนที่กำลังหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์มหามรรคต่างสั่นสะท้านในใจ ถูกทำให้ตระหนก
“หรือนี่คือการทดสอบคัดศิษย์และเผยแพร่มรรคอย่างหนึ่ง ใครสามารถหยั่งรู้มหามรรคเหล่านี้ได้ดีกว่าก็มีสิทธิ์ช่วงชิงศุภโชค?” มีคนกล่าวเสียงเบา มองเบาะแสออกเสี้ยวหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งที่สามารถยืนหยัดถึงตอนนี้ แต่ละคนต่างมีสติปัญญาไม่ธรรมดา แน่นอนว่าล้วนมองความอัศจรรย์นี้ออก ฉับพลันต่างครัดเคร่ง ไม่กล้าละเลยแม้เพียงเสี้ยว
หลินสวินเองก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่ชักช้า หยั่งรู้อย่างต่อเนื่อง
เพราะเขาค้นพบว่า มรรคามากมายที่ประทับในการหยั่งรู้เหล่านี้ หากสามารถเรียนรู้และพิสูจน์ได้ ต้องมีประโยชน์ต่อมรรคาที่เขาแสวงหาอย่างไม่อาจประเมิน!
เพียงแต่ไม่ทันไร วิญญาณแห่งพลังจิตของเขาก็จับสังเกตไอสังหารสายหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ถูกทำให้ตกตื่นทันที จากนั้นก็เห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานมาทางตน
จั๋วขวงหลัน!
เขาในตอนนี้ประดุจกระบี่ไร้เทียมทาน พลังขับเคลื่อนทั่วร่างรวมเป็นหนึ่ง เรียกกระบี่วิญญาณออกมา อาศัยความเร็วอันเหลือเชื่อพุ่งเข้าโจมตี
แต่ยามเขาเคลื่อนไหวได้ครึ่งทาง กระบี่วิญญาณนั้นกลับถูกขจัดอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง จู่ๆ ก็เลือนหายไป แม้กลิ่นอายเพียงเสี้ยวล้วนไม่เหลือ
ทั้งตัวเขากลับประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ถูกผนึกค้างอยู่ในท่าพุ่งโจมตีกลางอากาศ สีหน้าหวาดผวาและตกตื่น
“เกิดไอสังหารท่ามกลางการหยั่งรู้ ไม่ต่างจากลุ่มหลง ถอยไปเสีย!” กลางฟ้าดิน เสียงเฉยชานั้นดังก้องขึ้นอีกครั้ง
“ไม่…!” จั๋วขวงหลันตระหนกขุ่นเคือง เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมถึงขีดสุด คล้ายคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ หากรู้ก่อนแต่แรก เขาคงไม่มีทางผลีผลามลงมือแน่
แต่เสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว ไม่ว่าเขาดิ้นรนอย่างไรก็ยังถูกเคลื่อนย้ายออกจากลานธรรม หายลับไปในชั่วพริบตา
ชั่วขณะเดียวเหล่าผู้กล้าพลันตกตะลึงอีกครั้ง โดยเฉพาะพวกอวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง แต่ละคนแววตาวูบไหว สีหน้าเจือความประหลาดใจสงสัยอย่างยากคลี่คลาย
ตอนที่ 912 ไตรวิถีมกุฎ
ขณะทำการหยั่งรู้กลางลานธรรม มีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยที่ในใจมีความคิดเป็นอื่น เห็นว่านี่คือจังหวะเหมาะที่สุดในการลอบโจมตีคู่แข่ง
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่จั๋วขวงหลันประสบกับตา ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างตระหนกจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว ลอบดีใจที่ตนยังไม่ได้ลงมือ
‘อารมณ์ชั่ววูบ ตัดหนทางสู่วาสนายิ่งใหญ่แท้ๆ’ มีคนเกิดเวทนา แอบทอดถอนใจ
พวกเขาต่างรู้ดี จั๋วขวงหลันคือบุคคลแห่งยุคจากสำนักกระบี่โผผินผู้หนึ่ง วิชากระบี่ลึกซึ้งยากหยั่งถึง
ศุภโชคอันดับหนึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้เขาถูกคัดออก กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าครั้งหนึ่งไปโดยปริยาย
จะว่าไปแล้ว เขาและหลินสวินหาได้มีความแค้นต่อกัน สาเหตุที่ลงมือเป็นเพราะเซี่ยอวี้ถัง
เซี่ยอวี้ถังมาจากสำนักกระบี่โผผินเช่นกัน แต่เคยถูกหลินสวินกำราบและเหยียบย่ำริมฝั่งทะเลปรวนแปร สิ่งนี้ถูกจั๋วขวงหลันเห็นเป็นความอัปยศ ในตอนนั้นแสดงท่าทีหมายช่วยเซี่ยอวี้ถังทวงคืนความเป็นธรรม
ที่น่าเสียดายคือ เขายังไม่ทันโรมรันกับหลินสวินก็ถูกคัดออก ผลลัพธ์นี้ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คน
‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง’
สำหรับเรื่องนี้ ในใจหลินสวินไม่ตระหนกวิตก
แม้จั๋วขวงหลันไม่ถูกคัดออก การลอบโจมตีก็ไม่มีทางสำเร็จ กลับจะถูกตนที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วจู่โจมสังหาร!
…
ลานธรรมเก่าแก่กระดำกระด่าง ไหลเวียนกลิ่นอายแห่งยุคสมัย ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง กลางฟ้าดินก้องสัทครรลองมหามรรคลึกลับซ่อนเร้นนานัปการ
ประดุจเหล่าอริยะกำลังท่องคัมภีร์
นี่ไม่ได้เป็นแค่ประสบการณ์ล้ำค่าของหลินสวิน สำหรับผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างก็เป็นศุภโชคการหยั่งรู้ที่ยากพบเห็นหาใดเปรียบเช่นกัน
ใจความการหยั่งรู้และประสบการณ์ของเหล่าอริยะ ไม่ว่าบทใดที่เผยแพร่ออกมาล้วนเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่า หายากเป็นประวัติการณ์ ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันต่างอิจฉาตาร้อนและน้ำลายหก
ตามเวลาที่ล่วงเลย เมื่อใดที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งนั่งสมาธิหยั่งรู้กลางลานธรรมเผยความปิติ ก็เท่ากับพวกเขาเก็บเกี่ยวได้มาก
ชั่วขณะหนึ่งลานธรรมที่ปรากฏออกมาจากดอกตูมสำริดเงียบสงบยิ่งกว่าเดิม มีกลิ่นอายความสงบเคร่งขรึมประการหนึ่ง
ทุกคนต่างกำลังนั่งสมาธิและหยั่งรู้ไขว่คว้าทุกช่วงเวลา ซึมซาบเนื้อหาแจ้งมรรคแห่งเหล่าอริยะที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพกาล
ทั่วร่างหลินสวินแวววาวส่องประกาย หยั่งรู้หนทางสู่มรรคที่แตกต่าง
แต่ละมรรคาล้วนมหัศจรรย์หาใดเปรียบ เปี่ยมปริศนาล้ำลึกยากจินตนา ทำให้ทั้งกายและจิตหลินสวินดื่มด่ำอยู่ในนั้น ทำการพิสูจน์มรรคาแห่งตน
จนตอนนี้เขาถึงได้กระจ่างแจ้ง ว่าสิ่งที่เรียกว่ามกุฎมรรคาอันแข็งแกร่งที่สุดไม่ได้มีแค่อย่างเดียว!
บางคนเคลื่อนย้ายเลือดลมในร่างตน เดินในเส้นทางการหลอมกาย หล่อหลอมเลือดลม ขัดเกลากายมรรค แปรสภาพร่างกายตนไปจนถึงขีดจำกัด บรรลุถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ครั้นแล้วจึงก้าวสู่มกุฎ
มรรคนี้ ถือเป็นหนทางแห่ง ‘กายหยาบบรรลุอริยะ’
บางคนศึกษาวิชาหลอมปราณ สืบอดีตแปรปัจจุบัน ฝึกวิชาอัศจรรย์นับพันวิชามรรคนับหมื่น สุดท้ายเข้าใจรอบด้านทะลุปรุโปร่ง เดินในเส้นทางแห่งการยกระดับถึงขีดสุด ก้าวสู่ยอดมกุฎ
มรรคนี้ ถือเป็นมรรคาแห่งการ ‘หลอมปราณแปรอริยะ’
และมีบางคนทิ้งกายเนื้อร่างหยาบ มุ่งเน้นที่วิชาจิตวิญญาณ หล่อจิต ควบคุมจิต เร้นจิต แปรจิต… ก้าวสู่มกุฎทีละขั้น
มรรคนี้ ถือเป็นมรรคาแห่งการ ‘หลอมจิตเปลี่ยนอริยะ’
รูปแบบการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันทั้งสามแบบถูกเรียกว่า ‘ไตรวิถีมกุฎ’ แต่ละประเภทต่างประกอบด้วยสรรพสิ่ง ลึกลับซ่อนเร้น
หนทางแห่งมกุฎนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แทบจะอยู่ในไตรวิถีมกุฎทั้งสิ้น!
แต่มกุฎมรรคาที่ผู้ฝึกปราณแต่ละคนแสวงหาในแบบรูปธรรมนั้นต่างกันไป ไม่อาจใช้มาตรฐานเดียวกัน
เฉกเช่นมกุฎมรรคาที่หลินสวินเหยียบย่างในปัจจุบัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของ ‘มรรคาหลอมปราณ’
…
หลินสวินคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ว่าจะได้รับรู้ปริศนาส่วนหนึ่งของมกุฎมรรคาในลานธรรมวิเศษอัศจรรย์นี้
แต่ก่อนเขาควานหาด้วยตัวคนเดียวทั้งสิ้น กลั่นกรองและพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงมีความสำเร็จเช่นวันนี้
ทว่าในใจยังคงมีปริศนาไม่น้อยที่ไม่อาจคลี่คลาย สาเหตุเกิดจากบันทึกเกี่ยวกับมกุฎมรรคาบนโลกนี้น้อยเหลือเกิน ต้องมีวาสนาจึงพบพาน แน่นอนว่าไม่อาจให้หลินสวินไปอ้างอิงและหยั่งถึง
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง ขณะเขาหยั่งรู้ มกุฎมรรคาหลายหลากซึ่งปรากฏ กลายเป็นประสบการณ์และใจความนานัปการอุบัติขึ้นในจิตใจ ทำให้เขาเหมือนได้ค้นคว้าบทความคัมภีร์มรรคอันอัศจรรย์ แม้ไม่ใช่วิธีเข้าถึงและสืบทอดโดยจำเพาะ แต่กลับได้ประโยชน์มากยิ่งกว่า!
ทว่าไม่ทันไรหลินสวินก็มุ่นคิ้ว การหยั่งรู้จากระดับกำลังภายมาจนถึงระดับกระบวนแปรจุติล้วนราบรื่นยิ่ง ทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม ชำระและเผยปริศนาทีละเรื่องในใจ แต่เมื่อหยั่งรู้ถึงระดับกระบวนแปรจุติก็พลันหยุดชะงัก ไม่มีแล้ว
‘ไม่ถูก ผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างกำลังหยั่งรู้… ถ้าเช่นนั้นคงเป็นเพราะปราณแห่งตนถึงขั้นไหน ก็สามารถหยั่งรู้ประสบการณ์และใจความได้ถึงขั้นนั้น’
‘เหมือนอย่างข้าที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา เมื่อหยั่งรู้จึงสามารถเข้าถึงใจความและประสบการณ์นานัปการที่เกี่ยวกับมกุฎมรรคาได้’
‘ลานธรรมนี้ช่างวิเศษอัศจรรย์เกินไปแล้ว ต้องเป็นแดนมรดกที่อริยะบรรพกาลหลงเหลือไว้แน่!’
หลินสวินพิจารณาใคร่ครวญ รำพึงอยู่ในใจ
มรดกเช่นนี้ทั้งไร้วิธีเข้าถึงโดยรูปธรรม ทั้งไร้วิชามรรคโดยจำเพาะ แต่เป็นใจความและประสบการณ์ของการบำเพ็ญเพียรรูปแบบหนึ่ง เห็นชัดว่าเหล่าอริยะเมื่อครั้งบรรพกาลทำเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้คนเลียนแบบมรรคา เดินซ้ำหนทางเก่าของพวกเขา
แต่พวกเขาได้มอบประสบการณ์ที่สามารถนำไว้อ้างอิงหยั่งถึง ชี้นำผู้ฝึกปราณไปพิสูจน์มรรคาแห่งตน หากไม่บรรลุถึงระดับนั้นก็ไม่อาจเข้าใจประสบการณ์ของระดับนั้นได้
เนื้อหาการหยั่งรู้นอกเหนือขอบเขตระดับกระบวนแปรจุติ หลินสวินไม่ดึงดันไขว่คว้า สภาวะจิตของเขาว่างเปล่า เริ่มสะสางระดับการฝึกปราณของตนโดยละเอียด
วู้ม…
ตามเวลาที่ล่วงเลย คลื่นอากาศอุบัติต่อเนื่อง นำผู้แข็งแกร่งทีละคนหายลับไปจากลานธรรม
บ้างหลงทางท่ามกลางการหยั่งรู้ สภาวะจิตเสียการควบคุมถูกคัดออก
บ้างหยั่งรู้ถึงขีดจำกัดที่ตนรองรับได้ แต่ยังหมายดื้อดึงทำเลยเถิด ตกอยู่ใน ‘อัตตาอาวรณ์’ จนถูกคัดออก
กระทั่งบางคนเกิดภาพหลอนขณะหยั่งรู้ คิดเอาเองว่าได้พิสูจน์มกุฎมรรคาขั้นสมบูรณ์สูงสุด จมสู่ด่านมารจนถูกคัดออก
นี่ก็คือหนทางแห่งการหยั่งรู้มหามรรค แม้เป็นวาสนา แต่ไม่ใช่ว่าใครๆ ต่างสามารถครอบครองได้
กระทั่งต่อมา ลานธรรมซึ่งใหญ่โตเช่นนั้นก็เหลือคนบางตาเพียงสิบกว่าคน
หลินสวินคือคนแรกที่ตื่นขึ้น เขาหยั่งรู้ครบถ้วน หลอมรวมการหยั่งรู้และความเข้าใจทั้งมวลกับมรรคาแห่งตน กระจ่างแจ้งแก่นอัศจรรย์แห่งมกุฎโดยสมบูรณ์ หยั่งรู้ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว
เขาหยัดร่างขึ้นในบัดดล หาได้อาลัยอาวรณ์อีก
คนอื่นเห็นท่าทีเขาต่างเผยสีหน้าตระหนก
เพราะหลินสวินคือผู้แข็งแกร่งคนแรกที่ไม่ถูกคัดออกหลังหยั่งรู้ นี่หมายความว่าอะไร
เทพมารหลิน ตลอดทางการบำเพ็ญเพียรมาจนถึงตอนนี้ ความเข้าใจต่อมรรคาระดับกระบวนแปรจุติของเขา สามารถเทียบเคียงมรรควิถีในระดับนี้ของเหล่าอริยะเมื่อครั้งบรรพกาลได้งั้นหรือ
อันที่จริงยามหลินสวินอยู่ใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เคยทบทวนระดับปราณแต่ละระดับของตนจนสมบูรณ์แบบถึงขีดสุดแล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงไปกับการเสริมสร้างมรรคาใหม่อีก
การหยั่งรู้ที่เขามีมาก่อนล้วนใช้เพื่อพิสูจน์และอนุมานเทียบเคียง ดังนั้นไม่ทันไรจึงรู้แจ้งแถลงไขโดยสมบูรณ์
แต่ผู้แข็งแกร่งคนอื่นมีไม่น้อยที่ยังไม่เคยก้าวสู่มกุฎมรรคา มรรควิถีแห่งตนซ่อนช่องโหว่อยู่มาก ด้วยเหตุนี้ขณะหยั่งรู้จึงต้องใช้ความคิดไปศึกษาและอนุมานมากขึ้น
…
นอกเขาพยับคราม
ผู้แข็งแกร่งที่ถูกคัดออกจากลานธรรมทยอยปรากฏตัวออกมา ก่อเกิดคลื่นถาโถมและความครึกโครมไม่ใช่ย่อย เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกไม่ขาดหู
ขณะเดียวกัน ข่าวที่หลินสวินสังหารพวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ เหลยเชียนจวิน ก็ถูกผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งบอกเล่าออกมา จุดชนวนความโกลาหลครั้งใหญ่ทันที
สิงห์อสนีหยกขาวใบหน้าไร้ความรู้สึก ยึดครองพื้นที่มั่นอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาเยียบเย็นหาใดเปรียบ
ทว่าทุกคนต่างสัมผัสถึงความหนาวสะท้านเสียดผิว ประดุจดาบคมกริบจ่อแผ่นหลังจนขนลุกขนชัน
สิงห์อสนีหยกขาวคือพาหนะของเหลยเชียนจวิน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้พิทักษ์ของเขาด้วย มีปราณอันร้ายกาจ และบัดนี้ได้ยินข่าวการตายของเหลยเชียนจวิน ทำให้ในใจมันบันดาลโทสะ
คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งต่างเผยสีหน้าประหลาด นัยน์ตาดั่งมีอสนีโคจร พลังทำลายล้างตลบอบอวล ชวนให้คนรู้สึกใจสั่นระรัว
“เทพมารหลิน สมควรตาย!” อสูรกิเลนเพลิงเขียวส่งเสียงเย็นชา ทั่วร่างแผ่เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวราวกำลังลุกโชน มันคือผู้พิทักษ์ของมู่เจี้ยนถิง
แม้ตอนนี้มู่เจี้ยนถิงยังไม่ถูกคัดออก แต่พ่ายยับในมือหลินสวินติดกันสองครั้ง ทำให้อสูรกิเลนเพลิงเขียวไม่อาจยอมรับ
ต่อให้เป็นเหล่าคนสำคัญอย่างท่านย่ากระเรียนทอง ในใจต่างเกิดคลื่นถาโถม เทพมารหลินคนเดียว กลับเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ จนบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งตายจาก นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจสงบใจ
“ต่อให้เขารอดชีวิต สุดท้ายต้องออกมาอยู่ดี”
คชสารมังกรหยกดำตัวหนึ่งแผดคำราม สั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตระหนกจนสั่นไปทั้งตัว นี่คือผู้พิทักษ์ของจงหลีอู๋จี้
ไอสังหารเยียบเย็นอบอวลทั่วบริเวณ ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างตระหนักได้ว่า ครั้งนี้เทพมารหลินจ้วงทลายฟ้า ชักนำมาซึ่งปัญหาใหญ่แล้ว!
“สู้กันบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ เดิมก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นตายอยู่แล้ว หรือเพราะเทพมารหลินสังหารบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่ง เลยถูกมองเป็นศัตรูและถูกกดขี่”
มีคนขุ่นเคืองแทนหลินสวิน เห็นว่าเหล่าขุมอำนาจเผด็จการเกินไป ชัดแจ้งว่ากำลังรังแกหลินสวินที่ไม่มีคนหนุนหลัง
“หากเยี่ยเฉินมารกระบี่จื่อเวยซึ่งมาจากแดนดาราอุดรยังอยู่ คนใหญ่คนโตพวกนี้คงได้แต่อดกลั้น ไม่กล้าพูดมากความ”
“ว่ากันตามจริง พวกเขาแค่เห็นหลินสวินรังแกง่ายก็เท่านั้น!”
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้คงแพร่สะพัดทั่วแดนฐิติประจิม เด็กหนุ่มเทพมารหลินสวินจะต้องชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า
…
กลางลานธรรม บรรยากาศเคร่งขรึม เหลือผู้แข็งแกร่งเพียงสิบกว่าคนต่างกำลังนั่งสมาธิสงบใจ หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์นานัปการ
หลินสวินกลับกำลังเดินเล่น สังเกตกอหญ้าต้นไม้กลางลานธรรม
ลานธรรมกว้างใหญ่โอ่โถง ไหลเวียนด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา เก่าแก่เหลือประมาณ
หลินสวินไม่อาจจินตนาการโดยสิ้นเชิง ว่ายามดอกตูมสำริดดอกเดียวนั่นเบ่งบาน จะวิวัฒน์เป็นลานธรรมเก่าแก่อุดมสิ่งเร้นลับเช่นนี้
‘คำบอกเล่าน่าจะจริง ปีนั้นบนเขาพยับคราม ต้องมีสำนักโบราณแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รวบรวมหมู่อริยะ ไม่ว่าจะเป็นด่านถกมรรคทั้งห้าหรือต้นโคมสำริดมรรคโบราณนี่ ต่างเป็นบททดสอบที่มีขึ้นเพื่อผู้สืบทอดโดยเฉพาะอย่างหนึ่ง’
‘บางทีคงมีเพียงผู้สืบทอดที่ผ่านการทดสอบ จึงจะถือว่าเป็นศิษย์แท้จริงของสำนักโบราณแห่งนั้น สามารถสืบทอดมรดกตกทอด…’
‘เพียงแต่ ในเมื่อสำนักนี้มีเหล่าอริยะรวมตัว ทำไมถึงดับสลายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ถูกผู้คนรับรู้? แม้แต่คำเล่าลือล้วนไม่เหลือสักเสี้ยว ไม่ใช่ว่าหายลับไปอย่างกะทันหันเกินไปหน่อยหรือ’
‘อีกอย่าง หากสำนักนี้เคยดำรงอยู่ในสมัยบรรพกาลจริง ชื่อสำนักล่ะคืออะไร’
หลินสวินนึกถึงแต่ละเหตุการณ์ที่ประสบหลังเข้าสู่เขาพยับคราม ยิ่งรู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม เปี่ยมสีสันอันเร้นลับ
ตึง!
ขณะหลินสวินคิดใคร่ครวญ กลางฟ้าดินเสียงระฆังเก่าแก่เลือนรางดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ตอนที่ 913 ระฆังเทพแท่นมรรค
เสียงระฆังเนิบช้า ประดุจลอนคลื่นแผ่กระจาย
ชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่กำลังนั่งสมาธิหยั่งรู้ต่างตกใจตื่น สีหน้ายังหลงเหลือความเสียดายและอาวรณ์ไม่มากก็น้อย
เห็นชัดว่าพวกเขาได้รับประโยชน์อย่างมากจากการหยั่งรู้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้จบลงแล้ว
ขณะเดียวกันทุกคนต่างสังเกตเห็น ตามหลังเสียงระฆัง ลานธรรมเก่าแก่ก็สลายไปดุจภาพฝันราวฟองอากาศ หายลับจากไป
สิ่งที่สะท้อนในครรลองสายตาของทุกคนกลับเป็นแท่นมรรคสูงร้อยฉื่อ แท่นมรรคเก่าแก่กระดำกระด่าง ปลายยอดมีโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านบนมีเพียงระฆังสำริดใบเดียว ประกายแสงสำริดไหลวน รอยสลักมหามรรคประทับบนตัวระฆังแน่นขนัด วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ
เพียงชั่วขณะ จิตใจทุกคนสะท้านหนักหน่วง แววตาเร่าร้อนหาใดเปรียบ
ศุภโชคอันดับหนึ่ง!
ระฆังสำริดนั่นคือศุภโชคยิ่งใหญ่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าความเป็นมาของมันต้องน่าอัศจรรย์!
เวลานี้เองทุกคนถึงได้เข้าใจ การรับฟังและหยั่งรู้มหามรรคเมื่อครู่คือบททดสอบอย่างหนึ่ง มีเพียงผู้แข็งแกร่งซึ่งยืนหยัดถึงตอนท้ายจึงมีสิทธิ์ช่วงชิงศุภโชคแห่งยุคในท้ายที่สุด
ปึง!
ผู้แข็งแกร่งมากมายเริ่มปีนป่ายแท่นมรรคอย่างอดไม่อยู่ เพียงแต่ทันทีที่ก้าวเท้า แรงกดดันชวนประหวั่นพลันปรากฏ กดข่มจนทุกคนเกือบหายใจไม่ออก
แต่ไม่มีใครยอมถอย ต่างกัดฟันบากบั่น โคจรปราณแห่งตนถึงขีดสุด
แท่นมรรคเก่าแก่กระดำกระด่างสร้างจากเจตวัตถุสีเขียวปริศนา ไม่อาจท่องเหิน ได้แค่ไต่ขึ้นไปทีละขั้น
ดูเหมือนมีระยะทางแค่ร้อยฉื่อ แต่ยากยิ่งกว่าไต่นภา ด้านบนเนืองแน่นไปด้วยพลังต้องห้ามชวนสะพรึง ไม่เพียงแต่กดดันปราณ ยังสยบพลังจิตวิญญาณด้วย
แต่แม้ลำบากอันตรายเช่นนี้ ยังไม่อาจขวางความแน่วแน่ในการปีนป่ายของทุกคน ตรงกันข้าม ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดเวลานี้ล้วนไม่ออมมืออีกแต่อย่างใด!
หลินสวินเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เหยียบย่างก้าวหนึ่งขึ้นบันไดขั้นหนึ่ง ฝ่าแรงกดดันอันน่ากลัวขึ้นสู่เบื้องบน
ทั่วร่างเขาอบอวลแสงเจิดจรัส สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณโคจรพลุ่งพล่าน ความเร็วไม่ถึงขั้นช้าแต่ไม่เรียกว่าเร็ว อยู่ในขั้นเสถียร
ที่ทำทุกคนตกตะลึงคือ ตามแต่ละขั้นสูงขึ้นไป แท่นมรรคใต้ฝ่าเท้าประหนึ่งขยายใหญ่ไม่หยุด นานเข้าก็ยิ่งทรงพลัง สูงตระหง่านขึ้นเรื่อยๆ …
กระทั่งต่อมาแท่นมรรคดุจค้ำฟ้า ทรงพลังดั่งคีรีเทพ หยัดแยกฟ้าดิน ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด เก่าแก่ทรงสง่าเหลือประมาณ
แต่เมื่อทุกคนปีนป่ายขึ้นไป กลับพบว่าระยะห่างยอดแท่นมรรคยิ่งไกลออกไป…
มหัศจรรย์เกินไปแล้ว แท่นมรรคร้อยฉื่อแต่ซุ่มซ่อนไว้ด้วยความอัศจรรย์เร้นลับเทียมฟ้า ก้าวขึ้นไปเหมือนปีนป่ายนภา พาให้ผู้คนสะท้าน
โชคดีที่ผู้แข็งแกร่งสิบกว่าคนที่เหลืออยู่ ต่างเป็นบุคคลผู้เจิดจรัสในหมู่ผู้กล้าแห่งยุค สามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ เดิมก็พิสูจน์ความแข็งแกร่งพวกเขาแล้ว
บัดนี้เมื่อปีนป่ายแท่นมรรค กลับไม่ปรากฏเหตุการณ์คัดออก
เวลาล่วงเลย ทุกคนฝ่าแรงกดดันไร้ขอบเขตเข้าใกล้ส่วนยอดแท่นมรรคทีละน้อย มองเห็นระฆังสำริดบนโต๊ะเหนือยอดแท่นมรรคอย่างชัดเจน
มันเจิดจรัสหาใดเปรียบ สูงครึ่งฉื่อ ประกายแสงสำริดห้อมล้อม ตัวระฆังประทับลายมรรคคลุมเครือแน่นขนัด เก่าแก่โบราณยิ่ง
มองจากไกลๆ ยังรู้สึกถึงพลานุภาพยิ่งใหญ่กำราบภูผาธารา สั่นคลอนฟ้าดิน!
ไม่ต้องสงสัย อานุภาพสมบัตินี้สามารถสะเทือนสวรรค์ได้!
เวลานี้บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและหนาวเหน็บ เพราะเข้าใกล้ยอดแท่นมรรคขึ้นทุกที เพื่อช่วงชิงระฆังสำริดนั่น ต้องเกิดศึกนองเลือดที่รุนแรงแน่
จริงดังคาด ไม่นานอันตรายก็ปะทะ ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งที่รั้งท้ายจิตใจร้อนรุ่ม ชิงลงมือหมายก่อกวนผู้แข็งแกร่งที่นำหน้า
ตูม!
ลั่วเจียผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมพลิกมือกระจ่าง เหนือศีรษะปรากฏแจกันวิเศษส่องประกายใบหนึ่ง ปลดปล่อยแสงอัศจรรย์อมตะปะทะกับหลี่ชิงฮวน แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกระหว่างทั้งคู่
เป็นหลี่ชิงฮวนที่โจมตีก่อน เพราะลั่วเจียอยู่หน้าเขา นี่เท่ากับเป็นกำแพงแกร่งขวางหนทางชิงศุภโชคของเขา
“ฆ่า!”
อวี่หลิงคงกับชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งก็เปิดฉากต่อสู้ดุเดือดเช่นกัน
ชายหนุ่มชุดเทานามซางเจี่ย มาจากตระกูลเก่าแก่ เป็นบุคคลแห่งยุคผู้โดดเด่นในแดนฐิติประจิมเช่นกัน
สิ่งที่ใครต่างคาดไม่ถึงคือ แม้เผชิญหน้าบุคคลระดับอวี่หลิงคง ความสามารถของซางเจี่ยก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าทระนงองอาจผิดธรรมดา
นี่ก็คือบุคคลแห่งยุค แต่ละคนซ่อนคมในฝัก เมื่อก่อนอาจสำรวมเก็บงำไว้ แต่เพื่อชิงศุภโชคอันดับหนึ่งต่างเผยฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา
ฟุ่บ!
เพียงชั่วพริบตา สาบเสื้อช่วงบ่าอวี่หลิงคงถูกแหวกผ่า บนผิวทิ้งรอยเลือดบางๆ เส้นหนึ่ง เขาได้รับบาดเจ็บถูกทวนสุวรรณในมือซางเจี่ยวาดกวาด
ทว่ากระบี่มรรคในมืออวี่หลิงคงกลับครวญคร่ำ ขณะเดียวกันก็ทำลายทวนสุวรรณ กระเทือนจนง่ามมือซางเจี่ยฉีกขาด โลหิตแดงสดสาดกระจายกระดูกโผล่ออกมา
การโจมตีนี้เหมือนไม่แบ่งแพ้ชนะ แต่เทียบกันแล้วซางเจี่ยกลับเสียบเปรียบอยู่บางส่วน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังน่าตระหนก ซางเจี่ยผู้ก่อนหน้าไม่เคยเผยความเจิดจรัสอะไร บัดนี้กลับระเบิดพลังต่อสู้เช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง
การต่อสู้พลันปะทุ กระเทือนถึงทุกผู้คน จี้ซิงเหยาเองก็ถูกโจมตี กำลังประมือกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารรัตติกาลซึ่งมีปีกสีดำ
เผ่ามารรัตติกาลคือเผ่าพันธุ์ลึกลับยิ่งเผ่าหนึ่ง เล่าลือกันว่าบรรพชนคือร่างวิญญาณที่แฝงตัวอยู่ในหุบเหวมารแห่งหนึ่งเมื่อครั้งบรรพกาล ครองพลังพรสวรรค์เร้นลับ ‘หนามมารรัตติกาล’ น่าหวาดกลัวถึงที่สุด
และผู้แข็งแกร่งเผ่ามารรัตติกาลที่กำลังประลองกับจี้ซิงเหยานั้นนามว่าซื่ออวิ๋น เครื่องหน้าทั้งห้างามสง่า สีผิวเทาเข้ม ดวงตามรกตวาววับดุจเพลิงมารลุกโชน ทั้งตัวแฝงกลิ่นอายภูตมารชวนประหวั่น
ซื่ออวิ๋นเหมือนกับซางเจี่ย ก่อนหน้านี้ไปมาคนเดียวตลอด ทำตัวไม่ดึงดูดสายตา แต่ตอนนี้ต่างเผยอานุภาพการต่อสู้อันน่าทึ่ง
นี่ทำให้หลินสวินลอบตื่นตระหนก ตระหนักได้ว่าไม่ใช่แค่ตนที่ซ่อนความสามารถเอาไว้ บุคคลแห่งยุคเหล่านี้ก็เก็บงำไว้เช่นกัน แผนการล้ำลึกนัก!
ฟุ่บ!
ด้านหลังหลินสวิน ลิ้นแดงสดสายหนึ่งตวัดม้วนเข้ามา ในใจเขาผงะไปวูบหนึ่ง ใช้ปะทะฟู่ซี่ต้านกลับโดยไม่ลังเล
นั่นคือบุคคลแห่งยุคเผ่างูปาเสอนามปาซานสุ่ย หน้าตาสง่างามพอควร แต่การกระทำกลับอำมหิตชวนขยะแขยงเหลือประมาณ แฉกลิ้นงูดุจแพรไหมยาว ด้านบนเคลือบของเหลวแดงสดแฝงพิษร้ายแรง ทันทีที่สัมผัส จิตวิญญาณจะถูกกัดกร่อนรุนแรง รับมือยากที่สุด
ตูม…
ลิ้นงูถูกซัดกระเด็น แต่ปาซานสุ่ยเด็ดขาดฉับไว กระบวนท่าแรกไม่สำเร็จ พลันถอยหลบรวดเร็วพุ่งไปอีกฟากทันที
หากหลินสวินตามไปก็จะพลาดโอกาสอันดีในการไต่ขึ้นแท่นมรรค เห็นชัดว่าปาซานสุ่ยเล็งเห็นจุดนี้จึงกล้าลงมือกับหลินสวินอย่างไม่กลัวสิ่งใด
‘ถ้าข้าจับเจ้าได้ จะตัดลิ้นเจ้าแน่!’ หลินสวินนัยน์ตาเยียบเย็น กวาดมองปาซานสุ่ยวูบหนึ่ง ไม่ไล่ตามไปดังคาด
แท่นมรรคทรงพลังเด่นตระหง่าน แต่บันไดศิลาสู่ยอดมีเพียงหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดพุ่งสุดตัว แน่นอนว่าไม่อาจเลี่ยงการปะทะขัดแย้ง เพราะใครต่างไม่ยอมถอย เช่นเดียวกัน ใครก็ไม่อาจทนเห็นคนอื่นชิงตัดหน้าได้
ไม่ทันไรหลินสวินก็พบจี้ซิงเหยา ฝ่ายหลังถลึงตากระจ่าง ขบฟันเป็นประกายแน่น สะบัดมือซัดประทับกระบี่สายหนึ่งออกมา
ฟุ่บ!
เจตกระบี่ผุดผ่องเพียงสามชุ่นรวมเป็นประทับกระบี่ พรั่งพรูปลายคมไร้เทียมทาน ราวทะลวงผ่านกาลเวลา กำจัดสิ้นสรรพวิญญาณ
ประทับกระบี่ไตรภพ!
นี่คือมรดกลับชั้นยอดครองยุคสมัย สามารถตัดอดีต ปัจจุบันและอนาคต เจตกระบี่ทั้งมวลรวมเป็นประทับหนึ่ง มีอานุภาพปั่นป่วนฟ้าดิน
ก่อนหน้านี้บนลานประลองยุทธ์หมอกสนในนครเตโช หลินสวินเคยพบเจอความน่ากลัวของวิชานี้ แต่คาดไม่ถึง ทันทีที่เผชิญหน้ากับจี้ซิงเหยา อีกฝ่ายก็ลงมือเหี้ยมโหดทันควันแล้ว
‘ผู้หญิงคนนี้กำลังแก้แค้นแน่!’ หลินสวินสีหน้าพลันอึมครึม สุดท้ายยังข่มใจถอยหลบไปอีกฝั่ง พุ่งทะยานสู่แท่นมรรคจากอีกทาง
บนดวงหน้างามสง่าหาใดเปรียบของจี้ซิงเหยาพลันเผยแววปรามาสเสี้ยวหนึ่ง คางเกลี้ยงเกลาเชิดเล็กน้อย หยิ่งทระนงดั่งเทพธิดาผู้สูงส่ง
แต่ในสายตาหลินสวิน นี่คือท่าทางท้าทายอย่างหนึ่ง!
หลินสวินแค้นจนกัดฟันกรอด ผู้หญิงจอมหยิ่งคนนี้น่าโมโหเกินไปแล้ว
เขาสื่อจิตถอนใจกล่าวทันที ‘ซิงเหยา หากเจ้าไร้ไมตรีเช่นนี้ ความลับบางอย่างข้าคงไม่อาจช่วยเจ้าปกปิดได้’
‘เจ้า…’ นัยน์ตากระจ่างของจี้ซิงเหยาถลึงกว้าง คิ้วตวัดตรง ใบหน้างามผุดผ่องเปี่ยมโทสะ แทบอยากฆ่าไอ้ระยำนี่ซะ ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ตน คิดหรือว่าตนจะยอมถอย
‘หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าแน่!’ เงาร่างสูงโปร่งอรชรของจี้ซิงเหยาอบอวลไปด้วยเจตกระบี่พิสุทธิ์ดุดัน ประดุจเทพธิดาบันดาลโทสะ อานุภาพสยบผู้คน
‘ข้าไม่มีทางถูกข่มขู่’ หลินสวินแค่นเสียงฮึ
ขณะสื่อจิต ทั้งสองคนต่างพุ่งสุดตัวเต็มกำลัง ไม่ได้ล่าช้าแม้แต่น้อย
ไม่ทันไรหลินสวินก็เจอกับผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ สวมเสื้อคลุมกระเรียนสีแดงเพลิง
หลินสวินยังจำได้ ตอนแรกที่พบไป๋หลิงซีหน้าหอวสันตสารท หญิงสาวผู้นี้เคยพูดจาเหน็บแนมและเยาะหยันตน
แต่ตอนนี้หลินสวินไม่คิดใส่ใจนาง รีบเร่งพุ่งขึ้นไป
“ถอยไป!”
หญิงสาวชุดคลุมกระเรียนแดงเพลิงนามเยี่ยนสยา เห็นหลินสวินโฉบผ่านหน้านาง ชิงพุ่งไปยังยอดแท่นมรรคกับตาก็คล้ายไม่พอใจยิ่ง ส่งเสียงผรุสวาท เงื้อมือสะบัดแส้วิญญาณแดงเพลิงฟาดใส่หลังหลินสวินเต็มแรง
“หึ!”
หลินสวินไม่ออมมือ บุกจู่โจมเต็มที่ ประจัญบานกับนาง
สุดท้ายเยี่ยนสยากรีดร้องโหยหวน ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจก็ถูกหมัดหนึ่งของหลินสวินซัดกระเด็น ร่างร่วงสู่ฐานแท่นมรรค
“บังอาจ!”
“เทพมารหลินเจ้ามันรนหาที่ตาย!”
บนทิศทางอื่น ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะเห็นดังนี้ต่างส่งเสียงโกรธจัด ไม่ปกปิดไอสังหารแม้แต่น้อย
“ทำไม พวกเจ้าก็อยากเล่นด้วยรึ” ภายในดวงตาดำของหลินสวินเยียบเย็น
“ไต่ขึ้นแท่นมรรคก่อน ค่อยคิดบัญชีกับมัน!” ห่างออกไปอวี่หลิงคงเอ่ยเสียงเฉยชา น้ำเสียงราบเรียบ แต่เปี่ยมความหนาวเย็นจนใจสั่นระรัว
เห็นว่าจวนถึงยอดแท่นมรรค การต่อสู้และความขัดแย้งยิ่งดุเดือดกว่าเดิม ทุกคนต้องฝ่าแรงกดดันอันน่ากลัวทั้งยังต้องลงมือต่อสู้ สถานการณ์ล่อแหลมอันตรายอย่างยิ่ง
ไม่ช้าก็มีผู้แข็งแกร่งถูกสังหารนองเลือดกลางที่นั้น นั่นคือปาซานสุ่ยเผ่างูปาเสอ หลินสวินยังไม่ทันคิดบัญชี เขาก็ถูกหนึ่งกระบี่ของหลี่ชิงฮวนเสียบปาก แหงนหน้าหกคะเมน ฝนโลหิตซ่านกระเซ็น
การต่อสู้ช่างน่าสลด แม้แต่บุคคลแห่งยุคยังประสบอันตรายอย่างที่สุด คนไม่น้อยยิ่งได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว
ทันใดนั้นรวงแสงสีทองบาดตาพลันปรากฏ ทำให้นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ผิวสัมผัสปวดแสบอยู่รางๆ
เขาตระหนักได้ในทันทีว่าพบเจอคู่ต่อสู้ทรงพลังแล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น