Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 906-909
ตอนที่ 906 ระเบิดในหมัดเดียว
ในกระบวนผนึกมรรคราชัน เงาร่างหลินสวินตลบอบอวลไปด้วยไอซวนหนี แม้แต่กลิ่นอายยังถูกบดบัง ดุจแปรสภาพเป็นโปร่งแสง
วู้ม!
ในมือของเขา ขวดเล็กขนาดเท่านิ้วโป้ง ขาวเปล่งปลั่งราวหยกมันแพะขวดหนึ่งระเบิดแสงยุ่งเหยิง แผ่คลื่นแปลกประหลาดออกมา
พลังต้องห้ามที่พรั่งพรูออกมาจากทั่วสารทิศยังไม่ได้เข้าใกล้ ก็ถูกขวดเล็กกลืนกินจนหมดอย่างเงียบเชียบ อัศจรรย์หาใดเทียบ
ขวดมหามรรคสุดหยั่ง!
หลินสวินสีหน้าพิกลไปบ้าง เดิมเขาเพียงคิดลองดูเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าขวดเล็กอัศจรรย์นี้ยังบรรจุพลังต้องห้ามของกระบวนรอยสลักวิญญาณได้ด้วย!
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเร้นลับและอานุภาพที่พลังโจมตีของค่ายกลนี้กับตัวกระบวนรอยสลักวิญญาณมี ล้วนถูกขวดเล็กบรรจุเข้าไปอย่างเงียบๆ
“เป็นของดีดังคาด ไม่เพียงสามารถกลืนกินการโจมตี สะสมอานุภาพ ยังสามารถบรรจุพลังของกระบวนรอยสลักวิญญาณได้ นี่น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว…”
หลินสวินทอดถอนใจในใจ ขวดมหามรรคสุดหยั่งเป็นรางวัลพิเศษที่ได้มาในการทดสอบถกมรรคด่านที่สอง เป็นของล้ำค่าอัศจรรย์ที่ไม่เหมือนสิ่งใดในโลกชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่กระทั่งตอนนี้ หลินสวินยังไม่ได้สืบดูคุณประโยชน์ทั้งหมดของขวดนี้ได้
หืม?
หลินสวินพลันสังเกตเห็นว่า ระหว่างที่กลืนกินพลังลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวขวดที่โปร่งแสงแวววาวนั้นบังเกิดลวดลายมรรคแปลกประหลาดคลุมเครือไม่ชัดเจน
ในขณะเดียวกันขวดเล็กก็เริ่มร้อนขึ้น สั่นระรัวเสียงดังหึ่ง ดั่งมีทีท่าจะอิ่มตัว เหมือนน้ำเต็มขวดกำลังจะไหลทะลักออกมา
ทว่าเมื่อหลินสวินลองใช้พลังจิตรับรู้ของตนไปควบคุม จู่ๆ ขวดเล็กก็ไม่สั่นอีก ท่าทางเหมือนจะสงบนิ่ง ตัวขวดปรากฏสีเขียวเจิดจ้า
พลังกลืนกินของมันยิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งกล้า ภายในขวดราวสุดหยั่ง การโจมตีต้องห้ามที่ปะทุจากทุกสารทิศล้วนถูกกลืนกินเข้าไปประหนึ่งเมฆเว้าแหว่งที่ถูกลมพัดตลบ
ในใจหลินสวินตระหนักได้อย่างหนึ่ง
ขวดมหามรรคสุดหยั่งไม่ได้ไม่ต้องควบคุม กลับกัน หากคิดจะสำแดงอานุภาพของมัน การควบคุมพลังจิตวิญญาณเป็นกุญแจสำคัญ!
…….
“ตายหรือยัง”
นอกกระบวนผนึกมรรคราชัน ซาหลิวฉานกระวนกระวายอยู่บ้าง พลานุภาพของกระบวนผนึกมรรคราชันแม้น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ แต่เช่นเดียวกัน เมื่อควบคุมกลับเปลืองพลังถึงที่สุด
หากเปลี่ยนเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ หรือผู้แข็งแกร่งระดับราชันควบคุม นั่นย่อมทำได้ดั่งใจโดยไม่ต้องคิดมาก
แต่ไม่ว่าจะเป็นซาหลิวฉาน หรือพวกชิงเหลียนเอ๋อร์ ต่อให้เป็นบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์ แต่อย่างไรเสียก็มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น แม้จะร่วมมือกันควบคุมค่ายกลใหญ่ แต่เวลาผ่านมานานแล้วย่อมกินแรงไปไม่น้อย
“ยัง”
ใบหน้างามล้นของชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่สู้ดีเช่นกัน นางหอบหายใจเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียวไปบ้าง เริ่มทานทนไม่ไหวแล้ว
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
จงหลีอู๋จี้สีหน้าอึมครึม สังหรณ์ใจไม่ดี
นี่เป็นถึงกระบวนผนึกมรรคราชันเชียวนะ!
แต่เหตุใดกระทั่งตอนนี้กลับยังฆ่าเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งไม่ได้
“ชิงเหลียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังหลอกพวกเราใช่หรือไม่ ทำไมข้ารู้สึกว่าพลังของข้ายิ่งหมดไปอย่างรวดเร็วเสียล่ะ” ซาหลิวฉานคำราม
“หุบปาก! นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเจ้าเล่ห์เหมือนเทพมารหลินนั่นหรือ” ชิงเหลียนเอ๋อร์นิ่วหน้า หงุดหงิดใจนัก
“แม่นางเหลียนเอ๋อร์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องถึงหนึ่งเค่อ ในหมู่พวกเราไม่ว่าใครก็ยืนหยัดไม่ไหว ต้องหมดแรงแน่!” จงหลีอู๋จี้สูดลมหายใจลึก พยายามทำให้ตัวเองเยือกเย็น
“ยัง… ทนต่อไปอีกหน่อยเถอะ…” เวลานี้ชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว แต่ในที่สุดก็ยังกัดฟัน
“งั้นก็สู้ต่ออีกหน่อยแล้วกัน” จงหลีอู๋จี้เอ่ยเสียงขรึม
ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาเห็นว่าหลินสวินถูกกักขังก็เรียกได้ว่ายินดีปรีดาราวเสียสติ แต่ตอนนี้แต่ละคนกลับสีหน้าไม่สู้ดี ฉงนใจไม่แน่นนอน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดูท่าเหมือนจะไม่เข้าที” ดวงตาเย็นเยียบของเหลยเชียนจวินเปล่งประกายราวสายฟ้า
“ง่ายมาก นี่เป็นกระบวนผนึกมรรคราชัน มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชันกับปฐมาจารย์สลักวิญญาณจึงจะสามารถใช้มันได้อย่างเต็มกำลัง พวกจงหลีอู๋จี้สลักรอยวิญญาณไม่เป็น พลังที่แท้จริงก็ห่างชั้นกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันไปไกลนัก จะเกิดช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดก็เป็นเรื่องธรรมดา”
มู่เจี้ยนถิงแจกแจงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้น อย่าลืมว่าในมือของเทพมารหลินนี่มีสมบัติอริยะอยู่ จะถูกสังหารได้อย่างง่ายดายปานนั้นได้หรือ”
……
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
กลุ่มผู้กล้าที่สังเกตการณ์อยู่ไกลออกไปรับรู้ได้ว่าไม่ชอบมาพากล ว่ากันตามธรรมดาแล้ว ทันทีที่กระบวนผนึกมรรคราชันออกมา ก็สามารถชี้ชัดเป็นตายได้ในชั่วพริบตา
แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปจะหนึ่งถ้วยชาแล้ว ผลลัพธ์กลับยังไม่ออกมาเสียที นี่ก็ดูผิดปกตินัก
“กระบวนผนึกมรรคราชันนั่นคงไม่ใช่ของเก๊ใช่ไหม”
ผู้แข็งแกร่งบางคนแคลงใจ วาจาที่พูดออกมากลับทำให้ชิงเหลียนเอ๋อร์แทบกระอักเลือด ของเก๊หรือ นี่เป็นถึงสมบัติโบราณที่บรรพชนเผ่าหงส์เขียวหลอมขึ้นเองกับมือ ดำรงมาถึงปัจจุบันไม่รู้นานเท่าไร!
“ก่อเรื่องเคลื่อนไหวใหญ่โตปานนี้ กลับเหมือนจุดประทัดอันหนึ่ง นี่… น่าอักอ่วนไปหน่อยหรือไม่” มีคนหยอกล้อ
อักอ่วนหรือ!
น่าอักอ่วนกับปู่เจ้าสิ!
ซาหลิวฉานโมโหจนอยากฆ่าคน ก่อเรื่องอะไรเล่า พวกเขากำลังฆ่าเทพมารหลินเชียวนะ ไม่ได้แสดงอยู่!
“เหอะๆ บุคคลแห่งยุคมากมายปานนี้ แถมวางกระบวนผนึกมรรคราชันด้วย กลับต่อกรกับเทพมารหลินคนเดียวไม่ได้ เหอะๆ… เหอะๆๆ…”
เสียงนี้แปลกพิกล โดยเฉพาะเสียงหัวเราะนั้นเจือไปด้วยน้ำเสียงการเยาะเย้ย หยอกล้อ ประชดประชัน และเสียดสี
ครู่ต่อมาจงหลีอู๋จี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว ดวงตาแผ่ไอสังหาร อยากจะบีบคอคนผู้นี้ให้ตาย
ขนาดมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินยังเริ่มนิ่วหน้า สถานการณ์เริ่มจะคุมไม่อยู่แล้ว คาดการณ์ได้ว่าคราวนี้หากปล่อยให้เทพมารหลินรอดชีวิตไปได้ เช่นนั้นคงขายหน้าใหญ่โตแน่
“ทุกท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” มู่เจี้ยนถิงเอ่ยถาม
เขาไม่อยากเสียโอกาสดีเลิศเช่นนี้ไปต่อหน้าต่อตา เช่นนั้นไม่เพียงแค่ปัญหาเรื่องเสียหน้า เป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้เทพมารหลินโจมตีกลับได้ หายนะในภายหลังจะไม่มีที่สิ้นสุด
เพียงแต่เมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกไป ทำให้ในใจพวกจงหลีอู๋จี้ยิ่งทั้งอับอายทั้งหงุดหงิด นี่คิดว่าพวกเขาไม่ได้ความหรือ
“ไม่จำเป็น พวกข้าจัดการเองได้!” พวกจงหลีอู๋จี้ลอบขุ่นเคือง โคจรพลังในร่างของพวกตนถึงขีดสุด
……
แทบจะรับไม่ไหวแล้ว
หลินสวินสังเกตได้อย่างเฉียบแหลม แม้ตนโคจรพลังจิตวิญญาณทั้งหมด ก็ไม่อาจควบคุมขวดมหามรรคสุดหยั่งอยู่รำไร มันเริ่มสั่นระรัวอีกแล้ว
สวบ!
หลินสวินไม่ลังเลสักนิด เก็บขวดมหามรรคสุดหยั่ง จากนั้นก็ยืดกายขึ้น ตัดสินใจเริ่มทลายค่ายกลนี้!
……
“เจ้าหมอนี่ปรากฏตัวแล้ว!”
ซาหลิวฉานเหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัวอยู่ก่อนแล้ว ลมหายใจหอบถี่ เพียงแต่ไม่นานเขาก็ยินดีปรีดาเมื่อพบร่องรอยของหลินสวิน
“เร็วเข้า ปิดล้อมเขาเต็มกำลัง”
พวกจงหลีอู้จี๋ก็ปลาบปลื้ม การปรากฏตัวของหลินสวินทำให้ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่าหลินสวินจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว
โครม!
พลังของกระบวนผนึกมรรคราชันยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้น รัศมีเทพส่งเสียงโครมครามสะเทือนฟ้าดิน
พวกมู่เจี้ยนถิงรวมถึงผู้แข็งแกร่งที่สังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ก็พบทันใดว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป เหมือนเข้าสู่ช่วงเวลาที่จะชี้ผลแพ้ชนะแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนก็กังวลใจขึ้นมา
……
“ดูสิ จะชี้ผลแพ้ชนะแล้ว” ที่ไกลลิบ มุมปากของอวี่หลิงคงปรากฏรอยยิ้มบางๆ สนทนาเสียงค่อยกับจี้ซิงเหยาที่อยู่ข้างกัน
“เหล่าบุคคลแห่งยุคร่วมมือกัน ทั้งยังวางกระบวนผนึกมรรคราชัน แม้ชนะก็ไม่โสภา จะถูกโลกภายนอกหัวเราะดูถูกเอาได้” จี้ซิงเหยาสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงเย็นเยียบราวหิมะ
“การช่วงชิงมหามรรค ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเส้นสายและภูมิหลังก็เป็นพลังแข่งขันที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง” อวี่หลิงคงพูดพลางยิ้ม
“แต่การผงาดขึ้นอย่างแท้จริง เหยียบย่างบนมกุฎระดับราชัน ทำได้เพียงพึ่งตัวเองผู้เดียวเท่านั้น” เห็นได้ชัดว่าจี้ซิงเหยาไม่อาจเห็นด้วยกับความคิดของอวี่หลิงคง
“แม่นางจี้ ดูเหมือนเจ้าจะทนดูเด็กนี่ถูกฆ่าไม่ได้อยู่บ้างใช่ไหม” อวี่หลิงคงนิ่วหน้าอย่างยากสังเกตเห็น
จี้ซิงเหยาเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า จะไม่ใช้วิธีรังแกผู้อื่นเช่นนี้สังหารศัตรู สรุปแล้วก็คือชนะแต่ต่ำช้า”
อวี่หลิงคงปรบมือชื่นชม “แม่นางจี้กล้าหาญนัก”
เพียงแต่ตอนนี้จี้ซิงเหยากลับสีหน้าอึ้งงัน ในดวงตาที่มองออกไปไกลคู่นั้นบังเกิดแววตระหนก
ถูกจี้ซิงเหยาเพิกเฉย ทำให้อวี่หลิงคงเกิดความไม่พอใจขึ้นภายในใจ แต่เมื่อเขามองตามสายตาของจี้ซิงเหยาไป สีหน้าก็ตื่นตระหนก ดวงตาเผยความตื่นตะลึงออกมา
……
โครม!
คลื่นของกระบวนผนึกมรรคราชันยิ่งน่ากลัวขึ้นแล้ว ประหนึ่งเตาเพลิงกลียุคที่จะหลอมสรรพสิ่งในฟ้าดินเตาหนึ่ง
พวกจงหลีอู๋จี้สีหน้าเหี้ยมเกรียม ในใจฮึกเหิมหาใดเทียบ เทพมารหลินปรากฏตัวแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะจบเสียที
มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินเตรียมตัวพร้อม เก็บพลังไว้รอท่า เพียงรอหลังสังหารหลินสวิน ก็จะพุ่งไปช่วงชิงศุภโชคและสมบัติอริยะทันที
“เทพมารหลินทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงหรือ” ผู้แข็งแกร่งบางคนที่อยู่ไกลออกไปสีหน้าแปรปรวน ความรู้สึกซับซ้อน
“สามารถทนอยู่ในกระบวนผนึกมรรคราชันมาถึงตอนนี้ได้ก็เรียกว่าน่าตะลึง หายากยิ่งในโลกแล้ว แม้จะถูกฆ่า กิตติศัพท์ของเขาก็จะต้องกึกก้องแดนฐิติประจิม”
“หืม? นั่นคือ?”
ไม่นานนักผู้แข็งแกร่งหลายคนก็พบอย่างน่าตระหนกว่า กระบวนผนึกมรรคราชันนั้นยังคงโคจรพลุ่งพล่าน ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เงาร่างของหลินสวินกลับปรากฏอยู่นอกค่ายกลใหญ่…
……
“เทพมารหลิน คราวนี้เจ้าตายแน่แล้ว!” ซาหลิวฉานหัวเราะร่า แม้หายใจหอบกระชั้น พลังทั่วกายถูกใช้ไปเกินครึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกปิติและฮึกเหิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อหลินสวินตาย ก็เท่ากับชะล้างความอับอายต่างๆ ที่เขาประสบก่อนหน้านี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
“งั้นหรือ”
“แน่นอน ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ได้ ข้าจะตัดหัวให้มัน!”
พูดถึงตรงนี้ซาหลิวฉานก็ผงะไป จู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จากนั้นเขาตกใจสะดุ้งโหยง ร้องตระหนกตกตะลึงอ้าปากค้างว่า “จะจะเจ้า… เจ้าออกมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ขะขะข้า… ข้าเพิ่งออกมาไง” ข้างกัน หลินสวินยิ้มแฉ่ง มือทั้งสองของเขาไพล่หลัง ทั้งกายโอบล้อมไปด้วยรัศมีกระจ่างเจิดจ้าราวภาพนิมิต
ทันใดนั้นซาหลิวฉานสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกหลากหลายหาใดเทียบ ทั้งอึ้ง ทั้งขุ่นเคือง ทั้งอับอาย ทั้งตระหนกอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า เหตุใดหลินสวินถึงเดินออกมาจากกระบวนผนึกมรรคราชันได้อย่างง่ายดาย
“เจ้า!” พวกจงหลีอู๋จี้กับชิงเหลียนเอ๋อร์ก็งงงวยโดยสมบูรณ์ รู้สึกเหมือนเกิดภาพหลอน
นี่ดูพิสดารนัก นั่นเป็นถึงกระบวนผนึกมรรคราชัน เหตุใดถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้
ไม่เพียงแต่พวกเขา ผู้แข็งแกร่งที่ดูอยู่ตลอดล้วนสับสนงงงวยอยู่เช่นนั้น ตกใจจนพูดไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ตูม!
ไม่ทันรอให้พวกเขาโต้ตอบ หลินสวินก็ออกโจมตีอย่างอุกอาจ เงาร่างพุ่งขึ้นมาโดยพลัน ชั่วพริบตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซาหลิวฉานที่อยู่ใกล้ที่สุด นิ้วมือกำรวบเป็นหมัด แล้วกำราบลงมาอย่างรุนแรงราวคีรีเทพตกลงมาจากสวรรค์
ปึง!
โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างของซาหลิวฉานพลันยุบลงไป กระดูกทั้งกายแหลกละเอียดดังกร๊อบๆ เลือดเนื้อกระเซ็นกระสาย จากนั้นก็แหลกสลายสะเทือนเลือนลั่น
ตอนที่ 907 อานุภาพแห่งเทพมาร
ก่อนหน้านี้หลินสวินถูกขังอยู่ในกระบวนผนึกมรรคราชัน ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างคิดว่าหลินสวินจะต้องตายในที่สุด คำถามมีเพียงจะตายช้าหรือเร็ว
อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นถึงกระบวนผนึกมรรคราชันที่ผู้กล้าแห่งยุคกลุ่มหนึ่งควบคุม น่าครั่นคร้ามจนสามารถทำให้ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนไหนก็สิ้นหวัง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะคาดคิดได้ว่าการณ์กลับพลิกผัน
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ กระบวนผนึกมรรคราชันยังโคจรอยู่ เห็นชัดๆ ว่าไม่ได้ถูกทำลาย แต่หลินสวินกลับเดินออกมาอย่างปลอดภัยดี!
กะทันหันเกินไปแล้ว ไม่ทันได้ตั้งตัว ใครก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ทันที
กระทั่งซาหลิวฉานถูกสังหารด้วยหมัดเดียว ผู้แข็งแกร่งที่ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยในที่นั้นจึงได้สติขึ้นทันใด
โลหิตสาดกระจาย!
ซาหลิวฉานเป็นถึงบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง กลับรับหมัดเดียวของหลินสวินไว้ไม่ได้ ถูกสังหารครึกโครมคาที่ ภาพนองเลือดนั้นทำให้ทุกคนในที่นั้นตื่นตะลึง ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์
ไม่อาจโต้เถียงได้ว่า เทพมารหลินไม่ได้ถูกกระบวนผนึกมรรคราชันสังหาร แต่เดินออกมาทั้งที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีใครรู้ตัว!
“เจ้า… ช่างกล้านัก!”
จงหลีอู๋จี้เข้าผสมโรงอย่างโกรธระคนตระหนก ขณะเดียวกันในใจก็ตื่นตะลึง กระบวนผนึกมรรคราชันยังทำอะไรเทพมารหลินไม่ได้ นี่จะเล่นงานอย่างไรได้อีก
“ช่างกล้าหรือ เจ้าพูดจาไม่ใช้สมองหรือไง” ยามหลินสวินเอ่ยวาจาก็พุ่งเข้ามาแล้ว ในใจเขาแค้นนัก ไฟแค้นสุมเต็มอก ไม่อาจอดกลั้นได้แล้ว
ตั้งแต่ตอนหอวสันตสารท เจ้าหมอนี่ก็โวยวายจะตัดหัวตนเป็นคนแรกเมื่อมาถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ และตอนนี้พวกเขายังร่วมมือกันวางกับดัก หมายจะใช้กระบวนผนึกมรรคราชันฆ่าตนอีก ไม่อาจอดทนได้แล้วจริงๆ
ตูม!
หลินสวินฝ่าเข้ามา ท่าทางดุจเทพมาร โอหังถึงที่สุด พาให้ทุกคนตกตะลึง
“หึ!” จงหลีอู๋จี้นัยน์ตาเหี้ยมเกรียม คว้าอาวุธไม้ตายของตนออกมาอย่างไม่ลังเล
ชิ้ง!
วิญญาณดำประทานมารโฉบออกมา รวดเร็วน่าอัศจรรย์ราวสายฟ้า เคลื่อนไหวว่องไวอย่างประหลาด มีพลังทะลุทะลวงที่ยากจินตนาการ
สวบ!
แทบจะในขณะเดียวกัน คมดาบขาวเจิดจ้าราวหิมะก็พุ่งออกมาจากร่างหลินสวิน เขาป้องกันการโจมตีนี้ไว้ก่อนแล้ว จะไม่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเหมือนคราวก่อนอีก
เคร้ง!
สมบัติทั้งสองปะทะกัน ไม่เหมือนสมบัติสองชิ้นกำลังแลกดาบกัน แต่เหมือนยอดฝีมือผู้โดดเด่นในโลกสองคนกำลังประชันฝีมือ รัศมีเทพน่าหวาดหวั่นปะทุออก สะท้านหูจนแทบหูหนวก
ชั่วพริบตาจงหลีอู๋จี้ก็สั่นสะท้านไปทั้งกาย ถูกสะเทือนบาดเจ็บอย่างที่สุด แทบกระอักเลือดออกมา ที่ทำให้เขาทั้งตระหนกทั้งโกรธที่สุดก็คือ วิญญาณดำประทานมารกลับเกิดช่องว่าง เกือบถูกฟันจนหัก ส่งเสียงโหยหวนไม่หยุด
สิ่งนี้เป็นถึงอาวุธบรรพบุรุษชิ้นหนึ่งของตระกูลจงหลี แม้ไม่ใช่ยอดศาสตรามรรคราชัน ทว่ามีอานุภาพเทียบได้กับยอดศาสตรามรรคราชันมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ เพียงการแลกดาบครั้งแรกกลับได้รับความเสียหายรุนแรง!
“หนี!”
จงหลีอู๋จี้หันกายจะหนี การควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันก่อนหน้านี้ทำให้เขาใช้พลังกายไปมากอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้ขนาดอาวุธไม้ตายยังเสียหาย เขาจะมีความกล้าไปประชันฝีมือกับหลินสวินอีกได้อย่างไร
เพียงแต่เขาช้าไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว ตั้งแต่เรียกดาบหักออกมา หลินสวินก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ชิงโอกาสชี้เป็นชี้ตายเอาไว้ แล้วตกฝ่ามือลงไป
ในฝ่ามือ ประทับปี้อั้นควบรวมถึงที่สุด เปล่งแสงส่องประกาย
ปึง!
ในชั่วพริบตาที่จงหลีอู๋จี้เริ่มหันกาย แผ่นหลังก็ถูกประทับปี้อั้นกระแทกเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นเสียงกระดูกระเบิดแหลกระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น ทั้งตัวเขาถูกตบกระเด็น กระอักเลือดคำโต ภาพตรงหน้ามืดสนิท ระหว่างที่เจ็บปวดอย่างรุนแรงก็แทบจะสลบไป
ในเวลาที่อันตรายถึงที่สุดเช่นนี้ เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง เกิดเสียงดังวู้ม ร่มสำริดที่โอบล้อมไปด้วยแสงสีดำคันหนึ่งกางออก มีคุณประโยชน์บดบังฟ้าดิน ค้ำจุนจักรวาล
นี่ก็เป็นอาวุธไม้ตายของจงหลีอู๋จี้เช่นกัน ร่มจักรวาล พลังป้องกันน่าตระหนกหาใดเทียบ อีกทั้งบนร่มยังมีลายมรรคพิสดารปกคลุม สามารถสะท้อนการโจมตีทั้งหมดกลับไปให้คู่ต่อสู้
“หลินสวิน เจ้าจะฆ่าให้เหี้ยนจริงๆ หรือ ไม่กลัวว่ายามเดินออกจากเขาพยับครามจะต้องเจอการเอาคืนเต็มกำลังจากตระกูลจงหลีของข้าหรือ” จงหลีอู๋จี้สีหน้าคล้ำเขียว เริ่มข่มขู่ แท้จริงในใจเขากระวนกระวายอย่างยิ่ง
เขาไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ ว่าเหตุใดเทพมารหลินผู้นี้ถึงน่ากลัวปานนี้ ขนาดกระบวนผนึกมรรคราชันยังฆ่าไม่ตาย ทั้งพลังต่อสู้ก็น่าสะพรึงราวเย้ยฟ้า
ดวงตาทั้งสองของหลินสวินเย็นชา ไฟโทสะในใจเดือดพล่าน เห็นได้ชัดว่าทุกย่างก้าวของอีกฝ่ายต้องการส่งเขาไปตาย ก่อนหน้านี้หมายจะฆ่าเขา แต่สุดท้ายกลับมาเล่นบทผู้เสียหาย ทั้งยังกล้าข่มขู่อย่างหยิ่งผยอง เขาทนไม่ไหวจริงๆ
ฟุ่บ!
ดาบหักขาวเจิดจ้าทอพุ่งวาบดุจภาพฝัน เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ร่มจักรวาลคันนั้นก็ถูกฟันขาดเป็นรอยแยกรอยหนึ่ง
จงหลีอู๋จี้หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ตื่นตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดลอย นั่นเป็นสมบัติอะไรกัน เหตุใดถึงวิปริตและร้ายกาจปานนี้ได้
ในช่วงอันตรายอย่างที่สุดนี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ก็เข้ามาช่วยได้ทันเวลา โบกดาบศึกสีเขียวรูปร่างเหมือนจะงอยปากนก คมดาบยาวแคบตัดขวางห้วงอากาศเข้ามา
ตึง!
หลินสวินไม่หลบสักนิด เหวี่ยงหมัดหนึ่งออกไป เพียงแค่พลังหมัดที่เปล่งประกายโชติช่วงนั่นก็สลายการโจมตีนี้ได้แล้ว ส่วนตัวชิงเหลียนเอ๋อร์ก็กระเด็นถอยหลังออกไปอย่างสูญเสียการควบคุม ราวถูกพายุกระแทกเข้ากับตัวอย่างรุนแรง ปากร้องเสียงแหลมออกมา
และตอนนี้ หลินสวินก็ตามติดไม่ลดละ พุ่งตัวลงมายังจงหลีอู๋จี้!
เขาชิงชังเจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือผู้นี้ที่สุด ถึงขั้นที่เขายังสงสัยว่าความคิดที่จะใช้การวางค่ายกลครั้งนี้มาล่อให้เขาติดกับ ก็เป็นฝีมือของจงหลีอู๋จี้เช่นกัน
……
“จะเข้าไปไหม” เหลยเชียนจวินเริ่มร้อนใจ เขาดูออกแล้วว่าดาบหักที่หลินสวินครอบครองเล่มนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นถึงศาสตราจิตชิ้นหนึ่ง!
นี่เป็นสมบัติชั้นยอดที่หลอมขึ้นจากเจตวัตถุที่แท้จริง หายากไม่มีสิ่งใดเทียบ อานุภาพน่ากลัวกว่ายอดศาสตรามรรคราชันเสียอีก ศาสตราจิตทรงพลังบางชิ้นถึงกับมีพลานุภาพที่ไม่ด้อยไปกว่าสมบัติอริยะ!
“รออีกหน่อย” มู่เจี้ยนถิงกลับสังเกตว่าออกจะไม่ชอบมาพากล ขนาดกระบวนผนึกมรรคราชันยังขังหลินสวินไว้ไม่ได้ นี่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน รู้สึกหวั่นกลัวหาใดเทียบ
เขาสงสัยว่าแม้ตนใช้ไพ่ตายบางชิ้น ก็เป็นไปได้สูงว่าอาจจะไม่สามารถทำอะไรหลินสวินได้อีก
……
ศึกนองเลือดดำเนินไปในที่นั้น หลังจากหลินสวินเดินออกมาจากกระบวนผนึกมรรคราชันก็สำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ ในระหว่างที่ทุกคนไม่ทันระวังตัวก็สังหารซาหลิวฉานในหมัดเดียว
และตอนนี้ เขายังจู่โจมจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์จนพ่ายแพ้หมดรูป ท่าทางผงาดผยองเช่นนั้น ทำให้เหล่าผู้กล้าที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ล้วนหวาดผวา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เปรี๊ยะ!
บนร่มจักรวาลถูกดาบหักผ่าขาดออกเป็นรอยแยกรอยหนึ่ง ส่งเสียงฉีกขาดออกมา เห็นได้ชัดว่าสมบัติโบราณที่ลี้ลับหาใดเทียบชิ้นนี้กำลังจะถูกทำลาย
แต่จงหลีอู๋จี้ไม่มีแก่ใจมาเจ็บปวดใจ เขารับรู้ได้ถึงอันตรายถึงชีวิต หลบหนีเต็มกำลัง ตื่นตกใจเหมือนสุนัขเสียบ้าน
เขามีฐานะเป็นผู้กล้าแห่งยุค ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ไม่เคยหมดท่าขนาดนี้มาก่อน อับอายและตื่นกลัวอย่างยากจะเอ่ย พาให้ทั้งตัวเขามีเค้าลางกำลังจะพังทลาย
ชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน กระบวนผนึกมรรคราชันเป็นถึงไพ่ตายของนาง เป็นสิ่งที่นางพึ่งพิงอย่างที่สุดในการช่วงชิงศุภโชคครั้งนี้ แต่กลับไม่สามารถสังหารหลินสวินได้ นี่สร้างความกระทบกระเทือนหนักหน่วงหาใดเทียบแก่นาง
กระทั่งตอนนี้นางคิดจะหนีไปหลายครั้ง หลบคมดาบไปก่อน ค่อยเลือกหาโอกาสสู้อีกครั้ง แต่กลับทำไม่ได้อยู่ตลอด เพราะเพียงนางทำท่าจะหนี ก็จะถูกหลินสวินสกัดกั้นอย่างแข็งกร้าว!
นี่ทำให้นางได้แต่ต้องเลือกเอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้น
ตูม!
เพียงครู่เดียวร่มจักรวาลก็ถูกดาบหักฟันเละ ระเบิดแหลกโครมคราม สมบัติโบราณที่ลี้ลับหาใดเทียบก็ถูกทำลายลงเช่นนี้
“พี่มู่ ถ้าตอนนี้พวกเจ้าไม่ลงมือ จะรอถึงตอนไหน”
จงหลีอู๋จี้ตะโกนด้วยความตื่นกลัว เขาแทบพังทลาย กำลังจะรับไม่ไหวแล้ว จึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับมู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวิน
แต่ที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของตน ทั้งสองกลับสีหน้านิ่งเฉยไม่แยแส!
“พวกเจ้า…”
จงหลีอู๋จี้เดือดดาลหาใดเทียบ เพียงแต่ไม่ทันพูดจบเสียงกร๊อบก็ดังขึ้น คอของเขาถูกบิดหักทั้งอย่างนั้น ก่อนตายยังตาเบิกกว้างด้วยความโกรธ เผยให้เห็นความไม่ยินยอมและโกรธแค้นไม่มีสิ้นสุด
บุคคลแห่งยุคอีกคนหนึ่งถูกฆ่า!
เหล่าผู้กล้าดวงตาแข็งทื่อเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจงหลีอู๋จี้หรือซาหลิวฉาน เบื้องหลังพวกเขาต่างมีขุมอำนาจใหญ่เก่าแก่ที่อำนาจคับฟ้ากลุ่มหนึ่งหนุนอยู่ เทพมารหลินบอกว่าจะฆ่าก็ฆ่าทิ้งได้เช่นนี้เลยหรือ เขาไม่กังวลสักนิดหรือ
นี่ทำให้ทุกคนไม่อาจคาดคิด
“…” ชิงเหลียนเอ๋อร์หวีดร้อง หวาดกลัวโดยสมบูรณ์แล้ว รู้สึกพรั่นพรึงยิ่ง ก่อนหน้านี้นางเห็นหลินสวินเป็นเป้าที่สามารถรังแกได้มาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่าง ไม่มีที่พึ่งพิงเช่นนี้คนหนึ่ง เมื่อลงมือแล้วจะบ้าคลั่งร้ายกาจและเด็ดดขาดเช่นนี้
“ถึงตาเจ้าแล้ว!”
หลินสวินทอดสายตาไป ดวงตาสีดำเย็นชาราวเหวลึก ทำให้ชิงเหลียนเอ๋อร์หนาวยะเยือกไปทั้งตัวประหนึ่งตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ใบหน้างามซีดเผือด
นี่เป็นคนเช่นไรกัน
ไม่!
เขาก็คือเทพมารตนหนึ่ง!
แม้แต่คนหยิ่งทระนงอย่างชิงเหลียนเอ๋อร์ ตอนนี้ก็รู้สึกหมดหวังแล้ว ออกจะเสียใจที่ไปล่วงเกินเทพมารสะท้านโลกา ไม่มีความหวั่นกลัวผู้หนึ่งอย่างหลินสวิน
“แม่นางเหลียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว มีพวกเราอยู่ จะยอมให้เทพมารหลินเหิมเกริมได้หรือ!”
ก็ในตอนนี้เอง มู่เจี้ยนถิงที่อยู่ไกลออกไปลงมือแล้ว ส่งเสียงคำรามยาว โจมตีเข้าไปในสมรภูมิ กระบี่โบราณลายสนส่องแสง เจตกระบี่เจิดจรัสแผ่พุ่งไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
ตูม!
แทบจะในขณะเดียวกัน เหลยเชียนจวินถือกระบองยาวอสนีออกโจมตีจากอีกด้านหนึ่ง พลานุภาพหาใดเทียม
“ไสหัวไป พวกเจ้านับเป็นตัวอะไร ก็แค่คนที่เคยแพ้ให้ข้าเท่านั้น ข้าอยากฆ่าใคร พวกเจ้าขวางได้หรือ?!” หลินสวินตะคอก รอบกายส่องแสงเจิดจ้า ยกหมัดพุ่งสังหาร
เขาแค้นจนกัดฟันกรอด เขาทบทวนกับตัวเองว่าไม่ได้มีความแค้นกับอีกฝ่าย ผลลัพธ์กลับเป็นถูกอีกฝ่ายซุ่มโจมตีเกือบเสียท่า สุดท้ายยังถูกอีกฝ่ายหลอกล่อเข้าไปในกับดักที่ตั้งใจวางไว้ หากไม่ใช่ว่าเขาเชี่ยวชาญศาสตร์สลักรอยวิญญาณ คราวนี้ต้องถูกสังหารในกระบวนผนึกมรรคราชันนั้นแน่
เจ้าสองคนนี้ ตอนนี้ยังลุกขึ้นมาออกหน้าแทนชิงเหลียนเอ๋อร์อีก ช่างได้คืบจะเอาศอก ตายไปก็ไม่มีอะไรให้เสียดาย!
สวบ!
ดาบหักเคลื่อนไปในอากาศ โจมตีไปที่มู่เจี้ยนถิง ขณะเดียวกันรอบกายเขาก็ปรากฏเงาชือน้ำแข็งขาวโพลนตัวหนึ่ง พุ่งไปที่เหลยเชียนจวิน
ส่วนตัวเขาเองกลับพุ่งโจมตีไปที่ชิงเหลียนเอ๋อร์
ตัวคนเดียว ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายออกตัวโจมตีบุคคลแห่งยุคสามคน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ย่อมก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
มองไปทั้งแดนฐิติประจิม กระทั่งมองไปทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ใครจะกล้าหยิ่งผยองเช่นนี้ ใครจะแข็งกร้าวเช่นนี้
ตูม!
ฟ้าโคลงดินเคลื่อน ห้วงอากาศระเบิดออก ระยะห่างพันจั้งเท่านั้น หลินสวินพุ่งตรงเข้ามาประชิดเบื้องหน้าชิงเหลียนเอ๋อร์แล้ว
มู่เจี้ยนถิงสีหน้าคล้ำเขียว ตะคอกว่า “เจ้ากล้าหรือ!”
เขากับเหลยเชียนจวินจู่โจมเข้ามา
ในขณะเดียวกันชิงเหลียนเอ๋อร์ก็หันกายหนี เจตจำนงต่อสู้ของนางพังทลายโดยสิ้นเชิง ท่าทางหลินสวินราวไร้ศัตรู มีบรรยากาศกลืนกินแปดทิศ พาให้นางไม่กล้าหวังว่าพวกมู่เจี้ยนถิงจะสามารถช่วยเหลือตนออกจากอันตรายครั้งนี้ได้
น่าเสียดาย แม้นางจะหนีอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังช้าไปเล็กน้อย ถูกหลินสวินใช้พลังหมัดสะเทือนสวรรค์ถล่มลงบนร่าง ร่างงามผอมเพรียวสะโอดสะองระเบิดแหลกในชั่วพริบตา เลือดเนื้อปลิวว่อน
แทบจะในเวลาเดียวกัน มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินก็โจมตีออกมา แต่กลับเห็นว่าเงามายาสัตว์เทพฟู่ซี่ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังหลินสวิน การโจมตีของทั้งสองถูกขวางกั้นไว้ทั้งหมด
โครม!
บริเวณนี้เกิดการกระแทกน่าหวาดหวั่นขึ้น รัศมีเทพโกลาหลไปทั่วสี่ทิศ ส่วนเหล่าผู้กล้าที่อยู่ไกลออกไปก็เหม่อลอยเช่นนั้น สั่นสะท้านจนไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ยอยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรเรียกอานุภาพแห่งเทพมาร
หลินสวินในตอนนี้อธิบายอานุภาพเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว!
ตอนที่ 908 เนตรอสนีดับวิชา
สุดท้ายมู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินก็ไม่สามารถช่วยชิงเหลียนเอ๋อร์ไว้ได้ นางถูกหลินสวินถล่มสังหาร ร่างงามแปรสภาพเป็นเลือดเนื้อปลิวว่อน ภาพนองเลือดหาใดเทียบ
ผู้แข็งแกร่งที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลออกไปล้วนอกสั่นขวัญแขวน แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! พูดว่าฆ่าก็ฆ่าจริง ขนาดบุคคลบุคคลแห่งยุคสองคนยังไม่อาจต้านทานได้!
แต่เหนือคาดหมาย หลังจากสังหารชิงเหลียนเอ๋อร์ พลังจิตของนางพลันแปรสภาพเป็นเงามายาหงส์เขียวตัวหนึ่ง พุ่งตัวออกไปไกล
เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาสำคัญก่อนนางจะสิ้นชีพก็ทิ้งกายหยาบไว้ ถึงรักษาพลังจิตให้แคล้วคลาดได้
ก็เห็นว่าปากหลินสวินเปล่งเสียงธรรมออกมา สำแดงความเร้นลับแห่งเสียงคำรามผูเหลา แปรเปลี่ยนเป็นวงคลื่นเสียงสีทองแผ่กระจายออกไป
ตูม!
พลังจิตของชิงเหลียนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งเสียงหวีดร้องชวนหดหู่หาใดเทียบ เกือบจะแตกสลายพังทลายกลางอากาศ
ในที่สุดนางก็หนีไปโดยเหลือเพียงวิญญาณแหว่งวิ่นส่วนหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะหลินสวินออมมือ แต่เพราะในขณะนี้มู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินก็บุกจู่โจมเข้ามาอย่างดุร้าย
“หลินสวิน นี่เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!” มู่เจี้ยนถิงบันดาลโทสะ เขากับเหลยเชียนจวินร่วมกันช่วยเหลือ แต่ชิงเหลียนเอ๋อร์เกือบตายสนิท นี่ทำให้เขารู้สึกเสียหน้านัก
“ขนาดจะเอาตัวเองให้รอดยังยาก ยังกล้าพูดเพ้อเจ้อ คิดว่าจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ” หลินสวินหันกายมา ดวงตาน่ากลัวเย็นเยียบ พุ่งไปหาพวกมู่เจี้ยนถิงโดยไม่ลังเล
ชิงเหลียนเอ๋อร์หนีไปได้ทำให้เขาขุ่นเคืองในใจ แค้นพวกมู่เจี้ยนถิงถึงที่สุด เจ้าสองคนนี้ทำเสียเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่าจนทนไม่ไหวแล้ว
“คนที่พวกข้าหมายปกป้อง เจ้าก็กล้าเข้ามายุ่งหรือ” พวกมู่เจี้ยนถิงสีหน้าคล้ำเขียวทั้งคู่ ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่น
“เลิกพูดพร่ำทำเพลง เอาชีวิตเจ้ามา!” หลินสวินพุ่งเข้าไปตรงๆ พลังหมัดปะทุแสงประกาย กดอัดจนห้วงอากาศสั่นไหว ฟ้าดินเปลี่ยนสี คลื่นพลังเช่นนี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว
อีกทั้งทั้งร่างของเขาแผ่รัศมีเทพสีใส ผิวหนังทุกกระเบียดล้วนหลั่งกลิ่นอายเจตจำนงแห่งมรรคอิ่มเอิบ ตระการตาราวดวงอาทิตย์สีเขียวดวงหนึ่ง
โครม!
มู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินไม่ได้หลบหนี คนหนึ่งควบคุมกระบี่โบราณลายมรรค คนหนึ่งโบกสะบัดกระบองอสนี เข้าประหัดประหารหลินสวินอย่างดุเดือด
“ก่อนหน้านี้ที่พวกเราแสดงตัวว่าอ่อนแอ ก็เพียงต้องการใช้ค่ายกลนี้สังหารเจ้า หรือเจ้าคิดว่าพวกเรากลัวเจ้าจริงๆ”
เสียงพูดมู่เจี้ยนถิงต่ำลึก เงยหน้าขึ้นในทันใด ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยไอสังหาร ดวงตาทั้งสองเย็นเยียบเสียดกระดูก
เงาร่างของเขาราวต้นสนสูงลิ่ว ก้าวออกไปก้าวหนึ่งราวย่นย่อระยะทางให้สั้นเพียงชุ่น กระบี่โบราณลายสนปรากฏสัญลักษณ์ลายมรรคแน่นขนัดชุดหนึ่ง เจิดจ้าราวพิรุณ น่ากลัวหาใดเทียบ
เคร้ง!
เสียงกระทบทะลวงแก้วหูดังก้อง ทั้งสองล้วนไม่ได้หลบหนี ประจันหน้าเข้าด้วยกัน
ชั่วขณะหนึ่งบริเวณนี้ก็ปรากฏภาพฟ้าถล่มดินแตกแยก อาทิตย์จ่อมจมจันทรามลาย ผีครวญเทพร้อง รัศมีเทพแสบตาม้วนตลบออกมา พลังทำลายล้างสะท้านโลกา
เคร้งๆๆ!
ก็ในชั่วพริบตานี้เอง ทั้งสองห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ปะทะกันสิบกว่าครั้ง เรียกได้ว่าเป็นการประลองขั้นสุดยอด ภาพการณ์สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ต้องยอมรับว่าเทียบกับการประลองกับหลินสวินคราวก่อน มู่เจี้ยนถิงแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ กระบี่โบราณลายสนเล่มนั้นของเขาเผยอานุภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้พลังต่อสู้ของเขาสูงขึ้นราวน้ำขึ้น
แต่สุดท้ายเขาก็ถูกกระแทกจนสั่นระริกไปทั้งกาย กระอักเลือดถอยออกมา ครู่เดียวสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีหาใดเทียบ
แม้เขาแข็งแกร่ง แต่หลินสวินแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขา!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในระหว่างนี้หลินสวินยังต่อสู้กับเหลยเชียนจวินด้วย ภายใต้สถานการณ์สองรุมหนึ่ง ยังคงแข็งกร้าวไม่มีใครเทียม นี่จะให้มู่เจี้ยนถิงไม่ตระหนกระคนโมโหได้อย่างไร
ชิ้ง!
ดาบหักขาวเจิดจ้าเป็นประกายราวภาพนิมิต พุ่งวาบไปในห้วงอากาศ คมดาบไร้เทียมทานเช่นนั้นเกือบกวาดต้องลำคอของมู่เจี้ยนถิง
ผมยาวปอยหนึ่งถูกฟันร่วงลงมา จากนั้นก็ถูกบดขยี้จนแหลก หายไปในเวลาอันสั้นราวฝุ่นควัน พร้อมกับวายุคลั่งพัดโบก
มู่เจี้ยนถิงประหวั่นพรั่นพรึง ไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีก คู่ต่อสู้คนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว รับมือได้ยากกว่าที่คาดไว้
เงาร่างหลินสวินยิ่งเหมือนภาพนิมิต รัศมีสุกสกาวเปล่งประกายพลุ่งพล่าน ไหววูบเคลื่อนที่ไปในห้วงอากาศ เขาใช้จิตรับรู้ควบคุมดาบหักประลองกับมู่เจี้ยนถิง แต่ตัวเขาเองกลับกำลังสู้ประชิดตัวกับเหลยเชียนจวิน
พลังหมัดของเขาไม่ด้อยไปกว่าอานุภาพของดาบหักเลย โหดเหี้ยม รุนแรง สะเทือนฟ้าสะท้านดิน ทรงพลังเกินต้านทาน ตัวเขาราวเทพมารบรรพกาลถือกำเนิดขึ้นในโลกา
ตูม!
ไม่นานนัก เหลยเชียนจวินก็ถูกสะเทือนถอยหลังโซซัดโซเซ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดผวาและตื่นตะลึง พลานุภาพของหลินสวินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว เขาต้องเลือกหลบหนี
“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เมื่อกี้ก็น่าจะร่วมมือกันสังหารเจ้า!”
เหลยเชียนจวินแค้นนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ตอนหลินสวินประลองกับพวกจงหลีอู๋จี้อยู่นั้น ก็น่าจะลงมืออย่างเด็ดขาด ไม่น่าเลือกสังเกตการณ์ ทำให้พลาดโอกาสงามครั้งใหญ่ไปโดยเปล่าประโยชน์
‘ถ้าตอนนั้นพวกเจ้าลงมือ ก็หนีพ้นความตายได้ยากอยู่ดี’
หลินสวินยิ้มเหี้ยมเกรียมในใจ เจ้าหมอนี่ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้ ทำเหมือนตนไปเอาเปรียบเสียใหญ่โต
ภายในกายของเขาโคจรวิชาอริยะยุทธ์ในทันใด อานุภาพของตัวเขาพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง มีความเชื่อมั่นไร้ผู้ต่อกรที่น่าหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นมา
โครม!
เงาร่างของเขาพุ่งออกไปอย่างรุนแรง สำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ดังเดิม เพียงแต่พลังหมัดตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว แค่อานุภาพก็ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปจิตใจหวาดผวา รู้สึกสิ้นหวังและหวั่นกลัว
ฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน ถูกพลังต่อสู้น่าครั่นคร้ามกระตุ้น ในความเลือนรางนั้น หลินสวินเหมือนแปลงกายเป็นมหาเทพมารองค์หนึ่ง พุ่งโจมตีเก้าชั้นฟ้า ทำให้สรรพสิ่งที่ถูกโจมตีแตกพ่าย
“นี่…” ที่ไกลลิบ อวี่หลิงคงใจสั่นสะท้าน สายตาวูบไหวไม่ว่างเว้น
‘กลับแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว นี่ถึงจะเป็นขีดจำกัดของเขาหรือ…’ แม้จี้ซิงเหยาสีหน้าเยือกเย็น แต่ในใจกลับเกิดคลื่นแปรปรวน สงบใจได้ยาก
ปึงๆๆ!
เหลยเชียนจวินสังเกตเห็นเค้าลางไม่ดี ใช้พลังทั้งหมดต้านทาน แต่กลับถูกพลังหมัดสายแล้วสายเล่าสั่นสะเทือนจนถอยหลังโซซัดโซเซ
จนกระทั่งท้ายที่สุดเขาก็กระอักเลือดออกจากปากจนแดงฉานไปทั้งแถบ สีหน้าซีดเผือดหาใดเทียบ ร่างกายกระตุกอย่างรุนแรง
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกหลินสวินกำราบจนเป็นฝ่ายรับการต่อยตีโดยสมบูรณ์ พลังขับเคลื่อนทั้งกายแทบถูกสั่นสะเทือนกระเจิดกระเจิง
ปึง!
สุดท้ายเขาก็ล้มกระเด็นออกไปเหมือนว่าวสายป่านขาด
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ของมู่เจี้ยนถิงก็ล่อแหลมยิ่งนัก พลังของดาบหักระเบิดออกอีกยกใหญ่พร้อมๆ กับที่หลินสวินโคจรวิชาอริยะยุทธ์ ไอสังหารสะท้านจักรวาล
กระบี่โบราณลายสนเล่มนั้นสั่นสะเทือนว้าวุ่น หวีดร้องไม่หยุด ท่าทางแทบหักออกจากกัน ส่วนมู่เจี้ยนถิงกลับผมเผ้ากระเจิดกระเจิง เสื้อผ้าขาดวิ่น ผิวหนังที่เผยออกมามีแต่รอยแผลเป็นริ้วๆ มีเลือดไหลริน
นั่นเป็นรอยแผลที่ปราณดาบของดาบหักปลดปล่อยออกมาสร้างขึ้น!
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปล้วนงงงวยโดยสมบูรณ์เช่นนั้น
ซาหลิวฉานถูกสังหารด้วยหมัดเดียว จงหลีอู๋จี้ถูกบิดคอขาด ส่วนชิงเหลียนเอ๋อร์เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณส่วนหนึ่งหลบหนีไป
และตอนนี้ ขนาดมู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินก็ถูกกำราบโดยสิ้นเชิง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งหมดนี้ขับเน้นให้หลินสวินแทบเหมือนไร้คู่ต่อสู้ น่ากลัวไม่มีที่สิ้นสุด!
“ดูท่าเขาก็เหมือนข้าและเจ้า ได้เหยียบย่างบนวิถีมกุฎของระดับกระบวนแปรจุติแล้ว มิน่าเล่าถึงได้กล้าแผลงฤทธิ์ไม่หวั่นกลัวเช่นนี้” ไอสังหารไหววูบในนัยน์ตาอวี่หลิงคง ความจริงข้อนี้ทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้แล้ว
จี้ซิงเหยานิ่งเงียบ นางนึกถึงสถานการณ์ตอนประลองกับหลินสวินครั้งแรกที่นครเตโช ตอนนั้นนางสังเกตได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายเหยียบย่างบนมรรคามกุฎที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงแต่ยังไม่กล้าฟันธง
และตอนนี้ ก็แค่เป็นการยืนยันการคาดเดาของนางอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น
เวลานี้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในที่นั้น…
ก็เห็นว่าเหลยเชียนจวินที่ถูกอัดอย่างสมบูรณ์จู่ๆ ก็คำรามดาลเดือดออกมาว่า “ข้าทนเจ้ามานานแล้ว ไปตายซะ!”
ฟุ่บ!
บริเวณกลางหน้าผากของเขาพลันมีดวงตาแนวตั้งดวงหนึ่งเบิกขึ้นมา แผ่พุ่งสายฟ้าที่ทำให้สุริยันจันทราหม่นหมองสายหนึ่ง ดำสนิทราวกับน้ำหมึก พิสดารและน่าหวาดหวั่นพุ่งโฉบไปทางหลินสวิน
“เนตรอัสนีดับวิชา!” ไกลออกไป อวี่หลิงคงกับจี้ซิงเหยาล้วนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
นี่เป็นถึงพลังพรสวรรค์ที่ขาดการสืบทอดไปเนิ่นนานแล้ว น่าครั่นคร้ามหาใดเทียบ มีอานุภาพตัดวิถี ทำลายหมื่นวิชาได้!
เพียงแต่ แม้แต่พวกเขายังคิดไม่ถึงว่าอาวุธไม้ตายที่แท้จริงของเหลยเชียนจวิน จะเป็นพลังพรสวรรค์น่าหวั่นกลัวที่ก้าวล้ำโบราณกาลและเหนือกว่าปัจจุบันเช่นนี้
ใกล้เกินไป แม้หลินสวินจะเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี บริเวณไหล่ถูกเจาะทะลุเป็นโพรงเลือดโพรงหนึ่ง
ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ สายฟ้าสีดำนี้แฝงพลังดับวิชาไว้อยู่ เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็แผ่ไปรอบกายหลินสวิน หมายจะสังหารไปถึงจักระเทพแห่งตนที่อยู่ภายในร่างของเขา!
นั่นเป็นถึงรากฐานแห่งพลังปราณ หากถูกทำลายทิ้งก็เท่ากับตัวหลินสวินพิการแล้ว
“หลินสวิน เวลาตายของเจ้ามาถึงแล้ว!” เหลยเชียนจวินหัวเราะร่า
“งั้นหรือ”
เสียงหึหยันดังขึ้น ก็เห็นว่ารอบกายหลินสวินราวแปรสภาพเป็นหลุมดำหลุมหนึ่ง พลังกลืนกินคลุมเครือและอัศจรรย์ปะทุออกมา
มรรคดับดารากลืนกิน!
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ความผิดปกติภายในร่างกายของหลินสวินก็ถูกกลืนกินหลอมละลายจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้สักหยด ขนาดรอยแผลที่บริเวณไหล่ยังสมานอย่างรวดเร็ว
“นี่…” เหลยเชียนจวินร่างแข็งทื่อราวถูกสายฟ้าฟาด งุนงงไปบ้าง
เวลานี้เขาแสดงภาวะอ่อนแอถึงขีดสุดออกมา มีทั้งความเหนื่อยล้าและอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูก เขายังไม่ได้ครอบครองพลังของเนตรอสนีดับวิชาอย่างแท้จริง คราวนี้ก็เป็นการฝืนสำแดงพลังโดยใช้ความสามารถทั้งหมดเข้าแลก
เดิมคิดว่าจะสามารถทำร้ายหลินสวินให้พิการได้ ใครจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินก็ฟื้นตัวโดยสมบูรณ์เหมือนไม่เป็นอะไร
ไม่เพียงแต่เขา ขนาดอวี่หลิงคงและจี้ซิงเหยาก็ต่างตะลึงพรึงเพริด พลังดับวิชาเช่นนี้ กลับไม่ได้ผลกับเทพมารหลินหรือ
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน
เหลยเชียนจวินในตอนนี้คลุ้มคลั่งถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ หมายจะสำแดงเนตรอสนีดับวิชาอีกหน แต่ยังไม่ทันได้แสดงพลังเขาก็กระอักเลือดเสียแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้ทำตามต้องการ
เขาไม่มีพลังเหลือแล้ว ไม่อาจสำแดงการโจมตีครั้งที่สองได้!
“ตาย!”
และตอนนี้หลินสวินที่สีหน้าเย็นชาก็กระโจนมา
“พี่มู่!”
ในช่วงเวลาวิกฤต เหลยเชียนจวินตื่นตระหนกจนขวัญหาย กำลังจะไปขอให้มู่เจี้ยนถิงช่วยชีวิต จะคิดได้อย่างไรว่ากลับเห็นภาพที่ทำให้เขาดาลเดือดหาใดเทียบ
มู่เจี้ยนถิงซึ่งถูกดาบหักเล่นงานไม่ว่างเว้น เวลานี้กลับปลีกตัวหนี ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีเค้าว่าจะมาช่วยเขาแต่อย่างใด!
ครู่เดียวเหลยเชียนจวินก็เหมือนถูกคนแทงข้างหลัง ใจเย็นเยียบไปหมด โกรธแค้นถึงที่สุด ไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ ว่าพันธมิตรของตนจะทิ้งตนไปในเวลาเช่นนี้
ตูม!
พลังหมัดกระแทกออกมา จิตวิญญาณของเหลยเชียนจวินสับสนยุ่งเหยิง หลบหนีไม่ทัน ถูกซัดที่ทรวงอกจนแหลกในชั่วพริบตา ตัวเขากระเด็นถอยหลังไปเหมือนกระสอบทรายแตก
ดวงตาโกรธแค้นของเขาเบิกโพลง ยังคงจดจ้องมู่เจี้ยนถิงที่หนีไปไกล เห็นได้ว่าแค้นขนาดไหน
เสียงตุ้บดังขึ้น เขาล้มกระเด็นลงไปบนพื้นดินไกลออกไปร้อยจั้ง ลุกขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว บริเวณหน้าอกมีโพรงเลือดน่าสะท้านขวัญโพรงหนึ่ง เลือดไหลออกมาราวน้ำตก
เหลยเชียนจวินหันหน้ามาอย่างยากลำบาก มองไปยังหลินสวินที่เข้ามาใกล้ แสดงสีหน้าแค้นเคืองหาใดเทียบ พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “หลินสวิน จะ… เจ้าฆ่าข้ามะ… ไม่ตายหรอก ข้าจะ… กลับมา… เอาคืน…”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ตายคาที่ไปแล้ว
ตอนที่ 909 ตรวจตราศุภโชค
เหลยเชียนจวินตายแล้ว
ก่อนตาย เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและสิ้นหวัง การทรยศในช่วงเวลาสุดท้ายของมู่เจี้ยนถิงทำให้จิตวิญญาณของเขายุ่งเหยิงนัก ขนาดจะหลบหนียังไม่ทัน ถูกหลินสวินซัดทรวงอกให้แหลกในหมัดเดียว
เหล่าผู้กล้าเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น ทอดถอนใจไร้วาจาเอื้อนเอ่ย ไม่อาจคาดคิดได้ว่าการต่อสู้คราวนี้จะมีผลลัพธ์เช่นนี้ได้
ก่อนหน้านี้ มู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินกับพวกจงหลีอู๋จี้ร่วมมือกันวางกับดักไว้ล่วงหน้า เพื่อขังหลินสวินไว้ในกระบวนผนึกมรรคราชัน
ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าหลินสวินไม่มีความหวังจะรอดชีวิตได้อีก ต้องถูกสังหารแน่ ตอนนั้นผู้แข็งแกร่งหลายคนยังถอนใจเสียดาย รู้สึกว่าไม่คุ้มแทนหลินสวิน
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง กลับทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพลิกผลันอย่างเหลือเชื่อ
ใครก็คิดไม่ถึงว่าค่ายกลใหญ่ที่สามารถล้อมสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้กระบวนหนึ่ง หลินสวินกลับเดินออกมาได้อย่างสบาย ไม่ได้รับความเสียหายเลย เต็มไปด้วยความเหนือคาด
จากนั้น…
ซาหลิวฉานก็ถูกสังหารด้วยหมัดเดียว จงหลีอู๋จี้ถูกบิดคอหัก ชิงเหลียนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณแหว่งวิ่นหนีไป
ทั้งหมดนี้ล้วนดูน่าตื่นตะลึงสะท้านโลกเกินธรรมดา ขับเน้นให้หลินสวินประหนึ่งเทพเทวดา ไม่อาจเอาชนะได้
กระทั่งตอนนี้ เมื่อเหลยเชียนจวินถูกฆ่าตาย มู่เจี้ยนถิงหลบหนีหัวซุกหัวซุน เหล่าผู้กล้าก็หวาดผวาโดยสิ้นเชิง ในสมองออกจะงงงวย เหม่อลอยอยู่เช่นนั้นแล้ว
นั่นเป็นถึงบุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้อยู่แถวหน้า สะดุดตาหาใดเทียบในหมู่คนรุ่นเยาว์ทั้งแดนฐิติประจิม!
แต่ตอนนี้กลับประสบเคราะห์ บาดเจ็บล้มตายไปทีละคน ล้วนถูกหลินสวินคนเดียวเอาชนะ นี่ดูน่าตื่นตะลึงยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
หากข่าวกระจายออกไป ต้องก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนใหญ่โตแน่!
……
หืม?
ในที่นั้น หลินสวินกำลังจะไล่โจมตีมู่เจี้ยนถิง จู่ๆ กลับสังเกตเห็นว่าดวงตาแนวตั้งดวงหนึ่งปรากฏขึ้นจากร่างที่ถูกสังหารของเหลยเชียนจวิน แผ่วงแสงสายฟ้าสีดำออกมา พิศวงน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ
เนตรอสนีดับวิชา!
นัยน์ตาหลินสวินหดรัด เพียงแต่ยังเขายังไม่ทันตอบโต้ ก็เห็นว่าดวงตาแนวตั้งดวงนั้นพลันมีแสงอสนีโชติช่วงปะทุออกมา แล้วดึงเอาศพของเหลยเชียนจวินหายลับไปในห้วงอากาศทันใดราวกับมีพลังจิต
ความรวดเร็วนั้นทำให้แม้แต่จะขัดขวางหลินสวินยังทำไม่ทัน
นี่ทำให้เขาสีหน้าคร่ำเคร่ง นึกถึงประโยคที่เหลยเชียนจวินพูดออกมาก่อนตายประโยคนั้น…
‘หลินสวิน เจ้าฆ่าข้าไม่ตายหรอก ข้าจะต้องกลับมาเอาคืน!’
‘จะเป็นเพราะดวงตาแนวตั้งดวงนี้หรือไม่…’ หลินสวินลอบถอนใจในใจ บุคคลแห่งยุคเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าได้ง่ายขนาดนั้นดังคาด บนร่างของพวกเขายังมีไพ่ตายที่รักษาชีวิตไว้มากมายเหลือเกิน ไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกปราณคนอื่นได้
แต่หลินสวินก็สามารถแน่ใจได้ว่า ต่อให้เหลยเชียนจวินยังมีความเป็นไปได้ที่จะคืนชีพ แต่คิดจะฟื้นตัวในเวลาอันสั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้!
เขาไม่ร่ำไร รีบเร่งสะสางสมรภูมิ
การต่อสู้ครั้งนี้แม้เสี่ยงภัยหาใดเทียบ แต่สิ่งที่ได้รับก็มากนัก พวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ถูกฆ่า สมบัติที่อยู่กับตัวพวกเขาก็กลายเป็นทรัพย์หลังศึกของหลินสวิน
อีกทั้งทรัพย์หลังศึกนี้ยังใหญ่โตอย่างไม่ธรรมดา!
เช่นธงรบค่ายกลโบราณและแผ่นจานกระบวนที่ชิงเหลียนเอ๋อร์ทิ้งไว้ชุดนั้น ก็สามารถวางกระบวนผนึกมรรคราชันที่แท้จริงได้
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้บุคคลแห่งยุคเหล่านี้ยังชิงศุภโชคมาได้หลายชิ้น ตอนนี้ก็กลายเป็นของที่อยู่กรุของหลินสวิน
ระหว่างที่หลินสวินกวาดทรัพย์หลังศึกจนเกลี้ยง เหล่าผู้กล้าที่อยู่ไกลออกไปก็ได้สติกลับมาจากอาการเหม่อลอยช้าๆ เมื่อเห็นภาพนี้เข้า แม้จะอิจฉาตาร้อน แต่กลับไม่มีใครกล้าฉวยโอกาส
ภาพหลินสวินสังหารเหล่าบุคคลแห่งยุคก่อนหน้านี้ทุกภาพยังติดตา ใครจะสวมใจเสือกล้าเข้าไปแย่งทรัพย์หลังศึกของเขาในตอนนี้ได้
ไกลสุดลูกหูลูกตา นัยน์ตาของอวี่หลิงคงฉายแววเยียบเย็น เหมือนจะเข้าไป แต่สุดท้ายก็ยังไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ลงมือ” จี้ซิงเหยาพลันทอดสายตามองไปยังอวี่หลิงคง บนกายฝ่ายหลังมีไอสังหารพรั่งพรู ถูกนางจับสังเกตได้อย่างเฉียบคม
“ไม่รีบร้อน”
อวี่หลิงคงยิ้มบางๆ สีหน้ากลับมาราบเรียบ “อีกอย่างยอมให้เขาอยู่ต่อไปช่วงหนึ่ง สุดท้ายแล้ว ไม่ช้าก็เร็วชีวิตของเขาก็เป็นของข้า”
“ดูท่าเจ้าเชื่อมั่นมากว่าจะสังหารหลินสวินได้ใช่หรือไม่” ดวงตากระจ่างของจี้ซิงเหยาฉายแววประหลาด
อวี่หลิงคงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายลึกล้ำ เอ่ยว่า “ถ้าเอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ ไม่แน่ว่าแม่นางจี้ก็สามารถทำได้กระมัง”
จี้ซิงเหยาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หันกายจากไป
อวี่หลิงคงก็ไม่สนทนาหัวข้อนี้อีก เขามองหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปครั้งหนึ่งแล้วค่อยหันกายจากไป
……
‘ไปกันหมดแล้วหรือ ข้ายังคิดว่าพวกเขาจะห้ามใจให้ลงมือไม่ได้ ดูท่าพวกเขาก็เริ่มระวังรอบคอบเสียแล้ว…’
หลินสวินที่กำลังกวาดทรัพย์หลังศึกเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีดำกวาดมองไปไกลลิบครั้งหนึ่ง นิ่วหน้าอย่างยากสังเกตเห็น
ก่อนหน้านี้ยามประลองกับพวกมู่เจี้ยนถิง เขาก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่ายังมีกลิ่นอายแข็งแกร่งส่วนหนึ่งจดจ้องเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ลับๆ
หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เขาก็คงใช้วิธีโหดเหี้ยม สังหารคู่ต่อสู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งไปนานแล้ว และคงไม่เลือกต่อสู้กับพวกมู่เจี้ยนถิง
เช่นเดียวกัน สาเหตุที่เขายังไม่จากไปทันที ก็เพราะกำลังรอคอย อยากเห็นเสียหน่อยว่ายังมีใครกล้ากระโจนออกมาอีกกันแน่
แต่เหนือความคาดหมายของหลินสวิน ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีใครออกมาอีก เห็นได้ชัดว่าศึกใหญ่เมื่อกี้นี้ทำให้พวกเขาระแวดระวังและรอบคอบ ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมืออีก
‘นี่ก็ออกจะยุ่งยากเสียแล้ว…’
หลินสวินครุ่นคิด ทันทีที่ศัตรูระมัดระวังขึ้นมา ก็มีแต่จะอันตรายยิ่งขึ้น!
ทว่าเขาก็ไม่กังวลอะไร ในมือเขามีไพ่ตายอยู่บ้าง หากพบอันตรายถึงแก่ชีวิตเข้าจริง เขาก็จะไม่ออมมืออีกแต่อย่างใด
สวบ!
ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็หายไป นำทรัพย์หลังศึกหายลับไปจากที่นั้นด้วย
“สมกับเป็นเทพมารหลินนะ… ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ ในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนฐิติประจิม ใครยังจะแก่งแย่งกับเขาได้”
และจนกระทั่งหลินสวินจากไป เหล่าผู้กล้าที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ถึงกล้าเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์ แต่ละคนอารมณ์ซับซ้อนถึงที่สุด
“บางที คงมีแต่คนอย่างธิดาเทพจี้ คุณชายอวี่ ถึงประมือกับเทพมารหลินได้กระมัง”
“ขนาดกระบวนผนึกมรรคราชันยังฆ่าไม่ตาย พวกเจ้าว่าในมือหลินสวินคนนี้ครอบครองสมบัติอริยะอะไรไว้กันแน่ ถึงได้ทำได้ขนาดนี้”
ทั้งมีคนอวดฉลาด พูดพลางหัวเราะหยันว่า “คราวนี้เทพมารหลินทะลุฟ้าเชียว ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต บุคคลแห่งยุคเหล่านั้นฆ่าง่ายขนาดนั้นหรือ ต่อให้เขามีชีวิตรอดจากไปได้ แต่ชั่วขณะที่ออกจากเขาพยับครามนั้น ก็จะถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าจากแต่ละขุมอำนาจใหญ่จับจ้องเข้าสังหาร!”
มีคนเตือน “สหาย ระวังหายนะจะออกมาจากปาก ต่อไปอย่าวิจารณ์เทพมารหลินลับหลังเขาดีกว่า คนผู้นี้เป็นคนโหดเหี้ยม แผลงฤทธิ์ไม่หวั่นกลัวคนหนึ่ง ไม่สนใจหรอกว่าเจ้ามีฐานะและที่มาที่ไปอย่างไร ก็สามารถพุ่งเข้ามาฆ่าได้ไม่มีพลาด!”
ไม่นานนักเหล่าผู้กล้าต่างแยกย้ายจากไป
แม้การต่อสู้เมื่อกี้พาให้ทุกคนสั่นสะท้าน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขายิ่งสนใจศุภโชคและวาสนาบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณมากกว่า
……
มาถึงเวลานี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณครั้งนี้ล้มตายไปเกินครึ่งอยู่ก่อนแล้ว ผู้แข็งแกร่งมากมายสิ้นชีพไประหว่างการห้ำหั่นดุเดือดก่อนหน้า ต้องกล้ำกลืนความแค้นจากไป
ทั้งมีผู้แข็งแกร่งบางคนที่รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เพื่อรักษาชีวิต จึงไม่สนใจว่าจะช่วงชิงศุภโชคได้หรือไม่ ล้วนเลือกถอยหนีอย่างแน่วแน่ กลับไปใต้ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งอีก
ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่ยังอ้อยอิ่งอยู่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณก็เหลือเพียงส่วนน้อยแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลแห่งยุคในหมู่ผู้กล้า
เช่น อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา ลั่วจยา เป็นต้น
เพียงแต่ที่ทำให้ทุกคนเหนือความคาดหมายก็คือ หลังจากศุภโชครอบแรกมาถึงมา บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณก็เหลือเพียงดอกตูมสำริดที่ยังไม่เบ่งบานสักทีเหล่านั้น
ชั่วครู่เดียว เหล่าผู้กล้าล้วนจำศีล รอคอยอยู่เงียบๆ การต่อสู้ประหัตประหารก็หายไป
เวลาผ่านไป บรรยากาศบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณก็ยิ่งเงียบเชียบไร้เสียง
รัศมีเทพสีม่วงตลบอบอวลไปทั่วต้นไม้โบราณ ดอกตูมสำริดแต่ละดอกพรั่งพรูแสงมรรคออกมา ดุจภาพมายา ว่างเปล่าและบริสุทธิ์ผุดผ่อง
“เหตุใดถึงยังไม่มีศุภโชคมา” ผู้แข็งแกร่งมากมายฉงน นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว ต่างจากเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มา
“ข้าสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ยามศุภโชคคราวนี้มาถึง จะต้องต่างจากธรรมดาแน่ เป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นมหาโชคที่ไม่เคยมีมาก่อนชิ้นหนึ่งแน่ ส่วน ‘ศุภโชคอันดับหนึ่ง’ ก็เป็นไปได้สูงยิ่งที่จะถือกำเนิดขึ้นตอนนี้!”
ทั้งมีคนรอคอยและตั้งหน้าตั้งตารอ
และตอนนี้เอง หลินสวินก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ พลังกายของเขาฟื้นฟูถึงสภาวะสูงสุดแล้ว อีกทั้งพลังปราณยังเฉียบแหลมขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
เขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของต้นโคมสำริดมรรคโบราณเช่นกัน ดังนั้นจึงมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงยอดต้นไม้โบราณก่อน
ด้วยว่างจนไม่มีอะไรทำ หลินสวินจึงเริ่มตรวจตราทรัพย์หลังศึกทีละชิ้น
การเหยียบย่างไปบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับของมาอย่างมากมาย
ก่อนหน้านี้ได้ศิลาโลหิตน้ำตาหงส์ เจตวัตถุที่ล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็กำราบโอสถราชันไร้เทียมทานกายสิทธิ์ต้นหนึ่งได้อีก
แต่ทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากศึกนองเลือดยิ่งน่าตะลึง ทั้งสมบัติโบราณลี้ลับ โอสถวิญญาณล้ำค่า และวัตถุวิญญาณหายาก มีมากกว่าหลายสิบชนิด
อย่างดาบโค้งสีเขียวที่รูปร่างเหมือนจะงอยปาก คมดาบยาวแคบซึ่งชิงมาจากมือชิงเหลียนเอ๋อร์เล่มนั้น มีนามว่า ‘หงส์ครวญเย้ยวิญญาณ’ เป็นสมบัติโบราณที่สืบทอดในเผ่าหงส์เขียว
หรืออย่างกระบองยาวอสนีที่ชิงมาจากมือเหลยเชียนจวินเล่มนั้น ที่มายิ่งน่าตื่นตะลึง มีนามว่า ‘กระบองเสียงอสนีประหัตมาร’ เป็นสมบัติล้ำค่าที่อริยะผู้หนึ่งในเผ่ามหาอสนีหลอมขึ้นเองกับมือ
นอกจากนี้ ยังมี ‘ทวนวงเดือนแสงทะมึน’ ของซาหลิวฉาน ‘หยกม่วงสมปรารถนา’ ของจงหลีอู๋จี้ เป็นต้น
สมบัติทุกชิ้นล้วนมหัศจรรย์หาใดเทียบ แม้ไม่ได้เป็นยอดศาสตรามรรคราชัน แต่อานุภาพกลับสามารถประชันกับยอดศาสตราเหล่านั้นได้!
ส่วนของจำพวกโอสถอัศจรรย์ ลูกกลอนวิญญาณ และวัตถุวิญญาณแต่ละชนิดที่ได้มา ยิ่งมีจำนวนมากกว่า มีคุณประโยชน์ต่างๆ กัน งดงามละลานตา มูลค่าไม่อาจประเมินได้
จากจุดนี้ก็ดูออกได้ว่า ภูมิหลังบุคคลแห่งยุคเหล่านี้ล้วนน่าตะลึงขนาดไหน พวกเขาเกิดในสำนักและตระกูลเก่าแก่ มูลค่าของทรัพยาการฝึกปราณที่ครอบครอง จึงล้ำเกินกว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปในโลกไปโข
ปัจจัยสำคัญสี่อย่างของพลังปราณ ทรัพย์ สหาย วิชา และสถานที่ ทรัพย์เป็นอันดับหนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่ามีความสำคัญปานไหน
ภายใต้การเกื้อหนุนทางทรัพยากรฝึกปราณมากมายเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นหมูตัวหนึ่ง ก็สามารถเบิกปัญญา แปรสภาพเป็นหมูอสูรมารที่มีอภิญญาไพศาลได้!
เพียงแต่สำหรับหลินสวินแล้ว สิ่งที่ได้มาคราวนี้ซึ่งทำให้เขาใจเต้นมากที่สุดกลับเป็นม้วนหนังสัตว์ผืนหนึ่ง กับกระบวนผนึกมรรคราชันกระบวนหนึ่ง!
ม้วนหนังสัตว์มีสีเขียวอบอวล เป็น ‘ศุภโชค’ ที่ชิงมาจากมือของเหลยเชียนจวิน
ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือ ม้วนหนังสัตว์นี้ถูกลายมรรคสีทองสายหนึ่งพันธนาการไว้ ด้วยพลังของหลินสวินในตอนนี้ กลับไม่อาจเปิดออกได้!
หลินสวินยังจำได้ว่า ตอนนั้นมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินกำลังแสร้งทำเป็นชิงม้วนหนังสัตว์ม้วนนี้อยู่ ถึงทำให้ตนชะล่าใจ ถูกพวกเขาลอบโจมตี
แต่ด้วยเรื่องนี้ก็สามารถตัดสินได้ว่า สิ่งนี้ต้องเป็น ‘ศุภโชค’ ที่ถือกำเนิดขึ้นบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณชิ้นหนึ่ง!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น