Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 900-905
ตอนที่ 900 ต้นไม้เทพราวนรก ศุภโชคเปื้อนเลือด
วิญญาณดำประทานมาร!
สมบัติโบราณที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลจงหลีชิ้นหนึ่ง อานุภาพน่ากลัว เทียบเท่ายอดศาสตรามรรคราชัน
โดยทั่วไป สมบัติระดับนี้ล้วนอยู่ในมือของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน
แต่เห็นได้ชัดว่า เพื่อให้จงหลีอู๋จี้ช่วงชิงศุภโชคในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ได้ ตระกูลจงหลีเองก็ลงทุนลงแรง ให้สมบัตินี้ไว้กับจงหลีอู๋จี้เพื่อเป็นอาวุธสังหารและใช้ป้องกันตัว!
“ไป!”
พลันเห็นจงหลีอู๋จี้สะบัดแขนเสื้อเก็บวิญญาณดำประทานมาร จากนั้นกวาดมองหลินสวินด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะพาพวกซาหลิวฉานเคลื่อนตัวไปยังด้านบนของต้นไม้เทพ
“หลินสวินอย่าตามเลย”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามาขวาง “พวกเขาร่วมมือกันแล้ว ปะทะกับพวกเขาตอนนี้มีแต่เสียกับเสีย”
“อืม ข้าเพียงอยากหยั่งเชิงไพ่ใบสุดท้ายของพวกเขา” หลินสวินยิ้มพูด เขาไม่คิดจะตามไปอยู่แล้ว
และรู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะกับการเข่นฆ่า ศุภโชคยังไม่ปรากฏก็ลงมืออย่างเต็มเหนี่ยว จะนำพาเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่จำเป็นเข้ามา
ทว่าหลังจากหยั่งเชิงในครั้งนี้กลับทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ในมือของพวกจงหลีอู๋จี้ครอบครองไม้ตายที่แข็งแกร่งดังคาด
อย่างวิญญาณดำประทานมารเมื่อครู่นี้ก็เป็นยอดศาสตรามรรคราชันที่แข็งแกร่งอย่างมากชิ้นหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะหลินสวินฝึกพลังจิตวิญญาณจนมาถึงระดับดอกเทพรวมยอด สัมผัสถึงถึงไอสังหารได้ก่อน กลัวว่าคงถูกลอบโจมตีจนบาดเจ็บไปแล้ว
จงหลีอู๋จี้เป็นเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าในมือของชิงเหลียนเอ๋อร์และซาหลิวฉานก็ต้องมีไม้เด็ดเช่นนี้ด้วย
“ไป พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกัน” หลินสวินตัดสินใจขึ้นไปบนยอดต้นไม้เทพนั่นด้วย
เหนือความคาดหมาย เยวี่ยเจี้ยนหมิงกลับปฏิเสธ “หากไม่มีเจ้าคอยช่วย ด้วยความสามารถของข้าคงถูกคัดออกไปตั้งแต่การทดสอบถกมรรคแล้ว ข้าพอใจมากแล้ว ไม่คิดจะช่วงชิงศุภโชคครั้งนี้อีก”
คำพูดของเขาราบเรียบ แต่กลับแฝงความเด็ดเดี่ยว
นี่ทำให้หลินสวินสะท้านใจ ศุภโชคบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณเพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนละโมบ ช่วงชิงมันอย่างบ้าคลั่ง
แต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงกลับเลือกที่จะหยุดในสถานการณ์เช่นนี้ นี่ย่อมต้องใช้ความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวอันใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย!
เจตจำนงที่แน่วแน่เช่นนี้ถือว่าหายากมาก หลินสวินเองยังอดนับถือไม่ได้ สามารถคาดการณ์ได้ว่า บางทีคนอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ตอนนี้แม้แต่ผู้กล้าชั้นยอดยังสู้ไม่ได้ แต่ด้วยจิตใจและจิตวิญญาณเช่นนี้ สักวันจะต้องสามารถผงาดขึ้นมาได้
สุดท้ายหลินสวินจึงเคลื่อนไหวเพียงลำพัง เยวี่ยเจี้ยนหมิงเลือกที่จะอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ เมื่อเทียบกันแล้วที่นี่ก็คือเขตปลอดภัย จะไม่เกิดอันตรายที่ไม่คาดฝันอะไร
ตอนนี้เหล่าผู้กล้าต่างขึ้นไปช่วงชิงศุภโชคบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่มีทางแบ่งความสนใจ มาเสียเวลากับการเล่นงานเยวี่ยเจี้ยนหมิง
……
ปัง!
ทันทีที่ก้าวขึ้นลำต้นของต้นโคมสำริดมรรคโบราณซึ่งหนาใหญ่อย่างที่สุดนั้น สายฟ้าหนาแน่นราวกับลมพายุก็ผ่าสังหารลงมา
หลินสวินไม่เลือกปะทะหรือสลายมัน ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งจนร่างกายวูบไหว หลบเลี่ยงการโจมตีอันหนักหน่วงนั่น พุ่งขึ้นด้านบน
เขาก้าวอย่างผ่อนคลาย เงาร่างเลือนราง
ต้นไม้เทพเสียดฟ้า ลำต้นหนาใหญ่อย่างที่สุด แต่ละกิ่งก้านราวกับทอดยาวไปถึงส่วนลึกที่สุดของห้วงอากาศ เดินอยู่บนนั้นราวกับได้เข้าไปอยู่ในเขาวงกต
เพียงครู่เดียวเท่านั้นหลินสวินก็จำต้องชะงักฝีเท้า ด้วยตรงหน้าเกิดการต่อสู้ขึ้น
ตูม!
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งแปลงเป็นงูเหลือมยักษ์สีม่วง ยาวสิบกว่าจั้ง รอบตัวมีแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงพลุ่งพล่าน กระโดดตัวขึ้นมาพุ่งสังหารไปอีกฟาก
ตรงนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะเข้าใกล้ดอกตูมสำริดดอกหนึ่ง เมื่อถูกลอบโจมตีเช่นนี้ เขาพลันตะโกนออกมากะทันหัน ปีกคู่หนึ่งที่เจิดจ้าราวกับหิมะผุดออกจากหลัง แหลมคมราวกับดาบ ทั้งสองต่อสู้กันขึ้นมา
ตูมโครม!
ที่ตรงนั้นไอสังหารกู่ก้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง
ลำตัวของงูเหลือมยักษ์สีม่วงราวกับสร้างจากทองเซียน แข็งแกร่งอย่างที่สุด ถูกปีกของชายหนุ่มฟันเข้าไปก็ส่งเสียงเสียดหู สะเก็ตไฟสาดกระเซ็น
นี่คือศึกใหญ่แห่งการช่วงชิงศุภโชค น่าเวทนาอย่างที่สุด ไม่นานก็รู้แพ้ชนะ ชายหนุ่มบาดเจ็บสาหัส ปีกเกือบหัก ขนปีกเปื้อนเลือด สูญเสียลำตัวข้างหนึ่ง หนีกระเจิงห่างไป
งูเหลือมยักษ์สีม่วงนั่นเคลื่อนไหวร่างกาย แปลงเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม ก้าวเข้าไปอยู่ตรงหน้าดอกตูมสำริดดอกนั้น ก่อนกวาดสายตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เห็นได้ชัดว่าศุภโชคในดอกตูมสำริดดอกนี้เข้าตานาง หลังจากโจมตีชายหนุ่มจนยับเยิน ก็ยึดครองพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นเขตต้องห้าม
ตอนที่เห็นหลินสวิน สาวน้อยหรี่ตา เผยความระแวงอย่างชัดเจน
หลินสวินไม่สนใจ เดินหน้าต่อไป
จนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินหายไป สาวน้อยคนนั้นจึงถอนหายใจยาว ก่อนจะเผยสีหน้าราวกับกำลังเย้ยหยันตัวเอง ก็จริง บุคคลแห่งยุคอย่างเทพมารหลิน จะมาแย่งศุภโชคกับตนได้อย่างไร…
ตูม!
หลินสวินเดินหน้าไปได้ไม่นานก็มีการต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเรียกยันต์สายฟ้าสายหนึ่งออกมา ปลดปล่อยสายฟ้าสีแดงโจมตีมาทางหลี่ชิงฮวน
หลี่ชิงฮวนกวาดมือ ไอหยินหยางสองสายปรากฏขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นหินโม่สีขาวดำกดทับลงมา ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด
สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ ผู้แข็งแกร่งคนนี้หน้าไม่คุ้น แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่ง สามารถต่อสู้กับหลี่ชิงฮวนอย่างสูสี
สวบ!
เพียงแต่ตอนที่หลี่ชิงฮวนสังเกตเห็นหลินสวินที่อยู่ห่างไป สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย หยุดการต่อสู้อันดุเดือดแล้วเอี้ยวตัวจากไป หายลับไร้ร่องรอย
ผู้แข็งแกร่งที่ถือยันต์สายฟ้าอึ้งงัน พอเห็นหลินสวินก็ตอบสนองทันที สีหน้าแฝงความระแวงอันแรงกล้า
‘เจ้าหมอนี่ถือว่าวิ่งไวดี’
หลินสวินไม่ได้สนใจ เหลือบมองบริเวณที่หลี่ชิงฮวนจากไปปราดหนึ่งก็เดินหน้าต่อ
ระหว่างทางเขาเจอดอกตูมสำริดดอกแล้วดอกเหล่า แต่ก็ถูกคนแย่งกันแทบทั้งหมด เป็นเหตุให้เกิดการเข่นฆ่าอันน่าอนาถ
“รนหาที่ตาย!” ทันใดนั้นในระยะไกลมีเสียงตะโกนดังขึ้น มู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอารามพรางมรกตเองก็เจอคู่ต่อสู้
นั่นคือผู้แข็งแกร่งเผ่าสลาตัน เงาร่างราวกับลม ว่องไวราวกับวิญญาณ ถือกระบองสีเลือดคู่หนึ่งหมุนตัวลงมา ทำให้อากาศทรุดทลาย
เขาเคลื่อนไหวอย่างฉับไว ส่วนกระบองในมือก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติโบราณคู่หนึ่ง พลังสังหารสะท้านขวัญ พัดกระพือแสงเลือดแสบตา
มู่เจี้ยนถิงรูปร่างสูงตระหง่าน ชุดคลุมโบกสะบัดไปตามสายลม การต่อสู้ดำเนินอยู่นานโดยไม่หยุด ทำให้เขาโกรธอย่างเห็นได้ชัด ไม่ออมมืออีกต่อไป เรียกกระบี่โบราณลายสนด้ามหนึ่งออกมา
ชิ้ง!
ประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้น ยิ่งใหญ่เรืองรอง สว่างไสวอย่างที่สุด
เห็นได้ชัดว่านี่คือยอดศาสตรามรรคราชันชิ้นหนึ่ง ตอนนี้กลับถูกมู่เจี้ยนถิงเรียกออกมาอย่างไม่มีเก็บงำ เพราะไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นพลันได้ยินเสียงพรูดดังขึ้น เลือดสดๆ สาดพุ่ง ศีรษะของผู้แข็งแกร่งเผ่าสลาตันคนนี้ถูกตัด ร่างไร้ศีรษะร่วงหล่นลง
ผู้กล้าชั้นยอดคนหนึ่งกลับถูกสังหารง่ายๆ เช่นนี้!
“อ๊าก…”
เพียงแต่หลินสวินยังไม่ทันได้คิดมาก อีกด้านพลันมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ศักยภาพเรียกได้ว่าอยู่ในชั้นหนึ่งถูกสังหาร ร่างกายระเบิดออก เลือดเนื้อปลิวว่อน ตายอย่างอนาถมาก
คู่ต่อสู้ของเขาคือเหลยเชียนจวินแห่งเผ่ามหาอสนี ร่างกายพันด้วยแสงสายฟ้าระยิบระยับราวกับโซ่สายแล้วสายเล่า สว่างไสวแสบตา ขับให้เขาราวกับเป็นเทพสายฟ้า ท่าทางองอาจกำยำ อานุภาพน่ากลัว
เมื่อครู่นี้เขาเพียงออกสองหมัดก็สังหารคู่ต่อสู้อย่างง่ายดาย แสดงพลังต่อสู้ที่น่าทึ่งอย่างยิ่งออกมา
นี่ก็คือศึกนองเลือดของการช่วงชิงศุภโชค โหดร้ายคาวเลือด แม้เป็นผู้กล้าแห่งเผ่าหนึ่ง ก็อาจจะจบสิ้นที่นี่
และนี่แค่เท่าที่หลินสวินเจอเท่านั้น บริเวณอื่นๆ ของต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนี้ก็มีการเข่นฆ่าดำเนินอยู่อีกไม่รู้เท่าไหร่
ศุภโชคยังไม่ปรากฏก็จริง แต่ดอกตูมแต่ละดอกบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จะต้องเบ่งบานในไม่ช้า เพื่อให้ช่วงชิงวาสนาได้ทันที ความขัดแย้งและการเข่นฆ่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่ทำให้หลินสวินอดระแวงไม่ได้ และระมัดระวังขึ้นไม่น้อย
ระหว่างทางจิตรับรู้ของเขารับสัมผัสอย่างต่อเนื่อง และค้นพบความมหัศจรรย์บางส่วน
ดอกตูมสำริดแต่ละดอก บ้างราวกับมีชีวิต ปลดปล่อยแสงมรรคที่ราวกับภาพมายา คล้ายจะเบ่งดอกออกผลได้ตลอดเวลา
บางดอกกลับตรงกันข้าม นิ่งสนิทไม่ขยับ ไร้ซึ่งคลื่นแห่งชีวิต
ที่เหล่าผู้กล้าแย่งชิงกัน ก็คือดอกตูมสำริดประเภทที่หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนรู้ดีว่า หากศุภโชคจะมาเยือน จะต้องปรากฏในดอกตูมสำริดที่มีกลิ่นอายแห่งชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก
พูดง่ายๆ ก็คือ ความแข็งแกร่งและอ่อนแอของกลิ่นอายชีวิตบนดอกตูมสำริด ก็คือการกำหนดความเล็กใหญ่ของศุภโชค!
……
ศึกใหญ่กำลังปะทุในบริเวณที่แตกต่างกันบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดและคาวเลือดอยู่ทุกแห่งหน
ต้นไม้เทพที่เดิมศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม ตอนนี้ราวกับแปรเปลี่ยนเป็นแดนชำระบาป
และในการแย่งชิงนั้น แต่ละคนล้วนเป็นผู้กล้าชั้นยอดที่โดดเด่น!
หากไม่ใช่เพราะต้นไม้ต้นนี้อัศจรรย์ มีพลังต้องห้ามที่ไม่อาจคาดเดาปกคลุม เพียงแค่คลื่นทำลายล้างที่เกิดจากศึกวุ่นวายเช่นนี้ก็เพียงพอจะทลายใต้หล้าฝั่งหนึ่ง ก่อให้เกิดพิบัติภัยที่ไม่สามารถจินตนาการได้แล้ว
หลินสวินไม่ได้มีส่วนร่วมในการเข่นฆ่าเหล่านั้น เป้าหมายของเขาคือยอดต้นไม้เทพ
หืม?
จู่ๆ หลินสวินก็ชะงักเท้า เหลือบมองดอกตูมสำริดดอกหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ดอกตูมสำริดนี้ยังนิ่งสงบ ไร้คลื่นแห่งชีวิตอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ ราวกับตื่นจากการหลับใหล แสงศักดิ์สิทธิ์แสบตาพรั่งพรู บริสุทธิ์ยากจับต้อง
จากแนวโน้มการตื่นเช่นนี้ อีกไม่นานก็สามารถเบ่งบานแล้ว!
หลินสวินหวั่นไหวขึ้นมาทันที
ฮูม!
แต่ตอนนี้เองมีคนพุ่งสังหารเข้ามา ลงมือกับหลินสวิน เป็นชายชุดคลุมทองคนหนึ่ง ในมือเพียงกระตุกดึง ภาพมวนหนึ่งพลันกางออก
ในม้วนภาพสุริยันทลายจันทราลับฟ้า ภูเขาถล่มทลาย เป็นลักษณ์ที่น่าสะพรึง
นี่เป็นสมบัติลับที่น่ากลัวชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังเป็นอาวุธไม้ตายของตระกูลหนึ่ง!
เห็นได้ชัดว่าชายชุดคลุมทองคนนี้ก็รู้ความแข็งแกร่งของหลินสวิน จึงไม่ได้ดูถูก ทันทีที่ลงมือก็เรียกอาวุธเด็ดออกมาโดยพลัน
ฉัวะ!
หลินสวินไม่ลังเล เพราะสมบัติลับที่คู่ต่อสู้สำแดงแข็งแกร่งเกินไป เขาเองก็ไม่เก็บงำอีกเช่นกัน ดาบหักพุ่งออกมาทันใด
ดาบหักเป็นศาสตราจิต ใช้วิชาจิตขับเคลื่อนในการสำแดง อานุภาพเรียกได้ว่าพลิกฟ้าอย่างแน่นอน
และตอนนี้หลินสวินเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว พลังจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่ระดับดอกเทพรวมยอดแล้ว ยามควบคุมดาบหักจึงยิ่งคล่องแคล่ว อานุภาพก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก
พลันเห็นดาบหักสว่างไสวราวกับแสงสีขาวประกายมายา เสียงฉัวะดังขึ้น ราวกับกรรไกรอันแหลมคมตัดม้วนภาพที่ปกคลุมเข้ามา
“เจ้า…”
ชายชุดคลุมทองสั่นเทิ้มไปทั้งกาย แทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ที่เขากล้าจู่โจมหลินสวินอย่างไม่เกรงกลัวก็เพราะม้วนภาพในมือ นี่เป็นสมบัติลับบรรพกาลชิ้นหนึ่ง อานุภาพเกิดคาดเดา ประทับกลิ่นอายมรรคราชัน น่ากลัวอย่างหาที่สุดไม่ได้
แต่ตอนนี้เพิ่งจะปะทะกันเท่านั้นก็ถูกทำลาย!
นี่ทำให้ชายชุดคลุมทองตระหนักได้ในทันทีว่า ดาบหักที่หลินสวินครอบครอง แข็งแกร่งกว่าสมบัติลับในมือเขามาก!
ตอนที่ 901 โอสถราชันไร้เทียมทาน
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็พุ่งตัวออกมาอย่างรุนแรง ฝ่ามือกดลงไปในห้วงอากาศ ธารดาราอัคคีแถบหนึ่งพวยพุ่งออกมา ดาราดวงแล้วดวงเล่าลุกโชนระเบิดปะทุ เกิดเป็นภาพประหลาดน่าหวั่นกลัว
นี่คือธารดาราหลอมเพลิง เป็นวิชามรรคชั้นเลิศที่แท้จริง!
ชายชุดทองคนนั้นตระหนกจนหน้าเปลี่ยนสี หลบหนีไปไกลด้วยความเร็วเหนือธรรมดา เพียงแต่ยามนี้เขายังไม่ทันหนีพ้นก็ถูกหลินสวินเข้าประชิดอย่างรวดเร็ว
สาเหตุก็เพราะหลินสวินไวกว่าเขา เหยียบย่างด้วยก้าวย่างชือน้ำแข็งก้าวเดียวราวเคลื่อนย้ายกลางอากาศ
โครม!
ธารดาราที่ลุกโชนระเบิดม้วนรุนแรง กลบเงาร่างของชายชุดทองผู้นั้นจนท่วม…
“ไม่! ไม่นะ…!” กลางทะเลเพลิง ชายชุดทองร้องโหยหวน เผยให้เห็นความประหวั่นและอับจนหนทาง แต่ในที่สุดก็ตายอนาถคาที่ ถูกเผาเป็นเถ้าธุลี
ผู้แข็งแกร่งที่สังเกตเห็นภาพนี้จากไกลๆ ล้วนสูดหายใจเย็นเยียบ ในใจตื่นตะลึง
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ทันทีที่เทพมาหลินเริ่มโจมตี ฝีมือเช่นนั้นก็อหังการไม่เป็นรองใคร น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด ไม่มีโอกาสให้อีกฝ่ายหลบหนี
“รนหาที่ตาย!” ฉับพลันหลินสวินก็หันหลังกลับมา เห็นว่ามีคนฉวยโอกาสระหว่างที่ตนต่อสู้อยู่ เคลื่อนดอกตูมสำริดดอกนั้นมา
สวบ!
สายโซ่เปล่งประกายสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งเคลื่อนออกมา สายโซ่นั้นหนาเพียงนิ้วโป้ง คล้ายจะพันผูกดอกตูมสำริดนั้นไว้เป็นของตัวเอง
ทว่าไม่ทันรอให้เข้าใกล้ เงาร่างของหลินสวินก็พุ่งออกไปแล้ว นิ้วมือคว้าออกไปจับสายโซ่สีน้ำเงินเข้มนั้นอย่างจังและเขย่าข้อมือแรงๆ ทันใด
ซ่า!
สายโซ่ส่งเสียงสั่นสะเทือนแสบแก้วหู ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของสายโซ่ ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดคนหนึ่งถูกโยนกระเด็นไปอย่างแรง
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มกร้าวแกร่งหาใดเทียบคนหนึ่ง ผิวพรรณดำคล้ำ นัยน์ตายาวแคบ
เมื่อประสบเรื่องไม่คาดคิดกะทันหันเช่นนี้ การตอบโต้ของเขาก็หนักแน่นถึงที่สุด ละทิ้งสายโซ่ในมือโดยไม่ลังเล ร่างกายหายลับไปกลางอากาศ เคลื่อนออกไปไกลร่าวลูกศรที่ยิงออกจากคันธนู
“ยังจะคิดจะหนีหรือ”
ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดรังสีเยียบเย็นขึ้น ต่อยออกไปหมัดหนึ่ง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไม่มีความแข็งแกร่งใดต้านทานได้ พลังเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำหลอมรวมอยู่ภายในนั้นโดยสมบูรณ์
ตูม!
ชายหนุ่มกร้าวแกร่งคนนั้นก็ถูกสังหารในชั่วพริบตาพร้อมกับเสียงโครมครามน่าหวาดหวั่น
เพียงแต่ที่ทำให้ผู้อื่นเหนือความคาดหมายก็คือ ร่างกายแหลกละเอียดของเขากลับแปรสภาพเป็นละอองแสงสีทองปลิวว่อน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ร่างจริงของเขา
ยันต์มรรคจักจั่นทอง!
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินก็รับรู้ได้ว่าเจ้าหมอนี่ใช้พลังของยันต์มรรคจักจั่นทอง เมื่อจักจั่นลอกคราบก็หนีไปได้อย่างงดงามแล้ว
ชั่วพริบตาเท่านั้น บุคคลระดับผู้กล้าชั้นยอดสองคน คนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งหนี!
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้เคียงต่างจิตใจหดหู่แล้ว พลังต่อสู้ของเทพมารหลินคนนี้ช่างเย้ยฟ้านัก ท่วงท่ากวาดกำราบโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครสามารถรับการโจมตีของเขาได้!
ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาอีก
และก็เป็นตอนนี้เอง ดอกตูมสำริดที่ดึงดูดความสนใจของหลินสวินดอกนั้นก็เริ่มเบ่งบาน กลีบดอกแต่ละกลีบบานเต็มที่ท่ามกลางความสั่นระรัว
ครู่ต่อมา ตรงเกสรดอกไม้ปรากฏแสงธรรมเพริศแพร้วพุ่งออกมาราวโคมสำริดอันหนึ่งถูกจุดให้สว่าง
แต่เพียงชั่วพริบตา ดอกไม้ที่บานเต็มที่นั้นก็เหี่ยวเฉา กลีบดอกไม้ปลิดปลิวร่วงผล็อย ในขณะเดียวกันแสงสีแดงสดแสงหนึ่งก็ทอดลงมาจากภายในนั้น
หลินสวินยื่นมือไปคว้าสิ่งนั้นไว้ มันคือก้อนหินราวหยกมันแพะก้อนหนึ่ง ด้านบนชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาเป็นจุดๆ รอยน้ำตาสีแดงบาดตาราวกับโลหิต
มันมีขนาดเพียงถั่วซิ่งเหริน (ถั่วอัลมอนด์) แต่หนักถึงหลักหมื่นจิน เปล่งปลั่งไปทั้งเมล็ด คลื่นพลังนุ่มนวลเย็นสบายชั้นแล้วชั้นเล่ากระจายออกมา
ระหว่างที่อึ้งงัน ในก้อนหินราวกับมีปรากฏการณ์ประหลาดที่มหาหงส์ร้องครวญเศร้า สั่นสะท้านจิตวิญญาณ
ศิลาโลหิตน้ำตาหงส์!
ของล้ำค่าในฟ้าดินชนิดหนึ่ง เป็นเจตวัตถุชั้นยอดที่บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ ไม่อาจประเมินราคา เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการหลอมศาสตราจิตและสมบัติอริยะ
อย่าเห็นว่าเป็นเพียงหินก้อนเล็กเท่าถั่วซิ่งเหรินก้อนหนึ่ง หากถูกอริยะเห็นเข้าก็ต้องอิจฉาตาร้อน!
เจตวัตถุเดิมก็หายากอย่างยิ่ง บนโลกในปัจจุบันแทบไม่มีทางเสาะหาได้แล้ว ส่วนศิลาโลหิตน้ำตาหงส์ยิ่งเป็นของล้ำค่าหายากในหมู่เจตวัตถุ
ไม่ต้องสงสัยว่านี่เป็นศุภโชคที่ไม่ใช่เล็กๆ เลยครั้งหนึ่ง!
ชั่วพริบตาหลินสวินก็สังเกตเห็นว่ามีสายตาละโมบไม่น้อยกวาดมองมา
เขาเก็บศิลาโลหิตน้ำตาหงส์อย่างแนบเนียน จากนั้นดวงตาสีดำก็กวาดไปทั่วทิศอย่างเย็นเยียบ พลันทำให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปเหล่านั้นต่างสั่นไปทั้งตัว ความโลภในใจถูกดับสิ้น
“สวรรค์ นี่เป็นสมบัติโบราณกายสิทธิ์!”
“ตามไป!”
เหนือกิ่งก้านต้นไม้โบราณที่อยู่ไกลออกไป ธงหยกขาวลำหนึ่งแปรสภาพเป็นแสงประกาย กำลังล่องหนีในห้วงอากาศ เบื้องหลังมีผู้แข็งแกร่งมากมายกำลังงัดทุกวิถีทางไล่ตาม
ครู่เดียวบริเวณนั้นก็โกลาหลหาใดเปรียบ แสงเทพตัดพัน ผู้แข็งแกร่งจากที่ต่างๆ สำแดงฝีมือหมายจะไปกำราบธงหยกขาวนั่น
ทุกคนดูออกว่านี่ต้องเป็นสมบัติอัศจรรย์ที่เกิดจากดอกไม้มรรคโบราณ เป็นมหาศุภโชคครั้งหนึ่งแน่!
หลินสวินก็อดใจเต้นไม่ได้ กำลังจะเข้าไปร่วมด้วยก็เห็นว่าอีกแถบหนึ่งของต้นไม้โบราณก็มีวาสนาถือกำเนิดอีก เป็นม้วนหนังสือโบราณสำริดสีทองเจิดจ้า
เพียงแต่มันก็เหมือนมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง บินไปทางสุดกิ่งก้านของต้นไม้โบราณ ด้านหลังกลับมีผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งตามติดไม่ยอมแพ้
เวลานี้บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณทั้งบนล่าง ดอกตูมสำริดดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบาน เปล่งรัศมีเทพใหญ่โต จากนั้นก็ก่อตัวเป็น ‘ผล’
ทว่านี่ไม่ใช่ ‘ผล’ ทั่วไป แต่เป็นศุภโชคชิ้นแล้วชิ้นเล่า หากไม่เป็นสมบัติอริยะกายสิทธิ์ก็เป็นมรดกลี้ลับ
กระทั่งยังมีสิ่งของพิสดารหายากบางอย่าง ทุกอย่างล้วนอัศจรรย์ไม่ธรรมดา
ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ของต้นโคมสำริดมรรคโบราณล้วนสำแดงฝีมือทั้งหมด แก่งแย่งช่วงชิงกันเหมือนเสียสติ
การสังหารและไล่ตามเกิดขึ้นอย่างดุเดือด
เสียงกรีดร้อง เสียงคำราม เสียงห้ำหั่นดังขึ้นมาให้ได้ยินอยู่ตลอดท่ามกลางฟ้าดิน
บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่ตั้งตระหง่านอย่างแข็งแกร่ง ครู่เดียวก็โกลาหลอย่างยิ่ง ศุภโชคแต่ละอย่างตกลงมาราวพิรุณ กระตุ้นให้ผู้กล้าทุกคนดวงตาวาวโรจน์
“สวรรค์! นี่เป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่งหรือ ถึงได้มีสองเท้าและปีกงอกออกมา ห้อตะบึงไปในห้วงอากาศได้!” เสียงร้องตกตะลึงดังขึ้น
ก็เห็นว่าโสมวิญญาณขาวปลั่งต้นหนึ่งกำลังตะบึงไปในห้วงอากาศ มันเหมือนชายชราแคระผู้หนึ่ง ใบไม้สีเขียวชอุ่มงอกขึ้นที่หัว ส่วนรากแน่นขนัดแปรสภาพเป็นสองเท้า บนหลังของมันยังมีปีกราวมายาคู่หนึ่งงอกออกมา ดูมหัศจรรย์ถึงที่สุด
โสมวิญญาณต้นหนึ่ง กลับกำลังวิ่งแตกตื่นราวมีชีวิต!
ภาพการเช่นนั้นต้องเรียกได้ว่ามหัศจรรย์ พาให้คนตกตะลึงอ้าปากค้าง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นต้องเป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่ง ดำรงชีพอยู่ไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด เป็นสิ่งกายสิทธิ์อยู่ก่อนแล้ว
โอสถราชันไร้เทียมทานเช่นนี้ ในโลกปัจจุบันแทบเสาะหาไม่ได้ หายากยิ่งนัก หากถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเห็นเข้าก็ต้องไปช่วงชิงโดยไม่สนใจสิ่งใดแน่!
“ตามไป!”
ผู้แข็งแกร่งร้องตะโกน ขณะที่ทุกคนดวงตาวาวโรจน์ราวเสียสติ
เพียงแต่ต้นโสมกายสิทธิ์ต้นนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์หาใดเทียบ วิ่งไปทั่วทุกทิศประหนึ่งเคลื่อนที่ในห้วงอากาศ ไม่อาจถูกไล่ทันได้อยู่ครู่หนึ่ง
ซ่า!
หลินสวินก็ลงมือแล้ว สะบัดสายโซ่สีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายเส้นนั้นไปยังโสมขาวกายสิทธิ์ต้นนั้นทันที
เกิดภาพที่น่าตื่นตะลึงขึ้น โซ่โฉบไปบนต้นโสมขาวกายสิทธิ์ แต่กลับไม่อาจพันธนาการมันไว้ได้ เหมือนร่างของมันไม่มีจริง
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ดวงหลินสวินเปล่งประกาย ของดีนี่!
โครม!
เขาโจมตีเต็มกำลัง สำแดงผนึกป้าเซี่ย พยายามขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายก้าวเดินได้ กลับไม่คิดว่าวิชามรรคอัศจรรย์วิชานี้ยังไม่ได้ผล ไม่มีประโยชน์กับโสมขาวกายสิทธิ์นั้นเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็ออกโจมตี สำแดงฝีมือนานาชนิดมาสู้ แต่สุดท้ายล้วนไม่ได้ผล เหมือนโสมขาวกายสิทธิ์ต้นนั้นหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย สรรพสัตว์ไม่อาจจับได้ อัศจรรย์ถึงที่สุด
“ให้ตายสิ เจ้าโสมแก่ต้นนี้มีวิญญาณแล้วหรือไง” มีผู้แข็งแกร่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ร้อนรนจนด่าทอยกใหญ่
ผู้แข็งแกร่งบางส่วนก็กระเทือนใจเช่นกัน โอสถไร้เทียมทานต้นหนึ่งอยู่ตรงหน้านี้เอง แต่ไม่อาจฉกฉวยมาได้ กลับถูกมันปั่นจนหัวหมุน นี่ช่างทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว
หลินสวินก็อัดอั้นอยู่บ้างเช่นกัน ที่น่าชังที่สุดก็คือโสมวิญญาณดุจชายชราแคระต้นนั้นดันแสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมา ในดวงตาเจือไปด้วยความท้าทายและดูถูก
“ไม่ไหว ข้ายอมแพ้แล้ว!”
ผู้แข็งแกร่งบางคนคว้าน้ำเหลวมานาน โมโหจนหันหลังจากไป ไปช่วงชิงศุภโชคชิ้นอื่น ไม่ต้องการเสียเวลากับโสมแก่ต้นนี้อีก
ที่ต้องรู้ก็คือทุกเวลาในตอนนี้หมายถึงศุภโชคแต่ละชิ้น ใครจะยอมสิ้นเปลืองเล่า
หลินสวินยังไม่ยอมแพ้ เขาดูออกแล้วว่าต้นโสมแก่นี้มีจิตวิญญาณอยู่ ดูเหมือนกำลังหลบหนี แต่เห็นได้ชัดว่าจงใจหยอกพวกเขาเล่น
เห็นชัดว่ามันคิดว่าไม่มีใครกำราบมันได้ ถึงได้กล้าท้าทายอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นกลัวเช่นนี้
แต่ว่าหลินสวินย่อมมีวิธี ในใจลอบตัดสินใจอย่างเหี้ยมเกรียม ว่ารอจับเจ้าโสมสารเลวยิ่งต้นนี้ได้ จะต้องจับมันมาดอง!
สวบ!
โสมแก่ต้นนั้นไหววูบอยู่ในอากาศ มันสังเกตเห็นหลินสวินที่ไล่ตามไม่ปล่อย บนใบหน้าระบายรอยยิ้มหยอกเย้าเยาะเย้ย ท่าทางได้ใจเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ดูชั่วร้ายถึงที่สุด
ถึงขั้นที่มันยังจงใจแหย่หลินสวินเล่น บินไปเบื้องหน้าหลินสวินครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเขาเงื้อมือจะจับ ปีกด้านหลังของมันก็กระพือไหวแล้วลอยละล่องออกไปไกลทันที ท่าทางเจ้าเล่ห์เช่นนั้นทำให้หลินสวินโมโหเต็มที
ผู้แข็งแกร่งที่ตามฆ่าโสมแก่ค่อยๆ น้อยลงทุกที โดยมากถอดใจยอมแพ้โดยสิ้นเชิงแล้ว ด้วยรับรู้ว่าโอสถราชันไร้เทียมทานเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะจับได้เลย
ไม่นานนักก็เหลือเพียงหลินสวินคนเดียว ที่ไล่ตามโสมแก่ต้นนั้นซึ่งหลบหนีพัลวันบนต้นไม้เทพ ผู้แข็งแกร่งหลายคนต่างสีหน้าพิกล
นี่เทพมารหลินกำลังเสียเวลากับโสมแก่ที่น่าโมโหจนตายได้!
แต่เช่นนี้ก็ดี เพราะทำให้เทพมารหลินแยกตัวออกมาจากการช่วงชิงศุภโชคชิ้นอื่นกับพวกเขา ก็ให้เขาตามเล่นไปคนเดียวเถิด!
เหล่าผู้กล้าต่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง ไม่คิดว่าหลินสวินจะทำสำเร็จได้ เป็นไปได้สูงมากที่จะเสียแรงเปล่า
ไม่นานนักหลินสวินก็ตามไปถึงที่สูงของต้นไม้โบราณ เลียบไปตามกิ่งก้านใหญ่โตหาใดเทียบกิ่งหนึ่ง ถึงกับพุ่งขึ้นไปในชั้นเมฆโดยไม่รู้ตัว
โสมแก่ต้นนั้นเหมือนจะเหนื่อยบ้างแล้ว มองดูหลินสวินด้วยท่าทางหมดคำจะเอื้อนเอ่ย เหมือนคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะดื้อดึงเช่นนี้ ท่าทางหมายจะทำให้มันหมดแรงตายเสียให้ได้
ทันใดนั้นมันก็ยิ้มเหี้ยมแล้วเคลื่อนกายรวดเร็วต่อไป บางครั้งบางคราวเมื่อคว้าโอกาสได้ก็จะปรากฏตัวเบื้องหลังหลินสวินกะทันหัน แล้วถีบหลังเขาอย่างแรงครั้งหนึ่ง
แม้แรงจะน้อยไม่ได้ทำให้หลินสวินบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่นี่ช่างน่าอดสูเกินไปแล้ว เขาเป็นถึงเทพมารหลิน ตอนนี้กลับถูกสมุนไพรแก่ต้นหนึ่งถีบเข้าให้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงต้องกลายเป็นตัวตลกใหญ่เท่าฟ้าตัวหนึ่งแน่
ผัวะ!
ทันใดนั้นโสมแก่ต้นนั้นก็พุ่งตัวแล้วยื่นเท้าออกมาถีบไปที่หลังของหลินสวินอย่างแรง ใบหน้ายังระบายไปด้วยรอยยิ้มลำพองใจ
เพียงแต่ในตอนนี้เอง หลินสวินพลันหันกายแล้วกัดฟันพูดว่า “ไอ้โสมแก่ ข้าทนเจ้ามานานแล้ว!”
โสมแก่ผงะไป ทันใดนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยไร้เสียง คิดว่าเจ้าเด็กนี่พูดด้วยความโมโห จะถูกตนทำให้โกรธจนคลุ้มคลั่งแล้ว
นี่ทำให้มันพอใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่กลับเห็นว่าหลินสวินก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมเช่นกัน เจดีย์สมบัติแปดเหลี่ยมรูปลักษณ์เก่าแก่ เจิดจรัสราวสร้างขึ้นจากทองคำองค์หนึ่งปรากฏขึ้นในมือตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ตอนที่ 902 แลกเปลี่ยนความรู้
แท้จริงแล้วเจดีย์สมบัติมีสีกระจกหยกเก่าคร่ำคร่า เพียงแต่รังสีที่อบอวลอยู่ก่อให้เกิดสีทองเจิดจรัส ดูยิ่งใหญ่ไพศาล
แม้มันมีขนาดเพียงฝ่ามือ แต่ดูออกได้ไม่ยากว่าเจดีย์นี้มหัศจรรย์ถึงที่สุด ตัวเจดีย์มีแปดมุม แบ่งเป็นแปดส่วน ทุกส่วนเป็นหนึ่งภพภูมิ ปรากฏภาพสุริยันจันทราภูผาธารา ฟ้าเสถียรดินขนาน เทพธรรมบาลแลหมู่ดาวและสัตว์เทพบรรพกาลเป็นต้น
ประหนึ่งว่าร่องรอยแดนเทพบรรพกาลประทับอยู่บนตัวเจดีย์ มีกลิ่นอายทรงพลังที่บรรจุนิรันดร์กาลไว้!
เพียงแต่น่าเสียดายที่เจดีย์นี้มีตำหนิเสียหาย ตำแหน่งยอดเจดีย์เดิมทีมีอักษรมรรคสลักไว้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงอักษร ‘ไร้’ ไม่สมบูรณ์และลางเลือนตัวหนึ่ง
นี่ก็คือเจดีย์สมบัติไร้อักษร!
สมบัติชั้นยอดที่ลี้ลับที่สุดชิ้นหนึ่งในมือของหลินสวิน เคยบรรจุมรรคคาถาที่เกี่ยวโยงกับปริศนาแห่งคีรีดวงกมล ไม่อาจสืบหาที่มาได้
ทันใดนั้นโสมแก่เหมือนสังเกตได้ว่าไม่ชอบมาพากล รอยยิ้มบนใบหน้าชราแข็งทื่อ ออกจะตื่นตระหนก สาวเท้าจะหนีไปทันใด
“คิดหนีหรือ สายไปแล้ว!”
ยามเอ่ยปาก แสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งพลันเคลื่อนออกมาจากเจดีย์สมบัติไร้อักษรราวม้าห้อ ม้วนเบาๆ กลางอากาศแล้วพันธนาการโสมแก่ต้นนั้นไว้
มันตระหนกจนแสงเปล่งประกายออกมาทั่วร่างอย่างท่วมท้น แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่ช่วยอะไร ใบหน้าชราเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ในที่สุดก็ถูกลากเข้ามาในเจดีย์สมบัติไร้อักษร
ตึง!
ในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ แสงมรรคทองนิลกาฬกดกำราบ โสมแก่ต้นนั้นรับรู้ได้ถึงสถานการณ์อันตราย เผยสีหน้าน่าสงสารร้องขอชีวิต แผ่จิตออกมาระลอกหนึ่งว่า ‘สหายตัวน้อยโปรดคลายโกรธ นี่เป็นการเข้าใจผิด’
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ใจสั่นสะท้าน โอสถราชันไร้เทียมทานต้นนี้มีสติปัญญาด้วย!
ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มหยัน “เมื่อกี้เจ้าไม่ได้เล่นสนุกดีหรือ เหตุใดตอนนี้ไม่ยิ้ม กลับเริ่มร้องขอชีวิตซะแล้วล่ะ”
ตลอดทางที่ไล่ตามมาเมื่อกี้ โสมแก่ต้นนี้ท้าทายไม่ว่างเว้น ทั้งยังเผยรอยยิ้มเย้ยหยันและน่าชิงชังเช่นนั้น หลินสวินใจเย็นเช่นนี้ก็ยังถูกยั่วโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง
หากไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นโอสถราชันไร้เทียมทาน และไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น เขาก็คงบี้เจ้าโสมแก่ต้นนี้ให้ตายไปนานแล้ว
‘สหายน้อย ข้าเป็นรากวิญญาณรากหนึ่งของเขาพยับคราม ตั้งแต่ตื่นรู้ก็ไม่เคยทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมมาก่อน เมื่อครู่เพียงแต่เล่นกับสหายน้อยนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด ขอเจ้ามีน้ำใจกว้างขวางไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่ง’ โสมแก่เอ่ยปากอย่างน่าเวทนา
“อย่าแม้แต่จะคิด!” วาจาหลินสวินแน่วแน่ โอสถกายสิทธิ์เช่นนี้หากไม่กินให้เรียบล่ะก็ เช่นนั้นก็คงเสียของนัก
‘แม่งเอ๊ย ไอ้หนูอย่างเจ้าไม่แล้วไม่เลิกจริงๆ ใช่ไหม จะบอกเจ้าให้! เมื่อก่อนบนเขาพยับครามข้าก็เป็นคนร้ายกาจลือชื่อผู้หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหานับไม่ถ้วน ขนาดอริยะเหล่านั้นยังต้องเคารพอยู่สามส่วน เจ้าชั่วตัวจ้อยแบบเจ้านับเป็นอะไรได้ ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง รีบปล่อยข้าซะ อย่าก่อความผิดใหญ่หลวง หาไม่แล้ว เหนือฟ้าบนดินคงไม่มีใครช่วยเจ้าได้!’
ทันใดนั้น โสมแก่ที่เดิมร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนาก็เปลี่ยนสีหน้า เท้าสะเอวทำท่าทางอย่างคนพาล ด่าทอใหญ่โต
การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วนัก ทำให้หลินสวินอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าโสมแก่นี่จะมีสองใบหน้า
ตู้ม!
ที่ตอบกลับโสมแก่ไปคือแสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งกำราบลงมา ฟาดบนตัวเขาอย่างแรงเหมือนแส้ เล่นงานเขาจนร้องโอดโอยเสียงดัง พร่ำเอ่ยวาจาหยาบคายต่างๆ ไม่น่าฟังยิ่งนัก
‘ข้าจะขึ้นคร่อมบรรพชนเจ้า ไอ้…’
‘โอ๊ย เจ็บยันโคตรเจ้าแล้ว ไอ้ชิงหมาเกิด ไอ้…’
นี่เป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่งเสียที่ไหน เป็นอันธพาลเฒ่าคนหนึ่งชัดๆ!
ในที่สุดโสมแก่ก็ถูกกำราบจนน้ำตาแทบไหลออกมา ลมหายใจรวยริน เลิกด่าทอแล้ว
แต่มันยังคงไม่ยินยอม ท่าทางเหมือนอันธพาลเฒ่าโหดเหี้ยมอำมหิต กัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้ารอก่อนเถอะ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ…’
จากนั้นมันก็นอนแน่นิ่งไปเช่นนั้น ไม่เคลื่อนไหวแล้ว
มันในตอนนี้ค่อยเหมือนสมุนไพรแก่ต้นหนึ่ง ร่างขาวเปล่งปลั่งส่งกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นกำจายออกมา
หากไม่ใช่ไม่เหมาะแก่เวลา หลินสวินอยากจะตัดออกมาลิ้มลองสักชิ้นจริงๆ
‘เจ้าหมอนี่มีฤทธิ์เดช ทั้งมีสติปัญญา มีชีวิตมาไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ความลับของเขาพยับครามบางอย่าง อย่ารีบเอามันไปทำยาเลย…’
เขาครุ่นคิดไปพลางเรียกจิตรับรู้กลับมา แล้วเก็บเจดีย์สมบัติไร้อักษร
ตอนนี้บริเวณที่เขายืนอยู่คือจุดสูงสุดของต้นโคมสำริดมรรคโบราณ กิ่งก้านสูงเทียมเมฆ เมฆหมอกสีม่วงโอบล้อม ใกล้กันนั้นว่างเปล่าไร้คน
เบื้องล่างยังมีเสียงต่อสู้ห้ำหั่นดุเดือดแว่วมา เหล่าผู้แข็งแกร่งกำลังช่วงชิงศุภโชคต่างๆ กัน สังหารนองเลือดถึงที่สุด มีผู้แข็งแกร่งสิ้นชีพไปไม่ว่างเว้น
น่าหดหู่เกินไปแล้ว!
คนที่สามารถเหยียบย่างบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณล้วนเป็นบุคคลระดับผู้กล้าชั้นยอดในหมู่คนรุ่นเยาว์ ทุกครั้งที่สูญเสียคนหนึ่งไป สำหรับสำนักแห่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต่างกับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงครั้งหนึ่ง
แต่ตอนนี้เพื่อช่วงชิงศุภโชค ใครก็ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ประหัดประหารจนชีวิตหาไม่
นี่ก็คือการช่วงชิงมหามรรค ศุภโชคที่ว่าก็มักจะมาพร้อมกับการนองเลือดและเคราะห์สังหาร!
โครม!
ฉับพลัน ท่ามกลางหมอกสีม่วงไกลออกไปก็มีเสียงฆ่าฟันดุเดือดดังขึ้น
จิตรับรู้หลินสวินแผ่ออกไป ชั่วพริบตาก็สังเกตเห็นว่าเป็นการประลองระหว่างมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวิน ผู้โดดเด่นแห่งยุคสองคน
พวกเขากำลังช่วงชิงม้วนหนังสัตว์ม้วนหนึ่ง สิ่งนี้เปล่งรัศมีเทพสีเขียวแผ่วพลิ้ว ร่ายรำในห้วงอากาศ ท่ามกลางความคลุมเครือ มีเสียงธรรมระลอกแล้วระลอกเล่าดังลั่นจนคนหูหนวกยังได้ยิน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นมรดกเก่าแก่ที่ลี้ลับไม่อาจหยั่งถึงได้ชิ้นหนึ่ง!
มิน่าเล่าถึงได้ดึงดูดให้เกิดการช่วงชิงระหว่างมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวิน ขนาดหลินสวินยังออกจะใจเต้นด้วยความตื่นเต้น
ทั้งเสียงธรรมเลื่อนลอย ทั้งรัศมีเทพลอยละล่อง มรดกที่จดบันทึกไว้ในม้วนหนังสัตว์ม้วนนี้ เพียงคิดก็รู้ว่าไม่ธรรมดาขนาดไหน
เพียงแต่ในที่สุดหลินสวินก็อดทนไว้ ไม่ได้ไปช่วงชิง
เขากับสองคนนี้ไม่ได้ผิดใจหรือแค้นเคืองกัน อีกทั้งบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณนี้ยังมีศุภโชคชิ้นอื่นอีก ไม่คุ้มค่าที่จะยื่นมือไปร่วมด้วย
หลินสวินตัดสินใจว่าจะไปดูที่อื่น
เพียงแต่ตอนที่เขาเพิ่งหันตัวกำลังจะจากไป กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งก็โจมตีเข้ามาทันใด
โครม!
นั่นเป็นกระบี่มรรคลายสนเล่มหนึ่งที่โชติช่วงราวดวงระวี เปล่งประกายไพศาล มีอานุภาพม้วนกวาดฟ้าดิน ฟาดฟันลงมา น่าครั่นคร้ามยิ่งนัก
หลินสวินหลบไปอีกด้านโดยแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก
แต่ขณะเดียวกับที่เขาเคลื่อนไหว กระบองยาวที่รัดพันด้วยอสนีน่าพรั่นพรึงแท่งหนึ่ง มีอานุภาพบดขยี้ภูผาธารา ทำลายล้างจักรวาลก็พุ่งแหวกฟ้าออกมา
จะหลบหนีก็ทำไม่ได้!
การฆ่าฟันเช่นนี้เข้ามารวดเร็วนัก ทั้งร่วมมือกันอย่างเข้าขา เหมือนคำนวณอย่างแม่นยำไว้ก่อนแล้วว่าหลินสวินจะหลบไปที่นั่น
“ย่า!” ในเวลาสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ หลินสวินแผดเสียงราวอสนีในวสันตฤดู วงคลื่นเสียงสีทองเจิดจ้าแผ่กระจายออกมา
นี่เป็นความเร้นลับของเสียงคำรามผูเหลา
เพียงแต่ต่างจากแต่ก่อน วงคลื่นเสียงสีทองนั้นพลันแปรสภาพเป็นผนึกหนาแน่น บังเกิดเงามายาของสัตว์เทพป้าเซี่ยตัวหนึ่ง ทั้งสี่เท้าเหยียบย่างไปบนอากาศ ผนึกบริเวณนี้เอาไว้!
นี่คือผนึกป้าเซี่ย!
ปริศนาวิชาลับที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงสองชนิด ถูกหลินสวินหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบในชั่วเสียงคำรามเดียว และสำแดงออกมาอย่างครึกโครมในตอนนี้
ก็เห็นว่ากระบองยาวอสนีที่แหวกฟ้ามานั้นช้าลงในทันใด ความเร็วผ่อนลงดุจตกอยู่ในบึงโคลน
หลินสวินถือโอกาสนี้หายตัวไปจากที่เดิม เคลื่อนออกไปไกลราวภูตผี
โครม!
กระบี่มรรคลายสนฟันลงมา ทำให้ห้วงอากาศในตำแหน่งที่หลินสวินเคยยืนอยู่ส่งเสียงระเบิด เกิดเป็นสภาวะทำลายล้างไร้รูป
เปรี๊ยะ!
กระบองยาวอสนีหลุดออกจากพันธนาการ ฟาดกระแทกลงกับพื้น แผ่พุ่งเป็นดอกไม้ไฟแสบตานับหมื่นพัน
บนพื้นคือกิ่งก้านต้นไม้โบราณแน่นขนัด หากเปลี่ยนเป็นโลกภายนอก เพียงแค่อานุภาพของกระบองนี้ก็สามารถซัดมหาบรรพตลูกหนึ่งให้ราบได้!
เพียงคิดก็รู้ว่า หากเมื่อกี้หลินสวินตอบสนองช้ากว่านี้สักนิด ต้องถูกหนึ่งกระบี่หนึ่งกระบองนี้ประกบโจมตี ตกอยู่ในการกำราบโดยที่ไม่อาจโต้ตอบได้ ถึงขั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็สิ้นสุดลง แต่ภยันตรายที่เกิดขึ้นภายในนี้กลับสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนพรั่นพรึง
และก็ตอนนี้เอง เขาถึงเห็นผู้แข็งแกร่งสองคนที่ลอบโจมตีตนได้อย่างชัดเจน
“เป็นพวกเจ้า!” ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดรังสีเย็นเยียบ ความโกรธและจิตสังหารปรากฏขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา
ไกลออกไป มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินเข้ามาด้วยกัน
เมื่อกี้พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อชิงม้วนหนังสัตว์ม้วนนั้นอยู่ชัดๆ แต่ตอนนี้กลับร่วมมือกันอย่างแนบแน่น
ไม่ต้องคิดหลินสวินก็รู้ว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนเมื่อกี้นี้ เป็นเพียงการเล่นละครตบตาเพื่อหลอกตน จุดประสงค์แท้จริงของพวกเขาคือการฉวยโอกาสตอนที่ตนไม่ได้เตรียมพร้อมมาฆ่าตน!
นี่ทำให้ในใจหลินสวินบังเกิดไอสังหารที่ยากควบคุมได้ เมื่อครู่เขาเพิ่งตัดสินใจจะจากไป ไม่ต้องการแทรกแซง คิดว่าไม่ได้ผิดใจหรือแค้นเคืองสองคนนี้ ไม่คุ้มที่จะผูกความแค้นเพื่อช่วงชิงศุภโชค
แต่จะคิดได้อย่างไรว่าชั่วพริบตาเดียวนี้เอง อีกฝ่ายกลับร่วมกันลงมือกับตนซะได้ อีกทั้งยังโหดเหี้ยมหาใดเทียบ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะทำลายตน
“สมกับเป็นเทพมารหลิน เพียงแค่พลังการตอบสนองเช่นนี้ก็น่าตื่นตะลึงแล้ว” มู่เจี้ยนถิงประสานมือสรรเสริญ เขาสวมชุดนักพรตทั้งตัว ผมเกล้าเป็นมวย รูปร่างงามสง่า
“น่าประหลาดใจจริงๆ” เงาร่างเหลยเชียนจวินสูงใหญ่กำยำ หนวดเคราเผ้าผมสยาย สง่างามน่าเกรงขามข่มผู้อื่น
“ทำไม” หลินสวินเสียงเย็นเฉียบ
“แลกเปลี่ยนความรู้” มู่เจี้ยนถิงยิ้มบางๆ พลางเอ่ยปาก
“ไม่ผิด เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้” ดวงตาเหลยเชียนจวินแผ่สายฟ้าเย็นเยียบ
เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสอง หลินสวินก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากพวกเขาแน่ ต่อให้ซักไซ้อีกฝ่ายก็ต้องไม่บอก
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ไอสังหารในใจหลินสวินแรงกล้าขึ้น
ตลอดทางมานี้เขาระแวงพวกอวี่หลิงคง ซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ และจั๋วขวงหลันอยู่เสมอ ไม่คิดเลยว่า บุคคลระดับที่เรียกได้ว่าผู้กล้าแห่งยุคเช่นเดียวกันอย่างพวกมู่เจี้ยนถิงนี้ กลับพุ่งปลายหอกมาทางตนด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด การเคลื่อนไหวเมื่อกี้ของทั้งสองคนก็ล้ำเส้นของหลินสวินแล้ว!
“แลกเปลี่ยนความรู้หรือ”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง ก้าวไปหนึ่งก้าว รัศมีเทพที่น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบแผ่ออกมาจากรอบกาย เปล่งประกายราวอาทิตย์สีใส
ชั่วพริบตาเท่านั้น ท่าทางเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว ราวกับเทพมารองค์หนึ่ง พลังขับเคลื่อนในร่างกายพลุ่งพล่าน ไต่ไปถึงสภาวะสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“ก็ดี ข้าจะแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเจ้าดีๆ ก็แล้วกัน!”
ผมสีดำของหลินสวินปลิวไสว กลิ่นอายราวห้วงน้ำเหวนรก ไอสังหารดุจกระแสวารีแผ่พุ่งออกมาจากร่างของเขา ปกคลุมไปทั่วบริเวณนี้อย่างมืดฟ้ามัวดิน
นันย์ตาของมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินพากันหดรัด สังเกตได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลินสวิน ทั้งสองคนสบตากันครั้งหนึ่งแล้วพากันออกโจมตีราวสื่อจิตถึงกันได้
สวบ!
คมกระบี่แสบตาพุ่งทะลุเมฆ โชติช่วงไพศาล ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แขนเสื้อมู่เจี้ยนถิงโบกสะบัด พุ่งไปจู่โจมหลินสวินโดยไม่ลังเลประหนึ่งราชันมรรคกระบี่ที่มีไอพิฆาตสะท้านโลกาองค์หนึ่ง
เปรี้ยง!
อีกด้านหนึ่ง มุมปากของเหลยเชียนจวินยกขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม มือใหญ่ถือกระบองอสนีเล่มนั้น ก้าวไปในห้วงอากาศราวพยัคฆ์ร้ายออกจากถ้ำ กลิ่นอายระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
ตอนที่ 903 อานุภาพมารโดดเด่นในโลกา
เคร้ง!
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า พลังหมัดเปล่งประกายราวม้าห้อกดอัดห้วงอากาศ ประจันกับกระบี่มรรคลายสนที่ฟาดฟันลงมานั้นตรงๆ เสียงกึกก้องสะเทือนหูดังออกมา
ท่ามกลางรัศมีเทพแผ่พุ่ง พลังของกระบี่มรรคลายสนถูกกระแทกให้สลายอย่างรุนแรง
“พลังแข็งแกร่งนัก!”
มู่เจี้ยนถิงดวงตาแข็งหดรัด
ในขณะเดียวกันเบื้องหลังของหลินสวินก็ปรากฏเงามายาของสัตว์เทพฟู่ซี่สูงราวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง กระแทกใส่กระบองยาวอสนีที่ฟันมาจากอีกด้านหนึ่งประดุจเคลื่อนผลักสุริยันจันทรา
โครม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนราวภูเขาไฟระเบิด กระบองอสนีถูกกระแทกจนส่งเสียงหึ่งๆ ส่วนเหลยเชียนจวินชาที่ง่ามมือ เลือดลมแปรปรวนไปหนึ่งระลอก
เขาตื่นตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน เมื่อได้ประลองกับหลินสวินเข้าจริง เขาถึงพบว่าพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าที่ตนคาดการณ์ไว้มากนัก!
ฆ่า!
ชุดนักพรตของมู่เจี้ยนถิงกระพือไปมา ท่วงท่าดุดันถึงที่สุดดุจกระบี่ กระบี่มรรคลายสนของเขาอบอวลไปด้วยพลังมรรคหยินหยาง เมื่อฟันออกไปครั้งหนึ่ง ปราณกระบี่ก็ปรากฏสีขาวดำ แล้วแปรสภาพเป็นภาพมังกรพยัคฆ์กลมเกลียว หยินหยางร่วมผสาน น่าหวั่นกลัวไม่มีที่สิ้นสุด
สวบๆๆๆ!
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ปราณกระบี่ขาวดำแน่นขนัดสานกันไปมาทั้งแนวตั้งแนวนอน ปกคลุมทั่วทุกสารทิศราวตาข่ายกระบี่เปล่งประกายผืนหนึ่ง
นี่ก็คือฝีมือของบุคคลแห่งยุค เหยียบย่างในปลายยอดระดับกระบวนแปรจุติ เหนือชั้นกว่าคนรุ่นเดียวกันไปไกล สะดุดตาหาใดเทียบ
หลินสวินไม่กริ่งเกรง เงาร่างพุ่งไปข้างหน้าไม่ได้หลบหนี ผมสีดำพลิ้วไสว โคจรความเร้นลับแห่งเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ประจันหน้ากับกระบี่ตรงๆ
ชั่วขณะหนึ่งห้วงอากาศแถบนี้ระเบิดแหลก ดุจบรรพตเทพบรรพกาลชนกัน ส่งเสียงโครมครามราวอสนีบาต
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดน่าครั่นคร้ามนานาชนิดบังเกิดขึ้นดุจกระแสธาร รัศมีเทพเปล่งประกายทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
เพียงครู่เดียวทั้งสองก็ประมือกันหลายสิบครั้ง
ในที่สุดมู่เจี้ยนถิงก็ถูกซัดสะเทือน มังกรที่แปรสภาพจากพลังหมัดสายหนึ่งทะยานฟ้า กระแทกตัวเขาให้กระเด็น ทรมานจนแทบกระอักเลือด
‘ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงแข็งแกร่งปานนี้’
ในใจมู่เจี้ยนถิงฉงนอยู่บ้าง
เขาจับตามองการต่อสู้ของหลินสวินมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่หอวสันตสารท กระทั่งเริ่มเข้าร่วมการทดสอบถกมรรคห้าด่าน เขาก็มองหลินสวินเป็นคู่แข็งคนสำคัญเช่นกัน ไม่เคยกล้าชะล่าใจ
แต่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะน่ากลัวปานนี้!
ตูม!
อีกด้านหนึ่งเหลยเชียนจวินถือกระบองยาวอสนีฟาดกระแทก กวาดล้างจักรวาล สังหารปัญจธาตุ ทรงพลังแข็งกร้าวถึงที่สุด
เพียงแต่ไม่นานนักเขาก็ถูกพลังหมัดซัดให้ถอยไป หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ในใจยิ่งระแวดระวังและหนักอึ้ง
ทั้งสองมองหน้ากันครั้งหนึ่ง ล้วนดูความฉงนในใจของอีกฝ่ายออก จากนั้นทั้งสองก็ออกโจมตีอีกครั้ง สำแดงอานุภาพทั้งหมดของตนโดยไม่ได้นัดหมาย
ด้วยการลองเชิงสั้นๆ พวกเขาก็เข้าใจถ่องแท้แล้วว่า ในสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่งพวกเขาทั้งสองล้วนไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวิน
มีเพียงร่วมกันลงมือด้วยพลังทั้งหมดเท่านั้น จึงอาจจะกำราบหลินสวินได้!
ตูม!
ชั่วขณะหนึ่งที่นี่ก็เกิดเสียงโครมครามไม่ว่างเว้นราวภูผาถล่มทะเลหวีดร้อง การเคลื่อนไหวน่าหวั่นกลัวนั้นไม่นานก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายสนใจ
“ดูสิ! พวกมู่เจี้ยนถิงกำลังต่อกรเทพมารหลินด้วยกัน” มีคนสูดหายใจเย็น สีหน้าตื่นตระหนก
นี่ย่อมเรียกได้ว่าศึกไร้เทียมทาน เป็นการห้ำหั่นระหว่างบุคคลแห่งยุค พบเห็นได้ยากยิ่งในโลก
“นี่เทพมารหลินไปก่อเรื่องอะไรอีก ถึงได้ยั่วให้บุคคลแห่งยุคสองคนต่อกรกับเขาตอนนี้ คู่แค้นของเขามีมากไปแล้วกระมัง”
ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งมากมายงงงวย ทำใจเชื่อได้ยาก
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างดูออกว่า เมื่อมาอยู่เบื้องหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ เทพมารหลินจะต้องถูกโจมตีอย่างยากจะคาดเดาได้
แต่ก็ยังคิดไม่ถึงอยู่ดีว่านอกจากบุคคลแห่งยุคอย่างพวกอวี่หลิงคง ซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ และจั๋วขวงหลันแล้ว แม้แต่มู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินยังร่วมกันลงมือกับเขาด้วย!
นี่ก็มีคู่แค้นมากไปกระมัง
“หึ! หากเทพมารหลินเป็นผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่สักแห่ง บุคคลแห่งยุคเหล่านั้นจะกล้ารังแกเขาเช่นนี้หรือ หายนะที่เทพมารหลินก่ออะไรกัน ข้าว่าเจ้าพวกนั้นหมายจะชิงศุภโชคและสมบัติอริยะที่อยู่กับตัวเขามากกว่า!”
ทั้งมีคนเรียกร้องความยุติธรรมแทนหลินสวิน ขุ่นเคืองไม่สงบ
……
ตอนนี้บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณให้กำเนิดศุภโชคหลายชิ้น บ้างถูกช่วงชิง บ้างหนีหายไร้ร่องรอยราวมีฤทธิ์เดช
แต่เหล่าผู้หล้าไม่ได้ยอมแพ้ เพราะบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนี้ยังมีดอกตูมสำริดมากมายที่ยังไม่บาน
พวกเขากำลังรออยู่
เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นศึกใหญ่ที่เรียกได้ว่าหายากในใต้หล้าเช่นนี้ในตอนนี้
มีผู้แข็งแกร่งตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น และสังเกตเห็นการประลองนี้
…….
โครม!
การต่อสู้ยิ่งดุเดือด รังสีใสสว่างพวยพุ่งทั่วกายหลินสวิน โอหังแข็งกร้าวถึงที่สุด แม้เผชิญหน้ากับการโจมตีประกบของบุคคลแห่งยุคสองคน เขาก็ไม่เคยถอย แต่เลือกประจันหน้า
เขาในตอนนี้ประหนึ่งเทพมารองค์หนึ่ง เงาร่างไร้ราคี ก้าวเท้าเหยียบย่างดารา แสงประกายฉายออกมารอบตัวราวสุริยันเคลื่อน
ส่วนมู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ทั้งสองล้วนสำแดงพลังต่อสู้ที่ล้ำเกินรุ่นเดียวกันไปไกล ทั้งครอบครองวิชามรรคโบราณ คนหนึ่งดังจ้าวกระบี่สูงศักดิ์ อีกคนหนึ่งดุจอสนีเทพองค์หนึ่ง แม้ท่าทางต่างกัน แต่ล้วนเรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่น
เคร้ง!
กระบี่ฟันมาจากทางตะวันออก รังสีคมไร้เทียมทานระเบิดออก เพียงแต่ไม่ทันเข้าใกล้กลับถูกหลินสวินกระแทกหมัดหนึ่งใส่จนกระเจิดกระเจิง ละอองแสงปลิวว่อน จนมู่เจี้ยนถิงจำต้องหลบหนี
“กำราบนภาเลือน!”
เหลยเชียนจวินตะโกน กระบองฟาดฟันฟ้า อสนีร่ายรำบ้าคลั่ง มีอานุภาพกำราบทั่วสารทิศ พุ่งโจมตีเข้ามา
ดวงตาหลินสวินฉายแววเหี้ยมเกรียม อาจหาญหาใดเทียบ เข้าประมือกับอีกฝ่าย พลังหมัดกระแทกออกไป มีพลังที่ใครก็ไม่อาจเทียบได้
ระหว่างทั้งสองแสงพุ่งขึ้นเหนือเมฆา คลื่นพลังไหวกระเพื่อม ลมแรงและแสงธรรมพลันพัดโหม บดขยี้ห้วงอากาศให้ทรุดลง เห็นได้ว่าน่าพรั่นพรึงขนาดไหน
ในระหว่างนี้มู่เจี้ยนถิงใช้เจตกระบี่จู่โจมสังหาร ร่วมมือกับเหลยเชียนจวินได้อย่างเข้าขายิ่งนัก
การประลองนี้อันตรายถึงที่สุด วิชามรรคทำลายล้างราวน้ำหลาก รังสีเทพมืดฟ้ามัวดินพาให้จิตใจสั่นสะท้าน
“กำราบนภาแปร!”
เหลยเชียนจวินแผดเสียงแล้วพุ่งออกมาอีกครั้ง ร่างกำยำของเขาอบอวลไปด้วยสายฟ้างดงามแสบตา กระบองในมือบรรจุสายฟ้านับหมื่นพันราวอสนีเคราะห์มาเยือน
หลินสวินใช้พลังหมัดประจันหน้ากับเขา พลังหมัดของเขาผสมผสานปริศนาทุกอย่างของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ บรรจุท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำ ปรากฏเป็นอานุภาพสะเทือนสวรรค์สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้
เกิดเสียงดังปึง การโจมตีนี้ของเหลยเชียนจวินถูกสลายลงไปอีกครั้ง และตอนนี้หลินสวินพุ่งจู่โจมไปยังมู่เจี้ยนถิงซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างแข็งกร้าวถึงที่สุด
เหลยเชียนจวินแววตาเย็นเยียบ หว่างคิ้วปรากฏความอึมครึม ต่อสู้มาถึงตอนนี้ ไม่เพียงไม่อาจกำราบหลินสวินได้ ขนาดจะกดดันคู่ต่อสู้ยังทำไม่ได้ นี่ทำให้ในระหว่างที่เขารู้สึกหนักอึ้ง ก็รู้สึกโกรธเคืองอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
เป็นบุคคลแห่งยุคเช่นกัน เดิมทีเขากับมู่เจี้ยนถิงร่วมมือกันก็น่าขายหน้าพอแล้ว แต่ต่อให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังไม่อาจเอาชนะหลินสวินได้ นี่ช่างเป็นความอับอาย
“กำราบนภาสลาย!”
เขาคำรามดาลเดือด มือถือกระบองยาวเคลื่อนไปจู่โจมอีกครั้งจนฟ้าดินสั่นสะท้านเพราะการโจมตีนี้
ร่างกำยำของเขาปรากฏลวดลายอสนีลึกลับเปล่งประกายลายแล้วลายเล่า นั่นเป็นนัยเร้นลับมหามรรคอสนีบาตที่แท้จริง ทันทีที่สำแดงออกมาก็เกิดแสงอสนีนับหมื่น
ท่ามกลางความคลุมเครือ เสียงสายฟ้าฟาดราวทวยเทพคำรนสั่นสะท้านไปเก้าชั้นฟ้า สภาพอากาศรอบทิศพลันแปรผัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการโจมตีน่าครั่นคร้ามหาใดเทียบนี้ ประทับปริศนาวิชาลับสูงสุด ส่งผลให้ห้วงอากาศสั่นสะท้านยุ่งเหยิง ถูกสายอสนีผ่าทำลาย
“น่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว!”
กลับเห็นว่ามุมปากของหลินสวินยกขึ้น ตั้งท่าต่อสู้เหนือห้วงอากาศ ผสานพลังหมัดเก้าชนิดของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์เป็นหมัดเดียวพุ่งออกไป
ที่เหนือความคาดหมายคือหมัดนี้ดูว่างเปล่าและเรียบง่าย ไม่เจือกลิ่นอายใดแม้สักนิด แต่ทันทีที่โจมตีออกไป ห้วงอากาศที่อยู่ใกล้กันพลันทรุดลง แตกระแหงแผ่ขยายออกไป เหมือนไม่อาจรับพลังที่อยู่ในหมัดนี้ได้
เหล่าผู้กล้าตื่นตระหนก สูดลมหายใจเย็นยะเยือก ศีรษะชาหนึบ การฆ่าฟันของบุคคลแห่งยุคเช่นนี้ช่างพาให้ผู้อื่นสิ้นหวัง เมื่อมาถึงขีดสูงสุดในระดับกระบวนแปรจุติแล้ว คนอื่นๆ จะเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างไร เข้าไปก็ต้องตาย!
ตึง!
พลังหมัดกับกระบองยาวกระทบกัน ครู่ต่อมาทุกคนก็เห็นว่าเหลยเฉียนจวินถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง เงาร่างโซซัดโซเซกลางอากาศ สีหน้าซีดเผือด
มาดูหลินสวิน กลับเหมือนไม่เป็นอะไร ถือโอกาสนี้พุ่งกระโจนออกไป หมายจะใช้โอกาสนี้กำราบเหลยเชียนจวินในการโจมตีเดียว
“เทพมารหลินนี่เย้ยฟ้าหรืออย่างไร!”
ผู้แข็งแกร่งมากมายตะลึงอ้าปากค้าง
ถูกผู้กล้าแห่งยุคสองคนประกบโจมตี กลับไม่ได้ถูกกำราบ ซ้ำยังเป็นฝ่ายจู่โจมกลับ บดขยี้เหลยเชียนจวินอย่างแข็งกร้าว หมายจะสังหารเขา
นี่น่าตกตะลึงเมื่อได้พบเห็น พาให้ผู้คนไม่อาจคาดคิดได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ชิ้ง!
เพียงแต่ไม่ทันที่หลินสวินจะโจมตีออกไป มู่เจี้ยนถิงก็เคลื่อนมาจากอีกด้านหนึ่งก่อนแล้ว ดาบโบราณลายสนปล่อยไอขาวดำหยินหยาง แผ่รังสีน่าพรั่นพรึงออกมา
“ผ่าหยินหยาง!”
ตูม!
เจตกระบี่ดุจห้อทะยานยาวร้อยจั้ง ผ่าห้วงอากาศออกเป็นช่องว่างน่าตระหนก ฟันตรงไปยังศีรษะหลินสวิน
หลินสวินหันกาย ซัดประทับปี้อั้นออกไป ดุจดั่งคีรีเทพตกลงมาจากฟากฟ้า มีสัตว์เทพสั่งการอยู่ด้านบน มองหยันลงมายังโลกา
เปรี๊ยะๆ!
เจตกระบี่สีขาวดำนั้นแหลมคมและไร้เทียมทานปานไหน ตอนนี้กลับถูกประทับปี้อั้นกำราบทลายจนสิ้น
พร้อมกันนั้นหลินสวินก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ชือน้ำแข็งสีขาวโพลนทะยานฟ้า แกว่งหางครั้งเดียวมู่เจี้ยนถิงก็ถูกกระแทกจนกระเด็นไปอย่างรุนแรงเสียงดังโครม
เหล่าผู้กล้าสั่นสะท้าน ทุกคนสีหน้าอึ้งงัน ใจเต้นระรัว พวกเขาคาดเดาได้ว่าเทพมารหลินน่ากลัวนัก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะน่ากลัวขนาดนี้
อย่างไรเรียกอานุภาพมารโดดเด่นในโลกา
ก็เช่นนี้อย่างไรเล่า!
แผ่พุ่งกระจายออกไปไร้เทียมทาน ไม่อาจถูกกดทับ ผู้อื่นกลับถูกเขาเล่นงานทีละคนๆ หาญกล้าอหังการถึงที่สุด
มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินหาใช่คนธรรมดา แม้แต่ในหมู่บุคคลแห่งยุคก็เรียกได้ว่าเป็นพวกชั้นยอด แข็งแกร่งกว่าพวกซาหลิวฉานเสียอีก
หากเป็นไปตามปกติ พวกเขาคนเดียวก็สามารถซัดคนทั้งระดับได้ ในระดับกระบวนแปรจุติแทบจะไม่มีศัตรู
แต่ตอนนี้พวกเขาสองคนร่วมกันโจมตี ทว่ากลับถูกตีพ่าย!
ไกลออกไปมู่เจี้ยนถิงสภาพยับเยิน แขนเลือดไหล หน้าอกแทบป่นปี้ สีหน้าซีดเผือด เลือดลมทั้งกายแปรปรวน อยากจะกระอักเลือด
ส่วนอีกด้านหนึ่งเหลยเชียนจวินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ง่ามมือที่จับกระบองยาวชาหนึบ เมื่อกี้หากไม่ใช่มู่เจี้ยนถิงช่วยไว้ทันเวลา เช่นนั้นผลลัพธ์คงไม่กล้าคาดเดา
สีหน้าของทั้งสองคนล้วนแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง พวกเขาพอจะตัดสินได้แล้วว่า เทพมารหลิน… เกรงว่าจะเหยียบย่างเข้าไปในมกุฎมรรคาแล้ว ไม่เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลานุภาพเย้ยฟ้าเช่นนี้!
ตูม!
หลินสวินไม่ให้โอกาสพวกเขาได้หายใจหายคอ พุ่งไปข้างหน้าทันใด แสงเรืองสว่างทั้งร่างส่งเสียงอึกทึก ทำให้อานุภาพของเขาทะลุเมฆา แน่นขนัดไปทั่วฟ้าดิน ท่าทางไม่มีละเว้น แข็งกร้าวหาใดเทียม
“เทพมารหลิน… เทพมารหลิน…” เมื่อได้เห็นภาพนี้ มีผู้แข็งแกร่งพึมพำเสียงหลง ล้วนสะเทือนขวัญไม่รู้จะบรรยายอย่างไรแล้ว
ตอนที่ 904 กระบวนผนึกมรรคราชัน
เหนือห้วงอากาศ การต่อสู้ดุเดือดดำเนินต่อไป เพียงแต่สถานการณ์พลิกผันไปแล้ว
หลินสวินเคลื่อนทะยานอย่างแข็งกร้าวราวพยัคฆ์ออกจากถ้ำ กำราบบุคคลแห่งยุคอย่างมู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินจนโงหัวไม่ขึ้น
เหล่าผู้กล้าสั่นสะท้าน ภาพนี้เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่อาจคาดการณ์ได้ เป็นภาพติดตารุนแรงหาใดเทียบ ทำให้พวกเขาแทบไม่อาจคาดคิด
“ยังจำได้ไหม ตอนนั้นที่หน้าหอวสันตสารท เทพมารหลินก็เคยประลองกับซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์เช่นนี้”
มีผู้แข็งแกร่งทอดถอนใจ “ตอนนั้นชิงเหลียนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซาหลิวฉานถูกเล่นงานยับเยิน หากไม่ใช่จงหลีอู๋จี้มาป่วน ผลลัพธ์ของสองคนนี้ก็ไม่อาจคาดคิดได้”
ทุกคนต่างนึกขึ้นมาได้ เมื่อเทียบกับการประลองตรงหน้านี้ก็พบว่าออกจะเหมือนกันจริงๆ
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน แม้ซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์จะเป็นบุคคลแห่งยุคเช่นกัน แต่ว่ากันเรื่องพลังต่อสู้ ก็เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าพวกมู่เจี้ยนถิง
แต่แม้เป็นเช่นนี้ พวกมู่เจี้ยนถิงก็ยังคงถูกหลินสวินกำราบอย่างแข็งกร้าว!
“เทพมารหลินในตอนนั้นแสดงความสง่างามของผู้กล้าแห่งยุคชั้นยอด แต่เขาในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าต่างจากตอนนั้นโดยสิ้นเชิงแล้ว”
“ตอนทดสอบถกถกมรรคด่านแรก เขาได้ดอกบัวเพลิงเก้ากลีบมาดอกหนึ่ง นี่เท่ากับครอบครองความเร้นลับมหามรรคใหม่เอี่ยมชิ้นหนึ่งกับมรดกวิชามรรคที่เรียกได้ว่าชั้นเลิศวิชาหนึ่ง”
“ตอนทดสอบถกมรรคด่านที่สอง คล้ายว่าเขาจะชิงอันดับหนึ่งในเขตขีดจำกัดไปครอง ได้รับรางวัลพิเศษอย่างหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังต่อสู้ของเขาต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดินภายใต้การเคี่ยวกรำของเขตขีดจำกัดแน่!”
“และเหนือทะเลปรวนแปร เขาก็เลือกทะลวงปราณท่ามกลางสถานการณ์อันตราย แม้ถูกขัดขวางแต่สุดท้ายก็เลื่อนขั้นเป็นระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางได้อย่างราบรื่น!”
“ทุกท่านน่าจะรู้ดีว่าบุคคลโดดเด่นเช่นเทพมารหลินผู้นี้ ทุกครั้งที่พลังปราณของเขาเลื่อนขั้น พลังต่อสู้ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพูน หาไม่แล้วตอนนั้นซาหลิวฉานคงไม่ถูกหลินสวินเอาชนะได้ในการโจมตีเดียว ตกใจจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนหรอก”
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งวิเคราะห์ ดูสงบนิ่งและฉลาดเฉลียวถึงที่สุด วิเคราะห์พลังการต่อสู้ของหลินสวินอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนเงี่ยหูฟัง
“เช่นเดียวกัน ตอนทดสอบจุดโคมวิญญาณ ดูเหมือนเทพมารหลินไม่ได้อะไรเลย แต่พลังจิตวิญญาณที่เขาแสดงออกมากลับเหนือกว่ารุ่นเดียวกัน ทุกท่านต่างรู้ว่าจิตวิญญาณเป็นกุญแจสำคัญของการมองทะลุความเป็นความตาย หลอมมรรคกลายเป็นราชัน จิตวิญญาณของเทพมารหลินแข็งกล้าเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเขามีพลังแฝงแห่งการกลายเป็นราชันที่เกินจินตนาการแน่!”
“ส่วนในการทดสอบด่านที่ห้า พลังมหามรรคที่เทพมารหลินหยั่งรู้ได้ต้องไม่เรียบง่ายอย่าง ‘มหามรรควังน้ำวน’ เช่นนั้นแน่ หาไม่แล้วป้ายหินเก่าแก่ป้ายนั้นจะทำลายตัวเองทำไม นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน”
“นี่หมายความว่าต่อให้พลังมหามรรคที่เขาครอบครองอยู่ไม่ยิ่งใหญ่เท่าพวกเทพธิดาจี้ แต่ก็ย่อมเรียกได้ว่าพิเศษ ไม่อาจเทียบกับมหามรรคทั่วไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย!”
พูดถึงตรงนี้ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดล้วนกระจ่างแจ้ง รู้สึกได้ชัดเจนทันใด
“ตอนนี้ ทุกท่านน่าจะเข้าใจแล้วกระมังว่าเทพมารหลินในตอนนี้ต่างกับก่อนเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคโดยสิ้นเชิง พลังต่อสู้ พลังปราณ จิตวิญญาณ รวมถึงพลังมหามรรคที่ครอบครองของเขาล้วนเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดินแล้ว”
ผู้แข็งแกร่งคนนั้นดวงตาวาวโรจน์ “ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้ายังสงสัยเลยว่าแม้แต่บุคคลชั้นแนวหน้าในหมู่ผู้กล้าแห่งยุคอย่างเทพธิดาจี้ อวี่หลิงคงลงมือ ก็อาจจะสยบเทพมารหลินไม่ได้!”
เฮือก!
เมื่อได้ยินการตัดสินเช่นนี้ เสียงสูดหายใจเย็นเยียบดังขึ้นระลอกหนึ่งในบริเวณนั้น ผู้แข็งแกร่งมากมายจิตใจสั่นสะท้าน เทพมารหลิน… แข็งแกร่งปานนี้แล้วหรือ
พวกเขาเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าในการต่อสู้นั้น เงาร่างสูงโปร่งของหลินสวินอาบชโลมไปด้วยรัศมีใสเจิดจ้าราวทินกรเทพเปล่งประกาย รังสีหมื่นจั้ง ท่าท่าผงาดผยอง
เทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมู่เจี้ยนถิงหรือเหลยเชียนจวินล้วนดูหม่นหมอง ถูกกำราบจนพากันถอยหนี แทบเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้
ดังคาด!
เหล่าผู้กล้ารู้สึกซับซ้อนในใจ สั่นสะท้านอย่างประหลาด การต่อสู้ครั้งนี้ราวสุริยันจันทราประชันรัศมี และหลินสวินก็เป็นดวงอาทิตย์แรงกล้าไม่เป็นสองรองใครดวงนั้น!
……
พรูด!
ถูกตีพ่ายอีกครั้ง ในที่สุดมู่เจี้ยนถิงก็ทนไม่ไหว กระอักเลือดออกทางปาก
เขาสีหน้าคล้ำเขียว อึมครึมยิ่งนัก ในใจมีความคับข้องและตกใจระคนโกรธ ความแข็งแกร่งของหลินสวินทะลุความคาดหมายและจินตนาการยิ่งขึ้นไปทุกครั้ง นี่ทำให้เขาได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ
อีกด้านหนึ่ง เหลยเชียนจวินยังคงต้านทานอย่างขมขื่น
ตั้งแต่เริ่มจนจบหลินสวินยังไม่ได้ใช้สมบัติเลย แต่หมัดคู่นั้นของเขากลับน่ากลัวกว่าสมบัติไร้เทียมทาน มีพลังกดดันน่าหวาดหวั่น ท่าทางราวกวาดซัดสรรพสิ่ง ดุจภูผาถล่มทะเลหวีดร้อง ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้
นี่ทำให้เหลยเชียนจวินสงสัยว่าหากหลินสวินใช้สมบัติต่อสู้ เช่นนั้นจะเกิดสภาพการณ์น่ากลัวเช่นไรอีก
ตึง!
เป็นหมัดหนึ่งจู่โจมมาอีกครั้ง พลังหมัดเปล่งประกายแพรวพราว มีท่วงทำนองว่างเปล่าเรียบง่าย กระแทกไปบนกระบองอสนี
เหลยเชียนจวินตัวสั่นเทา ข้อมือแทบขาดออกจากกัน ทั้งร่างถูกกดทับจนจมลงไปอย่างรุนแรง แทบจะกระแทกไปกับพื้น
“ไป!”
ไกลออกออกไปมู่เจี้ยนถิงตะคอก หันกายเคลื่อนออกไปไหล
เหล่าผู้กล้างงงวย คิดไม่ถึงว่ามู่เจี้ยนถิงที่เป็นถึงผู้สืบทอดอารามพรางมรกต บุคคลแห่งยุคซึ่งชื่อเสียงระบือแดนฐิติประจิมผู้หนึ่งนี้กลับถอยหนีไปได้
นี่แสดงให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเขารู้ได้ด้วยตัวเองว่าไม่อาจพลิกสถานการณ์ ดังนั้นจึงเลือกหนีไป
สวบ!
เหลยเชียนจวินไม่ลังเลเช่นกัน แน่วแน่ยิ่งนัก เงาร่างหายวับไปในอากาศ เคลื่อนออกไปไกลราวพันจั้งประหนึ่งสายฟ้าฟาด
“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าร่ำร้องอยากจะแลกเปลี่ยนความรู้ เหตุใดแลกเปลี่ยนยังไม่ทันจบพวกเจ้าก็จะไปแล้วล่ะ”
หลินสวินส่งเสียงหึหยัน เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งตามไปเต็มกำลัง
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ใช้กระบวนสังหารมาโดยตลอด ไม่ได้เป็นเพราะปรานี แต่เป็นความรอบคอบและระมัดระวัง
เพราะเขาแน่ใจว่ามู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินต้องครอบครองเครื่องมือสังหารชิ้นโต มีอำนาจคุกคามถึงชีวิต
ดังนั้นเขาจึงรออยู่ตลอด รอให้อีกฝ่ายเผยทีเด็ดออกมาจนหมด
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าบุคคลแห่งยุคเช่นนี้สองคน ยังจะเลือกหลบหนีไปโดยไม่สนใจหน้าตาและเกียรติภูมิทั้งสิ้นท่ามกลางสายตาของฝูงชน
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังคงเก็บคมในฝักไว้ ไม่ต้องการนำไพ่ตายออกมาใช้ในตอนนี้
แต่เป้าหมายก็คาดเดาได้ง่ายนัก การช่วงชิงศุภโชคบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณยังไม่จบลงอย่างแท้จริง ทั้งสองต่างไม่อยากเผยไพ่ตายของตนเร็วเกินไป!
ทว่าหลินสวินก็ไม่อาจยินยอมได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ถูกลอบจู่โจมอย่างไม่มีสาเหตุ อีกนิดเดียวก็จะถูกทำร้าย อีกฝ่ายกลับพูดออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ นี่จะให้หลินสวินไม่โกรธได้หรือ
เป็นการดูเบาว่าเขาหลินสวินไม่กล้าฆ่าคนหรือ
สวบ!
ชั่วพริบตา หลินสวินก็ตามไปโจมตีเต็มกำลังอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“ตามไป!”
เหล่าผู้กล้าล้วนดูออกว่าหลินสวินไม่คิดรามือ พวกเขาจะพลาดการประลองสะท้านโลกเช่นนี้ได้อย่างไร ล้วนไล่ตามไปด้วย
ไม่ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ชื่นชอบดูเรื่องครื้นเครง แต่เพราะดอกตูมสำริดที่เหลืออยู่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณเหล่านั้นไม่มีทีท่าจะเบ่งบานแต่อย่างใด หาไม่แล้วพวกเขาคงไม่มีทางละทิ้งศุภโชคที่ต้องการช่วงชิงไปดูเรื่องครึกครื้นได้
…….
ต้นโคมสำริดมรรคโบราณยิ่งใหญ่ ยิ่งสูงขึ้นไปลำต้นยิ่งหนาแน่น กิ่งก้านยืดออกไปยังส่วนลึกของชั้นเมฆราวเขาวงกตใหญ่แห่งหนึ่ง
เมฆหมอกสีม่วงรางเลือนราวทะลวงผ่านไปยังโลกเบื้องบน
มู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินหนีมาเร็วยิ่ง แต่กลับหนีไม่พ้นการจับกุมของจิตรับรู้ของหลินสวิน ทั้งว่าด้วยความเร็ว หลินสวินที่โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มกำลังยิ่งว่องไวกว่า!
“ทั้งสองท่าน เหตุใดต้องหนีด้วยเล่า มาๆๆ พวกเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อ!” เบื้องหลังหลินสวินสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงเจือด้วยความประชดประชันและเย็นยะเยือก
พวกมู่เจี้ยนถิงขุ่นเคืองจนกัดฟันกรอด ก่อนหน้านี้ถูกหลินสวินกำราบก็ทำให้พวกเขาอัดอั้นตันใจ รู้สึกอับอายและโกรธเคืองอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ยังถูกเย้ยหยันอีก ทำให้พวกเขาต่างไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เสียทีที่พวกเจ้าเป็นผู้กล้าแห่งยุค ข้าหลินสวินพิจารณาตัวเองแล้วว่าไม่ได้ผิดใจหรือมีความแค้นกับพวกเจ้า ทั้งไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่งการช่วงชิงศุภโชคของพวกเจ้า พวกเจ้ากลับลอบโจมตีข้าอย่างต่ำทรามเช่นนี้ น่าขายหน้าหรือไม่”
“ในพวกเจ้าอยากเป็นศัตรูกับข้า เช่นนั้นก็เอาหัวเจ้ามาชดใช้ความผิดเถอะ!”
เสียงของหลินสวินดังก้องไปทั่วสารทิศ ไม่เพียงพูดให้พวกมู่เจี้ยนถิงได้ยิน แต่พูดให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นได้ยินด้วย
“เจ้ารนหาที่ตาย!” เหลยเชียนจวินโกรธจนไม่อาจยับยั้งได้ ส่วนมู่เจี้ยนถิงก็สีหน้าเขียวคล้ำถึงที่สุด
“ข้ารนหาที่ตายหรือ เหอะๆ แล้วพวกเจ้าจะหนีทำไมเล่า” หลินสวินยิ้ม สีหน้ายิ่งเย็นชาเข้าไปอีก
เขาว่องไวนัก กำลังตามเข้าไปประชิดทั้งสองคน
ขณะเดียวกันในใจเขาก็รอบคอบ เพราะทั้งสองคนอาจสำแดงไพ่ตายในมือออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใดแบบหมาจนตรอก เขาจึงเตรียมการรับมือเต็มกำลังไว้เรียบร้อยแล้ว
โครม!
เพียงแต่ยังไม่ทันตามทั้งสองทัน พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น…
ก็เห็นว่าในห้วงอากาศทุกสารทิศปรากฏธงรบแน่นขนัดผืนแล้วผืนเล่า รวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดผืน ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
ในชั่วขณะนั้นหลินสวินราวกับอยู่ในกรง
นัยน์ตาเขาหดรัดทันใด ค่ายกลใหญ่สลักวิญญาณ!
ซ่า!
ธงรบแน่นขนัดไหววูบ ปลดปล่อยรอยสลักวิญญาณหนาแน่นราวกระแสวารีลึกลับพิศวงออกมาปกคลุมบริเวณนี้
ชั่วพริบตาเท่านั้นทิวทัศน์ตรงหน้าหลินสวินก็เปลี่ยนไปโดยพลัน หมอกคลุมเครือทั่วทุกสารทิศ ไม่มีสิ่งใดเลย หาทางออกใดก็ไม่พบ ขนาดจิตรับรู้ยังถูกตัดขาด ไม่อาจรับรู้โลกภายนอก
‘นี่เป็นกระบวนผนึกมรรคาราชันกระบวนหนึ่ง!’
ชั่วพริบตาหลินสวินก็รับรู้ถึงสถานการณ์ เขาเป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่ง คร่ำหวอดด้านกระบวนรอยสลักวิญญาณมานานปี ถึงขั้นสามารถชี้ชัดได้ว่าธงรบทั้งหนึ่งร้อยแปดผืนล้วนเป็น ‘สมบัติค่ายกลโบราณ’ ที่พบเห็นได้ยาก!
นี่เป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพกาลประเภทหนึ่ง บนสมบัติหลอมกระบวนรอยสลักวิญญาณรางเลือนและลี้ลับไว้ เมื่อสำแดงออกมาจะร้องเรียกหากัน สามารถแปรสภาพเป็นค่ายกลใหญ่สลักวิญญาณค่ายหนึ่ง อานุภาพยากหยั่งถึง
แต่กระบวนผนึกมรรคราชันกลับยิ่งน่ากลัว จะวางค่ายกลนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีสมบัติค่ายกลโบราณที่มีอานุภาพระดับยอดศาสตรามรรคราชันชุดหนึ่ง
ค่ายกลใหญ่ระดับนี้ ถึงขั้นสามารถล้อมสังหารระดับราชัน หลอมฟ้าดินแถบหนึ่งได้!
“มือเติบเสียจริงนะ เพื่อต่อกรกับข้า ขนาดกระบวนผนึกมรรคาราชันยังถูกเอามาใช้แล้ว…”
ดวงตาสีดำของหลินสวินล้ำลึก สีหน้าเย็นชาจนน่ากลัว
เขารู้สึกได้ว่านี่เป็นกับดักที่ตั้งใจเตรียมการไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว รอแค่ตนกระโดดเข้ามา!
ขณะเดียวกัน หลินสวินก็เข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดพวกมู่เจี้ยนถิงถึงต้องการหนีแล้ว สาเหตุที่พวกเขาไม่ใช้ไพ่ไม้ตาย เห็นได้ชัดว่าต้องการเป็นเหยื่อล่อ ล่อตนเข้ามาถูกล้อมสังหารในค่ายกลนี้!
หรือกล่าวได้ว่า ค่ายกลใหญ่นี้ต่างหากจึงจะเป็นไพ่ตายของพวกเขา!
“อุบายโหดเหี้ยมนัก!”
เมื่อเข้าใจทุกอย่างนี้หลินสวินก็รู้สึกเย็นเยียบในใจ เพื่อต่อกรกับเขา วิธีการที่ผู้กล้าแห่งยุคเหล่านี้ใช้เรียกได้ว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจ เด็ดขาดถึงที่สุด
นี่ทำให้ในใจหลินสวินบังเกิดความแค้นขึ้น ใกล้จะคุมไอสังหารไม่อยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่นานนักหลินสวินก็สงบใจลง จิตรับรู้แผ่ขยายออก เริ่มสัมผัสรับรู้ค่ายกลใหญ่นี้สุดกำลัง
หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่นคงจะหมดหวังไปก่อนแล้ว แต่น่าเสียดาย เกรงว่าพวกมู่เจี้ยนถิงต้องคิดไม่ถึงแน่ว่า หลินสวินที่พวกเขาต้องการต่อกร ยังมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่มีความสามารถสมชื่อด้วยผู้หนึ่ง…
ตอนที่ 905 จตุลักษณ์ราชัน
รอยสลักวิญญาณหนาแน่นคลุมเครือพลุ่งพล่านราวกระแสวารี รัศมีเทพน่ากริ่งเกรงไหววูบ
นอกกระบวนผนึกมรรคราชัน มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินยืนเคียงไหล่กัน หว่างคิ้วล้วนยังคงเต็มไปด้วยความอึมครึม
แม้ว่าจะขังหลินสวินไว้ได้แล้ว แต่เมื่อนึกถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ในใจทั้งสองคนยังคงรู้สึกอับอายและโกรธเคือง
“เหอะๆ เจ้าเทพมารหลินก็ไม่เท่าไรนี่”
เงาร่างกลุ่มหนึ่งเดินออกมาในบริเวณใกล้เคียงพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง ถึงกับเป็นซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์
สีหน้าพวกเขาล้วนเจือไปด้วยความลำพองใจที่ยากปกปิด ในมือแต่ละคนถือแผ่นจานกระบวนแผ่นหนึ่ง แผ่นจานกระบวนแต่ละแผ่นสลักรอยสลักวิญญาณที่ต่างกันออกไป กำลังแผ่คลื่นรางเลือนควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันที่อยู่ไม่ไกล
“ที่คราวนี้จัดการเทพมารหลินได้ เพราะได้ท่านทั้งสองช่วยเหลือ” จงหลีอู๋จี้กุมมือคารวะ พูดกับพวกมู่เจี้ยนถิง
“ไม่ต้องเกรงใจ” มู่เจี้ยนถิงเอ่ยเนิบนาบ “พวกเราได้สิ่งที่แต่ละคนต้องการเท่านั้น”
จงหลีอู๋จี้พูดอย่างเคารพนบนอบว่า “พี่มู่วางใจได้ พวกข้าทำเพียงเพื่อฆ่าหลินสวิน ส่วนศุภโชคกับสมบัติอริยะที่อยู่กับตัวเขาย่อมเป็นของพวกท่านสองคน”
สีหน้ามู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินถึงค่อยดีขึ้นมาก
เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนล่วงหน้า แอบร่วมมือกันอยู่ก่อนแล้วในหมู่พวกเขา พวกจงหลีอู๋จี้ต้องการสังหารหลินสวิน ส่วนมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินก็ต้องใจศุภโชคกับสมบัติอริยะที่อยู่กับตัวหลินสวิน!
“แม่นางเหลียนเอ๋อร์ ค่ายกลนี้จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
ซาหลิวฉานที่อยู่ข้างกันนิ่วหน้าถาม เขาออกจะกังวล ตื่นตระหนกกับพลังต่อสู้ของหลินสวินเข้าจริงๆ แล้ว ทำให้เขาหวาดกลัวหลินสวินอย่างบอกไม่ถูก
“วางใจได้ ค่ายกลนี้มีนามว่า ‘จตุลักษณ์ราชัน’ ก่อตัวขึ้นมาจากธงรบจตุลักษณ์หนึ่งร้อยแปดผืนที่บรรพชนเผ่าข้าหลอมขึ้นเองกับมือ ทันทีที่ถูกกักอยู่ในนั้น ก็เหมือนกักขังมังกรคลั่ง แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็หลุดจากการคุมขังไม่ได้!”
ชิงเหลียนเอ๋อร์พูดอย่างไม่ลังเล ดวงตากระจ่างฉายแววหยิ่งผยอง นางรู้อานุภาพของกระบวนผนึกมรรคราชันชิ้นนี้ดี
ทุกคนใจสงบลงอย่างยิ่ง
“เฮอะ คราวนี้เทพมารหลินก็หนีเคราะห์ยากแล้ว” เสียงซาหลิวฉานชิงชังและลำพองใจ สะใจที่ได้แก้แค้น
“หากไม่ใช่เพื่อเร่งรีบชิงมหาโชค ก็ไม่ต้องลำบากแม่นางเหลียนเอ๋อร์นำค่ายกลนี้ออกมา ข้าจะสั่งสอนมันว่าจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร!”
จงหลีอู๋จี้สีหน้าหยิ่งผยอง
ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา กลับเป็นมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินที่ชิงชังและหงุดหงิดในใจ หากเทพมารหลินอ่อนแอขนาดนั้น จะกำราบพวกเขาสองคนจนเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ได้อย่างไร
แต่จงหลีอู๋จี้กลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้ มาเทียบกันเช่นนี้แล้ว ไม่ได้สะท้อนว่าพวกเขาสองคนยังเทียบกับจงหลีอู๋จี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ
มู่เจี้ยนถิงพูดอย่างงุ่นง่านว่า “อย่ามัวพูดพร่ำเลย รีบฆ่ามันเสีย เวลากระชั้นแล้ว”
ดอกตูมสำริดเหล่านั้นที่เหลืออยู่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณใช้เวลาไม่นานก็จะเบ่งบาน เขาไม่อยากเสียเวลาตอนนี้
“ที่พี่มู่พูดมาถูกต้องอย่างยิ่ง”
ระหว่างที่จงหลีอู๋จี้พูด ก็เริ่มโคจรแผ่นจานกระบวนของแต่ละคนร่วมกับซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์
โครม!
รัศมีเทพอบอวล รอยสลักวิญญาณผันผวน
ค่ายกลใหญ่จตุลักษณ์ราชันดุจฟื้นตื่นจากความเงียบงัน ไอสังหารแผ่ขยายออกมาสะท้านคลื่นลม
ชั่วขณะนั้น พื้นที่สี่ทิศเหนือค่ายกลใหญ่ก็มีปรากฏการประหลาดยิ่งใหญ่มากมายอย่างเสือขาวโลดแล่น วิหคชาดโผบิน มังกรเขียวยึดครอง เต่าดำชูคอ แผ่คลื่นต้องห้ามที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันขวัญผวาได้ออกมา
…….
“สวรรค์! นี่เป็นค่ายกลใหญ่สะท้านโลกาชั้นไหนกัน กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว เทพมารหลินอยู่ในนั้นจะรอดชีวิตกลับมาไหม”
ไกลออกไปมีผู้แข็งแกร่งมากมายรีบรุดมา เมื่อได้เห็นทุกอย่างนี้ล้วนตื่นตระหนกจนอกสั่นขวัญแขวน หน้าเปลี่ยนสียิ่ง
“นี่เป็นกับดักอันหนึ่ง บุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันวางขึ้น จะสังหารเทพมารหลินในครั้งเดียว!”
บางคนสังเกตเห็นว่านอกค่ายกลใหญ่นั้น จงหลีอู๋จี๋กับพวกมู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินรวมตัวกัน นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงทุกอย่างให้ชัดเจนแล้ว
‘เทพมารหลินจะเสียท่าแล้ว…’
ทั้งมีผู้แข็งแกร่งหลายคนทอดถอนใจในใจ
เทพมารหลินเป็นคนโดดเด่นไร้เทียมทานปานไหน ทะลวงจากโลกชั้นล่างมาเพียงลำพัง หัวเดียวกระเทียมลีบ อาศัยเพียงพลังของตัวเองคนเดียวก็ก่อกวนคลื่นลมในแดนฐิติประจิม ผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าวในหมู่คนรุ่นเยาว์
บุคคลแห่งยุคเช่นนี้ ตอนนี้กลับจะสิ้นชีพบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ นี่ย่อมพาให้ผู้อื่นเห็นใจและสงสาร
……
ในกระบวนผนึกมรรคราชันเป็นทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง
จากการโคจรค่ายกลใหญ่ รอยสลักวิญญาณแปรปรวนราวธารดารา ไหลรินลงมาท่วมค่ายกลใหญ่ทั้งค่ายให้จมลง ภายในนั้นเกิดทิวทัศน์วันโลกาวินาศอย่างสายฟ้าไหววูบอสนีคำรามร้อง เพลิงแรงกล้าโหมกระหน่ำ สายน้ำม้วนตลบ หินผากลิ้งร่วง
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่น เกรงว่าคงสิ้นหวังไปก่อนแล้ว เพราะที่นี่ไม่อาจหลบหนีได้ ทำได้เพียงรอความตายเหมือนสัตว์ที่ถูกกักขัง
แต่ในสายตาของหลินสวิน การโจมตีทุกอย่างนี้เป็นเพียงสิ่งที่แปรสภาพจากค่ายกลต่างกันไป แม้รางเลือนและน่าพิศวง น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ แต่ไม่ได้ไม่มีช่องโหว่
สวบ!
ในชั่วพริบตาที่ค่ายกลใหญ่โคจร หลินสวินก็เคลื่อนไหว หายตัวต่อเนื่องในค่ายกลใหญ่ด้วยความเร็วอัศจรรย์ราวสายฟ้า
เปรี้ยง!
พายุสายฟ้าเจิดจ้าแสบตาไหลบ่า ดูเหมือนไม่อาจต้านทานได้ พาให้ผู้อื่นสิ้นหวัง แต่หลินสวินยื่นแขนออกไปแตะเบาๆ ในห้วงอากาศ
ทันใดนั้นพายุสายฟ้าอันมืดฟ้ามัวดินนั้นก็พลันพังทลาย มลายหายไปราวถูกแทงจุดตาย
หลินสวินถือโอกาสนี้หายตัวหลบหนีไปก่อนแล้ว
นั่นคือการโจมตีที่แปรสภาพมาจาก ‘กระบวนค่ายกลสายฟ้าสลาตันพันมายา’ ควบคุมด้วยพลังเสือขาวที่เป็นหนึ่งในสี่ลักษณ์ พลังสังหารน่าตื่นตระหนก
เพียงแต่สำหรับหลินสวินแล้ว การสลายค่ายกลเช่นนี้ไม่เปลืองแรงเท่าไรเลย
ตำแหน่งปฐมาจารย์สลักวิญญาณของเขาไม่ได้มาจากการคุยโว!
ก่อนหน้านี้ในจักรวรรดิจื่อเย่า ขนาดสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังเป็นฝ่ายมาหาหลินสวินเอง ด้วยหวังว่าเขาจะช่วยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณให้ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินจะกลัวได้อย่างไร ไม่แน่บางทีกระบวนผนึกมรรคราชันนี้อาจสามารถสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้ แต่กลับไม่รวมถึงเขาหลินสวิน!
ปึง!
ท่ามกลางทะเลเพลิงหินหนืดถาโถม หลินสวินก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว ชือน้ำแข็งทะยานฟ้าพุ่งเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลเพลิง จากนั้นทะเลเพลิงนี้ก็พังทลายลงราวเศษกระดาษ
นี่คือ ‘กระบวนค่ายกลสุริยะทมิฬลี้เพลิง’ ควบคุมด้วยพลังแห่งวิหคชาดหนึ่งในจตุลักษณ์ ครอบครองอานุภาพเผาฟ้าทลายดิน
แต่เช่นเดียวกัน ถูกหลินสวินมองทะลุจุดอ่อนของค่ายกลได้ในปราดเดียว แล้วสลายไปอย่างง่ายดาย
ในเวลาต่อมา ค่ายกลใหญ่ที่เคราะห์สังหารหนักหนาสามารถล้อมสังหารระดับราชันได้นี้ กลับถูกหลินสวินสลายเคราะห์สังหารทั้งหมดได้ประหนึ่งเดินเล่นในสวนเงียบสงบ
“พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะฆ่าข้าหลินสวินได้เช่นนี้”
ดวงตาสีดำของหลินสวินดุจสายฟ้า กวาดมองไปยังเวิ้งฟ้า ที่นั่นขาวโพลนเวิ้งว้าง ถูกพลังรอยสลักวิญญาณพร่าเลือนฟุ้งตลบบดบัง แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองการเคลื่อนไหวของตนจากตรงนั้น!
“พวกเจ้าล้างคอรอไว้จะดีที่สุด ยามพังค่ายกลได้ จะไปเอาหัวพวกเจ้ามาล้างแค้น!” หลินสวินวาจานิ่งเรียบ แต่เผยไอสังหารเย็นเยียบหาใดเทียมออกมา
จากนั้นหลินสวินก็ถอนสายตากลับมา เงาร่างพลันปกคลุมด้วยไอซวนหนีดุจนิมิตมายาชั้นหนึ่งแล้วหายตัวไป
……
จงหลีอู๋จี้แข็งทื่อไปทั้งตัว นัยน์ตาหดรัด ชั่วพริบตาเมื่อครู่เขาเหมือนรู้สึกได้ว่า สายตาของหลินสวินมองมาทางตนจากที่ไกลลิบ
นั่นเป็นสายตาเช่นไรกัน
นิ่งสงบและเรียบเฉยราวเหวลึกสีดำ เผยไอสังหารไร้ขอบเขตออกมา!
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
อีกด้านหนึ่ง พวกซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ก็หน้าเปลี่ยนสี รู้สึกถูกสายตาของหลินสวินเพ่งเป้าไว้เช่นเดียวกับจงหลีอู๋จี้
“ค่ายกลใหญ่นี้จะมีปัญหาหรือไม่ ไม่ได้พูดว่าขนาดสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังถูกล้อมสังหารอยู่ภายในนั้นหรือ” ซาหลิวฉานอดไม่ได้ถามออกไป
“ค่ายกลนี้เป็นสิ่งที่บรรพชนเผ่าหงส์เขียวของข้าหลอมขึ้นมากับมือ จะมีข้อผิดพลาดได้อย่างไร เจ้าหมอนี่น่าจะเชี่ยวชาญศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ถึงสามารถพ้นอันตรายไปได้”
ชิงเหลียนเอ๋อร์นิ่วหน้า นางก็ออกจะฉงนจริงๆ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่งก็ไม่น่าทำได้ง่ายดายอย่างหลินสวิน
สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ หลินสวินช่ำชองศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณเช่นกัน!
“ทุกท่าน ดูท่าพวกเราต้องใช้พลังทั้งหมดแล้ว!”
ชิงเหลียนเอ๋อร์กัดฟันกรอด ดวงตากระจ่างบังเกิดแววตาโหดเหี้ยม “แม้จะเปลืองพลังวิญญาณจำนวนมหาศาล แต่พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!”
“ยังขอให้ทั้งสองท่านช่วยคุ้มครองพวกเราด้วย” สายตาจงหลีอู๋จี้มองไปทางพวกมู่เจี้ยนถิง ทั้งสองล้วนพยักหน้าตอบรับ
ทันใดนั้นพวกจงหลีอู๋จี้ก็ไม่ออมมืออีก โคจรพลังทั้งร่างควบคุมแผ่นจานกระบวนในมือถึงขีดสุด
โครม!
ภายในค่ายกลใหญ่ สภาพการณ์พลันแปรเปลี่ยน น่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้น
ฮูม!
มังกรเขียวตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากในทิวเขาไพศาลสีเขียวฟากบูรพา ร่างม้วนกระหวัดราวภูผา ชูคอส่งเสียงร้องแห่งมังกรสะท้านไปเก้าชั้นเมฆ
โฮก!
เสือขาวยาวร้อยจั้งตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากพื้นที่ที่เหมือนนรกสีดำฟากประจิม ทั้งร่างแผ่แสงทองแสบตาราวกระบี่ พลังสังหารดุดันสะเทือนแดนดิน น่ากลัวไร้ที่สิ้นสุด
ฟึ่บ!
วิหคชาดตัวหนึ่งสยายปีกโผขึ้นฟ้าจากฟากทักษิณ ปีกงดงามปลดปล่อยลูกไฟสีแดงสดนับหมื่นพันออกมา ห้วงอากาศลุกโชน แผดเผาจักรวาล
ตึง!
เต่าดำตัวหนึ่งเยื้องย่างเหนือแผ่นดินฟากอุดร เท้าทั้งสี่ราวเสาค้ำสวรรค์ ทุกก้าวที่เหยียบย่างลงมาล้วนสั่นสะเทือนจนผืนปฐพีแตกระแหง สรรพสัตว์ล้มตาย
ในความคลุมเครือ ค่ายกลใหญ่นี้แผ่พลังต้องห้ามรางเลือนเก่าแก่ออกมาดุจบุคคลระดับราชันมาเยือน สามารถกำราบภพภูมิหนึ่ง เคลื่อนกวาดทั่วจักรวาลฟ้าดิน
นี่เป็นอานุภาพที่แท้จริงของกระบวนผนึกมรรคราชัน หากวางไว้ในโลกภายนอก สามารถหลอมเมืองเมืองหนึ่งให้กลายเป็นเถ้าธุลี ทำให้ภูผาธาราหมื่นลี้ราบเป็นหน้ากลอง!
เพียงแต่…
ก็ในช่วงเวลาสำคัญนี้เอง พวกจงหลีอู๋จี้กลับพบอย่างฉับพลันว่า เงาร่างหลินสวินในค่ายกลใหญ่หายไปแล้ว!
“เกิดอะไรขึ้น”
จงหลีอู๋จี้สีหน้าเคร่งเครียด
“หรือจะถูกฆ่าตายไปแล้ว”
ซาหลิวฉานฉงนใจไม่ว่างเว้น
“เขายังมีชีวิตอยู่ แม้พวกเราไม่สามารถเล็งเป้าได้ แต่พลังของค่ายกลนี้ทำให้ข้าสัมผัสได้ว่าเขาซ่อนอยู่ภายในนั้น!”
ดวงตาเปล่งประกายของชิงเหลียนเอ๋อร์เย็นเยียบ ไอสังหารแผ่พุ่ง “ทุกท่านจะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้วเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายคว้าโอกาสได้ และจะไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้!”
พวกจงหลีอู๋จี้สั่นสะท้าน ล้วนไม่กล้าวอกแวก
ส่วนมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินที่อยู่ใกล้กันในใจกลับสงสัยอยู่บ้าง กระบวนผนึกมรรคราชันนี้ สามารถฆ่าผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าบี้มดตัวหนึ่งให้ตายเสียอีก แต่เหตุใดยามเล็งเป้าที่หลินสวิน กลับเกิดเหตุเหนือความคาดหมายอย่างต่อเนื่องได้
หรือว่า…
ในมือของอีกฝ่ายยังถือไพ่ตายไว้อีก?
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ความคิดเดียวกันก็โผล่ขึ้นมาในสมองของทั้งสองคน… สมบัติอริยะ!
และมีเพียงพลังของสมบัติอริยะ ถึงอาจจะทำให้หลินสวินซึ่งเป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ยืนหยัดในกระบวนผนึกมรรคราชันได้ถึงตอนนี้!
ก่อนหน้านี้ในข่าวต่างๆ ล้วนเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับศุภโชคที่อยู่กับตัวหลินสวิน ตอนที่มีข่าวว่าเขาครอบครอบสมบัติอริยะ ทั้งสองคนยังฟังหูไว้หูอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ พวกเขากลับพอจะชี้ชัดได้ว่า เป็นไปได้สูงมากว่าข่าวนี้จะเป็นจริง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของทั้งสองก็บังเกิดความโลภลุกโชนที่ไม่อาจเก็บกลั้นไว้ได้
เทียบกับศุภโชคที่อยู่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ศุภโชคที่ซ่อนอยู่กับตัวเทพมารหลินผู้นี้ก็ต้องไม่ใช่เล็กๆ แน่ ถึงกับเป็นไปได้ว่าจะมีไม่น้อยกว่ากัน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น