Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 898-899
ตอนที่ 898 ดับดารากลืนกิน
จงใจ!
หลินสวินจะต้องจงใจอย่างแน่นอน!
จงหลีอู๋จี้สีหน้าแย่มาก อัดอั้นจนอยากจะกระอักเลือด เขาระมัดระวังและป้องกันถึงขีดสุดแล้ว ไม่คิดว่าสุดท้ายก็ยังจะโดนตบหน้าอีก
ที่น่าอับอายที่สุดคือ เขาตกหลุมพรางเดิมไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว แม้แต่กลอุบายยังเป็นแบบเดิมไม่เปลี่ยน…
ซาหลิวฉานสั่นไปทั้งกาย เหงื่อซึมท่วมตัว เขาเพิ่งเตรียมจะเอ่ยปาก กลับถูกจงหลีอู๋จี้ตัดหน้าไปก่อน จึงทำให้เขาหลบหลุมลวงนี้ได้
เทพมารหลินคนนี้ร้ายกาจเกินไป และมีความอดทนเกินไปแล้ว หลุมพรางอันเดิม แต่กลับถูกเขาหลอกด้วยกลอุบายที่แตกต่างกัน ทำให้ป้องกันไม่ทันจริงๆ
แต่ตอนนี้คนที่หัวเราะเยาะจงหลีอู๋จี้มีไม่มากนัก ด้วยทุกสายตาล้วนมองไปที่หลินสวินอย่างสงสัย
ไม่ว่าอย่างไรเทพมารหลินก็เป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่ง แต่กลับเลือกอนุมานศิลาหินที่อยู่รอบนอกสุดของป่าศิลา แล้วตอนนี้เขาหยั่งถึงพลังมหามรรคอะไร
วู้ม
พลันเห็นว่ารอบตัวหลินสวินปรากฏคลื่นมหามรรคอันคลุมเครือ ราวกับหลุมดำที่ค่อยๆ โคจร ทำให้อากาศบริเวณนั้นทลายทีละน้อยอย่างไร้สุ้มเสียง ถูกฉีกทึ้งจนยุ่งเหยิง
“มรรคแห่งวังน้ำวน?”
ผู้ฝึกปราณหลายคนสีหน้าแปลกประหลาด สายตาแฝงความสงสาร
มหามรรคแห่งวังน้ำวนนับว่าเป็นมหามรรคขั้นสี่เท่านั้น พลังโจมตีแม้จะมีเอกลักษณ์และเผด็จการ แต่ไม่ต้องเทียบกับมหามรรคเทียมฟ้าเลย แม้หนึ่งใน ‘เก้ามรรคขั้นหนึ่ง’ ก็ยังสู้ไม่ได้!
เสียเวลาไปขนาดนี้ กลับหยั่งถึงได้เพียงมหามรรคขั้นสี่ หากเกิดขึ้นกับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดกับเทพมารหลินก็ดูน่าเศร้าไม่น้อย
มีเพียงแค่บุคคลแห่งยุคอย่างพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงที่ขมวดคิ้ว ดูสงสัยอยู่บ้าง
เพียงแวบเดียวพวกเขาก็ดูออกว่า พลังมหามรรคที่หลินสวินครอบครอง ไม่ใช่เพียงแค่มหามรรคแห่งวังน้ำวนแน่นอน กลิ่นอายนั่นน่าหวั่นหวาดมากเกินไป
ราวกับเหวดุจดั่งคุก!
มีกลิ่นอายที่พาให้ใจสั่น
แต่ไม่รอให้พวกเขาไปสัมผัสและสอดแนม พลันเห็นว่าปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวหลินสวินราวกับกระแสน้ำ หายเข้าไปในร่างกายทั้งหมดโดยไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว ทำให้พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้อีก
นี่…
พวกจี้ซิงเหยาหรี่ตา ยิ่งมั่นใจว่าหลินสวินน่าจะมีผลเก็บเกี่ยวอื่น ครอบครองพลังมหามรรคที่หายากอย่างมากประเภทหนึ่ง
ต้องรู้ว่าพวกเขาต่างมากจากสำนักโบราณ มีความรู้ที่กว้างขวาง กับมหามรรคเทียมฟ้าเก้าสิบเก้าประเภทในบรรพกาลก็รู้อย่างละเอียดประหนึ่งเป็นสมบัติของตน
แต่ตอนนี้พวกเขากลับอ่านพลังมหามรรคที่หลินสวินหยั่งถึงไม่ออกนัก นี่ดูจะเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว
คืออะไรกันแน่
พรึ่บ!
พวกเขาหันสายตาไปมองศิลาหินเก่าแก่ที่เก่าคร่ำ กระดำกระด่างและดูเหมือนธรรมดาตรงหน้าหลินสวินทันที
เพียงแต่แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ ในสายตาของพวกเขาศิลาหินหลักปรากฏสีสันอันลึกลับเพิ่มขึ้นมา
นี่มันเกินอะไรขึ้น
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ตะลึงงัน เมื่อสังเกตเห็นการกระทำที่ผิดปกติของพวกจี้ซิงเหยาก็อดมองตามไม่ได้
แคร่ก! แคร่ก!
แต่ยังไม่รอให้พวกเขาเห็นชัด พลันเห็นศิลาหินนั่นพังทลายไปทุกส่วน เศษหินร่วงหล่นแปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นละอองปลิวว่อน
ทุกคนนัยน์ตาหดรัดลงโดยพร้อมเพรียง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เทศกาลโคมกถามรรคในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยินเรื่องที่ศิลาหินถูกทำลายมาก่อนเลย!
อย่าว่าแต่ถูกทำลาย เพียงสัมผัสก็ยังเป็นไปไม่ได้ เพราะศิลาหินทุกหลักล้วนปกคลุมด้วยพลังต้องห้ามน่ากลัว สัมผัสเพียงนิดก็อาจจะถูกพลังต้องห้ามสะเทือนถอย หากดื้อดึงไม่ยอมหลาบจำ ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ที่จะสะเทือนจนบาดเจ็บสาหัส ถูกคัดออกออกจากตรงนั้น
แต่ตอนนี้กลับมีศิลาหินหลักหนึ่งทลายไปเองต่อหน้าต่อตา นี่ดูผิดปกติเกินไปแล้ว
‘ตามคาด พลังมหามรรคที่หลินสวินหยั่งถึงไม่มีทางธรรมดาแน่!’
ทันใดนั้นสายตาของพวกจี้ซิงเหยาที่มองไปทางหลินสวินก็เปลี่ยนไป มีทั้งความแปลกใจและความระแวง
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ หากหยั่งถึงเพียงมรรคแห่งวังน้ำวนขั้นสี่ จะเกิดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร!
เทพมารหลินหยั่งถึงสิ่งใดจากศิลาหินหลักนั้นกันแน่
……
หลินสวินไม่ได้สนใจสายตารอบข้าง เขาได้ตื่นจากการหยั่งรู้แล้ว
เพียงแต่ตอนที่มั่นใจแล้วว่าพลังมหามรรคที่ตนครอบครองคืออะไร ในใจเขาเองก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
บนจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจ ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดบริสุทธิ์ขาวกระจ่างเปล่งแสง เดี๋ยวแปรเปลี่ยนเป็นลักษณ์แห่งหลุมดำคลื่นดารา เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นลักษณ์หุบเหวกลืนท้องฟ้า แผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงออกมา
มรรคนี้นามว่า ‘ดับดารากลืนกิน’!
มหามรรคที่สูญหายไปตั้งแต่สมัยบรรพกาล แต่อานุภาพของมันกลับเรียกได้ว่าน่ากลัวไร้ขีดสุด เมื่อฝึกถึงขั้นสูงสุด ตัวคนจะประหนึ่งหุบเหว สามารถกลืนกินท้องฟ้า ทลายวัฏจักรหมู่ดาว!
หลินสวินไม่ลืมชายชราที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งอยู่ในส่วนลึกของดารานภา และไม่ลืมอานุภาพอันน่าหวั่นหวาดที่สะเทือนท้องฟ้า ทำให้วัฏจักรธารดาราสั่นสะเทือนนั่น
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า ชายชราผู้นั้นก็มีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน และครอบครองพลังมรรคแห่งดับดารากลืนกินเช่นเดียวกัน!
‘พลังมรรคนี้คลุมเครือและน่ากลัว กลิ่นอายทำลายล้างเผด็จการเหนือท้องฟ้า เพียงแต่การหยั่งถึงก็ยากลำบากมากเช่นกัน อนุมานอยู่นานก็ทำได้เพียงพอจะฝืนครอบครองแก่นแท้จริงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น เรียกได้ว่าเล็กน้อยมาก…’
หลินสวินพึมพำในใจ
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังมีความตะลึงที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ อย่าเห็นว่าเป็นเพียงแก่นแท้จริงเสี้ยวเดียว แต่เมื่อนำมาใช้ในการต่อสู้ พลังที่ปลดปล่อยออกมานั้นกลับแข็งแกร่งเหนือจินตนาการอย่างแน่นอน!
……
“สหายยุทธ์หลินสวิน เจ้าหยั่งถึงพลังมรรคแบบใดหรือ” จู่ๆ มู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตเอ่ยปากถามด้วยความแปลกใจ
ทันใดนั้นทุกสายตาพลันมองไปทางหลินสวิน
“มหามรรควังน้ำวน”
หลินสวินพูดคำลวงไปลวกๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พูดจบเขายังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางเสียดาย
“หลินสวิน เจ้าเสแสร้งเกินไปแล้ว คำโกหกเช่นนี้ใครจะเชื่อ” มีคนอดขมวดคิ้วพูดไม่ได้
พวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงเองก็ลอบเหยียดหยาม เจ้าหมอนี่พูดปดตาปริบๆ คิดว่าพวกเขาดูไม่ออกจริงๆ หรือ
หลินสวินยิ้มพูด “ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ”
ทุกคนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพียงแต่ในใจยิ่งมั่นใจว่า พลังมหามรรคที่เจ้าหมอนี่หยั่งถึงจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“งั้นข้าถามเจ้า ในการทดสอบถกมรรคด่านที่สอง อันดับหนึ่งถูกเจ้าชิงไปใช่หรือไม่” จู่ๆ จี้ซิงเหยาก็ถามขึ้น
ทุกคนอึ้งงัน พลันนึกขึ้นได้ว่าจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ชัดว่า ใครกันแน่ที่ได้รับรางวัลพิเศษของอันดับหนึ่งในเขตขีดจำกัดนั้น
กลับเห็นหลินสวินพูดอย่างแปลกใจ “ซิงเหยา นี่เจ้ากำลังแสดงความชื่นชมข้าหรือ”
เขาเรียกอย่างสนิทสนมมาก คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขากับจี้ซิงเหยาสนิทกันมากจริงๆ
“ไร้ยางอาย!” จี้ซิงเหยาพูดอย่างเย็นชาราวกับหิมะ ในใจเดือดดาล เจ้าหมอนี่หมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างนับถือหลินสวินไม่น้อย กล้าหยอกล้อเทพธิดาจี้ต่อหน้าทุกคน ช่างกล้าดีจริงๆ ไม่กลัวถูกพวกคนที่หมายปองเทพธิดาจี้กลืนทั้งเป็นหรือ
หลินสวินรับรู้ได้ถึงไอสังหารจากอวี่หลิงคงจริงๆ
เขายิ้มไม่ใส่ใจ จี้ซิงเหยาผู้เย่อหยิ่งคนนี้สร้างความเดือดร้อนให้ตนไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หยอกล้อเล็กๆ น้อยๆ จะเป็นอะไรไป
นี่ทำให้อวี่หลิงคงยิ่งไม่ชอบใจ เขาคิดอย่างไรกับจี้ซิงเหยา ทุกคนในที่นี้ล้วนดูออก แต่หลินสวินกลับกล้าทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ทำให้ไอสังหารพลุ่งพล่านขึ้นในใจเขาอย่างอดไม่อยู่
“การทดสอบถกมรรคด่านที่ห้ากำลังจะสิ้นสุดลง อีกเดี๋ยวก็จะไปยังหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ถึงที่นั่น เจ้าอย่าลืมคำพูดบนฝั่งทะเลปรวนแปร!”
เสียงของอวี่หลิงคงราบเรียบและนิ่งสงบ
ทุกคนหัวใจสะท้าน นึกขึ้นได้แล้วว่า ตอนนั้นอวี่หลิงคงเคยพูดว่าจะสังหารเทพมารหลินเมื่อไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ!
แน่นอนว่าไม่เพียงแค่อวี่หลิงคง บุคคลแห่งยุคอย่างจงหลีอู๋จี้ ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์และจั๋วขวงหลันล้วนเคยพูด ล้วนพุ่งเป้าไปที่หลินสวินคนเดียว!
“เรื่องสนุกกำลังจะมาเยือนแล้ว…” มุมปากของหลี่ชิงฮวนโค้งขึ้น เขาไม่เข้าไปมีส่วนร่วม แต่กลับยินดีมองดูความครื้นเครง
จู่ๆ บรรยากาศในที่นั้นก็กดดันและเงียบงันลงอย่างบอกไม่ถูก เหล่าผู้กล้าต่างตระหนักได้ว่า เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ จะต้องเกิดเหตุการณ์ตะลึงโลกขึ้นอย่างแน่นอน!
แต่เทพมารหลินจะสามารถรอดชีวิตจากการโจมตีในเหตุการณ์นี้ได้หรือไม่
ไม่มีใครกล้ายืนยัน
สำหรับเรื่องนี้ ในใจหลินสวินไม่เพียงไม่กลัว กลับยังกระตือรือร้นอยู่บ้าง
พวกอวี่หลิงคงอยากฆ่าเขาจนแทบรอไม่ไหว แล้วคิดว่าเขาไม่อยากฆ่าคนพวกนี้หรือ
ตลอดทางที่ทดสอบถกมรรค เขาได้เก็บความโกรธไว้เต็มอกนานแล้ว รอแค่ตอนไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ค่อยชำระบัญชีกับพวกเขาอย่างสาสม!
ตึง!
เสียงระฆังโบราณอันคุ้นเคยดังขึ้น
เหล่าผู้กล้าหัวใจสะท้าน สายตาสาดประกาย ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ในที่สุดม่านอันลึกลับชั้นหนึ่งตรงหน้าพวกเขาก็จะถูกเปิดออกแล้ว!
……
ตึง!
เสียงระฆังเก่าแก่ดังก้องอยู่บนเขาพยับคราม และดังไปถึงโลกภายนอก
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณที่กำลังติดตามสถานการณ์ทุกอย่างต่างตื่นเต้นขึ้นมา การทดสอบถกมรรคด่านที่ห้าสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุดการช่วงชิงมหาศุภโชคด่านสุดท้ายก็มาถึงแล้ว!
“เหลืออีกกี่คน”
“เจ็ดสิบสอง”
“ตามคาด การถกมรรคครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ครั้งนี้จำนวนผู้แข็งแกร่งที่จะไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณมีมากกว่าในอดีต”
ตอนที่ทุกคนกำลังวิจารณ์ ต่างมองไปยังต้นโคมสำริดมรรคโบราณกลางเขาพยับครามที่อยู่ห่างไกลโดยพร้อมเพรียง
ต้นไม้โบราณแข็งแรง ปรากฏรูปร่างราวกับมังกรพันรอบ กิ่งก้านลำต้นเหมือนหลอมจากสำริด ดอกตูมแต่ละดอกดุจดั่งโคมสำริด เปล่งแสงมรรคสว่างไสวมากมาย
ดอกตูมสำริดทุกดอกล้วนซ่อนศุภโชคเอาไว้ บ้างเป็นสมบัติหนึ่งเดียวในโลก บ้างเป็นมรดกมหัศจรรย์ บ้างเป็นของล้ำค่าแห่งฟ้าดิน…
มหาศุภโชคระดับนี้ มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มาถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณจึงจะมีสิทธิ์ช่วงชิง!
“นี่คือช่วงเวลาสำคัญช่วงสุดท้าย จะต้องเกิดการเข่นฆ่าที่ดุเดือดนองเลือดอย่างแน่นอน และจะมีบุคคลระดับผู้กล้าหล่นร่วงลงเพราะการนี้ คุ้มแล้วหรือ”
มีคนพึมพำ
“เพื่อศุภโชค แลกกับอะไรก็ล้วนคุ้มค่า!”
มีคนพูดอย่างกร้าวแกร่ง
“ไม่ผิด การช่วงชิงมหามรรคจะไม่มีเลือดได้อย่างไร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้กล้าคนใดบ้างที่ไม่ได้ออกมาจากการเข่นฆ่ากลางภูเขาศพทะเลเลือด”
“วางใจเถอะ ตอนที่ผู้กล้าเหล่านั้นมา ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าจะมีการช่วงชิงนองเลือดเช่นนี้ ในมือทุกคนจะต้องครอบครองไพ่ใบสุดท้ายที่ปกป้องชีวิตตัวเอง ไม่เช่นนั้นสำนักและตระกูลเบื้องหลังพวกเขาไม่ให้พวกเขามาเสี่ยงหรอก”
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ พลันเห็นบนเขาพยับครามที่อยู่ห่างไปเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้นอย่างกะทันหัน…
ครืนโครม!
ต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่แข็งแรงและเก่าแก่นั่น ยามนี้ราวกับตื่นจากความเงียบงัน ลำต้นเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กิ่งก้านหนาแน่นยื่นสูงขึ้นกลางอากาศ ราวกับจะบดบังท้องฟ้า!
ตอนที่ 899 วิญญาณดำประทานมาร
ครืนโครม!
พร้อมๆ กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เขาพยับครามทั้งลูกพลันส่งเสียงคำราม ฟ้าสั่นดินสะเทือน เกิดปรากฏการณ์ประหลาดตะลึงโลกขึ้น
พลันเห็นว่าบนภูเขานั่นแสงม่วงพวยพุ่ง สายฟ้าแทรกสอด รุ้งศักดิ์สิทธิ์แสงมงคลสาดส่อง เป็นประกายระยับราวกับเม็ดฝน ทำให้เขาพยับครามทั้งลูกถูกปกคลุมด้วยไออันยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง
“สวรรค์!”
ผู้ฝึกปราณหลายคนใจสั่น รู้สึกกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว คนที่พลังปราณค่อนข้างต่ำยิ่งเหงื่อท่วมตัว เกือบจะทรุดนั่งกับพื้น
อานุภาพที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นราวกับภูผาถล่มคลื่นซัดสาด แพร่กระจายท่ามกลางฟ้าดิน แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ระดับท่านย่ากระเรียนทองยังอกสั่นขวัญแขวน เกร็งไปทั้งตัว
วิเศษอัศจรรย์เกินไปแล้ว!
แต่ไม่นานเสียงที่ราวกับเสียงสวรรค์และเสียงเคาะระฆังดังขึ้น แผ่ออกไปในวงกว้าง
ทันใดนั้นเขาพยับครามหยุดคำราม ตั้งตระหง่านนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ฟ้าดินทั้งผืนเงียบสงบ
พลันเห็นว่ากลางเขานั่นต้นโคมสำริดมรรคโบราณได้เปลี่ยนเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงเสียดฟ้าแล้ว ลำต้นซึ่งประหนึ่งหลอมจากสำริดทะลวงเมฆา ราวกับเสาที่ค้ำจุนฟ้าดินเอาไว้
กิ่งก้านหนาแน่นแผ่ขึ้นบนที่สูงในอากาศ ราวกับทางเดินสู่สวรรค์มากมาย
บนกิ่ง ดอกตูมที่ราวกับโคมสำริดมากมายตอนนี้พลิ้วไปตามสายลม ส่งเสียงธรรมอันเป็นธรรมชาติราวกับเสียงระฆัง
ชั่วพริบตาเดียวสรรพสิ่งนิ่งสงบ ฟ้าดินเคร่งขรึม กลุ่มผู้ฝึกปราณในระยะไกลราวกับยกภูเขาออกจากอก
เสียงธรรมที่ราวกับเสียงจากสวรรค์ล่องลอย มีพลังที่ทำให้จิตใจสงบ ทุกคนรู้สึกเพียงว่าร่างกายราวกับถูกชำระล้างรอบหนึ่ง นิ่งสงบสันติสุข ความคิดว่างเปล่าแจ่มแจ้ง
“มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
กลุ่มผู้ฝึกปราณตะลึง ยิ่งรับรู้ได้ว่าเขาพยับครามไม่ธรรมดา สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเป็นร่องรอยเทพที่แท้จริงแห่งหนึ่ง
“รีบดูเร็ว ดอกตูมสำริดเหล่านั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง!” มีผู้ฝึกปราณอุทานด้วยความตกใจ
พลันเห็นว่าบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ดอกตูมสำริดที่เดิมขนาดราวกำปั้น กลายเป็นขนาดประมาณโคมไฟ
กลีบทุกกลีบล้วนแฝงกลิ่นอายมหามรรค พรั่งพรูแสงมรรค ดูประหนึ่งมีชีวิต ปลดปล่อยพลังชีวิตอันสะดุดตา
“หลังจากดอกไม้บาน ก็คือช่วงเวลาที่ศุภโชคจะถือกำเนิด!” ท่านย่ากระเรียนทองพูดชัดทีละคำ สายตาเร่าร้อน
และในเวลานั้นเอง ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างเห็นว่า หน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่ตั้งตระหง่านเสียดฟ้าปรากฏเงาร่างของผู้แข็งแกร่งมากมาย
เหล่าผู้กล้าที่ผ่านการทดสอบถกมรรคด่านที่ห้า เริ่มทยอยมาถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
……
‘สูงมาก!’
หลินสวินเงยหน้า ในใจตกตะลึง
ตอนนี้เขาถูกเคลื่อนย้ายมาถึงใต้ต้นโคมสำริดมรรคโบราณพร้อมกับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ แล้ว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง พลันเห็นลำต้นโบราณราวกับมังกรทะยานสู่ท้องฟ้า พลิ้วไหวอยู่บนฟากฟ้า กลับมองไม่ถึงจุดสิ้นสุดในแวบเดียว
ที่นี่เงียบสงบและสันติสุขมาก มีไอศักดิ์สิทธิ์ร่วงหล่นจากต้นไม้โบราณ
มองด้วยตาเปล่าก็สามารถมองเห็นว่า ดอกตูมสำริดที่ราวกับโคมไฟแต่ละดวงแขวนอยู่บนกิ่งก้านหนาแน่น
แม้พวกมันไม่เบ่งบาน กลับเผยแสงมรรค พรั่งพรูแสงศักดิ์สิทธิ์ สว่างไสวราวกับสุริยันดวงน้อยมากมาย ส่งเสียงธรรมที่เป็นเหมือนเสียงสวรรค์ออกมา
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งทุกคนทั้งหลินสวิน จี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงต่างตะลึง ภาพตรงนั้นหาใช่คำว่าศักดิ์สิทธิ์เพียงสองคำนี้จะเปรียบเทียบได้
พิเศษเกินไปแล้ว ไม่เหมือนสิ่งที่โลกมนุษย์สามารถมีได้เลยสักนิด แต่เหมือนต้นไม้เทพในแดนเซียนตกลงมาในโลกมนุษย์!
“ดอกแห่งมรรคโบราณนับพันดอก นี่ไม่ใช่หมายความว่า มีศุภโชคมากถึงพันอย่างซ่อนอยู่ภายในหรือ”
มีผู้แข็งแกร่งใจสั่นพูดออกมา สายตาเร่าร้อน
“จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ พวกนั้นล้วนเป็นดอกตูม มีเพียงดอกที่สามารถเบ่งบานได้เท่านั้นจึงจะให้กำเนิดศุภโชค”
“แต่ในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีดอกตูมมากมายขนาดนี้ สามารถคาดเดาได้ว่า ศุภโชคที่ถือกำเนิดในครั้งนี้จะต้องไม่น้อยแน่”
และมีผู้แข็งแกร่งอธิบายอย่างใจเย็น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ บทสรุปที่ได้ก็ยังทำให้คนหวั่นไหว
“ในตำนาน ดอกแห่งมรรคโบราณนั่นบ้างหล่อเลี้ยงสมบัติหนึ่งเดียวในโลกเอาไว้ บางให้กำเนิดของล้ำค่าแห่งฟ้าดิน ถึงขั้นที่ยังมีประทับพลิกฟ้าไร้เทียมทานอยู่ภายใน…”
“แต่ในบรรดาศุภโชคมากมายนี้ กลับมีเพียงอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเป็นศุภโชคอันดับหนึ่ง ใครที่ได้ไป คนผู้นั้นก็จะเป็นผู้ชนะตัวจริงของเทศกาลโคมกถามรรคในครั้งนี้”
“ไม่ผิด ข้าจำได้ว่าตอนนั้นผู้อาวุโสมู่ซางเสวี่ยแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาเคยได้ศุภโชอันดับหนึ่งไป ได้รับ ‘รากเร้นฟ้าดิน’ ต้นหนึ่งไป”
เหล่าผู้กล้าสายตาร้อนระอุ ต่างควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่
เพียงแต่ดอกตูมบนต้นไม้เทพนั่นยังไม่บาน ตอนนี้พวกเขาล้วนกำลังอดทนรอ ไม่เช่นนั้นคงเข้าไปช่วงชิงในทันทีแล้ว
“แม่นางจี้ ไปดูด้านบนกับข้าเป็นอย่างไร” จู่ๆ อวี่หลิงคงก็ยิ้มพูด เชิญชวนจี้ซิงเหยา
จี้ซิงเหยาลังเลอยู่ครู่ แต่สุดท้ายก็พยักหน้า “ก็ดี”
“เช่นนั้นข้าจะปกป้องแม่นางจี้เอง!” อวี่หลิงคงยิ้ม ในขณะที่พูดสายตาก็เหลือบมองหลินสวินอย่างคล้ายไม่ได้ตั้งใจปราดหนึ่ง ก่อนจะผละออกไป
หลินสวินหรี่ตา เขารู้ว่านี่เป็นการเตือนและประกาศศึกอ้อมๆ!
ไม่นานเงาร่างของอวี่หลิงคงและจี้ซิงเหยาก็ก้าวขึ้นไปบนลำต้นของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หนาใหญ่จนสิบคนมาได้ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังด้านบน
ครืนโครม!
สามารถมองเห็นว่า ทันทีที่เงาร่างของทั้งสองพุ่งขึ้นไป บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏสายฟ้าสีเงินน่ากลัวผ่าสังหารลงมาขวางทั้งสอง
ฮูม
เงาร่างของทั้งสองเปล่งแสง ไม่กลัวเลยสักนิด เคลื่อนตัวขึ้นไปท่ามกลางสายฟ้าที่ผ่าลงมาเสมือนดั่งผ่าไม้ไผ่ ไม่นานก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุด
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงนั้นในใจสั่นไหว
บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณมีพลังวิเศษอัศจรรย์น่ากลัว สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังสังหารโจมตีผู้ฝึกปราณ ยิ่งขึ้นสูง การเข่นฆ่าที่จะพบเจอก็ยิ่งน่ากลัว
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไป แม้แต่ผู้กล้าชั้นยอดที่แข็งแกร่งอย่างพวกเขาก็ไม่กล้าประมาท
แต่เห็นได้ชัดว่าอวี่หลิงคงและจี้ซิงเหยาล้วนไม่ใช่บุคคลชั้นยอดธรรมดา ระหว่างทางต่างดูผ่อนคลายมาก ฝีมือยอดเยี่ยม
ไม่นานก็ไปถึงด้านบนลำต้นพันหมื่นจั้งนั่น เงาร่างแทบจะมองไม่เห็นแล้ว
“ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้รับศุภโชคก็ยิ่งมาก อีกทั้งศุภโชคที่มีค่าที่สุดก็แทบจะอยู่บนยอดต้นโคมสำริดมรรคโบราณทั้งหมด เสียดายที่มีเพียงคนส่วนน้อยที่มีรากฐานพลังและความสามารถที่ดีพอเท่านั้น จึงจะไปถึงพื้นที่ตรงนั้น…”
มีผู้แข็งแกร่งถอนหายใจ
ตอนที่พูดก็มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนทยอยเคลื่อนไหว ต่างเคลื่อนตัวขึ้นไปบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ
แม้ไม่สามารถอยู่บนยอดสูงสุดของต้น แต่ต้นไม้เทพนี้กิ่งก้านแน่ขนัด ดอกแห่งมรรคโบราณนับพันมีความสูงต่ำไม่เท่ากัน กระจายอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน ไม่ถึงกับทำให้ผู้กล้าคนอื่นๆ สิ้นหวังในการช่วงชิง
“พวกเจ้าจะเล่นงานข้าที่นี่ไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จึงจะจากไป”
จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่า พวกซาหลิวฉานก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นไปบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่น จึงพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
เหล่าผู้กล้าอึ้งงัน ในใจสั่นไหว เทพมารหลินจะลงมือก่อนชิงศุภโชคหรือ
“หึ ชีวิตเจ้าเทียบกับศุภโชคที่นี่แล้ว ไม่มีค่าเลยสักนิด รอช่วงชิงศุภโชคได้ก่อนค่อยฆ่าเจ้าก็ยังไม่สาย!”
ซาหลิวฉานสีหน้าทะมึนด่าทอออกมา
“อย่าไปเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับเขา มาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ถึงเวลาใครก็ไม่สามารถจากไปได้ ถึงตอนนั้นย่อมมีเวลาฆ่าเขาถมไป” จงหลีอู๋จี้อธิบายเนิบช้าอย่างมีเหตุผล
“รีบไปกันเถอะ”
ชิงเหลียนเอ๋อร์เองก็เริ่มทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว หากไม่ใช่เพราะต้องช่วงชิงวาสนา นางคงลงมือสังหารหลินสวินไปตั้งนานแล้ว
แสงวับวาบพุ่งผ่านดวงตาดำของหลินสวิน พริบตาเดียวก็ตระหนักได้ว่า คนพวกนี้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว เคลื่อนไหวทุกอย่างพร้อมเพรียงกัน!
นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อย
ความจริงหลินสวินไม่รู้เลยว่า เพราะศักยภาพที่เขาแสดงออกมาในการทดสอบถกมรรคด่านที่ห้าน่าประหลาดเกินไป ทำให้พวกซาหลิวฉานระวังและระแวง เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าเขาได้ พวกเขาจึงแอบไปร่วมมือกัน
“รีบอะไร สู้กันสักตาก่อนจะเป็นอะไรไป” ตลอดทางหลินสวินสั่งสมเพลิงโกรธไว้เต็มอก ตอนนี้ข่มกลั้นไม่อยู่แล้ว จะปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้อย่างไร
ตึง!
ตอนที่พูด เงาร่างของเขาวูบไหว ถึงขั้นพุ่งออกไปแล้ว พลังขับเคลื่อนทั่วร่างร้องคำราม ราวกับเทพมารองค์หนึ่ง ผงาดผยองเย่อหยิ่ง
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่ยังไม่ลงมือต่างสูดหายใจด้วยความตกใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่า หลังจากมาถึงที่นี่จะมีศึกนองเลือดดุเดือดเกิดขึ้น
ถึงขั้นคิดว่าหลินสวินสถานการณ์น่าเป็นห่วง คู่ต่อสู้ของเขาเยอะเกินไปแล้วจริงๆ
แต่ใครจะคิดว่า คู่ต่อสู้เหล่านั้นยังไม่ลงมือ หลินสวินก็ชิงลงมือก่อนแล้ว แข็งกร้าวจนน่าสับสน ราวกับไม่กลัวถูกบุคคลแห่งยุคเหล่านั้นล้อมโจมตีเลยสักนิด!
“เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
ซาหลิวฉานตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล สังเกตเห็นว่าหลินสวินพุ่งเข้ามาหาตน เขาพลันหมุนตัวอย่างไม่ลังเล กวัดแกว่งทวนสามง่ามสีทองอร่ามในมือฟันสังหารออกไป
ตูม!
หลินสวินยื่นมือไปคว้า โคจรประทับปี้อั้นสยบอย่างรุนแรง ชั่วขณะที่ทั้งสองปะทะกัน ทวนสามง่ามในมือซาหลิวฉานปลิวกระเด็นทันที ครวญครางราวกับจะหัก
ส่วนร่างกายของเขาประดุจถูกฟ้าผ่า สะเทือนจนปลิวลอยออกไป ในปากมีเลือดสดพุ่งออกมา เกือบร่วงจากต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่น
ในที่นั้นพลันเงียบสงัด เหล่าผู้แข็งแกร่งสั่นไปทั้งกาย แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง การโจมตีเดียวเท่านั้น ซาหลิวฉานก็ต้านทานไม่ไหวแล้วหรือ
ช่วงก่อนที่หน้าหอวสันตสารท พวกเขาเองก็เคยเห็นสถานการณ์ที่หลินสวินประลองกับซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์กับตา
ซาหลิวฉานในตอนนั้นยังมีความสามารถต่อสู้กับหลินสวิน ดุร้ายและแข็งกร้าวอย่างที่สุด เผยความองอาจที่บุคคลแห่งยุคพึงมี
แต่ใครจะคิดว่าผ่านมาเพียงไม่กี่วัน ซาหลิวฉานกลับไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานหลินสวินแล้ว!
ความจริงเหตุผลนั้นง่ายมาก ไม่ใช่เพราะซาหลิวฉานอ่อนแอเกินไป แต่หลินสวินในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งกว่าก่อนเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคไม่รู้เท่าไหร่
ตูม!
การโจมตีเดียวได้ดั่งใจ หลินสวินไม่ลังเลอีกต่อไป พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับกระแทกหมัดลง หมายจะฉวยโอกาสสังหารซาหลิวฉานให้ตายในคราเดียว
ทั้งตัวเขาอวลแสงใส ราวกับเทพมารอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทรงพลังดุจมีเพียงข้าที่แข็งแกร่งที่สุด เข่นฆ่าอย่างเด็ดเดี่ยว อานุภาพทะลวงฟ้า
เคร้ง!
เพียงแต่เสียงแหลมเล็กที่ราวกับขวานทองปะทะกึกก้องขึ้นกะทันหัน ทำให้หลินสวินที่เดิมพุ่งปราดเข้ามาสังเกตเห็นอันตรายอย่างที่สุดในฉับพลัน
เงาร่างของเขาถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว หายไปจากจุดเดิม
ฉึก!
ตอนนั้นเองกระสวยบินสีดำสายหนึ่งพลันโฉบผ่านตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนแรก ฉีกทึ้งความว่างเปล่าจนเป็นรอยแยกตรงดิ่ง แหลมคมอย่างที่สุด
สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากเมื่อครู่นี้หลินสวินตอบสนองช้าไปเสี้ยว ก็จะถูกแทงร่างทะลุในชั่วพริบตา!
กระสวยบินนั่นขนาดไม่เกินเจ็ดชุ่น หนาประมาณตะเกียบ แสงเย็นเยียบสาดส่อง แหลมคมราวกับฟันหมาป่า พื้นผิวปรากฏลายมรรคอัคคี แขวนตัวอยู่กลางอากาศ กำจายกลิ่นอายดุดันที่ชวนอกสั่นขวัญหนี
สิ่งที่ทำให้ทุกคนใจสั่นที่สุดคือ มันว่องไวจนแปลกประหลาด ราวกับเคลื่อนไหวในพริบตา น่าสะพรึงอย่างที่สุด
“วิญญาณดำประทานมาร!” มีคนจำสมบัตินี้ได้ พลันร้องเสียงหลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น