Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 896-897
ตอนที่ 896 ประลองหมากกับสวรรค์
ชายชรารูปร่างผอมแห้ง แต่กลับมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม ตอนนี้รอบตัวเขามีแสงมรรคแสบตาพุ่งออกมา อานุภาพน่าสะพรึงถึงขีดสุดขึ้นมาทันควัน
ตรงหน้าว่างเปล่า ราวกับมรรคาได้สิ้นสุดลงตรงนี้ ไม่มีหนทางอีกแล้ว
และด้านหลัง ดารานภาสั่นไหว วัฏจักรสั่นสะเทือน ราวกับตกใจกลิ่นอายรอบตัวชายชรา มีสัญญาณที่จะถูกกลืนกินอย่างหนึ่ง
คนผู้นี้ราวกับหุบเหว หมายจะกลืนกินสรรพสิ่ง!
นี่มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว!
หัวใจหลินสวินตื่นเต้นถึงขีดสุด ตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นี่ต้องมีพลังปราณน่ากลัวเพียงใดถึงทำได้ถึงขั้นนี้
อริยะหรือ
หรือจะเป็นราชันอริยะ
หลินสวินไม่รู้
ที่เหนือความคาดหมายของเขาคือ สุดท้ายชายชราเก็บงำกลิ่นอาย เงาร่างที่เดิมยืดตรงเปลี่ยนเป็นค่อมโก่งขึ้นมาราวกับสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด มีความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ทั้งผิดหวัง จนปัญญาและไม่จำยอม
เช่นเดียวกับนักเดินทางที่เร่ร่อนท่ามกลางกาลเวลามานาน และราวกับแม่ทัพที่เข่นฆ่าอยู่ในสนามรบมานานปี
‘ข้าใช้จักรวาลเป็นกระดานหมาก มองอดีตและปัจจุบันเป็นตารางหมาก ให้มหามรรคเป็นบันทึกหมาก ใช้ชีวิตของข้าเป็นตัวหมาก ประลองหมากกับสวรรค์’
‘แต่สุดท้าย… ก็พ่ายแพ้อยู่ดี…’
ชายชราถอนหายใจเบาๆ
เสียงถอนหายใจนั่นแฝงความไม่จำยอมที่พูดไม่ออก ทำให้ในใจหลินสวินถูกสะกิดอย่างแรง ประลองหมากกับสวรรค์ ช่างเป็นความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่นัก!
‘เส้นทางนี้ได้ขาดไปแล้ว ควรไปทางใด หรือจะไม่สามารถกระโดดพ้นกระดานหมาก ทลายกรงที่ผูกมัดเอาไว้’
เสียงของชายชรายิ่งแผ่วต่ำกว่าลง เงาร่างของเขาหมดอาลัยตายอยาก ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้าอ้างว้าง เป็นความว่างเปล่าที่แท้จริงอย่างหนึ่ง
‘เช่นนั้นก็…’
ทันใดนั้นชายชรายืดหลังขึ้นอีกครั้ง สายตาสาดแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าหวั่นหวาด ร่างกายที่ผอมแห้งราวกับลุกโชนก็ไม่ปาน ระเบิดแสงเจิดจ้าไม่มีที่สิ้นสุด
‘ใช้ร่างกายของข้า สร้างถนนที่ถูกตัดขาด!’
‘ใช้วิญญาณของข้า ชี้นำหนทางที่สับสนเบื้องหน้า!’
โครม!
ทันใดนั้นเงาร่างของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นแสงอย่างไร้จำกัด พุ่งเข้าไปในความว่างเปล่าที่อ้างว้างและไม่เห็นอีกเลย…
ภาพทุกอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็หายแวบไป
หลินสวินลืมตาขึ้นกะทันหัน ตรงหน้า ศิลาหินกระดำกระด่างตั้งอยู่เอียงๆ ไอความเก่าแก่ปะทะเข้ามา ภาพหินแกะสลักด้านบนยังคงเก่าและหยาบลวก ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ
แต่หลินสวินกลับเหงื่อท่วมทั้งตัว แต่ละภาพเมื่อครู่นี้เหลือเชื่อเกินไปแล้ว น่ากลัวเหนือคาดหมาย
ชายชราคนหนึ่งวิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางฟ้าดินใต้หล้าอย่างบ้าคลั่ง พุ่งขึ้นชั้นเมฆ ก้าวไปยังนภาคราม ทะลวงผ่านวัฏจักรดารานภา เคลื่อนคล้อยดาราเพียงหนึ่งก้าว!
ทุกสิ่งที่เขาทำกลับเป็นการประลองหมากกับสวรรค์ หมายจะกระโดดให้พ้นจากกระดานหมาก ทลายกรงที่ผูกมัดเอาไว้
ความกล้าระดับนี้เรียกได้ว่ายากพบเห็นไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน แม้ในอริยบุคคลกลัวว่าคงได้แค่แหงนหน้าชื่นชม
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินสวินหวั่นไหวที่สุดคือการตัดสินใจในตอนท้ายของชายชรา ใช้ร่างกายของตนสร้างถนนที่ถูกตัดขาด ใช้วิญญาณของตนชี้นำหนทางที่สับสนเบื้องหน้า!
นี่เป็นความไม่ยินยอมที่ต้องล้มเหลวเพียงเท่านี้ ดังนั้นจึงทิ้งควันเอาไว้ ให้คนรุ่นหลังสามารถทำให้มรรคาที่เขาดึงดันจะเสาะหาเป็นจริงงั้นหรือ
……
ป่าศิลาเงียบสงัด ท่ามกลางฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาล หน้าศิลาหินเก่าแก่ กลุ่มผู้แข็งแกร่งล้วนกำลังตั้งใจหยั่งรู้และอนุมาน เป็นภาพที่เงียบสงบและเคร่งขรึม
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงสงบอารมณ์ลง มองดูภาพหินแกะสลักยุ่งเหยิงนั่นอีกครั้ง แต่กลับไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดที่เห็นเมื่อครู่นี้แล้ว
หลินสวินสลัดความคิดสับสนวุ่นวายออก ใช้จิตวิญญาณสัมผัสอีกครั้ง
พริบตาเดียวเท่านั้น ภาพหินแกะสลักที่กระดำกระด่างและลวกหยาบนั่น ราวกับแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ปรากฏน้ำวนที่น่าหวาดหวั่นกลืนกินท้องฟ้า
จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลมพายุ โหมกระหน่ำอยู่กลางจักรวาลอย่างกำเริบเสิบสาน
ทันใดนั้นก็ปรากฏหลุมดำที่ขวางกั้นอยู่ในวัฏจักร กลืนดารานภาอันสว่างไสวทั้งผืนไปอย่างไร้สุ้มเสียง…
ภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลและเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างมากมายทยอยสะท้อนออกมาอย่างยุ่งเหยิง
เยอะเกินไปแล้ว!
กลิ่นอายอันซับซ้อน ภาพอันยุ่งเหยิงรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ตรงหน้าหลินสวินมืดดำ ด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขา ยังรู้สึกกดดันยากจะแบกรับ จิตใจสับสนวุ่นวาย เกือบจะกระอักเลือดอยู่หลายครั้ง
นี่คือกลิ่นอายมหามรรค แต่กลับดูแตกต่างมาก
ไม่นานเขาก็สั่นไปทั้งตัวราวกับจะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว พลังแห่งมหามรรคระดับนั้นเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างสะท้านขวัญ กลิ่นอายพลุ่งพล่าน ถึงขั้นจะกลืนกินจิตวิญญาณและเจตจำนงของเขา!
และในเวลานั้นเอง ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่เดิมร้อนระอุอย่างที่สุด จู่ๆ ก็แผ่กระแสร้อนแปลกประหลาดไปทั่วร่างกายของหลินสวิน
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นสติของหลินสวินพลันกระจ่างขึ้นมา รับรู้ถึงพลังที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ จิตใจสงบนิ่งและแข็งแกร่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กลิ่นอายมหามรรคที่ยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างนั่น ยามนี้ไม่สามารถคุกคามจิตใจเขาได้อีกแล้ว ตรงกันข้าม เขาได้ค้นพบแก่นอัศจรรย์หลายประการท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย
หลินสวินจิตใจกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เริ่มรวมสมาธิอนุมาน
ท่ามกลางความเลื่อนลอย เขาคล้ายสัมผัสได้ว่า บนชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดมีแสงบริสุทธิ์อย่างหนึ่งถาโถมออกมา ราวกับแปรเปลี่ยนเป็นหุบเหวรางๆ และในส่วนลึกของเหวใหญ่ เหมือนมีเสียงท่องคัมภีร์ของอริยบุคคล ราวกับเสียงธรรมจากสวรรค์ที่สมจริงอย่างไรอย่างนั้น
พลังจิตวิญญาณของเขาโคจรเต็มกำลัง ทั้งยังสำแดงวิชาลับดวงใจฉิวหนิวออกมา พลังหยั่งรู้เข้าถึงระดับใหม่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความมหัศจรรย์มากมายที่สลักอยู่บนภาพหินแกะสลัก ถูกเขาอนุมานออกมาทีละนิดอย่างละเอียด จากนั้นก็หยั่งรู้ในใจ
……
เวลาล่วงเลยไป ในป่าศิลาโบราณยิ่งเงียบสงบและเคร่งขรึมกว่าเดิม
เพียงแต่ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งถูกคัดออก!
พรูด!
จู่ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็กระตุกไปทั้งตัว แหงนหน้าพ่นเลือดออกมา ส่งเสียงร้องอย่างไม่จำยอม “เป็นไปไม่ได้ การหยั่งรู้และอนุมานของข้าไม่ผิด เหตุใดจึงไม่สามารถหยั่งถึงความลึกลับนี้”
บรรยากาศอันเงียบสงบถูกทำลาย
ชายหนุ่มคนนี้ยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกเคลื่อนย้าย ถูกคัดออกออกไปแล้ว
ช่วงเวลาหลังจากนั้นมีผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าทยอยล้มเหลว บ้างสีหน้าหม่นแสง อึ้งงันไม่พูดจา บ้างตีอกชกหัว ร่ำไห้อย่างผิดหวัง บ้างท่าทางเหมือนคลุ้มคลั่ง คำรามเสียงแตกพร่า…
แต่พวกเขาล้วนถูกคัดออกอย่างไม่มีข้อยกเว้น
นี่คือบททดสอบด่านที่ห้า เน้นการหยั่งรู้การควบคุมพลังแห่งมหามรรค ดูเหมือนไม่มีอันตรายใดๆ แต่ถ้าพลาดก็จะถูกคัดออกออกทันที
พร้อมกันนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น
วู้ม!
ศิลาหินหลักหนึ่งเปล่งแสง ปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์สีเงินดั่งน้ำตก ราวกับภาพฝันเสมือนมายา
หน้าศิลาหิน หญิงคนหนึ่งเผยรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจ กำมือแน่นพร้อมพึมพำ“ความเร้นลับแห่งดารามายา แม้เป็นเพียงมหามรรคขั้นสี่ แต่เมื่อใช้ในการต่อสู้กลับสามารถทำให้ข้ารับพลังแห่งดวงดาว ระเบิดพลังต่อสู้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…”
ฮูม
บนศิลาหินอีกหลักเกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ธารโลหิตถาโถม ขวางกั้นอากาศ โอ่อ่าอย่างที่สุด
ชายหนุ่มชุดคลุมดำคนหนึ่งหัวเราะลั่น “มหามรรคธารโลหิตมีอยู่จริงๆ ดังคาด ช่างเหมาะกับมหามรรคที่ข้าแสวงหา!”
“มหามรรคสลาตันบูรพาใต้!” ทันใดนั้นบนร่างของเหลยเชียนจวินผู้กล้าแห่งยุคเกิดลมกระโชกฉับพลัน มืดฟ้ามัวดิน
ไม่นานมู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตก็ลืมตาขึ้น “พลังแห่งยอดหยิน หลอมรวมกับหยางของข้า เป็นเช่นเดียวกับหยินหยาง มหามรรคแห่งข้าสมบูรณ์ในวันนี้!”
ภาพเช่นนี้ทยอยเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังจากนั้น
มีคนถูกคัดออกและมีคนผ่านการทดสอบ ได้รับวาสนามรรค
จนกระทั่งตอนหลับ ในป่าศิลาอันเก่าแก่นี้เหลือเพียงไม่ถึงสองร้อยคน ซึ่งก็หมายความว่า ในช่วงเวลาเมื่อครู่นี้ มีผู้แข็งแกร่งถูกคัดออกไปประมาณสามร้อยคน!
แต่คนที่ผ่านการทดสอบได้รับวาสนามรรค ตอนนี้มีเพียงหนึ่งร้อยกว่าคน ยังมีผู้แข็งแกร่งเกือบห้าสิบกว่าคนกำลังอนุมานภาพหินแกะสลักอยู่
……
โลกภายนอกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศตื่นเต้นกดดัน
นี่คือบททดสอบด่านสุดท้าย และยังเป็นช่วงสำคัญที่สุด หากก้าวข้ามไปได้ ไม่เพียงจะได้รับวาสนามรรค ยังสามารถไปถึงใต้ต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่นได้!
ในช่วงเวลานี้ ทุกครั้งที่มีผู้แข็งแกร่งถูกคัดออก ก็จะนำมาซึ่งความสนใจอันตื่นเต้น เสียงอุทานด้วยความเสียดาย และเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
“ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่นได้…”
ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนคาดเดาไม่ถูก อัตราการถูกคัดออกนี้สูงจนน่าตกใจ!
แน่นอนว่าก็มีข่าวดีออกมาทำให้ทุกคนฮือฮา
“มู่เจี้ยนถิงหยั่งถึงมหามรรคยอดหยิน”
“เหลยเชียนจวินหยั่งถึงมหามรรคสลาตันบูรพาใต้”
“จงหลีอู๋จี้หยั่งถึงมหามรรคเคลื่อนภูผา”
“…”
นี่ทำให้คนในขุมอำนาจและตระกูลต่างๆ ยิ้มอย่างดีใจ ตื่นเต้นผิดปกติ และทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ทั้งอิจฉาและทอดถอนใจ
……
ในเวลาเดียวกันนั้น ในป่าศิลาอันเก่าแก่ การทดสอบได้ดำเนินมาถึงช่วงสำคัญที่สุดแล้ว
ในที่นั้นเหลือเพียงไม่กี่คนที่กำลังอนุมานแจ้งมรรค
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ บ้างถูกคัดออกไปแล้ว บ้างก็ได้ครอบครองพลังแห่งมหามรรคแล้ว ตอนนี้ล้วนรออยู่นอกป่าศิลา
“ในนั้นเหลือเพียงเทพธิดาจี้ คุณชายอวี่ แม่นางลั่วเจียและเทพมารหลินสี่คน”
ทุกคนกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด
พวกเขาต่างดูออกว่า พลังแห่งมหามรรคซึ่งซ่อนอยู่ในศิลาหินที่ทั้งสี่คนเลือกจะต้องไม่ธรรมดาแน่
“หากบอกว่ามหามรรรคที่พวกเทพธิดาจี้อนุมานมหัศจรรย์เกินคาดเดา ข้าก็เห็นด้วยอยู่หรอก แต่หลินสวินนั่นกำลังเล่นละครตบตาอยู่ชัดๆ!”
ซาหลิวฉานอดส่งเสียงไม่ได้ เขารู้สึกขัดหูขัดตาไม่น้อย จำต้องพูดออกมาอย่างอดไม่อยู่
ป่าศิลาอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเพียงหลินสวินที่เลือกศิลาหลักที่อยู่รอบนอกสุด ทั้งยังดูธรรมดามาก ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในที่นั้น คงอนุมานพลังแห่งมหามรรคในนั้นออกมาได้ตั้งนานแล้ว
แต่จนตอนนี้หลินสวินยังไม่มีความเคลื่อนไหว
แม้ซาหลิวฉานจะชิงชังหลินสวินจนถึงขีดสุด แต่ก็ไม่คิดว่าความสามารถในการหยั่งรู้ของหลินสวินจะด้อยกว่าผู้แข็งแกร่งคนอื่น
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมคิดว่าหลินสวินกำลังใช้อุบายหลอกลวง เล่นละครตบตา
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ เองก็รู้สึกแปลกใจ พวกเขาสังเกตศิลาที่หลินสวินเลือกอย่างละเอียดแล้ว ดูธรรมดามากจริงๆ แม้ดูภาพหินแกะสลักด้านบนไม่ออก ทว่าเพียงดูจากสภาพของศิลาหินก็ดูปกติมากเกินไปแล้ว ไม่มีความพิเศษเลยสักนิด
“อย่าพูดเร็วเกินไป จะได้ไม่โดนตบหน้าอีก” เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิ้มเยาะพูด
ประโยคเดียวราวกับมีดแทงเข้าในใจซาหลิวฉาน ทำให้สีหน้าของเขาอึมครึมลงทันที เดือดดาลไม่น้อย
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ก็ดูแปลกไป
ก่อนหน้านี้ตอนที่จุดโคมวิญญาณ ซาหลิวฉานถูกเทพมารหลินลวงอย่างอนาถจริงๆ โดนตบหน้าดังลั่น
และก็เพราะมีบทเรียนก่อนหน้านี้ แม้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ จะสงสัย แต่กลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดอะไร กลัวแต่ว่าจะตัดสินไวเกินไปจนถูกหลินสวินตบหน้าอ้อมๆ ไปด้วยอีกคน
“เจ้ามันนับเป็นตัวอะไร ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้กับข้า” แววตาซาหลิวฉานเหี้ยมโหด กวาดมองเยวี่ยเจี้ยนหมิงราวกับคมมีด
“แล้วเจ้าเล่านับเป็นตัวอะไร ลอบสังหารหลินสวินบนทะเลปรวนแปรไม่สำเร็จ กลับถูกโจมตีด้วยกระบวนท่าเดียวจนไม่เหลือสภาพ กลัวจนหนีกระเจิง ตอนที่จุดโคมวิญญาณยิ่งอับอายขายหน้าถึงที่สุด ตอนนี้ยังไม่หลาบจำเช่นนี้ วิจารณ์ตามอำเภอใจ ยังขายหน้าไม่พอหรือ”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่กลัว นี่คือการทดสอบด่านที่ห้า มีกฎห้ามเข่นฆ่า
ได้ยินเช่นนี้ผู้คนไม่น้อยในที่นั้นต่างยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คิดๆ แล้วซาหลิวฉานก็ซวยมากจริงๆ
ซาหลิวฉานโกรธจนควันออกหู ถูกคนขยี้แผลต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาเต็มไปด้วยความอับอาย
“เดี๋ยวก็จะถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าสุนัขรับใช้ของเทพมารหลินอย่างเจ้า!”
เสียงของซานหลิวฉานเหมือนลอดออกจากไรฟัน เผยจิตสังหารเสียดกระดูก
ตอนนี้เองในที่นั้นบังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น สั่นสะเทือนฟ้าดิน
ตอนที่ 897 มหามรรคเทียมฟ้า
ชิ้ง!
ส่วนลึกของป่าศิลา แสงสีทองแสบตาปรากฏขึ้น ส่งเสียงชิ้งๆ แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่งทะลวงขึ้นฟ้า
ชั่วพริบตากระบี่ครวญราวกระแสน้ำ แสงสีทองสะเทือนเก้าสวรรค์
ทุกคนแสบตา ผิวหนังทั่วร่างกายราวกับถูกเข็มทิ่ม ในใจอดกลัวไม่ได้ นี่เป็นพลังมหามรรคระดับใดกัน ถึงกับวิวัฒน์เป็นปรากฏการณ์ประหลาด ‘กระบี่เทพทลายฟ้า แสงทองย้อมภูผาธารา’
ในเวลาเดียวกันนั้นจี้ซิงเหยาลุกขึ้น บนเงาร่างแบบบางมีละอองแสงสีทองปลิวล่องร่วงลงพื้น ควบรวมเป็นดอกกระบี่สีทองอร่ามมากมาย มหัศจรรย์เกินคาดเดา
เฮือก
เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจดังไม่ขาดสาย
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นล้วนเป็นบุคคลชั้นยอด ต่างชี้ขาดได้ว่า นี่ไม่ใช่แค่มหามรรคแห่งทองคำอย่างแน่นอน!
“มรรคนี้มีชื่อว่านิลกาฬ ไอดุดันครองตำแหน่งแห่งยุค พบเห็นได้ยากมาก มีต้นกำเนิดมาจากมหามรรคแห่งทอง แต่ก็โดดเด่นเหนือมหามรรคแห่งทอง จัดอยู่ใน ‘มกุฎแห่งขั้นหนึ่ง’”
มู่เจี้ยนถิงพึมพำ สีหน้าหวั่นไหว
มหามรรคนิลกาฬ!
ได้ยินเช่นนี้เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นอีกระลอก เทพธิดาจี้ช่างสมกับเป็นผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉา บางทีก็อาจจะมีเพียงแค่ผู้กล้าหญิงแห่งยุคอย่างนาง จึงจะสามารถหยั่งรู้มหามรรคที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้
สายตาที่ทุกคนมองจี้ซิงเหยาล้วนเปลี่ยนไปในชั่วขณะ เทพธิดาเช่นนี้ ราวกับแสงจันทร์กระจ่าง สง่างามไร้ที่เปรียบ
ตูม!
เพียงแต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะตอบสนอง ในที่นั้นพลันมีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง…
ท่ามกลางความขุ่นมัว ดอกบัวเขียวต้นหนึ่งไหวเอนออกมา แบ่งเป็นไอขุ่นและใส ราวกับเบิกฟ้าผ่าดิน เผยปรากฏการณ์ประหลาดอัศจรรย์
“มหามรรคบงกชเขียว!”
“สวรรค์ มหามรรคที่หายากเช่นนี้มีจริงหรือนี่”
ครั้งนี้เหล่าผู้กล้าต่างจำได้ในทันที ร้องอย่างตกตะลึง
ลือกันว่าสมัยบรรพกาล ดอกบัวเขียวต้นหนึ่งถือกำเนิดในจักรวาล กลายเป็นทางเดินที่เชื่อมระหว่างฟ้าดิน ปรากฏและแบ่งแยกไอขุ่นใสออกจากกัน ถูกเรียกว่าบัวแห่งนภานิรันดร์!
เพียงแต่ท้ายที่สุดนี่ก็เป็นเพียงแค่คำเล่าลือ และดูเหลือเชื่ออย่างมาก ไม่มีใครคิดว่ามรรคนี้กลับมีอยู่จริง!
อวี่หลิงคงลุกขึ้น ไอขุ่นใสล้อมอยู่รอบตัว แผ่หมอกเมฆนิรันดร์ที่ฝังลึกนิรันดร์ หมื่นวิชาไม่อาจรุกราน
ชั่วขณะนั้นเหล่าผู้กล้าต่างเกิดความรู้สักซับซ้อน
ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณคนหนึ่ง กลับได้รับวาสนามรรคหนึ่งเดียวในโลกในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นต่างรู้สึกอัดอั้นอย่างไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่กลับไม่อาจไม่ยอมรับ
“ขอแสดงความยินดีที่แม่นางจี้ได้ครอบครองมรรคแห่งนิลกาฬ ในสมัยบรรพกาล มรรคนี้กับสถูป วิเวกและแดนชำระ เรียกรวมกันว่า ‘สี่ยอดมรรคสังหาร’ มหัศจรรย์อย่างที่สุด”
อวี่หลิงคงพูดเสียงดัง สีหน้าแฝงรอยยิ้มอบอุ่น
“ข้าเลื่อมใสเจ้ามากกว่า สมัยบรรพกาลมหามรรคบงกชเขียวนี้เรียกได้ว่าเป็น ‘มหามรรคปวงเทพแห่งฟ้าดิน’ คิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านกาลเวลาอันไร้สิ้นสุดจะปรากฏสู่โลกอีกครั้งในวันนี้”
ใบหน้างามของจี้ซิงเหยาราบเรียบ น้ำเสียงเฉยชา
อวี่หลิงคงหัวเราะเสียงดัง “ไม่ว่าอย่างไร มหามรรคที่ข้าและเจ้าครอบครองก็ล้วนอยู่ใน ‘กระดานมรรคเทียมฟ้า’ เรียกได้ว่าเป็นวาสนามรรคเทียมฟ้าแล้ว”
กระดานมรรคเทียมฟ้า!
ทุกคนสีหน้าแปลกประหลาด ในใจมีระลอกคลื่นพลุ่งพล่าน
เมื่อครั้งบรรพกาล เหล่าอริยะใต้หล้าเคยวิเคราะห์มหามรรคในใต้หล้า คิดว่าในบรรดามหามรรคทั้งสามพัน มีเพียงเก้าสิบเก้าสายเท่านั้นที่สามารถเรียกว่า ‘เทียมฟ้า’ เหนือกว่า ‘เก้ามรรคขั้นหนึ่ง’ มาก
หลังจากนั้น ผู้ฝึกปราณบนโลกได้จัดอันดับทั้งเก้าสิบเก้ามรรคนี้ตามความมหัศจรรย์และอานุภาพลงไปใน ‘กระดานมรรคเทียมฟ้า’
มหามรรคเหล่านี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นมกุฎแห่งขั้นหนึ่ง มรรคเทียมฟ้า!
เพียงแต่กระดานมรรคเทียมฟ้านั้นเล่าสืบต่อกันมาจากสมัยบรรพกาล และมรรคเทียมฟ้าก็หายากมาก หากไม่มีมหาศุภโชคก็ไม่สามารถหยั่งถึงและครอบครองได้
เมื่อรวมกับกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด ปัจจุบันจึงมีน้อยคนมากที่จะรู้ความลับนี้
แต่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เมื่อเรื่องที่จี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงครอบครอง ‘มหามรรคนิลกาฬ’ และ ‘มหามรรคบงกชเขียว’ เผยแพร่ออกไป กระดานมรรคเทียมฟ้าเก่าแก่นี้ก็จะปรากฏในดินแดนรกร้างโบราณอีกครั้ง กลายเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกปราณในสี่แดนวิภูรู้อย่างแจ่มแจ้ง!
……
บรรยากาศในที่นั้นเงียบสงัด เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างกระวนกระวายใจ เดิมทีพวกเขาต่างได้รับวาสนามรรค ทั้งดีใจและตื่นเต้นอย่างมาก
แต่เมื่อเทียบกับจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคง ความดีใจและความตื่นเต้นพลันลดน้อยลงไม่น้อย อารมณ์ก็ซับซ้อนขึ้นมา
ในโลกภายนอกพวกเขาก็นับว่าเป็นผู้กล้าที่โดดเด่นในฝั่งหนึ่ง ชื่อเสียงสะเทือนแดนฐิติประจิม เหนือกว่าผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์คนอื่นๆ แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่า อะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า!
บนโลกนี้ไม่มีวันขาดอัจฉริยะ นี่ยังเป็นแค่คนที่พวกเขาได้เห็นด้วยซ้ำ ในสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ จะต้องมีปีศาจและอัจฉริยะมากกว่านี้อย่างแน่นอน!
ทันใดนั้นเสียงครวญใสดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ
เหล่าผู้กล้าได้สติจากความคิดว้าวุ่น แหงนหน้ามองก็เป็นต้องอึ้งจนอ้าปากค้างไปทันที หงส์เซียนหรือ
บนอากาศ แสงปลิวกระจายราวกับพิรุณ พร่าเบลอไม่สมจริง ปักษาเทพตัวหนึ่งกางปีก กำลังส่งเสียงครวญสะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
มันงดงามเป็นประกายมาก ปีกยาวสิบกว่าจั้ง ลำตัวองอาจ กลุ่มแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์มากมายปกคลุมอยู่รอบๆ ตัว ละอองแสงบริสุทธิ์ราวกับเซียนปลิวลอยออกมา
วิเศษอัศจรรย์เกินไปแล้ว ราวกับสัตว์เซียนในตำราปรากฏตัวบนโลก ทำให้ฟ้าดินเกิดปรากฏการณ์อันเป็นมงคล ว่างเปล่าและเคร่งขรึม
‘เป็นจริงดังที่ผู้อาวุโสว่า ในร่างของศิษย์คนสุดท้ายที่ผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงอริยะกระบี่ตำหนักปรกอุดมรับไว้ น่าจะมีสายเลือดของเผ่าหงส์เซียน!’
นัยน์ตาของอวี่หลิงคงเผยแสงประกาย คาดเดาบางอย่างออก
‘มหามรรคแห่งหงส์เซียน มหามรรคเทียมฟ้าที่แทบจะเป็นตำนาน…’
จี้ซิงเหยาเองก็ตกใจ พลันนึกถึงข่าวลือมากมาย
หงส์เซียน สิ่งมีชีวิตวิญญาณที่แม้แต่สมัยบรรพกาลก็ประหนึ่งตำนาน ถือกำเนิดในศุภโชคฟ้าดิน ลึกลับและน่ากลัว หยิ่งผยองที่สุดในใต้หล้า
มหามรรคแห่งหงส์เซียนยิ่งหายากและพิเศษ แทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหตุผลนั้นง่ายมาก มีเพียงผู้ฝึกปราณที่มีสายเลือดแห่งหงส์เซียนเท่านั้น จึงจะสามารถหยั่งถึงมรรคนี้ได้!
และทายาทของหงส์เซียน ไม่ว่าจะสมัยบรรพกาลหรือในปัจจุบันก็แทบไม่เคยพบเห็น น้อยมากอย่างที่สุด!
ดังนั้นคำเล่าลือเกี่ยวกับมรรคนี้จึงน้อยมาก ที่ผ่านมาแทบไม่เคยปรากฏมรรคนี้อีก
ไม่คิดว่าวันนี้จะปรากฏ!
ทั้งที่นั้นเงียบงัน จิตใจต่างถูกดึงดูดไป ผู้แข็งแกร่งหลายคนถึงขั้นเผยสีหน้าตะลึงงัน
หงส์เซียนร่ายรำในอากาศ เสียงครวญสะเทือนเก้าสวรรค์ ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้อย่าว่าแต่พวกเขา แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นก็คงไม่เคยเห็นมาก่อน
และตอนนี้เองลั่วเจียลุกขึ้น ร่างกายงดงามโดดเด่นอาบแสงปรอยๆ ราวกับละอองแสง ขับให้นางยิ่งดูลึกลับและไม่อาจจับต้อง
“ขอแสดงความยินดีกับแม่นางลั่วเจีย!” อวี่หลิงคงชิงทำลายความเงียบ แสดงความยินดีพร้อมรอยยิ้ม สายตาที่มองลั่วเจียแฝงความชื่นชมที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด
“สหายยุทธ์ปลุกพลังสายเลือดในร่างขึ้นมา ตั้งแต่นี้ไปพลังปราณจะพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน มหามรรคควรค่าแก่การรอคอย” จี้ซิงเหยาเองก็พูดเสียงใส
“ทั้งสองท่านชมเกินไปแล้ว ข้ามิบังอาจน้อมรับ” ลั่วเจียยังคงพูดน้อยอ่อนโยนเช่นเคย บุคลิกสง่างาม มีกลิ่นอายอันสะอาดบริสุทธิ์เหนือโลกีย์
เห็นเช่นนี้ผู้แข็งแกร่งหลายคนอดถอดหายใจไม่ได้ ต่างคิดไม่ถึงว่าในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ กลับปรากฏมหามรรคเทียมฟ้าถึงสามชนิดติดต่อกัน
ทุกประเภทล้วนเรียกได้ว่าหายาก เพียงพอที่จะสะเทือนอดีตและปัจจุบัน!
ในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มาไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน หากแพร่สู่โลกภายนอก จะต้องนำพาความฮือฮาอย่างมากเป็นแน่
……
ในที่นั้นเงียบสงบ ทุกคนต่างมีความคิดของตนเอง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้น่าทึ่งเกินไป ทำให้พวกเขาตั้งสติไม่ได้ในชั่วขณะ
แต่ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ เสียงหัวเราะเยาะพลันดังขึ้น “เฮ้ย เหลือแค่เทพมารหลินนี่อีกแล้ว ข้าอยากเห็นนักว่าเขายังจะเล่นละครตบตาไปถึงเมื่อไหร่!”
ทุกคนไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าคนพูดคือซาหลิวฉาน
ตามคาด พลันเห็นตอนนี้ซาหลิวฉานกอดอก ริมฝีปากยิ้มเยาะ สายตาจ้องหลินสวินที่อยู่รอบนอกสุดของป่าศิลา
ทุกคนสีหน้าแปลกประหลาด ไม่ต้องพูดถึงคำเยาะเย้ยของซานหลิวฉาน แม้แต่พวกเขายังไม่เข้าใจอย่างมาก นั่นมันศิลาหินที่อยู่รอบนอกสุดของป่าศิลา แม้จะดูเก่าแก่และกระดำกระด่าง แต่ก็ธรรมดาเกินไปจริงๆ
ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเทพมารหลิน ควรจะหยั่งถึงพลังมหามรรคที่ประทับอยู่ได้ตั้งนานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เขากลับยังไม่จบการอนุมาน นี่ดูแปลกเกินไปแล้ว
“บางทีศิลานั่นอาจจะพิเศษ มหามรรคที่ประทับอยู่ขัดแย้งกับมรรคาของเทพมารหลิน จึงยากจะครอบครอง” มีคนวิเคราะห์
หลายคนพยักหน้า นี่ก็เป็นเรื่องจริง เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
ผู้ฝึกปราณบางคนพรสวรรค์โดดเด่น ความสามารถในการหยั่งรู้ยอดเยี่ยม แต่พอมรรคาที่ตนแสวงหาขัดกับพลังมหามรรคบางอย่าง แม้พยายามหยั่งรู้สุดกำลังอย่างไร สุดท้ายก็อาจจะคว้าน้ำเหลว
“มหามรรคขัดแย้งอะไรกัน เจ้าหมอนั่นไม่ได้โง่ จะเลือกอนุมานศิลาที่มรรคาขัดแย้งกับตัวเองได้อย่างไร”
ซาหลิวฉานแค่นเสียงอย่างเย้ยหยัน “ข้าว่าที่เจ้านี่ทำเช่นนี้ จะต้องกำลังเล่นละครตบตา ไม่แน่ว่าอาจคิดแผนร้ายอะไรขึ้นอีก หมายจะหลอกลวงคน แต่ครั้งนี้ข้าไม่มีทางตกหลุมพรางแล้ว!”
ทุกคนพูดไม่ออก
แม้พวกจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเห็นด้วยกับคำพูดของซาหลิวฉานมาก หลินสวินนั่นร้ายกาจเกินไปแล้ว การกระทำของเขายิ่งผิดปกติ ก็ยิ่งยืนยันว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล!
“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า เมื่อเทียบกับพลังมหามรรคในศิลาหิน หลินสวินคงไม่เสียเวลามาหาเรื่องพวกขี้แพ้อย่างเจ้าในเวลานี้หรอก” เยวี่ยเจี้ยนหมิงพูดเสียงเย็น
“เจ้ามันรนหาที่ตายจริงๆ!”
ซาหลิวฉานสีหน้าเหี้ยมโหด ยิ่งมองเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ยิ่งขัดตา “เจ้ารอก่อนเถอะ ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เทพมารหลินต้องตาย เจ้าก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับเขาด้วย!”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิ้มเยาะ คร้านจะถือสาเขา
ซาหลิวฉานกลับเหยียดหยามมาก เขามั่นใจมากว่า หากไม่มีความช่วยเหลือจากหลินสวิน เยวี่ยเจี้ยนหมิงคงจะถูกคัดออกไปตั้งแต่ในทะเลปรวนแปรแล้ว จะมาถึงการทดสอบถกมรรคด่านที่ห้านี้ได้อย่างไร
บางทีอาจเพราะเหตุนี้ เขาจึงเต็มใจเป็นสุนัขรับใช้ของหลินสวินกระมัง
ช่างพาให้คนดูถูกจริงๆ!
พอซาหลิวฉานคิดเช่นนี้ ความเดือดดาลในใจก็จางหายไปไม่น้อย
ตอนนี้เองจู่ๆ จงหลีอู๋จี้ก็หัวเราะเบาๆ “ตอนที่จุดโคมวิญญาณ เทพมารหลินนั่นลงแรงไปเสียเปล่า สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว ครั้งนี้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่”
สีหน้าของทุกคนแปลกประหลาด กลับไม่มีใครพูดอะไร ช่วยไม่ได้ เทพมารหลินร้ายกาจเกินไป ใครที่คิดว่าเขาทำไม่ได้ สุดท้ายกลับดูเหมือนว่าล้วนถูกเขาตบหน้าอย่างแรง
ไม่มีใครสนใจตน นี่ช่างน่าอึดอัด…
จงหลีอู๋จี้สีหน้าค้างแข็งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญา “ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีความคิดอื่น แต่ข้าว่าคราวนี้เขาคงจะต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้งแล้ว”
เพิ่งจะสิ้นเสียง รอบตัวหลินสวินพลันปรากฏระลอกคลื่นคลุมเครือและน่ากลัว ถาโถมขึ้นมาราวกับหลุมดำ
ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนต่างประหลาดขึ้นมา
ส่วนจงหลีอู๋จี้อึ้งจนตาค้างอย่างสิ้นเชิง จิตใจสับสนวุ่นวาย ความเร็วในการตบหน้านี้ช่างราวกับพายุหมุน มาอย่างฉับพลันไม่ทันตั้งตัว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น