Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 892-895
ตอนที่ 892 ดอกเทพรวมยอด
เสียงธรรมอันลึกลับคลุมเครือที่อธิบายไม่ถูกก้องอยู่ในจิตวิญญาณ ราวกับเสียงท่องคัมภีร์ของสมัยบรรพกาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด
นี่คือการหยั่งรู้มรดกจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลินสวินพลันรู้สึกว่าจิตวิญญาณของตนกำลังเปลี่ยนแปลง ยิ่งใหญ่ขึ้น จมสู่การหยั่งรู้ในระดับลึกอย่างหนึ่ง
ฉึบ!
ก็ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เหนือวิญญาณแห่งพลังจิตของหลินสวินพรั่งพรูแสงบริสุทธิ์ที่สว่างไสวราวกับภาพฝันมากมาย สดใสทรงพลัง แผ่กระจายพลุ่งพล่าน
สุดท้ายเกาะตัวเป็นดอกตูมที่ราวกับภาพมายาดอกหนึ่ง
ไม่นานดอกตูมเบ่งบาน พร้อมกับแสงมรรคที่สว่างไสวบริสุทธิ์
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
กลีบทุกกลีบเบ่งบาน ส่งเสียงธรรมไพเราะและมหัศจรรย์สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ ทำให้ทั้งตัววิญญาณแห่งพลังจิตมีความรู้สึกเหมือนถูกชำระล้างและยกระดับถึงขีดสุด
สุดท้ายดอกตูมเบ่งบานอย่างสิ้นเชิง ในเกสรพรั่งพรูละอองแสงขาวโพลนดั่งหิมะ ราวกับเป็นภาพมายา วิเศษอัศจรรย์
มันลอยอยู่เหนือวิญญาณแห่งพลังจิต ปลดปล่อยแสงราวกับน้ำพุมากมาย ส่องสว่างวิญญาณแห่งพลังจิตให้โปร่งใสทั้งแถบ
ชั่วพริบตาเดียวหลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าจิตวิญญาณของตนเปลี่ยนไปอีกครั้ง ราวกับมีแสงแห่งสติปัญญาจุดหนึ่งปลุกความทรงจำของตนขึ้นมา ทุกภาพตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ทุกประสบการณ์ในเส้นทางการฝึกปราณ ราวกับภาพม้วนแล้วม้วนเล่าสะท้อนอยู่ในใจอย่างประณีตละเอียดอ่อน
‘ดอกเทพรวมยอด สามารถมองเห็นความจริงแห่งอดีต!’
หลินสวินตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า ดอกเทพหนึ่งดอกที่วิญญาณแห่งพลังจิตควบรวมออกมานี้ แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
นี่ทำให้เขาประหลาดใจ เพียงแค่โคมแห่งความมืดที่เปล่งแสงแห่งรัตติกาลนิรันดร์หนึ่งดวงเท่านั้น แต่การรับรู้มรดกจิตวิญญาณอันเก่าแก่ที่ประทับอยู่ กลับนำพาให้พลังจิตวิญญาณของเขาก้าวสู่ระดับใหม่ นี่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ดอกไม้นี้เกิดจากจิตวิญญาณ เป็นตัวแทนของการฝึกปราณ ‘ในอดีต’ ของตน ทำให้ในใจหลินสวินเกิดการหยั่งรู้มากมาย
เขาเพิ่งจะเข้าใจว่า ที่แท้ในสมัยบรรพกาลก็มีแบ่งระดับการฝึกจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน
โดยแบ่งเป็น ‘ระดับสัมผัสรู้’ ‘ระดับจิตรับรู้’ ‘ระดับวิญญาณเทพ’ ‘ระดับดอกเทพรวมยอด’ ‘ระดับระดับจิตลอยล่อง’ ‘ระดับแปรเทพเปลี่ยนอริยะ’ ทั้งหมดหกระดับใหญ่
ระดับสัมผัสรู้ คือการตื่นของพลังจิตใจ เป็นขั้นแรกของการสัมผัสรู้ฟ้าดิน
ระดับจิตรับรู้ เป็นพลังจิตวิญญาณที่มีเพียงมหายุทธ์ซึ่งระดับปราณสูงกว่าระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้นจึงจะครอบครองได้ สามารถหยั่งรู้หมื่นลักษณ์แห่งฟ้าดิน มองเห็นร่องรอยแห่งมหามรรค
ระดับวิญญาณเทพ หมายถึงวิญญาณแห่งพลังจิต ดูแลควบคุมห้วงนิมิต สามารถทำหลายอย่างพร้อมกันได้ มหัศจรรย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แสงแห่งปัญญาปรากฏ
เช่นหลินสวินช่วงก่อนหน้านี้ ก็อยู่ในระดับนี้
ส่วน ‘ระดับดอกเทพรวมยอด’ เป็นระดับจิตวิญญาณที่อัศจรรย์และเร้นลับยิ่งกว่า แบ่งเป็นอีกสามขั้นเล็กอันได้แก่ ‘เห็นอดีต’ ‘เห็นปัจจุบัน’ และ ‘เห็นอนาคต’
ทุกครั้งที่ไปถึงขั้นหนึ่ง เหนือวิญญาณแห่งพลังจิตก็จะควบรวมดอกเทพมหามรรคดอกหนึ่งออกมา ส่องประกายสู่ตน มีความมหัศจรรย์ที่ยากจะจินตนาการ
สำหรับ ‘ระดับจิตลอยล่อง’ และ ‘ระดับแปรเทพเปลี่ยนอริยะ’ เป็นระดับจิตวิญญาณสำหรับอริยมรรค ห่างไกลเกินไป หลินสวินหยั่งรู้ได้เพียงแนวคิดหนึ่ง แต่ไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นจริงแท้ของมัน
‘การฝึกจิต ก็คือรากฐานแห่งการสำรวจความเป็นความตาย ค้นหาหนทางสู่อมตะ จิตวิญญาณดุจดวงประทีป พลังจิตไม่เสื่อมสูญก็เหมือนดั่งอมตะ เกิดแก่เจ็บตายไม่อาจรุมเร้าได้!’
‘และสำหรับผู้ฝึกปราณ จิตวิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง ปริศนาแห่งฟ้าดินที่สามารถหยั่งถึงและครอบครองได้ก็ยิ่งมาก มีประโยชน์ที่ไม่อาจคาดเดาต่อการเสาะหามรรคาและแสวงหาความลับแห่งอมตะ’
‘มันเกี่ยวโยงไปถึงความลับแห่งการเกิดดับ เป็นสิ่งสำคัญต่อการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน ต่อไปเมื่อก้าวสู่เส้นทางอมตะ เข้าถึงมรรคกลายเป็นอริยะ ยิ่งมีคุณประโยชน์อัศจรรย์ที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้!’
การหยั่งรู้มากมายพวยพุ่งขึ้นในใจหลินสวิน มีความรู้สึกกระจ่างแจ้งพบแสงสว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน
……
ตึง~~
การทดสอบด่านที่สี่จบลงพร้อมกับเสียงระฆังเก่าแก่
ผู้กล้าที่กำลังหยั่งรู้มรดกจิตวิญญาณในโคมวิญญาณที่ถูกจุดสว่างต่างสั่นเทิ้มไปทั้งกาย จิตวิญญาณถูกดูดจากโคมวิญญาณกลับคืนสู่ร่างกาย
“ไวเกินไปแล้ว เหตุใดข้ารู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็จบลงแล้ว”
มีบางคนสีหน้าอึ้งงัน ยังคงไม่ได้สติจากการหยั่งรู้อย่างแท้จริง
“ยอดเยี่ยมมาก! ผ่านการหยั่งรู้ครั้งนี้ ทำให้ข้ามองทะลุถึงความเร้นลับแห่งการควบรวม ‘วิญญาณเทพ’ เชื่อว่าอีกไม่นานก็สามารถลองหลอมวิญญาณแห่งพลังจิตได้แล้ว”
มีบางคนตื่นเต้น สีหน้าปรากฏความดีใจ เห็นชัดว่าเก็บเกี่ยวจากการหยั่งรู้ได้มากมาย
“น่าเสียดายที่เวลาน้อยเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องเข้าถึงความเร้นลับมากกว่านี้แน่!”
และมีบางคนที่ยังไม่หนำใจ
ยามนี้พวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงและลั่วเจียต่างตื่นจากการหยั่งรู้ แต่ละคนสีหน้าแตกต่างกันออกไป หว่างคิ้วล้วนมีความยินดีที่ปิดไม่อยู่
โคมวิญญาณที่พวกเขาได้มาถือว่าคุณภาพชั้นหนึ่ง การหยั่งรู้ที่ได้ก็ยิ่งมหัศจรรย์ ในการหยั่งรู้ของพลังจิตวิญญาณครั้งนี้ เกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เก็บเกี่ยวไปได้ไม่น้อย
“จริงสิ เทพมารหลินล่ะ เขาเลือกโคมวิญญาณดวงใดกันแน่” จู่ๆ ก็มีคนถามขึ้น
“จริงด้วย เท่าที่ข้าสังเกต โคมวิญญาณหกดวงที่เขาจุดติด ไม่มีดวงใดที่ถูกเขาเลือกเลย” ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างตระหนักได้
ก่อนหน้านี้หลินสวินทิ้งโคมวิญญาณหกดวงนั้น จิตวิญญาณพุ่งสู่จุดสูงของนภาหมื่นจั้ง ทำให้คนอื่นๆ ต่างไม่อาจเห็นว่าเขาได้จุดโคมวิญญาณขึ้นใหม่หรือไม่
“จะต้องพลาดไปแล้วแน่ๆ หากเขาจุดโคมวิญญาณอีก จะต้องเกิดปรากฏการณ์ประหลาดตั้งนานแล้ว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็ไม่เห็นถึงความเคลื่อนไหวใดเลย”
ซาหลิวฉานยิ้มเยาะพูด
สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เจ้าหมอนี่ยังถูกเทพมารหลินหลอกไม่พออีกหรือ จนป่านนี้ยังมีความกล้าไปปฏิเสธเทพมารหลินอีก
“ทำไม เหตุใดพวกเจ้าจึงมองข้าเช่นนี้ หรือข้าพูดอะไรผิด”
ซาหลิวฉานพลันรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง
“นี่ก็นับว่าเป็นความจริง หากเขาจุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภา ข้าคงรับรู้ได้ตั้งนานแล้ว ทว่าตั้งแต่เขาขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นไปในห้วงอากาศกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดเลย เช่นนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่า สุดท้ายเขาคงจะคว้าน้ำเหลว”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ตอนนี้อวี่หลิงคงกลับส่งเสียงอย่างมั่นใจ
นี่ทำให้ทุกคนต่างตะลึง พลังจิตวิญญาณของเทพมารหลินพลิกฟ้าเช่นนี้ จะคว้าน้ำเหลวได้อย่างไร
“คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ก่อนหน้านี้ข้าเคยสำรวจดูแล้ว ด้านบนของห้วงฟ้านั่นไม่มีโคมวิญญาณเลยแม้แต่ดวงเดียว” จี้ซิงเหยาเองก็พึมพำ
นางไม่ได้อยากฉวยโอกาสโจมตีหลินสวินตอนนี้ แต่ก็รู้สึกแปลกใจและไม่เข้าใจมาก
หากหลินสวินคว้าน้ำเหลวก็ควรกลับมา ตามหาโคมวิญญาณที่ถูกเขาจุดสว่างในตอนแรกเพื่อรับมรดก
แต่โคมวิญญาณทั้งหกดวงแม้จะถูกจุดแล้ว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นของไม่มีเจ้าของ ไม่เคยถูกหลินสวินครอบครอง
นี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
แม้แต่จี้ซิงเหยายังพูดเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ จึงไม่สามารถสงบใจได้นัก เทพมารหลินดันคว้าน้ำเหลวในการทดสอบด่านที่สี่งั้นหรือ
คนอื่นทิ้งแตงโมเพื่อเก็บเมล็ดงา[1] แต่อย่างน้อยยังมี ‘เมล็ดงา’ แต่ดูเขา เดิมทีสามารถได้รับวาสนาอันล้ำค่า แต่เพราะความโลภ สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย
นี่เป็นเรื่องน่าศร้าครั้งหนึ่งเลยเชียว!
“ฮ่าๆๆ” ซาหลิวฉานเบิกบานขึ้นมา มั่นใจนักหนาว่าหลินสวินจะต้องไม่ได้อะไรติดมือ อดพูดไม่ได้ “เมื่อครู่นี้มีโคมวิญญาณถูกเขาจุดสว่างถึงหกดวง ล้วนเกิดปรากฏการณ์ระดับสุริยันกลางนภา สะดุดตาและโดดเด่นอย่างมาก แต่ใครจะคิดว่าเจ้าหมอนั่นกลับพลาดทั้งหมด…”
“เฮ้อ จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ นี่เป็นเพราะเทพมารหลินเรียกร้องมากเกินไป ดูถูกการช่วงชิงศุภโชคในสุริยันกลางนภาอย่างไรเล่า” คำพูดของจงหลีอู๋จี้เหน็บแนม แฝงความเย้ยหยัน
ชิงเหลียนเอ๋อร์เองก็ยิ้มพูด “นี่เรียกว่าโชคชะตากลั่นแกล้งคน เรื่องนี้หากเผยแพร่ออกไปจะต้องเป็นเรื่องน่าขันยกใหญ่มากอย่างแน่นอน คนทั่วหล้าคงไม่มีใครคิดถึงว่าเทพมารหลินจะตกต่ำถึงขั้นนี้”
เหล่าผู้กล้าต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“จะเป็นเช่นนี้จริงหรือ” ไป๋หลิงซีขมวดคิ้ว
“ไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่!” เยวี่ยเจี้ยนหมิงมั่นใจมาก
และในตอนนี้หลินสวินซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ก็ตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้น ส่วนลึกของนัยน์ตาที่ราวกับหุบเหววาบแสงประหลาดวูบหนึ่ง
“ทำไม พวกเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ”
หลินสวินลุกขึ้นยืน แววตาเรียบเฉยกวาดมองพวกซาหลิวฉานแวบหนึ่ง
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ในใจพวกเขาต่างรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ราวกับความลับทั้งภายในและภายนอกร่างกายล้วนถูกหลินสวินมองทะลุ
เวลาเดียวกันนั้นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต่างสังเกตเห็นอย่างฉับไวว่า เทพมารหลินราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บุคลิกยิ่งดูหลุดพ้น มีความรู้สึกบริสุทธิ์ว่างเปล่าปราศจากธุลีอย่างหนึ่ง
เอ๋!
หลายคนต่างประหลาดใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
แต่เมื่อสัมผัสอย่างละเอียดกลับพบว่า ภายใต้บุคลิกที่ดูเหมือนราบเรียบแต่หลุดพ้นของหลินสวิน มีท่วงทำนองปราณที่ราวกับเหวลึกล้ำ ลุ่มล้ำไม่อาจคาดเดา ไม่สามารถมองทะลุตื้นลึกหนาบางได้เลย!
พวกซาหลิวฉานสีหน้าเปลี่ยนไป นึกถึงแต่ละเหตุการณ์ที่ถูกหลินสวินหลอกลวงก่อนหน้านี้ ในใจก็เดือดพล่านอีกครั้ง โกรธจนแทบจะสบถด่าออกมา
ทว่าด้วยความระวังและระแวงอย่างหนึ่ง พวกเขาเพียงยิ้มเยาะ แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก
“เจ้าจุดโคมวิญญาณแล้วหรือ” จี้ซิงเหยาอดถามไม่ได้
หลินสวินยิ้มพูด “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
คิ้วเรียวของจี้ซิงเหยาเลิกขึ้น นางไม่ชินกับรอยยิ้มน่ารังเกียจเช่นนี้ของหลินสวินที่สุด ท่าทางที่คิดเองเออเอง จงใจแสดงออกให้ดูเร้นลับเพื่อตบตาคน เห็นแล้วอดโมโหไม่ได้
สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าหลินสวินจุดโคมวิญญาณสว่างได้อีกหรือไม่
แต่หลายคนต่างสังเกตเห็นว่าหลินสวินสงบนิ่งเกินไป ไม่มีความเสียใจสักนิด ดูผิดปกติมาก และไม่เหมือนกำลังแสร้งทำเป็นนิ่งสงบด้วย
นี่พาให้น่าคิดนัก
ฮูม
ทันใดนั้นยันต์มรรคในมือทุกคนพลันเปล่งแสง เกิดคลื่นแปลกประหลาดม้วนตัวพวกเขาไว้ ก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา
บททดสอบด่านที่ห้ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
……
และตอนนี้เอง โลกภายนอกก็ตกอยู่ท่ามกลางความฮือฮา
“อะไรนะ เทพมารหลินนั่นจุดโคมวิญญาณที่มีคุณภาพระดับสุริยันกลางนภาคนเดียวถึงหกดวง นี่เขายังใช่คนอยู่หรือไม่”
“สัตว์ประหลาด!”
“เดิมทีพวกเทพธิดาจี้ถูกกำหนดให้โดดเด่น ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วหล้า ใครจะคิดว่ากลับมีเทพมารหลินโผล่มา โดดเด่นเหนือทุกคนในชั่วพริบตา”
เสียงฮือฮาและเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นไม่ขาดสาย
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ต่างหวั่นไหว การทดสอบจุดโคมวิญญาณในครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงจริงๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
“ได้ยินว่าหลินสวินนั่นมาจากโลกชั้นล่าง จนถึงตอนนี้ยังไร้สำนัก ข้าเกิดมีใจเมตตาขึ้นมา ยินยอมรับเขามาเป็นศิษย์เป็นกรณีพิเศษ”
คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งลูบหนวดพร้อมรอยยิ้ม
“บังเอิญจริง สำนักของพวกเราหมายตาเทพมารหลินไว้ตั้งแต่แรกแล้ว กำลังคิดจะชวนเขาเข้าสำนักหลังจบเทศกาลโคมกถามรรคพอดี”
……
กลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ต่างออกปาก เกิดความคิดที่จะดึงตัวหลินสวิน
“ทุกท่านอย่าแย่งกันไปเลย บุคคลพลิกฟ้าอย่างหลินสวิน มีเพียงการเข้าสู่เรือนกระบี่เร้นปุจฉาของข้าเท่านั้น จึงจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่”
ถึงขั้นที่แม้แต่ท่านย่ากระเรียนทองยังเอ่ยปาก ภาพเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ตะลึง อึ้งจนตาค้างไปแล้ว เทพมารหลินคนนี้ได้รับความนิยมเกินไปหรือเปล่า
——
[1] ทิ้งแตงโมเก็บเมล็ดงา หมายถึง การคว้าเอาของเล็กๆ แต่กลับทิ้งสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้ความสำคัญแต่กับเรื่องรองๆ จนละเลยเรื่องสำคัญ
ตอนที่ 893 มารกระบี่เยี่ยเฉิน
เหล่าคนใหญ่คนโตล้วนมีอยู่ในขุมอำนาจที่แตกต่างกัน เป็นตัวแทนเจตจำนงของแต่ละสำนักใหญ่ในแดนฐิติประจิม
เรียกได้ว่าขอเพียงแค่ถูกพวกเขาเลือก แม้เป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญา ก็เท่ากับกลายเป็นปลาที่ว่ายข้ามประตูมังกร ทั้งฐานะตำแหน่งล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน
ยิ่งไปกว่านั้นเทพมารหลินไม่ใช่พวกโง่เขลาแต่อย่างไร ตรงกันข้าม เขาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเย้ยฟ้าในบรรดาผู้กล้า ชื่อเสียงสะเทือนแดนฐิติประจิม
บวกกับเขามาจากโลกชั้นล่าง ไม่มีสำนักไม่มีพรรค หัวเดียวกระเทียมลีบ ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักโบราณใดก็คงเต็มใจทอดสะพาน สร้างความสัมพันธ์และเชิญชวนผู้กล้าแห่งยุคอย่างหลินสวิน
“ข้าพูดไว้ตรงนี้เลยว่า ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ข้าก็จะพาหลินสวินเข้ามาอยู่ในสำนักให้ได้!”
“ฮ่าๆ ใครบ้างจะพูดจาเด็ดเดี่ยวไม่เป็น”
“ทุกท่านจำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ เพื่อเทพมารหลินคนเดียว พวกเราแก่งแย่งกันเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะทำลายความสัมพันธ์”
ผู้ยิ่งใหญ่ในแต่ละสำนักเหล่านั้นแย่งกันจนหน้าดำหน้าแดงไม่มีที่สิ้นสุด เหลือเพียงแค่ไม่ได้ถลกแขนเสื้อลงมือเท่านั้น
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในที่นั้นพากันอิจฉาตาร้อน เทพมารหลินสุดยอดเกินไปแล้ว ทำให้สำนักโบราณเหล่านั้นต่างแย่งชิงตัว
ต้องรู้ว่าในแดนฐิติประจิม ฐานะของสำนักโบราณราวกับภูเขาใหญ่ที่สูงตระหง่านเกินเอื้อม เงื่อนไขในการเลือกลูกศิษย์วิปริตและเข้มงวดอย่างมาก ในทุกๆ ปีจะมีผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ไม่รู้เท่าไหร่ถูกสำนักโบราณเหล่านี้ปฏิเสธ
แต่ดูตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสำนักโบราณเหล่านี้ กลับเกิดความขัดแย้งดุเดือดเพื่อชิงตัวเทพมารหลินคนเดียว นี่เป็นเรื่องหายากที่ไม่เคยได้ยินและไม่เคยเห็นมาก่อน!
“จะว่าไป เทพมารหลินก็มีคุณสมบัติที่จะถูกให้ความสำคัญเช่นนี้ แค่ในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ ผลงานของเขาก็เรียกได้ว่าโดดเด่นน่าชื่นชม”
มีผู้ฝึกปราณบางคนถอนหายใจ พาให้หลายคนต่างเห็นด้วย
ในการทดสอบถกมรรคด่านแรก หลินสวินขึ้นเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงเพียงลำพัง ชิงดอกบัวเพลิงเก้ากลีบต้นหนึ่งมาได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาเป็นศัตรูของเหล่าผู้กล้า แล้วลอยตัวจากไป
ในเขตขีดจำกัดด่านที่สอง เหมือนว่าเขาจะได้อันดับหนึ่ง ได้รับรางวัลพิเศษ แม้จะเป็นเพียงข้อสันนิษฐานไม่สามารถยืนยันได้ แต่คาดการณ์จากข้อมูลต่างๆ เบาะแสของอันดับหนึ่งชี้ไปที่หลินสวินเกือบทั้งหมด!
ในด่านที่สาม เขาทะลวงปราณกลางทะเลปรวนแปร โจมตีซาหลิวฉานจนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว ทำให้อีกฝ่ายตกใจจนต้องหลบหนี เร่งรีบถอยห่าง
และในด่านที่สี่ เขายิ่งสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน คนเดียวจุดโคมวิญญาณสว่างถึงหกดวงและล้วนราวกับสุริยันกลางนภา เปล่งแสงสว่างไร้ขีดจำกัด กลบพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงมิด เรียกได้ว่าโดดเด่นเพียงผู้เดียว!
พลังต่อสู้ รากฐานพลัง ศักยภาพแฝงระดับนี้ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคที่น่าทึ่งคนหนึ่ง สำนักไหนบ้างจะไม่หวั่นไหว
ไม่แปลกที่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่จะแย่งชิงกันอย่างเสียอาการ เป็นใครก็คงไม่สามารถนิ่งดูดายได้
“หึ! ทุกท่าน หรือพวกท่านไม่รู้ว่าเขาคือศัตรูที่ถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬหมายตาไว้ อีกทั้งตั้งแต่เขามีชื่อเสียงขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ก็ล่วงเกินคนมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ พวกท่านแน่ใจหรือว่าจะรับเขาเป็นศิษย์”
มีคนแค่นเสียงอย่างเย็นชา เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเผ่าฉลามสมุทร
“ไม่ผิด ทุกท่านโปรดใคร่ครวญให้รอบคอบ อย่างน้อยเผ่าหงส์เขียวของข้าก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสแก้แค้นเด็กคนนี้!”
หญิงวัยกลางคนเผ่าหงส์เขียวคนหนึ่งส่งเสียงอย่างเหี้ยมโหด
“ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกอย่างอย่าลืมว่าตอนที่อยู่บนฝั่งทะเลปรวนแปร บุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์อย่างอวี่หลิงคง จงหลีอู๋จี้ จั๋วขวงหลัน ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ ได้ประกาศชัดว่าจะสังหารเด็กคนนี้เมื่อถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณ”
พูดถึงตรงนี้หญิงวัยกลางคนผู้นั้นพลันเผยความดูถูก “เรียกได้ว่าเด็กนี่จะรอดชีวิตกลับออกมาจากเขาพยับครามหรือไม่ยังยากจะพูด!”
ทันใดนั้นบรรยากาศ ณ ที่นั้นพลันเงียบไปไม่น้อย สายตาของผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนต่างวูบไหว สีหน้าแตกต่างกันออกไป เริ่มใคร่ครวญถึงข้อดีข้อเสียของการรับหลินสวินเป็นศิษย์
“นี่ก็คือความจริง”
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นเช่นนี้ ในใจต่างลอบถอนหายใจ เทพมารหลินแข็งแกร่งก็ส่วนแข็งแกร่ง แต่คนที่เขาล่วงเกินมากเกินไปแล้ว
หากรับเขาเป็นศิษย์ ทำให้สำนักโบราณเหล่านั้นล้วนต้องพิจารณาและคำนึงถึงผลที่อาจตามมา!
ทันใดนั้นมีคนยิ้มเยาะ “หึ อยากจะรับเป็นศิษย์ แต่ไม่อยากเดือดร้อนแบกรับภาระ นี่ไม่เท่ากับอยากได้แต่ไม่ยอมเสีย ในโลกนี้ไม่มีเรื่องดีขนาดนี้หรอกนะ!”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสำนักต่างๆ ต่างอึมครึม ใครกล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าพูดจาแดกดันและเยาะเย้ยพวกเขา
ทันใดนั้นทุกคนพลันเงียบสงัด ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เองก็แอบตกใจ คำพูดนี้รุนแรงอย่างที่สุด ใครกันที่กล้าพูดเช่นนี้
ไม่จำเป็นต้องตามหา ทุกคนพลันมองเห็นเจ้าของเสียงตั้งแต่แวบแรก
นั่นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำ เส้นผมสีดำขลับเงางามราวกับผ้าไหม เป็นประกายระยิบระยับ บุคลิกองอาจห้าวหาญสง่างามราวกับทวนยาวด้ามหนึ่ง ราวกับสามารถทะลวงท้องฟ้าได้
เขายืนตระหง่านอยู่บนยอดเนินเขาเตี้ยลูกหนึ่ง สองมือไพล่หลัง มองหยันลงมา ดวงตาทั้งคู่เผยลักษณ์ประหลาดอันน่าหวั่นหวาดที่ปลดปล่อยหมื่นกระบี่ออกมา น่ากลัวอย่างที่สุด
“พ่อหนุ่ม ระวังเคราะห์ภัยจะมาจากปาก!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งต่อว่า
“ทำไมรึ สะกิดปมเจ้าเข้าจึงไม่พอใจหรือ”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ ในดวงตาวับวาวฉายแสงเฉียบคมเย็นเยียบราวกับกระบี่ “ตาแก่ ข้าเองก็ขอเตือนเจ้าว่า ขืนยังกล้าข่มขู่ต่อ ระวังจะรักษาชีวิตไม่อยู่!”
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
ผู้อาวุโสเดือดดาล เขามาจากสำนักโบราณแห่งหนึ่ง และนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ตอนนี้กลับถูกเด็กคนหนึ่งต่อว่าและข่มขู่เช่นนี้ สีหน้าพลันข่มอารมณ์ไม่อยู่ทันที
“เจี้ยนสิบสาม!”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบคำหนึ่ง
พลันเห็นว่าห่างไปไกล ข้ารับใช้อาวุโสที่แบกกระบี่ยาวไว้กลางหลังปรากฏตัวขึ้น ร่างกายเขาผอมแห้ง สีหน้าดูเฉยชาผิดปกติ
ฟึ่บ!
ทุกคนรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปชั่วขณะ จู่ๆ ศีรษะของผู้อาวุโสคนนั้นพลันถูกตัดปลิวขึ้นกลางอากาศ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครเห็นว่าข้ารับใช้อาวุโสคนนั้นลงมืออย่างไร
ทุกคนตกตะลึง บรรยากาศเงียบงันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แม้แต่คนใหญ่คนโตอย่างพวกท่านย่ากระเรียนทอง แต่ละคนต่างสั่นเทิ้มไปทั้งกาย ในใจสั่นไหวรุนแรง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด
ข้ารับใช้สีหน้าเฉยชา ราวกับมองข้ามทุกคนในนี้ หมุนตัวเดินไปอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มชุดคลุมดำเสียดื้อๆ มือทั้งคู่ตกลงข้างลำตัว ยืนเงียบอยู่อย่างนั้น
กลิ่นอายรอบตัวเขาแห้งเหือดจนราวกับไม่มีเหลือ ร่างกายซูบผอม ดูธรรมดามาก ไม่ดึงดูดสายตาเลยสักนิด แต่ทุกคนต่างรู้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสำนักโบราณคนนั้นถูกข้ารับใช้อาวุโสผู้นี้ฆ่า
การเคลื่อนไหวของเขากระฉับกระเฉงว่องไว ภายใต้การโจมตีเดียวก็ทำให้ศีรษะร่วงลงพื้น แต่กลับไม่มีใครดูออกว่าเขาทำได้อย่างไร
ไวเกินไปแล้ว!
“ยังมีใครไม่พอใจอีก”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำพูดเรียบๆ เสียงลอยล่องอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่เงียบงันนี้
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีใครตอบ
แม้แต่ผู้สูงส่งระดับท่านย่ากระเรียนทอง ยามนี้ยังเลือกที่จะเงียบ
ชายหนุ่มชุดคลุมดำเห็นเช่นนี้เหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย พลันพูดอย่างหมดความสนใจ “ข้าชื่อเยี่ยเฉิน มาจากแดนดาราอุดร ใครอยากแก้แค้นก็สามารถไปหาข้าที่แดนดาราอุดรได้เลย”
เขาหมุนตัวหมายจะจากไป แต่เหมือนคิดอะไรออกจึงหยุดฝีเท้ากล่าว “หากเทพมารหลินนั่นสามารถรอดชีวิตออกจากเขาพยับครามได้ ก็ฝากบอกเขาว่า ยินดีต้อนรับเขามาเป็นแขกที่ ‘เขาจื่อเวย’ แห่งแดนดาราอุดร!”
พูดจบเขาก็เดินจากไปด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ด้านหลังข้ารับใช้อาวุโสแบกกระบี่ตามหลังไปอย่างไม่เร่งไม่รีบ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครกล้าขวางไว้
“เป็นเขา! เยี่ยเฉินอัจฉริยะกระบี่ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของ ‘ตระกูลเก่าแก่เยี่ย’ แห่งเขาจื่อเวย!”
จู่ๆ บรรยากาศอันเงียบเชียบก็ถูกเสียงอุทานด้วยความตกใจหนึ่งทำลาย
ทันใดนั้นทั้งที่นั้นพลันสั่นสะเทือน
ตระกูลเก่าแก่เยี่ย นี่เป็นถึงตระกูลอริยะที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแดนดาราอุดร ตระกูลนี้คงอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลและจนถึงปัจจุบัน เคยให้กำเนิดอริยะหลายท่านในประวัติศาสตร์
จนถึงตอนนี้ ยังมีอริยะที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งควบคุมดูแลเขาจื่อเวย!
“ข้านึกออกแล้ว เยี่ยเฉินคนนี้คงจะเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่รุ่นเยาว์แห่งแดนดาราอุดรที่ได้รับขนานนามว่า ‘มารกระบี่จื่อเวย’!”
ท่านย่ากระเรียนทองสีหน้าซับซ้อน
ชื่อเสียงของเยี่ยเฉินไม่ด้อยไปกว่าจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงเลยสักนิด ถึงขั้นที่มากกว่าด้วยซ้ำ!
‘เพียงหมุนตัวสยบแดนดาราอุดร หนึ่งกระบี่สาดแสงเก้าพันแคว้น’
‘อัจฉริยะวิถีกระบี่ สามารถพลิกฟ้า!’
นี่คือคำวิจารณ์ของแดนดาราอุดรมีต่อเยี่ยเฉิน ทั้งยังได้รับการยอมรับจากสำนักโบราณมากมาย เป็นบุคคลระดับปีศาจคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าปีศาจที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วแดนดาราอุดรมาช้านาน กลับปรากฏตัวนอกเขาพยับครามแห่งแดนฐิติประจิม
“หรือเขามาเพราะเทพมารหลิน ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงอุตส่าห์ฝากข้อความไว้ว่ายินดีต้อนรับเทพมารหลินไปเป็นแขกที่เขาจื่อเวย”
ผู้ฝึกปราณหลายคนหัวใจสะท้าน ประโยคที่เยี่ยเฉินพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนไปทำให้พวกเขาคิดไปต่างๆ นานา
……
“นายน้อย ควรกลับบ้านแล้ว” ระหว่างทางข้ารับใช้อาวุโสเตือนเสียงต่ำ
“เจี้ยนสิบสาม เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนี้” เยี่ยเฉินถาม
ผู้อาวุโสยิ้มอย่างอบอุ่น “นายน้อยทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล”
เยี่ยเฉินพยักหน้า “ไม่ผิด ตั้งแต่ข้าเข้าสู่แดนฐิติประจิมก็ได้ยินชื่อของเทพมารหลินทุกแห่งหน แต่สิ่งที่มาคู่กัน ก็มีทั้งคำพูดใส่ความและเย้ยหยันมากมาย แต่ที่น่าขันคือ เสียงเยาะเย้ยเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องกับฐานะของเทพมารหลิน”
“นี่ปกติมาก เด็กคนนั้นมาจากโลกชั้นล่าง ไร้ที่พึ่งพิง หัวเดียวกระเทียมลีบ ทั้งยังโด่งดังไวเกินไป ไม่อยากถูกวิจารณ์คงยาก” ผู้อาวุโสอมยิ้มพูด
“แต่ขัดตาข้า”
เยี่ยเฉินขมวดคิ้ว “ข้าอุตส่าห์ดูอยู่นอกเขาพยับคราม ก็เพื่อจะดูว่าเทพมารหลินนั่นเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้มีคำตอบในใจแล้ว มั่นใจมากว่านี่เป็นบุคคลเก่งกาจที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างที่สุดคนหนึ่ง แต่ผู้แข็งแกร่งที่เป็นเช่นนี้กลับถูกวิจารณ์และนินทาอย่างเหลวไหลมากมาย น่าโมโหจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้เยี่ยเฉินเหยียดมุมปากอย่างดูถูก “เจี้ยนสิบสาม เมื่อครู่นี้เจ้าก็เห็นสีหน้าของพวกที่ได้ชื่อว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นแล้ว ทั้งอยากรับเทพมารหลินเป็นศิษย์ แต่ก็ไม่อยากเดือดร้อน ท่าทีเช่นนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว!”
“เพราะฉะนั้นนายน้อยจึงคิดจะแก้แค้นให้เทพมารหลินหรือ”
“ไม่ได้ช่วยเขาแก้แค้น แต่มันขัดตาข้า”
ทั้งร่างเยี่ยเฉินแผ่อานุภาพอันน่าหวั่นหวาดราวกับกระบี่ที่แหลมคม “สิ่งที่ข้าฝึกคือจิตพึงใจ สิ่งใดที่ขัดตาข้าก็เป็นการขัดต่อจิตใจข้า หากขัดใจแล้ว ข้ายังจะฝึกปราณหยั่งรู้วิชาอะไรได้”
“แต่ใต้หล้านี้มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถได้ดั่งใจ” ข้ารับใช้ชรากล่าว
“งั้นก็จัดการในกระบี่เดียว!”
เยี่ยเฉินไม่ลังเลเลยสักนิด คำพูดแข็งแกร่งเช่นเดียวกับตัวคน เช่นเดียวกับกระบี่
……
ในเวลาเดียวกัน ในเขาพยับคราม เงาร่างของหลินสวินและคนอื่นๆ ปรากฏในป่าศิลาเก่าแก่ผืนหนึ่ง
การทดสอบด่านสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในป่าศิลาผืนนี้
ตอนที่ 894 ป่าศิลาแสดงมรรค
ป่าศิลาเก่าแก่ กินพื้นที่แถบใหญ่ มีมากกว่าพันหลัก
ศิลาหินทุกหลักล้วนมีเถาวัลย์พันอยู่ ตะไคร่ปกคลุมหนาแน่น มีกลิ่นอายรอยด่างแห่งกาลเวลาอันหนักอึ้ง
ฟ้าดินกว้างใหญ่ ป่าศิลาเก่าแก่ตั้งตระหง่าน บรรยากาศเงียบสงัดเข้มงวด
นี่คือการทดสอบด่านที่ห้า นามว่า ‘ป่าศิลาแสดงมรรค’
บนศิลาหินทุกหลักสลักภาพหินแกะสลักที่หนาแน่นลึกลับ ภาพหินแกะสลักทุกภาพล้วนแปรมาจากร่องรอยแห่งมหามรรค
หากผู้ฝึกปราณปรารถนาจะผ่านด่านนี้ ต้องเลือกศิลาหินหลักหนึ่ง หยั่งรู้และอนุมานพลังแห่งมหามรรคที่ประทับอยู่ในภาพหินแกะสลัก
มีเพียงผู้ที่สามารถหยั่งถึงและครอบครองความเร้นลับภายในทั้งหมด จึงจะสามารถผ่านการทดสอบได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ด่านนี้ทดสอบการหยั่งรู้และความเข้าใจของผู้ฝึกปราณที่มีต่อมหามรรค!
……
ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่มาถึงหน้าป่าศิลาเหลือเพียงไม่ถึงห้าร้อยคน คิดเป็นแค่ครึ่งส่วนของจำนวนผู้เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคในครั้งนี้
ไม่ถึงหนึ่งส่วนเสียด้วยซ้ำ!
ผู้ฝึกปราณอีกเก้าส่วนที่เหลือล้วนถูกคัดออกไปในถกมรรคสี่ด่านก่อนหน้า อัตราการคัดออกนี้น่าตกใจเกินไปแล้วจริงๆ
ทว่าผู้แข็งแกร่งที่สามารถมาถึงหน้าป่าศิลาแห่งนี้ได้ ล้วนเรียกได้ว่าอยู่ในชั้นยอดของบรรดาบุคคลระดับผู้กล้าอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีผู้อ่อนแอแม้แต่คนเดียว
“ป่าศิลาแสดงมรรค ที่นี่มีวาสนามหามรรคที่แท้จริงซ่อนอยู่!”
“ภาพหินแกะสลักบนศิลาหินทุกหลัก ล้วนประทับพลังแห่งมหามรรคที่แตกต่างกันออกไป ไม่เพียงแค่เก้ามรรคขั้นหนึ่งอย่างปัญจธาตุ หยินหยาง วาโยอสนี ยังมีพลังแห่งมหามรรคอื่นๆ ที่หาได้ยากและยอดเยี่ยมอีกมากมาย”
“เทศกาลโคมกถามรรคในอดีต เคยมีคนอนุมานมรรคแห่ง ‘ลักษณ์อำพราง’ ออกมาได้ พิเศษอย่างมาก สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสิ่ง ใช้ปลอมมาหลอกจริง”
“และมีคนอนุมานมรรคแห่ง ‘เลือดผลาญ’ ออกมา แม้เป็นเพียงมหามรรคขั้นสาม ทว่าเมื่อใช้ในการต่อสู้กลับสามารถทำให้ลมเลือดราวกับเดือดพล่าน ระเบิดพลังต่อสู้ที่สูงกว่าพลังปราณของตน”
“และยังมีมรรคแห่งถ้ำผสาน มรรคแห่งหมอกเมฆา มรรคแห่งกระแสธาร มรรคแห่งแดนมายา และอีกมากมาย ล้วนมีความสามารถเฉพาะตัว มีความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกันออกไป”
กลุ่มผู้กล้ายืนอยู่หน้าป่าศิลา ดวงตาเร่าร้อนราวกับกำลังจ้องขุมทรัพย์แห่งหนึ่ง
บททดสอบครั้งนี้ หากสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น ไม่เพียงสามารถไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ยังได้รับและครอบครองพลังแห่งมหามรรคประเภทหนึ่ง!
นี่ไม่ใช่วาสนาธรรมดา แต่เป็น ‘วาสนามรรค’!
แน่นอนว่าหากอนุมานพลาด ก็อย่าคิดว่าจะได้อะไร จะถูกคัดออกออกจากการทดสอบโดยตรง
เทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มา บททดสอบด่านสุดท้ายของป่าศิลาแสดงมรรคนี้ แม้ไม่มีอันตรายใดๆ แต่อัตราการคัดออกนั้นสูงที่สุด!
มหามรรคซ่อนอยู่ในศิลาหินที่แตกต่างกัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถอนุมานและครอบครองมันได้
ตรงกันข้าม การแจ้งมรรคเป็นเรื่องยากที่สุดในเส้นทางการฝึกปราณ เป็นอุปสรรคที่ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่ไม่สามารถก้าวผ่านได้
นี่เกี่ยวข้องกับทั้งความสามารถในการหยั่งรู้และโชควาสนาของแต่ละบุคคล
……
‘นี่ก็คือสถานที่มรรคจารึกซึ่งเหล่าอริยะบรรพกาลเหลือไว้หรือ หากเป็นเช่นนี้จริง วาสนาที่อาจารย์พูดถึงจะต้องซ่อนอยู่ในนี้แน่!’
ยามนี้ลั่วเจียที่สง่างามพูดน้อยมาตลอด จิตใจกลับกระเพื่อมไหวไม่น้อย
นางมาจากตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพ ครั้งนี้จู่ๆ ก็มาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค เดิมทีก็ดึงดูดความสนใจและแปลกใจจากหลายคน คิดว่านางเองก็มาเพื่อศุภโชคใหญ่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ
แต่มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่รู้ว่า นางมาเพื่อป่าศิลาผืนนี้!
‘ครั้งนี้จะต้องตามหาวาสนาในนี้ให้เจอ มีเพียงเช่นนี้จึงจะปลุกพลังพรสวรรค์สายเลือดของข้าได้!’
ดวงตาที่ราวกับดวงดาราของลั่วเจียปรากฏความแน่วแน่
……
‘เจ้าสำนักเคยบอกว่าป่าศิลาผืนนี้ไม่ธรรมดา ซ่อนวาสนามรรคเทียมฟ้าเอาไว้ ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร…’ จี้ซิงเหยาเหมือนคิดอะไรอยู่
‘ตามคาด เขาพยับครามนี้ช่างสมกับเป็นภูเขาเทพสมัยบรรพกาลลูกหนึ่ง ครั้งนี้คิดถูกแล้วที่มา’ นัยน์ตาใสสะอาดของอวี่หลิงคงมีแสงเรืองพลุ่งพล่านอยู่รางๆ
ไม่เพียงแค่พวกเขา บุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ เองก็หัวใจกระเพื่อมไหว
พวกเขามาจากขุมอำนาจที่แตกต่างกัน ก่อนมาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคก็ได้รู้ความลับมากมายของป่าศิลาผืนนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องรู้ชัดว่าวาสนามรรคที่ซ่อนอยู่น่าทึ่งเพียงใด
ถึงขั้นที่ก่อนเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค พวกเขาก็มีเป้าหมายในใจ หมายปองศิลาหินหลักใดหลักหนึ่งในป่าศิลาผืนนี้แล้ว!
นี่ก็คือรากฐานของผู้สืบทอดสำนัก มีอาจารย์ผู้อาวุโสคอยชี้แนะ ทำให้พวกเขาสามารถเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ไม่พลาดวาสนาที่แท้จริงเพราะความประมาท
‘หลินสวิน เจ้าต้องระวังแล้ว ผ่านด่านนี้ก็จะถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่นแล้ว ถึงตอนนั้นคนพวกนั้นต้องคิดหาทุกวิถีทางมาเล่นงานเจ้าแน่’ เยวี่ยเจี้ยนหมิงสื่อจิตเตือนหลินสวิน
หลินสวินขานรับว่าอืม ดูใจลอยเล็กน้อย
เพราะทันทีที่มาถึงป่าศิลาผืนนี้ เขาก็รับรู้ได้ถึงเสียงขานเรียกที่ราวกับมีแต่ไม่มี ทำให้ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดตรงบริเวณหัวใจของเขาเกิดคลื่นเป็นระลอก ราวกับกำลังจะตื่นตัวขึ้นมา
นี่ทำให้ในใจหลินสวินสั่นไหว ความสนใจทั้งหมดถูกดึงดูดไป
ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดของเขามีชื่อว่าหุบเหวกลืนกิน ตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า ก็ถูกจัดให้เป็นพรสวรรค์พิเศษขั้นหนึ่งแล้ว
แต่นอกจากให้ประโยชน์อย่างไม่อาจคาดเดาต่อการฝึกปราณของหลินสวิน ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดก็อยู่ในสภาวะเงียบสงบมาโดยตลอด
สำหรับความลึกลับและพลังที่ซ่อนแฝงอยู่ แม้แต่หลินสวินเองยังยากจะมองทะลุ
ทว่าหุบเหวกลืนกินพิเศษมากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋ผู้สืบทอดพลิกฟ้าแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าคงไม่มาโลกชั้นล่างเพียงลำพัง และเข่นฆ่าญาติทุกคนของเขาเพื่อช่วงชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดของเขา!
และเท่าที่หลินสวินรู้ อวิ๋นชิ่งไป๋เองก็อาศัยชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่ช่วงชิงจากตน ทำให้การฝึกปราณพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันได้รับขนานนามว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นอันดับหนึ่งของระดับที่ต่ำกว่าราชัน!
ส่วนที่ถือกำเนิดในร่างกายของหลินสวินตอนนี้ เป็นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดอันใหม่เอี่ยม บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ เปล่งประกายเจิดจรัส แต่อยู่ในสภาวะนิ่งสงบมาโดยตลอด
มีเพียงตอนที่หลินสวินพลังแห้งเหือด ร่างกายปรากฏสภาพเป็นตาย ถึงได้แผ่กระแสร้อนอันลึกลับสายแล้วสายเล่า ช่วยหลินสวินซ่อมบำรุงร่างกายของตน
อย่างเช่นก่อนหน้านี้ในเขตขีดจำกัดของการถกมรรคด่านที่สอง ตอนที่หลินสวินต่อสู้กับประทับเจตจำนงที่ ‘ผู้ฝึกปราณ’ กลุ่มนั้นทิ้งเอาไว้ สู้อย่างสุดชีวิตก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดนี้ ทำให้เขาทะลวงขีดจำกัดของตนหลังจากปลดปล่อยพลังอย่างสุดกำลัง เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในคราเดียว ได้รับรางวัลพิเศษของอันดับหนึ่ง… ขวดมหามรรคสุดหยั่งในที่สุด!
และตอนนี้ เพียงแค่มาถึงหน้าป่าศิลาเท่านั้น ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดก็เกิดความเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดอย่างกะทันหัน ราวกับถูกพลังมหัศจรรย์บางอย่างปลุก นี่จะไม่ให้หลินสวินตกใจได้อย่างไร
หรือพลังแห่งมหามรรคที่ซ่อนอยู่บนศิลาหินหลักใดหลักหนึ่งในป่าศิลาแห่งนี้ สามารถทำให้ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดตื่นตัวขึ้นมาได้
หลินสวินใจเต้นระทึก
“หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” ด้านข้าง เยวี่ยเจี้ยนหมิงเห็นหลินสวินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็อดเป็นห่วงไม่ได้ คิดว่าเขากำลังกังวลอะไร
หลินสวินบื้อใบ้ ส่ายหน้าพูด “เปล่า”
“เปล่างั้นหรือ ข้าว่ากำลังกังวลว่าตอนไปถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณจะเอาตัวไม่รอดล่ะสิ!” ในระยะไกล เสียงเย้ยหยันของซาหลิวฉานดังขึ้น
หลินสวินเหลือบสายตาขึ้นมองพลันเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นซาหลิวฉานหรือพวกจงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ ใบหน้าล้วนเผยรอยยิ้มเยาะ
เห็นได้ชัดว่าผ่านด่านนี้ก็จะไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณแล้ว นี่ทำให้พวกเขาร้อนใจจนทนรอแทบไม่ไหว
ครั้งนี้หลินสวินคร้านจะสนใจคนพวกนี้แล้วจริงๆ
ตั้งแต่เข้าร่วมการทดสอบถกมรรค ระหว่างทางคนพวกนี้ก็ร้องเหมือนแมลงวันไม่หยุด หลินสวินทนมามากพอแล้ว ไม่เพียงแค่พวกเขาที่รอไม่ไหว แม้แต่ตัวหลินสวินเองก็เกิดอยากฆ่าคนขึ้นมาแล้ว
ตึง!
เสียงที่เก่าแก่เนิบช้านั่นดังก้องขึ้นอีกครั้ง ลอยอยู่ท่ามกลางป่าศิลาอันเก่าแก่
วู้ม
พลันเห็นว่าบนศิลาหินที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายร่องรอยแห่งกาลเวลา เถาวัลย์ที่พันอยู่ ตะไคร่หนาแน่น ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นผงทั้งหมดและปลิวลงในชั่วขณะนี้
จากนั้นศิลาหินทุกหลักราวกับตื่นจากกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด พื้นผิวปลดปล่อยกลิ่นอายมหามรรคอันคลุมเครือเป็นระลอก ผันผวนราวกับคลื่น ปกคลุมฟ้าดิน ดูน่าตกใจยิ่ง
กลิ่นอายมหามรรคพวกนั้นมากเกินไปแล้ว แน่นขนัดแตกต่างกันออกไป บ้างลุกโชนราวกับเพลิง ผงาดกร้าวลำพอง บ้างเยียบเย็นเสียดกระดูก พลุ่งพล่านและแผ่กว้าง
บ้างเปล่งเสียงชิ้งๆ เปล่งแสงแหลมคมทะลวงฟ้า
คลื่นคลุมเครือทุกรูปแบบของมหามรรค ราวกับปรากฏการณ์ประหลาดมากมายมาเยือน ทำให้จิตใจของผู้แข็งแกร่งทุกคนในที่นั้นถูกดึงดูดไป
ไม่ว่าจะเป็นบุคคลแห่งยุคอย่างพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง หรือจะเป็นผู้กล้าชั้นยอดคนอื่นๆ ยามนี้สีหน้าล้วนยากจะเก็บความคาดหวังอันแรงกล้า
บททดสอบ วาสนามรรคกำลังจะมาถึงมือ!
และตอนนี้บริเวณหน้าอกของหลินสวินร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน ราวกับถูกไฟเผา บนจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจ ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดแผ่คลื่นแปลกประหลาด แสงประกายอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูออกมา ราวกับกำลังโห่ร้องและปรารถนาบางอย่าง
หลินสวินตระหนักได้ว่า ครั้งนี้หากสามารถคว้าโอกาสไว้ได้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าตนจะสามารถเปิดม่านอันลึกลับของชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด และสำรวจแก่นแท้ของมันได้!
สวบ!
เงาร่างหนึ่งพุ่งปราดออกมา มีผู้แข็งแกร่งทนไม่ไหวแล้ว พลันพุ่งไปยังป่าศิลาเก่าแก่นั่น
“ไป”
“เร็ว อย่าให้คนอื่นยึดไป!”
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวแทบจะในเวลาเดียวกัน แต่ละคนต่างแก่งแย่ง สถานการณ์สับสนวุ่นวายขึ้นมาทันที
การถกมรรคครั้งนี้ก็ห้ามการต่อสู้เช่นกัน หากไม่ชิงเคลื่อนไหวก่อน มีความเป็นไปได้สูงมากที่ศิลาหินที่ตนหมายปองจะถูกคนอื่นยึดครองไปก่อน
ดังนั้นแม้แต่บุคคลแห่งยุคอย่างพวกจี้ซิงเหยาก็ไม่กล้ารีรอสักนิด พอสิ้นเสียงระฆังก็เคลื่อนไหวทันที
สวบ!
ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างพุ่งออกมาด้วยความเร็วราวกับลำแสง ทำให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างตกใจ
เพียงแต่ไม่นานหลินสวินก็หยุดเท้า สีหน้าพลันแปลกประหลาดขึ้นมาไม่น้อย
เขาสัมผัสได้แล้วว่า ระลอกคลื่นที่ทำให้ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดตื่นตัวจากความเงียบสงบ ดันมาจากศิลาหินที่อยู่ขอบสุดของป่าศิลา ดูสะดุดตาอย่างที่สุด
แต่เช่นเดียวกัน ศิลาหินที่อยู่ขอบสุดถูกผู้แข็งแกร่งมากมายมองข้ามไปโดยตรง
เหตุผลนั้นง่ายมาก อิงจากความลับและข่าวสารที่พวกเขามี บวกกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มา ทำให้พวกเขาต่างรู้ชัดว่าในป่าศิลาผืนนี้ บนศิลาหินที่อยู่รอบนอกสุดแทบจะเป็นพลังแห่งมหามรรคที่ธรรมดาอย่างมากทั้งหมด คุณลักษณะต่ำมาก ไม่มีค่าอะไรให้สนใจ
ตรงกันข้าม ยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าศิลา พลังแห่งมหามรรคที่ซ่อนอยู่บนศิลาหินก็ยิ่งแข็งแกร่ง คุณลักษณะก็ยิ่งโดดเด่น!
ดังนั้นเหล่าผู้กล้าจึงแทบจะพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าศิลาราวกับฝูงผึ้ง
หลินสวินเองก็รู้ความลับของป่าศิลาผืนนี้จากปากไป่เฟิงหลิว นี่ก็คือจุดที่ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สิ่งที่ดึงดูดให้ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดตื่นตัวกลับเป็นศิลาหินที่อยู่รอบนอกสุดของป่าศิลาผืนนี้!
ตอนที่ 895 อริยะที่ตะบึงอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ใช่บอกว่า ศิลาหินรอบนอกสุดของป่าศิลาแทบจะเป็นพลังมหามรรคธรรมดาทั้งหมดหรือ
หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าแปลกประหลาด
ตอนนี้กลุ่มผู้กล้าได้พุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าศิลาแล้ว อย่างเช่นพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ต่างตามหาศิลาหินที่พวกเขาหมายปองได้ในทันที
มีผู้แข็งแกร่งเพียงส่วนน้อยที่วนเวียนอยู่รอบนอกอาณาเขตป่าศิลาเหมือนหลินสวิน
นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก แม้ในป่าศิลาเก่าแก่ผืนนี้มีศิลาหินตั้งอยู่เป็นพันหลัก แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถอนุมานและหยั่งถึงพลังแห่งมหามรรคที่ประทับอยู่บนศิลาหินได้!
ถึงขั้นพูดได้ว่า พลังแห่งมหามรรคที่คุณลักษณะยิ่งสูง ก็ยิ่งยากจะถูกอนุมานออกมา หากไม่มีความสามารถในการหยั่งรู้และพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ไม่สามารถหยั่งถึงและครอบครองมันได้แน่
ผู้แข็งแกร่งในที่นี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอด และรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี รู้ว่าในป่าศิลาแสดงมรรคแห่งนี้ การเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองต่างหากที่สำคัญที่สุด
หากหวังสูงเกินไป กลับยิ่งจะถูกคัดออกได้ง่าย!
เพียงแต่ตอนที่สังเกตเห็นว่าหลินสวินยืนอยู่นอกป่าศิลาแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวในขั้นต่อไป ผู้ฝึกปราณที่ลังเลอยู่บริเวณรอบนอกก็แปลกใจขึ้นมา
ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่า บุคคลแห่งยุคอย่างหลินสวิน ควรจะพุ่งไปแย่งกับพวกจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงในส่วนลึกของป่าศิลาตั้งแต่แรก
แต่ตอนนี้เขากลับเหมือนไม่คิดจะทำเช่นนั้น กลับมาตามหาศิลาหินจากรอบนอกป่าศิลา นี่ดูผิดปกติมาก
“หรือเทพมารหลินรู้ตัวว่าความสามารถในการหยั่งรู้ไม่ดีพอ”
มีคนสงสัย
แต่ไม่ทันไรก็มีคนโต้แย้ง “รีบหุบปากเถอะ ความสามารถในการหยั่งรู้ไม่ดีพองั้นหรือ อย่าล้อเล่นหน่อยเลย ความสามารถในการหยั่งรู้เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ และพลังจิตวิญญาณของเทพมารหลินสามารถจุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาหกดวงได้อย่างง่ายดาย เจ้ากลับกล้าบอกว่าความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาใช้ไม่ได้งั้นหรือ สมองเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า!”
“ทุกท่านโปรดระวังภัยจากปาก ข้าสงสัยว่าเทพมารหลินนั่นเตรียมจะแต่งเป็นหมูหลอกกินเสือ ขุดหลุมฝังคนอีกแล้ว!” มีคนเตือน
ทันใดนั้นสีหน้าของผู้แข็งแกร่งหลายคนพลันพิลึกพิลั่นขึ้นมา ในใจตระหนักได้อย่างกะทันหัน ว่าเทพมารหลินในตอนนี้ควรจะเรียกว่าเทพลวงหลินถึงจะถูก…
ส่วนผู้แข็งแกร่งที่สงสัยว่าความสามารถในการหยั่งรู้ของหลินสวินใช้ไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็กลัวจนเหงื่อท่วมตัว ในใจเต้นระรัว เมื่อครู่นี้เขาเกือบกระโดดลงหลุมไปเองแล้ว!
เทพมารหลินคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว จนเวลานี้แล้วไม่ไปช่วงชิงวาสนามรรค กลับจะขุดหลุมพรางลวงหลอกคนอีก ป้องกันไม่ทันเลยจริงๆ
ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่จุดโคมวิญญาณ พวกเขาก็คิดว่าหลินสวินจงใจแสดงความอ่อนแอ ลวงจนผู้แข็งแกร่งห้าคนจากเผ่าหงส์เขียวและตระกูลจงหลีถูกคัดออกไป
จากนั้นตอนอยู่บนนภาสูงหมื่นจั้ง เขาก็ทำทีว่าไม่สามารถจุดโคมวิญญาณได้ ถูกพวกซาหลิวฉานเยาะเย้ยเหน็บแนม
แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเล่า เทพมารหลินแสดงอานุภาพยิ่งใหญ่ จุดโคมวิญญาณรวดเดียวถึงหกดวง โจมตีพวกซาหลิวฉานจนโกรธหน้าเขียวแทบกระอักเลือด อึ้งงันอยู่กับที่ ท่าทางเหมือนอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
และตอนนี้บุคคลแห่งยุคอย่างหลินสวินกลับวนเวียนอยู่รอบนอกป่าศิลา สถานการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้คนอดเชื่อมโยงไม่ได้
“หึ!”
“ยังคิดจะลวงคนอีก เพลาๆ หน่อยเถอะ!”
“คิดว่าพวกข้าจะโง่โดนเจ้าหลอกครั้งแล้วครั้งเล่าหรือ”
“เจ้าเองก็นับว่าเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่ง แต่กลับเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไร้ยางอายจริงๆ ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือ”
ห่างออกไปพวกซาหลิวฉานก็สังเกตเห็นภาพนี้ พลันเดือดดาลสุดกำลัง คิดไปตามจิตใต้สำนึกว่า ที่หลินสวินทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าล้วนพุ่งเป้ามาที่พวกเขา!
เทพมารหลินนี่เสพติดแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ลวงพวกเขาเช่นนี้ ตอนนี้ยังใช้แผนเดิม กลอุบายก็ไม่เปลี่ยน วิธีนี้ล้าสมัยเกินไปแล้ว
พวกเขาไม่มีทางโดนหลอกแน่!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโดนหลอกจนมีเงามืดในใจแล้ว อ่อนไหวอย่างมาก เห็นหลินสวินทำเช่นนี้ ก็คิดไปเองว่าจะลวงพวกเขาอีกแล้ว
หลินสวินจะทำอย่างไรได้ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ และคร้านจะอธิบายด้วย เห็นพวกซาหลิวฉานโกรธจนกระหืดกระหอบกลับทำให้เขาแอบขำ
‘เป็นพวกโง่ฝูงหนึ่งจริงๆ’
‘สิงเจินจื่อผู้สืบทอดมหาวิหารธรรมแดนเร้นเทพคนนั้นพูดถูก เมื่อกระดานทองคำผู้กล้าที่แท้จริงปรากฏ ผู้ที่ถูกเรียกว่าบุคคลผู้กล้าบนโลก ส่วนใหญ่ต้องถูกซัดไปตามลมฝน ถูกตัดสมญาผู้กล้า!’
และในสายตาของหลินสวิน พวกซาหลิวฉานใช้คำนี้ ช่างเป็นการดูหมิ่นคำว่า ‘ผู้กล้า’!
……
หลินสวินไม่สนใจสายตาประหลาดรอบข้างอีก พลันก้าวไปอยู่ตรงหน้าศิลาหินที่อยู่ขอบป่าศิลา
ศิลาหินหลักนี้เป็นสีเทาหม่นๆ ตั้งเอียงๆ อยู่ตรงนั้น ด้านบนมีร่องรอยแห่งกาลเวลา เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว บนนั้นมีภาพหินแกะสลักภาพหนึ่ง เพียงแต่ร่องรอยนั้นตวัดเกินไป ให้ความรู้สึกยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ
เมื่อเทียบกับศิลาหินที่กำลังสร้างคลื่นอันคลุมเครือและปรากฏการณ์มหัศจรรย์อื่นๆ ศิลาหินหลักนี้ดูธรรมดามาก เหมือนเศษหินที่ถูกทิ้งไว้ตรงนั้นอย่างไรอย่างนั้น
รอบนอกของป่าศิลามีศิลาหินมากมายที่เป็นเช่นนี้ ทั้งเก่าแก่ มีรอยด่างและธรรมดา
แต่เมื่อหลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดตรงบริเวณจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจของเขาราวกับจะลุกไหม้แล้ว เปล่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างไสวอย่างที่สุด ทำให้ตรงหน้าอกหลินสวินร้อนผ่าวและเจ็บแปลบขึ้นมา
‘เช่นนั้นก็เป็นมันแล้วกัน!’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ นั่งขัดสมาธิ เคลื่อนสายตามองศิลาหินที่กระดำกระด่างและธรรมดานั่น
หืม?
ผู้แข็งแกร่งบางส่วนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหลินสวินก็อดตะลึงไม่ได้ เทพมารหลินจะอนุมานศิลาหินธรรมดาๆ หลักนั้นจริงๆ หรือ
เขาไม่ใช่จะขุดหลุมลวงคนหรอกหรือ
“เจ้าหมอนี่มักอยากจะทำอะไรนอกกรอบ แหวกแนว แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่เสมอ ข้าว่าคราวนี้เขาจะต้องตกหลุมพรางตัวเองเหมือนตอนจุดโคมวิญญาณอีกแน่!”
พวกซานหลิวฉานแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ
ผู้กล้าคนอื่นๆ สีหน้าต่างสับสน ก็จริง ตอนที่จุดโคมวิญญาณครั้งที่แล้ว หลินสวินทิ้งโคมวิญญาณหกดวงเอาไว้ไม่ไปครอบครอง กลับยังจะไปตามหาโคมวิญญาณที่คุณภาพสูงกว่า
สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว
นี่ทำให้เหล่าผู้กล้าต่างเสียดายและปวดใจแทนเขา
และครั้งนี้ล่ะ เทพมารหลินจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่
ไม่นานบรรยากาศก็กลับสู่ความเงียบสงบ ป่าศิลาไร้สุ้มเสียง บรรยากาศท่ามกลางฟ้าดินทั้งผืนเคร่งขรึม
การทดสอบได้เริ่มขึ้นแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งล้วนผ่านอุปสรรคอย่างหนักหน่วงกว่าจะมาถึงจุดนี้ แน่นอนว่าจะไม่ยอมถูกคัดออกในด่านสุดท้าย
สีหน้าของพวกเขาจดจ่อ เริ่มทำเวลาอนุมานความลึกลับบนศิลาหินอย่างสุดความสามารถ
‘ศิลานี้ไม่อาจหยั่ง!’
‘น่าชังนัก ศิลาหินนี้ธรรมดาเพียงนี้ กลับไม่สามารถถูกข้าอนุมานความเร้นลับภายในออกมาได้ หรือความสามารถในการหยั่งรู้ของข้าแย่เกินไปจริงๆ’
‘เตือนผู้มาทีหลัง อย่าเลือกศิลาหินนี้ ไม่เช่นนั้นจะเสียใจภายหลัง!’
หลินสวินกำลังเตรียมจะลงมือ แต่สายตากลับถูกตัวอักษรแต่ละบรรทัดบนผิวศิลาหินที่อยู่ตรงหน้าดึงดูด
ตัวอักษรเหล่านั้นมีรูปแบบที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากลายมือเดียวกัน แต่เนื้อหาล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ด้านลบที่ไม่จำยอม สิ้นหวัง ขึ้งโกรธและสับสน
เห็นได้ชัดว่าในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มา ก็เคยมีผู้กล้าอยากจะคลี่คลายความลึกลับในศิลาหินนี้ แต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
และล้มเหลว ก็เท่ากับคัดออก!
‘ในนี้มีความลับที่ยิ่งใหญ่ เสียดายที่ไม่ให้ข้าเห็น ความสามารถในการหยั่งรู้ของข้าโดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกันมานานแล้ว ใครจะคิดว่ากลับหยุดอยู่หน้าศิลาหินหลักนี้ โชคชะตา… ช่างกลั่นแกล้งคน!’
ตอนที่เห็นตัวอักษรบรรทัดนั้น หลินสวินพลันหรี่ตา นี่จะต้องเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งอย่างแน่นอน และคนผู้นี้ก็สัมผัสได้ว่าศิลาหินหลักนี้ไม่ธรรมดา แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว!
ชั่วขณะหนึ่งหลินสวินพลันสับสนไม่น้อย
นี่คือการทดสอบถกมรรคด่านที่ห้า และเป็นด่านสุดท้าย หากพบเจออุปสรรคตอนนี้และถูกคัดออกไป ก็จะไม่สามารถไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่นได้อีก
จะเลือกศิลาหินหลักนี้หรือไม่
หลินสวินลังเลอยู่ในใจ
ทันใดนั้นเขาแค่นเสียงอย่างอึดอัดคราหนึ่ง รู้สึกว่าตรงหน้าอกยิ่งร้อนลวกขึ้นมา และรู้สึกเจ็บราวกับถูกทึ้งกระชาก ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดยิ่งสว่างไสว ราวกับจะพุ่งออกจากหน้าอก
‘ที่เมื่อก่อนผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นไม่เคยคลี่คลายพลังแห่งมหามรรคในศิลาหินนี้ได้ บางทีอาจจะไม่เกี่ยวกับความสามารถในการหยั่งรู้ แต่แค่… พวกเขาขาดโชควาสนาอย่างหนึ่ง!’
จู่ๆ หลินสวินก็ตระหนักได้ว่า บางทีศิลาหินที่อยู่ตรงหน้าอาจจะมีไว้เพื่อผู้แข็งแกร่งที่มีพรสวรรค์ ‘หุบเหวกลืนกิน’ โดยเฉพาะ
ไม่เช่นนั้นเหตุใดชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของตนจึงเกิดการตอบสนองที่แปลกประหลาดเช่นนี้ในตอนนี้
‘ช่างเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ลองให้สุดความสามารถ ได้ถือว่าโชคดี ไม่ได้ถือว่าเป็นโชคชะตา!’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ สลัดความคิดสับสนวุ่นวาย กายใจนิ่งสงบ ปรากฏสภาวะที่ว่างเปล่าถึงขีดสุด แผ่พลังจิตวิญญาณออกมาปกคลุมศิลาหิน
บนศิลาหินมีภาพหินแกะสลักที่ลวกๆ และกระดำกระด่างภาพหนึ่ง ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ราวกับเป็นผลงานของเด็กอายุสามขวบ
แต่ทันทีที่จิตวิญญาณของหลินสวินสัมผัสกับภาพนี้ รู้สึกเพียงว่าในหัวมีเสียงระเบิดดังตู้มขึ้นมา มองเห็นภาพที่ดูแปลกประหลาดภาพหนึ่งขึ้นมาท่ามกลางความเลือนราง
กลางฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ชายชราที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแห้งเหี่ยว รูปร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังตะบึงอยู่ในใต้หล้าอย่างบ้าคลั่ง
ก้าวย่างเขาโซซัดโซเซ แต่ทุกก้าวที่ย่ำลงไปกลับทำให้ฟ้าดินคำราม สรรพสิ่งสะเทือนไปตามๆ กัน!
กาลเวลาผันเปลี่ยน เกิดการเปลี่ยนแปลงยกใหญ่ พริบตาเดียวราวกับผ่านไปพันหมื่นปี ชายชรายังคงวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางฟ้าดิน ท่ามกลางภูผานที ไม่เคยหยุดฝีเท้า
จากนั้นเขาก้าวขึ้นบนเมฆไปอยู่บนท้องฟ้า พุ่งออกนอกวัฏจักร ตะบึงอยู่กลางท้องฟ้าพรั่งดาราอย่างบ้าคลั่ง พอก้าวย่างออกไป ท้องฟ้าดาราก็ถูกทิ้งไว้ด้านหลังเขา ดาราเคลื่อนคล้อยก็ไม่ใช่แค่เท่านี้หรอกหรือ!
เขาเป็นใคร
แล้วคิดจะทำอะไร
ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน
น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่จะต้องเป็นอริยะที่มีความสามารถเชื่อมสวรรค์คนหนึ่งอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่น่ากลัวกว่าอริยะ เห็นดารานภาเป็นทางเดิน หนึ่งก้าวเคลื่อนคล้อยดารา ไม่อาจจับร่องรอย!
และระหว่างนั้น กาลเวลาผันผ่าน สรรพสิ่งผันเปลี่ยน สุริยันจันทราลับฟ้าไม่รู้คืนวัน ภาพทั้งหมดพร่าเบลอขุ่นมัว
แต่เงาร่างของชายชราคนนั้นยังคงไม่สลายไป กาลเวลาไม่สามารถกัดกร่อน ความว่างเปล่าไม่สามารถขวางกั้นฝีเท้าของเขา เขายังคงวิ่งอย่างบ้าคลั่ง!
เขาเหมือนกำลังแสวงหาบางอย่าง ทั้งเหมือนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด!
ใช่แล้ว เหมือนกับการต่อสู้ ราวกับกำลังเผชิญศัตรูอยู่ตลอดเวลา แทบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ทำให้หลินสวินหัวใจสะท้าน รู้สึกถึงความตึงเครียดและกดดันที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดอย่างหนึ่ง
โครม!
ทันใดนั้น จู่ๆ เงาร่างของชายชราก็หยุดชะงักกะทันหัน เบื้องหน้าของเขาคือความว่างเปล่า กว้างใหญ่ไพศาลไร้จำกัด
ชั่วพริบตานั้น บนร่างกายของเขาก็ระเบิดแสงอันน่าหวั่นหวาดสายหนึ่งออกมา ราวกับเปลวเพลิงผลาญเผา ทำให้วัฏจักรดารานภาที่อยู่ด้านหลังเขายังสั่นสะเทือนตาม
มองจากที่ห่างไกล เขาเหมือนเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง ประหนึ่งจะกลืนกินสรรพสิ่ง น่าสะพรึงอย่างหาที่สุดไม่ได้
นี่มัน…
หลินสวินสั่นไปทั้งตัว กลิ่นอายของหุบเหวกลืนกิน บนตัวผู้อาวุโสคนนี้กลับมีพลังชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดเหมือนกับตน!
……………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น