Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 882-891

 ตอนที่ 882 ลอยล่องในอดีต

ครืนๆ…


เมื่อผู้แข็งแกร่งทั้งหมดเหยียบบนดอกบัวสีทองเริ่มรุดหน้าฝ่าลมโต้คลื่น ทะเลปรวนแปรซึ่งเดิมนิ่งสงบพลันเปลี่ยนเป็นถาโถมซัดสาด คลื่นยักษ์ควบทะยาน


บนดอกบัวทองดอกหนึ่ง หลินสวินและเยวี่ยเจี้ยนหมิงเคียงบ่าเคียงไหล่ โคจรพลังควบคุมดอกบัวใต้เท้ามุ่งไปเบื้องหน้า


‘น้ำทะเลแต่ละหยดต่างมีน้ำหนักหมื่นชั่ง ก่อเกิดแรงต้านมหาศาล ต้องโคจรปราณตลอดเวลาจึงจะเดินหน้าต่อไปได้’


‘หากเจอคลื่นโหมซัดจะกลายเป็นล่อแหลมอันตราย ไม่อาจเหินอากาศล่องสัญจร ทันทีที่ถูกม้วนสู่ห้วงทะเลก็จะโดนคัดออก’


‘ไม่สิ น้ำทะเลนี่แปลกประหลาด!’


ทันใดนั้น หลินสวินซึ่งกำลังทำความคุ้นเคยกับพลังของการทดสอบรอบนี้นัยน์ตาหดรัด สัมผัสถึงพลังไร้รูปที่แปลกประหลาดและเยียบเย็นแผ่กระจาย กำลังจู่โจมจิตวิญญาณตน


ภายใต้ความไม่ทันตั้งตัว ทำให้หลินสวินสั่นสะท้านทั่วกาย ในใจพลันงุ่นง่านไม่หยุด พลังทั่วร่างล้วนได้รับผลกระทบ


เฮือก…


หลินสวินสูดหายใจลึกตั้งจิตมั่น ในใจลอบกล่าวว่าจริงดังคาด การทดสอบด่านที่สามนี้เพ่งเล็งพลังสภาวะจิตของผู้ฝึกปราณ!


สภาวะจิต เป็นสิ่งอัศจรรย์และล้ำลึกเหลือประมาณ


สมัยบรรพกาล อริยบุคคลผู้เก่งกาจมากมายต่างคิดว่าการบำเพ็ญเพียร สิ่งที่ฝึกคือกระบวนการ ‘สยบจิต’ !


จิตดั่งหินผา หากโลกธรรมทั้งแปด[1]ก้าวล้ำเข้ามา ยังคงตระหง่านไม่ไหวติง


จิตไม่แน่วนิ่ง หากคิดฟุ้งซ่านลุ่มหลง ล้วนแต่ทุกข์ร้อน


มรรคายากลำบาก เปี่ยมอันตราย หากใจไม่มั่นคงห่วงหน้าพะวงหลัง ความสำเร็จก็จะไม่มาก และชักนำมารจากภายนอกให้เข้าล่วงล้ำ จนต้องประสบด่านเคราะห์!


สภาวะจิตเกี่ยวโยงถึงเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[2] ได้รับผลกระทบง่ายที่สุด


สภาวะจิตแน่วแน่ แม้คุณสมบัติธรรมดาก็มีหวังก้าวสู่มหามรรค


แต่หากสภาวะจิตไม่เสถียร แม้มีคุณสมบัติเย้ยฟ้า มรดกวิชาไร้เทียมทาน ผลสัมฤทธิ์ก็จะจำกัด ไม่อาจเดินบนมรรคาได้ไกลนัก


สรุปคือ สภาวะจิตล้ำลึกและยากควบคุมที่สุด


อย่างเช่นเซี่ยอวี้ถัง ก่อนหน้านี้เขาหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ถูกขนานนามว่าคนโดดเด่นรุ่นเยาว์แห่งจักรวรรดิ ท่วงท่าสง่างามครองพิภพ


แต่นับจากมาถึงดินแดนรกร้างโบราณพบเจอหลินสวิน สภาวะจิตของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่อาจยอมรับความจริงที่หลินสวินแข็งแกร่งกว่าเขา ในใจถูกปกคลุมด้วยเงามืดแห่งความริษยาชิงชัง


ตัวเขาเองตระหนักได้ว่านี่คือมารในใจของเขา เป็นบ่วงจิตอย่างหนึ่ง หากไม่กำจัดต้องส่งผลต่อหนทางการฝึกปราณของเขา


น่าเสียดาย เซี่ยอวี้ถังเลือกหนทางผิด ไม่ได้มองปัญหาจากตนเอง แต่คิดว่าเพียงขุดรากถอนโคนหลินสวินทิ้งก็จะสามารถกำจัดมารในใจได้ ฉะนั้นจึงทำให้เกิดเรื่องน่าเศร้า ถูกหลินสวินกำราบสิ้นเชิง



“อ๊าก…!”


“ระวัง!”


“ไม่ ไม่นะ!”


ไม่นานนัก บนทะเลปรวนแปรพลันกึกก้องด้วยเสียงตะโกนหวาดตระหนกต่อเนื่องเป็นระลอก


ก็เห็นผู้แข็งแกร่งไม่น้อยแต่ละคนเหมือนขาดสติ บ้างตะโกนหวาดผวา บ้างลุกลี้ลุกลนตัวสั่น บ้างท่าทางราวเป็นบ้าโหวกเหวกตะเบ็งลั่น


จากนั้นขณะพวกเขาไม่ทันได้สติ ทั้งตัวก็ถูกคลื่นยักษ์ถาโถมซัดกระเด็น ร่วงหล่นจากดอกบัวทองสู่ทะเลปรวนแปรก่อนหายลับจากไป


เห็นชัดว่าพวกเขาถูกคัดออกแล้ว


นี่ทำให้ในใจหลินสวินครัดเคร่ง ตระหนักได้ว่าทะเลปรวนแปรแม้ไร้อันตรายถึงชีวิต แต่กลับแฝงด่านเคราะห์ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า


นี่คือการทดสอบซึ่งเพ่งเล็งสภาวะจิตโดยเฉพาะ หากสามารถข้ามพ้นจะถึงอีกฝั่งโดยราบรื่น หากไม่อาจก้าวผ่านจะจมสู่ทะเลปรวนแปรและถูกคัดออก


‘ทะเลปรวนแปร… แปรปรวน…’ หลินสวินใคร่ครวญ


ครืน!


ฉับพลันนั้นคลื่นลูกหนึ่งเบื้องหน้าถาโถมเข้ามา ม้วนซัดดั่งกองหิมะ เสียงราวฟ้าร้องสนั่น


แค่ชั่วพริบตา จิตใจหลินสวินได้รับผลกระทบรุนแรงประหนึ่งจมสู่ฉากฝันร้าย



‘เหวินจิ้ง เจ้ารีบพาลูกหนีไป!’ ท่ามกลางความเลือนราง ข้างหูหลินสวินได้ยินเสียงกังวลหนึ่งดังขึ้น เจือความสั่นเครือและอ้อนวอน


‘ไม่ได้ สายไปแล้ว…’ เสียงทอดถอนใจเปี่ยมความเจ็บปวดดังขึ้น


จากนั้นหลินสวินลืมตาอย่างลำบาก เห็นใบหน้างดงามของหญิงสาวที่เจือความร้อนรน


แต่ตัวเขากลับถูกหุ้มด้วยผ้าห่อทารก ถูกหญิงสาวโอบกอดในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา


นี่มัน…


หลินสวินตะลึงงัน ตนกลายเป็นเด็กทารกหรือ


‘เพราะอะไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้!?’ เสียงคำรามอย่างโศกเศร้าหาใดเปรียบของชายหนุ่มดังก้องขึ้น


หลินสวินหันกลับไป ก็เห็นบุรุษท่าทางองอาจชวนประหวั่นคนหนึ่งอยู่ด้านข้าง บนใบหน้าคมชัดนั้นเปี่ยมด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง


ห่างออกไปไกล แสงเพลิงโหมกระหน่ำ ลุกโชนท่ามรัตติกาล เจิดจ้าบาดตายิ่งยวด


ยังมีเสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงร่ำไห้สิ้นหวังหมดหนทาง เสียงคำรามด้วยความคับแค้นไม่ยินยอม… ผสมเข้าด้วยกันท่ามกลางแสงเพลิงยามราตรี


หรือว่า ชายหญิงคู่นี้คือหลินเหวินจิ้งและลั่วชิงสวินบิดามารดาของตน


ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน


ทันใดนั้นชายวัยกลางคนร่างผอมคนหนึ่งพุ่งมาแต่ไกล ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล บนหน้าเปื้อนคราบโลหิต กล่าวอย่างตื่นตระหนก ‘นายน้อย แย่แล้ว! พวกผู้นำตระกูล… พวกเขา…’


เป็นลุงจง!


ใจหลินสวินสั่นสะท้านอีกครา ชายวัยกลางคนซึ่งอาบโลหิตทั่วร่างนั่น ไม่ใช่ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุนหรอกหรือ แค่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นหลินจงเข้ารับใช้ตระกูลหลิน


เพียงแต่หลินจงที่อยู่เบื้องหน้าหนุ่มกว่าในความทรงจำของหลินสวิน


‘เป็นอย่างไร’ ชายหนุ่มถามเสียงขรึม


‘ถูกฆ่าหมดแล้วขอรับ!’ ชายวัยกลางคนร่างผอมส่งเสียงเศร้า แค้นจนดวงตาแดงก่ำ


ชั่วขณะชายหนุ่มโกรธจนผมตั้ง ดวงตาปูดโปนแทบถลน สีหน้าคล้ำเขียวน่ากลัวเหลือประมาณ ‘เจ้านั่นคิดอาศัยพลังตนเองทำลายตระกูลหลินของข้า? รังแกกันเกินไปแล้ว!’


‘เหวินจิ้ง เขามาเพราะลูกของเรา’


เวลานี้หญิงสาวกลับเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบคล้ายหมดความรู้สึก ‘ข้าคิดอยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้ กลับเพราะเด็กคนนี้ ทำให้ตระกูลหลินของเราติดร่างแห…’


นางพูดพลางก้มมองเด็กทารกในอ้อมแขน บนใบหน้างามเต็มไปด้วยความสับสน


หลินสวินสะท้านใจ เขาอ้าปากอยากเอื้อนเอ่ยแต่ได้แค่ส่งเสียงอ้อแอ้ นี่ทำให้เขารู้สึกไร้กำลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งร้อนรนทั้งโมโห


ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่า นี่ก็คือบิดามารดาของตน!


‘น่าขัน! ลูกของเราเพิ่งครบเดือน จะเป็นเพราะเขาถึงทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างนี้ได้อย่างไร ชิงสวิน เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่’ หลินเหวินจิ้งกล่าวเดือดดาล


‘เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ ตั้งแต่เขาเกิดมาก็ไม่เหมือนเด็กคนอื่น ครอบครองชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่พิเศษ…’ ลั่วชิงสวินทอดถอนใจ


แต่ไม่รอนางพูดจบก็ถูกหลินเหวินจิ้งตัดบท “ข้ารู้เรื่องเหล่านี้ แต่แค่เพราะชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดอย่างเดียวจะนำมาซึ่งหายนะคราวนี้เชียวหรือ”


‘เจ้าไม่เข้าใจ!’ ลั่วชิงสวินสูดหายใจลึก “เจ้าก็รู้ ปีนั้นข้าระหกระเหินมาโลกนี้เพื่อหลีกหนีการตามล่า”


‘ต่อมาข้าพบกับเจ้า เดิมข้าคิดว่าบนโลกใบน้อยซึ่งมหามรรคบกพร่องนี้คงไม่เกิดเหตุสุดวิสัยอะไรชั่วชีวิต แต่คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายความวุ่นวายก็ยังมาเยือน…’


‘เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร’


กล่าวถึงตรงนี้ มุมปากลั่วชิงสวินปรากฏความขมขื่นและเจ็บปวด ‘เพราะเดิมทีข้าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโลกนี้!’


หลินเหวินจิ้งขมวดคิ้วกล่าว ‘ข้ารู้ เจ้ามาจากดินแดนรกร้างโบราณ’


‘ไม่!’ ลั่วชิงสวินส่ายศีรษะ ‘ข้าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน ข้า… มาจากฟากฝั่งฟ้าดารา’


ฟากฝั่งฟ้าดารา?


หัวสมองหลินสวินอึ้งงันอยู่บ้าง ไม่ใช่คนของโลกชั้นล่าง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณ แต่มาจากสถานที่ซึ่งไม่อาจจินตนาอื่น?


ฟากฝั่งฟ้าดารา นั่นคือที่ไหนกัน?


ตูม!


พูดคุยถึงตรงนี้ก็ถูกเสียงดังสนั่นชวนประหวั่นตัดบท


เบื้องหน้าหลินสวินเหตุการณ์พลันแปรเปลี่ยน ก็เห็นกลางทะเลเพลิงหลินเหวินจิ้งคำรามเดือดดาล ‘หนีไป! รีบหนีไปสิ! พาลูกของเราหนีไป…!’


เห็นได้ว่าเขาร้อนรนและเดือดดาลราวกับเป็นบ้า


‘ข้าไม่ไป ครั้งนี้หนีไปได้ อย่างไรภายหลังก็มาอีก ไม่สู้ตายจากไปพร้อมเจ้า ต่อจากนี้… ก็ไม่ต้องทรมานอีกแล้ว’


ลั่วชิงสวินสีหน้านิ่งสงบ นางก้มมองทารกในอ้อมแขน บนใบหน้าเปี่ยมความทรมานและเศร้าโศก พลางกล่าวพึมพำ ‘ลูกเอ๋ย โลกนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมาแต่แรก เป็นแม่ที่ผิดต่อเจ้า…’


เผาะๆ… น้ำตากระจ่างสองสายหลั่งลงมาและตกสู่ใบหน้าหลินสวิน ในใจเขาพลันเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก คล้ายจะหายใจไม่ออก


ชิ้ง!


ก็เห็นเวลานี้กระบี่ครวญแผ่วพลิ้วก้องกังวานกลางฟ้าดิน สั่นสะเทือนทั่วทิศ


หลินสวินมองไปตามใต้สำนึก เห็นชายที่สวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ผมดำปลิวสยาย เจตกระบี่ทั่วร่างทะลวงเมฆา สีหน้าเย็นชาถึงขีดสุดคนหนึ่ง ถือกระบี่โบราณสีดำเข้ามา


บนตัวกระบี่ดำสนิทดุจรัตติกาล ยังหลั่งมุกโลหิตแดงก่ำ


เบื้องหลังเขาคือภาพทะเลเพลิงและความพินาศ


จากนั้นปลายกระบี่เทียมฟ้าปรากฏ ฉีกกระชากเวิ้งนภา เจิดจ้ายิ่งยวด และน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด


ต่อมาก็ไม่เห็นอะไรอีก


แต่หลินสวินรู้ เป็นกระบี่นี้ที่ปลิดชีพพ่อแม่เขา!


ชั่วพริบตานั้นหลินสวินหัวสมองว่างเปล่า ความโกรธแค้น ไร้เรี่ยวแรง สิ้นหวัง โศกเศร้า ฝังกลบสภาวะจิตเขาดั่งกระแสวารี


เพียงแต่สภาวะจิตของเขากลับนิ่งสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ


ตรงกันข้าม เขากำลังรับรู้และสัมผัสถึงผลกระทบแห่งอารมณ์ซึ่งถาโถมเหลือจะเอ่ยนี้โดยละเอียด


หลินสวินรู้ว่า นี่ก็คือรสชาติของความเคียดแค้น


เพียงแต่ก่อนหน้านี้ เขารู้แค่บิดามารดาคือใคร ศัตรูเป็นใคร แต่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และไม่เคยรู้ซึ้งด้วยตนเองเช่นนี้


อวิ๋นชิ่งไป๋!



“หลินสวิน หลินสวินเจ้าตื่นสิ” ริมหูได้ยินเสียงเรียกของเยวี่ยเจี้ยนหมิง


หลินสวินรู้สึกตัวโดยสมบูรณ์แล้ว วิสัยทัศน์เบื้องหน้าฟื้นคืน ทะเลปรวนแปรที่ซัดสาดกำลังโหมคลั่ง ม้วนฟองคลื่นขาวดุจหิมะ


“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เยวี่ยเจี้ยนหมิงถามด้วยความกังวล


“ไม่เป็นไร” หลินสวินส่ายศีรษะ ที่หางตาเขามีคราบน้ำตาหยดหนึ่งระเหยจากไป ไม่ถูกใครค้นพบ


“ระวังด้วย พลังของทะเลปรวนแปรนี้อันตรายยิ่ง ส่งผลกระทบน่ากลัวกับสภาวะจิต พลาดเพียงก้าวคงถูกคัดออก”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง “เมื่อครู่ข้ารู้สึกเหมือนฝัน หวนกลับไปครั้งวัยเยาว์ที่ฝึกปราณในสำนัก เพราะดื้อรั้นเกินไปจึงถูกอาจารย์กักบริเวณไว้ในเขตหวงห้ามหลังภูเขา”


“เป็นเวลาสามเดือนเต็มที่หันหน้าเข้ากำแพงพิจารณาความผิดอยู่คนเดียว ความรู้สึกนั้น… ช่างยากทานทนเหลือเกิน ตอนนั้นข้าเกลียดอาจารย์มาก ยังสาบานว่าต่อไปจะล้างแค้นคืน…”


พูดถึงตรงนี้เยวี่ยเจี้ยนหมิงพลันหยุดชะงัก กล่าวเคอะเขินอยู่บ้าง “ทำให้เจ้าขบขันเสียแล้ว ตอนนั้นข้ายังเด็กไม่เข้าใจอะไร ก็สาบานไปอย่างนั้นแหละ”


“ข้าเข้าใจ” หลินสวินยิ้ม สายตามองทะเลปรวนแปรไร้ขอบเขต เขารู้ว่าภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนประสบเมื่อครู่ก็เหมือนกับเยวี่ยเจี้ยนหมิง ถูกพลังของทะเลปรวนแปรส่งผลต่อสภาวะจิต เผยความทรงจำที่ฝังกลบฝุ่นของตนออกมาอีกครั้ง


……………….


[1] โลกธรรมแปด หมายถึง ธรรมดาของโลก เรื่องของโลก ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลก และสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมดานี้ 8 ประการ ประกอบด้วย มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์


[2] เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา เจ็ดอารมณ์ ได้แก่ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด และความใคร่ หกปรารถนา ได้แก่ ปรารถนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ


ตอนที่ 883 ทะเลปรวนแปรทะลวงปราณ

เรื่องในอดีตผลุบโผล่ คลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ


หลินสวินคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะมีวันนี้ บนทะเลปรวนแปร อาศัยกลวิธีพิเศษทำให้ตน ‘พบเจอ’ บิดามารดาที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน


นี่เป็นการ ‘พบเจอ’ พ่อแม่ครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเติบใหญ่มาจนบัดนี้


น่าเสียดาย สุดท้ายก็เป็นแค่ความทรงจำฝุ่นกลบในก้นบึ้งหัวใจสายหนึ่ง ชีวิตนี้คงไม่อาจพบเจอกันอีกแล้ว…


หลินสวินทอดถอนใจ


ในสมองปรากฏเงาร่างอหังการสวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ เจตกระบี่ทะลวงเมฆานั่นอีกครั้ง กระบี่โบราณในมือดำสนิท มีหยาดโลหิตแดงก่ำหลั่งลง เบื้องหลังคือภาพทะเลเพลิงและความพินาศ


อวิ๋นชิ่งไป๋!


ในใจหลินสวินพรั่งพรูความแค้นเกินบรรยาย ไม่เคยจดจำลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน


ก่อนหน้านี้ เขามองว่าการแก้แค้นเป็นเพียงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่ต้องแบกรับของทายาทตระกูลหลินสายตรง แต่ปัจจุบันการแก้แค้นคือสัญชาตญาณซึ่งฝังลงในกระดูกหลินสวินแล้ว!



ครืนๆ…


บนทะเลปรวนแปร คลื่นคลั่งซัดสาดโหมกระหน่ำ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดอาศัยดอกบัวแทนลำเรือแข่งล่องบนทะเล


เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา หรือผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ความเร็วต่างไม่ว่องไว


การทดสอบด่านที่สามนี้สิ่งที่ทดสอบคือสภาวะจิต ทั้งไร้เวลาจำกัดและปราศจากรางวัล ขอแค่สามารถถึงอีกฝั่งโดยราบรื่นก็ถือว่าผ่านบททดสอบ


แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว การทดสอบครั้งนี้อันตรายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


พลังไร้รูปแผ่ซ่านจากทะเลปรวนแปร บุกจู่โจมจิตใจของผู้แข็งแกร่งแต่ละคน ทำจนพวกเขาต่างได้รับผลกระทบและถูกโจมตีโดยปริยาย


การทดสอบเช่นนี้ไม่ใช่ทั้งการต่อสู้หรือการแข่งพลัง แต่เกี่ยวเนื่องถึงความเข้มแข็งอ่อนแอของสภาวะจิต ล้ำลึกสุดขีดและน่าหวาดกลัวถึงที่สุด


ท่ามกลางคลื่นลมมีเสียงมากมายดังขึ้นตลอดเวลา บ้างตะโกนอย่างหวาดผวา บ้างแผดคำรามเดือดดาล และมีเสียงหัวเราะราวมารคลั่ง


ผู้ที่สงบจิตได้ล้วนสามารถตื่นขึ้นมาโดยไร้อันตราย แต่ผู้ที่จิตมรรคแตกซ่านจะถูกคลื่นทะเลม้วนกลืนและคัดออกทันที


หลินสวินและเยวี่ยเจี้ยนหมิงล้วนเพิ่งผ่านประสบการณ์ราวฝันร้าย ตระหนักถึงความน่ากลัวของทะเลปรวนแปร บนหนทางต่อมาล้วนไม่กล้าประมาท จดจ่อควบรวมจิตต้านทาน



โลกภายนอกเวลานี้กลับวายุก่อเมฆาซัด เสียงฮือฮาดังขึ้นโดยรอบ


“การทดสอบด่านที่สอง เทพธิดาจี้เป็นอันดับสอง อวี่หลิงคงอันดับสาม เช่นนั้นใครเป็นอันดับหนึ่งกันแน่”


เมื่อผู้แข็งแกร่งซึ่งถูกคัดออกกลับมา ก็นำข่าวใหม่ล่าสุดที่เกิดขึ้นในการทดสอบถกมรรคกลับมาด้วย ดึงดูดความสนใจมหาชน


“ตอนนั้นพวกเราล้วนสงสัย อันดับหนึ่งเป็นไปได้สูงที่จะถูกเทพมารหลินช่วงชิงไป!”


“เป็นไปไม่ได้ เทพมารหลินนับเป็นอะไร มีหรือจะสามารถข้ามหัวเทพธิดาจี้ได้”


“แต่นอกจากเทพมารหลินแล้วยังมีใครทำได้ถึงขั้นนี้ มู่เจี้ยนถิงอารามพรางมรกต เหลยเชียนจวินเผ่ามหาอสนี หลี่ชิงฮวนสำนักยุทธ์สมุทรคราม อันดับของพวกเขาล้วนเผยออกมาแล้ว และไม่ใช่อันดับหนึ่ง มีเพียงอันดับของเทพมารหลินที่จนบัดนี้ยังไม่ถูกเผยแพร่”


ผู้คนทยอยวิพากษ์วิจารณ์ ต่างคาดไม่ถึงว่าการทดสอบด่านที่สามเริ่มขึ้นแล้ว แต่อันดับหนึ่งของบททดสอบด่านที่สองจนบัดนี้กลับเป็นปริศนา!


“อะไรนะ เทพมารหลินคนเดียวท้าทายเหล่าผู้กล้า?” ไม่ช้า ข่าวชวนตะลึงนี้ก็ก่อความอึกทึกครึกโครมทั่วบริเวณ


เรื่องที่หลินสวินถล่มเซี่ยอวี้ถัง ซัดผู้แข็งแกร่งเผ่าแมวป่าทองม่วงจนพ่าย เกิดความขัดแย้งกับเหล่าผู้กล้าแห่งยุคหน้าทะเลปรวนแปรทยอยเผยออกมา


คราวนี้แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตล้วนนั่งไม่ติด ไหวหวั่นเพราะเหตุนี้


“รนหาที่ตาย นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ เทพมารหลินเด่นผงาดขึ้นมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยพบความล้มเหลว เลยคิดว่าสามารถยกตนข่มท่าน ดูถูกเหล่าผู้กล้าทั่วหล้าหรือ”


มีคนปรามาสประณาม


“นี่สิลูกผู้ชายตัวจริง หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี กล้าหาญทะยานฟ้า มาดเช่นนี้คนรุ่นเยาว์ทั่วแดนฐิติประจิมจะมีสักกี่คนที่สามารถครอบครองได้”


และมีอีกมากที่ทอดถอนใจ ชื่นชมความกล้าและห้าวหาญของหลินสวิน เลื่อมใสในตัวเขา


‘ไม่ว่าอย่างไร เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่น เทพมารหลินต้องเจอการจู่โจมและเคราะห์สังหารที่คาดไม่ถึงแน่!’


ส่วนนี่คือความคิดของทุกคน


ถึงอย่างไรคนที่เล็งเป้าไปยังหลินสวินครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงผู้กล้าแห่งยุคซึ่งชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่งมานานแล้วอย่างอวี่หลิงคง ยังมีผู้กล้าที่เรียกได้ว่าเป็นระดับชั้นยอดอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ จั๋วขวงหลันอีกด้วย


แม้พูดว่าซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์เคยถูกหลินสวินโจมตีพ่ายมาก่อน แต่ไม่มีใครคิดว่าในมือพวกเขาจะไม่มีไพ่ไม้ตายอยู่!


“เทพมารหลินลำบากแน่ ยามนี้เซี่ยอวี้ถังนั่นยืนยันมาแล้วว่า เขาเคยได้รับวาสนาใหญ่ครั้งหนึ่งจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ทั้งครอบครองสมบัติอริยะ สามารถคาดเดาได้เลยว่าในที่ลับคงมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยเพ่งเล็งเขา!”


“ไม่ผิด หากเบื้องหลังเทพมารหลินมีสำนักโบราณสักแห่งหนุนอยู่ เช่นนั้นคงทำให้คนมากมายหวาดกลัว ไม่กล้าทำเรื่องเกินงามอยู่บ้าง แต่ทุกคนต่างรู้ว่าเขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ทั้งมาจากโลกชั้นล่างไร้ที่พึ่งพิง นี่ทำให้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมโดยไม่ต้องสงสัย”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ณ ที่นั้นดังไม่หยุด


คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งมีความคิดต่างกันไป แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ วาสนาใหญ่ สมบัติอริยะ… แค่เพียงคำพวกนี้ก็พอทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันต่างน้ำลายหก


เดาได้เลยว่า ต่อให้เทพมารหลินรอดชีวิตจากเทศกาลโคมกถามรรคออกมา หลังจากนั้นก็จะมีเรื่องวุ่นวายมากมายมาเยือนเขาแน่!


นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าคนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว เด็กหนุ่มโลกชั้นล่างที่ไร้หัวนอนปลายเท้า ปราศจากภูมิหลังคนหนึ่ง กลับครองศุภโชคเช่นนี้ นี่ช่างเหมือนคลังเก็บสมบัติเคลื่อนที่ เพียงพอดึงดูดสายตาแห่งความละโมบมากมาย



ผ่านไปสองชั่วยาม


หลินสวินรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง การมุ่งไปเบื้องหน้าท่ามกลางทะเลปรวนแปร ไม่เพียงแต่ต้องรับมือการจู่โจมจิตวิญญาณ ยังต้องโคจรปราณขับเคลื่อนเรือดอกบัวใต้ฝ่าเท้าไปข้างหน้า กระทั่งตอนนี้ปราณของหลินสวินก็ถูกเผาผลาญไปไม่น้อย


เขาไม่กล้าหักโหมใช้พลังเกินพอดี ถึงอย่างไรบนทะเลปรวนแปรก็ยังมีผู้แข็งแกร่งกระจายอยู่โดยรอบ หากมีคนลอบโจมตี ต้องเก็บพลังไว้ต่อสู้ต้านทานด้วย


“เปลี่ยนให้ข้าเถอะ”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่อยู่ด้านข้างรับช่วงต่อ เริ่มควบคุมเรือดอกบัวมุ่งหน้าไป


หลินสวินนั่งขัดสมาธิ เริ่มทำสมาธิทันที


ทะเลปรวนแปรคือการทดสอบเคี่ยวกรำสภาวะจิต ตลอดทางที่มุ่งหน้ามา สภาวะจิตของหลินสวินถูกโจมตีแทบจะตลอดเวลา


มีทั้งอิทธิพลจากภาพเหตุการณ์ในส่วนลึกของความทรงจำ มีทั้งเงามายามารสวรรค์ที่รุกล้ำ กระทั่งมีเคราะห์ลึกลับมากมายมาเยือน กลายเป็นเพลิงปฐพีอสนีวาโยกระหน่ำสภาวะจิตของเขา


แม้อันตรายหาใดเปรียบ แต่เมื่อผ่านการเคี่ยวกรำนี้กลับทำให้จิตมรรคของหลินสวินได้รับการขัดเกลาและชำระล้างอย่างหาได้ยาก


เปรียบดั่งหยกสลัวก้อนหนึ่งที่ถูกพันค้อนร้อยหลอม เริ่มเผยด้านที่เปล่งประกายเจิดจรัสออกมา


การหยั่งรู้และแปรสภาพอันล้ำค่าซึ่งเกิดจากสภาวะจิตเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นศุภโชคที่ไม่ใช่เล็กๆ เลย


เวลานี้หลินสวินนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังกายไปพลาง สร้างความมั่นคงให้สภาวะจิตไปด้วย หยั่งถึงการเปลี่ยนแปลงอันซับซ้อนที่เกิดขึ้นในจิตใจ


หลังผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินลืมตาขึ้น ประกายอัศจรรย์ในนัยน์ตาดำพุ่งวาบ ชวนประหวั่นหาใดเปรียบ


พลังกายเขาฟื้นคืนโดยสมบูรณ์ อีกทั้งสภาวะจิตดั่งหินผา เปลี่ยนไปเป็นแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่กว่าที่ผ่านมา


‘อาศัยโอกาสนี้ทะลวงขั้นในคราเดียว!’ หลินสวินตัดสินใจ


เขาหยิบผลึกแวววาวเจิดจรัสดุจเพลิงออกมากองหนึ่ง บ้างใหญ่เท่าถั่วมันฮ่อ (วอลนัท) บ้างใหญ่ประมาณเล็บมือ ต่างอบอวลด้วยไอพลังเจตะบริสุทธิ์


นี่คือแหล่งผลึกเจตะ เป็นสิ่งที่หลินสวินได้มาจากการล่าสัตว์ปีศาจในการทดสอบรอบแรกที่ ‘แดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร’ มีประมาณห้าสิบกว่าก้อน


สิ่งนี้วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ คุณประโยชน์ที่มากที่สุดคือสามารถยกระดับปราณของผู้ฝึกปราณ อีกทั้งไม่ส่งผลกระทบและสั่นคลอนรากฐานผู้ฝึกปราณ สมบัติเช่นนี้ในโลกภายนอกไม่อาจเสาะหาได้ เป็นสมบัติล้ำค่าที่ต้องมีวาสนาจึงพบพาน


‘เริ่มการหลอม!’


หลินสวินไม่ลังเล โคจรเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินเริ่มนั่งสมาธิ


และวิญญาณแห่งพลังจิตของเขาก็ปกปักษ์ห้วงนิมิต ควบคุมสภาวะจิตและพลังจิตวิญญาณของหลินสวิน ระมัดระวังรอบด้าน พลางต้านทานพลังที่ยังจู่โจมจิตมรรคอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนั่น


เคราะห์ดีที่พลังจิตของหลินสวินควบรวมออกมาเป็นร่างวิญญาณแล้ว สามารถทำหลายสิ่งได้พร้อมกัน ไม่เช่นนั้นการหลอมปราณบนทะเลปรวนแปรซึ่งอันตรายเกินคาดเดานี้ คงไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย


ตามเวลาที่ล่วงเลย หลินสวินสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณของตนกำลังยกระดับต่อเนื่อง แต่ละครั้งที่ยกระดับล้วนเด่นชัดยิ่ง ประดุจสายน้ำพุ่งทะยานกลางสายฝน


นี่ก็คือพลังของแหล่งผลึกเจตะ!


ก่อนหน้านี้หากศักยภาพรุดหน้าก้าวกระโดด หลินสวินจะยังกังวลว่ารากฐานจะไม่มั่นคงจนส่งผลต่อมรรคาในภายภาคหน้าหรือไม่


แต่ตอนนี้กลับไม่ต้องกังวลโดยสิ้นเชิง พลังของแหล่งผลึกเจตะบริสุทธิ์แข็งแกร่ง มาจากแหล่งกำเนิดมหามรรค ระหว่างกระบวนการหลอม ไม่เพียงไม่กระทบฐานมรรคยังก่อเกิดคุณประโยชน์อัศจรรย์ ทำการหล่อเลี้ยงและขัดเกลาฐานมรรคไปด้วย!


เกือบเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา หลินสวินสังเกตได้อย่างฉับไวว่าตนใกล้ทะลวงขั้นแล้ว ขณะนี้ในมือเขายังมีแหล่งผลึกเจตะยี่สิบกว่าก้อนซึ่งเพียงพอใช้งานได้


ตูม!


พลังขับเคลื่อนทั่วร่างของหลินสวินล้วนถูกเคลื่อนย้าย สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณกู่ก้องกัมปนาทราวภูเขาไฟจวนระเบิด เริ่มปะทะปราการปราณเต็มกำลัง


หมอกพิสุทธิ์เจิดจ้าพร่างพราวอาบชโลมทั้งตัวเขา เจิดจรัสสุกสกาว


การเคลื่อนไหวนี้ใหญ่เกินไป เยวี่ยเจี้ยนหมิงซึ่งอยู่ข้างกายพลันตระหนก นัยน์ตาหดรัด เกือบร้องออกมา ไหนเลยจะคาดคิดว่าหลินสวินกำลังทะลวงขั้นปราณในสถานที่อันตรายเช่นนี้!


นี่ก็กล้ามากไปแล้ว!


“สวรรค์ ข้าไม่ได้ดูผิดกระมัง นี่เทพมารหลินกำลัง… ทะลวงปราณหรือ”


“เดี๋ยว เป็นเช่นนั้นจริง!”


“ข้าเข้าใจแล้ว ต้องเป็นเพราะเจอการนัดหมายต่อสู้กับพวกอวี่หลิงคง ทำให้เทพมารหลินรู้สึกถึงความกดดันยิ่งใหญ่ ไม่อาจไม่ช่วงชิงเวลายกระดับปราณ หมายป้องกันตัวเอง!”


บนผืนทะเลที่ห่างออกไป สายตาผู้แข็งแกร่งมากมายล้วนมองมา ต่างถูกทำให้ตระหนก แววตาวาบประกายพลางคาดคะเน


“เขานี่มันรนหาที่ตาย!”


“เวลานี้หากมีคนลอบโจมตีเขา ไม่เพียงแค่ถูกคัดออกเท่านั้น กระทั่งอาจทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นพิการไปอย่างสิ้นเชิง!”


มีคนกล่าวเสียงเบา และไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่ วาจานี้คล้ายเตือนสติผู้แข็งแกร่งคนอื่น ว่าหากคิดลงมือ เวลานี้คือจังหวะดีที่สุดในการโจมตีเทพมารหลินโดยไม่ต้องสงสัย


เยวี่ยเจี้ยนหมิงสีหน้าพลันอึมครึม ในใจแอบกล่าวว่าแย่แน่


แค่ชั่วพริบตา เขาก็สังเกตเห็นอย่างแจ่มชัด ว่ามีสายตามุ่งร้ายมากมายมองมาทางหลินสวินจากทั่วสารทิศ


‘ยุ่งแล้วไง!’


เยวี่ยเจี้ยนหมิงคิ้วขมวด ทันใดนั้นเขาพลันกัดฟันกรอด ตัดสินใจว่าต่อให้ต้องถูกคัดออกก็ต้องปกป้องหลินสวินเต็มกำลัง เลี่ยงไม่ให้เขาประสบอันตรายของการถูกธาตุไฟเข้าแทรก


ทว่ายังไม่รอเยวี่ยเจี้ยนหมิงเตรียมการ ข้างหูก็ได้ยินเสียงสื่อจิตของหลินสวิน ‘พี่เยวี่ย เจ้าอย่าเคลื่อนไหว ข้าอยากดูว่าใครจะกล้าลงมือกับข้าเวลานี้บ้าง!’


เป็นน้ำเสียงราบเรียบเจือไอสังหารเยียบเย็นสายหนึ่ง


ตอนที่ 884 เข็มเงินวิญญาณสะท้านจิต

เยวี่ยเจี้ยนหมิงสะท้านในใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น


หลินสวินเลือกทะลวงปราณเวลานี้ หรือว่าจงใจ


เพียงแต่นำการทะลวงปราณมาทดสอบศัตรูในที่ลับ วิธีนี้เสี่ยงเกินไปแล้ว…


จากนั้นเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ยิ้มขื่น ก็ถูก หลินสวินน่ะอาศัยความกล้าเกินคนมาสร้างชื่อ เขาทำเช่นนี้กลับเหมาะสมกับนิสัยใจคอของเจ้าตัวจริงๆ


‘ไม่รู้ว่าในที่ลับจะมีคนกระโดดออกมาเท่าไหร่กันแน่…’ สายตาเยวี่ยเจี้ยนหมิงกวาดมองโดยรอบ ใคร่ครวญขบคิด



ครืน!


หลินสวินเวลานี้ร่างกายดุจเตาหลอมหนึ่ง ปราณภายในร่างควบทะยานดั่งอาชาไพร อาศัยสภาวะซึ่งบรรลุถึงขีดสุดบุกจู่โจมปราการทีละครา


ในระดับกระบวนแปรจุติ ความแข็งแกร่งแห่งปราณและรากฐานของเขา พอจะทำให้เขาไร้ซึ่งความหวาดหวั่นต่อคู่แข่งทั้งมวล เรียกได้ว่าเป็นมกุฎราชันของระดับ


แต่ทุกเรื่องมีคุณย่อมมีโทษ รากฐานแข็งแกร่งเกินไป ทำให้แต่ละครั้งที่เขาทะลวงปราณ ล้วนยากลำบากและเชื่องช้าผิดธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด


เฉกเช่นเวลานี้ แม้อาศัยคุณประโยชน์ของแหล่งผลึกเจตะ ก็ยังไม่อาจทำให้หลินสวินทะลวงปราณขึ้นไปได้ในชั่วขณะ


ทว่าหลินสวินหาได้เป็นกังวล ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มเปี่ยม แม้ถูกคนฉวยโอกาสทำการรบกวนและจู่โจม เขาก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น!


ทะเลปรวนแปรอันตรายยิ่งยวด แต่ขณะเดียวกันก็จำกัดพลังของผู้แข็งแกร่งมากมาย ทำให้พวกเขาไม่อาจเหินนภาหรือลงทะเล ได้แต่ยืนอยู่บนเรือดอกบัว


อีกทั้งพวกเขาต่างต้องต่อต้านและคลี่คลายการโจมตีจิตวิญญาณตลอดเวลาเหมือนกัน หมายลงมือขัดจังหวะการทะลวงปราณของหลินสวิน ต้องเจออุปสรรคอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย


แน่นอนว่า หนทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ ใช้พลังจิตวิญญาณทำการจู่โจมและรบกวน…


หืม?


ขณะหลินสวินคิดถึงตรงนี้ วิญญาณแห่งพลังจิตในห้วงนิมิตพลันสังเกตเห็นว่า มีแสงเยียบเย็นเสียดกระดูกดุจน้ำแข็งพุ่งมาอย่างเงียบเชียบ แทงเข้าสู่ห้วงนิมิตของตนอย่างหนักหน่วง


มีคนคิดโจมตีจิตวิญญาณของตนจริงดังคาด…


เพียงแต่หลินสวินเวลานี้ไม่ได้ยินดีที่รู้ล่วงหน้าแม้แต่น้อย การโจมตีนี้ซ่อนเร้นและอำมหิตยิ่งยวด เขาไม่อาจไม่รับมืออย่างระวัง


‘ผสาน!’


ในห้วงนิมิต วิญญาณแห่งพลังจิตซึ่งเฝ้าระวังอยู่ก่อนแล้วหยัดกายขึ้น เงาร่างสองชุ่นเหยียดตรง เอื้อมมือออกไปสำแดงเคล็ดเวทบริกรรม ก็จับกุมลำแสงเยียบเย็นเสียดกระดูกนั่นไว้ได้อย่างแน่นหนา


นี่ถึงกับเป็นเข็มเงินเล็กละเอียดราวขนวัวเล่มหนึ่ง แผ่ความหนาวเย็นออกมา ปลายเข็มห้อมล้อมรวงอสนีชวนประหวั่นหลากสาย


เข็มเงินวิญญาณสะท้านจิต!


นี่เป็นถึงสมบัติลับจิตวิญญาณที่ชั่วช้าร้ายกาจอย่างหนึ่ง สามารถแทงเข้าสู่ห้วงนิมิตคู่ต่อสู้ท่ามกลางความเงียบงัน รวงอสนีซึ่งรัดพันสามารถระเบิดพลังจิตจนละเอียดชั่วพริบตา!


ทว่าสมบัตินี้น่ากลัวก็ส่วนน่ากลัว แต่กลับยากจะหลอมเหลือประมาณ แม้แต่ในสำนักโบราณคนที่สามารถหลอมสมบัติลับเช่นนี้ได้มีเพียงบางตาไม่กี่คน


เท่านี้ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่า คู่ต่อสู้ซึ่งลอบโจมตีครานี้ความเป็นมาต้องไม่ธรรมดา อีกทั้งเหี้ยมโหดอำมหิต สบโอกาสก็หมายจัดการหลินสวินทิ้งในคราเดียว!


น่าเสียดาย คู่ต่อสู้คงคาดไม่ถึงแต่แรก ว่าหลินสวินในระดับกระบวนแปรจุติจะสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้ ซ้ำยังครอบครองวิชาลับจิตวิญญาณอย่างเคล็ดเวทบริกรรม ต่อให้เข็มเงินวิญญาณสะท้านจิตแกร่งยิ่งกว่านี้ก็ยากจะทำร้ายหลินสวินได้…


ฟุ่บ!


เกือบจะเวลาเดียวกัน จิตรับรู้หลินสวินแผ่ขยายออก สะกดรอยย้อนไปตามทิศทางลอบสังหารของเข็มเงินวิญญาณสะท้านจิต


แค่ชั่วพริบตา เงาร่างสองร่างที่ยืนอยู่บนดอกบัวทองดอกหนึ่งก็สะท้อนในสมองหลินสวิน


คนหนึ่งคืออู่ต้วนหยาสำนักตะวันทมิฬ เจ้าหมอนี่กำลังจ้องมองตนด้วยหน้าตาอึมครึม ส่วนอีกคนคือหลี่ชิงฮวน สีหน้าอบอุ่นนิ่งสงบ


เป็นเขา?


หลินสวินยังจำได้ ตอนอยู่บนเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงนั่น อู่ต้วนหยาเคยถูกตนแกล้งจนแค้นตนเข้ากระดูก


หากเข็มเงินวิญญาณสะท้านจิตมาจากน้ำมือของเขาก็สมเหตุสมผล


แต่ไม่ช้า หลินสวินก็สังเกตเห็นความผิดปกติ


ก็เห็นสีหน้าอู่ต้วนหยาพลันนิ่งงัน คล้ายประหลาดใจสงสัยไม่หยุด หันมาพูดกับหลี่ชิงฮวนอย่างอดไม่อยู่ “พี่หลี่ ทำไมของนั่นถึงไม่ได้ผล”


“หุบปาก!”


ยามนี้หลี่ชิงฮวนกลับสีหน้าอึมครึม ความอบอุ่นบนสีหน้าเลือนหาย เพิ่มความมีอำนาจข่มขู่ผู้คนวูบหนึ่ง “ใช้การสื่อจิตสนทนา อย่าให้เจ้านั่นได้ยินเข้า!”


อู่ต้วนหยาชะงักงัน ไม่ช้าจึงกล่าวคัดค้าน “เจ้าหมอนั่นกำลังทะลวงปราณ ไหนเลยจะได้ยินเสียงพูดคุยของเรา พี่หลี่ เจ้าระวังมากไปแล้ว”


หลี่ชิงฮวนกลับมุ่นคิ้ว แววตาเยียบเย็นกล่าวว่า “กันไว้ดีกว่าแก้!”


เวลาต่อมาหลินสวินก็ไม่ได้ยินเสียงสนทนาอีก เห็นชัดว่าทั้งสองเริ่มสื่อจิตแล้ว


‘เป็นเขาหรอกรึ’


หลินสวินสะท้านในใจ หลี่ชิงฮวน!


ความรู้สึกของเขาต่อคนผู้นี้ลึกล้ำยิ่งยวด ตอนอยู่บนเขาน้ำแข็งปทุมเพลิง เขาเคยเห็นหลี่ชิงฮวนลงมือมาก่อน ดูภายนอกเหมือนคนที่มีฝีมือไม่ได้โดดเด่นเท่าไร แต่แท้จริงแล้วความแข็งแกร่งแห่งศักยภาพถึงขั้นเหนือกว่าซาหลิวฉานอยู่บ้าง!


อีกทั้งคนผู้นี้ซ่อนเร้นเหลือประมาณ ความคิดยากหยั่งถึง คู่ต่อสู้เช่นนี้น่ากลัวที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย


‘ลอบโจมตีข้าครั้งนี้ แม้ไม่ได้มาจากการชี้นำของเขาก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่… เพียงแต่ เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย’


หลินสวินคิ้วขมวด


สวบ!


เวลาต่อมาหลินสวินปลุกหนอนกินเทพตัวหนึ่ง เปลี่ยนเป็นแสงไร้รูปหนึ่งสาย พุ่งไปทางหลี่ชิงฮวนที่อยู่ห่างไกลอย่างเงียบเชียบ


อู่ต้วนหยาไม่น่ากลัวพอ ที่ทำให้หลินสวินระมันระวังจริงๆ คือหลี่ชิงฮวน!



‘มีบางอย่างไม่เข้าที เข็มเงินวิญญาณสะท้านจิตเสียการควบคุมแล้ว ในมือเจ้าหมอนั่นคงมีสมบัติจิตวิญญาณบางอย่าง หรืออาจมีวิชาลับจิตวิญญาณ’


หลี่ชิงฮวนหัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน


‘ไม่กระมัง ความลับบนตัวเจ้านั่นมากไปแล้ว ทั้งศุภโชคจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสมบัติอริยะ ตอนนี้ยังอาจครองสมบัติลับจิตวิญญาณอีกหรือ’


อู่ต้วนหยางงงันยากจะเชื่อ


ทั้งคู่อาศัยการสื่อจิตสนทนา จึงไม่ห่วงว่าจะถูกได้ยิน


‘สิ่งเหล่านี้จริงหรือเท็จใครต่างไม่อาจรู้ แต่ที่สามารถแน่ใจคือ เทพมารหลินเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากยิ่งคนหนึ่ง หมายสังหารเขาน่ะไม่ใช่เรื่องง่าย’


หลี่ชิงฮวนกล่าวถึงตรงนี้ ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ ส่งเสียงอึดอัดในคอ บนใบหน้าพลันปรากฏความเจ็บปวดวูบหนึ่ง


ในห้วงนิมิต หนอนขนาดเท่าเมล็ดข้าวตัวหนึ่งกำลังจู่โจมและกัดกินพลังจิตของเขาอย่างบ้าคลั่ง!


ซ่า…


ฉับพลันนั้น พลังจิตของเขาส่องสว่าง ปรากฏเกราะเจิดจรัสขึ้นชั้นหนึ่ง คุ้มครองพลังจิตไว้ข้างในอย่างแน่นหนา


สวบ!


เพียงแต่เมื่อเขาทรงใช้วิชาลับจิตวิญญาณหมายจองจำหนอนตัวนี้ ฝ่ายหลังพลันกลายเป็นแสงวูบหนึ่งเผ่นแน่บลอยนวล


หลี่ชิงฮวนในใจหนักอึ้งทันควัน ตระหนักได้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้


“พี่หลี่ พี่หลี่ไม่เป็นไรใช่ไหม” ด้านข้าง อู่ต้วนหยากระสับกระส่าย


“ข้าไม่เป็นไร”


หลี่ชิงฮวนสีหน้าแปรปรวนไม่หยุด ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจลึก ฟื้นคืนท่าทางถ่อมตัวละมุนละม่อม สายตาทอดมองมายังหลินสวินที่อยู่ห่างไกล


‘สหายยุทธ์หลินสวิน เมื่อครู่ล่วงเกินไปมาก ข้าทำเช่นนี้ออกจะเป็นการฉวยโอกาสจริงๆ แต่ข้าแค่ออกหน้าแทนสหาย หวังว่าเจ้าจะให้อภัย’


เขาสื่อจิตเอ่ยปาก น้ำเสียงเจือความรู้สึกเสียใจ


การลอบโจมตีที่ร้ายกาจหาใดเปรียบครั้งหนึ่ง ปากเขากลับบอกปัดไปอย่างง่ายๆ


‘ทำไปแล้ว ทำไมต้องขอโทษ’


น้ำเสียงหลินสวินเปี่ยมความเย็นชา


‘หนึ่งแลกหนึ่ง เมื่อครู่ข้าทำร้ายเจ้า เจ้าเองก็โจมตีข้ากลับเช่นกัน ไม่สู้ให้ความเข้าใจผิดระหว่างเราหักล้างกันเช่นนี้เป็นอย่างไร ว่ากันตามจริง หากไม่ขัดต่อคำขอของสหาย ข้าคงไม่ยอมเป็นศัตรูกับเจ้าแน่’


น้ำเสียงหลี่ชิงฮวนเปี่ยมความจริงใจ


‘เจ้าว่าเป็นไปได้หรือ’


เสียงหลินสวินเมินเฉย แท้จริงในใจระวังคนผู้นี้ยิ่งกว่าเดิม เจ้านี่ทำเรื่องต่ำทรามแล้วยังทำท่าอ่อนน้อมถ่อมตนขอโทษเช่นนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้


‘เฮ้อ ข้ารู้ว่าเจ้าหลินสวินเข้าใจผิด แต่ภายหลังข้าจะชดเชยให้ หวังเพียงเจ้าอย่ามองข้าหลี่ชิงฮวนเป็นคนถ่อยต่ำทรามก็พอ’


หลี่ชิงฮวนถอนใจคล้ายปลงตก ไม่กล่าวมากความอีก


หลินสวินเองก็ไม่พูดมาก เขาไม่มีทางถูกคำขอโทษสองสามคำเกลี้ยกล่อมได้


หลี่ชิงฮวนทำเช่นนี้อำมหิตเกินไป หากไม่ใช่ว่าเขาระวังตัวอยู่ก่อน ทันทีที่โดนโจมตี ไม่ใช่แค่ถูกคัดออกง่ายๆ แค่นั้น ยังอาจถูกทำลายจิตวิญญาณจนพิการสิ้นชีพ!


ความแค้นเช่นนี้ หลินสวินไม่มีทางรามือแค่นี้แน่


เพียงแต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ ในพลังจิตของหลี่ชิงฮวนยังซ่อนสมบัติลับจิตวิญญาณไว้ด้วย ทำการป้องกันพลังจิต สามารถต้านทานการโจมตีของหนอนกินเทพได้


‘น่าเสียดาย ปัจจุบันหนอนกินเทพยังอยู่ในระยะตัวอ่อน หากวิวัฒน์ต่อถึงขั้นถัดไปอาจสามารถฉีกกระชากการป้องกันเช่นนี้ได้…’


หลินสวินทอดถอนใจ เวลานี้เขาเองได้แค่อดทนชั่วคราว


เขายังคงทะลวงปราณ แบ่งมือไปจัดการหลี่ชิงฮวนไม่ได้จริงๆ



‘พี่อู่ ครั้งนี้ออกหน้าแทนเจ้า ข้าได้ล่วงเกินเทพมารหลินแล้ว’ หลี่ชิงฮวนถอนใจแผ่ว


‘อะไรนะ เขา… สังเกตเห็นการลงมือของพวกเรางั้นรึ’ อู่ต้วนหยาตกใจ ยากจะเชื่ออยู่บ้าง


‘ใช่น่ะสิ ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเทพมารหลินจะแข็งแกร่งเช่นนี้ ยังเลี้ยงหนอนประหลาดที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกเมื่อครั้งบรรพกาลตัวหนึ่ง…’ นัยน์ตาหลี่ชิงฮวนเจือแววประหลาดวูบหนึ่ง


‘หนอนอะไร ถึงกับสามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกสมัยบรรพกาลได้’ อู่ต้วนหยาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม


หลี่ชิงฮวนส่ายศีรษะ ‘ไม่พูดถึงเรื่องนี้ เจ้าจำไว้แค่ต่อไปต้องระวังหลินสวินให้มาก ทางที่ดีอย่าปล่อยโอกาสให้เขาได้สัมผัสเจ้าแม้แต่น้อย ห่างได้เท่าไหร่จงหลีกไกลเท่านั้น ข้าสงสัยว่าเขาจะไม่เพียงแต่ลงมือกับข้า เกรงว่าเจ้าเองคงถูกเหมารวมไปด้วย’


อู่ต้วนหยากล่าวไม่พอใจ ‘กลัวอะไร เขาเทพมารหลินผูกพยาบาทกับบุคคลแห่งยุคมากขนาดนั้น พวกเรามีอะไรต้องหวาดกลัวด้วย’


หลี่ชิงฮวนแววตาพรั่งพรู เจือความเฉียบแหลม ‘คนอื่นส่วนคนอื่น เจ้าคือเจ้า หากเทพมารหลินคลั่งขึ้นมา… เฮ้อ สุดท้ายแม้เขาถูกฆ่าตายจริง ก็คงจะดึงอีกหลายคนร่วมทางไปปรโลกด้วยแน่!’


เขาหยุดไปชั่วขณะค่อยกล่าวต่อ ‘ข้าตัดสินใจแล้ว หนทางต่อจากนี้จะไม่ปล่อยให้หลินสวินลงมืออะไรกับข้าอีก ตรงไหนมีเขา ข้าจะไม่เข้าใกล้เพียงก้าว’


‘พี่หลี่ เจ้าไม่ระวังเกินไปหน่อยหรือ’ อู่ต้วนหยาคลางแคลงนัก


หลี่ชิงฮวนในความทรงจำของเขาเป็นบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง มีท่วงท่าไร้เทียมทาน พลังต่อสู้เป็นเลิศ ไม่ด้อยไปกว่าบุคคลแห่งยุคคนใด


แต่ตอนนี้หลี่ชิงฮวนคล้ายหวาดกลัวเทพมารหลินนั่นอย่างที่สุด นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว


‘เจ้าไม่เข้าใจ หลินสวินนี่ไม่ธรรมดา ใครดูถูกเขา ต้องจ่ายค่าตอบแทนหนักหน่วงอย่างไม่อาจแบกรับ!’


หลี่ชิงฮวนเอ่ยราบเรียบ ‘คนประเภทนี้ข้าไม่กล้าแส่หาเรื่องชั่วคราว’


อู่ต้วนหยาสีหน้าแปรเปลี่ยน เพิ่งตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ อดไม่ได้ที่จะกล่าว ‘หรือเจ้าคิดว่าพวกอวี่หลิงคงลงมือก็เอาชนะเทพมารหลินไม่ได้’


หลี่ชิงฮวนเงียบอยู่นานจึงค่อยกล่าว ‘เช่นนั้นก็ต้องดูว่าในมือหลินสวินมีสมบัติอริยะจริงหรือไม่กันแน่’


ตอนที่ 885 ชีพกระแสทะเลคราม

‘สมบัติอริยะ?’ อู่ต้วนหยานัยน์ตาพลันหดรัด


‘อย่าลืมสิ อวี่หลิงคงแดนกาฬทักษิณนั่นโดยสารตำหนักอมตะมา… นี่น่ะเป็นสมบัติอริยมรรคที่เลื่องชื่อลือนามชิ้นหนึ่ง!’


หลี่ชิงฮวนกล่าวเนิบช้า ‘เจ้าคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เทพมารหลินมีความสามารถอะไรมาต่อกรอวี่หลิงคง’


อู่ต้วนหยาพลันกระจ่าง ในใจสั่นสะท้าน ‘ที่แท้เป็นเช่นนี้’


‘ไม่เพียงแต่อวี่หลิงคง ในมือพวกจี้ซิงเหยา มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวินคงมีไพ่ตายอันแข็งแกร่ง’


หลี่ชิงฮวนกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าปรากฏความปรามาสอย่างยากจะเห็นวูบหนึ่ง ‘นี่ก็คือช่องว่างระหว่างบุคคลแห่งยุคและผู้ฝึกปราณทั่วไป เดิมพวกเขาก็เป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณ พรสวรรค์เป็นเลิศ ทั้งมีสมบัติลับป้องกันตัวที่อาจารย์มอบให้ นี่จะให้ผู้ฝึกปราณอื่นเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร’


‘ว่าไปแล้วข้าเองก็ชื่นชมเทพมารหลินนัก ทั้งไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักโบราณ ทั้งไร้เบื้องหลังให้พึ่งพิง กลับสามารถฟันฝ่าสร้างชื่อใหญ่โตขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว สั่นสะเทือนคนรุ่นเยาว์แดนฐิติประจิม อาศัยแค่จุดนี้ก็เพียงพอให้ผู้แข็งแกร่งส่วนมากต่างละอาย’


อู่ต้วนหยาชะงักงัน รู้สึกเพียงคำพูดนี้ของหลี่ชิงฮวนเจือรสผิดแปลก


‘พี่หลี่ เจ้าก็เป็นบุคคลแห่งยุคจากสำนักยุทธ์สมุทรครามเช่นกัน’ อู่ต้วนหยากล่าวอย่างอดไม่อยู่


หลี่ชิงฮวนถอนใจแผ่ว พลางกล่าว ‘ดังนั้นข้าจึงยิ่งเข้าใจความต่างของเทพมารหลินกับเอกบุคคลอื่น’


“อ๊าก…!”


ที่ห่างไกลพลันมีเสียงร้องหนึ่งดังขึ้น ทำเอาผู้แข็งแกร่งบริเวณใกล้เคียงตื่นตระหนก


ก็เห็นบุรุษเผ่าหงส์เขียวคนหนึ่ง สองมือกุมศีรษะ หน้าตาบิดเบี้ยว สภาพราวเจ็บปวดหาใดเปรียบ แผดเสียงคำรามลั่น “เข็มเงินวิญญาณสะท้านจิต! เทพมารหลิน เจ้ามันโหดเหี้ยม!”


ซ่า…


กาลต่อมา ชายผู้นี้ก็ถูกคลื่นทะเลม้วนกลืนฝังกลบคัดออก


บรรยากาศกลางที่นั้นเงียบสงัดทันที สายตามากมายที่มองยังหลินสวินเปลี่ยนเป็นวูบไหวไม่หยุด


ใครต่างไม่คาดคิด ว่าเทพมารหลินยังมีแรงโต้กลับในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่กำลังทะลวงปราณข้ามขั้นอยู่ อีกทั้งการโจมตียังอำมหิตดุดันเช่นนี้


เข็มเงินวิญญาณสะท้านจิต!


นี่เป็นสมบัติลับซึ่งชื่อเสียงโจษจันร้ายกาจหาใดเปรียบ!


เพียงชั่วขณะ ผู้แข็งแกร่งที่เดิมหมายฉวยโอกาสนี้ลงมือกับหลินสวินบางส่วน ต่างหยุดความคิดในใจ


แต่สีหน้าหลี่ชิงฮวนและอู่ต้วนหยาที่เห็นภาพนี้กับตาล้วนผิดแปลกอยู่บ้าง จริงดังคาด เข็มเงินวิญญาณสะท้านจิตนั่นถูกเทพมารหลินชิงไปแล้ว…



ตูม!


พลังขับเคลื่อนทั่วร่างหลินสวินแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ผิวเรืองอร่ามดั่งสร้างจากทองเซียนสีใส แผ่แสงเจิดจรัสออกมา


เลือดลมเขาส่งเสียงกัมปนาทราวอสนีครวญกระหึ่ม ทั้งตัวดุจภูเขาไฟสะกดกลั้นเนิ่นนานจวนระเบิด


ทุกคนล้วนดูออก เทพมารหลินทะลวงปราณถึงช่วงสำคัญที่สุดแล้ว


นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายจิตใจว้าวุ่น เดิมปราณหลินสวินก็ทรงพลังและพลิกฟ้าพออยู่แล้ว เพียงพอประชันกับบุคคลแห่งยุค


หากปราณเขาทะลวงขึ้นไปอีก พลังต่อสู้เขาคงเปลี่ยนเป็นน่ากลัวกว่าเดิมโดยไร้กังขาแม้แต่น้อย!


“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายหลังใครจะยังกำราบเขาได้” มีผู้แข็งแกร่งชิงชัง น้ำเสียงเจือความไม่พอใจวูบหนึ่ง


“เฮ้อ เทียบกับคนอื่นแล้วพาลโมโห ก่อนนี้ข้าคิดว่าตนสามารถลำพองในหมู่คนรุ่นเยาว์ได้ แต่นับจากเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครานี้ พบเจอความสง่างามของบุคคลแห่งยุคมากมาย กลับทำเอาข้ากระเทือนต่อเนื่อง ตระหนักได้โดยสมบูรณ์ว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า” และมีผู้แข็งแกร่งรำพึงสะท้อนใจ


“หึ คิดฉวยโอกาสนี้เลื่อนขั้น? ละเมอเพ้อพก!”


ทันใดนั้นเสียงตวาดดั่งฟ้าคะนองดังก้องขึ้น ก็เห็นบนเรือดอกบัวหนึ่งที่ห่างออกไป เงาร่างซาหลิวฉานผ่าเผย ห้าวหาญสยบผู้คน


“ชีพกระแสทะเลคราม!”


ทั่วร่างเขาโหมซัดแสงโลหิตหมื่นจั้ง ยื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บ


เสียงครืนหนึ่งดังขึ้น ทะเลปรวนแปรพลันปรากฏเกลียวคลื่นสูงหมื่นจั้ง กลายเป็นกระแสวังวนชวนประหวั่น บดอัดห้วงอากาศมุ่งทะยานไปทางหลินสวิน


เฮือก…


เหล่าผู้กล้าสูดหายใจเยียบเย็น นี่คือทะเลปรวนแปร น้ำทะเลแต่ละหยดล้วนหนักหมื่นชั่ง แม้ผู้แข็งแกร่งทั่วไปลงมือเต็มกำลังก็ได้แค่กระพือพัดคลื่นเล็กน้อยเท่านั้น


แต่ปัจจุบันกลับมีคลื่นวังวนโหมซัดบดอัดห้วงอากาศ ถูกซาหลิวฉานชักนำราวจะปิดคลุมฟ้าดิน ปรากฏการณ์นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว


“ถอย!”


ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งที่อยู่ระหว่างทางหน้าเปลี่ยนสี บังคับเรือดอกบัวใต้เท้าถอนหนีห่างไกล เกรงแต่จะถูกลูกหลง กระแสน้ำวนนี้น่ากลัวเกินไป อย่าว่าแต่ถูกชน แค่ถูกคลื่นกระทบก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถแบกรับไหว


ครืนๆ!


คลื่นน้ำท่วมฟ้ากลายเป็นวังวนบดอัด นี่ทำให้ทุกคนต่างตระหนักว่า ซาหลิวฉานหมายทำลายการเลื่อนขั้นปราณของเทพมารหลินในคราเดียว ทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรกถูกกำจัดโดยสมบูรณ์!


“บ้าเอ๊ย!” เยวี่ยเจี้ยนหมิงแค้นจนดวงตาปูดโปนแทบถลน ปราณทั่วร่างเขาโคจรถึงขีดสุด เตรียมการรับมือเต็มกำลัง


ตูม!


กระแสน้ำวนล่วงล้ำ โหมซัดพลังบดอัดชวนประหวั่น หมายม้วนกลืนหลินสวินและเยวี่ยเจี้ยนหมิงสู่ภายใน


“เฉือน!” เยวี่ยเจี้ยนหมิงคำรามเดือดดาล เรียกกระบี่วิญญาณออกมา ฟันแสงเจิดจ้าออกมาต่อต้านมัน


แต่ชั่วพริบตาทั้งตัวเขาก็สะเทือนรุนแรงราวกับโดนฟ้าผ่า เกือบถูกกระแสน้ำวนนั่นพัดลอยออกไป


พลังนี้น่ากลัวเกินไป หาใช่สิ่งที่เขาสามารถต้านทาน!


แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ เยวี่ยเจี้ยนหมิงยังกัดฟันราวสู้สุดชีวิต นำไพ่ไม้ตายที่ตนมีทั้งหมดออกมา


ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อาจมองดูหลินสวินเลื่อนขั้นปราณล้มเหลวตาปริบๆ ได้


“น่าขัน เผ่าฉลามสมุทรของข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้น้ำ ข้าใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1] พัดพาลมพายุน้ำทะเลขึ้น มีหรือจะเป็นสิ่งที่คนอย่างเจ้าสามารถต้านทานได้”


“ไสหัวไป!” ซาหลิวฉานส่งเสียงตะโกนลั่น เพียงขยับมือก็พัดพากระแสน้ำวนราวทะลวงเมฆาขึ้นมา บดอัดออกไปอีกครั้ง


เหล่าผู้กล้าตะลึงพรึงเพริด ซาหลิวฉานกร้าวแกร่งเกินไปแล้ว บนทะเลปรวนแปรอันตรายระดับใด เขากลับมีพลานุภาพก่อคลื่นลม เห็นได้ว่าดุดันมากจริงๆ


ครืน… กระแสน้ำวนอีกระลอกส่งเสียงกัมปนาท บดอัดผืนทะเลม้วนแผ่กลืนกิน


เทพมารหลินประสบหายนะแน่!


ทุกคนล้วนดูออก แค่เยวี่ยเจี้ยนหมิงคนเดียวรับมือกระแสน้ำวนลูกหนึ่งก็ลำบากมากแล้ว ภายใต้การตีขนาบของกระแสน้ำวนระลอกสองนี้ เขาและหลินสวินที่อยู่ข้างกายต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่!


“หลินสวิน ขอโทษด้วย…” เยวี่ยเจี้ยนหมิงถอนใจ เขารู้สึกผิดนัก รับรู้ว่าภายใต้การโจมตีนี้ ถึงแม้ตนสู้สุดชีวิตก็ไร้ประโยชน์


ครืน!


น้ำวนรุกล้ำ ชั่วพริบตาก็ม้วนกลืนหลินสวินและเยวี่ยเจี้ยนหมิงเข้าไปพร้อมกัน


เหล่าผู้กล้าในใจหนาวเยือก นี่เพิ่งเป็นการทดสอบด่านที่สาม เทพมารหลินก็ประสบเคราะห์แล้วหรือ


“ต่ำช้า!” ไป๋หลิงซีที่อยู่ห่างไกลเดือดดาล ไม่อาจนิ่งสงบ


“เทพมารหลินจบเห่แล้ว?” อู่ต้วนหยายากจะเชื่ออยู่บ้าง ถูกข่าวดีกะทันหันทำเอางงงัน


หลี่ชิงฮวนเองก็ขมวดคิ้ว คลางแคลงอยู่บ้าง


ยามนี้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดบนผืนทะเลใกล้ๆ ต่างติดตามใกล้ชิด คลื่นน้ำวนส่งเสียงกัมปนาท เกลียวคลื่นซัดสาดม้วนกลืนโดยรอบ ไม่อาจเห็นเงาร่างของหลินสวินและเยวี่ยเจี้ยนหมิง


ประสบเคราะห์ถูกคัดออกแล้วจริงหรือ


“ฮ่าๆๆ เทพมารหลินขี้หมาอะไรกัน ข้าแค่แสดงฝีมือเล็กน้อยเขาก็ต้านไม่อยู่ ช่างอ่อนแอจริงๆ!” ห่างออกไปซาหลิวฉานแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่า สีหน้าได้ใจหาใดเปรียบ


ก่อนหน้านี้ที่เมืองผาดารา เขาเคยถูกหลินสวินซัดพินาศอย่างแกร่งกร้าว เสียหน้าต่อหน้าคนนับไม่ถ้วน พาให้รู้สึกอัปยศใหญ่หลวง


แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็กอบกู้สถานการณ์ ลบล้างความอดสูได้แล้ว!


“ฮึ!”


ละแวกใกล้เคียงแว่วเสียงฮึเย็นชา บุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง ชิงเหลียนเอ๋อร์ จั๋วขวงหลันต่างไม่สบอารมณ์ยิ่ง


เดิมพวกเขามาดหมายว่าเมื่อถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณค่อยจู่โจมสังหารหลินสวิน ไหนเลยจะคิดว่าบนทะเลปรวนแปร ซาหลิวฉานกลับชิงโจมตีก่อน


เห็นหลินสวินอาจประสบเคราะห์กับตา นี่ทำให้ในใจพวกเขาต่างไม่พอใจอยู่บ้าง


ครั้นสังเกตเห็นแววตาไม่สบอารมณ์บางส่วน ซาหลิวฉานกลับได้ใจยิ่งกว่าเดิม เทพมารหลินโอหังเพียงไหน แต่สุดท้ายยังถูกเขาคนเดียวคว่ำกำราบ นี่ทำให้เขาพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


‘ฉวยโอกาสซ้ำเติมผู้อื่นแล้วยังหัวเราะฮึกเหิมเสียปานนี้ ไม่รู้สึกอายบ้างหรือ’ ผู้แข็งแกร่งบางส่วนที่ค่อนข้างยกย่องหลินสวินต่างแอบด่าในใจไม่หยุด เห็นว่าการกระทำของซาหลิวฉานชั่วช้าเกินไป ชนะอย่างไม่ใสสะอาด แต่เจ้าตัวกลับไม่คิดว่าหน้าอาย มองว่าเป็นเกียรติยศ ทำให้ผู้คนดูถูก


“ทุกท่าน เทพมารหลินประสบเคราะห์เช่นนี้ ต้องธาตุไฟเข้าแทรกปราณสูญสิ้นระหว่างเลื่อนขั้นแน่ พวกเจ้าว่าวันนี้ข้าซาหลิวฉานธำรงธรรมแทนสวรรค์ ขุดรากถอนโคนหายนะครั้งใหญ่แก่แดนฐิติประจิมหรือไม่ ฮ่าๆๆ”


ซาหลิวฉานพูดพลางหัวเราะลั่นอีกคราอย่างอดไม่อยู่ เห็นได้ว่าในใจเขาปราศกังวลระดับใด


นี่ทำให้บุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งต่างทนดูไม่ได้อยู่บ้าง ลอบโจมตีสำเร็จเท่านั้น ควรค่าแก่การลำพองและหลงระเริงเช่นนี้หรือ


“รีบดูเร็ว!” ทันใดนั้นพลันมีคนร้องเสียงตกตะลึง


เหล่าผู้กล้าเงยหน้ามองไป ก็เห็นกระแสน้ำวนที่ยังม้วนอยู่บนผืนทะเลนั่นระเบิดออกฉับพลัน


ซ่า…


หยาดน้ำพร่างฟ้าราวศรอุทกซัดสาดทั่วทิศ เจิดจรัสบาดตา


ขณะเดียวกัน ดอกบัวสีทองดอกหนึ่งพุ่งโฉบออกมาดั่งรุ้งเทพ ไถช่องทางตรงดิ่งบนผืนทะเลราวเหล็กหมาดปลายแหลมทะลวงคลื่น


บนดอกบัวทองสองเงาร่างเด่นตระหง่าน หนึ่งคือเยวี่ยเจี้ยนหมิง อีกหนึ่งก็คือหลินสวิน!


ชายเสื้อของเขาเริงระบำ ผมดำพลิ้วไหว เงาร่างสูงสง่าอบอวลแสงประกายเจิดจรัส นัยน์ตาดำวาบแววยะเยือกเย็น ชวนประหวั่นหาใดเปรียบ


นี่…


ทุกคนตรงนั้นตะลึงงัน ต่างแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง


เมื่อครู่กระแสน้ำวนน่าสะพรึงนั่นม้วนซัด ยังไม่อาจทำให้เทพมารหลินประสบเคราะห์อีกหรือ ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในช่วงสำคัญของการเลื่อนขั้นทะลวงปราณหรือ ทำไมยังมีพลังโต้กลับได้


เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


“เขาเลื่อนขั้นแล้ว!” ห่างออกไป หลี่ชิงฮวนแววตาดุจสายฟ้า มองออกในปราดเดียว


ขณะเดียวกันบุคคลแห่งยุคมากมายต่างสังเกตเห็น ว่าพลังทั่วร่างหลินสวินเกิดการแปรสภาพ น่าหวาดกลัวกว่าก่อนหน้า ลึกล้ำยากหยั่งถึงดั่งเหวลึกบรรพตตระหง่าน!


“ดูท่า เขาคงก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางอย่างราบรื่นในช่วงคับขันอันตรายที่สุดนั่น หลบเลี่ยงความเสี่ยงของการถูกธาตุไฟเข้าแทรก และถือโอกาสคลี่คลายสภาวะลำบากของตน…” มีคนพึมพำ


“ทำไม… ทำไมเป็นเช่นนี้” อู่ต้วนหยาตะลึงงัน ในใจเขากำลังยินดี ไหนเลยจะคิดว่าผลกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง


‘ข้าว่าแล้ว ในเมื่อเขากล้าเลือกทะลวงปราณบนทะเลปรวนแปรก็ต้องมีความมั่นใจ ไม่มีทางประสบเคราะห์ง่ายดายเช่นนี้แน่’ ไป๋หลิงซีมุมปากระบายยิ้ม ความร้อนรนและเดือดดาลภายในใจหายเป็นปลิดทิ้ง


นี่สิหลินสวินที่นางรู้จัก มักทำให้คนเกินคาดหมาย นำพาความไม่คาดฝันและประหลาดใจแก่ผู้คน


ซาหลิวฉานซึ่งเดิมแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่นได้ใจเต็มประดา เวลานี้ท่าทางราวเป็ดที่ถูกบีบคอ เสียงพลันหยุดชะงัก รอยยิ้มค้างแข็ง


“นี่เป็นไปได้อย่างไร”


ดวงตาเขาเบิกกว้าง ไม่อาจยอมรับ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวไม่น่าดูยิ่ง


ก่อนหน้านี้เขาฮึกเหิมเริงลำพองระดับใด แต่ปัจจุบันกลับมีท่าทางตระหนกราวถูกฟ้าผ่า ความแตกต่างช่างมากเหลือเกิน


เหล่าผู้กล้าในใจต่างเวทนาขึ้นมาบ้าง เจ้าซาหลิวฉานนี่… ซวยแน่แล้ว!


………..


[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง แรกเริ่มเป็นเคล็ดวิชาการฝึกมวยไทเก็ก ภายหลังกลายเป็นสำนวนที่นิยมใช้ในงานประพันธ์ หมายถึงการใช้กำลังเพียงน้อยนิดเอาชนะหรือป้องกันแรงมหาศาลที่พุ่งโจมตีเข้ามาได้


ตอนที่ 886 ควบรวมวารีเป็นดาบ

พวกอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยาต่างหรี่ตาลง หลินสวินไม่ประสบเคราะห์ กลับเลื่อนขั้นภายใต้อันตรายในคราเดียว นี่ทำให้พวกเขายังตกตะลึงเช่นกัน


ถัดจากนั้นพวกเขาต่างมีทีท่ารอดูเรื่องสนุก นัยน์ตาเจือความเพลิดเพลินเสี้ยวหนึ่งมองไปทางซาหลิวฉาน


กิริยาเมื่อครู่ของเจ้านี่ขัดตาเหลือเกิน ดีใจจนลืมตัว ทำให้ในใจพวกเขาค่อนข้างไม่พอใจอยู่บ้าง


“ได้ยินว่าเจ้าชำนาญการเล่นน้ำมาก ไม่เช่นนั้นพวกเรามาเล่นกันหน่อยเป็นอย่างไร”


หลินสวินนัยน์ตาเยียบเย็นดุจอสนี จ้องซาหลิวฉานที่อยู่ห่างไกลเขม็ง พลังขับเคลื่อนทั่วร่างพรั่งพรู แผ่กลิ่นอายชวนประหวั่น


“ฮึ!”


ซาหลิวฉานในใจแม้ตกตะลึง แต่ก็ไม่เกรงกลัวหลินสวิน


ซ่า!


ทว่าไม่รอเขาเอ่ยปาก หลินสวินที่อยู่ห่างไกลสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง บนผืนทะเลพลันมีน้ำทะเลพันหมื่นควบรวมตัวเป็นคมดาบพวยพุ่งออกมา


คมดาบนี้แต่ละสายล้วนยาวหนึ่งฉื่อ ควบรวมจากน้ำทะเลทั้งสิ้น แวววาวโปร่งแสง คมปลาบบาดตา เฉียบคมหาใดเปรียบ


ควบรวมน้ำเป็นดาบ!


เหล่าผู้กล้าอ้าปากค้าง น้ำทะเลนี่ไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่ละหยดล้วนหนักเกินหมื่นชั่ง แต่บัดนี้ถูกควบรวมเป็นคมดาบพันหมื่นสายปกคลุมฟ้าดิน คมกริบเต็มฟ้า ภาพฉากนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว


“แย่แล้ว!” ซาหลิวฉานในใจสั่นสะท้าน สังเกตเห็นความอันตราย


“ไป!”


หลินสวินยืนหยัดบนเรือดอกบัว ยื่นมือกลางอากาศชักนำ คมดาบทั่วฟ้าเปล่งเสียงวู้มๆ แหวกฝ่าความว่างเปล่า


จากสายตาคนนอก หลินสวินขณะนี้ดุจเซียนกลางดาบ ไร้มลทินเหนือห้วงมายา ขับเคลื่อนคมดาบสุดคณนากวาดวาดในทะเลปรวนแปร


ฟุ่บๆ


ห้วงอากาศถูกฉีกทึ้งดั่งไหมทอ ปลายดาบพร่างพราวคำรามหวือ ภาพนั้นช่างราวกับกองกำลังพันหมื่นออกตีฝ่า ไอสังหารชวนประหวั่นแผ่กระจาย


“แกร่งเกินไปแล้ว!” ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ต่างรู้สึกตกตะลึง


“การควบคุมมหามรรคธาตุน้ำของเขาบรรลุถึงขั้นเจตจำนงแห่งมรรค ยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด สามารถควบรวมน้ำเป็นดาบเพียงสะบัดแขนเสื้อ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์มีน้อยคนนักที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้” มีคนกล่าวรำพึง


ผู้ชมการต่อสู้ไม่มีใครไม่พยักหน้า


เจตจำนงแห่งมรรค คือพลังที่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทุกคนล้วนสามารถครองพลังเจตจำนงแห่งมรรค


ตรงกันข้าม คนที่ครอบครองพลังเจตจำนงแห่งมรรคในระดับนี้ได้ ไร้หนึ่งในหมื่นอย่างแน่นอน!


นอกจากนี้พลังมหามรรคยากหยั่งอัศจรรย์เกินไป ใช่ว่าจะถูกหยั่งถึงและควบคุมได้ตามสะดวก จำเป็นต้องมีวาสนาและศุภโชค!


และระดับเจตจำนงแห่งมรรค ห่างไกลเหนือระดับท่วงทำนองแห่งมรรคซึ่งพื้นฐานที่สุดอยู่โข คิดหมายควบคุมก็ยิ่งยาก


แม้แต่ในเหล่าผู้กล้า ณ ที่นั้น ส่วนมากก็แค่ครองพลังมหามรรคระดับท่วงทำนองแห่งมรรค มีเพียงหนึ่งหยิบมือที่ครองพลังเจตจำนงแห่งมรรค


ด้วยเหตุนี้ชั่วขณะที่เห็นพลังเจตจำนงแห่งมรรคของหลินสวินเปลี่ยนสิ่งไร้ค่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ จึงดึงดูดสายตาตกตะลึงเช่นนี้


“ทะยาน!”


เผชิญหน้าหมื่นศาสตราซัดสาด สีหน้าซาหลิวฉานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เลือดลมทั่วร่างโหมซัด แขนเสื้อสะบัดดังฟึ่บฟั่บ พลังทั่วร่างทะยานถึงขีดสุด เห็นเพียงสองมือของเขาหอบความว่างเปล่าราวค้ำหยินหยาง ยกขึ้นเนิบช้ากลางอากาศ


บนผืนทะเลกำแพงน้ำหลากสายทะยานขึ้นมาดังครืนๆ กำแพงน้ำเหล่านี้สูงร้อยจั้ง หนาสิบจั้ง เพิ่งปรากฏบนผืนทะเลก็เยือกแข็งรวดเร็ว กลายเป็นกำแพงน้ำแข็ง


ทอดมองจากไกลๆ เสมือนภูเขาน้ำแข็งหลายลูกอุบัติขึ้นกลางทะเล


ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!


ดาบวารีเรือนพันเรือนหมื่นโฉบเข้ามา พริบตานั้นก็เฉือนกำแพงน้ำแข็งสิบกว่าสาย ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น เศษน้ำแข็งแตกละเอียดซ่านกระเซ็น


แม้กล่าวว่าในขั้นตอนนี้ดาบวารีถูกกีดขวาง สลายไปไม่น้อย แต่ยังมีดาบวารีอีกมากมายแน่นขนัดพุ่งตรงมา


ภายใต้สายตาสะท้านไหวทั้งหมดที่จับจ้อง ดาบวารีหนาแน่นราวพายุม้วนหอบ แหวกทำลายทุกสิ่ง ทะลวงโค่นอุปสรรคทั้งมวล


“ทะยาน!”


ซาหลิวฉานตื่นตระหนก ทั่วร่างแข็งทื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย แผดเสียงตะเบ็งลั่น โคจรพลังทั้งหมดถึงขีดสุด เลือดลมทั้งตัวทะลวงฟ้า ทรงพลังอย่างยิ่ง


ครืน…


บนผืนทะเล กำแพงน้ำแข็งมากมายผงาดขึ้นป้องกันโดยรอบ แวววาวโปร่งแสง ทั้งอบอวลพลังวิญญาณและเจตจำนงแห่งมรรคอันบริสุทธิ์


นี่เทียบกับกำแพงสำริดผนังเหล็กแล้วยังแข็งแกร่งกว่า!


เคร้งๆๆ ดาบวารีแหลมคมโหมซัดชิดถี่ ปะทะเข้ากับกำแพงน้ำแข็ง ส่งเสียงบาดหูราวทวนทองตัดกระทบ


ผู้แข็งแกร่งมากมายละแวกใกล้เคียงเลือดลมปั่นป่วน ไม่อาจไม่หลีกหนี เกรงแต่จะถูกลูกหลง


ทว่าเพียงชั่วพริบตา กำแพงน้ำแข็งมากมายนั่นถูกสะบั้นแหลกอีกครั้ง เฉือนตัดเป็นซากน้ำแข็ง ร่วงลงครืนๆ สู่ผืนทะเล


ขณะเดียวกัน ยังเหลือดาบวารีนับร้อยพุ่งมาถึงหน้าซาหลิวฉาน!



ซาหลิวฉานสีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ เห็นชัดว่าคาดไม่ถึงว่าอานุภาพของดาบวารีเหล่านั้นจะน่ากลัวเช่นนี้


ฉึ่บ!


ดาบวารีเล่มหนึ่งโฉบผ่าน เฉือนฝากรอยโลหิตบนแก้มเขา จากนั้นผมยาวปอยหนึ่งถูกตัดขาด คลาดเพียงนิดก็จะเฉือนลงบนหน้า


ปึง!


เงาร่างเขาสั่นสะท้าน แขนขวาถูกทะลวงเกิดรูโหว่ชุ่มเลือดหนึ่ง เลือดแดงสดสาดกระจาย


ไม่ใช่ซาหลิวฉานไม่ปัดป้อง แต่ดาบวารีพวกนี้มีมากเกินไป ชิดถี่ราวพายุฝนเทกระหน่ำ เขาพยายามสลายเต็มกำลัง แต่ยังเลี่ยงการบาดเจ็บไม่ได้


ปึงๆๆ


ดาบวารีแวววาวเจือไอสังหารดุดันชวนประหวั่น พลังน่าอัศจรรย์ ซาหลิวฉานแผดเสียงคำรามต่อต้าน แต่ร่างกายกลับถูกกระเทือนจนซวนเซไม่หยุด เลือดลมทั่วร่างตีกลับ ยากจะรับจนเกือบกระอักเลือด


ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่อาจเหินอากาศ ได้แต่บังคับเรือดอกบัวหลีกหลบ แต่เรือดอกบัวต้องอาศัยปราณของตนมาควบคุม ทำให้ความเร็วเขาช้าลงมากโดยปริยาย


“อ๊าก…!” ซาหลิวฉานส่งเสียงคำรามพิโรธ ดวงตาปูดโปนแทบถลน นัยน์ตาแดงก่ำ แสงศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่างพลุ่งพล่าน แม้ใช้แรงเต็มกำลังกลับทำได้แต่ฝืนต้านทาน


จากมุมมองคนนอก เห็นดาบวารีเจิดจรัสแวววาวเล่มแล้วเล่มเล่าฟันลงมา ปกคลุมซาหลิวฉานไว้ภายในทั้งตัว แต่ละครั้งที่ฟันเฉือนต่างทำให้เขาสั่นเทาไปทั้งร่าง ได้รับแรงปะทะยากจินตนาการ!


เมื่อดาบวารีทั้งหมดถูกสลาย ซาหลิวฉานก็เลือดอาบไปทั้งตัว ผิวทุกกระเบียดล้วนสั่นสะท้านกระตุกเกร็ง สีหน้าบิดเบี้ยว


พรูด!


เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ เขาได้รับบาดเจ็บภายในเช่นกัน พลังที่ดาบวารีนั่นบรรจุไว้เฉียบขาด ดุดัน อัดแน่น มีพลังทำลายล้างน่ากลัวยิ่งยวด



ในที่นั้นเงียบสงัด เงียบสนิทไร้สุ้มเสียง


ทั้งหมดนี้พูดแล้วดูเนิบช้า แต่ความจริงล้วนเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ ไม่กี่อึดใจ


และตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินใช้แค่การโจมตีเดียว


โบกแขนเสื้อหนึ่งครา ดาบวารีหมื่นพันบุกทะลวง เฉือนแหวกห้วงอากาศปั่นป่วนลมเมฆ ปกคลุมลงมา!


แต่ซาหลิวฉานซึ่งเป็นบุคคลแห่งยุคที่มีชื่อเสียงยิ่งคนหนึ่ง ภายใต้การโจมตีนี้กลับไม่อาจต้านจนได้รับบาดเจ็บ!


ฝีมือเช่นนี้เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้า


เพียงชั่วขณะสีหน้าเหล่าผู้กล้าตะลึงงัน แม้แต่บุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา มู่เจี้ยนถิง ต่างไม่อาจนิ่งสงบอยู่บ้าง


หลินสวินหลังเลื่อนขั้น เผยพลังต่อสู้ชวนประหวั่นเหนือกว่าที่ผ่านมา ทำเอาพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันหนักหน่วง


“อ๊าก…” ทันใดนั้นมีคนร้องอนาถ ถูกน้ำทะเลตลบม้วน คว่ำหล่นจากเรือดอกบัวและถูกคัดออก


ที่แท้คนผู้นี้มัวแต่ชมการต่อสู้ ช่วงที่ประมาทจึงถูกพลังอัศจรรย์จากทะเลปรวนแปรจู่โจมสภาวะจิต จนกระทั่งถูกคัดออกไป


นี่เห็นได้ว่าน่าขันนัก แต่ก็สามารถมองออกว่าการต่อสู้นี้ที่ดูเหมือนสั้นๆ แต่ความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นกลับใหญ่หลวง!


เหล่าผู้กล้าสำรวมจิต ระวังตัวขึ้นมาทันที


ถึงอย่างไรก็อยู่กลางการทดสอบด่านที่สาม พลังของทะเลปรวนแปรมีผลต่อสภาวะจิตอย่างน่ากลัวยิ่งยวด พลาดเพียงก้าวก็จะถูกคัดออก



“สนุกไหม”


ห่างออกไป ชายเสื้อหลินสวินโบกพลิ้ว นัยน์ตาเยียบเย็นมองซาหลิวฉานจากไกลๆ


“เจ้านี่มันรนหาที่ตาย!”


ซาหลิวฉานคำราม ทั้งตัวเขาอาบโลหิตได้รับบาดเจ็บสาหัส ในใจเต็มไปด้วยความอัปยศและเดือดดาล แค้นจนเกือบคลั่ง


“ดูท่าเจ้าคงอยากเล่นต่ออีกหน่อย”


หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ครืนๆ ดาบวารีเจิดจรัสแวววาวนับหมื่นพันพุ่งปกคลุมห้วงอากาศ ปลายคมส่องระยับไร้เทียมทาน


แค่ชั่วพริบตา ดาบวารีแน่นขนัดโฉบพุ่งออกไป


ซาหลิวฉานหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เขาเคยเจอความน่ากลัวของพลังนี้มาก่อน มีหรือจะเลือกฝืนปะทะอีก รีบบังคับเรือดอกบัวเต็มกำลัง หลบลี้หลีกไกลในบัดดล


เขาถึงกับหนีแล้ว!


เหล่าผู้กล้าต่างตกตะลึง


แม้หลินสวินเองยังชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนอย่างซาหลิวฉานจะเลือกถอยไม่สู้


“หลินสวิน รอถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสพลังที่แท้จริงของข้า!” ห่างออกไป เสียงคำรามพยาบาทหาใดเปรียบของซาหลิวฉานดังมา


ในวาจาเจือการข่มขู่โดยไม่ปกปิดแม้แต่น้อย


“แม้แต่ความกล้าจะเล่นน้ำกับข้ายังไม่มี ยังมาข่มขู่ข้ายกใหญ่ ไม่รู้สึกว่าน่าขันหรือ” หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น


เขาไม่ได้ไล่ตามไป เหตุผลนั้นง่ายมาก เขาไม่คิดให้ซาหลิวฉานถูกคัดออก หมายต่อสู้จัดการเขาในคราเดียว กำจัดภัยร้ายในภายภาคหน้า!


“เจ้าหมอนี่ฉลาดนัก รู้ว่าการควบคุมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำไม่อาจตีเสมอหลินสวิน ด้วยเหตุนี้จึงเลือกซ่อนคมไว้ในฝัก” หลี่ชิงฮวนกล่าวพึมพำ


“เจ้าว่าเขาไม่ได้ถูกขู่จนถอยหรือ” อู่ต้วนหยาชะงักงัน


“ซาหลิวฉานมาจากทะเลมารพิฆาต ถูกขนานนามว่าหนึ่งในสิบยอดผู้กล้าแห่งยุคของทะเลมารพิฆาต พวกเขาเผ่าฉลามสมุทรก็เป็นราชันในฟากหนึ่งเช่นกัน บรรพบุรุษเคยปรากฏอริยะที่แท้จริง ในมือคนอย่างเขาต้องมีมหาอาวุธสังหารที่พึ่งพาได้แน่”


หลี่ชิงฮวนกล่าวราบเรียบ “และนี่ ก็คือความมั่นใจที่ทำให้เขากล้าเอ่ยทิ้งท้ายข่มขู่หลินสวิน!”



ซาหลิวฉานไม่สู้แต่ถอยร่น หนีเตลิดจากไป


นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่ง ณ ที่นั้นต่างสั่นสะท้านหนักหน่วง ไม่มีใครเยาะหยันว่าซาหลิวฉานอ่อนแอ สิ่งที่พวกเขาตกตะลึงคือพลังต่อสู้ของหลินสวิน


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


แม้แต่บุคคลแห่งยุคล้วนถูกเขาโจมตีบาดเจ็บง่ายดาย ตระหนกจนถอยหนีไป ช่างทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาว่าเขาแข็งแกร่งถึงระดับใดกันแน่


บุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ กลับมีความคิดแตกต่างไป แอบวิเคราะห์เปรียบเทียบตัวเองกับหลินสวินอยู่ในใจ


หลังจากหลินสวินเลื่อนขั้น เปลี่ยนเป็นทรงพลังยิ่งกว่าเดิม นี่ทำให้พวกเขาเกิดแรงกดดัน ไม่อาจไม่ให้ความสำคัญและจริงจัง


ในชั่วขณะหนึ่งกลางทะเลปรวนแปรไม่มีไอสังหารอบอวลอีก กลิ่นอายตึงเครียดพร้อมปะทุทุกเมื่อเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด


หลินสวินหาได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง ทำให้เขายังไม่ทันได้หยั่งถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังแห่งตน


เขานั่งลงทำสมาธิต่อตรงนั้น สีหน้าสำรวมนิ่งสงบ ไม่ใส่ใจสายตาหลายหลากที่มองจากทั่วสารทิศ


ผ่านไปเนิ่นนาน


ห่างออกไปไกล มองเห็นเส้นชายฝั่งทอดตัวยาวปรากฏ


ไม่จำเป็นต้องสงสัย นั่นก็คือพื้นที่อีกฝั่งของทะเลปรวนแปร เมื่อถึงที่นั่นเท่ากับผ่านการทดสอบด่านที่สามอย่างราบรื่น


เพียงแต่…


ตลอดทางมานี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายโชคร้ายถูกคัดออกไปก่อนแล้ว ปัจจุบันผู้แข็งแกร่งที่สามารถยืนหยัดถึงที่นี่เหลือแค่พันกว่าคน!


ตอนที่ 887 จุดโคมวิญญาณ

ยามเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มต้น มีผู้กล้าจากต่างบริเวณทั่วแดนฐิติประจิมเข้าร่วมนับหมื่น


แต่ช่วงที่การทดสอบถกมรรครอบสามนี้จวนสิ้นสุด กลับเหลือแค่พันกว่าคน อัตราการคัดออกช่างน่าตกตะลึงโดยไม่ต้องสงสัย


“หลินสวิน ใกล้ถึงแล้ว” เยวี่ยเจี้ยนหมิงเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่


ตลอดทางก่อนหน้าเขาเครียดเกร็งตื่นตัวอยู่เสมอ เกรงแต่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรอีก ตอนนี้จึงกล้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย


หลินสวินผุดลุกจากการนั่งสมาธิ ยืนบนกลีบบัวทอดมองห่างออกไป อาภรณ์โบกสะบัด มีไอโดดเด่นไร้มลทิน


หลังซัดซาหลิวฉานจนพ่าย ตลอดทางมานี้พวกเขาไม่พบอุปสรรคอะไรอีก อาศัยโอกาสนี้ หลินสวินก็ทำให้ขั้นพลังปราณของตนเสถียรมั่นคงโดยสมบูรณ์


ไม่เพียงเท่านี้ การล่องเรือดอกบัวในทะเลปรวนแปร สภาวะจิตล้วนได้รับการเคี่ยวกรำตลอดเวลา ทำให้หลินสวินได้ประโยชน์ไม่น้อย ความแข็งแกร่งมั่นคงแห่งสภาวะจิตเปลี่ยนเป็นประหนึ่งดุจหินผาร้อยหลอมโดยไม่ต้องสงสัย


จิตดั่งหินผา แม้โลกธรรมทั้งแปดก้าวล้ำเข้ามา ยังคงตระหง่านไม่ไหวติง


มีประโยชน์อันไม่อาจประเมินสำหรับการบำเพ็ญมหามรรค อย่างน้อยที่สุดเมื่อเลื่อนขั้นทะลวงปราณต่อจากนี้ ด่านเคราะห์ปกติไม่อาจส่งผลต่อจิตใจหลินสวินได้


“ข้ารู้สึกว่าสภาวะจิตเหมือนได้รับการชะล้างและยกระดับใหม่ทั้งหมด แน่วแน่ในมรรคาแห่งตนยิ่งกว่าเดิม”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงกล่าว


เห็นชัดว่าไม่ใช่แค่หลินสวิน เยวี่ยเจี้ยนหมิงและผู้กล้าคนอื่นคงต่างได้รับประโยชน์จากการทดสอบครั้งนี้


“ถึงแล้ว”


เส้นชายฝั่งอยู่ในสายตา หลินสวินเห็นผู้แข็งแกร่งมากมายที่ขึ้นฝั่งต่างเผยสีหน้ายกภูเขาออกจากอก


มองย้อนกลับไป ทะเลปรวนแปรฟองคลื่นไหลเชี่ยว คลื่นโถมโอฬาร นี่ทำให้หลินสวินอาวรณ์อยู่เสี้ยวหนึ่ง


ทะเลปรวนแปรแม้อันตราย แต่กลับเป็นแดนมงคลที่เคี่ยวกรำสภาวะจิต หากสามารถฝึกปราณอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่ง คงเพียงพอทำให้สภาวะจิตของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น


น่าเสียดาย นี่ก็คือวาสนาซึ่งมีแค่ครั้งเดียว



การทดสอบด่านที่สี่มีชื่อว่า ‘จุดโคมวิญญาณ’ สิ่งที่ทดสอบคือพลังจิตวิญญาณ


ก่อนบททดสอบเริ่มต้น ผู้แข็งแกร่งพันกว่าคนรวมหลินสวินถูกเคลื่อนย้ายมายังทุ่งโล่งกว้างผืนหนึ่งผ่านยันต์มรรคในมือ


ม่านรัตติกาลปกคลุมเวิ้งฟ้า มืดสนิทไปทั้งแถบ


เงยหน้ามองไป สามารถเห็นว่าบนห้วงอากาศสูงราวหมื่นจั้งนั่น ปรากฏโคมดวงแล้วดวงเล่าลอยคว้างอยู่


แต่ละดวงมีขนาดเพียงกำปั้น ประดุจหลอมจากหินผลึก เรืองแสงสีเงินนุ่มนวล


นี่ก็คือโคมวิญญาณ สมบัติซึ่งหลอมจาก ‘ผลึกจิตมายา’ เจตวัตถุที่สาบสูญไปนานแล้วในปัจจุบัน


เจตวัตถุ!


แค่เพียงคำนี้ก็พอพิสูจน์ความล้ำค่าและหายากของโคมวิญญาณ


“ด่านนี้ สิ่งที่ทดสอบคือพลังจิตวิญญาณ ในห้วงอากาศหมื่นจั้งอัดแน่นไปด้วยลมกาฬวาต ไอชั่วร้าย สภาพอากาศแปรปรวนและอสนีเคราะห์ หมายจุดโคมวิญญาณต้องควบคุมกำลังแห่งพลังจิต พุ่งทะยานสู่ฟ้าหมื่นจั้งนี่”


“พลังจิตยิ่งแข็งแกร่ง โอกาสผ่านการทดสอบก็ยิ่งมาก เทศกาลโคมกถามรรคในอดีต ด่านที่สี่นี้แม้ไม่ใช่ด่านที่อัตราการคัดออกสูงสุด แต่กลับเป็นด่านที่ยากลำบากที่สุด”


ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดวิพากษ์วิจารณ์ ต่างเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง


คนที่สามารถทะลวงผ่านการทดสอบสามรอบแรกมาถึงที่นี่ แทบจะเป็นยอดบุคคลในเหล่าผู้กล้าทั้งสิ้น แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่มีใครกล้าประมาท


เยวี่ยเจี้ยนหมิงเอ่ยเสียงเบา “ด่านนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกลอบโจมตี หากมีคนลงมือเพียงครั้งจะถูกคัดออกทันที”


หลินสวินพยักหน้า สายตาเหลือบมองคราหนึ่งและเห็นซาหลิวฉานในฝูงชน เจ้าหมอนี่ไม่สะทกสะท้าน ไม่มีทีท่าของผู้ปราชัยซึ่งควรมีแม้แต่น้อย


เมื่อเห็นสายตาหลินสวิน เขาถึงขั้นยิ้มเล็กน้อย ทำมือปาดคอสื่อความอย่างไร้เสียง


อาการยั่วยุนี้ชัดเจนเกินไป เห็นได้ว่าเขามองออก ว่าบนทุ่งโล่งกว้างนี้หลินสวินไม่กล้าลงมือเด็ดขาด


“เจ้าหมอนี่ช่างหน้าด้านจริงๆ” เยวี่ยเจี้ยนหมิงคิ้วขมวด


หลินสวินเอ่ยถาม “เจ้าเคยกินเนื้อฉลามสมุทรหรือไม่”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงชะงัก “ยังไม่เคย”


หลินสวินยิ้มกล่าว “รอข้าฆ่าเจ้าหมอนั่น พวกเรามาชิม ‘อาหารทะเล’ นี้ด้วยกัน ก่อนหน้านี้ข้าเคยกินเนื้อสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมาก่อน รสชาติเรียกได้ว่าล้ำเลิศ ก็ไม่รู้ว่าเนื้อฉลามสมุทรรสชาติเป็นอย่างไร”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงสีหน้าพิลึกพิลั่น เจ้าหมอนี่ไม่เพียงใจกล้า แม้แต่ความรสชาติอาหารที่ชื่นชอบยังผิดแปลกเกินธรรมดา


อาหารทะเล?


ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้เคียงสีหน้าพิกล เพิ่งเคยได้ยินคนกล้ามองซาหลิวฉานบุตรเทพเผ่าฉลามสมุทรเป็นอาหารทะเลเลิศรสครั้งแรก


แต่ซาหลิวฉานที่อยู่ห่างไปกลับสีหน้าอึมครึม ไม่อาจอยู่เฉย ความแค้นในใจดุจเพลิงผลาญ ลอบกล่าวว่า เทพมารหลินเอ๋ยเทพมารหลิน รอถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ข้าจะให้เจ้าเข้าใจอะไรที่เรียกว่าตายก็ไม่ได้อยู่ก็ไม่สามารถ!


เสียงธรรมราวเสียงธรรมชาติสายหนึ่งดังขึ้นบนเวิ้งฟ้ายามราตรี โคมวิญญาณมากมายซึ่งเดิมเงียบงันไม่ขยับ ขณะนี้เริ่มแกว่งไกวเวียนวน เริงระบำเหนือห้วงอากาศหมื่นจั้ง


ฟึ่บ!


ทุกสายตาต่างมองไปในชั่วพริบตา การทดสอบด่านที่สี่เริ่มขึ้นแล้ว!



นอกเขาพยับคราม


“การทดสอบด่านที่สี่เริ่มขึ้นแล้ว ลือกันว่าสมัยบรรพกาล มีเพียงสำนักใหญ่ชั้นเลิศซึ่งยอดเยี่ยมที่สุดจึงจะมีมรดก ‘จุดโคมวิญญาณ’ เมื่อใดที่ศิษย์สามารถจุดโคมวิญญาณได้ ก็บ่งชี้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณสามารถส่องนำมรรคาแห่งตน ไปเสาะหาปริศนาแห่งระดับราชันที่แท้จริงได้”


“ไม่ผิด จิตวิญญาณดุจดวงประทีป ส่องประกายสู่ตน พลังจิตไม่เสื่อมสูญ โคมวิญญาณสว่างชั่วนิจนิรันดร์ หากสามารถผ่านการทดสอบเช่นนี้ ก็บ่งชี้ว่ามีศักยภาพในการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน มีความหวังในมหามรรคแล้ว!”


คนใหญ่คนโตมากมายกำลังแลกเปลี่ยนความเห็น


“การจุดโคมวิญญาณไม่ใช่ธรรมดาเพียงแค่นี้ พลังที่จุดโคมวิญญาณต่างกันไป พลังแผงซึ่งเป็นลางในการกลายเป็นราชันก็ต่างออกไป”


ทันใดนั้นท่านย่ากระเรียนทองเอื้อนเอ่ย “โดยทั่วไปพลังโคมวิญญาณแบ่งเป็น ‘แววระยับ’ ‘สว่างไสว’ ‘สุริยันกลางนภา’ สามระดับ”


“ทั้งสามระดับไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติและพลังแฝงแห่งตน มุ่งเน้นแค่จิตวิญญาณ ผู้ที่พลังจิตวิญญาณธรรมดา โคมวิญญาณที่จุดสว่างคงได้แค่ ‘แววระยับ’ แต่ผู้มีพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่ง สามารถจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สว่างไสว’ ”


“สำหรับโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’… นี่คงไม่อาจกล่าวแน่ชัด เพราะเกี่ยวเนื่องกับปริศนาแก่นแท้ของจิตวิญญาณ แม้แต่อริยะก็ไม่อาจให้คำวินิจฉัยที่แม่นยำ”


“มู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของข้า ในวัยเยาว์ยามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ก็เคยจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’ ได้ ต่อมาใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีก็ก้าวสู่ระดับราชันในคราเดียว ยืนหยัดเหนือปลายยอดแห่งยุคสมัย บัดนี้… เขาขาดแค่ครึ่งก้าวก็สามารถก้าวสู่ระดับอริยะแล้ว!”


พูดถึงความลับนี้ คนใหญ่คนโตในที่นั้นต่างไหวหวั่นไม่หยุด


ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้เลยว่า มู่ซางเสวี่ยในปีนั้นยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเป็นเลิศเช่นนี้


“ดูท่าเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของพวกเจ้าครานี้ คงมียอดบุคคลเหมือนเจ้าสำนักมู่ซางเสวี่ยอีกคนแล้ว” มีคนใหญ่คนโตทอดถอนใจ


“จี้ซิงเหยาเป็นผู้กล้าหญิงแห่งยุคที่หาได้ยากอย่างแท้จริง ทว่านอกจากนางแล้ว ผู้กล้าแห่งยุคคนอื่นก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน” และมีบางคนอื่นเอ่ยตาม


ท่านย่ากระเรียนทองส่ายศีรษะพลางกล่าว “พวกเจ้าพูดผิดแล้ว การทดสอบด่านที่สี่นี้ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติและพรสวรรค์ จุดสำคัญคือจิตวิญญาณ อีกทั้งเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ล้วนต่างจากอดีต การทดสอบจุดโคมวิญญาณคราวนี้คงเกิดเรื่องไม่อาจคาดเดามากมาย”


ทุกคนตะลึงงัน ตกอยู่ในห้วงความคิด



ม่านรัตติกาลราวสีหมึก


บนทุ่งโล่งกว้าง ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดนั่งขัดสมาธิ โคจรพลังจิตเต็มกำลัง พุ่งทะยานไปบนนภาสูงหมื่นจั้ง


เพียงชั่วขณะก็เห็นพลังจิตวิญญาณหลากสีเจิดจรัส พวยพุ่งจากเหนือศีรษะผู้แข็งแกร่งแต่ละคน โฉบขึ้นนภากาศราวรุ้งเทพ


พลังจิตวิญญาณเหล่านั้นบ้างสว่างสุกสกาว บ้างลุ่มลึกอัดแน่น


บ้างแดงสดดุจอัคคี ลุกโชนร้อนแรง


บ้างแข็งแกร่งหนาทึบ ทรงพลังดั่งควันสงคราม


นี่ก็คือรูปลักษณ์ของจิตวิญญาณ โดยปกติอาศัยเพียงการมองยากมากที่จะแบ่งสูงต่ำแกร่งอ่อน


แต่ในการทดสอบจุดโคมวิญญาณด่านที่สี่นี้ พลังจิตวิญญาณของผู้กล้าพันกว่าคนต้องถูกแบ่งระดับสูงต่ำ


ผู้อ่อนแอจะถูกคัดออก


ส่วนผู้แข็งแกร่งจะมีโอกาสจุดโคมวิญญาณ สืบเสาะแก่นแท้ของจิตวิญญาณแห่งตนจากพลังที่ผลิบานในโคมวิญญาณ!


ในที่นั้นเงียบสงัด จิตวิญญาณมากมายทะลวงเมฆา ในสีรัตติกาลประดุจมีรุ้งเทพหลากสายทะยานขึ้น แผ่ความงามแห่งตน


ทว่าไม่ช้าก็มีเสียงอึดอัดเจ็บปวด คร่ำครวญทรมานดังขึ้นแผ่วๆ


บนห้วงอากาศ ลมกาฬวาตดั่งดาบแผดเสียงก้องเสียดหู กาฬวาตนี้หาใช่ลมธรรมดา มีพลังทำลายล้างที่สามารถพัดจิตวิญญาณผู้ฝึกปราณให้แตกซ่าน


พร้อมกันนั้นยังมีไอชั่วร้ายสีดำแผ่ขยายม้วนกลืน หากพลังจิตวิญญาณถูกปนเปื้อนเพียงครั้ง จะเกิดภาพหลอนทับซ้อน ทำให้สติเรรวน หากร้ายแรงจิตวิญญาณจะจมดิ่งถลำลึก!


นอกจากลมกาฬวาตและไอชั่วร้ายแล้ว บนห้วงอากาศนั่นยิ่งสูงยิ่งน่ากลัว มีลำแสงแปรปรวนควบทะยานราวแม่น้ำไหลเชี่ยว


และมีอสนีเคราะห์ที่ประหนึ่งรังสีเล็กๆ มากมาย ดูละเอียดดั่งมายา แต่กลับมีพลังสังหารพิฆาตจิตวิญญาณ


ตามเวลาที่ล่วงเลย พลังจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งยังไม่ทันทะยานขึ้นสูงไปบนห้วงอากาศ ก็ถูกลมกาฬวาตบุกจู่โจม ได้รับบาดเจ็บสาหัสกระจัดกระจายถอยร่น


ไม่นานนักพวกเขาส่งเสียงครางแผ่ว ครวญอนาถ เจือความไม่พอใจที่ถูกคัดออกอย่างสุดซึ้ง


ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งสำแดงความล้ำเลิศเหลือประมาณ ทะลวงข้ามลมกาฬวาต พุ่งเหนือไอชั่วร้าย โฉบผ่านลำแสงแปรปรวนตลอดทาง… ทะยานสู่ที่สูงยิ่งกว่าบนห้วงอากาศ


เฉกเช่นจี้ซิงเหยา พลังจิตวิญญาณนางขาวสะอาดดุจหิมะ ศักดิ์สิทธิ์เหนือห้วงมายา พุ่งตรงตลอดทางราวไม่อาจขัดขวาง นำหน้าผู้คนไปไกล แต่เมื่อเข้าสู่เขตอุดมอสนีเคราะห์จึงประสบอุปสรรค ไม่อาจไม่ต้านทานเต็มกำลัง


คนที่เหมือนจี้ซิงเหยาก็มีไม่น้อย เช่นอวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวินพวกนี้ ต่างนำหน้าคนอื่นๆ บุกทะยานเต็มกำลัง


นี่ก็คือบุคคลแห่งยุค กล้าใช้สมญา ‘แห่งยุค’ ก็แสดงออกชัดแจ้งว่าคุณสมบัติ พรสวรรค์ ปราณ และจิตวิญญาณของพวกเขาล้วนเหนือธรรมดา อยู่เหนือผู้ฝึกปราณทั่วไป


ในกระบวนการนี้หลินสวินกลับเหมือนซ่อนเร้น เขาควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้นานแล้ว สำหรับการทดสอบจุดโคมวิญญาณหาได้มีอะไรต้องกังวล


เขาในตอนนี้กำลังใช้พลังจิตวิญญาณสัมผัสพลังนานัปการบนอากาศ


ลมกาฬวาต ไอชั่วร้าย ลำแสงปรวนแปรเหล่านั้น… ต่างถูกเขาใช้พลังจิตวิญญาณสัมผัสโดยละเอียด เพื่อศึกษาและหยั่งถึง


นี่ก็คือการบำเพ็ญบนความเข้าใจอย่างหนึ่ง ไม่เพียงแต่เปิดโลกทัศน์ เพิ่มพูนความรู้ต่อการฝึกปราณเท่านั้น ยังมีคุณประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินได้ต่อการบำเพ็ญเพียรของเขาในภายภาคหน้า


คำว่าบำเพ็ญเพียร ก็คือกระบวนการมองฟ้า มองดิน มองตนเอง ส่วนการค้นหามหามรรค แท้จริงแล้วก็คือความเข้าใจและการหยั่งรู้ต่อโลก ต่อตนเองประการหนึ่ง


ระดับปราณยิ่งสูงก็ยิ่งต้องเข้าใจแก่นแท้ของมหามรรคฟ้าดิน ไม่เช่นนั้นมรรคาคงไม่พัฒนาแม้เพียงก้าว


เอ๋!


ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นโดยไม่ตั้งใจ ว่ามีพลังจิตวิญญาณสายหนึ่งทะยานขึ้นมาจากด้านหลัง อาศัยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาพุ่งทะยานขึ้นไป สลัดบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งไว้เบื้องหลังตลอดทาง!


ตอนที่ 888 ปะทะจิตวิญญาณ

ไป๋หลิงซี!


แค่ชั่วพริบตา หลินสวินก็รู้ถึงเจ้าของพลังจิตวิญญาณนั่น นี่ทำให้เขาผิดคาดยิ่งนักอย่างอดไม่อยู่


เท่าที่เขารู้ไป๋หลิงซีไม่ถึงขั้นเป็นบุคคลแห่งยุค มากสุดได้แค่เรียกว่ายอดผู้กล้า แต่ความแกร่งแห่งพลังจิตของนางกลับเรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์


กระทั่งตอนนี้ล้วนเหนือกว่าพวกมู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน พุ่งตามจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงที่อยู่สูงกว่าไป


อีกทั้งตามสภาวการณ์เช่นนี้ ใช้เวลาไม่นานนางก็จะเป็นคนแรกที่ทะยานขึ้นสู่นภาหมื่นจั้ง!


บริเวณใกล้เคียงมีเสียงตื่นตะลึงฉับพลัน ชัดแจ้งว่าต่างสังเกตเห็นความผิดปกตินี้


‘นึกออกแล้ว ตอนนั้นที่ค่ายกระหายเลือดในจักรวรรดิจื่อเย่า ไป๋หลิงซีเคยบอกว่านางมีคุณลักษณะพรสวรรค์ ‘ดารานิรันดร์’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว!’


ไม่ช้าหลินสวินพลันกระจ่าง เข้าใจสาเหตุในนั้น


ดารานิรันดร์ พรสวรรค์ที่ก่อกำเนิดจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง แม้ที่จักรวรรดิเวลานั้นถูกตัดสินว่าเป็นพรสวรรค์ระดับสี่ แต่ในการทดสอบจุดโคมวิญญาณนี้ ไป๋หลิงซีกลายเป็นผู้เจิดจรัสที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย


พลังจิตวิญญาณนางปรากฏเป็นแสงทองเจิดจรัส สว่างกระจ่างไพศาล มีความรู้สึกภูมิฐานส่องประกายนิจนิรันดร์ พิเศษโดดเด่นไม่เหมือนใคร


‘ข้าว่าแล้ว ด้วยคุณสมบัติและพรสวรรค์ของนาง ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่โดดเด่นเจิดจรัส’ หลินสวินยินดียิ่งอยู่ในใจ


เขาและไป๋หลิงซีมีมิตรภาพของเพื่อนร่วมเรียน เมื่อเห็นว่านางสำแดงฝีมือได้อย่างเลิศล้ำ หลินสวินก็มีความภาคภูมิยินดีไปด้วย


ทว่าไม่นานสีหน้าหลินสวินพลันอึมครึม


ห่างออกไป จิตวิญญาณของเยวี่ยเจี้ยนหมิงกำลังทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางไอชั่วร้ายสีดำอย่างยากลำบาก แต่เวลานี้กลับมีพลังจิตวิญญาณอื่นจำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามา เจตนาขวางหน้าเยวี่ยเจี้ยนหมิง ทำการกีดขวางและรบกวนเขา


นี่มันร้ายกาจและต่ำทรามเกินไปแล้ว!


หลินสวินสังเกตเห็นว่า พลังจิตวิญญาณหลากสายนั่นต่างมาจากผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เขียวและคนตระกูลจงหลี รวมห้าคนกำลังเพ่งเล็งเยวี่ยเจี้ยนหมิง


หลินสวินไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เหตุที่พวกเขาโจมตีเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็เพราะตน!


ก่อนหน้านี้จงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์เคยป่าวประกาศ ว่าใครเป็นสหายกับเขาหลินสวิน มันผู้นั้นต้องประสบหายนะ อาศัยสิ่งนี้มาข่มขู่ผู้ฝึกปราณแดนฐิติประจิมให้ถอยห่างจากเขาหลินสวิน หมายให้เขาเป็นหมาหัวเน่าโดยสมบูรณ์


เห็นชัดว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงโดนผลกระทบเช่นนี้แล้ว


‘รนหาที่ตาย!’


หลินสวินควบคุมพลังจิตวิญญาณ พลันเคลื่อนย้ายกลางอากาศมุ่งไปทางเยวี่ยเจี้ยนหมิง



“พวกเจ้าทำเช่นนี้ ไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ!”


จิตวิญญาณเยวี่ยเจี้ยนหมิงสั่นสะเทือน ส่งเสียงตวาดกร้าว


พลังจิตวิญญาณเขาถูกไอชั่วร้ายสีดำหลากสายเจือปน เส้นทางใกล้ๆ ยังถูกพลังจิตวิญญาณห้าสายขวางกั้น หากไม่ตีฝ่าวงล้อมโดยเร็วต้องถูกคัดออกแน่


“เหอะๆ นี่โทษพวกเราไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษเจ้าที่ไปสนิทชิดเชื้อกับเทพมารหลินเกินไป!”


มีคนหัวเราะเยาะ


“พวกเจ้าไม่กลัวหลินสวินเอาเรื่องพวกเจ้าหรือไง” เยวี่ยเจี้ยนหมิงเดือดดาลอยู่ในใจ เจ้าพวกนี้ไม่กล้าเล่นงานหลินสวิน แต่หันปลายทวนมาทางตน ช่างต่ำทรามถึงที่สุด


“เขา? ฮ่าๆ เจ้าไม่เห็นรึ กระทั่งตอนนี้เขายังถูกกักอยู่ที่ลมกาฬวาตชั้นล่างสุดของห้วงอากาศ พวกเรายังสงสัยว่าเขาจะผ่านการทดสอบครั้งนี้ได้หรือไม่อยู่เลย”


“ฮ่าๆ ใครเล่าจะคาดคิด พลังต่อสู้เทพมารหลินกร้าวแกร่งเช่นนี้ แต่พลังจิตวิญญาณกลับอ่อนแอเสียอย่างนั้น”


เห็นชัดประจักษ์แจ้ง พวกเขาต่างคิดไปว่าเหตุที่หลินสวินละล้าละลังท่ามกลางลมกาฬวาต เป็นเพราะพลังจิตวิญญาณอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงรุมรังแกเยวี่ยเจี้ยนหมิงอย่างไม่กลัวสิ่งใดเช่นนี้


ส่วนสาเหตุที่พวกเขาไม่ไปเล่นงานหลินสวินนั้นก็ง่ายมาก พวกเขาไม่อยากให้หลินสวินถูกคัดออกเช่นนี้


ไม่ว่าชิงเหลียนเอ๋อร์หรือจงหลีอู๋จี้ ล้วนรอเวลาถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณค่อยพิฆาตหลินสวินให้สิ้นซาก


ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าหงส์เขียวและตระกูลจงหลี จึงเลือกเล่นงานเยวี่ยเจี้ยนหมิงแทน


“เจ้าก็ตัดทำใจเถอะ หลินสวินนั่นยังเอาตัวไม่รอด ไม่มีทางมาช่วยเจ้าหรอก!”


คนผู้หนึ่งกล่าวเสียงทะมึน


พวกเขาฉลาดมาก รู้ว่าการทดสอบด่านที่สี่นี้ไม่อนุญาตให้ต่อสู้ แม้แต่การโจมตีทางจิตวิญญาณล้วนถูกระงับ


ดังนั้นจึงเลือกกีดขวางโดยรอบ ตัดหนทางข้างหน้าของเยวี่ยเจี้ยนหมิง อาศัยพลังของไอชั่วร้ายสีดำมาบรรลุจุดประสงค์ในการโจมตีและคัดเยวี่ยเจี้ยนหมิงออกไป


“งั้นรึ”


ขณะเดียวกัน เสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น


ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นชะงักงัน พริบตาก็มองเห็น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พลังจิตวิญญาณของหลินสวินพุ่งเข้าประชิดขึ้นมา ปักหลักอยู่ตรงนั้น ไอชั่วร้ายสีดำละแวกใกล้เคียงล้วนไม่กล้าเข้าใกล้!


“แย่แล้ว!”


“บัดซบ ทำไมเป็นเช่นนี้”


สีหน้าพวกเขาแปรเปลี่ยนยกใหญ่ รีบควบคุมพลังจิตหมายหลบหนี


เพียงแต่เวลานี้ ก็เห็นพลังจิตวิญญาณของหลินสวินพลันส่องสว่าง ดุจวังวนพายุม้วนกลืนไอชั่วร้ายสีดำเอาไว้


จากนั้น…


ผู้แข็งแกร่งคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงก็มองเห็น จิตวิญญาณของหลินสวินม้วนหอบไอชั่วร้ายสีดำซึ่งโหมกระหน่ำ พุ่งไปทางพลังจิตวิญญาณของพวกที่หนีกระเจิง


เขาไม่ได้ทำการโจมตี เพียงแค่ ‘ผ่านทาง’ ขวางหน้าเท่านั้น จากนั้นก็ปล่อยไอชั่วร้ายสีดำที่ม้วนหอบไว้ออกมาจนสิ้น


แค่ชั่วพริบตา พลังจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นก็ถูกไอชั่วร้ายสีดำฝังกลบ…


“ไม่…!”


“บ้าเอ๊ย!”


“เทพมารหลิน เจ้าต้องไม่ตายดี!”


เสียงร้องโหยหวนด้วยความคับแค้นดังก้องขึ้น ชวนรู้สึกขนพองสยองเกล้า


ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้เคียงส่วนหนึ่งที่เห็นฉากนี้กับตาต่างอ้าปากค้าง เทพมารหลินช่างเหี้ยมโหดจริงๆ ถึงกับใช้วิธีนี้ซัดผู้แข็งแกร่งห้าคนที่มาจากเผ่าหงส์เขียวและตระกูลจงหลีนั่นแพ้พ่ายในคราเดียว!


ไม่ต้องสงสัย ห้าคนนี้ไม่เพียงแต่ถูกคัดออก กระทั่งจิตวิญญาณยังอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส!


“เจ้ามันหาที่ตาย!” บนห้วงอากาศที่สูงขึ้นไป ชิงเหลียนเอ๋อร์เปล่งเสียงตวาดเยียบเย็นกึกก้อง


“หลินสวิน เจ้าถึงกับทำเรื่องต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้ เจ้ารอก่อนเถอะ เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ข้าจงหลีอู๋จี้พูดจริงทำจริง จะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!” ขณะเดียวกันจงหลีอู๋จี้ก็สีหน้าคล้ำเขียว ทำการข่มขู่


เดิมบุคคลผู้กล้าที่สามารถมาถึงการทดสอบด่านที่สี่ก็มีไม่มาก คราวนี้เท่ากับหลินสวินกำจัดผู้แข็งแกร่งตระกูลจงหลีและเผ่าหงส์เขียวจนสิ้น ละเว้นเพียงจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์!


นี่จะไม่ให้ทั้งคู่เดือดดาลได้อย่างไร


“น่าขัน! คนของพวกเจ้าลงมือก่อน ตอนนี้พวกเจ้ากลับไม่ยอมรับ ยังมาด่าว่าข้าไร้ยางอายชั่วช้า ข้าไม่เคยเห็นพวกสถุลที่หน้าด้านหน้าทนเช่นพวกเจ้ามาก่อน!”


หลินสวินเยาะหยัน


พูดพลางเขาหาได้ลังเลอีก ควบคุมพลังจิตวิญญาณทะลวงฟ้า ประดุจลมพายุหอบหนึ่ง


ครืนๆ …


ไอชั่วร้ายสีดำและลำแสงแปรปรวนที่พบระหว่างทาง… ต่างราวของประดับ ไม่เพียงไม่อาจขวางหลินสวิน กลับถูกทะลวงโค่นแตกละเอียด บดอัดหนักหน่วงเป็นทางว่างเปล่าตรงดิ่ง


“นี่มัน…”


เหล่าผู้แข็งแกร่งคนอื่นที่กำลังมุ่งหน้าอย่างยากลำบากเห็นดังนี้ ก็ตกใจจนลูกตาแทบถลน นี่มันดุดันไปแล้วกระมัง


ก่อนหน้านี้หลินสวินเก็บงำความสามารถ สงบใจรับรู้และสัมผัสถึงพลังที่กระจายในอากาศ จึงถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นมองว่าพลังจิตวิญญาณอ่อนด้อย


แต่ตอนนี้พวกเขาพลันตระหนักได้ว่า จิตวิญญาณเทพมารหลินอ่อนแอซะที่ไหน ชัดแจ้งว่ากร้าวแกร่งถึงขั้นผิดวิสัย!


ฟุ่บ!


เยวี่ยเจี้ยนหมิงตอบสนองไวที่สุด เห็นจังหวะดีงามเช่นนี้ พลังจิตวิญญาณพลันพุ่งทะยาน ทะลวงขึ้นไปตามเส้นทางที่หลินสวินแหวกทลาย


ผู้แข็งแกร่งคนอื่นตะลึงงันก่อนจะเข้าใจทันที ร้องคำรามหมายเลียนแบบ


แต่น่าเสียดาย เมื่อพวกเขามาถึงเส้นทางว่างเปล่านั้นก็หายไปแล้ว ถูกไอชั่วร้ายสีดำและลำแสงปรวนแปรปกคลุมใหม่อีกครั้ง



“แย่แล้ว!”


สูงขึ้นไปในห้วงอากาศ ชิงเหลียนเอ๋อร์ที่กำลังทะลวงสู่ระดับอสนีเคราะห์เล็กละเอียดราวภาพฝันพลันมองเห็น ว่าหลินสวินกำลังพุ่งเข้ามาทางตน


ไม่อาจขวางกั้นราวเหล็กหมาดปลายแหลม หักสะบั้นทุกสิ่งได้อย่างง่ายดายตลอดทาง แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


ชิงเหลียนเอ๋อร์ตกใจจนเกือบร้องออกมา รู้ว่าไม่เข้าที ใช้กำลังทั้งหมดโคจรพลังจิตวิญญาณทะลวงไปเบื้องหน้า เกรงแต่จะถูกหลินสวินไล่ตามทัน


ขณะเดียวกันจงหลีอู๋จี้ที่พลังจิตวิญญาณอยู่อีกที่หน้าพลันเปลี่ยนสีราวไฟลนก้น เริ่มพุ่งปะทะเต็มกำลังเหมือนชิงเหลียนเอ๋อร์


ทั้งคู่ต่างด่าทอยกใหญ่อยู่ในใจ เทพมารหลินชั่วช้าเกินไปแล้ว ความอ่อนแอเมื่อครู่เห็นชัดว่าเสแสร้ง ทำจนสหายพวกเขาเผลอโดนหลอกและถูกคัดออก


และตอนนี้ เจ้าหมอนี่ยังหมายทำร้ายพวกเขาอีก!


หากต่อสู้โรมรันจริงทั้งสองหาได้เกรงกลัวไม่ แต่ประเด็นสำคัญคือการทดสอบด่านที่สี่นี้ สิ่งที่ใช้เปรียบเทียบก็คือพลังจิตวิญญาณ


ตอนนี้พวกเขารับรู้ชัดแล้วว่า พลังจิตวิญญาณของหลินสวินไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย กลับกร้าวแกร่งถึงขั้นชวนประหวั่น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะกล้าให้หลินสวินเข้ามาใกล้ได้อย่างไร


หนี!


ทั้งสองต่างอัดอั้นสุมอก หลบหนีด้วยความแค้นเหลือคณา ช่างน่าอัปยศ ถูกคนมากขนาดนี้เห็นว่าหนีเตลิด ทำให้ทั้งคู่ไม่รู้จะเอาหน้าไว้ที่ไหน


โชคดีคือทั้งสองเคลื่อนไหวล่วงหน้า เดิมมาถึงบริเวณชั้นสูงกลางอากาศอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้ทำการฝ่าทะลวงเต็มกำลัง ไม่ช้าก็พุ่งถึงบนนภาหมื่นจั้ง


เมื่อหลินสวินไล่ตามมาก็ช้าไปก้าวหนึ่ง


บนนภาสูงหมื่นจั้ง โคมวิญญาณมากมายร่ายรำเวียนวน ไม่มีอุปสรรคอันใด นี่ก็บ่งชี้ว่าหลินสวินไม่อาจอาศัยพิบัติเคราะห์อย่างลมกาฬวาต ไอชั่วร้าย ลำแสงแปรปรวนพวกนั้นมาจัดการชิงเหลียนเอ๋อร์และจงหลีอู๋จี้อีก


แม้ว่าเป็นเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งคนอื่นที่เห็นกระบวนการทั้งหมดกับตายังแอบตื่นตระหนก พลังจิตวิญญาณของเทพมารหลินแกร่งเกินไปแล้ว ไล่กวดจนพวกชิงเหลียนเอ๋อร์หลบหนีอเนจอนาถ ป่าเถื่อนจนวุ่นวายไปหมด


“หลินสวิน ข้าจะทำให้เจ้าต้องเจอพันดาบหมื่นแล่!” ชิงเหลียนเอ๋อร์กลับสู่ความสงบ นึกถึงสิ่งที่เผชิญเมื่อครู่ ในใจก็คับแค้นอับอายถึงขีดสุด


“คนชั้นต่ำมักสร้างปัญหา!” การโต้กลับของหลินสวินแสนธรรมดา เพียงประโยคเดียวทำชิงเหลียนเอ๋อร์โกรธจนหน้าเขียว


จงหลีอู๋จี้ไม่เอ่ยวาจา แต่จากสีหน้าคล้ำเขียวนั้นของเขาก็ดูออกได้ไม่ยากว่า ขณะนี้เขาเองก็กักเก็บเพลิงพิโรธสุมอกไร้ที่ระบายไว้


วู้ม!


เวลานี้โคมวิญญาณดวงหนึ่งที่ห่างออกไปพลันถูกจุดสว่าง เกิดคลื่นผันผวนอัศจรรย์แผ่กระจายบนนภาสูงหมื่นจั้ง


เพียงชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างมองเห็น โคมวิญญาณดวงนั้นเริ่มเปล่งแสงแวววาวสว่างขึ้น แสงพร่างพราวศักดิ์สิทธิ์หลากสายงามตระการดั่งภาพฝันปลิวว่อน


แววระยับ!


นี่คือระดับแรกของพลังโคมวิญญาณ


แต่ยังไม่ทันให้เหล่าผู้แข็งแกร่งอัศจรรย์ใจ โคมวิญญาณดวงนี้ก็ส่องสว่างยิ่งกว่าเดิม ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวพันหมื่นสายสาดส่องออกมา ทำให้ผืนรัตติกาลใกล้เคียงส่องสว่าง


โคมวิญญาณระดับสอง… สว่างไสว!


นี่เป็นพลังจิตวิญญาณของใครกัน ถึงได้ทรงพลังเช่นนี้ แค่ชั่วพริบตาก็จุดโคมวิญญาณที่สว่างเจิดจรัสเช่นนี้ได้


ตอนที่ 889 ลักษณ์อัศจรรย์ทยอยปรากฏ

โคมวิญญาณดวงนั้นเจิดจรัส ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวนับหมื่นพันสาดส่อง ในสีรัตติกาลดูสว่างสะดุดตายิ่ง


นี่คือโคมวิญญาณดวงแรกที่ถูกจุดสว่างหลังเริ่มการทดสอบด่านที่สี่ แต่กลับเผยปรากฏการณ์น่าทึ่งเหนือธรรมดา


สว่างไสว!


นี่เป็นตัวแทนว่าพลังจิตวิญญาณบรรลุถึงขั้นบนสุดในระดับกระบวนแปรจุติโดยไม่ต้องสงสัย


จิตวิญญาณดุจดวงประทีป ส่องประกายสู่ตน พลังจิตไม่เสื่อมสูญ โคมวิญญาณสว่างชั่วนิจนิรันดร์!


หลอมมรรคกลายเป็นราชัน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจิตวิญญาณ!


เหตุใดผู้แข็งแกร่งระดับราชันสามารถหลุดพ้นอยู่เหนือปราณห้าขั้นใหญ่


ทั้งเหตุใดระดับราชันถูกเรียกว่าระดับสังสารวัฏ


สาเหตุอยู่ที่คำว่าสังสารวัฏ เกี่ยวเนื่องกับการเกิดและการดับ!


เพราะสำหรับผู้ฝึกปราณ การมีอยู่ของจิตวิญญาณเกี่ยวเนื่องถึงความเร้นลับแห่งการเกิดดับ!


ดังคำว่าคนตายดุจตะเกียงที่ดับมอด ถ้าจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณดับสลาย ก็มีนัยถึงความตายที่แท้จริงเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้หากหมายทะลวงการเกิดดับกลายราชัน จิตวิญญาณคือสิ่งสำคัญที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย


ส่วนเหนือระดับราชันก็คือมรรคาแห่งอมตะ นั่นคือระดับปราณที่อยู่สูงยิ่งกว่า สิ่งที่เสาะหาคือมรรคแห่งความโชติช่วงดั่งสุริยันจันทรา อายุขัยตราบชั่วนิรันดร์



เหล่าผู้กล้าที่เข้าร่วมถกมรรคครั้งนี้ ต่างเป็นผู้มีปณิธานมุ่งสู่หนทางการกลายเป็นราชันในมหาสงครามที่จวนมาเยือน


พวกเขาแทบทุกคนต่างรู้ชัดถึงความสำคัญของพลังจิตวิญญาณต่อการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน


ดังนั้นตอนนี้เมื่อเห็นผู้แข็งแกร่งคนแรกจุดโคมวิญญาณจน และแสงนั้นปรากฏลักษณ์ประหลาด ‘สว่างไสว’ จึงต่างตกใจไม่หยุด


ใครกัน


ถึงกับมีพลังจิตวิญญาณเช่นนี้


ไม่ช้าเหล่าผู้กล้าก็มองเห็น ห่างออกไปพลังจิตวิญญาณสายหนึ่งขาวกระจ่างดุจหิมะ แฝงกลิ่นอายคร่ำเคร่งแห่งกาลชีวาโถมเข้าสู่โคมวิญญาณดวงนั้น และเจ้าของพลังจิตวิญญาณนี้ก็ถึงกับเป็นไป๋หลิงซี


“เป็นนาง ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณ!”


ทุกคนพลันตกตะลึงอยู่บ้าง ไม่วายอิจฉาและวาดหวัง


“ได้ยินว่าในโคมวิญญาณแต่ละดวงล้วนมีความอัศจรรย์ต่างกันไป ประทับกลิ่นอายมรดกเร้นลับ มีประโยชน์ต่อการฝึกพลังจิตวิญญาณอย่างไม่อาจประเมิน”


“ไม่ผิด แสงที่โคมวิญญาณฉายสาดยิ่งเจิดจรัส ประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมาก นี่คือความลับที่ผู้อาวุโสเผ่าข้าเคยกำชับเป็นพิเศษ”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังก้องขึ้น


มาถึงบนนภาสูงหมื่นจั้งก็เท่ากับมีสิทธิ์จุดโคมวิญญาณดวงหนึ่ง ทว่าควรจุดโคมวิญญาณดวงไหนนั้น กลับต้องพิเคราะห์เป็นอย่างมาก


โคมวิญญาณเหล่านั้นแต่ละดวงร่ายรำเหนืออากาศ ประดุจหมู่ดาวเวียนวนบนเวิ้งฟ้า โคมวิญญาณบางดวงไกลห่างเหลือประมาณราวอยู่ในส่วนลึกของเวิ้งนภา


บ้างกลับลอยล่องโดยรอบ ตาเนื้อสามารถมองเห็น


“จากประสบการณ์เทศกาลโคมกถามรรคในอดีต โคมวิญญาณยิ่งสูง คุณลักษณะยิ่งเลิศล้ำ แต่ก็จะยิ่งจุดสว่างได้ยาก”


“อย่าได้หวังสูงเกินไป พวกเราล้วนมาถึงนภาสูงหมื่นจั้งแล้ว ผ่านการทดสอบมีสิทธิ์จุดโคมวิญญาณ เทียบกับพวกที่ถูกคัดออกก็แกร่งกว่ามากแล้ว”


“จริงดังว่า เช่นนั้นก็เริ่มลงมือเถอะ”


ระหว่างสนทนา ทยอยมีผู้แข็งแกร่งเริ่มเสาะหาโคมวิญญาณที่เหมาะกับตน จากนั้นจึงลองจุดโคม


ในกระบวนการนี้ภายใต้นภาสูงหมื่นจั้ง ยังคงมีผู้แข็งแกร่งมากมายกำลังทะลวงขึ้นมาอย่างยากลำบาก และมีผู้แข็งแกร่งถูกคัดออกเช่นเดียวกัน



หลินสวินไม่ได้รีบร้อน เขากำลังสำรวจและรับรู้


โคมวิญญาณแต่ละดวงเหมือนสร้างจากหินหยกบริสุทธิ์หลากสี แฝงกลิ่นอายเก่าแก่ พวกมันร่ายรำบนเวิ้งฟ้าดุจดวงดาวมากมาย ส่องแสงวิบวับเร้นลับ


“หืม?”


หลินสวินสังเกตเห็นว่าเหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวินต่างจากผู้แข็งแกร่งอื่น ไม่ได้รีบร้อนเคลื่อนไหว แต่กำลังแผ่ขยายพลังจิตวิญญาณของตน ทำการสัมผัสและเชื่อมต่อกลางอากาศ


เฉกเช่นจี้ซิงเหยา ขณะนี้พลังจิตวิญญาณของนางเกิดเสียงครวญใส วิวัฒน์เป็นหงส์เซียนขาวหิมะตัวหนึ่ง สยายปีกเหนือนภาสูง ร่ายรำเวียนวนใกล้โคมวิญญาณแต่ละดวง


ส่วนพลังจิตวิญญาณของอวี่หลิงคงกลับวิวัฒน์เป็นระฆังธรรมทองอร่าม ส่งคลื่นเสียงสะท้อนก้องถึงส่วนลึกจิตใจ อาศัยสิ่งนี้สัมผัสโคมวิญญาณแต่ละดวง


ที่ดึงดูดสายตาผู้คนที่สุดคงไม่พ้นมู่เจี้ยนถิง เขาคือผู้สืบทอดอารามพรางมรกต ขณะนี้พลังจิตวิญญาณเขาวิวัฒน์เป็นลวดลายมัจฉาหยินหยาง หมุนวนเนิบช้ากลางอากาศ มหัศจรรย์หาใดเปรียบ


นอกจากนี้พลังจิตวิญญาณของบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ บางส่วนล้วนปรากฏลักษณ์อัศจรรย์ต่างกันไป


เห็นชัดว่าพวกเขาต่างครองวิชาลับจิตวิญญาณ ในเวลาเช่นนี้ต่างไม่เก็บงำไว้อีก แสวงหาโคมวิญญาณซึ่งเหมาะกับตนที่สุดเต็มกำลัง!


นี่ก็คือรากฐานของผู้สืบทอดสำนักโบราณ ไม่ขาดทรัพยากร ไม่ขาดวิชาลับ และไม่ขาดการชี้แนะจากอาจารย์ เมื่อรวมกับพรสวรรค์ชั้นเลิศ คุณสมบัติโดดเด่นของตนเข้าไปอีก บนหนทางแห่งการฝึกปราณแน่นอนว่าต้องเหนือกว่าคนปกติ ฉายแววเจิดจรัสอัศจรรย์


ก็เหมือนมรดกวิชาลับจิตวิญญาณนี้ ผู้สืบทอดที่มาจากสำนักทั่วไปในแคว้นวิญญาณอัคนีอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิง แน่นอนว่าไม่อาจครอบครอง


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การจะครอบครองมรดกวิชาลับจิตวิญญาณได้ มีเพียงในสำนักโบราณซึ่งยอดเยี่ยมที่สุดในปัจจุบันเท่านั้น!


หลินสวินสังเกตเห็นว่ายามนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายมาถึงนภาสูงหมื่นจั้ง ทั้งจุดโคมวิญญาณดวงหนึ่งอย่างราบรื่น


แต่โคมวิญญาณที่คนส่วนมากจุดสว่างต่างรูปลักษณ์ธรรมดา ฉายเพียงแสงแวววาวราวรัศมีประทีปดวงน้อย เต็มที่ก็เรียกได้แค่ระดับแววระยับ


กระทั่งโคมวิญญาณส่วนหนึ่งที่ผู้แข็งแกร่งจุดขึ้น ยังเรียกไม่ได้แม้แต่แววระยับด้วยซ้ำ


ความแข็งแกร่งแห่งพลังจิตวิญญาณของเหล่าผู้กล้า ยามนี้ได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน


วู้ม!


ทันใดนั้นสูงขึ้นไปนภาราตรี หงส์เซียนขาวหิมะซึ่งวิวัฒน์จากพลังจิตวิญญาณของจี้ซิงเหยาจุดโคมวิญญาณดวงหนึ่ง แค่ชั่วพริบตาก็แผ่คลื่นผันผวนอัศจรรย์ยิ่งยวด ระเบิดแสงกระจ่างแปลบตาเจิดจรัส!


แสงส่องหมื่นจั้งระดับสว่างไสว!


เพียงแต่ยังไม่จบแค่นี้ ภายใต้สายตาตกตะลึงของผู้คนที่จับจ้อง โคมวิญญาณที่จี้ซิงเหยาจุดสว่างขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานยิ่งเจิดจรัส กระทั่งสุดท้ายประหนึ่งตะวันดวงหนึ่งแขวนอยู่บนนภา สาดส่องฟ้าดิน!


คุณลักษณ์จิตวิญญาณ ‘สุริยันกลางนภา’ !


“เทพธิดาจี้สมกับเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ในแดนฐิติประจิมของพวกเรา พลังจิตวิญญาณเช่นนี้เพียงพอหลอมมรรคกลายเป็นราชันได้อย่างสบาย”


“ช่างยอดเยี่ยมนัก เล่าลือว่ามู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนปัจจุบัน ยามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเมื่อยังเยาว์ คุณลักษณ์จิตวิญญาณคือระดับ ‘สว่างไสว’ ไม่จำเป็นต้องสงสัย พลังจิตวิญญาณของเทพธิดาจี้เหนือกว่าผู้อาวุโสมู่ซางเสวี่ยในตอนนั้นอยู่ขั้นหนึ่ง!”


เพียงชั่วขณะในที่นั้นพลันมีเสียงอัศจรรย์ใจ อิจฉา และเลื่อมใส


“ยินดีด้วยซิงเหยา ด้วยคุณสมบัติจิตวิญญาณเช่นนี้ ภายภาคหน้าในมหาสงครามต้องโดดเด่นเหนือผู้อื่น บรรลุมหามรรคมกุฎราชันในคราเดียวแน่!”


อวี่หลิงคงกล่าวเสียงดังแสดงความยินดี


“พี่อวี่ชมเกินไปแล้ว” จี้ซิงเหยาตอบรับเสียงราบเรียบ “หากข้าดูไม่ผิด พี่อวี่เองน่าจะเล็งโคมวิญญาณดวงหนึ่งไว้แล้วกระมัง”


“ซิงเหยาสายตาเฉียบแหลมดังคาด” อวี่หลิงคงยิ้มสง่า จากนั้นก็เห็นระฆังธรรมสีทองซึ่งสร้างจากพลังจิตวิญญาณของเขาพลันส่งเสียงกึกก้อง


ตึง!


เวลาต่อมา โคมวิญญาณดวงหนึ่งถูกจุดสว่างส่องเวิ้งฟ้า ฉายแสงศักดิ์สิทธิ์ไร้ขีดจำกัด สว่างกระจ่างดั่งดวงตะวัน แทรกประดับบนนภากว้าง


มองจากที่ห่างไกล โคมวิญญาณของเขาและจี้ซิงเหยาคล้ายฉากลักษณ์ประหลาดตระการตาแห่ง ‘คู่ทินกรสาดแสง สาดส่องฟ้าดิน’


ทุกคนตรงนั้นพูดไม่ออก สั่นสะเทือนโดยสมบูรณ์


เทศกาลโคมกถามรรคในอดีต สามารถปรากฏลักษณ์ป ‘สุริยันกลางนภา’ ครั้งหนึ่งก็เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงแล้ว พอที่จะชักนำความอึกทึกใหญ่หลวงมาได้


แต่ตอนนี้ชั่วพริบตาก็ปรากฏเรื่องปาฏิหาริย์คู่ทินกรเทียบเคียง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน!


‘เทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ต่างจากอดีตจริงดังคาด เกิดวาสนาและโชคชะตาอย่างไม่เคยมีมาก่อน บางทีนี่อาจเป็นเค้าลางอย่างหนึ่งของมหาสงครามที่จวนมาเยือนก็เป็นได้’


ผู้แข็งแกร่งมากมายมีความคิดต่างกันไป ไม่อาจนิ่งสงบ


เวลาถัดมาบุคคลแห่งยุคอย่างมู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ ต่างทยอยจุดโคมวิญญาณของตน


การแสดงออกของพวกเขาชวนตะลึงอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ก่อเกิดเสียงฮือฮาและพิศวงเป็นระลอก เพียงแต่ไม่ปรากฏลักษณ์ประหลาดยิ่งใหญ่อย่างสุริยันกลางนภาอีก


พูดให้ถูกคือ พลังจิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ระหว่าง ‘สุริยันกลางนภา’ และ ‘สว่างไสว’ หากเป็นเทศกาลโคมกถามรรคในอดีต เพียงพอเรียกได้ว่ายากพบเห็นเป็นประวัติการณ์แล้ว


แต่เพราะมีจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงที่โดดเด่นอยู่ก่อน ทำให้พวกเขาดูด้อยลงไปในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้


หลินสวินเองก็ออกเคลื่อนไหวนานแล้ว แผ่ขยายพลังจิตวิญญาณของตน มุ่งสู่บริเวณที่สูงขึ้นไปบนอากาศ สัมผัสโคมวิญญาณดวงแล้วดวงเล่า


แต่จวบจนบัดนี้กลับหาโคมที่เหมาะกับตนไม่พบ ดังนั้นจึงไม่อาจจุดสว่าง


นี่ทำหลินสวินคิ้วขมวดไม่หยุด


หรือโคมวิญญาณที่คุณลักษณะยิ่งสูงก็ยิ่งหายาก?


เวลานี้พลังจิตวิญญาณของเขามาถึงจุดสูงสุดบนห้วงนภา เกือบเคียงตำแหน่งที่พวกไป๋หลิงซี อวี่หลิงคงจุดโคมวิญญาณ


แต่ที่หลินสวินกลัดกลุ้มคือ กลางห้วงอากาศระดับสูงนี้มีโคมวิญญาณน้อยดวง อีกทั้งยังไม่มีสักดวงที่สามารถจุดสว่าง


“ฮ่า เทพมารหลิน พลังจิตวิญญาณของเจ้าไม่ใช่ว่าแข็งแกร่งนักรึ ทำไมจนป่านนี้ยังไม่จุดโคมวิญญาณอีกเล่า คงไม่ใช่จิตวิญญาณมีปัญหากระมัง”


ซาหลิวฉานส่งเสียงหัวเราะลั่น เขามองออกว่าหลินสวินอยู่ในสภาพเก้กังอยู่บ้าง ย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสเหน็บแนมและเยาะเย้ยหลินสวินแน่


“นั่นน่ะสิ ไม่เห็นหรือ บริเวณใกล้เคียงนั่นยังมีโคมวิญญาณไม่น้อย แต่กลับไม่มีสักดวงที่ถูกพลังจิตวิญญาณเขาจุดสว่าง นี่พิสูจน์ได้ว่าพลังจิตวิญญาณของเขาไม่พอจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’ แต่แรก!”


“หลินสวิน ไม่ใช่ว่าเจ้าระห่ำนักรึ ทำไมครั้งนี้กลับห่อเหี่ยวเสียเล่า มาๆๆ รีบเผยอานุภาพแห่งเทพมารของเจ้า จุดโคมวิญญาณสักดวงให้พวกเราชมหน่อยสิ”


หลังสังเกตเห็นภาพนี้ เหล่า ‘อริเก่า’ อย่างชิงเหลียนเอ๋อร์ จงหลีอู๋จี้ก็ฉวยโอกาสเย้ยหยัน


บนนภาสูงหมื่นจั้งนี้ พวกเขาต่างไม่กังวลว่าจะยั่วโทสะหลินสวินจนถูกเขาแก้แค้นแม้แต่น้อย


ผู้แข็งแกร่งคนอื่นแม้ไม่พูดอะไร แต่เวลานี้ต่างคลางแคลงยิ่ง ไม่เข้าใจอย่างมาก ควรรู้ว่าเมื่อครู่นี้เทพมารหลินอาละวาดบ้าบิ่นมาเกือบตลอด ใช้ท่าทีทรงพลังทะยานมาถึงนภาสูงหมื่นจั้งได้อย่างง่ายดาย


ในระหว่างนั้นยังถือโอกาส ‘ก่อหายนะ’ ให้ผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าหงส์เขียวและตระกูลจงหลีห้าคน


นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างคิดว่า ความแข็งแกร่งแห่งพลังจิตวิญญาณของหลินสวินคงไม่จำเป็นต้องกังขา กระทั่งคนมากมายต่างเชื่อว่า ผู้ที่สามารถชิงความเจิดจรัสกับจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงคงมีเพียงเทพมารหลิน


แต่ตอนนี้…


เขากลับไม่อาจจุดโคมวิญญาณสักดวง!


นี่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงและไม่เข้าใจยิ่ง หรือเป็นอย่างที่พวกซาหลิวฉานกล่าวมาจริง จิตวิญญาณของหลินสวินแม้จะแกร่งแต่มีจุดบกพร่องบางประการ จนกระทั่งไม่อาจจุดโคมวิญญาณได้?


ตอนที่ 890 หมาป่าห่มหนังแกะ?

ขณะนี้แม้แต่พวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงล้วนถูกทำให้ตระหนก สังเกตเห็นสถานการณ์เปราะบางของหลินสวิน


‘ไอ้ระยำหน้าด้านนี่ ในที่สุดก็ถูกบีบจำนนสักที ดูซิว่าคราวนี้เขาจะจบอย่างไร’ ในใจจี้ซิงเหยาปรากฏความรู้สึกมีสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสี้ยวหนึ่ง


ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง ต่อให้ดูหมิ่นและรังเกียจสันดานไร้ยางอายต่ำช้าของหลินสวินอย่างมาก แต่นางก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าหลินสวินมีคุณสมบัติเพียงพอลำพองในหมู่คนรุ่นเยาว์


แต่จนบัดนี้เขากลับไม่จุดโคมวิญญาณสักดวง นี่มันผิดปกตินัก


‘เอื้อมสูงไม่ถึงก้มต่ำไม่เป็น มัวแต่อวดดีไม่รับความจริง เจ้าหมอนี่ดูไปแล้วก็เท่านั้น’ อวี่หลิงคงเยาะหยันภายในใจ


จิตวิญญาณคือสิ่งสำคัญของการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน กระทั่งเป็นลางบอกพลังแฝงของการกลายเป็นราชันในภายภาคหน้า


จากมุมมองอวี่หลิงคง แม้ก่อนหน้านี้พลังต่อสู้หลินสวินเย้ยฟ้าเพียงใด แต่หากจิตวิญญาณบกพร่อง ภายหลังต่อให้สามารถก้าวสู่ระดับราชัน ความสำเร็จก็คงจำกัด!


สารพัดอุปสรรคย่อมมาเยือนต้องเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง ความสำเร็จตอนนี้อาจชวนตะลึงเหนือธรรมดา แต่สำหรับคนรุ่นเยาว์ สิ่งที่ต้องผจญไม่ใช่ปัจจุบัน แต่เป็นอนาคต!


มหาสงครามจวนมาเยือน วาสนานาและการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนใกล้ปรากฏ


ภายใต้สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ หากจิตวิญญาณหลินสวินเกิดบกพร่อง เช่นนั้นอนาคตเขาต้องไม่อาจชิงชัยบนมหามรรคกับบุคคลแห่งยุคคนอื่นแน่


กระทั่งอาจดับมอดกลางหมู่ชนแต่เพียงเท่านี้!


นี่คือความเห็นของอวี่หลิงคง


นอกจากนี้พวกมู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวินเองต่างจับจ้องสถานการณ์ พวกเขาไร้พยาบาทกับหลินสวิน ก่อนหน้าก็ไม่มีส่วนข้องแวะอันใด ทว่าเมื่อเห็นเทพมารหลินที่แต่ก่อนชักนำคลื่นลมเหลือคณา บัดนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ


เพียงแต่ไม่ช้า ไม่ว่าจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง หรือพวกมู่เจี้ยนถิงต่างสำรวมจิต ไม่สนใจติดตามอีก


พวกเขาล้วนจุดโคมวิญญาณแห่งตนแล้ว กำลังไตร่ตรองและหยั่งรู้พลังมรดกจิตวิญญาณซึ่งประทับอยู่ในโคมวิญญาณ นี่ก็คือวาสนาล้ำค่าหาใดเปรียบ



“เทพมารหลิน ยอมรับความจริงเถอะ อย่าได้ดึงดันอีกเลย ไม่ขายหน้าแย่หรือ” ซาหลิวฉานหัวเราะลั่น


เขาวางท่ามีสุขบนทุกข์คนอื่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสโจมตีหลินสวิน แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเกรงใจ


หลินสวินมุ่นคิ้ว เจ้าหมอนี่ช่างเอะอะมะเทิ่ง


เขาสังเกตโคมวิญญาณที่ซาหลิวฉานจุดสว่าง เต็มที่ได้แค่ขั้น ‘สว่างไสว’ ทั้งยังสู้ไป๋หลิงซีไม่ได้ด้วยซ้ำ


หลินสวินไม่รู้จริงๆ ว่าใครมันให้ความกล้าเจ้าหมอนี่ ทำให้เขากล้ากระโดดโลดเต้นจนเกินงามเช่นนี้ ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะตน


นอกจากซาหลิวฉานแล้ว พวกจงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์เองก็ตั้งท่าซ้ำเติม แน่นอนว่าพวกเขาได้แค่ขยับปาก ไม่อาจก่ออันตรายอะไรต่อหลินสวิน


ซูม…


จู่ๆ กลางที่นั้นเกิดภาพชวนตะลึง พลังจิตวิญญาณสีม่วงสายหนึ่งวิวัฒน์เป็นกระถางมหึมา พุ่งทะยานมาถึงความสูงใกล้พลังจิตวิญญาณหลินสวิน


ต่อมาโคมวิญญาณดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นชั่วพริบตา จาก ‘แววระยับ’ ขั้นแรกเริ่มถึง ‘สว่างไสว’ จนมาถึง ‘สุริยันกลางนภา’ ในท้ายสุด กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นชั่วพริบตา!


ทุกคนตรงนั้นพลันสั่นสะท้านถูกดึงดูด


ใครกัน ถึงกับจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’ อีกดวง


นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


ไม่ช้าทุกคนก็มองเห็น ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้คือเด็กสาวชุดม่วงคนหนึ่ง ท่าทางนางโดดเด่นเหลือประมาณ หน้าผากขาวกระจ่างหมดจด พรั่งแสงแห่งสติปัญญา รูปร่างอ่อนช้อยงดงาม ทั่วร่างแผ่หมอกเมฆาม่วงศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่อง เห็นได้ว่าโดดเด่นและลึกลับ


ลั่วเจีย!


ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพ!


นางลึกลับยิ่ง เริ่มแต่เข้าสู่เทศกาลโคมกถามรรคก็ทิ้งร่องรอยเลือนราง ไปมาคนเดียวดุจม่านหมอก


อีกทั้งในการทดสอบสามรอบแรก ฝีมือทั้งไม่โดดเด่นและไม่ดาษดื่น ซ้ำไม่ดึงดูดความสนใจเท่าไหร่นัก


แต่ตอนนี้นางกลับจุดโคมวิญญาณได้ดั่งดวงตะวัน สั่นสะเทือนผู้คนในคราเดียว!


“ที่แท้เป็นนาง…”


“ดูท่าแต่ก่อนพวกเราต่างละเลยผู้สืบทอดปริศนาแห่งตำหนักปรกอุดมคนนี้เสียแล้ว”


เหล่าผู้กล้าประหลาดใจ


ที่คาดไม่ถึงที่สุดคือ เวลานี้จี้ซิงเหยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากแสดงความยินดีก่อน “แม่นางลั่วเจียสมเป็นหัวหน้าผู้สืบทอดในปัจจุบันของตำหนักปรกอุดม ครองจิตวิญญาณเช่นนี้ สามารถวาดหวังมหามรรคในภายหน้าได้”


“สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว” เสียงลั่วเจียใสกระจ่างดั่งวารี ผุดผ่องดุจกล้วยไม้กลางหุบเขาเหมือนกับตัวของนาง


ขณะเดียวกันอวี่หลิงคงก็เอ่ย “ลั่วเจียหรือ ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโส ‘หลิงเจวี๋ยคง’ ซึ่งปิดด่านมานานแปดพันปีที่ตำหนักปรกอุดม ปีก่อนปรากฏตัวออกมาเป็นกรณีพิเศษ รับศิษย์เบื้องท้ายคนหนึ่งนามลั่วเจีย หรือว่าจะเป็นแม่นางท่านนี้”


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่แดนพิสุทธิ์อมตะแห่งกาฬทักษิณท่านนี้ก็เคยได้ยินชื่อเสียงต่ำต้อยของข้า” ลั่วเจียกล่าวเสียงแผ่ว


“ฮ่าๆ ทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงคืออริยะที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานท่านหนึ่ง ปราณวิถีกระบี่ยอดเยี่ยมที่สุด ลุ่มลึกเกินคาดเดา แปดพันปีก่อนก็มีกิตติศัพท์ว่า ‘อริยะกระบี่ปรกอุดม’ ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า”


อวี่หลิงคงหัวเราะร่าอย่างเปิดเผย “บรรพชนตระกูลข้านับถือผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงอยู่เสมอ เรื่องที่แม่นางลั่วเจียถูกผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงรับเป็นศิษย์คนท้าย ข้าก็ฟังมาจากผู้อาวุโสในตระกูล”


เฮือก!


ผู้คนพลันส่งเสียงสูดหายใจสะท้าน


ใครต่างไม่คาดคิด ว่าผู้สืบทอดลึกลับของตำหนักปรกอุดมคนนี้ ถึงกับเป็นศิษย์เบื้องท้ายของอริยะกระบี่ผู้หนึ่ง!


อริยะเดิมก็เหมือนเทพมังกรเร้นหุบเหว ไม่อาจมองเห็นร่องรอย พลานุภาพเทียมฟ้า มีฝีมือยิ่งใหญ่ไม่อาจคาดเดา


และอริยะผู้อาศัยวิถีกระบี่สร้างชื่อเลื่องลือ พลังของเขาย่อมชวนประหวั่นยิ่งกว่าโดยไม่ต้องสงสัย


ลั่วเจียถึงกับสามารถเป็นศิษย์คนท้ายของอริยะกระบี่ท่านหนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่าคุณสมบัติและรากฐานของนางน่าอัศจรรย์ระดับใด


‘เจ้าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวเคยบอกว่า ลั่วเจียคล้ายมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์เซียน ความเป็นมานี้เดิมทีก็ลึกลับน่าตะลึงพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่านางยังเป็นผู้สืบทอดอริยะกระบี่… ช่างร้ายกาจนัก!’


ในใจหลินสวินเองก็สะท้านไม่หยุด


เขาเคยพบอริยะ อย่างเช่นวานรเฒ่าที่ซ่อนอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะ หรืออย่างจักจั่นขาว จักจั่นทอง และผีเสื้อราตรีสีเลือดที่จำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนในสมรภูมิกระหายเลือด


ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ชัดว่า คนที่สามารถก้าวสู่อริยมรรคเป็นบุคคลน่าหวาดกลัวระดับใด


ลั่วเจียยังเยาว์วัยเช่นนี้ กลับถูกอริยะกระบี่ผู้หนึ่งรับเป็นศิษย์เบื้องท้าย แค่คิดก็รู้ว่ารากฐานนางต้องไม่ธรรมดา!


ณ ที่นั้นเงียบสงัด ทุกคนต่างจิตใจกระเพื่อมไหว พวกเขาเพิ่งรับรู้ว่า ในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ยังแฝงด้วยผู้สืบทอดอริยะกระบี่ที่เก็บงำซ่อนเร้นจนเกือบถูกพวกเขาละเลย แรงจู่โจมนี้ช่างมากเหลือเกิน


ทว่าท่ามบรรยากาศเงียบสงัด ดันมีเสียงเยาะหยันเสียดหูยิ่งของซาหลิวฉาน


“เทพมารหลิน ตอนนี้เจ้าควรตัดใจได้แล้วกระมัง โคมวิญญาณที่แม่นางลั่วเจียจุดอยู่ใกล้เจ้า แต่ก่อนหน้าเจ้ากลับไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ นี่หมายความว่าอะไรเจ้าคงไม่รู้กระมัง”


ทันใดนั้นสีหน้าเหล่าผู้กล้าเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น


แม้ซาหลิวฉานกำลังเยาะเย้ยและโจมตีเทพมารหลิน แต่ที่พูดก็เป็นจริง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ล้วนถูกพวกเขาเห็นด้วยตาตัวเอง


“ฮึ เจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดว่าตนเหมือนพวกเทพธิดาจี้ คุณชายอวี่ คิดฝันเลิศเลอเสียจริง”


“ไม่รู้จักวางตัว ทำได้แค่สร้างความขบขัน เทพมารหลิน เจ้าแน่ใจนะว่าจะปล่อยไก่อยู่ตรงนั้นต่อ”


ชิงเหลียนเอ๋อร์และจงหลีอู๋จี้พากันเอ่ยปาก วาจาเปี่ยมความปรามาสและเย้ยหยัน


ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกหลินสวินไล่ตามจนหัวซุกหัวซุนราวไฟลนก้น ความอัปยศและคั่งแค้นสุมอกอยู่ก่อนแล้ว ในเวลานี้แทบอยากเหยียบหลินสวินให้จมเท้าด้วยซ้ำ


อันที่จริงหลินสวินออกจะรังเกียจและเอือมระอา รู้สึกเหมือนมีแมลงวันหัวเขียวสองสามตัวส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างหู ไล่ก็ไม่ไป


“ท่าทางเช่นนี้ของพวกเจ้า ทำเอาข้านึกขึ้นได้ประโยคหนึ่ง” เขาพลันกล่าว ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายใคร่รู้


“ทุกคนดูสิ เทพมารหลินอับอายจนโกรธแล้ว นี่จะเอ่ยปากแก้ต่างให้ตัวเองหรือ น้อยๆ หน่อย! อย่าขายขี้หน้าอีกเลย ข้าละอายแทนเจ้าแล้วเนี่ย!” ซาหลิวฉานเยาะเย้ย


หลินสวินหาได้สนใจไม่ กล่าวต่อไป “ประโยคนี้ก็คือ แมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง แต่สวะอย่างพวกเจ้า แม้แต่แมลงฤดูร้อนยังเทียบไม่ได้ ช่างทำให้คำว่า ‘ผู้กล้า’ แปดเปื้อน!”


“เจ้า…”


ซาหลิวฉานเพิ่งหมายพูดอะไร ก็เห็นกลางนภาสูง พลังจิตวิญญาณของหลินสวินพลันส่องสว่าง แม้ไม่ได้จุดโคมวิญญาณ แต่แค่พลังจิตวิญญาณของเขาก็ราวตะวันดวงโตดวงหนึ่ง เปล่งประกายไร้ขีดจำกัด!


ผู้แข็งแกร่งบางส่วนต่างมีความรู้สึกไม่อาจมองโดยตรง ช่างเจิดจรัสและแสบตาเหลือเกิน


“นี่…”


เหล่าผู้กล้าในใจสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าเทพมารหลินเดือดดาลแล้ว กระตุ้นพลังจิตวิญญาณถึงขีดสุดเต็มกำลัง


เพียงแต่พลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งชวนประหวั่นเช่นนี้ เหตุใดจนปัจจุบันล้วนไม่อาจจุดโคมวิญญาณได้สักดวง?


หรือเขาหาอะไรบางอย่างมาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงรั้งรอไม่ตัดสินใจ


“ฮึ! จิตวิญญาณทรงพลังแล้วอย่างไร ไม่อาจจุดโคมวิญญาณได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะมีจุดบกพร่อง!” พวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์แม้ประหลาดใจสงสัย แต่ปากยังไม่ละเลยหน้าที่


“ไม่อาจจุดโคมวิญญาณ? เช่นนั้นจงเบิกตาสุนัขของพวกเจ้าให้ดี!”


หลินสวินเวลานี้ไม่เก็บงำไว้อีก พลังจิตวิญญาณพลันกลายเป็นคนตัวเล็กสามชุ่น รูปร่างท่าทางราวถอดแบบจากหลินสวิน เงาร่างสูงสง่า ทั่วร่างเจิดจรัส


วิญญาณแห่งพลังจิต!


แต่เนื่องด้วยพลังจิตวิญญาณของเขาเจิดจ้าเกินไป แทบไม่มีคนสังเกตเห็นการมีอยู่ของวิญญาณแห่งพลังจิต


วู้ม!


วิญญาณแห่งพลังจิตย่างก้าวบนอากาศ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง โคมวิญญาณกลางนภาดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงถูกจุดสว่าง แค่ชั่วพริบตาก็เหมือนมหาสุริยันสะท้อนใต้เวิ้งฟ้า สว่างกระจ่างเกรียงไกร!


สุริยันกลางนภา!


ทุกคนตรงนั้นตะลึงพรึงเพริด เทพมารหลินก่อนหน้านี้ยั้งพลังไว้ดังคาด พลังจิตวิญญาณเองก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


พวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์อึ้งงันโดยสมบูรณ์ ตกตะลึงอ้าปากค้าง ในใจเหมือนมีหมื่นอาชาไพรตะบึงผ่าน


ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดจาคล่องปาก มองว่าจิตวิญญาณหลินสวินบกพร่อง ด้วยเหตุนี้จึงเย้ยหยันและเหน็บแนมเต็มที่ ในใจเปี่ยมความรื่นรมย์แช่มชื่นถึงแก่น


แต่บัดนี้พวกเขากลับราวถูกคนฟาดกระบองเตือนสติ หัวสมองเบลอไปหมด อึดอัดจนแทบกระอักเลือด ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องกลับพลิกผันเช่นนี้?


ความรู้สึกนี้เหมือนถูกคนตบหน้าเข้าจังหนับ ปวดแสบปวดร้อนไปหมด!


“เทพมารหลินนี่เห็นชัดว่าจงใจเล่นละครตบตาพวกซาหลิวฉาน ถึงได้อดกลั้นมาตลอด รอตบหน้าเวลานี้”


ผู้แข็งแกร่งมากมายสีหน้าพิลึกพิลั่น พวกเขาคิดว่าหลินสวินเจตนา ‘ห่มหนังแกะ’ เก็บงำแผนเจ้าเล่ห์ รอเวลาโจมตีและแก้แค้นพวกซาหลิวฉาน


ไม่เช่นนั้นอาศัยฝีมือของเขาเช่นตอนนี้ คงจุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาไปนานแล้ว ไยต้องรอจนป่านนี้เล่า?


วิธีนี้ช่างสร้างความเสียหายเหลือเกิน!


ตอนที่ 891 โคมแห่งความมืดรัตติกาลนิรันดร์

ความผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียนในอนาคต


ในใจผู้กล้าแอบระแวง ตัดสินใจว่าต่อไปจะระวังเทพมารหลินให้มาก เจ้าหมอนี่ไม่เพียงพลังต่อสู้ดุดัน ยังหน้าเนื้อใจเสือ อันตรายอย่างที่สุด ไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็สามารถถูกเขาทำร้ายได้!


ก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งห้าคนจากตระกูลจงหลีและเผ่าหงส์เขียวก็โดนหลอกไปครั้งหนึ่งแล้ว คิดว่าพลังจิตวิญญาณของหลินสวินอ่อนแอ จึงฉวยโอกาสนี้ลงมือเล่นงานเยวี่ยเจี้ยนหมิงอย่างอดไม่ได้


ใครจะคิดว่าความอ่อนแอเป็นเพียงภาพจอมปลอมที่หลินสวินเสแสร้งขึ้น เมื่อเขาระเบิดขึ้นมา ผู้แข็งแกร่งทั้งห้าคนนั้นก็ประสบโศกนาฏกรรมโดยตรง


แม้แต่จงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์ต่างตกใจ รีบหลบราวกับไฟลนก้น


และตอนนี้หลินสวินใช้วิธีเดิมอีกครั้ง จงใจแสดงออกว่าอ่อนแอ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ปริเสียงเลยแม้แต่คำเดียวราวกับกำลังหย่อนเหยื่อรอปลา แต่พวกซาหลิวฉานคิดแต่จะแก้แค้นจึงโดนหลอก รีบร้อนออกตัว แน่นอนว่าผลลัพธ์จะต้องน่าเศร้าอีกแล้ว


จังหวะตบหน้ากลับนี้เรียกได้ว่าชำนาญถึงขั้นสมบูรณ์ บรรลุจุดสุดยอด ทำให้เหล่าผู้กล้ายังรู้สึกเจ็บหน้าแทนพวกซาหลิวฉาน


ร้ายกาจและอำมหิตเกินไปแล้ว!


เทพมารหลินไม่พลาดทุกโอกาสที่จะได้โจมตีคู่ต่อสู้!


เพียงแต่ครั้งนี้พวกเขาเข้าใจหลินสวินผิดแล้วจริงๆ…


ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการทดสอบด่านที่สี่ หลินสวินจะไปมีกะจิตกะใจเล่นกับพวกซาหลิวฉานเสียที่ไหน


ครั้งนี้พวกซาหลิวฉานเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาเองทั้งนั้น และท่าทางก็เหมือนทนรอไม่ไหวแล้วอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงต้องฝืนใจสะบัดฝ่ามือเข้าไป


“หลินสวิน ไอ้คนต่ำช้า!!” พวกซาหลิวฉานต่างอับอายจนพาลโกรธ เดือดดาลจนตะโกนลั่นหน้าเขียว


เจ้าหมอนี่จงใจชัดๆ เจ้าเล่ห์อย่างที่สุด จงใจขุดหลุมพรางเอาไว้ รอพวกเขากระโดดลงไป


“ข้าต่ำช้าหรือ ผู้ร่วมวิถีทุกท่านในที่นี้ต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเจ้าวอนหาเรื่อง กระโดดออกมาเอง ตอนนี้พออับอายขายหน้ากลับโทษว่าข้าต่ำช้าหรือ พวกเจ้ายังมีหน้าเรียกตัวเองว่าผู้กล้าอีกหรือ”


หลินสวินยิ้มเยาะ


ทุกคนต่างพูดไม่ออก คำพูดนี้ของหลินสวินไม่สามาถโต้เถียงได้เลยจริงๆ


ส่วนพวกซาหลิวฉานโกรธจนปอดแทบระเบิดออก พวกเขาไหนเลยจะคิดได้ว่า เทพมารหลินผู้กล้าแกร่งจะถึงกับเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเพียงนี้


เพื่อล่อหลอกพวกเขา แม้แต่เกียรติและขอบเขตก็ไม่สนใจแล้ว!


“ข้าบอกแล้วว่าแมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง ส่วนพวกเจ้านั้นยิ่งกว่าแมลงฤดูร้อนเสียอีก อย่างมากก็แค่พวกตัวตลกที่น่าขันและไม่รู้จักประเมินความสามารถของตนฝูงหนึ่ง!”


เสียงของหลินสวินสบายๆ แต่ทุกคำราวกับมีดคม โจมตีจนพวกซาหลิวฉานอยากเข้าไปสู้กับหลินสวินจนแทบทนไม่ไหว


“พูดตามจริงข้าคร้านจะสนใจพวกเจ้าแต่แรก พวกเจ้ากลับเหยียบจมูกขึ้นหน้า หาเรื่องใส่ตัว! ไม่พอใจหรือ เช่นก็เบิกตาสุนัขของพวกเจ้ารอดูต่อไป!”


เพิ่งสิ้นเสียงนี้ ทุกคนต่างหัวใจสะท้าน จุดโคมวิญญาณแล้วแท้ๆ เทพมารหลินคิดจะทำอะไรอีก


แม้แต่พวกซาหลิวฉานยังอึ้ง


วู้ม!


ในเวลานั้นเอง บนชั้นนภาวิญญาณแห่งพลังจิตก้าวย่างต่อไป มาถึงหน้าโคมวิญญาณดวงหนึ่ง กวาดแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครา


โคมวิญญาณราวกับดวงสุริยัน เปล่งแสงอย่างไร้ขีดจำกัด!


เฮือก


ทุคนคน ณ ที่นั้นต่างอึ้งตาค้างตกตะลึง จุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาดวงหนึ่งได้ก็น่าตะลึงมากพอแล้ว


แต่ตอนนี้ ในระหว่างที่เทพมารหลินพูดคุยพร้อมรอยยิ้มอยู่นั่น กลับจุดโคมวิญญาณสว่างขึ้นมาอีกดวง และยังเป็นระดับสุริยันกลางนภาเช่นเดียวกัน!


นี่ฟังดูน่าทึ่งเกินไปแล้ว ไม่มีใครเคยได้ยินว่าในการทดสอบด่านที่สี่ยังสามารถจุดโคมวิญญาณสว่างถึงสองดวง ทั้งยังเป็นระดับสุริยันกลางนภาทั้งคู่!


“นี่…” เหล่าผู้กล้าสะท้านจนพูดไม่ออก


แม้จะเป็นพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงและลั่วเจียยังตกใจ ต่างกวาดจิตรับรู้เข้าไปมอง เมื่อเห็นภาพนี้ในใจต่างสั่นสะท้านไม่น้อย


จุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาสว่างถึงสองดวง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน!


‘เจ้าหมอนี่ต้องจงใจแน่!’ จี้ซิงเหยาโกรธจนกัดฟัน ก่อนหน้านี้นางยังย่ามใจอยู่ไม่น้อย รอดูว่าหลินสวินจะคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร


แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เจ้าหมอนี่กลับสร้างความฮือฮาขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าจงใจก่อเรื่อง!


‘ข้ามองผิดไปจริง…’ อวี่หลิงคงคิดเช่นนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดพลุ่งพล่านขึ้นในใจ มีไอสังหารที่ควบคุมไม่อยู่เสี้ยวหนึ่ง


ยามนี้เขารับรู้ได้ถึงภัยคุกคามจากตัวหลินสวิน ทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างมาก


คนที่เขาไม่เคยเห็นในสายตา กลับเผยพลังจิตวิญญาณที่ทำให้เขาเองยังรู้สึกถึงภัยคุกคาม นี่ทำให้อวี่หลิงคงยากจะยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัย


‘เป็นบุคคลระดับเทพมารจริงๆ…’ ลั่วเจียเหมือนคิดอะไรอยู่


……


พวกซาหลิวฉานสั่นไปทั้งตัว สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด น่าสนใจอย่างที่สุด ในใจอยากจะกระอักเลือด


หากบอกว่าตอนที่หลินสวินจุดโคมวิญญาณดวงแรกติด พวกเขารู้สึกเดือดดาล อัดอั้นเหมือนโดนหลอก เช่นนั้นพวกเขาในตอนนี้ก็รู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


แรงโจมตีนี้รุนแรงเกินไปแล้ว!


พอนึกถึงคำเหยียดหยามและท้าทายของพวกเขาที่มีต่อหลินสวินเมื่อครู่นี้ ทำให้พวกเขาอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้ อับอายขายหน้ายิ่งแล้ว!


“นี่มันเทพมารหลินซะที่ไหน เทพลวงหลินชัดๆ…” มีผู้แข็งแกร่งพึมพำ


เทพลวงหลิน?


เหล่าผู้กล้าตะลึง สมญานามนี้ช่างเหมาะสมจริงๆ เวลาลวงคนไม่แสดงสีหน้า พรสวรรค์สมบูรณ์แบบเป็นธรรมชาติ ความคิดไร้ขีดจำกัด ลงมือตามอำเภอใจ หลอกลวงคนอย่างแนบเนียนใกล้เคียงมรรค


ดังเช่นพวกซาหลิวฉาน ที่ตอนนี้จิตใจล้วนถูกกระทบกระเทือนจนอึ้งค้างอยู่กับที่ ทั้งน่าเห็นใจและน่าขัน


……


บนท้องฟ้ารัตติกาลยามนี้มีโคมวิญญาณห้าดวง ราวกับสุริยันดวงโตแขวนอยู่ โชติช่วงเรืองรอง ส่องสะท้อนซึ่งกันและกัน


โดยแบ่งเป็นของจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง และลั่วเจียคนละดวง มีเพียงหลินสวินที่ยึดครองคนเดียวถึงสองดวง


ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ทุกอย่างยังไม่จบเพียงเท่านี้


ช่วงเวลาหลังจากนั้น พลันเห็นพลังจิตวิญญาณของหลินสวินยิ่งใหญ่และทรงพลังขึ้น จุดโคมวิญญาณสว่างขึ้นดวงแล้วดวงเหล่า


ทุกๆ ดวงล้วนราวกับสุริยันสะท้อนฟ้า ส่องสว่างจักรวาล!


ไม่เพียงแค่พวกซาหลิวฉานที่อึ้งจนตาค้าง ณ ที่นั้นยังมีผู้แข็งแกร่งอีกมากมายที่ตกตะลึง ล้วนมีความรู้สึกไม่สมจริง เหมือนมองเห็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งเดียวในโลก


นี่ทำให้ไม่สามารถจินตนาการได้เลยจริงๆ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน!


พลังจิตวิญญาณของเทพมารหลินนั่นแข็งแกร่งถึงเพียงใดเชียว


บุคคลแห่งยุคอย่างพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงและลั่วเจียก็ไม่อาจสงบใจได้เช่นกัน ในใจมีความกดดันหนักอึ้ง


ในการทดสอบด่านที่สี่นี้ หากเทียบกันจริงๆ พวกเขาต่างด้อยกว่าไม่น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย!


หลินสวินในตอนนี้นำหน้าไปไกลไม่เห็นฝุ่น!


ไม่นานบนท้องฟ้าพลันมีโคมวิญญาณที่ราวกับสุริยันเพิ่มเข้ามาอีกสี่ดวง ล้วนถูกหลินสวินจุดสว่าง รวมกันแล้วเขาจุดโคมวิญญาณสว่างขึ้นมาหกดวงแล้ว


นี่หากแพร่กระจายออกไปจะต้องสร้างความฮือฮาให้ทั่วหล้าอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเทศกาลโคมกถามรรคในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน


แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ หลินสวินในตอนนี้กลับยังไม่หยุด


หรือพูดอีกอย่างว่า แม้เขาจะจุดโคมวิญญาณมาหลายดวงแล้ว แต่กลับไม่เคยเลือกมรดกจิตวิญญาณที่ประทับอยู่ในโคมดวงใดเลย


เขากำลังทำอะไรอยู่


……


หลินสวินกำลังตามหา


กำลังตามหาโคมวิญญาณที่เหมาะกับตน แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วคือ เขาลองอยู่หลายครั้ง แม้สามารถจุดโคมวิญญาณได้ แต่กลับหาที่พึงพอใจไม่ได้เสียที


ตอนนี้พลังจิตวิญญาณของเขาได้พุ่งสู่จุดที่สูงมากของห้วงนภาแล้ว ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนถึงขั้นไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไปแล้ว


บนที่สูงของห้วงนภา แทบไม่พบโคมวิญญาณใดๆ แม้แต่ดวงเดียว นอกจากท้องฟ้ารัตติกาลก็คือความว่างเปล่า


หลินสวินไม่ตัดใจ พุ่งขึ้นไปอีก


แม้แต่บุคคลอย่างจี้ซิงเหยาก็ตรวจจับพลังจิตวิญญาณของหลินสวินได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ห่างไกลเกินไปแล้ว


“เกรงว่าเขาคงหลอมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาแล้ว มิฉะนั้นไม่มีทางพุ่งขึ้นไปยังจุดที่สูงถึงเพียงนี้ในนภาหมื่นจั้งได้…”


ตอนนี้บุคคลแห่งยุคหลายคนต่างตระหนักได้ว่า ด้านพลังจิตวิญญาณของหลินสวิน ได้ไปเข้าถึงระดับที่สูงยิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้


วิญญาณแห่งพลังจิต!


ในระดับกระบวนแปรจุติแทบจะเรียกได้ว่าไม่สามารถฝึกได้ มีเพียงบนร่างของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะพบเห็นได้


แต่เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินคนนี้คล้ายจะทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว!


จิตวิญญาณดุจดวงประทีป ส่องประกายสู่ตน พลังจิตไม่เสื่อมสูญ โคมวิญญาณสว่างชั่วนิจนิรันดร์ ความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังจิตวิญญาณ คือจุดสำคัญของการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน


และยามนี้ ทุกอย่างกำลังพิสูจน์ว่าหลินสวินมีศักยภาพแฝงในการบรรลุระดับราชันที่เหนือกว่าคนทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย!


นี่ทำให้พวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงต่างให้ความสำคัญ ไม่กล้ามองว่าหลินสวินเป็นคนธรรมดาอีก


สูงขึ้นเรื่อยๆ…


จู่ๆ หลินสวินก็รับรู้ได้ถึงความเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขารู้ว่าความสูงนี้ถึงขีดจำกัดของพลังจิตวิญญาณของตนแล้ว


ทอดสายตามองไปรอบๆ ห้วงนภาตรงนี้มืดดำราวกับน้ำหมึก ว่างเปล่าอ้างว้าง มีความเงียบที่กดดันใจคน


“ดูเหมือนว่าจะไม่มีแล้วจริงๆ…” หลินสวินจนปัญญา บางทีระดับสุริยันกลางนภาอาจจะเป็นโคมวิญญาณที่คุณภาพสูงที่สุดแล้ว


เพียงแต่ตอนที่หลินสวินกำลังจะกลับ จู่ๆ ก็ชะงักไปด้วยตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง ม่านรัตติกาลที่ราวกับกรงปกคลุมฟ้าดินนี้ ก็เป็นแสงอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ


ใต้ห้วงนภา โคมวิญญาณมากมายบ้างโชนแสงราวสุริยัน บ้างราวกับดวงดาวเปล่งประกาย แต่ไม่ว่าจะเจิดจ้าเพียงใด กลับไม่สามารถทำลายแสงแห่งดำมืดของม่านรัตติกาลได้อย่างสมบูรณ์!


หลินสวินรู้สึกถึงบางอย่าง จึงหยุดตามหาโคมวิญญาณ แล้วใช้วิญญาณแห่งพลังจิตไปสัมผัสห้วงฟ้าสีรัตติกาลนั่น


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร วิญญาณแห่งพลังจิตของหลินสวินสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แทบจะว่างเปล่า แต่กลับเงียบสงัดเก่าแก่อย่างที่สุดสายหนึ่ง


เดาถูกแล้วจริงๆ!


ทันใดนั้นในใจหลินสวินพลันสะท้าน วิญญาณแห่งพลังจิตโคจรพลังเต็มกำลัง ไล่ตามกลิ่นอายอันเงียบสงัดเก่าแก่นั่น


หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกความมืดมิดอันไม่มีที่สิ้นสุดล้อมอยู่รางๆ กลิ่นอายเก่าแก่โบราณที่ทำให้จิตวิญญาณของเขารู้สึกถึงความกดดันแผ่ขยายออกมา


ลึกล้ำดุจราตรีกาล สงัดเงียบดุจความมืดมน


และในเวลานั้นเอง หลินสวินมองเห็นโคมวิญญาณดวงหนึ่ง มันมีขนาดราวฝ่ามือเด็กทารก ตัวโคมประหนึ่งสร้างขึ้นจากทองเซียนสีดำ มีความรู้สึกเก่าแก่หนักอึ้งซ่อนอยู่ภายใน ราวกับโคมแห่งความมืดมิดดวงหนึ่งที่หลอมรวมไว้ในรัตติกาลนิรันดร์


ความมืดมิด เดิมทีเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกกดดันและสิ้นหวัง


แต่โคมดวงนี้กลับตรงข้าม มันมีเอกลักษณ์อย่างชัดแจ้ง มีกลิ่นอายยิ่งใหญ่โอ่อ่า เคร่งขรึมและเก่าแก่!


มันนี่แหละ!


หลินสวินตามหามานาน นี่เป็นครั้งแรกที่รับรู้ได้อย่างแรงกล้าว่า สิ่งที่พลังจิตวิญญาณของตนต้องการก็คือโคมแห่งความมืดที่เปล่งแสงรัตติกาลนิรันดร์ดวงนี้!


พรึ่บ!


วิญญาณแห่งพลังจิตของหลินสวินกระโดดไป นำพาพลังจิตวิญญาณของตนเข้าไปภายในโคมแห่งความมืดดวงนั้น


ฮูม


ทันทีที่เข้าไป กลิ่นอายแห่งมรดกอันยิ่งใหญ่ที่เก่าแก่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้พุ่งเข้ามาราวกับภูผาทลายคลื่นยักษ์ถล่ม ท่วมท้นวิญญาณแห่งพลังจิต


ในเวลาเดียวกัน สีรัตติกาลที่ปกคลุมฟ้าดินถึงกับกระเพื่อมคลื่นแปลกประหลาดลูกแล้วลูกเล่า แผ่ขยายระลอกคลื่นอันคลุมเครือ โคมวิญญาณแต่ละดวงที่ถูกจุดและแขวนอยู่กลางอากาศล้วนสั่นสะเทือนไปตามคลื่น พลิ้วไหวอยู่กลางห้วงฟ้า


โคมวิญญาณส่ายไหว แสงสว่างพรั่งพรู กลับยิ่งขับเน้นให้สีรัตติกาลยิ่งมืดมิดและเงียบสงัด…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)