Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 880-881
ตอนที่ 878 ทะเลแห่งความปรวนแปร
ขวดหยกเล็กกระจ้อยร่อยอย่างที่สุดใบนี้ ถึงกับกล้าตั้งชื่อที่ทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามสั่นสะท้าน?
หลินสวินสงสัย
มหามรรคสุดหยั่ง นี่ไม่ใช่ชื่อที่สมบัติทั่วไปสามารถรองรับได้ มหามรรคเดิมคือพลังกฎเกณฑ์ที่สูงสุดอย่างหนึ่งกลางฟ้าดิน เสมือนสิ่งต้องห้าม นำมันมาเป็นชื่อเท่ากับละเมิดข้อห้ามโดยไม่ต้องสงสัย เป็นเรื่องร้ายไม่ใช่ดี!
ส่วนสุดหยั่งสองคำนี้ก็ยิ่งเน้นหนัก
อะไรเรียกว่าสุดหยั่ง
หลักแห่งอนันต์ไร้สิ้นสุด เร้นลับไม่อาจหยั่งถึง!
ขวดใบน้อยแค่นี้กลับมีชื่อที่เกือบฝ่าฝืนสิ่งต้องห้าม นี่ทำให้ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดพบเข้าล้วนตื่นตระหนก
ไม่ช้าจิตรับรู้หลินสวินก็ตรวจพบความอัศจรรย์บางส่วนของขวดใบนี้ และเข้าใจว่าเหตุใดมันจึงได้ชื่อนี้
สมบัติชิ้นนี้ดูเหมือนขวดกระจิ๋วหลิว แต่ภายในประหนึ่งโลกอันไร้สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ไม่อาจตรวจจับก้นบึ้งของมันโดยสิ้นเชิง
ความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่สุดคือมันไม่ใช่สมบัติเก็บของ แต่เป็นสมบัติเก็บสะสมพลังยุทธ์!
ตัวอย่างเช่น อานุภาพทั้งหมดซึ่งรวบรวมจากการปล่อยหมัดหนึ่งของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ สามารถเก็บสะสมไว้ในขวดนี้
และเมื่อต้องการใช้ แค่เคลื่อนจิตรับรู้ก็สามารถปล่อยพลังและอานุภาพของกระบวนท่านี้ออกมา อีกทั้งพลานุภาพยังแกร่งกว่าที่สำแดงเองถึงเท่าตัว!
เมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้ หลินสวินสูดหายใจสะท้านอย่างกลั้นไม่อยู่ ‘นี่เทียบกับวิชายักย้ายถ่ายพลัง ยืมแรงสะท้อนแรง เคลื่อนคล้อยดาราแล้วอัศจรรย์กว่ามาก…’
ฉัวะ!
หลินสวินลองดูอย่างอดไม่อยู่ เรียกดาบหักออกมา และสำแดง ‘กระบวนเฉือนนภาสงัด’ พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตน
วู้ม…
ขณะเดียวกันเขาใช้จิตรับรู้ควบคุมขวด ปากขวดพลันร้อนระอุ รัศมีแสงเจิดจรัสดั่งฝันเสมือนมายาเอ่อท้น กลายสภาพเป็นคลื่นน้ำวน
ภาพน่าตกตะลึงพลันปรากฏ ทันทีที่กระบวนเฉือนนภาสงัดสำแดงออกมา ก็ถูกคลื่นวังวนเจิดจรัสนั่นกลืนกินจนหมดอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง!
กลืนกินจริงๆ
พลัง อานุภาพ กระทั่งความอัศจรรย์ทุกอย่างซึ่งซ่อนอยู่ในกระบวนเฉือนนภาสงัดล้วนไม่เหลือแม้แต่น้อย ทั้งหมดถูกขวดมหามรรคสุดหยั่งนั่นดูดกลืนจนเกลี้ยง!
ตูม!
หลินสวินเคลื่อนจิต ขวดมหามรรคสุดหยั่งพลันปล่อยกระบวนเฉือนนภาสงัดออกมา พริบตานั้นราวแสงอัศจรรย์ไร้เทียมทานอุบัติบนโลก ผ่าแหวกเป็นรอยแยกกลางอากาศประมาณหมื่นจั้ง
ผืนดินถูกทะลวงเป็นช่องมหึมาชวนตะลึง ฝุ่นควันตลบอบอวล ลึกไม่เห็นจุดสิ้นสุด
หลินสวินในใจสะท้านไหวหนักหน่วง อานุภาพกระบวนเฉือนนภาสงัดนี้ทรงพลังกว่าที่ตนใช้อย่างมากดังคาด!
สมบัติชั้นดี!
หลินสวินดวงตาเป็นประกาย ขวดมหามรรคสุดหยั่ง นี่ต้องเป็นสมบัติหายากแห่งยุคซึ่งมีความอัศจรรย์เฉพาะตัวชิ้นหนึ่งแน่ น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
‘ก่อนต่อสู้สามารถสะสมพลังยุทธ์ ทำการจู่โจมสังหารศัตรูอย่างฉับพลัน นำมาใช้เป็นไพ่ไม้ตายได้’
‘เช่นเดียวกัน ขณะต่อสู้ยังสามารถเรียกขวดนี้มาดูดกลืนกระบวนสังหารของศัตรู จากนั้นจึงใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง อีกทั้งหลังผ่านการดูดกลืนของขวดนี้อานุภาพยังเพิ่มขึ้นเท่าทวี…’
แค่ชั่วพริบตาหลินสวินก็เข้าใจความอัศจรรย์สองอย่างของขวดนี้ระหว่างต่อสู้ ก่อนต่อสู้สามารถสะสมพลังเป็นไพ่ไม้ตาย
ระหว่างต่อสู้ยังสามารถดูดกลืนกระบวนสังหารของศัตรู ใช้วิธีสะท้อนพลังคืนสู่เจ้าตัว ซ้ำอานุภาพยังแกร่งกว่า!
‘ไม่รู้ว่าขวดนี้จะสามารถดูดกลืนกระบวนสังหารของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้หรือไม่ หากทำได้ เช่นนั้นประโยชน์คงยิ่งน่าอัศจรรย์แล้ว…’
หลินสวินนึกถึงตรงนี้พลันใจสั่นเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่
เขาตระหนักได้ในทันที ว่าหากต่อไปถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันไล่ล่าอีก สามารถอาศัยขวดนี้มาดูดกลืนวิชาสังหารของอีกฝ่ายเพื่อคลี่คลายวิกฤติแก่ตนได้โดยสมบูรณ์
อีกทั้งขวดนี้ไม่ใช่แค่ดูดกลืนพลังเท่านั้น ยังสามารถสำแดงออกมาอีกครั้งด้วยอานุภาพเท่าทวี!
คิดไปคิดมา เมื่อการโจมตีเต็มกำลังของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันถูกขวดนี้ปลดปล่อยออกมาด้วยอานุภาพเป็นเท่าตัว จะสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้ในคราเดียวหรือไม่
หลินสวินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสมบัตินี้วิเศษอัศจรรย์ไม่ธรรมดายิ่งแล้ว
เขารู้สึกได้อย่างรุนแรงว่า นี่เป็นแค่ความอัศจรรย์บางส่วนที่ตนสำรวจพบเท่านั้น ความอัศจรรย์ทั้งมวลของขวดน้อยใบนี้ต้องไม่ได้มีเพียงแค่นี้แน่!
แต่ทุกอย่างล้วนเป็นการคาดเดาของหลินสวิน เจ้าขวดน้อยจะสามารถกลืนกระบวนสังหารของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้หรือไม่ ต้องทดสอบด้วยตนเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร การทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ สามารถได้รางวัลพิเศษเช่นนี้ ทำให้หลินสวินรู้สึกประหลาดใจพอควร
วู้ม…
ทันใดนั้น ยันต์มรรคในมือเกิดระลอกคลื่นคลุมเครือ ต่อมาหลินสวินก็ถูกเคลื่อนย้ายจากไป เลือนหายไปในเขตขีดจำกัดอันขมุกขมัว
…
พรึ่บ!
เมื่อหลินสวินปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่หน้าผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง น้ำทะเลซัดสาดเหมือนปราศพรมแดนไร้ขอบเขต ทอดมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ทะเลปรวนแปร!
การทดสอบด่านที่สามจะเปิดฉากขึ้นที่นี่
ทะเลนี้วิเศษอัศจรรย์นัก เมื่อการทดสอบเริ่มต้นบนผืนทะเลจะควบรวมดอกบัวออกมามากมาย ผู้ฝึกปราณต้องก้าวขึ้นไปในดอกบัว ทำการแข่งล่องในทะเลปรวนแปร มุ่งสู่อีกฟากฝั่งของทะเลจึงถือว่าผ่านการทดสอบ
บนชายฝั่งหน้าทะเลปรวนแปรเงาร่างมากมายรวมตัวอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มคนเล็กๆ เกาะกลุ่มรวมกัน กำลังวิพากษ์วิจารณ์
“เทพมารหลิน!”
“ไม่รู้ว่าในการทดสอบถกมรรคด่านที่สองเขาได้ลำดับที่เท่าไหร่”
“น่าเสียดาย คนที่เทพมารหลินล่วงเกินมีมากเหลือเกิน ไม่เช่นนั้นข้าคงยินดีเคลื่อนไหวพร้อมเขาบนทะเลปรวนแปรในการทดสอบด่านที่สามนี้”
เมื่อเงาร่างหลินสวินปรากฏ ก็นำมาซึ่งการชำเลืองมองและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทันที
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่สะทกสะท้าน สายตากวาดมองทั่วบริเวณ พริบตาตัดสินได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งประมาณสองพันกว่าคนกระจายอยู่รอบๆ ชายฝั่งแห่งนี้
‘จำได้ว่าตอนเข้าร่วมถกมรรคมีคนนับหมื่น แต่นี่เพิ่งทำการทดสอบถกมรรคด่านที่สามก็เหลือผู้แข็งแกร่งไม่ถึงสามส่วน จำนวนที่ถูกคัดออกน่าตกใจเกินไปแล้ว’
ขณะหลินสวินใคร่ครวญก็เดินมาถึงจุดที่ห่างกับผู้คนแห่งหนึ่ง ทอดมองทะเลปรวนแปรอันห่างไกล
เห็นชื่อแล้วก็พอมองออก ว่าเมื่อเข้าสู่ทะเลนี้จะต้องจมกระเพื่อมไหวอยู่ภายใน ผู้ฝึกปราณทำได้แค่อาศัยดอกบัวแทนลำเรือ ล่องแข่งขันอยู่ในนั้น ด้านบนไม่อาจเหินนภา ด้านล่างไม่อาจลงสู่ทะเล
อีกทั้งทันทีที่พลัดตกทะเลจะถูกคัดออกในทันที!
เทศกาลโคมกถามรรคในอดีต การทดสอบ ‘แข่งล่องทะเลปรวนแปร’ นี้แม้ไม่ถึงขั้นอันตราย แต่อัตราคัดออกกลับสูงยิ่ง
ผู้แข็งแกร่งที่มีความแค้นต่อกันบางส่วน มักอาศัยโอกาสนี้ทำการล้างแค้นและโจมตีคู่ต่อสู้ การล่องลอยบนทะเลไร้ขอบเขตได้แต่อาศัยเรือดอกบัวมุ่งหน้าไป ทันทีที่เปิดศึก ความเป็นไปได้ในการพลัดตกทะเลก็มีมากยิ่ง
ขอเพียงคลื่นลมหนึ่งล้วนสามารถทำคู่แข่งพินาศโดยง่าย
ถึงอย่างไร น้ำทะเลในทะเลปรวนแปรนั่นหาใช่น้ำธรรมดา อุดมพลังมหามรรคชวนประหวั่น แต่ละหยดล้วนหนักเกินพันชั่ง หากเกิดคลื่นทะเลสายหนึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคีรีเทพลูกหนึ่งกดทับลงมา
ไม่ช้าหลินสวินก็เก็บสายตากลับมา
เขาสังเกตเห็นว่าเหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงต่างมาถึงนานแล้ว ขณะนี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน กำลังพูดคุยบางอย่างเสียงเบา
นอกจากนี้ข้างกายพวกมู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ ซาหลิวฉาน หลี่ชิงฮวน อู่ต้วนหยา ต่างล้อมรอบด้วยคนเป็นกลุ่มๆ
หลินสวินเห็นไป๋หลิงซี นางสวมชุดขาว รูปร่างหน้าตาดั่งภาพวาด ผมดำดุจน้ำตก ใบหน้างามประณีตสันโดษ กำลังยืนอยู่ข้างอวี่หลิงคง
เมื่อเห็นสายตาของหลินสวิน นางยิ้มเล็กน้อยพลางผงกศีรษะ
หลินสวินยิ้มรับ เพียงแต่ไม่นานสีหน้าเขาพลันชะงัก สังเกตเห็นแววตาเย็นชาคู่หนึ่งกวาดมองมายังตน
คนผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีพื้น รูปร่างทรงสง่าแบบบางสมส่วน ผิวพรรณแวววาวผุดผ่อง หน้ารูปเมล็ดแตงขาวกระจ่างงามสง่าหาใครเทียม ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เหนือห้วงมายา ประดุจเซียนซึ่งเดินออกมาจากภาพวาด
เป็นจี้ซิงเหยาผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉานั่นเอง
ทว่าหลินสวินกลับร้อนตัวอยู่บ้าง ตอนนั้นเขาไม่ทันระวังกระแทกก้นเด็กสาวหยิ่งทะนงนี่ครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอึดอัดบางประการ
หากไม่จำเป็นหลินสวินไม่อยากเจอจี้ซิงเหยาจริงๆ เด็กสาวคนนี้ไม่เพียงเย่อหยิ่งเหลือประมาณ ซ้ำยังอารมณ์ยัง…
เวลานี้หลินสวินสัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่าสายตาที่จี้ซิงเหยามองมาแม้นิ่งสงบ แต่มีไอสังหารไร้รูปเสี้ยวหนึ่งราวมีดดาบพาให้หนาวสะท้าน
ขณะเดียวกัน ข้างหูหลินสวินพลันมีเสียงสื่อจิตเยียบเย็นหนึ่งว่า ‘หากเจ้ากล้าพูดเรื่องวันนั้นออกมา ข้ารับรองว่าเจ้าต้องไม่ตายดี!’
เต็มไปด้วยความข่มขู่
หลินสวินหรี่ตาลง เด็กสาวนี่เจ้าอารมณ์ซะจริง ผ่านไปนานตั้งเท่าไหร่แล้ว ทำไมนางยังจำไม่ลืม
มุมปากเขาปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ พลันโบกมือไปทางจี้ซิงเหยาซึ่งอยู่ห่างไกล ก่อนกล่าวรับปาก “วางใจเถอะ นี่คือความลับระหว่างเราสองคน ข้าไม่ปริปากบอกใครแน่”
“เจ้า…” สีหน้าจี้ซิงเหยาแข็งทื่อ นัยน์ตากระจ่างดุจดาราคู่นั้นปรากฏโทสะอย่างไม่อาจระงับ นางไหนเลยจะคาดคิดว่าเจ้าหมอนี่จะหน้าด้านและไร้ยางอายเช่นนี้ ถึงกับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย
นี่มันรับปากซะที่ไหน เห็นชัดว่าเป็นการแกล้งหยอกอย่างหนึ่ง!
ดังคาด เมื่อได้ยินวาจานี้ของหลินสวิน ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในละแวกใกล้เคียงต่างตกตะลึงทันที อึ้งงันอ้าปากค้าง
นี่มันเรื่องอะไรกัน
เทพมารหลินแอบเกี้ยวพาเทพธิดาจี้หรือ
ทุกคนตรงนั้นกระสับกระส่ายยากจะเชื่อ
จี้ซิงเหยาเป็นถึงบุคคลผู้นำซึ่งถูกจับตามองที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม เสมือนเซียนบนสวรรค์ ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนยกย่องและเลื่อมใส
ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินว่านางข้องแวะกับชายหนุ่มมากความสามารถคนไหนมาก่อน
แต่ตอนนี้เทพมารหลินกลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา นี่จึงทำให้ผู้คนผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพียงชั่วขณะในใจผู้แข็งแกร่งมากมายต่างลอบอิจฉาและริษยา มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากเคียดแค้นชิงชัง คิดว่าเทพมารหลินลบหลู่ดูหมิ่นเทพธิดาจี้
ส่วนจี้ซิงเหยาเมื่อได้เห็นดังนี้ ความแค้นใหม่เก่าพลันท่วมท้นในใจ นางขบฟันแน่น นัยน์ตากระจ่างฉายประกายอสนี แทบอยากพุ่งไปฉีกร่างเจ้าสารเลวหลินสวินนี่เสียตอนนี้
น่าโมโหเกินไปแล้ว!
นางไม่เคยเจอคนหน้าด้านไร้ยางอายเช่นหลินสวินมาก่อน!
‘เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!’
จี้ซิงเหยาสื่อจิตเปี่ยมความคั่งแค้น นางพลันพบว่าแค่เจอหลินสวิน ตนก็ควบคุมอารมณ์ในใจไม่อยู่ ทั้งไม่อาจสงบใจได้
หลินสวินยิ้มบางๆ แต่เจิดจ้าหาใดเปรียบ ในใจลอบกล่าวว่า เจ้าข่มขู่ข้าได้แต่ไม่ยอมให้ข้าโต้กลับหรือ ไร้สาระสิ้นดี!
แต่ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงเห็นภาพนี้เข้าในใจพลันอลหม่าน เทพมารหลินและจี้ซิงเหยากำลัง ‘ถ่ายทอดความรู้สึก’ กันอยู่หรือ
แต่ทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมายจะดีจริงหรือ
จี้ซิงเหยารู้สึกว่าหากทำเช่นนี้ต่อไป คงถูกคนต่ำช้าหน้าไม่อายอย่างหลินสวินทำให้โกรธจนคลั่งแน่ นางสูดหายใจลึกหันไปทางอื่น ราวกับว่าหากมองหลินสวินมากกว่านี้คงทำนางสติแตกสิ้นเชิง
ทว่าอวี่หลิงคงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างและเห็นทุกอย่างนี้ นัยน์ตากลับฉายแววเยียบเย็นสายหนึ่งก่อนลับหายไปในชั่วพริบตาอย่างยากสังเกตเห็น
ตอนที่ 879 บัญชีเก่ายังไม่สะสาง แค้นใหม่ยังมาเยือน
จี้ซิงเหยาถูกเรียกขานว่าเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม ชายหนุ่มมากความสามารถนับไม่ถ้วนต่างยกย่องสรรเสริญ รูปโฉมเรียกได้ว่าหาใครทัดเทียมโดยไม่ต้องสงสัย
นางมีผมงามนุ่มสลวย คิ้วโค้งงอน นัยน์ตากระจ่างส่องประกายดุจดารา ทุกการเคลื่อนไหวเจือความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ประดุจเทพธิดาเย็นยะเยือกราวหิมะ
ในสายตาอวี่หลิงคง เห็นจะมีเพียงผู้กล้าหญิงแห่งยุคเช่นนี้จึงควรค่าให้เขาไล่ตามแสวงหา
แท้จริงแล้วการที่เขาข้ามเขตแดนวิภู เดินทางจากแดนกาฬทักษิณผ่านพันภูผาหมื่นวารีครานี้ นอกจากเพื่อเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคแล้ว จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดคือการใกล้ชิดจี้ซิงเหยา
แต่ยามนี้ได้เห็น ‘การถ่ายทอดความรู้สึก’ ระหว่างหลินสวินและจี้ซิงเหยากับตา ทำให้ในใจอวี่หลิงคงยากจะรับราวกับกินแมลงวันตายเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
“แม่นางจี้ เจ้านี่พูดจาจาบจ้วงทำลายชื่อเสียงเจ้า ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่” อวี่หลิงคงเอ่ยปาก ยิ้มน้อยๆ ให้จี้ซิงเหยา จากนั้นค่อยมองหลินสวินด้วยสายตาเย็นชา
เทพมารหลินอะไร เขาล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น!
ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้เคียงทั้งหมดต่างตื่นตระหนกคาดไม่ถึง จี้ซิงเหยายังไม่แสดงท่าทีอะไร อวี่หลิงคงบุคคลแห่งยุคซึ่งมาจากแดนกาฬทักษิณนี่กลับเสนอตัวออกมาเสียก่อน
เดิมจี้ซิงเหยาก็แค้นจนกัดฟันกรอด ข่มความวู่วามที่อยากพุ่งออกไปฉีกร่างหลินสวินเต็มที่ แต่เมื่อได้ยินวาจานี้ของอวี่หลิงคง กลับทำให้ในใจนางยิ่งสั่นไหว หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
อวี่หลิงคงนี่หมายความว่าอะไร คิดจริงหรือว่าเรื่องเล็กแค่นี้นางจะจัดการไม่ได้จนต้องให้คนอื่นมาช่วย
จี้ซิงเหยารู้ความในใจของอวี่หลิงคงที่มีต่อตน แต่นางกลับไม่สนใจอวี่หลิงคงแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นตอนแรกนางคงไม่แอบหนีมายังนครเตโช ไม่ยอมพบหน้าอวี่หลิงคงซึ่งมาเยือน
แม้พูดว่าระหว่างนางกับหลินสวินไม่มีอะไรจริง แต่นางก็ไม่ชอบใจความเอาอกเอาใจของอวี่หลิงคงเวลานี้เช่นเดียวกัน นี่ทำให้นางหงุดหงิดอย่างมาก
สีหน้าหลินสวินประหลาดไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเลิกคิ้วกล่าว “สหายท่านนี้ เจ้าพูดจาให้บันยะบันยังหน่อย พูดจาบจ้วงอะไรกัน เรื่องของข้ากับแม่นางจี้สองคน คนนอกอย่างเจ้าไม่รู้อะไรก็สอดปากเข้ามาจุ้น ไม่รู้จักกาลเทศะมากไปหรือเปล่า”
ผู้แข็งแกร่งทุกคนตรงนั้นอ้าปากค้าง เทพมารหลินช่างแข็งกร้าวซะจริง ถึงกับด่าอวี่หลิงคงว่าไม่รู้จักกาลเทศะตรงๆ!
“บังอาจ!”
“ไอ้หนู เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
“รีบขอโทษศิษย์พี่อวี่ซะ!”
เหล่าผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะซึ่งมาพร้อมอวี่หลิงคง ขณะนี้ต่างส่งเสียงเดือดดาล ดุว่าหลินสวิน มองว่าเขาล่วงเกินและสบประมาทเกียรติภูมิของอวี่หลิงคง นี่คือการดูหมิ่นหยาบคาย
หลินสวินเหลือบมองคนเหล่านี้คราหนึ่ง เขายังจำได้ หลายวันก่อนยามพบไป๋หลิงซี คนพวกนี้ก็วางท่าหยิ่งผยองเหนือผู้อื่น ออกจะดูถูกตนเสียด้วยซ้ำ
เวลานั้นหลินสวินคร้านจะคิดเล็กคิดน้อย แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยังได้คืบจะเอาศอก เห็นว่าเขาหลินสวินกลั่นแกล้งง่ายนักหรือ
นัยน์ตาดำของเขาเย็นเยียบ “พวกเจ้าหุบปากซะดีกว่า ที่นี่ไม่ใช่แดนกาฬทักษิณและไม่ใช่แดนพิสุทธิ์อมตะ หาใช่ที่ให้พวกเจ้ามาลำพอง”
“เจ้า…” หนุ่มสาวรุ่นเยาว์เหล่านั้นโกรธจัด
เห็นบรรยากาศชักตึงเครียด ในใจไป๋หลิงซีวิตกกังวล เดินออกมาทันทีหมายทำการไกล่เกลี่ย
แต่อวี่หลิงคงพลันสะบัดมือพลางกล่าว “ศิษย์น้องไป๋ ข้ารู้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเด็กนี่ ถอยไปเถอะ นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
สีหน้าเขาเฉยชานิ่งสงบ ร่างสูงโปร่งแผ่ความน่าเกรงขามอันไร้รูป มีกลิ่นอายไม่อาจขัดขืนประการหนึ่ง
หลินสวินยิ้มกล่าว “วาจานี้กล่าวได้ไม่เลว แม่นางไป๋เจ้าไม่ต้องลำบากใจ เจ้าเองก็รู้ ข้าหลินสวินฝึกปราณมาจนบัดนี้ ไม่เคยถูกขู่จนหงอ”
คิ้วเรียวยาวของไป๋หลิงซีขมวดมุ่น แต่สุดท้ายก็ถอนใจถอยกลับไป
นางมองออก ไม่ว่าอวี่หลิงคงหรือหลินสวิน เวลานี้ใครต่างไม่อาจถอยแม้เพียงก้าว นี่เกี่ยวเนื่องกับศักดิ์ศรีของทั้งคู่
แต่ขณะนี้ผู้กล้าทั้งหมดซึ่งมุงดูอยู่ใกล้ๆ ในใจต่างรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง ล้วนคาดไม่ถึงว่าเทพมารหลินนี่ไม่เพียงคล้ายข้องเกี่ยวกับจี้ซิงเหยา กระทั่งยังรู้จักมักคุ้นกับไป๋หลิงซีแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะนั่นอยู่ก่อนแล้ว!
นี่มันช่างไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว!
เทพมารหลินมีคุณธรรมอะไร ถึงถูกหญิงงามสองคนที่รูปโฉมเรียกได้ว่าโดดเด่น ท่วงท่าสง่างามปฏิบัติตัวด้วยเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มมากมายต่างอิจฉาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
แน่นอนว่าเอกบุคคลอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ จงหลีอู๋จี้ที่ดูเหมือนสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ เงียบๆ แต่ความจริงภายในใจแทบอยากให้หลินสวินและอวี่หลิงเกิดความขัดแย้งกันอย่างยิ่ง หากบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่จนถูกคัดออกหมดจะดีที่สุด!
…
แววตาอวี่หลิงคงประเมินหลินสวินหัวจรดเท้าอย่างละเอียด ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ “คนทั่วไปต่างบอกว่าเจ้าเทพมารหลินใจกล้าเกินคน แต่จากที่ข้าเห็น หากบอกว่าเจ้าใจกล้า สู้พูดว่ารนหาที่ตายเสียยังดีกว่า”
รนหาที่ตาย!
เหล่าผู้กล้าต่างตกตะลึง ปัจจุบันเทพมารหลินอานุภาพร้ายกาจเป็นที่โจษขาน มีผลงานการต่อสู้กองพะเนินมาพิสูจน์ความทรงพลังของตัวเองนานแล้ว น้อยคนนักที่จะกล้าประเมินเขาเช่นนี้
แต่ตอนนี้อวี่หลิงคงไม่เพียงพูดขึ้นมา ซ้ำยังกล่าวต่อหน้าเทพมารหลิน นี่เผยว่าอวี่หลิงคงไม่เคยเห็นเทพมารหลินในสายตาแต่แรกโดยไม่ต้องสงสัย!
“ในเทศกาลโคมกถามรรคนี้ ข้าก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้เจ้า ตอนนี้จะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ขอโทษข้าและแม่นางจี้ แล้วครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
น้ำเสียงอวี่หลิงคงสบายอารมณ์ ร่างเขาสูงโปร่ง หน้าตาสง่าผ่าเผย มีท่วงท่าหยิ่งทะนงผงาดผยอง ข่มขู่ผู้คนเหลือประมาณ
หลินสวินร้องอ้อทีหนึ่งกำลังจะพูดอะไร กลับเห็นจี้ซิงเหยาที่อยู่ห่างไกลยืนนิ่ง ท่าทางราวคนนอกที่คิดดูเรื่องสนุก
เห็นชัดๆ ว่าหายนะทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะเด็กสาวอวดดีนี่ชักนำมา แต่เวลานี้นางดันวางตัวอยู่เหนือปัญหา บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้
หลินสวินคิดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนความคิด ถอนใจกล่าว “ซิงเหยา เจ้าไม่อธิบายสักหน่อยหรือ ที่ข้าทำเช่นนี้ล้วนเพื่อปกป้องความลับระหว่างเราสอง หากเจ้าไม่สนใจไยดี เช่นนั้นข้าคงได้แค่นำความลับของเราบอกแก่…”
ไม่รอพูดจบ ร่างงามอ่อนช้อยของจี้ซิงเหยาพลันแข็งทื่อ นัยน์ตากระจ่างถลึงกว้าง “เจ้ากล้า!”
สีหน้าทุกคนพลันเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่นทันที
เวลานี้อย่าว่าแต่คนอื่น แม้แต่อวี่หลิงคงเองยังเริ่มสงสัย ว่าจี้ซิงเหยามีความข้องเกี่ยวไม่ชัดไม่เจนกับหลินสวินเข้าจริงๆ แล้ว
นี่ทำให้หว่างคิ้วอวี่หลิงคงปรากฏเงาทะมึนวูบหนึ่ง ในใจทั้งโกรธแค้นทั้งประหลาดใจสงสัย
จี้ซิงเหยาเวลานี้คับแค้นอับอายหาใดเปรียบ ไม่กล้าเชื่ออย่างสิ้นเชิง ว่าไอ้ระยำหน้าไม่อายนี่ถึงกับกล้านำเรื่องเช่นนั้นมาขู่ตน
ขณะนี้แม้แต่ลำคอเนียนละเอียดขาวดุจหิมะของนางล้วนแดงก่ำ บนใบหน้างามสง่าขาวกระจ่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและอับอาย ไม่อาจสงบใจ ใกล้จะเป็นบ้าอย่างที่สุด
“หลินสวิน นี่เจ้ากำลังบังคับข้าหรือ” จี้ซิงเหยาสูดหายใจลึก นัยน์ตากระจ่างดุจอสนี ไอสังหารแผ่ซ่าน
หลินสวินท่าทางใสซื่อกล่าวประหลาดใจ “ซิงเหยา ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร ข้าแค่อยากให้เจ้าอธิบายสักหน่อยเท่านั้น จะได้ไม่ต้องให้คนบางคนคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่รู้อะไรก็ยังกระโดดออกมายุ่งเรื่องระหว่างเราสองคน ไม่เคยคิดพูดความลับของเราเลย”
เขาคำก็ ‘ซิงเหยา’ สองคำก็ ‘ความลับของเรา’ เหมือนสนิทสนมนัก แต่นี่กลับทำให้จี้ซิงเหยาโกรธจนอยากฆ่าคนเข้าจริงๆ แล้ว
ขาทั้งสองนางเรียวยาว สัดส่วนประทับจิต โค้งเว้าสะโอดสะอง ทว่าเวลานี้กลับโกรธจนร่างอรชรสั่นเล็กน้อย กัดฟันแน่น นัยน์ตากระจ่างดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ เห็นได้ว่าโกรธถึงขีดสุด
และเมื่ออวี่หลิงคงได้ยินคำประเมินว่า ‘คิดเข้าข้างตัวเอง’ ในใจก็เดือดดาลหาใดเปรียบ ไอสังหารพลุ่งพล่านอย่างควบคุมไม่อยู่
เขา ทายาทตระกูลอวี่สายตรงผู้สง่าผ่าเผย ผู้ปรีชาสามารถรุ่นเยาว์แห่งแดนพิสุทธิ์อมตะ ทั่วทั้งแดนกาฬทักษิณต่างเรียกว่าเป็นผู้โดดเด่นแห่งยุค ชื่อเสียงขจรขจายในโลกฟากหนึ่ง
บัดนี้กลับถูกมองเป็นว่า ‘คิดเข้าข้างตัวเอง’ นี่เป็นการหยามศักดิ์ศรีเขาอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย!
“เจ้านี่มันรนหาที่ตาย!”
ผมยาวของอวี่หลิงคงผมแผ่สยาย บนใบหน้าหล่อเหลาผุดไอสังหาร แววตาฉายพลานุภาพไร้รูปตลบอบอวล ชวนให้ผู้แข็งแกร่งใกล้เคียงใจสั่นสะท้าน แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
อวี่หลิงคงเวลานี้ราวเทพถูกยั่วโทสะ อานุภาพอัศจรรย์ทะลวงฟ้า ก่อกวนลมเมฆ
“ทำไม อับอายจนกลายเป็นโกรธจึงคิดลงมือหรือ ข้าต้องกลัวเจ้าด้วยหรือ”
หลินสวินยิ้มเยาะ
นัยน์ตาดำของเขามีสายฟ้าโฉบตวัด พลังทั่วร่างส่งเสียงกัมปนาท ในใจคิดอยากลองดูว่าอวี่หลิงคงนี่จะเก่งกล้าสักแค่ไหน ถึงได้กล้าเพ่งเล็งตนเช่นนี้
อีกทั้งเขายังทะลวงขีดจำกัดในถกมรรคด่านที่สอง ทำให้พลังต่อสู้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ต้องอยากได้คู่ต่อสู้ที่ทรงพลังมาทดสอบเป็นธรรมดา
พริบตานั้น บรรยากาศตึงเครียดพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ!
หน้าทะเลปรวนแปร ขณะการทดสอบด่านที่สามยังไม่เริ่ม ใครต่างไม่คาดคิดว่าเพราะความสัมพันธ์ของจี้ซิงเหยา จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างเทพมารหลินและอวี่หลิงคงกะทันหัน
เวลานี้ทั้งสองต่างคุมเชิงกัน คลื่นลมตั้งเค้า
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่เฝ้าดู ในใจต่างมีความคิดมากมาย
บางคนแทบอยากให้การประลองนี้เปิดฉาก ไม่ว่าเทพมารหลินถูกคัดออกหรืออวี่หลิงคงถูกกำจัด พวกเขาล้วนหวังเห็นสิ่งนั้นกลายเป็นจริง
ดังเช่นพวกซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ต่างคิดเช่นนี้
และมีบางคนเป็นกังวล ทันทีที่บุคคลแห่งยุคเช่นสองคนนี้เปิดศึก จะต้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เป็นไปได้สูงว่าจะกระเทือนมาถึงคนอื่น
ทว่าขณะที่การต่อสู้จวนปะทุ ผู้ที่คาดไม่ถึงคนหนึ่งพลันก้าวออกมาทำการเกลี้ยกล่อมหลินสวิน
“หลินสวิน ข้าว่าเจ้าขอโทษคุณชายอวี่และแม่นางจี้เถอะ อย่าดึงดันทำตามใจมัวแต่อวดดีอีก ไม่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วภัยร้ายคงมาเยือน!”
ถึงกับเป็นเซี่ยอวี้ถัง!
ทุกคนต่างตื่นตะลึง เจ้าหมอนี่เป็นใครถึงกล้าพูดกับเทพมารหลินเช่นนี้
‘ดรุณจ้าวกระบี่ตระกูลเซี่ยเมื่อคราวนั้นหยิ่งทะนงระดับใด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นต่ำต้อยเช่นนี้ เวลานี้ไม่เพียงไม่ช่วยหลินสวิน กลับหมายให้หลินสวินก้มหัว ช่างทำให้คนผิดหวังเกินไปแล้ว…’
ไป๋หลิงซีขมวดคิ้ว ในใจโกรธจัด พวกเขาต่างมาจากจักรวรรดิจื่อเย่า แต่เห็นชัดว่าเซี่ยอวี้ถังไม่เคยเห็นหลินสวินเป็นพวกเดียวกับตน
เมื่อเห็น ‘คนรู้จักเก่า’ คนนี้ ในใจหลินสวินเองก็กรุ่นโกรธขึ้นมาแล้ว
เขาไม่เคยลืม ว่าตอนที่ตนปะทะกับผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ก็เป็นเจ้าเซี่ยอวี้ถังคนนี้ที่กระโดดออกมา อาศัยปากเผ่าวาทวาโยประกาศแก่ใต้หล้า หมายเปิดโปงเบื้องหลัง และบดขยี้ข่าวลือไร้สาระเกี่ยวกับตน ชั่วขณะเดียวก็ทำให้ตนตกเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว พบการปรามาสไม่รู้เท่าไหร่
บัญชีเก่ายังไม่สะสางกับเจ้าหมอนี่ เวลานี้เขายังกระโดดออกมาอีก!
อวี่หลิงคงเองชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเวลานี้ยังจะเกิดบทละครคั่นฉากเช่นนี้ขึ้น เขาพลันยิ้มน้อยๆ ยืนดูอยู่ข้างๆ
เพียงชั่วขณะ สายตาทุกคนตรงนั้นจับจ้องมาทางเซี่ยอวี้ถัง นี่ทำให้ในใจเขาเกิดความภาคภูมิเหลือจะเอ่ยประการหนึ่ง
แน่นอน เขาไม่ได้จะฉวยจังหวะนี้มาสร้างชื่อเสียง แต่หมายอาศัยพลานุภาพของอวี่หลิงคงและจี้ซิงเหยามาเย้ยหยันหลินสวิน โจมตีความหยิ่งทะนงของหลินสวิน ทำให้อีกฝ่ายอับอาย ชื่อเสียงป่นปี้ต่อหน้าผู้กล้าทั้งหมด!
ตอนที่ 880
เซี่ยอวี้ถังไม่ใส่ใจสายตาผิดแปลกโดยรอบ และไม่หวาดกลัวนัยน์ตาเยียบเย็นเจือไอสังหารนั่นของหลินสวิน
เขามาอยู่ตรงกลางถอนใจพลางกล่าว “หลินสวิน ถึงแม้เจ้าคิดจะตัดขาดความสัมพันธ์กับข้า ทว่าเจ้าไร้เมตตาได้แต่ข้าไม่อาจไร้คุณธรรม ถึงอย่างไรพวกเราก็มาจากที่เดียวกัน แน่นอนว่าไม่มีทางเพิกเฉยดูเจ้าดึงดันทำตามใจ ล่วงเกินผู้ที่ไม่ควรล่วงเกิน”
เหล่าผู้กล้าไม่น้อยในที่นั้นถึงตระหนักได้ว่า ที่แท้เซี่ยอวี้ถังนี่ก็มาจากโลกชั้นล่างเหมือนหลินสวิน
“หลินสวิน เจ้าน่ะถอยหลังสักก้าว ขอโทษคุณชายอวี่และแม่นางจี้เถอะ คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ข้ามีหรือจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเจ้า”
เซี่ยอวี้ถังท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเหมือนทำเพื่อหลินสวิน
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ในใจหลินสวินเอือมระอาและรังเกียจกว่าเดิม ชัดเจนว่าที่เจ้านี่กระโดดออกมาเวลานี้ต้องไม่มีเจตนาดีอะไรแน่
ทว่าเขาสงสัยนัก ตนไม่เคยล่วงเกินหมอนี่มาก่อน ทำไมเจ้านี่ถึงดันทุรังจะหาเรื่องตนครั้งแล้วครั้งเล่า
และเพราะเหตุนี้ หลินสวินจึงสะกดข่มไอสังหารไม่ลงมือกับเซี่ยอวี้ถังทันที เขาอยากลองดูว่าเจ้าหมอนี่คิดจะเอาอย่างไรกันแน่
เบื้องลึกเบื้องหลังของเทพมารหลิน?
เหล่าผู้กล้าทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างหูผึ่ง ความสนใจใคร่รู้ถูกกระตุ้นขึ้นมา
นับจากเทพมารหลินเด่นผงาดขึ้นมาแค่ชั่วเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ทั้งก่อความสั่นสะเทือนในแดนฐิติประจิมจนใต้หล้าจับตามอง ผงาดขึ้นมาเป็นบุคคลแห่งยุคซึ่งทุกคนต่างรู้จัก
เขาผงาดเร็วเกินไป ประดุจดาวหางขวางนภา มีคนเคยสงสัยว่าเขาแอบอ้างไม่สมชื่อเสียง แต่สุดท้ายกลับพิสูจน์แล้วว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอให้ลำพองจริง แบกรับคำว่า ‘ผู้กล้าแห่งยุค’ สี่คำนี้ได้แน่นอน
แต่สำหรับที่มาเบื้องลึกเบื้องหลังของเขา จนบัดนี้กลับเหมือนปริศนา ไม่มีคนสามารถให้คำตอบได้แน่ชัด
นี่ชวนให้ใคร่รู้เป็นธรรมดา
เด็กหนุ่มซึ่งมาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง ก่อนหน้าไร้ชื่อเสียงไม่มีใครรู้จัก แต่กลับสามารถผงาดกร้าวในแดนฐิติประจิมอันเป็นสถานที่ที่ผู้กล้าปรากฏตัวต่อเนื่อง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปีก็ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วแดนฐิติประจิม กลายเป็นบุคคลแห่งยุคที่มหาชนจับตามอง เดิมสิ่งนี้ก็เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่อราวปาฏิหาริย์นัก
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาทุกคน เซี่ยอวี้ถังได้ใจยิ่งกว่าเดิม แต่บนหน้าเขายังรักษาสีหน้าเคร่งขรึมดังเก่า
สายตาเขามองยังหลินสวินพลางกล่าว “ปีนั้น เจ้าเป็นแค่เด็กหนุ่มบ้านนอกที่มาจากชนบทห่างไกลคนหนึ่ง คุณสมบัติผิวเผินธรรมดา แม้แต่ฆ่าสัตว์ป่ายังลำบาก หากตอนนั้นข้าไม่ยื่นมือช่วยเหลือ เกรงว่าเจ้าคงไม่รอดถึงป่านนี้”
นัยน์ตาทุกคนต่างหดรัดเล็กน้อย
ปีนั้นเจ้าหมอนี่ยังมีบุญคุณช่วยชีวิตเทพมารหลิน?
ทุกคนเหลือบสายตามองหลินสวินอย่างอดไม่อยู่ แต่กลับเห็นฝ่ายหลังสีหน้าเฉยชาไม่ตระหนกวิตก มองคลื่นความรู้สึกใดๆ ไม่ออก
“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่” หลินสวินถาม
“เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ” เซี่ยอวี้ถังขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจริงหรือว่าได้รับวาสนาใหญ่จาก ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาลแล้ว จะทำให้เจ้าอาละวาดเหิมเกริมได้โดยไม่สนกฎเกณฑ์หลักสวรรค์?”
พูดถึงตรงนี้ เขาพลันตบหน้าผากฉาดหนึ่งพลางกล่าว “อ้อ จริงสิ ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่เจ้าพึ่งพามากที่สุดอาจเป็นสมบัติอริยะชิ้นนั้นที่ได้มาจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์กระมัง แต่เจ้าอย่าลืมว่านี่คือดินแดนรกร้างโบราณ ยอดฝีมือปรากฏตัวต่อเนื่อง ผู้แข็งแกร่งดั่งพงพนา แม้เจ้าครองศุภโชคยึดกุมสมบัติอริยะ แต่หากไม่รู้จักสำรวมจะนำมาซึ่งภัยร้ายถึงตัว!”
วาจานี้กล่าวอย่างกึกก้องทรงพลังสะท้านปฐพี
ทว่าสีหน้าผู้แข็งแกร่งตรงนั้นต่างเปลี่ยนไปแล้ว สายตาที่มองหลินสวินเจือความผิดแปลก
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์!
หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ลึกลับและไม่อาจระบุอย่างที่สุด ซุ่มซ่อนสมบัติปริศนาโบราณซึ่งเพียงพอทำให้อริยะต่างบ้าคลั่งเพราะมัน
แต่เทพมารหลินคนนี้เคยเข้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มาก่อน!
อีกทั้งจากคำพูดเซี่ยอวี้ถัง เทพมารหลินไม่ใช่แค่เคยเข้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยังได้รับวาสนาใหญ่ ได้สมบัติอริยะชิ้นหนึ่งด้วย!
ชั่วพริบตาผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับเทพมารหลินเมื่อหลายวันก่อน ที่กล่าวว่าสาเหตุที่เขาสามารถเปลี่ยนฐานะจากเด็กหนุ่มบ้านนอกตัวเล็กจ้อยในโลกชั้นล่าง มาผงาดกร้าวในแดนฐิติประจิม ก็เพราะเขาเคยได้รับวาสนาใหญ่ ซ้ำในมือยังยึดครองสมบัติอริยะเอาไว้
หรือข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง
ทุกคนในที่นั้นเงียบสนิท เหล่าผู้กล้าตรงนั้นความคิดแตกต่างกันไป ในสมองหมุนวนความคิดนานัปการ
แม้แต่บุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน ขณะนี้ในใจต่างผิดแปลกอยู่บ้าง สายตาที่มองหลินสวินก็ไม่เหมือนเดิม
เร่าร้อน!
ชั่วพริบตา หลินสวินก็รู้สึกถึงความเร่าร้อนแผดเผาจากสายตาเหล่าผู้กล้าไม่น้อยที่มองมายังตน คล้ายจับจ้องขุมสมบัติไร้เทียมทานแห่งหนึ่ง
และตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซี่ยอวี้ถังจึงกระโดดออกมาในเวลานี้ นี่หมายเสี้ยมเหล่าผู้กล้าให้หันปลายหอกมาทางตนเพียงคนเดียว!
‘เจ้าหมอนี่เจตนาชั่วช้า!’ ห่างออกไป ไป๋หลิงซีสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศอย่างชัดเจน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ คั่งแค้นเกินต้าน
เซี่ยอวี้ถังนี่เจตนาเป็นแน่!
ดูเหมือนพูดจาทรงเกียรติผ่าเผย แท้จริงแอบซ่อนแผนชั่ว คิดให้เหล่าผู้กล้ามองหลินสวินเป็นเหยื่อ!
“พูดจบแล้วหรือ” นัยน์ตาดำของหลินสวินนัยน์ตาลุ่มลึกดุจหุบเหว แสงเย็นเยียบพุ่งวาบในดวงตา นับจากนี้เขาไม่อาจอภัยให้เซี่ยอวี้ถังอีกแล้ว
“ทำไม เจ้ายังคิดดื้อดึงไม่ยอมรับ? ข้าเตือนเจ้าด้วยหวังดี หรือยังไม่อาจทำให้เจ้าสำนึกผิดคิดกลับตัวแม้กระผีก” เซี่ยอวี้ถังไม่สบอารมณ์ แต่แท้จริงภายในใจหลงระเริงอย่างยิ่ง
จุดประสงค์ของเขาบรรลุแล้ว สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจากนี้ ไม่ว่าหลินสวินมุ่งหน้าไปที่ไหน ล้วนต้องมีความวุ่นวายนับไม่ถ้วนติดตามไป
“เจ้ามันนับเป็นตัวอะไรถึงกล้ามาเห่าหอนต่อหน้าข้า”
ตึง! หลินสวินย่างก้าวออกไป พลานุภาพยิ่งใหญ่ปะทุแผ่จากร่างเขา ชวนรู้สึกใจสั่นราวเจินหลงบรรพกาลตัวหนึ่งตื่นขึ้น
“เจ้า… หรือยังคิดลงมือชั่วร้าย” สีหน้าเซี่ยอวี้ถังเผยความลนลานวูบหนึ่ง แม้เขาริษยาหลินสวินหาใดเปรียบ แต่ยังไม่กล้าถึงขั้นประลองฝีมือกับหลินสวินจริงๆ
เพียะ!
เงาร่างหลินสวินวูบไหว ไม่ทันเห็นเขาเคลื่อนไหว ใบหน้าเซี่ยอวี้ถังก็ถูกฝ่ามือหนึ่งตวัดใส่
“อ๊าก…” เขาส่งเสียงโหยหวน แม้เขาเองก็เป็นผู้กล้า แต่มีหรือจะเป็นคู่ต่อกรของหลินสวิน หลบหลีกไม่รอดโดยสิ้นเชิง
พริบตานั้นทั้งตัวเขาปลิวกระเด็น โหนกแก้มและขากรรไกรล่างแตกหักทันที เลือดกบจมูกปาก ฟันร่วงหลุด
ทุกคนในที่นั้นสะท้านขวัญ เทพมารหลินถูกยั่วโทสะโดยสมบูรณ์ หรือหมายความว่าคำพูดของเซี่ยอวี้ถังเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริง เชื่อถือได้
“คนอย่างเจ้ามันเสแสร้งไร้ยางอาย คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าออกมาเวลานี้เพราะคิดทำอะไร ควรบอกว่าเจ้าร้ายกาจต่ำทราม หรือควรพูดว่ารนหาที่ตายดี”
หลินสวินก้าวมาเบื้องหน้า ซัดฝ่ามือตบเซี่ยอวี้ถังลอยกระเด็นอีกครา เบื้องหน้าพลันสับสนวิงเวียน หูทั้งสองก้องเสียงดังหึ่งๆ จนแทบหมดสติ
“หลินสวิน!” เซี่ยอวี้ถังโกรธจนหน้าเขียว ดิ้นรนหมายหยัดกาย
“หุบปาก!” หลินสวินย่ำเท้าลงบนอก เหยียบกระดูกหน้าอกเขาจนแตก ก้มศีรษะมองเขาจากเบื้องสูงพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าทนเจ้ามานานมากแล้ว คิดจริงหรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า”
เซี่ยอวี้ถังหน้าตาบิดเบี้ยว เส้นเลือดดำบวมปริ ความได้ใจก่อนหน้าเลือนหาย เขาไม่เคยคิดว่าจะเจอความอัปยศขนาดนี้ ถูกหลินสวินกำราบและเหยียบย่ำต่อหน้าผู้กล้าทั้งหมด
“เจ้า…” เซี่ยอวี้ถังดวงตาอาฆาต หมายจะพูดบางอย่าง
“หุบปากซะ!” หลินสวินออกแรงที่เท้า เสียงกร๊อบๆ ดังสนั่น หน้าอกของฝ่ายหลังกระดูกหักยุบตัวลงมาแล้ว
เซี่ยอวี้ถังเจ็บจนหวีดร้องลั่น แทบลมจับหมดสติ
“บัญชีเก่าก่อนหน้าข้ายังไม่ได้คิดกับเจ้า เจ้ายังไม่ยอมเลิกรา คิดว่าใช้แผนการเช่นนี้จะสามารถอาศัยดาบคนอื่นมาเอาชีวิตข้าหรือ”
หลินสวินสีหน้าเย็นชา นัยน์ตาดำฉายแววเยียบเย็นชวนประหวั่น “บอกเจ้าเลยว่าทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ข้าจะให้เจ้าเห็นกับตาว่าข้าเด่นผงาดในดินแดนรกร้างโบราณนี้อย่างไร ชิงชัยเหนือมหามรรคทีละก้าวอย่างไร และเจ้า จะต้องเป็นแค่หนอนน่าสงสารตัวหนึ่งที่ได้แต่อยู่ใต้เงาข้าชั่วชีวิต!”
คำพูดเฉยชาราบเรียบ เซี่ยอวี้ถังเวลานี้เสมือนโคลนตมกองหนึ่ง แม้แต่วาจายังกล่าวไม่ออก สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอาฆาต
ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบอย่างน่าหวาดผวา ว่าหลินสวินเปลี่ยนเป็นน่ากลัวกว่าที่เขาจินตนานานแล้ว แข็งแกร่งถึงขั้นทำให้เขาไม่อาจดิ้นรนและขัดขืน!
เหล่าผู้กล้าทั้งหมดที่อยู่ละแวกใกล้เคียงเห็นทุกอย่างนี้กับตา ในใจต่างตกตะลึงไม่หยุด
เซี่ยอวี้ถังนั่นสามารถเข้าสู่การทดสอบด่านที่สาม เดิมก็ต้องเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง แต่ต่อหน้าเทพมารหลินกลับเทียบแม้แต่ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาไม่ได้ ถูกกำราบลงโดยสิ้นเชิง!
ส่วนบุคคลแห่งยุคบางส่วนเห็นดังนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองกลับแตกต่างไป พวกเขาสงสัยว่าสิ่งที่เซี่ยอวี้ถังพูดเมื่อครู่คงเป็นจริง ไม่เช่นนั้นไยเทพมารหลินต้องตอบสนองรุนแรงเช่นนี้
เพียงชั่วขณะสายตาที่พวกเขามองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป กลายเป็นซับซ้อนขึ้นมา
หลินสวินหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาไม่อาจไม่เดือดดาล เขาและเซี่ยอวี้ถังมาจากที่เดียวกัน แต่กลับคาดไม่ถึงว่าคนที่ชิงกระโดดออกมาขุดฝังเขาก่อนจะเป็นเจ้าหมอนี่ อีกทั้งอีกฝ่ายยังไม่ได้ทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียว
“หลินสวิน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร ศิษย์น้องเซี่ยปรารถนาดีเกลี้ยกล่อมเจ้า เจ้าไม่รับน้ำใจก็ช่างเถอะ ยังทำป่าเถื่อนทำร้ายคน ออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่”
จั๋วขวงหลันในชุดสีฟ้าก้าวออกมา เขาคือหนึ่งในห้าศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักกระบี่โผผิน เป็นบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง เห็นเซี่ยอวี้ถังถูกกำราบยับเยิน เขาย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย
ถึงอย่างไรเซี่ยอวี้ถังก็เป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินของพวกเขา!
“เจ้าไม่พอใจ?”
หลินสวินปรายตากวาดมองเย็นชา ตั้งแต่มาถึงริมทะเลปรวนแปรนี่เขาก็ถูกยั่วยุอย่างต่อเนื่อง เห็นว่าเขาหลินสวินเป็นมะพลับนิ่มที่ใครต่างก็บีบกำได้หรืออย่างไร
จั๋วขวงหลันขมวดคิ้ว กล่าวเสียงเรียบทันที “เจ้าน่าจะรู้จุดจบของการทำเช่นนี้ดี”
หลินสวินยิ้มเยาะ คร้านจะใส่ใจการข่มขู่ในวาจาจั๋วขวงหลัน เงาร่างเขาเหยียดตรง นัยน์ตาเยียบเย็นดุจอสนีกวาดมองทุกคนในที่นั้น กล่าวอย่างราบเรียบ “ใครไม่พอใจ ตอนนี้ล้วนสามารถก้าวออกมา วันนี้ข้าหลินสวินพร้อมสู้ด้วยถึงที่สุด!”
ประโยคเดียวเปี่ยมความอหังการ ทำผู้แข็งแกร่งตรงนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เทพมารหลินเป็นบ้าไปแล้วหรือ แต่ท่าทางเขาตอนนี้ก็บ้าคลั่งเกินไปแล้วจริงๆ!
บุคคลแห่งยุค ณ ที่นั้นมีมากมาย เขาคนเดียวสามารถรับมือได้หรือ
“คิกๆ ทุกคนดูสิ เทพมารหลินนี่คิดเป็นศัตรูกับพวกเราทุกคนล่ะ” ชิงเหลียนเอ๋อร์ส่งเสียงหัวเราะเยาะ วาจาอ่อนหวานแต่ซ่อนเข็มแหลม
“ฮึ ข้าว่าเขารนหาที่ตาย”
“หลินสวิน เมื่อครู่เจ้าล่วงเกินแม่นางจี้และคุณชายอวี่ ทั้งกระทำการป่าเถื่อนทำร้ายคนและท้าทายพวกเรา คิดจริงๆ หรือว่าเจ้าสามารถทำอะไรได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวฟ้าดิน”
พวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ อู่ต้วนหยาพากันเอ่ยปาก พวกเขามีปมกับหลินสวินอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่พลาดโอกาสซ้ำเติมเช่นนี้
ชั่วขณะเดียว ปลายหอกมากมายมุ่งตรงมาทางหลินสวินคนเดียว ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างใจสะท้านไม่หยุด
บุคคลแห่งยุคมากขนาดนี้เอ่ยปาก เทพมารหลินเจอปัญหาใหญ่แล้ว!
ตอนที่ 881 ขอบคุณสำหรับคำอวยพร
เทพมารหลินลำบากแล้ว!
นี่คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งทุกคนรับรู้ร่วมกัน ถูกบุคคลแห่งยุคมากขนาดนี้จับจ้อง มองเป็นเป้าหมายที่ต้องประณามและเพ่งเล็ง แค่คิดก็รู้ว่าผลที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด
ทว่า…
พวกเขาพลาดไปเรื่องหนึ่ง ในบรรดาคนรุ่นเยาว์นี้ หลินสวินไม่เคยกลัวใครมาก่อน!
ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงแดนฐิติประจิมก็กล้าฉีกหน้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ทำการล่าสังหารครั้งใหญ่ซึ่งยืดเยื้อหลายวัน กระทั่งยังเคยถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนอย่างโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงตามล่าพร้อมกัน แม้จนบัดนี้ก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ
ความขัดแย้งและการปะทะตรงหน้าแค่นี้ ไม่สามารถทำให้หลินสวินรู้สึกตึงมือสักนิด
“อย่าพูดมาก ไม่พอใจก็ออกมาสู้”
หลินสวินเวลานี้สีหน้าราบเรียบ นัยน์ตาดำเยียบเย็น พลังทั่วร่างพรั่งพรูไหวเคลื่อน กวาดมองผู้คนตรงนั้นประดุจเทพมารหนุ่มที่ผงาดง้ำทั่วทิศคนหนึ่ง
ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี จนป่านนี้เทพมารหลินยังแข็งกร้าวเช่นนี้ นี่คือไม่สนใจสิ่งใดอย่างที่สุดแล้วใช่ไหม
“คุณชายอวี่พูดถูก เจ้านี่มันรนหาที่ตาย!”
ผู้กล้าคนหนึ่งแสยะยิ้ม เขาคือทายาทเผ่าแมวป่าทองม่วง และเป็นยอดบุคคลผู้หนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์
ฟุ่บ!
หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง นัยน์ตาวาบประกายคมกริบ โผทะยานฉีกกระชากห้วงอากาศ
เสียงพรึ่บเดียว ชายหนุ่มนั่นเพิ่งหมายหลีกหลบก็ถูกฟันเข้าร่าง ผิวแตกเลือดอาบ โลหิตแดงสดพุ่งกระเซ็นเกือบถูกบั่นศีรษะ
ห้วงอากาศเกิดคลื่นผันผวน ชายหนุ่มยังไม่ทันเปล่งเสียงร้องก็ถูกเคลื่อนย้ายคัดออกไป
เฮือก!
กลางที่นั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังก้องขึ้น
เหล่าผู้กล้าตื่นตระหนก แค่ชั่วพริบตาเดียวก็กำราบยอดบุคคลผู้หนึ่งได้? เทพมารหลินไม่แกร่งเกินไปหน่อยหรือ
ชายหนุ่มเมื่อครู่นั่นแม้ไม่ถึงขั้นบุคคลแห่งยุค แต่ก็ถือเป็นพวกชั้นยอดในเหล่าผู้กล้า มีชื่อเสียงมานานหลายปี
ทั้งเขายังมีชาติกำเนิดจากเผ่าแมวป่าทองม่วง พรสวรรค์อัศจรรย์เป็นเลิศ มีความเร็วซึ่งหาตัวจับยาก แต่กระทั่งจะหลบยังล้วนไม่ทันการ ถูกกำราบทันที!
แววตาบุคคลแห่งยุคบางส่วนวูบไหว โดยเฉพาะพวกซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ซึ่งเคยต่อสู้กับหลินสวินมาก่อน แต่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน พวกเขาพลันพบว่าพลังของหลินสวินเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นอีกช่วงใหญ่ ลึกล้ำยากหยั่งถึงยิ่งกว่าเดิม
ในที่นั้นเงียบสงัด ทุกคนล้วนดูออก ว่าก่อนหน้านี้เทพมารหลินไม่ได้ล้อเล่น เขาคิดจะอาละวาดกำราบศัตรูทั้งมวลจริงๆ
“ยังมีใครไม่พอใจอีก” แววตาหลินสวินเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม เพียงประโยคเดียวกลับเจือความอหังการเหลือจะเอ่ย สะท้อนก้องฟ้าดิน
ทุกอย่างเงียบกริบ อึดอัดหาใดเปรียบ
สายตาผู้แข็งแกร่งมากมายต่างมองไปทางพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน จงหลีอู๋จี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เห็นชัดแจ้งว่าจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่า เวลานี้คนที่สามารถข่มอำนาจเทพมารหลินได้ คงมีเพียงเหล่าผู้กล้าแห่งยุคพวกนี้แล้ว
สำหรับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ณ ที่นั้น ต่อหน้าเทพมารหลินคงไม่สามารถสร้างแรงคุกคามได้อย่างสิ้นเชิง ความพ่ายแพ้ย่อยยับของผู้แข็งแกร่งเผ่าแมวป่าทองม่วงเมื่อครู่คือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด
“เจ้าช่างเจ้าแผนการนัก”
ทันใดนั้นอวี่หลิงคงเอ่ยปากเฉยชา “รู้ว่าแม้ถูกกำราบในการทดสอบถกมรรค ผลของมันก็แค่ถูกคัดออก ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงไม่เกรงกลัวสิ่งใดใช่หรือไม่”
ไม่รอหลินสวินตอบ น้ำเสียงเขาพลันเจือไอสังหารวูบหนึ่ง กล่าวเน้นทีละคำ “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ให้เจ้าสมปรารถนา เมื่อถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ข้าจะสังหารเจ้าด้วยตัวเอง!”
วาจากึกก้องสะท้านปฐพี ศิลาถล่มนภาประหวั่น!
เหล่าผู้กล้าสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าบุคคลแห่งยุคซึ่งมาจากแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณผู้นี้เคลื่อนจิตสังหารโดยสมบูรณ์ หมายพิฆาตเทพมารหลินลบล้างความอัปยศ
แน่นอนว่าการที่อวี่หลิงคงทำเช่นนี้อาจมีเจตนาอื่น แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือในเมื่อเขาเอ่ยวาจานี้ออกไปแล้ว ก็จะต้องทำเช่นนั้นแน่!
หลินสวินแค่นเสียงฮึ “ใช้ความคิดไม่ซื่อเจ้ามาคาดเดาให้น้อยหน่อย ก็แค่อยากแบ่งแยกเป็นตายไม่ใช่หรือ ถึงตอนนั้นจะให้เจ้าสมปรารถนา!”
ถามตัวเองดูแล้ว เขาไม่เคยข้องแวะอะไรกับอวี่หลิงคงมาก่อน ยิ่งไม่อาจพูดถึงว่ามีความเคียดแค้นพยาบาทใด แต่ฝ่ายตรงข้ามตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาเพราะจี้ซิงเหยา นี่มันจะรังแกกันเกินไปแล้ว
“การกระทำของคุณชายอวี่ช่างถึงใจจริงๆ ข้าเคยพูดมานานแล้ว ว่าในเทศกาลโคมกถามรรคจะลงโทษเจ้านี่เป็นคนแรก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ก็นับรวมข้าด้วยคน!”
จงหลีอู๋จี้เอ่ยขึ้นบ้าง เขารูปร่างกำยำผ่าเผย สีหน้าอำมหิต พลานุภาพข่มขู่ผู้คน การออกตัวเวลานี้ทำให้ผู้กล้าในที่นั้นพลันกระสับกระส่าย
กลับเห็นหลินสวินเยาะหยัน “ตอนอยู่หน้าหอวสันตสารท หากไม่ใช่ท่านย่ากระเรียนทองยื่นมือขัดขวาง ข้าคงกำจัดเจ้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสให้เจ้าพูดอยู่ตอนนี้”
“เหอะๆ ถึงตอนนั้นก็ลองดูว่าใครกำจัดใคร!” จงหลีอู๋จี้หัวเราะลั่น
“นับรวมข้าคนหนึ่ง” เวลานี้ซาหลิวฉานก็กล่าวด้วยสีหน้าทะมึน สายตาที่จับจ้องหลินสวินเจือความคั่งแค้นไม่ปกปิดแม้แต่น้อย
“นับรวมข้าด้วย” ชิงเหลียนเอ๋อร์เปล่งเสียงเย็นชา
ตอนอยู่หน้าหอวสันตสารท นางก็เหมือนซาหลิวฉาน ต่างเคยถูกหลินสวินซัดพินาศภายใต้ความสะเพร่า ด้วยเหตุนี้ในใจจึงเคียดแค้นอัดอั้นมาตลอด คิดฉวยโอกาสนี้ลบล้างความอัปยศ
“หลินสวิน ก่อนหน้านี้เจ้าดูหมิ่นเซี่ยอวี้ถังผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินของข้า ความแค้นนี้ ข้าจั๋วขวงหลันจะทวงคืนเอง!” จั๋วขวงหลันเอ่ยราบเรียบ ตัวเขาดั่งกระบี่ แม้ไม่เคยออกจากฝักแต่มีประกายแหลมคมชวนประหวั่นที่อำพรางไว้ไม่อยู่
ชั่วขณะเดียวสถานการณ์ในที่นั้นแปรเปลี่ยน บุคคลผู้กล้าคนแล้วคนเล่าก้าวออกมา ท่าทีแกร่งกร้าวเผยความแน่วแน่ว่าต้องการสังหารเทพมารหลิน ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ๆ เกิดคลื่นซัดโหมภายในใจ ตกตะลึงพรึงเพริดไม่หยุด
สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ การต่อสู้โรมรันดุเดือดยากพบเห็นเป็นประวัติการณ์ต้องเปิดฉากขึ้นแน่!
และเทพมารหลินซึ่งตกเป็นเป้าโจมตีของทุกคน จะต้องอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมอันตราย!
…
ไป๋หลิงซีซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตาในที่สุดยามนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี ในใจกังวลถึงขีดสุด หากกล่าวถึงคนที่รู้จักหลินสวินดีที่สุดในที่นี้ คงเป็นนางโดยไม่ต้องสงสัย
และเพราะรู้จักนิสัยใจคอหลินสวิน นางแน่ใจมากว่าหลินสวินไม่มีทางหวาดกลัว ตั้งแต่ตอนที่เขาฝึกปราณในจักรวรรดิจื่อเย่า ก็ไม่เคยถูกภัยคุกคามใดขู่ให้กลัวทั้งสิ้น
แต่ไป๋หลิงซีรู้ชัดว่าคราวนี้… แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง!
แค่เพียงอวี่หลิงคงก็มีพลังต่อสู้น่าสะพรึงที่ไม่อาจจินตนาการแล้ว ในคนรุ่นราวคราวกันประหนึ่งราชัน บำเพ็ญเพียรจนบัดนี้ยังไม่เคยปราชัยสักครั้ง
เขาแข็งแกร่งเกินไป!
ทรงพลังถึงขั้นทำให้ไป๋หลิงซีไม่อาจเชื่อว่าหลินสวินจะสามารถต่อกรกับเขาได้!
หาใช่ไป๋หลิงซีมองโลกแง่ร้าย แต่เพราะนางรู้จักหลินสวินดี และรู้จักอวี่หลิงคงดีเช่นเดียวกัน หลังชั่งน้ำหนักภายในใจจึงไม่อาจมั่นใจในตัวหลินสวินมากไปนัก
‘หวังเพียงเจ้าอย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด การอดกลั้นชั่วขณะใช่ว่าเป็นเรื่องร้ายเสมอไป…’ ไป๋หลิงซีพึมพำอยู่ในใจ
นางไม่กล้าเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเวลานี้ ด้วยเกรงว่าจะส่งผลต่อศักดิ์ศรีของหลินสวิน ได้แค่แอบคาดหวังภายในใจ ให้หลินสวินพิจารณาสถานการณ์ ทำสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเขาที่สุด
…
หลินสวินขณะนี้ยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน นัยน์ตาดำเยียบเย็น มองศัตรูที่กระโดดออกมาทีละคน ไม่ได้ผิดคาดกับสิ่งนี้
ไม่ว่าซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ หรือจงหลีอู๋จี้ จั๋วขวงหลัน ล้วนอยู่ในความคาดหมายของเขา เพราะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางวางมือยุติเรื่องราวแน่
สิ่งเดียวที่ทำเขาคิ้วขมวดอยู่บ้างคือการตัดสินใจของอวี่หลิงคง แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น กลับทำให้เขาซึ่งเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งประกาศว่าจะสังหารตน การตอบสนองนี้ชัดเจนเกินไป ซ้ำยังคล้ายร้อนอกร้อนใจอยู่บ้าง
นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อวี่หลิงคงทำเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่!
ทว่าหลินสวินไม่ได้หวาดกลัวอะไร กลับกันเมื่อเห็นภาพนี้เขายังแอบเป่าปากโล่งอก ศัตรูไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือศัตรูซึ่งซ่อนอยู่ในที่ลับต่างหาก
หลินสวินไม่เชื่อว่าหลังจากได้ยินคำพูดมอมเมาของเซี่ยอวี้ถังเมื่อครู่ ผู้กล้าคนอื่นๆ จะไม่ไหวหวั่น
กระทั่งเขากล้าสรุปชัดว่า ผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นคงมั่นใจแน่ว่าตนมีศุภโชคติดตัว ครอบครองสมบัติอริยะ บางทีตอนนี้พวกเขาอาจไม่เผยท่าทีอะไร แต่ก็มั่นใจได้ว่าคงมีคนเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาแล้ว!
นี่ก็คือศัตรูในที่ลับ!
และเป็นสิ่งที่ทำให้หลินสวินระวังตัว ทวนในที่แจ้งหลบหลีกง่าย ธนูในที่ลับยากป้องกัน นี่คือหลักการซึ่งไม่อาจหักล้างมาแต่โบราณ
เวลานี้เอง ข้างหูเขาพลันได้ยินเสียงสื่อจิตเย็นชาของจี้ซิงเหยา…
‘ดูท่าคนที่อยากจัดการเจ้ามีมากทีเดียว ครั้งนี้ข้าจะไม่ผสมโรง แต่เจ้าอย่าด่วนดีใจไป หากครั้งนี้เจ้าสามารถรอดมาได้ ข้าจะไปหาเจ้าแก้แค้นล้างความอัปยศ!’
ในน้ำเสียงเจืออาการมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเสี้ยวหนึ่ง และมีความเด็ดเดี่ยวอยู่ส่วนหนึ่ง
หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจมีโทสะ เรื่องทุกอย่างวันนี้แม้ไม่ใช่เพราะเด็กสาวจอมหยิ่งนี่นำพามา แต่ก็ปะทุขึ้นจากตัวนาง แต่นางดันพูดจาแดกดัน ท่าทางรอดูตนเป็นตัวตลก นี่มันน่าโมโหเกินไปแล้ว
เขาเงยหน้ามองไปก็เห็นจี้ซิงเหยาที่รูปร่างงามสง่า บุคลิกเยียบเย็นดุจหิมะ นัยน์ตากระจ่างดั่งดวงดาราคู่นั้นกำลังมองมาทางตน มุมปากอวบอิ่มแดงฉ่ำโค้งเป็นนัยเสี้ยวหนึ่ง
‘เจ้าอย่าบีบข้า หากกดดันข้าแล้ว ข้าก็จะไม่เก็บความลับให้เจ้าอีก’ หลินสวินสื่อจิตเตือน
‘เจ้า!’ นัยน์ตากระจ่างของจี้ซิงเหยาพลันเบิกโพลง
หลินสวินยิ้มเย็นชา ‘เจ้าอะไร ขอบอกเจ้าเลยว่าหากคิดแก้แค้นล้างอัปยศก็รีบมา ไม่ตีก้นเจ้าจนออกลาย ข้าหลินสวินยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้า!’
บนใบหน้างามสง่าของจี้ซิงเหยามีความคับแค้นและไอสังหารสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างปกปิดไม่อยู่ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว เจ้าหมอนี่กล้าอาศัยสิ่งนี้มาข่มขู่ ช่างหน้าด้านไร้ยางอายถึงขั้นสมควรโดนพันมีดหมื่นแล่!
‘ทางที่ดีครั้งนี้เจ้าอย่าตายไปก่อนก็แล้วกัน!’ นางแค้นจนกัดฟันกรอด ริมฝีปากแดงเม้มโค้งราวคมดาบ หากไม่ใช่โอกาสไม่อำนวย นางคงพุ่งไปฆ่าคนเสียตอนนี้แล้ว
‘ขอบคุณสำหรับคำอวยพร’ หลินสวินยิ้มตอบ
ซ่า… ซ่า…
เวลานี้บนทะเลปรวนแปรที่ห่างไกลนั่นพลันควบรวมดอกบัวขนาดราวอ่างไม้ออกมามากมาย ทองอร่ามพร่างพราว ล่องลอยบนผืนทะเล งดงามเจิดจรัส
การทดสอบด่านที่สามจะเริ่มแล้ว!
“ไป!”
ในดวงตาวาบผู้ฝึกปราณมากมายวาบประกาย ทะยานฟ้ามุ่งหน้าไป ก่อนเหยียบบนดอกบัวทอง ฝ่าลมโต้คลื่นออกไป
หลินสวินสังเกตเห็นว่าดอกบัวสีทองแต่ละดอกมีที่ยืนมากสุดสำหรับสองคน ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างเลือกเคลื่อนไหวพร้อมกันเป็นคู่
“หลินสวิน ต้องการไปด้วยกันหรือไม่” ห่างออกไป เยวี่ยเจี้ยนหมิงประชิดเข้ามา
หลินสวินแปลกใจอยู่บ้าง “เคลื่อนไหวพร้อมข้าเวลานี้คงประสบอันตรายมากมาย ถึงขั้นอาจถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นเพ่งเล็ง เจ้าแน่ใจหรือ”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกขี้ขลาดหวาดกลัวเช่นนั้นรึ” เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิ้ม
หลินสวินเองก็ยิ้มรับ เยวี่ยเจี้ยนหมิงเสนอตัวออกมาเวลานี้ต้องใช้ความกล้ามากนัก เขาพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น