Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 872-877
ตอนที่ 872 กวนน้ำให้ขุ่น
นอกเขาพยับคราม
“การทดสอบด่านแรกสิ้นสุดลงแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณที่รออยู่ตรงนั้นทุกคนล้วนเห็นว่าเหนือเขาพยับคราม รัศมีเทพสีม่วงพวยพุ่งแล้วแปรสภาพเป็นกลุ่มเมฆวังวนน่าหวาดหวั่นกลุ่มหนึ่ง
“จำนวนผู้ฝึกปราณที่ถูกคัดออกออกมาหรือยัง”
คนใหญ่คนโตหลายคนสอบถาม
“อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าหลักพันกระมัง”
“หลักพันหรือ ไม่น่าจะน้อยเช่นนี้ ได้ยินจากเหล่าผู้กล้าที่ถูกคัดออกจากการทดสอบบางคนว่า บททดสอบด่านแรกของงานถกมรรคครั้งนี้อันตรายหาใดเทียบ มีอสูรมารที่พลังน่ากลัวมากมายปรากฏตัว เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“เช่นนั้นน่าจะถูกคัดออกไปกี่คน”
นอกเขาพยับคราม ตอนนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงถึงที่สุด
ผู้กล้าที่ถูกคัดออกจากการทดสอบบางคนรู้สึกอับอายขายหน้า รีบร้อนจากไปพร้อมความขื่นขมและไม่ยินยอมเต็มอกอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนผู้อาวุโสในสำนักของพวกเขา เห็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงถอนใจอย่างจนปัญญา
และมีผู้กล้าบางคนเดือดดาลรับไม่ได้ ยังคงดื้อดึงอยู่ที่นั่นไม่ต้องการออกไป หมายจะรอเอาคืน
สาเหตุก็ง่ายนัก พวกเขาหากไม่ถูกคัดออกอย่างน่าหดหู่ในระหว่างการแข่งขันกับผู้กล้าคนอื่น ก็เป็นถูกคนลอบจู่โจมเตะออกจากการแข่งขัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะยินยอมเลิกราได้หรือ
“แน่ใจได้ว่ามีเหล่าผู้กล้ามากกว่าสามพันแต่ไม่เกินสี่พันคนถูกคัดออกในด่านแรก!”
ไม่นานนักเผ่าวาทวาโยก็ปล่อยข่าวหนึ่ง ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาไปทั้งนอกเขาพยับคราม แม้แต่คนใหญ่คนโตเหล่านั้น เมื่อได้ยินตัวเลขก็อดสะท้านใจไม่ได้
บุคคลระดับผู้กล้าที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้มีเรือนหมื่น พูดถึงจำนวนผู้เข้าร่วมมากมายนั้น เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมา
แต่ตอนนี้แค่ในการทดสอบด่านแรกเท่านั้น ก็มีบุคคลระดับผู้กล้าจากที่ต่างๆ ในแดนฐิติประจิมสามพันกว่าคนถูกเตะออกจากการทดสอบ อัตราการคัดออกสูงมากจนน่าตระหนก!
ในขณะเดียวกันก็มีข่าวเหลือเชื่อบางข่าวกระจายออกมา ก่อให้เกิดเสียงทอดถอนใจอย่างประหลาดใจ รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในที่นั้นนับไม่ถ้วน
“จี้ซิงเหยาผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ชิงปลาเกล็ดม่วงหนวดมังกรตัวหนึ่งเหนือทะเลสาบแสงทองแดนลี้ลับไม้เขียว ได้รับมรดกวิชามรรคชั้นเลิศไปหนึ่งวิชา!”
“เหลยเชียนจวิน ‘เหลยโหวน้อย’ แห่งเผ่ามหาอสนี ชิงไผ่ชั้นทมิฬหิมะเย็นเยียบต้นหนึ่งที่ทะเลวารีรงค์ดินแดนลี้ลับเพลิงแดง ได้รับมรดกวิชามรรคชั้นเลิศไปหนึ่งวิชา!”
“อวี่หลิงคง ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ ชิงธงวิญญาณศึกเลือดมังกรผืนหนึ่งได้ที่สนามรบปฐพีพิทักษ์ในแดนลี้ลับเจ็ดทองคำ ได้รับ…”
……
เมื่อทุกข่าวเผยแพร่ออกมาก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาระลอกหนึ่งในที่นั้น พากันถกเกียงสนทนา
ขนาดคนใหญ่คนโตเหล่านั้นยังไม่อาจสงบนิ่งได้ ติดตามข่าวเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
วิชามรรคชั้นเลิศ!
นี่คือมรดกที่ล้วนเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าหายากในสำนักเก่าแก่โบราณของแดนฐิติประจิม สูงค่าและมีน้อยนัก!
“เพิ่งเป็นบททดสอบด่านแรกเท่านั้น กลับมีวิชามรรคชั้นเลิศเช่นนี้ปรากฏขึ้นแล้ว ในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งก่อนๆ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน!”
คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งเอ่ยปากอย่างตกใจ
“ที่ท่านย่ากระเรียนทองพูดไว้ก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว เทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้จะต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง”
“วิชามรรคชั้นเลิศเชียวนะ มรดกวิชาเพียงชิ้นเดียวก็สามารถทำให้พลังของขุมอำนาจหนึ่งสูงขึ้นมากแล้ว!”
คนใหญ่คนโตหลายคนทอดถอนใจ
ทันใดนั้น เสียงคำรามดาลเดือดระลอกหนึ่งก็ดังมาจากที่ไกลออกไป…
“อะไรนะ เจ้าบอกว่าไอ้เวรเทพมารหลินนั่นชิงดอกบัวเพลิงที่เก็บซ่อนวิชามรรคชั้นเลิศดอกหนึ่งไปจากมือบุตรเทพของพวกเราหรือ”
“สารเลว! สารเลวนัก!”
“ไม่น่ากระมัง ขนาดหลี่ชิงฮวน ผู้สืบทอดของพวกเราสำนักยุทธ์สมุทรครามยังขัดขวางเทพมารหลินไม่ได้หรือ”
“ไอ้เด็กนี่สมควรฆ่าทิ้ง! ถ้าไม่ใช่เพราะมันมาขวางกลางทาง ดอกบัวเพลิงเก้ากลีบดอกนั้นต้องเป็นของศิษย์พี่อู่ต้วนหยาสำนักตะวันทมิฬของพวกเราแน่!”
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียงเพิ่งพบว่าเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเหล่านี้เป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าฉลามสมุทร สำนักยุทธ์สมุทรคราม และสำนักตะวันทมิฬ
พวกเขาแต่ละคนสีหน้าพิกลหาใดเทียบ ท่าทางเต้นเร่าด้วยความโกรธ
“จริงหรือนี่ เทพมารหลินแข็งแกร่งปานนี้เลยหรือ”
มีคนสงสัย แต่ไม่นานนักก็ได้รับการยืนยัน
“ไม่เพียงเท่านี้ ทันทีที่เทพมารหลินนั่นขึ้นเขาน้ำแข็งปทุมเพลิง ก็ชิงดอกบัวเพลิงเก้ากลีบดอกหนึ่ง ดอกบัวเพลิงแปดกลีบสองดอกและดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบหนึ่งดอกไปได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีใครขัดขวางเขาได้ ร้ายกาจป่วนไปหมด”
ผู้กล้าที่ได้เป็นประจักษ์พยานการขึ้นเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงของหลินสวิน แต่ในที่สุดก็ถูกคัดออกจากการทดสอบตอบเช่นนี้
ทันใดนั้นเสียงสูดหายใจเยียบเย็นระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นนอกเขาพยับคราม ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดผู้ฝึกปราณจากเผ่าฉลามสมุทร สำนักยุทธ์สมุทรคราม และสำนักตะวันทมิฬเหล่านั้นถึงได้โมโหขนาดนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าก็ไม่อาจสงบใจได้เช่นกัน
“เดี๋ยวๆ พูดแบบนี้แปลว่าเทพมารหลินคนเดียวได้วิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่ง กับมรดกวิชามรรคที่เรียกได้ว่าชั้นหนึ่งอีกสามวิชาหรือ”
และมีหลายคนประหลาดใจ อิจฉาตาร้อนที่หลินสวินได้วาสนาไม่หยุดหย่อน
วิชามรรค!
สิ่งนี้ไม่อาจเทียบกับวิชาลับได้ ล้ำค่าสูงส่งหาใดเทียบ
ส่วนวิชามรรคชั้นหนึ่งยิ่งหายากและสูงค่า ในแดนฐิติประจิมปัจจุบันก็มีเพียงสำนักเก่าแก่กับตระกูลที่มีภูมิหลังยาวนานถึงที่สุดเหล่านั้นถึงได้ครอบครองมรดกวิชามรรคระดับนี้
แต่เทพมารหลินคนนี้ช่างกล้านัก ในการทดสอบถกมรรคด่านแรกเท่านั้น ตัวเขาคนเดียวก็ได้มรดกวิชามรรคชั้นหนึ่งหลายวิชาไปครอง นี่จะไม่ทำให้ใครที่รู้เข้าอิจฉาริษยาได้อย่างไร
ที่สำคัญกว่านั้น เขายังครองวิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่งด้วย!
เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้ คนใหญ่คนโตที่อยู่นอกเขาพยับครามเหล่านั้นก็สงบใจไม่อยู่แล้ว สีหน้าแต่ละคนแปลกประหลาด แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“แย่แล้ว!”
ไป่เฟิงหลิวก็รออยู่ตรงนั้น ได้เห็นภาพทุกภาพนี้เขารับรู้ได้ทันใดว่า ข่าวนี้ต้องนำพาคลื่นลมความวุ่นวายไม่น้อยมาให้หลินสวินอีกอย่างไม่ต้องสงสัย!
เรื่องที่น่าเฉลิมฉลองเรื่องเดียวก็คือตอนนี้เขายังอยู่ในเขาพยับคราม หาไม่แล้วผู้ฝึกปราณที่อิจฉาตาร้อนและละโมบเหล่านั้นต้องห้ามใจไม่ให้ลงมือไม่ได้แน่
‘ให้ตายสิ ต้องรีบเบี่ยงเบนความสนใจเสียหน่อยแล้ว จะให้สายตาของผู้ฝึกปราณเหล่านั้นจับจ้องที่หลินสวินคนเดียวไม่ได้’
ไป่เฟิงหลิวลูบคาง ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ในที่สุดก็กัดฟัน ตัดสินใจลากคนอื่นลงน้ำไปด้วย ช่วยหลินสวินแบ่งเบาความสนใจ
แม้วิธีนี้จะใจร้ายไปบ้าง แต่เขาไม่สนใจแล้ว
หลังได้รู้ว่าหลินสวินได้วิชามรรคมากมายไปครอง เขาก็กังวลกับเรื่องนี้ เขายังรออย่างกระวนกระวายให้หลินสวินแบ่งวาสนาบางชิ้นออกมานะ!
ไม่นานนักไป่เฟิงหลิวก็เริ่มกระจายข่าวชั่วร้ายออกไป…
“ชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียว ได้รับกระดูกขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ในแดนลี้ลับไม้เขียวโดยบังเอิญ เหมือนจะเป็นกระดูกของอริยะ!”
พรึบ!
เมื่อข่าวนี้ออกมา ก็ก่อให้เกิดคลื่นไม่น้อยโดยพลัน
บางคนพ่นลมผ่านจมูกด้วยความดูแคลน คิดว่าเป็นเรื่องหลอก บางคนสงสัยว่าเรื่องนี้อาจเป็นจริงอย่างยิ่ง
เพียงครู่เดียวสีหน้าของเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เขียวแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู ไม่อาจไม่อธิบาย แต่พวกเขายิ่งอธิบายกลับยิ่งทำให้ผู้ฝึกปราณบางคนสงสัย
นี่ก็คือข่าวลือ ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ข่าวลือนี้ยังดูสมจริงนัก มีรายละเอียดมากมาย หากไม่รู้เรื่องราวภายใน เป็นไปได้สูงมากว่าจะถูกหลอก
ครู่เดียวผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เขียวล้วนมีใจอยากฆ่าคนเสียแล้ว ใครกันแน่ที่ขาดคุณธรรมเช่นนี้ ถึงกับใช้วิธีชั่วช้าเช่นนี้มาใส่ร้ายพวกเขา ช่างน่าฆ่านัก!
ไม่นานนักก็มีข่าวอีกข่าวแพร่ออกมา บอกว่ามู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอารามพรางมรกต ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าเหลยเชียนจวิน ‘เหลยโหวน้อย’ ไปครองจากแดนลี้ลับเพลิงแดง เป็นคัมภีร์ที่ฟอกขึ้นจากหนังอสูรลี้ลับแผ่นหนึ่ง ภายในเหมือนจะเก็บซ่อนความลับสะท้านโลกไว้!
“ไม่น่ากระมัง ยังมีเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ”
“น่าจะจริงนะ ได้ยินว่าคราวนี้มู่เจี้ยนถิงเตรียมตัวมาดี ถือครอง ‘ร่มพันฤกษ์หมื่นวิญญาณ’ ที่เป็นสมบัติประจำอารามพรางมรกตไว้ สามารถค้นพบปริศนาและความลับที่ผู้อื่นไม่อาจล่วงรู้ได้!”
“ใช่แล้ว ข้านึกออกแล้วเหมือนกันว่าร่มพันฤกษ์หมื่นวิญญาณนี้เป็นถึงสมบัติกายสิทธิ์ชิ้นหนึ่ง อัศจรรย์ไม่อาจหยั่งถึง เป็นไปได้จริงๆ ที่จะทำให้มู่เจี้ยนถิงหาวาสนามากมายพบ”
ข่าวนี้ก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมขึ้นอีกระลอก หลายคนต่างลอบอิจฉา
ส่วนผู้ฝึกปราณที่มาจากอารามพรางมรกตเหล่านั้น ตอนนี้สีหน้าล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ข่าวลือเช่นนี้ช่างเลวทรามนัก เท่ากับผลักให้พวกเขาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก!
เรื่องราวยังไม่จบสิ้น เฒ่าสากกะเบืออย่างไป่เฟิงหลิวต้องเป็นเจ้าแห่งการกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายผู้หนึ่งแน่ ไม่นานนักเขาก็กัดฟันครั้งหนึ่ง แล้วลากเรือนกระบี่เร้นปุจฉาลงน้ำมาด้วยเสียเลย
“ข่าวว่าจี้ซิงเหยากับอวี่หลิงคงร่วมมือกัน จะชิงมหาวาสนาที่ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้ในเขาพยับคราม เกี่ยวโยงกับความลับสะท้านโลกของการหลอมมรรคเป็นราชัน!”
เมื่อข่าวนี้ออกไป ทั้งที่นั้นก็เดือดพล่านโดยสิ้นเชิงแล้ว
เวลานี้ใครๆ ต่างรู้ว่าอวี่หลิงคงแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะซึ่งมาจากแดนกาฬทักษิณ มาเยี่ยมเยียนจี้ซิงเหยาธิดาเทพเรือนกระบี่เร้นปุจฉา
แต่อวี่หลิงคงมาเพราะอะไรกันแน่ คนนอกกลับไม่รู้
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ผู้แข็งแกร่งซึ่งไม่ได้อยู่ในแดนฐิติประจิมอย่างอวี่หลิงคงกลับเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค เดิมทีนี่ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยไม่พอใจนัก
ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อข่าวนี้กระจายออกมา เกรงว่าไม่ว่าใครก็สงบใจไม่ได้แล้ว
“เรื่องนี้มีคนกวนน้ำให้ขุ่นนี่นา…” เมื่อท่านย่ากระเรียนทองได้รู้เรื่องเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแผ่รังสีเย็นเยือกน่าตะลึงออกมาจากดวงตา
ชั่วครู่เดียวข่าวงคราวก็เซ็งแซ่ไปทั้งนอกเขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ผ่านหูไม่ว่างเว้น สลายความสนใจที่มีต่อหลินสวินไปไม่น้อยโดยไม่รู้ตัวได้จริงๆ
เห็นเช่นนี้ ไป่เฟิงหลิวในฐานะผู้ร้ายหลังม่านที่กระจายข่าวโคมลอยก็อดยิ้มอย่างได้ใจไม่ได้ เมื่อพูดถึงการกระจายข่าวแล้ว พวกเขาเผ่าวาทวาโยก็สมกับเป็นผู้โดดเด่น!
‘เฮ้อ น้องหลินนะน้องหลิน เพื่อช่วยเจ้าแล้ว ข้าถึงกับละเมิดคุณธรรมและเส้นที่ไม่อาจล่วงล้ำของชาวเผ่าวาทวาโยเลยเชียว หากเจ้ายังมีมโนธรรม ต้องแบ่งศุภโชคให้พี่ชายอย่างข้าสักชิ้น…’
ไป่เฟิงหลิวลอบพึมพำ
……..
เขาพยับคราม
ฮูม!
ห้วงอากาศเกิดคลื่นกระเพื่อม เคลื่อนเงาร่างของหลินสวินให้ปรากฏออกมา
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นโลกสีเทาขมุกขมัวปรากฏสู่สายตา ฟ้าดินราวไร้ขอบเขต เหลือตัวเขาเพียงผู้เดียว
‘นี่ก็คือสถานที่ทดสอบถกมรรคด่านที่สองหรือ’
เมื่อความคิดเช่นนี้บังเกิดขึ้นในใจหลินสวิน พลันเกิดเสียงโครมคราม ป้ายหินสีดำเข้มและเก่าแก่ป้ายหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้น และตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดินด้านข้าง
ด้านบนสลักตัวอักษรแน่นขนัดหลายร้อยตัว อักษรทุกตัวล้วนเหมือนไส้เดือนหงิกงอ เป็นอักษรมรรคบรรพกาลชนิดหนึ่ง
“เขตขีดจำกัด!”
“ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบ เมื่อใช้พลังทั้งหมดก็จะฝ่าไปถึงอีกฟากฝั่งของเขตนี้”
“ระยะเวลาคือหนึ่งก้านธูป ผู้ล้มเหลวระหว่างทาง ถูกคัดออก ผู้ที่ไปไม่ถึงภายในหนึ่งก้านธูป คัดออก”
“จงจำไว้ พลังแตกต่างกัน ความยากลำบากที่ประสบในการทดสอบก็ย่อมต่างกัน มีเพียงทุ่มสุดกำลัง ถึงสามารถทลายขีดจำกัดได้!”
“เมื่อการทดสอบจบลง ผู้ที่แสดงความสามารถโดดเด่นที่สุดสามคนจะได้รับรางวัลที่ต่างกันออกไป”
หลินสวินอ่านอักษรมรรคบรรพกาลแต่ละบรรทัดเหล่านี้จนจบ จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น ‘ลูกศิษย์’ ที่เข้าร่วมการทดสอบหรือ
ชื่อเรียกนี้น่าสนใจยิ่ง!
ตอนที่ 873 เขตขีดจำกัด
ลูกศิษย์ ก็หมายความว่ามีอาจารย์!
ก่อนจะเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค หลินสวินเคยได้ยินข่าวลือเรื่องนี้จากไป่เฟิงหลิวแล้ว
เขาพยับครามถูกยกให้เป็นภูเขาเทพมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล บนนั้นมีสำนักแห่งหนึ่งที่เส้นสนกลในน่ากลัวยึดครองพื้นที่ มีเหล่าอริยะถ่ายทอดวิชาความรู้ เหล่าลูกศิษย์ลูกหาเรือนหมื่นเรือนแสน
แต่ภายหลังไม่รู้ด้วยเหตุใด สำนักโบราณแห่งนี้กลับอันตรธานลับหายเพียงชั่วข้ามคืน เลือนลับไปจากสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์
เดิมทีหลินสวินก็คิดว่านี่เป็นข่าวลือ ทว่าขณะนี้ดูท่าจะไม่ใช่อย่างที่คิดแล้ว
“ต้นโคมสำริดมรรคโบราณถือว่าเป็นต้นไม้แห่งการเผยแพร่มรรค และยามนี้บนป้ายหินมีอักษรคำว่า ‘ลูกศิษย์’ ปรากฏให้เห็น”
“เดาได้ว่าหากสมัยบรรพกาลมีสำนักนี้อยู่จริง เช่นนั้นสิ่งที่เรียกขานกันว่าห้าด่านถกมรรค คงเป็นบททดสอบที่สำนักกำหนดไว้แก่เหล่าศิษย์ในสำนัก”
“เพียงแต่กาลเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน สำนักนั้นกลับสูญสิ้นไปแล้ว มีเพียงเขาพยับครามและค่ายกลบนนั้นที่ยังหลงเหลือไว้ ทุกๆ ร้อยปีจะทำการสอบถกมรรคที่ว่าหนึ่งครั้ง และกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกปราณอื่นๆ หวังจะมาเสาะหาวาสนา…”
หลินสวินคิดว่าอธิบายเช่นนี้ถึงจะสมเหตุสมผลแล้ว
ทันใดนั้นกลางฟ้าดินสีเทาขมุกขมัวไกลๆ นั่นเริ่มเกิดการแปรเปลี่ยนประหลาด เมฆหมอกสีเทาหม่นรวมตัวเข้าหากัน และค่อยๆ แปลงเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ขึ้นทีละตน
ในใจหลินสวินตะลึงงัน
สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์เหล่านี้ไม่มีหน้าตา มีเพียงใบหน้าเลือนลางทั้งผืน ทว่าลักษณะพลังของพวกเขากลับประดุจผู้ฝึกปราณจริงๆ บ้างมีชีวิตชีวาเปี่ยมพลัง แบกกระบี่วิญญาณไว้บนหลัง
บ้างก็มีพลานุภาพเลิศล้ำ สามารถบังคับลมฝนได้
ถึงขั้นยังมีรูปลักษณ์คล้ายอิสตรีที่ท่วงท่างดงาม อ่อนช้อยประหนึ่งเซียนก็ไม่ปาน
แต่ละตนสูดหายใจเข้าออกช้าๆ เบื้องหลังปรากฏจักระเทพแห่งระดับกระบวนแปรจุติ ฉายรัศมีเจิดจรัสจนฟ้าดินพร่างพราว
เพียงแค่ชั่วพริบตา ทั่วทุกสารทิศก่อตัวรวมกันกลายเป็นมนุษย์ชนิดนี้นับร้อยนับพัน ประหนึ่งทัพใหญ่ผู้ฝึกปราณบุกประชิดพรมแดน บีบคั้นถึงที่สุด
หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก เพียงครู่เดียวจิตรับรู้อันแข็งแกร่งของเขาก็ตัดสินได้ว่า แม้สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์แต่ละตนจะมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น ทว่าหากพูดถึงกลิ่นอายแล้ว สามารถทัดเทียมกับผู้กล้าชั้นยอดในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน
มีผู้กล้าชั้นยอดเป็นร้อยเป็นพันคน?
นี่มากพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณไม่ว่าคนไหนต้องหนังศีรษะชาหนึบ รับรู้ได้ถึงความสิ้นหวังแล้ว
‘จงจำไว้ พลังแตกต่างกัน ความยากลำบากที่ประสบในการทดสอบก็ย่อมต่างกัน มีเพียงทุ่มสุดกำลัง จึงจะสามารถทลายขีดจำกัดได้’ หลินสวินเหลือบมอง และเห็นอักษรมรรคบรรพกาลบรรทัดนี้อีกครั้ง
เขาเข้าใจจนถึงแก่นว่าการถกมรรคด่านที่สอง ผู้ฝึกปราณแต่ละคนจะต้องเจอคู่มือที่มีพลังแตกต่างกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับว่ายุติธรรมดี ทว่านี่ก็มีนัยว่า ต่อให้หลินสวินมีพลังขอบเขตมกุฎในระดับกระบวนแปรจุติ แต่ก็ไม่อาจครองความได้เปรียบในบททดสอบนี้ได้เลย
ในทางกลับกัน การทดสอบของเขากลับจะยากเข็ญและวิปริตยิ่งกว่าของคนอื่น!
“เขตขีดจำกัด… ในเวลาหนึ่งก้านธูป… ฝ่าทะลวงไปให้ถึงอีกฝั่ง… ดูท่าจำเป็นต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุด…”
หลินสวินสูดหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าท่าทางดูอหังการขึ้นทันใด นัยน์ตาเย็นยะเยือกราวกับสายฟ้า กวาดสายตาไปทั่วฟ้าดิน เขาย่อมรู้ว่าด่านนี้ไม่อาจออมแรงไว้ได้ ทำได้เพียงสู้สุดพละกำลังที่มี
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
กลางเวหาอันว่างเปล่า ‘ผู้ฝึกปราณ’ นับร้อยนับพันเคลื่อนไหวโจมตี ไอสังหารคละคลุ้งทั่วฟ้าดิน เหาะเหินด้วยลำแสงพุ่งเข้าปะทะหลินสวิน
เสียงที่เปล่งออกจากปากของพวกเขาเข้าใจยากยิ่ง ยังคงเป็นภาษาบรรพกาล ทว่าอานุภาพเสียงกลับสะท้านโลก พาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี น่าขวัญผวาอย่างที่สุด
“ตาย!”
ธารดาราที่ลุกโหมแถบหนึ่งแผ่ขยายไปยังเวิ้งนภาอันว่างเปล่า ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ
ดาราที่ประดุจอัคคีดวงแล้วดวงเล่าระเบิดในชั่วพริบตา บังเกิดเป็นเปลวไฟละลานตาแตกแตกฉานซ่านเซ็น
ธารดาราหลอมเพลิง!
วิชามรรคชั้นเลิศนี้ทรงพลานุภาพน่าเกรงขาม แฝงด้วยความเร้นลับของท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟ เหมาะแก่การโจมตีใส่ศัตรูหมู่มากอย่างที่สุด
ฮูม!
ราวกับเพลิงเผาผลาญลุกลามไปทั่ว ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างส่งเสียงร้องโหยหวน บ้างก็บาดเจ็บปางตาย บ้างก็ถูกแผดเผาในบัดดล กลายเป็นหมอกมัวมลายลับไป
‘ที่แท้ก็ไม่มีสติปัญญาจริงๆ แบบนี้ง่ายต่อการจู่โจม…’ หลินสวินขบคิด
ทว่าสิ่งที่ทำให้หนังหัวชาหนึบก็คือ ในท้องฟ้าเวิ้งว้างกว้างไกลกลับยังมีการรวมตัวกันของ ‘ผู้ฝึกปราณ’ มากยิ่งขึ้น
“ฆ่า!”
หลินสวินไม่กล้ารีรอ สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเร่งรุดฝ่าทะลวงออกไปโดยพลัน
เวลามีเพียงแค่หนึ่งก้านธูป กระนั้นเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรียกว่าอีกฟากฝั่งของ ‘เขตขีดจำกัด’ นั้นอยู่ที่ใด สิ่งที่อยู่ตรงนี้นี้เร่งด่วนกว่า ก็คงต้องทุ่มพลังทั้งหมดที่มีฝ่าทะลวงออกไป
ตูม!
ธารดาราหลอมเพลิงอันทรงฤทธิ์พวยพุ่ง แสงเพลิงโหมซัดผลาญทำลายฟ้าดิน แผ่พลานุภาพน่าเกรงขามแผดเผาทุกสรรพสิ่ง
ระหว่างทาง ผู้ฝึกปราณบางส่วนยังไม่ทันเข้าประชิดตัว ก็ถูกเผาผลาญจนมอดไหม้
“หืม” เพียงแต่เพิ่งจะฆ่าออกไปได้ไม่ไกล หลินสวินกลับขมวดคิ้ว สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
สัมผัสอันแสนเฉียบไวของเขารับรู้ได้ว่า ขณะที่บุกทะลวงไปเบื้องหน้าเรื่อยๆ พลังของ ‘ผู้ฝึกปราณ’ เหล่านั้นก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้นตามไปด้วย ยิ่งทะลวงไปไว อานุภาพยิ่งทรงพลัง แม้แต่วิธีต่อสู้ทั้งหมดที่มีก็พลอยทวีความแข็งแกร่ง ศักยภาพโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพียงครู่เดียว พลังทำลายล้างของธารดาราหลอมเพลิงก็เปลี่ยนเป็นกินแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
…
ฮูม!
กลางฟ้าดินขมุกขมัว มีเงาของผู้ฝึกปราณก่อตัวรวมขึ้นไม่หยุดหย่อน เสมือนว่าฆ่าเท่าไรก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น
อานุภาพของธารดาราหลอมเพลิงนั้นน่าเกรงขามมาก เพียงชั่วพริบตาก็สามารถกำจัดผู้ฝึกปราณไปได้นับร้อย
เพลิงอัคคีที่คุโชนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งการแผดผลาญอันน่าประหวั่น หากถูกมันปกคลุม ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
แต่เมื่อศักยภาพของผู้ฝึกปราณเปลี่ยนเป็นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ธารดาราหลอมเพลิงก็ยากจะได้ผลชะงัดแล้ว
สิ่งที่ทำให้หลินสวินคิ้วขมวดที่สุดก็คือ แม้ว่าความเร็วของก้าวย่างชือน้ำแข็งจะรวดเร็ว แต่ไม่ว่าเขาจะหลีกลี้หลบหนีไปทางใด ที่นั่นก็จะมีผู้ฝึกปราณปรากฏตัวออกมาอย่างล้นหลาม
นี่แสดงให้เห็นว่าในเขตขีดจำกัดนี้ การหลบหนีและถอยร่นต่างก็ไร้ประโยชน์!
“ฆ่า!”
หลินสวินไม่ชักช้าอีกต่อไป ตรงเข้าบุกทะลวง ไม่ปล่อยให้มีทางหนีทีไล่และถอยร่นใดๆ อีก มิหนำซ้ำเขาละทิ้งวิชาธารดาราหลอมเพลิงไป แล้วเริ่มสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์
ตูม!
พลังหมัดอันเจิดจ้าโชติช่วงปะทุออกมา เฉกเช่นมังกรทะยานพุ่งสู่เวหา ประหนึ่งพญาหงส์บินวน พลังดุจทลายภูผาแหวกสมุทร มีพลานุภาพสะเทือนฟ้าสะท้านดิน
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณที่อยู่บนเส้นทางต่างประหนึ่งแผ่นกระดาษก็ไม่ปาน ร่างระเบิดทันใด ถูกหลินสวินกวาดล้างไปเป็นสาย จนกล่าวได้ว่าบุกไปหนใดก็แหลกราบเป็นหน้ากลอง
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พลังของธารดาราหลอมเพลิงแม้จะทรงพลัง แต่หลินสวินยังควบคุมได้เพียงท่วงทำนองแห่งไฟ หาใช่เจตจำนงแห่งมรรคธาตุไฟ จึงไม่สามารถสำแดงพลังของวิชามรรคชั้นเลิศนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่
กลับกันเขาเคี่ยวกรำเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์นานหลายปี ได้หลอมรวมเข้ากับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำอย่างสมบูรณ์แบบนานแล้ว พลังที่ปลดปล่อยออกมาจึงทรงอานุภาพยิ่งกว่าธารดาราหลอมเพลิง
‘จะให้ถูกพัวพันแบบนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม ถึงตอนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงการไปให้ถึงอีกฟากฝั่งเลย เกรงว่าคงถูกบีบจนพลังกายหมดสิ้นไปทั้งอย่างนั้น แล้วถูกคัดออกไป…’
หลินสวินในยามนี้แววตาดุจสายฟ้า ผมดำแผ่สยาย เลือดลมทั่วร่างปะทุดุจภูเขาไฟ พลังทั่วสรรพางค์กายทั้งในและนอกถูกโคจรไปถึงจุดสูงสุด
ทั่วร่างของเขาชโลมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีใสอันโชติช่วงชั้นหนึ่ง เสมือนกระแสน้ำกำลังโหมซัด สาดลำแสงหมื่นจั้ง มีอานุภาพยิ่งใหญ่ราวกลืนกินภูผาธารา ขับดาราคว้าจันทร์
ตูม!
ชือน้ำแข็งเจิดจ้ากวัดแกว่งหางทะยานสู่ท้องนภาเพื่อเบิกเส้นทาง
พลังของผนึกป้าเซี่ยผูกมัดศัตรู พันธนาการพลังของศัตรู
ประทับปี้อั้นควบรวมออกมา กระแทกอย่างดุดัน เป็นการจู่โจมที่สะเทือนเลือนลั่นครั้งหนึ่ง สามารถกำจัดผู้ฝึกปราณหลายสิบคนได้ในชั่วพริบตา
คลื่นเสียงสีทองที่แปรมาจากเสียงคำรามผูเหลาแผ่ซ่าน แต่เมื่อโดนสัมผัส ล้วนมลายกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา…
พลังแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรและเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ถูกหลินสวินสำแดงออกมาอย่างหมดเปลือก สองพลังสอดรับประสานเข้าด้วยกัน พลานุภาพเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า!
ในอดีต มีเพียงยามต่อสู้กับบุคคลโดดเด่นแห่งยุคอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์เท่านั้น หลินสวินถึงจะรับมือด้วยพลังระดับนี้
แค่คิดก็รู้ได้ทันทีว่า บททดสอบด่านที่สองนี้อันตรายและยากเข็ญเพียงใด
…
ขณะที่หลินสวินเข้ารับการทดสอบด่านที่สองอยู่นั้น ในสถานที่ที่ต่างออกไป เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันล้วนปรากฏกับผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมถกมรรคคนอื่นๆ
เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบโดยละเอียด จะสังเกตได้ไม่ยากว่าการทดสอบของผู้กล้าแต่ละคนนั้น ระดับความยากจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เห็นชัดว่านี่คือการทดสอบที่ยุติธรรมอย่างถ่องแท้
“อ๊า!”
“ไม่ ข้าไม่ยอม นี่มันเพิ่งเริ่มต้น ข้าจะแพ้ทั้งอย่างนี้ได้อย่างไร”
“บ้าเอ๊ย วิปริตเกินไปแล้ว บททดสอบเช่นนี้ใครจะสามารถฝ่าไปได้กัน”
“ข้าไม่ยอม!”
ตามเวลาที่ล่วงเลยไป ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกันทยอยปรากฏผู้กล้าที่ไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้ ต้องถูกคัดออกไปคนแล้วคนเล่า ต่างก็ตะโกนร้อง บ้างบันดาลโทสะ บ้างตกตะลึง ไม่ก็ตะโกนโหวกเหวกด้วยความไม่พอใจ
ในเวลาเดียวกันก็ยังมีบางคนสำแดงความสามารถได้อย่างล้ำเลิศและสะดุดตายิ่ง ฟาดฟันอยู่ในเขตขีดจำกัดอย่างกร้าวแกร่งทรงพลัง
ดังเช่นบุคคลโดดเด่นแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยาแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉา เหลยเชียนจวินแห่งเผ่ามหาอสนี มู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตเป็นต้น
เพียงแต่ไม่นานพวกเขาก็ได้ประสบสถานการณ์เช่นเดียวกับหลินสวิน นั่นก็คือเมื่อบุกทะลวงไป ศักยภาพของผู้ฝึกปราณที่เจอจะค่อยๆ ทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การก้าวย่างของพวกเขาต้องพบกับอุปสรรค และเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลงไม่น้อย
‘ได้ยินผู้อาวุโสกล่าวว่า นับแต่โบราณมาจวบจนบัดนี้ หากสามารถผ่านบททดสอบเขตขีดจำกัดนี้ไปได้ ศักยภาพของตนก็จะเหมือนผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างโชกโชนโดยไม่ต้องสงสัย มีผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึง’
เหลยเชียนจวินพึมพำในใจ อานุภาพดุดันของเขาดั่งเทพอสนี ควบคุมพลังสายฟ้าที่สว่างจ้าบาดตา บุกทะลวงเข้าใส่กลางกองทัพขนาดมหึมาของศัตรู
“ข้าอยากจะเห็นนักเชียว บททดสอบครั้งนี้จะบีบเค้นขีดจำกัดข้าได้หรือไม่!”
เจตกระบี่ทั่วร่างมู่เจี้ยนถิงพวยพุ่ง ทั้งตัวประหนึ่งกระบี่สมบัติอันเลิศล้ำเล่มหนึ่ง เข้าฟาดฟันเปิดเส้นทางเลือดที่ซากศพกองพะเนิน ดุดันอย่างที่สุด
“สาแก่ใจนัก! ไม่ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดเช่นนี้มาเสียนาน!”
ซาหลิวฉานแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง
“น่าสนใจ มีเพียงสามคนแรกที่สำแดงพลังได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดถึงจะได้รับรางวัล ข้าเฝ้ารอคอยนัก”
จงหลีอู๋จี้ย่างก้าวไปเบื้องหน้า แสงเย็นเยียบแผ่พุ่งในนัยน์ตา
…
คนโดดเด่นแห่งยุคคนแล้วคนเล่าฝ่าทะลวงไปด้วยความห้าวหาญ สำแดงพลังทั้งหมดที่ตนมี หากอยู่โลกภายนอกเกรงว่าคงพาให้เกิดความตื่นตะลึงและสะเทือนเลือนลั่นแก่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนไปแล้ว
ทว่าในเขตขีดจำกัดนี้พวกเขาต่างก็ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ไม่อาจดึงดูดความสนใจและการเหลือบมองจากคนอื่นๆ
“ผู้อาวุโสคาดการณ์ไว้ไม่ผิด มหาสงครามกำลังมาเยือน การทดสอบ ‘เขตขีดจำกัด’ บนเขาพยับครามในครั้งนี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิม จะต้องมี ‘รางวัล’ แสนพิเศษอย่างแน่นอน ในอดีต… ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน!”
“จากตรงนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ‘ของวิเศษ’ ชิ้นนั้นที่ทำให้ผู้อาวุโสไม่อาจลืมเลือน เกรงว่าจะแอบซ่อนอยู่ในรางวัลสุดท้ายของการทดสอบครั้งนี้”
“ครั้งนี้ข้าจะต้องเอารางวัลนั้นมาให้จงได้ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของผู้อาวุโส!”
ในเขตขีดจำกัดแห่งหนึ่ง ร่างของอวี่หลิงคงส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ไปทั่วอาณาบริเวณ สว่างพร่างพรายถึงขีดสุด ราวกับโอรสแห่งเทพราชันองค์หนึ่งก็ไม่ปาน พุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ระดับความเร็วว่องไวเสียจนน่าอัศจรรย์ ยากจะมีผู้ใดทัดเทียม!
ตอนที่ 874 ช่วงชิงรางวัล
รางวัล!
เมื่อบรรดาคนใหญ่คนโตที่อยู่โลกภายนอกได้รู้ว่า ผู้กล้าสามคนแรกที่สำแดงพลังได้อย่างยอดเยี่ยมในการทดสอบถกมรรคด่านที่สองจะได้รับรางวัลพิเศษชิ้นหนึ่ง ต่างก็พากันไหวหวั่นไม่ขาดสาย
แม้แต่เทศกาลโคมกถามรรคเมื่อในอดีตก็ไม่เคยมีมาก่อน!
นี่จะเป็นรางวัลอย่างไรกันแน่
บรรดาคนใหญ่คนโตต่างจมสู่ความคิด สีหน้าดูผิดแผกไปจากเดิม
เขาพยับครามได้รับการขนานนามว่าภูเขาเทพบรรพกาล ทุกร้อยปีจะปรากฏออกมาเพียงหนึ่งครั้ง บนนั้นมีต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ควบรวมออกมาเป็นดอกโคมสำริด ซ่อนวาสนาที่หาได้ยาก
หากว่าบททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้มีรางวัลพิเศษมอบให้จริงๆ จะต้องไม่ใช่เล็กๆ เป็นแน่
“เขตขีดจำกัด มีเพียงทุ่มพลังทั้งหมดจึงจะมีโอกาสผ่านการทดสอบ ทว่าจะตัดสินอย่างไรกันแน่ว่าผู้ใดสำแดงพลังได้ยอดเยี่ยมที่สุด” มีคนใหญ่คนโตเอ่ยถามออกมา
“ง่ายมาก ด่านนี้มีเวลาจำกัด นี่มีนัยว่าใครที่ใช้เวลาผ่านการทดสอบได้สั้นที่สุด ผู้นั้นก็ย่อมมีผลคะแนนที่สูง”
ท่านย่ากระเรียนทองใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ค่อยเอ่ยวาจา
“แต่ว่าเขตขีดจำกัดนี้ลี้ลับน่าอัศจรรย์อย่างมาก กำจัดศัตรูไปมากน้อยเท่าไร ก็จะส่งผลต่อคะแนนด้วยเช่นกัน”
“อีกทั้งเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้แตกต่างกับในอดีตอย่างสิ้นเชิง ในนั้นเกรงว่าจะยังแฝงเร้นความลี้ลับอื่นไว้อีก แต่ไม่ว่าอย่างไรหากอยากได้รางวัลพิเศษระดับนี้ ย่อมไม่ง่ายดายแน่นอน”
บรรดาคนใหญ่คนโตต่างเห็นพ้องต้องกัน
“จากที่ข้าคาดการณ์ไว้ รางวัลพิเศษชิ้นนี้จะต้องมีส่วนของจี้ซิงเหยาผู้สืบทอดแห่งสำนักอันทรงเกียรติแน่” มีคนใหญ่คนโตเอ่ยขึ้นมาฉับพลัน
ท่านย่ากระเรียนทองกล่าวด้วยสีหน้าเมินเฉย “วาสนาเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดบอกได้หรอกว่าใครจะได้ครอบครอง สหายยุทธ์ทุกท่านอย่ามัวคาดเดามั่วซั่วเลย”
นี่คือการกล่าวเตือนโดยไร้รูปอย่างหนึ่ง
โดดเด่นเกินไปจะมีภัย นางไม่อยากให้ผู้คนจับจ้องไปยังจี้ซิงเหยามากเกินไป
แน่นอนว่าในฐานะคนแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉา หากมีปัญหามาถึงที่จริงๆ พวกเขาก็ย่อมไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
…
ฟ้าดินขมุกขมัวก่อตัวเป็นผู้ฝึกปราณคนแล้วคนเล่าไม่หยุด พวกเขาเสมือนเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณสักแห่ง มีวิชาอัศจรรย์แตกต่างกัน พลังต่อสู้น่าหวาดผวาเหลือล้น
แม้พวกเขาจะไร้สติปัญญา ทว่าล้วนอาจหาญไม่กลัวตาย ในมือถือของวิเศษอาทิ กระบี่วิญญาณ ทวนวงเดือน หอกยาว ดาบศึก กระถางหยก ตราประทับเป็นต้น บุกทะลวงกลางฟ้าดิน แม้ว่าอานุภาพจะแตกต่างกันไป ทว่าล้วนแต่กดดันททั้งสิ้น
พลังหมัดปลดปล่อยออกไป!
หลินสวินสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์เต็มกำลัง นัยน์ตาเยียบเย็นราวสายฟ้า ผมยาวปลิวไสว สีหน้าผงาดผยองดุจเทพมารบุกทะลวงเก้าชั้นฟ้า
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ผู้ฝึกปราณถูกพิฆาตคนแล้วคนเล่า ร่างประหนึ่งละอองแสงที่แตกระเบิด แปรเป็นเมฆหมอกขมุกขมัวมลายลับไป
ในเวลาเดียวกันหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งตะลุยไปเบื้องหน้าเต็มกำลัง
เพียงแต่หลินสวินค่อยๆ รู้สึกว่ากินแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย ระดับความเร็วที่บุกทะยานไปเบื้องหน้าก็เริ่มได้รับผลกระทบ
‘แม้แต่เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรก็ไม่อาจสำแดงฤทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว…’ สีหน้าของหลินสวินเผยความคร่ำเคร่ง
ตามที่เขาคาดคะเน ศักยภาพของผู้ฝึกปราณที่ได้พบครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถตีเสมอผู้กล้าชั้นยอดระดับอู่ต้วนหยาได้!
‘ช่างวิปริตเสียจริง เพียงแต่…’
หลินสวินนึกถึงจุดนี้ มุมปากก็อดยกโค้งขึ้นมาไม่ได้
นี่จะโทษใครก็ไม่ได้ หากจะโทษคงต้องโทษที่ศักยภาพของเขาแข็งแกร่งเกินไป ทำให้การทำสอบที่ได้รับมายากเย็นและอันตรายยิ่งยวด
หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่า ในผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ คนที่ต้องเจอบททดสอบวิปริตระดับนี้แบบตนต้องมีเพียงไม่กี่คนแน่
อย่างในตอนแรก สำแดงวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิง ก็สามารถกวาดล้างอย่างราบคาบได้แถบใหญ่
ทว่าภายหลัง อานุภาพของธารดาราหลอมเพลิงสามารถสังหารศัตรูได้เพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น
และเมื่อใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร รูปการจึงมรความเปลี่ยนแปลง ทำให้หลินสวินเริ่มต้นการบดขยี้อีกครั้ง
มายามนี้… กลับต่างไปแล้ว!
ต่อให้หลินสวินสำแดงพลังถึงขีดสุด ก็สามารถกำราบศัตรูได้มากสุดแค่ห้าหกคนเท่านั้น
นี่ไม่ใช่เพราะพลังของเขาอ่อนแอลง แต่เป็นศักยภาพของศัตรูที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องต่างหาก!
…
ตูมโครม!
กลางฟ้าดินพลังหมัดพุ่งออกไป แวววาวดุจกระแสสายฟ้าที่กรีดผ่าห้วงอากาศ มีผู้ฝึกปราณถูกสังหารไม่หยุด แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
เพียงแต่ในฟ้าดินขมุกขมัวนี้ยังมีผู้ฝึกปราณที่ร้ายกาจยิ่งกว่าปรากฏตัวตามกันออกมา ศักยภาพทรงพลังแข็งแกร่งเป็นเท่าทวี
ปัง!
ไม่นานนัก หมัดของหลินสวินทำได้เพียงทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นไม่อาจสังหารได้ในการโจมตีเดียว ส่วนฝ่ายหลังยังคงบุกเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย
‘ถึงขีดจำกัดแล้ว’
‘ความสามารถของเจ้าพวกนี้ไม่ต่างจากยอดฝีมืออย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย อาศัยแค่เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรคงจะฆ่าไม่ตายแล้ว’
หลินสวินคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ต้น จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที เรียกดาบหักออกมาเสียงดังชิ้ง
สวบ!
ดาบหักที่เกือบโปร่ง แสงเจิดจ้าวราวหิมะกวาดตวัดกลางห้วงอากาศ ในชั่วพริบตาก็สังหารผู้ฝึกปราณไปสิบกว่าคน
ว่ากันถึงที่สุดแล้วดาบหักคือศาสตราจิต ศักยภาพของมันเดิมก็น่าอัศจรรย์หาใดเทียบ เรียกได้ว่าเป็นดาบดุดันเย้ยฟ้าเล่มหนึ่ง ภายใต้การควบคุมด้วย ‘มรดกอักษรปฐมแห่งค่ายกลลายมรรค’ ของหลินสวิน อานุภาพที่ปลดปล่อยจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
ฆ่า!
หลินสวินรุดหน้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง
…
เวลาหนึ่งก้านธูป หากเป็นแต่ก่อนเพียงชั่วดีดนิ้วก็ผ่านไป
ทว่าในการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ กลับเหมือนเชื่องช้าผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ทุกเสี้ยวเวลาล้วนทำให้คนทุกข์ทรมานกันถ้วนหน้า
นอกเขาพยับคราม มีผู้กล้าที่เข้าร่วมถกมรรคถูกเคลื่อนย้ายออกมา โดนคัดออกไม่หยุด พาให้เกิดเสียงถอนหายใจมากมายในที่นั้น
ที่ผ่านมาผู้กล้าทุกคนล้วนแต่เป็นเหล่าคนชั้นยอดจากที่ต่างๆ ในแดนฐิติประจิม ได้รับการจับจ้องจากผู้คนนับหมื่น ชื่อเสียงเลื่องลือ
แต่ตอนนี้ แค่บททดสอบถกมรรคด่านที่สองเท่านั้น ก็มีผู้กล้าถูกคัดออกมามากถึงเพียงนี้แล้ว พาให้คนอกสั่นขวัญหายยิ่ง
“แน่นอนว่านี่ไม่เหมือนกับในอดีต แค่อัตราการถูกคัดออกระดับนี้ ก็ไม่มีเทศกาลโคมกถามรรคครั้งใดสามารถนำมาเปรียบเทียบได้”
“ผ่านไปสองเค่อแล้ว เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามีใครสามารถผ่านเขตขีดจำกัดนี้ไปได้บ้าง”
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างเฝ้าติดตามอย่างใจจดใจจ่อ ในใจกระสับกระส่าย อยากจะรู้ผลโดยเร็ว
โดยเฉพาะเหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ จงหลีอู๋จี้ มู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวนพวกนี้ ยิ่งได้รับความสนใจอย่างที่ไม่มีเคยมีก่อน
ใครจะเป็นคนฝ่าบททดสอบได้เป็นคนแรกกันแน่
ทุกคนต่างเฝ้ารอคอย
…
“อันดับหนึ่ง!”
“มีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบเป็นคนแรกเท่านั้น ถึงมีสิทธิ์รับรางวัลใหญ่ที่สุด ของวิเศษที่ผู้อาวุโสไม่อาจลืมเลือนได้ชิ้นนั้น จะต้องปรากฏในการทดสอบครั้งนี้เป็นแน่”
ในเขตขีดจำกัด ทั่วสรรพางค์กายของอวี่หลิงคงอาบไล้แสงศักดิ์สิทธิ์ เจิดจ้าราวตะวันสาดแสงแรงกล้า เขามีรูปร่างสูงโปร่ง เครื่องหน้าหล่อเหลาราวกับเซียนจุติลงมาก็ไม่ปาน มีท่วงท่าที่สง่าผ่าเผยไร้ผู้ใดเทียบ
พลังต่อสู้ของเขาก็น่ากลัวเป็นอย่างมาก ฝ่าทะลวงมาตลอดทาง เมื่อศักยภาพของศัตรูแข็งแกร่งขึ้น พลังต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งตามไปด้วยเช่นกัน ช่างน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขวางข้าได้ ที่หนึ่งต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน!”
แววตาอวี่หลิงคงประหนึ่งรุ้งเทพ เผยความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม
…
“นี่เป็นรางวัลพิเศษเชียวนะ จะขาดส่วนของข้าไปได้อย่างไร”
อีกหนึ่งเขตขีดจำกัด จี้ซิงเหยาในชุดกระโปรงสีพื้น บนใบหน้างดงามแฝงความนิ่งสงบและเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์
ความเร็วของนางก็เร็วมากเช่นกัน วิธีต่อสู้ของนางดูเหมือนไม่มีความอัศจรรย์ใดๆ แต่พลานุภาพกลับน่าประหวั่นอย่างที่สุด แสงกระบี่พร่างพราวพุ่งกวาด ตัดเปิดเส้นทางตรงแน่วสายหนึ่งให้นางท่ามกลางหมู่ศัตรู
…
“สามคนแรกถึงจะได้รับรางวัล ต่อให้ไม่สามารถชิงที่หนึ่งมาได้ ก็ต้องชิงสามอันดับแรกมาให้ได้!”
“ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นรางวัลแบบไหน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่ ข้าจะต้องแย่งมันมาให้จงได้!”
“คนอื่นๆ ต้องจับจ้องไปที่รางวัลสามชิ้นนี้ตั้งแต่ต้นแล้วอย่างที่คาดแน่ แต่ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะสู้พวกเขาไม่ได้!”
ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน บุคคลแห่งยุคอย่างเหลยเชียนจวิน มู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน ต่างก็สำแดงพลังเต็มที่ หมายมาดคว้ารางวัลสุดท้ายนั้นมาให้ได้
นี่ไม่ใช่เพียงแค่วาสนาหนึ่ง ยังเป็นการประลองและแข่งขันกันอย่างไร้รูประหว่างบุคคลแห่งยุคด้วย
ไม่ว่าใครต่างไม่ยอมรั้งท้าย!
…
ชิ้ง!
ดาบหักทะยานอากาศ คดเคี้ยวดุจสายฟ้า คมดาบแวววาวเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง ประกายคมไร้เทียมทานระดับนั้นเรียกได้ว่าตัดสะบั้นได้ทุกสิ่ง
หลินสวินในยามนี้เค้นขีดจำกัดของตนออกมา ก่อนหน้านี้ตอนที่รับมือราชันกึ่งระดับลิ่นไท่เจิน ยังไม่เคยต้องเค้นพลังขนาดนี้
ฟุ่บๆๆ ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นถูกสังหารไปคนแล้วคนเล่า ดับสลายไปในความว่างเปล่า ไม่อาจขัดขวางหลินสวินได้แม้เพียงก้าว
‘มิน่าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวถึงพูดว่า บททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ล้ำค่ามาก มีประโยชน์ในการเคี่ยวกรำศักยภาพของผู้ฝึกปราณอย่างน่าเหลือเชื่อ หากว่าผ่านไปได้ ศักยภาพของตนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่ง…’
หลินสวินตระหนักอย่างแจ่มแจ้ง
บุกทะลวงมาตลอดทางจนถึงตอนนี้ ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่สู้จนถึงขีดจำกัดมาตลอด จึงต้องเค้นศักยภาพและพลังแฝงของตนออกมาให้ถึงที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการเคี่ยวกรำที่ยากลำบากครั้งหนึ่ง
ก็เหมือนกันตอนนี้ ตามการต่อสู้ที่ทวีความดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้หลินสวินควบคุมดาบหักได้เชี่ยวชาญและคล่องมือยิ่งขึ้น มีความรู้สึกสมบูรณ์รางๆ ราวกับเป็นมือเป็นแขน ช่ำชองดั่งใจ
เช่นเดียวกัน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นธารดาราหลอมเพลิง หรือว่าเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ต่างก็ถูกเคี่ยวกรำและชำระล้างไปอีกขั้น
ทั้งหมดนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกได้อย่างชัดแจ้งว่า ความเข้าใจต่อวิชายุทธ์ของตนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด…
ฆ่า!
กระทั่งให้หลัง หลินสวินละทิ้งความคิดว้าวุ่นไปทั้งหมด จิตใจจมอยู่ในการต่อสู้อย่างถึงที่สุด สำแดงวิชายุทธ์ของตนออกมาอย่างอหังการ
กระบวนเฉือนคว้าดารา…
กระบวนเฉือนสอยจันทรา…
กระบวนเฉือนเผาตะวัน…
กระบวนเฉือนนภาสงัด…
จนกระทั่งต่อมา ความเร้นลับของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าก็ถูกหลินสวินสำแดงออกมา ก็เห็นว่ากลางห้วงอากาศ ดาบหักฟาดฟันอย่างแผ่วเบาคราหนึ่งก็สะท้อนพลังน่าพรั่นพรึงไม่เป็นสองรองใคร กวาดล้างออกไปกลางฟ้าดิน ไร้เทียมทานและน่าสะพรึงอย่างที่สุด
ก่อนหน้านี้น้อยมากที่หลินสวินจะสำแดงออกมา
แม้แต่ยามประมือกับบุคคลอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ หลินสวินล้วนแต่ยั้งมือมาโดยตลอด ไม่เคยสำแดงความล้ำลึกแห่งหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า
แน่นอนว่ายามนี้หลินสวินควบคุมได้เพียงแค่สี่กระบวนแรก ความเร้นลับของสองกระบวนสุดท้ายอย่าง ‘กระบวนเฉือนเกิดดับ’ และ ‘กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้’ ยังไม่อาจหยั่งถึง
แต่แม้เป็นเช่นนี้ พลานุภาพของมรดกวิชาดาบที่ได้มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์นี้ ก็เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่สะเทือนใต้หล้าแล้ว
หืม?
ฉับพลันนั้น ขณะกำลังหยั่งรู้วิชายุทธ์ หลินสวินที่กำลังฝ่าทะลวงในการต่อสู้ไม่หยุดพลันได้สติขึ้นมา กวาดสายตาสาดส่องไปทั่วทิศ
ทั้งแถบล้วนเงียบงัน ไม่มีศัตรูอีก กลางฟ้าดินขมุกขมัวเหลือแต่เขาคนเดียวอีกครั้ง
“หมดแล้ว?” หลินสวินอึ้งไป ก่อนจะนึกได้โดยพลันว่า คงไม่ใช่ว่าตนมาถึงที่ที่เรียกว่าอีกฟากฝั่งของเขตขีดจำกัดแล้วหรอกกระมัง?
ตอนที่ 875 มหามรรคไร้ขอบเขต
ฟุ่บ!
แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งวาบ ผู้ฝึกปราณคนสุดท้ายที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าถูกกำจัดสิ้น
มุมปากของอวี่หลิงคงพลันปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
สำเร็จแล้ว!
นอกพันจั้ง นั่นก็คือจุดหมาย!
เวลานี้เขาหายใจหอบเล็กน้อย ตลอดทางฝ่าทะลวงมาเต็มกำลัง ทำให้เขาเสียแรงไปมากโข ทว่าความหวังอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างคุ้มค่า
‘ผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็สมปรารถนาแล้ว…’
อวี่หลิงคงพึมพำอยู่ในใจ เขาไม่มัวรีรอแต่อย่างใด รุดหน้าบุกทะลวง เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงใดๆ เพราะความเลินเล่อเสี้ยวเดียวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายนี้แน่!
ตึง!
ทว่ายามอีกเพียงร้อยจั้งเงาร่างของเขาก็จะถึงจุดหมาย ฟ้าดินขมุกขมัวนี้ก็พลันเกิดเสียงดังกึกก้องราวกับเป็นเสียงระฆังลั่นบอกเวลา ขจรขจายไปยังทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน กู่ก้องกังวาน
นี่…
ทีแรกอวี่หลิงคงตะลึงงันไปก่อน รอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากพลันแข็งค้าง ดวงตาเบิกโต ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ จะมีคนชิงไปถึงก่อนข้าก้าวหนึ่งได้อย่างไร”
อวี่หลิงคงราวกับโดนฟ้าผ่า ในใจถูกความเดือดดาลและไม่ยินยอมซึ่งไม่เคยมีมาก่อนท่วมท้น พาให้เขาแผดเสียงออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ห่างเพียงร้อยจั้ง!
ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน แค่พริบตาเดียวก็ไปถึงจุดหมายได้ ไม่จำเป็นต้องพะวงแต่อย่างใด
ทว่ายามนี้ บนระยะทางอีกแค่ชั่วพริบตานั้น กลับมีคนชิงไปถึงจุดหมายก่อน!
การโจมตีนี้รุนแรงเกินไป ต่อให้อวี่หลิงคงเป็นคนอารมณ์ดีแค่ไหน ยามนี้ก็โมโหจนแทบจะกระอักเลือด ในใจแค้นจนอยากจะฆ่าคน
เป็นไปได้อย่างไร
ทั่วร่างเขาแผ่พลังน่าหวาดหวั่นออกมา ตรงดิ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า เรือนผมแผ่สยายราวกับเทพสวรรค์บันดาลโทสะ สีหน้าคล้ำเขียว กลิ่นอายน่ากลัว
……
‘เขตขีดจำกัดนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ทะลวงฟันมาตลอดจนถึงยามนี้ ถึงกับปลุกเร้าขีดจำกัดที่มีทั้งหมดของข้า การฝึกฝนเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก’
อีกหนึ่งเขตขีดจำกัด แววตาของจี้ซิงเหยาใสกระจ่าง ประกายแวววาวระยิบระยับตา
นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าเมื่อผ่านการเคี่ยวกรำหนนี้แล้ว จะทำให้นางได้ประโยชน์ต่างๆ มากมาย การฝึกปราณฝึกยุทธ์ก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น!
แม้ในใจคิดเช่นนี้ จี้ซิงเหยาก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวแม้สักนิด เงาร่างราวกับสายรุ้งน่าตะลึง รุดหน้าฝ่าทะลวงไป
จุดหมายก็อยู่เบื้องหน้านี่เอง!
จี้ซิงเหยามีความมั่นใจอย่างแรงกล้าต่อศักยภาพของตน เชื่อมั่นว่าในการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ รางวัลของสามอันดับแรกจะต้องมีส่วนของตนหนึ่งส่วนแน่
ถึงขั้นที่นางตั้งเป้าว่าจะชิงที่หนึ่งมาได้
นี่ไม่ใช่ความทะนงตน แต่มาจากความมั่นใจที่นางมีต่อศักยภาพของตนเอง
ตึง!
เพียงแต่พริบตาที่นางกำลังจะเข้าใกล้จุดหมาย กลางฟ้าดินพลันมีเสียงระฆังก้องกังวานยาวนาน
ในชั่วพริบตานั้นจี้ซิงเหยาตัวแข็งทื่อ นัยน์ตากระจ่างแผ่แสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ‘หรือจะเป็นเจ้าอวี่หลิงคงนั่น เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าไม่เคยประมือกับเขา แต่หากพูดถึงพลังเบื้องลึกเบื้องหลัง ข้าย่อมไม่ด้อยไปกว่าเจ้านั่นแน่!’
แม้คิดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับมีความหดหู่เสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ทำให้อารมณ์ของจี้ซิงเหยายากจะสงบนิ่ง
…
‘คงเป็นจี้ซิงเหยา!’
มู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตขมวดคิ้ว ในใจทอดถอนใจ ไม่เสียทีที่เป็นธิดาเทพแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาในปัจจุบัน ศักยภาพเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าทึ่ง ยากจะมีคนไม่ยอมรับ
…
“เป็นไปได้อย่างไร! เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ก็มีคนแรกไปถึงจุดหมายแล้ว?”
ซาหลิวฉานตะโกนอย่างแค้นเคืองและไม่ยินยอม
…
“จี้ซิงเหยา? หรือจะเป็นอวี่หลิงคง?”
ทั่วร่างเหลยเชียนจวิน ‘เหลยโหวน้อย’ แห่งเผ่ามหาอสนีเปี่ยมด้วยเจตจำนงต่อสู้ “แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ถึงยิ่งน่าสนุก หากไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ชีวิตนี้คงน่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว”
……
ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน เสียงระฆังที่ดังสะเทือนเลือนลั่นในเวลาเดียวกันนั้น ผู้กล้าที่กำลังถกมรรคได้ยินกันถ้วนหน้า
ชั่วพริบตาการตอบสนองของพวกเขาล้วนแตกต่าง สีหน้าก็ต่างกันไปต่างๆ นานา มีทั้งตื่นตะลึง ไม่ยินยอม งงัน ประหลาดใจ
นอกเขาพยับครามในเวลานี้ บรรดาผู้ฝึกปราณที่เฝ้าคอยอยู่ก็ล้วนได้ยินเสียงระฆังดังกึกก้อง ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น
“มีคนไปถึงจุดหมายเป็นคนแรกแล้ว!”
“ต้องเป็นจี้ซิงเหยาแน่ มีเพียงนางเท่านั้นถึงมีความสามารถ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ก้าวนำเหล่าผู้กล้าทั้งหลายไปได้!”
“ไม่ผิด หากพูดถึงคนที่มีศักยภาพมากที่สุดในการชิงที่หนึ่งของการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ จี้ซิงเหยาย่อมเป็นคนที่มีความหวังที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย”
“อย่าเพิ่งกล่าวกันเกินเหตุไปก่อนเลย บททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ยุติธรรมเป็นที่สุด ความยากแปรผันตามศักยภาพของผู้ฝึกปราณแต่ละคน ข้าว่าบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ ก็อาจจะทำได้เช่นเดียวกัน อย่างเช่นเทพมารหลิน”
“เทพมารหลิน? ฮ่าๆๆ เจ้าคงไม่อำข้าเล่นหรอกนะ ถึงกับเอาเขามาเปรียบกับเทพธิดาจี้ นี่เป็นการดูหมิ่นเทพธิดาจี้ชัดๆ!”
“ใช่แล้ว! พูดแบบสมมติสุดๆ ต่อให้เทพธิดาจี้ทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ คนที่มีคุณสมบัติพอจะทำได้ก็ไม่มีทางเป็นเทพมารหลิน บุคคลแห่งยุคอย่างมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน เหลยเชียนจวิน หรือจงหลีอู๋จี้พวกนั้น ก็ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าเทพมารหลินมากนัก”
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างวิพากษ์วิจารณ์ ถึงขั้นถกเถียงอย่างเอาเป็นเอาตายเสียจนหน้าแดงก่ำ
ส่วนเหล่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นก็ดูเยือกเย็นมาก เพียงแต่ภายในใจพวกเขากลับไม่อาจสงบนิ่ง ยามพูดจาก็ดูสงวนท่าทีอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนยอมรับว่า จี้ซิงเหยาเป็นหนึ่งในคนที่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่สามารถทำได้ถึงระดับนี้
ชั่วขณะหนึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยพากันเอ่ยปากแสดงความยินดีแก่ท่านย่ากระเรียนทอง
ท่านย่ากระเรียนทองยิ้มตอบกลับไป เพียงแต่นางในเวลานี้ก็ไม่สามารถกล่าวอะไรได้มากนัก
อย่างไรเสียผลสุดท้ายก็ยังไม่แน่ชัด หากดีใจไปก่อนแล้วผลที่ออกมาผิดคาดไป คงจะอับอายขายหน้าไปยกใหญ่
“เป็นผู้กล้าที่เข้าร่วมถกมรรคสามคนไหน ที่จะได้รับรางวัลสุดท้ายของการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ไปกันแน่”
“เวลาหนึ่งก้านธูปจวนจะถึงเต็มทีแล้ว พอถึงเวลานั้นก็จะได้รู้ดำรู้แดงกันไป”
ทุกคนต่างกำลังเฝ้าคอย
…
ตามเสียงระฆังที่ดังขึ้น ป้ายหินโบราณแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา บนนั้นสลักอักษรมรรคบรรพกาลไว้เช่นกัน
เมื่อมองเห็นภาพนี้หลินสวินก็แน่ใจได้ในที่สุด ว่าตนมาถึงจุดหมายของเขตขีดจำกัดแล้ว!
“เพียงเท่านี้ก็จบแล้วหรือ”
หลินสวินยังคงไม่กล้าเชื่อเท่าไร เขาเงยหน้ามองอักษรมรรคบรรพกาลบนฟ้าหินนั้น
“ขอบเขตนี้มีฝั่ง มหามรรคไซร้ไร้ขอบเขต!”
เพียงไม่กี่คำ กลับพาให้คนรู้สำเหนียกล้ำลึก
“ดูท่านี่เป็นจุดหมายแท้จริงแน่นอน…” หลินสวินมีความรู้สึกว่ามันยังไม่จบอยู่รางๆ
ก่อนที่จะถึงจุดหมาย เขาจมอยู่ในการเคี่ยวกรำวิชายุทธ์ การควบคุมความล้ำลึกของสี่กระบวนท่าแรกแห่งหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าบรรลุถึงระดับสุดยอด อีกนิดก็จะทะลวงได้แล้ว แต่กลับถึงจุดหมายเสียก่อน…
รสชาติของที่จะขึ้นก็ไม่ขึ้นจะลงก็ไม่ลงนี้น่าอึดอัดพอตัว
ไม่ถูกต้อง!
ทันใดนั้นหลินสวินพลันสังเกตเห็นปัญหาหนึ่ง แม้ว่าตนจะถึงจุดหมายแล้ว แต่การทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้กลับยังไม่สิ้นสุด
เวลาหนึ่งก้านธูปก็ยังไม่หมดลงเช่นกัน
เมื่อใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ ทั้งร่างหลินสวินพลันไหววูบ ย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ผ่านมา เขาอยากลองดูสักตั้ง
ฮูม!
ไม่ทำให้หลินสวินผิดหวังดังคาด กลางฟ้าดินขมุกขมัว ‘ผู้ฝึกปราณ’ คนแล้วคนเล่าปรากฏกายขึ้น!
ซ้ำยังแตกต่างจากที่ผ่านมา ‘ผู้ฝึกปราณ’ ที่ปรากฏในครั้งนี้ ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนแต่มีท่วงท่าไม่ธรรมดา มีมาดละโลกีย์ที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง ราวกับศิษย์แห่งเซียนที่แท้จริงก็ไม่ปาน
มิหนำซ้ำแม้ว่ารูปลักษณ์ของพวกเขาจะเลือนลาง ทว่าก็พอจะแยกออกได้ว่า ในนัยน์ตามีแสงประกายคล้ายมีสติปัญญาฉายออกมาให้เห็น แตกต่างจากท่าทางของพวกก่อนหน้านั้น ที่รู้จักแต่การบุกทะลวงฆ่าฟันโดยไม่กลัวตายอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจก็คือ ในเวลานี้ชายที่มีลักษณะยังหนุ่มคนนหึ่งก้าวออกมา แขนเสื้อพัดพลิ้ว ยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ
เขาอมยิ้มพลางประสานหมัดทั้งสองคารวะ กล่าวว่า “ยินดีกับศิษย์น้องที่หยั่งรู้หลักแห่ง ‘มหามรรคไร้ขอบเขต’ เขตนี้ย่อมมีจุดหมาย ทว่ามรรคาของพวกเราย่อมไม่อาจหยุดอยู่เพียงเท่านี้ ศิษย์น้องมีปณิธานที่ยึดถืออยู่ในใจ ภายภาคหน้าต้องประสบความสำเร็จแน่”
เสียงนุ่มนวลแจ่มใสดังกังวานทั่วฟ้าดิน
ในเวลาใกล้เคียง บริเวณรอบๆ พลันปรากฏเหล่า ‘ผู้ฝึกปราณ’ ไม่ว่าหญิงหรือชาย ต่างก็อมยิ้มพลางประสานหมัด อวยพรยินดีแก่หลินสวิน
ต่อให้หลินสวินเยือกเย็นแค่ไหน เวลานี้ก็สับสนอยู่พอตัว
ไม่ใช่แค่เพราะ ‘ผู้ฝึกปราณ’ เหล่านี้ดูประหนึ่งบุคคลเมื่อครั้งบรรพกาลฟื้นคืนชีพ สติปัญญาฟื้นคืนเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คืออีกฝ่ายกลับเรียกขานตนว่า ‘ศิษย์น้อง’!
ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสี รูปโฉมงดงาม กล่าวพร้อมรอยยิ้มงามว่า “ศิษย์น้องคนนี้ดูท่าจะงุนงงพอตัว คิดว่าคงเข้าร่วมการฝึกหลอมถกมรรคของสำนักเป็นครั้งแรกแน่ นี่ทำให้ข้านึกถึงตอนเข้าร่วมฝึกหลอมถกมรรคเมื่อปีนั้นเลย”
คนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มให้ ต่างคนต่างทอดถอนใจไม่หยุด คล้ายกับว่าหวนคิดถึงภาพของการเข้าร่วมฝึกหลอมถกมรรคของตน
ท่าทีของพวกเขาล้วนอ่อนโยน น้ำจิตน้ำใจมากล้นเช่นนั้นทำให้คนเลื่อมใส
“สำนัก?”
“การฝึกหลอมถกมรรค?”
ในใจหลินสวินกระเพื่อมไหวขึ้นลง อดถามไม่ได้ว่า “คือว่า… สหายยุทธ์ทุกท่าน นี่มันเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“ศิษย์น้อง พวกข้าล้วนจากสำนักมาหลายปีแล้ว การที่ฟื้นตื่นครั้งนี้ก็เป็นแค่ตราประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ที่นี่เท่านั้น”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าอมยิ้มพลางกล่าวว่า “ส่วนที่ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ รอหลังจากเจ้าจากสำนักไปแล้ว เริ่มแสวงหาเส้นทางแห่งอริยมรรคของตน ตอนนั้นเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
หนุ่มสาวคนอื่นๆ ต่างพยักหน้า
“จากสำนัก? แสวงหาอริยมรรค?”
หลินสวินสูดหายใจด้วยความตะลึงงัน หรือว่าตอนที่หนุ่มสาวเหล่านี้ได้จากสิ่งที่เรียกว่า ‘สำนัก’ นี้ไป ล้วนแต่มีเส้นสนกลในและพลังปราณที่สามารถแสวงหาอริยมรรคได้?
“ศิษย์น้อง การทดสอบสุดท้ายของการฝึกหลอมถกมรรคด่านที่สองจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกข้าเป็นเพียงตราประทับเจตจำนง แค่ออกแรงเพียงนิดเดียวก็จะไม่เหลือสิ่งใดไว้อีก สามารถใช้พลังที่เยี่ยมยอดที่สุดของระดับกระบวนแปรจุติจู่โจม หากเจ้าอยากได้รางวัลแล้วล่ะก็ จะต้องใช้พลังขีดจำกัดอย่างเต็มกำลัง”
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมาพร้อมกล่าวเตือน
“ศิษย์พี่หลี่ ท่านอย่าขู่ศิษย์น้องคนนี้ของพวกเราสิ เขาสามารถมาถึงจุดหมายแห่งเขตขีดจำกัดได้เป็นคนแรก ซ้ำยังเข้าใจหลักแห่ง ‘มหามรรคไร้ขอบเขต’ ได้อย่างรวดเร็ว พลังและคุณสมบัติระดับนี้ เมื่อเทียบกับพวกเราเมื่อตอนนั้นแล้ว นับว่าแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย”
หญิงชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสีคนนั้นยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยวาจา
ชายหนุ่มคนนั้นนิ่งไปก่อนกล่าวว่า “เรื่องไร้สาระพูดให้มันน้อยลง เวลาของพวกเรามีไม่มาก มาเริ่มกันเลย”
“เดี๋ยว…”
ในใจของหลินสวินร้อนรนขึ้นมา มีความสงสัยเต็มท้องที่เตรียมจะถามออกมา เวลานี้ใครจะอยากไปรับการทดสอบสุดท้ายอะไรนั่นเล่า!
เพียงแต่ไม่รอให้เขาพูดมากความ แขนเสื้อชายหนุ่มคนนั้นก็กางสยาย เจตกระบี่ที่ทรงพลังไร้เทียมทาน กว้างใหญ่ไพศาลสายหนึ่งปรากฏขึ้น อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาทำให้หลินสวินแข็งค้างไปทั้งร่าง รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แย่แล้ว!
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ไม่อาจไปคิดเรื่องอื่นอีก โคจรพลังของตนจนถึงขีดสุด ถึงขั้นใช้วิชาอริยะยุทธ์อย่างไม่มีเก็บงำ!
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลินสวินไม่เคยสำแดงวิชานี้ออกมาเลย
แค่คิดก็รู้ได้ทันทีว่า เจตกระบี่สายนี้สร้างแรงกดดันให้กับหลินสวินมากขนาดไหน ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าตั้งแต่เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นเจตกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยพบมา!
ตอนที่ 876 ใช้ใจแห่งการต่อสู้
ชิ้ง!
เจตกระบี่ทะลวงสวรรค์ พลานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกร เปี่ยมด้วยไอดุดันบดขยี้ฟ้าดิน ตวัดตัดลงมาคราเดียวห้วงอากาศก็พังทลาย กลิ่นอายแผดเผาทำให้ผู้คนขวัญผวา
ชายหนุ่มผู้นั้นเมื่อลงมือราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม แสงกระบี่เรืองรองในแววตา ต่อสู้อย่างไร้ความปราณี
อารมณ์ทั้งมวลก่อนหน้านี้ที่เผยออกมาจากกายของเขา ล้วนประหนึ่งไม่หลงเหลือแม้เพียงเสี้ยว
หลินสวินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่แม้ว่าในใจจะยังสับสนงุนงงอยู่มาก ทว่าเขาไม่มีเวลาพอไปคิดเรื่องเหล่านี้ และจู่โจมเต็มกำลัง
ชิ้ง!
ดาบหักพุ่งขวางกลางอากาศ ดุจม้วนออกมาจากธารดาราสีเงินเจิดจ้า ลากแสงศักดิ์สิทธิ์ยืดยาวอกมานับพันจั้ง
ทั้งสองเข้าปะทะกัน เสียงกึกก้องน่าประหวั่นระเบิดออก แสงศักดิ์สิทธิ์สาดกระเซ็นทั่วสารทิศ
หลินสวินสะเทือนไปทั้งตัว เลือดลมปั่นป่วน ในการโจมตีนี้เขาเกือบจะได้รับบาดเจ็บ!
“อีกครั้ง!”
เขาพลันกัดฟันกรอด นัยน์ตาดำก็สาดประกายเจตจำนงต่อสู้อันดุเดือด โคจรพลังทั้งหมดที่มีของวิชาอริยะยุทธ์ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบกายดังครั่นครืนราวสายฟ้า พลังไต่จนถึงระดับสุดยอดภายในชั่วพริบตาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
กระบวนเฉือนคว้าดารา!
ตูม! ทุกแห่งหนที่ดาบหักวาดผ่าน เสมือนดวงดาราร่วงหล่นดวงแล้วดวงเล่า ราตรีนิรันดร์เคลื่อนคล้อยลงมา กลิ่นอายแห่งทำลายล้างอันเงียบสงัดแผ่สยายออกไป
ฉัวะ!
ชายหนุ่มยืนตระหง่านบนห้วงอากาศราวกับเซียนกระบี่แห่งยุค ทำมุทรากวาดเพียงครั้ง เจตกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็ปะทุออกมา ดูผิวเผินเหมือนธรรมดา ทว่าอันที่จริงพลานุภาพน่าหวาดผวาถึงขีดสุด
เพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งสองได้ประมือกันนับร้อยครั้งแล้ว!
‘เจ้านี่เป็นเพียงแค่ประทับเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น ซ้ำพลังที่ใช้ก็แค่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสุดยอด ทว่ากลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าซาหลิวฉานไปกว่าครึ่ง วิปริตเกินไปแล้ว’
ในใจของหลินสวินสั่นไหวไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างมองว่าเขาเป็นเทพมาร คิดว่าพลังของเขาเย้ยฟ้าและวิปริต ทว่ายามนี้หลินสวินกลับรู้สึกว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นต่างหากถึงจะวิปริตของจริง
เพียงแค่ประทับเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่ายามที่เขาอยู่ระดับกระบวนแปรจุติ จะครอบครองพลังต่อสู้สะเทือนฟ้ามากเท่าไรกัน
ฮูม!
ทันใดนั้นหญิงสาวชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสีที่อยู่ไกลๆ ก็ขยับตัวเช่นกัน เงาร่างพลิ้วไหวดุจสายรุ้ง ในมือขาวผ่องโบกสะบัดแส้อ่อนเส้นหนึ่ง กวัดแกว่งเพียงแผ่วเบา ห้วงอากาศทุกอณูก็ระเบิดออกราวกับเศษกระดาษก็ไม่ปาน
ตูม!
ฟ้าดินผืนนี้สั่นสะเทือน ยามนี้ ‘ผู้ฝึกปราณ’ คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ขยับตัว เริ่มสำแดงวิชาอัศจรรย์ ไม่ก็เรียกของวิเศษออกมา ล้อมจู่โจมจากทั่วสารทิศ
ภาพนั้นดูคล้ายกับว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติร่วมมือกันจู่โจมออกมา สะเทือนฟ้าสะท้านดิน น่าหวาดหวั่นเหนือจินตนาการ
หากอยู่โลกภายนอก จะต้องเกิดความตื่นตระหนกโกลาหลเป็นแน่แท้
ทว่าในเขตขีดจำกัดนี้ ไม่อาจดึงดูความตระหนกของผู้ใดได้
ทว่าในเขตขีดจำกัดนี้ ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ขณะที่บททดสอบถกมรรคด่านที่สองยังไม่สิ้นสุด หลินสวินซึ่งถึงจุดหมายเป็นคนแรก จะต้องพบเจอความท้าทายที่เข้มงวดถึงเพียงนี้
…
“อีกนานเท่าไร”
“อีกหนึ่งเค่อ”
ณ โลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือผู้ฝึกปราณที่มาจากทุกแห่งหน ล้วนแต่รอคอยด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“มหามรรคไร้ขอบเขต…” อวี่หลิงคงก็เห็นแผ่นป้ายหินและอักษรโบราณบนนั้นเช่นเดียวกัน
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจอย่างชัดแจ้ง พลันหันหลังย้อนกลับไปเส้นทางเดิม
ฮูม!
ทันใดนั้น ‘ผู้ฝึกปราณ’ ปรากฏกายขึ้นคนแล้วคนเล่า กลิ่นอายของทุกคนต่างก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้เท่าตัว
เป็นดังคาด!
‘ยังดีที่บททดสอบยังไม่ประกาศผลแพ้ชนะ ข้ายังมีโอกาส’
ในแววตาของอวี่หลิงคงสาดแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงออกมา เจตจำนงต่อสู้ฟื้นคืนอีกครั้ง บุกทะลวงเข้าไปโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด เปิดฉากต่อสู้เป็นพัลวัน
เพียงแต่สิ่งที่พบเจอนั้นแตกต่างกับหลินสวินโดยสิ้นเชิง ‘ผู้ฝึกปราณ’ ที่เขาต้องเจอเหล่านี้กลับไม่มีสติปัญญา แม้ว่าศักยภาพแข็งแกร่งมากขึ้น ทว่ากลับดูไม่เหมือนมีชีวิต
ขณะเดียวกันในเขตขีดจำกัดอีกแห่ง สิ่งที่จี้ซิงเหยาต้องพบเจอก็เหมือนกับอวี่หลิงคง
“ไม่ว่าอวี่หลิงคงจะถึงจุดหมายเป็นคนแรก หรือผู้อื่นถึงเป็นคนแรก ขณะที่ผลการทดสอบยังไม่ปรากฏออกมา ก็มีโอกาสพลิกผันได้!”
แววตากระจ่างใสของจี้ซิงเหยาเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นางถูกขนานนามให้เป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม ตัวนางย่อมมีความเย่อหยิ่งและทะนงตนสูง แน่นอนว่าในเทศกาลโคมกถามรรคนี้ย่อมไม่อาจยอมให้ผู้อื่นอยู่เหนือกว่าตน
ไม่เพียงแค่อวี่หลิงคงและจี้ซิงเหยา ยามบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ ทยอยไปถึงจุดหมาย และค้นพบความเร้นลับบนป้ายหินแผ่นนั้น แต่ละคนก็ได้ย้อนกลับไปสู่การต่อสู้กันอีกครั้ง
ในฐานะบุคคลผู้กล้าแห่งยุค ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยอมรั้งท้าย
ในขั้นตอนนี้มีเหล่าผู้กล้าหลายคนที่แม้แต่จุดหมายก็ยังไม่อาจไปถึงได้ ต้องถูกคัดออกจากการทดสอบกลางคัน
และเช่นเดียวกัน ก็มีผู้กล้าบุคคลแห่งยุคบางส่วนที่หลังจากไปถึงจุดหมายแล้วกลับเข้าใจเพียงผิวเผิน และทึกทักว่าตนผ่านการทดสอบด่านที่สองโดยลุล่วงแล้ว ไม่ได้ใคร่ครวญแม้แต่น้อยว่าบททดสอบครั้งนี้ยังแฝงความเร้นลับอีกอย่างไว้
นี่ก็คือการแข่งขันแห่งมหามรรค
บางทีผู้ที่ตีความเพียงผิวเผินหรือประมาทเลินเล่อไปนิด ก็อาจจะตกลงสู่ห้วงลึกอันไร้รูปลักษณ์!
การแข่งขันชนิดนี้ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เมื่อก้าวสู่หนทางแห่งมหามรรคแล้วก็ต้องพบเจออยู่เสมอ โดยเฉพาะสำหรับเหล่าผู้กล้าหนุ่มสาวแล้ว การแข่งขันที่มีอยู่ทุกที่และไร้รูปเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เหี้ยมโหดและดุดันอย่างที่สุด
…
พรูด!
ในห้วงอากาศหลินสวินถูกกดดันอีกครั้ง สะท้านจนร่างโซเซถอยหลัง กระอักเลือดออกมาจากปาก รู้สึกว่าร่างกายคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
การถูกจู่โจมด้วยคู่ต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเป็นระดับกระบวนแปรจุติขั้นสุดยอดนับสิบคน อันตรายที่ได้เผชิญทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจจินตนาการได้เลย
น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว คู่ต่อสู้ทุกคนล้วนแต่ครอบครองวิชามรรคที่สะเทือนเลือนลั่น ฝีมือต่อสู้ก็เหนือกว่าคนทั่วไป หากอยู่โลกภายนอกก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคแล้ว
และยามนี้ พวกเขาต่างล้อมโจมตีพร้อมกัน ทำให้หลินสวินตกอยู่สถานการณ์ล่อแหลมทันใด เสี่ยงจะถูกสยบกดดันจนถูกคัดออกไปตอนไหนก็ได้
ตูม!
เจตกระบี่ที่ยิ่งใหญ่อีกสายกวาดวาดมาอีกครั้ง ส่องสว่างพร่างพรายและตระหง่านกดดัน ดูผิวเผินคล้ายเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกราวสามารถล้างผลาญฟ้าดินอย่างไรอย่างนั้น มีอานุภาพทำลายจักรวาลให้ราบเป็นหน้ากลอง
“ข้าอยากเห็นนัก ว่าพวกเจ้าจะบีบให้ข้าถอยร่นไปได้หรือไม่!”
หลินสวินกัดฟัน ถูกสยบไว้เสียจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้ ทำให้เขาอัดอั้นในใจ ยามนี้ในที่สุดก็ปะทุออกมาอย่างถึงที่สุดอย่างกลั้นไม่อยู่แล้ว
พริบตานั้นสารกาย พลังชีวิต และจิตวิญาณทั่วร่างของเขาราวกับเพลิงลุกโชน ทั้งตัวประหนึ่งแปลงเป็นเตาหลอมกลียุค พลังแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่อีกช่วงใหญ่
นี่คือความเร้นลับของโทสะหยาจื้อ สามารถปลุกเร้าศักยภาพแฝงรอบกาย ปะทุพลังต่อสู้ที่เหนือกว่าปกติ
ชิ้ง!
ดาบหักเปล่งเสียงใสฮึกเหิม กึกก้องทั่วฟ้าดิน เปลี่ยนเป็นพร่างพราวยิ่งขึ้นราวกับภาพมายาก็ไม่ปาน พื้นผิวปรากฏลวดลายมรรคคลุมเครือเป็นเส้นๆ มีกลิ่นอายผลาญทำลายอันไร้รูปเอ่อล้นออกมา
“ฆ่า!”
หลินสวินบุกทะลวงต่อสู้กับบรรดา ‘ผู้ฝึกปราณ’ อย่างอลหม่านเสียจนสะเทือนฟ้าสะท้านดิน แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ เป็นภาพที่น่าอกสั่นขวัญแขวนนัก
โทสะหยาจื้อ วิชาอริยะยุทธ์ …เมื่อจับคู่กับดาบหักที่ใช้ ‘มรดกอักษรปฐมแห่งค่ายกลลายมรรค’ ควบคุม ทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินเพิ่มสูงถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในทันใด
กระบวนเฉือนคว้าดารา กระบวนเฉือนสอยจันทรา กระบวนเฉือนเผาตะวัน กระบวนเฉือนนภาสงัด ความเร้นลับของวิชาลับโบราณที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่กระบวน ล้วนปลดปล่อยออกมาถึงระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนภายใต้การควบคุมนี้!
เวลานี้หลินสวินมีความมั่นใจว่าสามารถจัดการกับบุคคลแห่งยุคอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ได้ภายในดาบเดียว!
เพียงแต่…
ยังคงไม่พอ!
แม้ดูคล้ายสามารถเข้าต่อสู้รบพุ่งได้ ทว่าสถานการณ์ยังคงถูกกดดันดังเดิม ได้แค่ฝืนโจมตีคืนไป แต่ไม่อาจกำจัดคู่ต่อสู้ได้อย่างราบคาบ
เหตุผลก็ไม่ใช่อื่นใด คู่ต่อสู้ไม่เพียงแต่มีจำนวนมาก ซ้ำแต่ละคนก็ยังแข็งแกร่งไร้เทียมทานจนเรียกได้ว่าวิปริต
‘นี่ก็คือการทดสอบสุดท้ายที่ทดสอบตัวเองในเขตขีดจำกัด?’
‘ตามที่ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวมา คงมีเพียงการใช้พลังทั้งหมดถึงขีดจำกัด จึงจะสามารถต้านรับพวกเขาได้ แต่ว่า…’
‘ข้าก็ใช้พลังทั้งหมดถึงขีดจำกัดแล้วนะ!’
หลินสวินกระวนกระวายใจ ถูกกดดันจนถึงขั้นนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตนเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ฝึกปราณมา
เขาไม่ยอมถูกคัดออกทั้งแบบนี้หรอก!
นี่เพิ่งถกมรรคด่านที่สองเท่านั้น จะแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร
พรูด!
ชั่วครู่ให้หลัง หลินสวินได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง อีกนิดเดียวก็จะถูกแสงอันเยียบเย็นที่ทะยานกวาดซัดเข้าลำคอ กระนั้นบริเวณหน้าอกของเขาก็ถูกบาดออกเป็นแผล หยาดโลหิตไหลริน
เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ประเดี๋ยวเดียวดวงตาของหลินสวินพลันแดงก่ำ เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป ในใจเหลือเพียงจิตต่อสู้อันบริสุทธ์ บุกทะลวงด้วยความบ้าคลั่ง!
สู้!
ความเร้นลับของการต่อสู้อยู่ในศึกนี้ นี่คือปริศนาที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของวิชาอริยะยุทธ์ การห่วงหน้าพะวงหลัง เดือดเนื้อร้อนใจในผลได้ผลเสีย กลับทำเกิดความวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก
สู้!
หลินสวินปลดปล่อยตัวตนโดยสิ้นเชิง ไม่ห่วงสิ่งใดอีกต่อไป ไม่สนใจว่าจะเป็นวิชาต่อสู้หรือการทดสอบอะไร อาศัยเพียงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ลุกโชนเข้าโจมตี
ใช้ใจแห่งการต่อสู้ประหัตประหาร!
ตูม!
หลินสวินในเวลานี้ทั้งตัวประหนึ่งดวงตะวันขนาดมหึมากำลังลุกโชน มีพลานุภาพอหังการยิ่งใหญ่ ประหนึ่งเทพมารสงครามเมื่อครั้งบรรพกาล บุกทะลวงเก้าชั้นฟ้า
ขอเพียงต่อสู้ ไม่สนแพ้ชนะ!
นี่คือการปลดปล่อยสุดขีดในแบบหนึ่ง หลังจากหลินสวินก้าวเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกที่ไม่มีการยั้งมือ
โครม!
ในสถานการณ์การต่อสู้ถึงขีดสุดซึ่งไม่เคยมีมาก่อนนี้ ในหัวใจของหลินสวิน ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่นิ่งเงียบมาเนิ่นนาน ยามนี้พลันเกิดกระแสร้อนรุ่มประหลาดสายหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ผสานเข้ากับกล้ามเนื้อ เลือด กระดูก อวัยวะภายใน… แม้แต่สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญาณ ล้วนแต่ถูกกระแสร้อนนี้เข้าปกคลุม
ทั้งหมดทั้งมวลนี้หลินสวินกลับไม่ทันสังเกต ในความคิดของเขาตอนนี้ไม่มีเรื่องอื่น ในใจมีเพียงเจตจำนงต่อสู้ ลืมเลือนฟ้าผืนนี้ ดินผืนนี้ และตัวตนนี้!
…
“สำเร็จแล้ว!”
ในอีกเขตขีดจำกัด อวี่หลิงคงหายใจหอบแฮกๆ สีหน้าซีดเซียวอยู่ไม่น้อย ทั่วร่างชุ่มเหงื่อ เมื่อเทียบกับท่าทางสง่าผ่าเผยก่อนหน้าของเขาแล้ว ดูทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าในใจเขาเวลานี้กลับเปี่ยมด้วยความปิติและการรอคอย
ด้วยเพราะคู่ต่อสู้ของเขาถูกปราบจนราบเป็นหน้ากลองแล้ว
“แม้ว่าในเวลาที่ข้ามาถึงยังจุดหมายเมื่อสักครู่จะช้าไปนิด ทว่าในการทดสอบสุดท้ายนี้ ยังมีใครหน้าไหนกล้าประชันกับข้าอีก”
อวี่หลิงคงสูดหายใจลึก กวาดสายตาไปทั่วทิศ มีความมั่นใจและทะนงตนว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบข้าได้
…
“เท่านี้ก็คงได้แล้วกระมัง”
ในเวลาเดียวกันจี้ซิงเหยาพึมพำออกมา คู่ต่อสู้ล้วนแต่ถูกจัดการจนมลายลับ เบื้องหน้านางปราศจากคู่ต่อสู้แม้เพียงคนเดียว
ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เรือนผมดูหยุ่งเหยิงอยู่พอตัว กลิ่นอายรอบกายคล้ายกับว่าอยู่ในสภาวะวุ่นวาย เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้นางลำบากพอตัว
“ข้าอยากเห็นอันดับรายชื่อของการทดสอบสุดท้ายนี้จริงๆ ว่าใครจะสามารถอยู่เหนือข้าได้”
ริมฝีปากสีแดงอิ่มเผยให้เห็นความทะนงตนของนางเสี้ยวหนึ่ง
…
เวลาเคลื่อนคล้อยไป มีบุคคลแห่งยุคทยอยพิชิตมาถึงยังจุดนี้ เช่นมู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน หลี่ชิงฮวน จงหลีอู๋จี้ ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์เป็นต้น
พวกเขากลับไม่หวังสูงจะเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าในใจล้วนมีความคาดหวังว่าจะติดอันดับสามคนแรก
และแล้วยามนี้ เวลาหนึ่งก้านธูปก็เหลือเวลาเพียงไม่นานแล้ว…
ตอนที่ 877 รางวัลพิเศษ
เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว…
นอกเขาพยับคราม บรรดาผู้ฝึกปราณต่างรอคอยด้วยความกระสับกระส่าย ในที่สุดก็ใกล้จะรู้แล้วว่า ใครจะสามารถช่วงชิงอันดับหนึ่งของบททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ไปได้
แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตต่างก็หยุดสนทนา รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
ใกล้จะยุติแล้ว…
เขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน บุคคลระดับ อวี่หลิงคง ล้วนแต่รอคอยผลประกาศสุดท้ายอยู่อย่างเงียบๆ
บุคคลแห่งยุคที่ไปถึงยังจุดหมายนานแล้วเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกคัดออก พวกเขาจึงโล่งใจอยู่ไม่น้อย
ส่วนผู้กล้าบางคนที่ยังฝ่าทะลวงในเขตขีดจำกัด จวบจนยามนี้ก็ยังไปไม่ถึงจุดหมาย ต่างไม่อาจยั้งความรู้สึกสิ้นหวังลงได้
ต่อให้ไม่ถูกคัดออก ทว่าเวลาก็เหลือไม่มาก พวกเขารับรู้ได้ว่าครั้งนี้ถูกกำหนดแล้วว่าตนไม่มีโชคพอจะไปบททดสอบด่านถัดไปแล้ว…
…
“ฟัน!”
ในการต่อสู้อันดุเดือด ทันใดนั้นดาบหักที่สว่างพร่างพราวสุดขีดโฉบตวัดขึ้น เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สะท้านโลกออกมา
ด้านบนตัดเก้าชั้นฟ้า
ด้านล่างกวาดทั่วทิศ
ในพริบตานั้นฟ้าดินขมุกขมัวคล้ายเงียบงันทันใด เวลาดูเหมือนหยุดนิ่ง เหลือไว้แค่เพียงแสงดาบที่ห้อทะยานบาดตาสายหนึ่ง
อัศจรรย์ล้ำเลิศเป็นหนึ่งไม่มีสอง!
พรูด! พรูด! พรูด! พรูด! พรูด!
เงาร่างของ ‘ผู้ฝึกปราณ’ คนแล้วคนเล่าดับสลายไปดั่งหิมะละลายกลายเป็นน้ำ ค่อยๆ เลือนลับจางหาย ไม่อาจขัดขวางและต้านทานได้
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องที่สามารถฝ่าทะลุขีดจำกัดได้”
สตรีชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสีคนนั้นเผยรอยยิ้ม มีความรู้สึกปิติยินดี หลังจากนั้นเงาร่างนางก็อันตรธานหายไปราวกับฟอง
“เมื่อก้าวเข้าสำนักนี้ ไม่ว่าอายุมากน้อยเพียงใดก็ล้วนแต่เป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น ศิษย์น้อง สักวันพวกเราจะได้พบกันบนวิถีแห่งมหามรรค รักษาตัวด้วย”
ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยปาก เสียงนุ่มไพเราะดังก้องสะท้อน
จากนั้นเขาหมุนตัว เงาร่างสูงใหญ่ก็หายไปเหมือนเงาฟองจากกลางฟ้าดินขมุกขมัวนี้
บนห้วงอากาศ เจตจำนงต่อสู้ทั่วร่างพวยพุ่งดุจไอหินหนืด เพียงแต่เมื่อได้เห็นภาพนี้ เขาก็ได้สติจากห้วงแห่งการต่อสู้
‘ขอบคุณบุญคุณที่ชี้แนะของทุกท่าน สักวันข้าหลินสวินจะต้องทดแทนให้จงได้’
หลินสวินมองไปยังบริเวณที่พวกชายหนุ่มหายไป พลางเอ่ยขึ้นในใจ
การต่อสู้นี้ทำให้วิชายุทธ์ของเขาถูกเคี่ยวกรำจนถึงขีดสุด บังเกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ซ้ำยังได้หยั่งถึงการต่อสู้อันล้ำค่าหาใดเปรียบ
ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ธารดาราหลอมเพลิง มรดกหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า ล้วนแต่หลอมรวมเข้ากับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำที่เขาควบคุมได้ทั้งหมด พลานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ไม่เหมือนที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
โดยเฉพาะการฝ่าทะลุขีดจำกัดในครั้งนี้ ทำให้หลินสวินเพิ่งสังเกตว่ามกุฎมรรคาที่แท้จริง คือการผสานพลังทั้งหมดที่มีเข้าด้วยกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดรอบด้านที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
นอกจากนี้ พลังจิตวิญญาณก็เกิดการแปรเปลี่ยนด้วยเช่นกัน…
คุณประโยชน์ช่างมีมากล้นจริงๆ
เพียงแค่การหยั่งถึงที่ได้รับจากศึกครั้งนี้ ก็มากพอจะทำให้หลินสวินขัดเกลาและความเข้าใจการฝึกปราณในภายภาคหน้าได้เรื่อยๆ
ตุบ!
ทันใดนั้นร่างของเขาก็โอนเอนก่อนร่วงลงมาที่พื้น
ความเหนื่อยล้าและอ่อนแรงที่ยากบรรยายท่วมท้นไปทั้งร่าง การต่อสู้ครั้งนี้เขาทุ่มเทสุดกำลัง ปลุกเร้าพลังถึงขีดจำกัด ยามนี้เมื่อได้ผ่อนคลายลงจึบยืนหยัดไม่อยู่ทันใด
ฟู่! ฟู่!
หลินสวินหอบหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ เลือดเนื้อ ผิวหนัง จนถึงกระดูกล้วนปรากฏสภาพหมดแรงไปทั่วทุกอณูของร่างกาย นอนราบไปกับพื้น แม้แต่จะยกนิ้วมือยังกินแรง
นับตั้งแต่เข้ามายังดินแดนรกร้างโบราณจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของ ‘ความไร้เรี่ยวแรง’ เช่นนี้มาก่อนเลย นี่คือความรู้สึกที่ว่างเปล่าหลังจากการได้ปลดปล่อยอย่างสุดกำลัง
ว่างเปล่าปราศจากสิ่งใด
เวิ้งว้างดั่งไร้รากยึด
ทว่าในใจของหลินสวินกลับรู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นัยน์ตาดำของเขากระจ่างและเรียบสงบ จ้องมองไปยังท้องฟ้าขมุกขมัวนั้น คล้ายกับนอนดูดาวที่ทอแสงยามราตรีบนหลังคาเมื่อครั้งเยาว์วัย ไร้ซึ่งความวิตกกังวลอันใด กายและใจล้วนว่างเปล่า
ฮูม!
ในร่างกายที่ว่างเปล่าพลันมีกระแสร้อนรุ่มพรั่งพรูขึ้น ประหนึ่งน้ำพุพวยพุ่ง กระจายไปทั่วสรรพางค์กาย
พริบตานั้นร่างกายที่คล้ายกับเปลวไฟอันริบหรี่ เหมือนไม้แห้งได้ฝนชโลม ทั้งคล้ายแม่น้ำที่แห้งขอดได้ต้อนรับฝนห่าใหญ่ พลังทั้งหมดในร่างล้วนกำลังฟื้นฟูด้วยความเร็วอย่างน่าอัศจรรย์…
หลินสวินสัมผัสอย่างเงียบๆ
นี่คือพลังที่แปรเปลี่ยนหลังจากการฝ่าทะลุขีดจำกัดมาได้ ช่างล้ำค่าหาใดเปรียบ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ราวกับดักแด้กลายเป็นผีเสื้อ นิพพานแล้วเกิดใหม่
ตึง!
และในเวลานี้เวลาหนึ่งก้านธูปหมดลงแล้ว ท้องฟ้าขมุกขมัวพลันเกิดเสียงระฆังโบราณดังกึกก้องขึ้น ประหนึ่งว่าเสียงถูกส่งมาไกลเนิ่นนานนับตั้งแต่บรรพกาล
บททดสอบด่านที่สองสิ้นสุดแล้ว
…
ตึง!
บนเขาพยับครามเสียงระฆังดังกึกก้องลากยาว
เล่าผู้ฝึกปราณที่อยู่ภายนอกต่างพากันถอนหายใจเฮือกยาว สิ้นสุดแล้ว ผลการทดสอบด่านที่สองใกล้จะประกาศออกมาแล้ว!
จะเป็นผู้กล้าสามคนไหนที่ได้รับรางวัลพิเศษของบททดสอบในครั้งนี้
ทั้งเป็นใครกันที่แสดงฝีมือเต็มที่ออกมา ยึดครองที่หนึ่งของบททดสอบครั้งนี้
ทุกคนล้วนแต่กำลังเฝ้าคอย
“เร็วเข้า รีบนับจำนวนผู้กล้าที่ถูกคัดออกในครั้งนี้!”
ส่วนผู้ฝึกปราณจากเผ่าวาทวาโยต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวทันใด ด้วยโลกภายนอกไม่อาจร่วงรู้รายละเอียดใดในบททดสอบได้
ทว่าจากการเก็บจำนวนผู้ที่ถูกคัดออก ก็จะสามารคาดเดาว่ามีผู้กล้าที่ผ่านบททดสอบด่านที่สองไปได้มากน้อยเท่าไร!
…
และในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกันนี้ ป้ายหินแต่ละแผ่นที่ตั้งตระหง่าน ณ ที่แห่งนั้น ในช่วงเวลาที่บททดสอบสิ้นสุดลง ต่างก็สั่นสะเทือนเสียงดังอื้ออึง
ท้ายที่สุดป้ายหินแต่ละแผ่นแปรเปลี่ยนเป็นยันต์มรรคที่โบราณเก่าแก่ ลอยไปสู่มือของผู้กล้าที่ผ่านการทดสอบทุกคน
ยันต์มรรคโบราณมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ คล้ายหยกแต่ก็ไม่เชิง บนนั้นสลักอักษรมรรคบรรพกาล เป็นตัวแทนคะแนนของผู้กล้าที่ผ่านบททดสอบแต่ละคน
ขณะเดียวกัน สามารถอาศัยยันต์แผ่นนี้เข้าร่วมบททดสอบด่านที่สามได้
ฟึ่บ!
อวี่หลิงคงกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความพอใจ ยกแขนขึ้นคว้าทันใด กุมยันต์แผ่นนั้นไว้ในมือ
“ผู้อาวุโส ครั้งนี้ข้าจะต้องทำความปรารถนาของท่านให้สำเร็จให้จงได้ นำสิ่งที่ท่านไม่อาจตัดใจลืมได้ลงชิ้นนั้น… หืม?”
ขณะที่เหลือบมองไปยังอักขระบนยันต์มรรค จากเดิมที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม อวี่หลิงคงที่จิตใจฮึกเหิมพลันประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาดผ่าในทันใด
ดวงตาของเขาหดรัด ปากสั่นเครือ ความรู้สึกอยากกระอักเลือดกลับมาอีกครั้ง…
อันดับสาม?
แววตาของอวี่หลิงคงสาดประกายน่าอกสั่นขวัญแขวน จ้องยันต์มรรคที่อยู่ในมืออย่างไม่ลดละ ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ ตะโกนด้วยความแค้นเคืองและไม่พอใจ ผมยาวแผ่สยาย สีหน้าท่าทางน่ากลัวถึงขีดสุด
แม้แต่อันดับสองยังไม่ใช่ ได้แค่เพียงอันดับสาม?
อวี่หลิงคงที่ทะนงตนมาตลอดจะยอมรับได้อย่างไร
ในอดีตเขาถูกมองว่าเป็นหนึ่งในบุคคลแห่งยุคที่เจิดจรัสที่สุดแห่งแดนกาฬทักษิณ ทั้งฐานะ ภูมิหลัง รากฐาน และพลังปราณล้วนแต่ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะในหมู่คนหนุ่มสาว มีรัศมีเจิดจรัสมากล้นจนไร้ผู้ใดทัดเทียม
ยามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคแห่งแดนฐิติประจิมในครั้งนี้ นอกจากจี้ซิงเหยาแล้ว คนอื่นย่อมไม่อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้ ในการทดสอบถกมรรคด่านที่สอง เขากลับได้เพียงอันดับสามเท่านั้น!
บางทีผลคะแนนนี้เมื่อเทียบกับผู้กล้าคนอื่นๆ อาจกล่าวได้ว่าน่าตกตะลึง สามารถทำให้ใครอื่นเกิดความภูมิใจแล้ว
แต่สำหรับอวี่หลิงคงแล้ว นี่เป็นการหยามเกียรติอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างหนึ่ง!
“อันดับแรกเป็นใครกันแน่”
อวี่หลิงคงมีท่าทีควบคุมอารมณ์ไม่อยู่พอตัว สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นหาใดเทียบ ตัวเขาในอดีตองอาจผึ่งผาย สุภาพมีมาด ท่วงท่าสง่างาม
ทว่าเขาในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าเสียการควบคุมอยู่บ้างแล้ว
“ไม่ว่าเป็นใคร การหยามเกียรตินี้ข้าจะเอาคืนให้สาสม!”
รอบกายอวี่หลิงคงแผ่กลิ่นอายน่าประหวั่นสายหนึ่ง แสงนัยน์ตาสาดประกายสายฟ้าอันเยียบเย็นคมกริบออกมาเป็นสายๆ
และในตอนนี้เอง วงแสงกลุ่มหนึ่งเจิดจ้าปรากฏออกมา สะท้อนอยู่เบื้องหน้าอวี่หลิงคง ภายในวงแสงมีกรรไกรสีทองอร่ามด้ามหนึ่งลอยอยู่รำไร ประดุจเจียวสีทองคู่หนึ่งกำลังรัดเกี่ยวพันกันอย่างไรอย่างนั้น
นี่เป็นรางวัลพิเศษ มีเพียงผู้ที่ได้อันดับสามในบททดสอบถกมรรคด่านที่สองเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง
“กรรไกรเจียวทอง…” อวี่หลิงคงดวงตาหดรัด ใจเต้นรัว หรือนี่จะเป็นสมบัติอริยะที่เลื่องชื่อลือชามาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล
แต่ไม่ช้าในใจเขาก็ต้องผิดหวัง นี่เป็นเพียงแค่ของเลียนแบบ แม้แต่ยอดศาสตรามรรคราชันยังไม่อาจเรียกได้ แต่พลานุภาพกลับน่าอัศจรรย์หาใดเปรียบ สามารถเทียบเคียงกับยอดศาสตรามรรคราชันได้
“ของวิเศษที่ผู้อาวุโสไม่อาจตัดใจได้ ก็คือของวิเศษที่มีที่มาลี้ลับ พิศวงยากหยั่งถึง ต้องไม่ใช่ของกรรไกรเจียวทองเลียนแบบเล่มนี้อย่างแน่นอน…”
“ไม่ว่าผู้ใดได้ครอบครองมันไป ข้าจะต้องชิงกลับมาให้จงได้”
แววตาอวี่หลิงคงสาดประกายเยียบเย็นในบัดดล
…
“อันดับสอง… หรือจะเป็นเจ้าอวี่หลิงคงก้าวนำข้าไปก้าวหนึ่ง”
เขตขีดจำกัดอีกแห่ง จี้ซิงเหยาขมวดคิ้วคร่ำเคร่ง ใบหน้างามงดเจือความหงุดหงิด “หากรู้เสียแต่แรก ข้าคง…”
ทว่าท้ายที่สุดนางถอนหายใจเบาๆ และไม่ถือสาหาความอีก
“ก็แค่ผลแพ้ชนะในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อฝ่าทะลุบททดสอบทั้งห้าด่านไปได้ จึงจะเป็นเวลาตัดสินแพ้ชนะของจริง เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายใดขึ้นอีก…”
จี้ซิงเหยาหายใจสูดหายใจลึก นัยน์ตาทอแสงมุ่งมั่น
ไม่มีใครรู้ว่าในบททดสอบด่านที่สองนี้ นางไม่เคยงัดไพ่ตายที่แท้จริงออกมาเลยสักครั้ง
หรืออาจกล่าวได้ว่า นางคิดว่าในการทดสอบครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นเพราะตนเก็บงำความสามารถเกินไป ถึงได้พลาดอันดับหนึ่งไป!
…
ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้กำลังจะทยอยเกิดขึ้น
ขณะที่บุคคลแห่งยุครับรู้ถึงอันดับของตนเองทีละคนๆ บ้างก็พอใจ บ้างก็โกรธแค้นเดือดดาลและไม่ยอมรับ
เพียงแต่สามอันดับแรกเป็นผู้ใดกันแน่ กลับไม่มีใครสามารถบอกได้
…
และในเวลานี้ หลินสวินซึ่งได้อันดับหนึ่งด้วยมาอย่างงุนงง ก็มีอาการตกตะลึงอยู่บ้าง
กลุ่มแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลวนกลุ่มหนึ่งปรากฏเบื้องหน้า ภายในนั้นยังมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง เป็นรางวัลพิเศษที่จะได้รับหลังชิงอันดับหนึ่งมาได้ในครั้งนี้
เพียงแต่เจ้าของวิเศษสิ่งนี้กลับเล็กจิ๋วมาเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
มันเป็นขวดหยกใบหนึ่ง ทว่ามีขนาดประมาณหัวแม่มือ ทั่วทั้งตัวขวดถูกขัดจนเงาวับดั่งหยกมันแพะ เผยให้เห็นชั้นสีเขียวอ่อนๆ แวววาวใสกระจ่าง
หลินสวินยังไม่เคยเห็นขวดหยกที่มีขนาดเล็กกระจิ๋วเช่นนี้มาก่อน ดูแล้วคล้ายกับของเล่นในมือเด็กอย่างไรอย่างนั้น
นี่ก็คือของรางวัล?
หลินสวินตะลึงงันอยู่นานกว่าจะหยิบของชิ้นนั้นไว้ในมือ กลิ่นที่นุ่มละมุนสดชื่นสายหนึ่งแผ่คลุมทั่วฝ่ามือ
ขวดหยกใบนี้เล็กกระจุ๋มกระจิ๋มเกินไปแล้ว เบาราวกับไร้สิ่งใดวางอยู่บนฝ่ามือ ปากขวดกลมเกลี้ยง ผิวขวดมีแสงสีเขียวอ่อนไหลเวียน ชวนให้ผู้คนระบุไม่ได้ว่าเจ้าของวิเศษนี้มีไว้ใช้ทำอะไร
หลินสวินแทรกจิตรับรู้ลงไปภายในนั้น ทันใดนั้นในสมองพลันปรากฏชื่อของขวดใบนี้ เพียงแต่พริบตาต่อมา สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นผิดปกติอยู่บ้าง
ขวดมหามรรค…สุดหยั่ง?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น