Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 868-871

 ตอนที่ 868 หยั่งรู้ประทับรบ

ภูเขาน้ำแข็งยิ่งใหญ่ ขาวโพลนเปล่งประกายไปทั้งเขา สูงตระหง่านเกรียงไกร


หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น สงบใจหยั่งรู้


เหนือภูเขานี้ปกคลุมไปด้วยประทับรบอริยเทพที่หลงเหลือมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันรอยหนึ่ง เจตจำนงต่อสู้เก่าแก่ไพศาล เรียกได้ว่าสะท้านโลกา


ทันทีที่หยั่งรู้หลินสวินก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก กลิ่นอายของประทับรบอริยเทพนี้บริสุทธิ์หาใดเทียม เจือไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ชั่วพริบตาเท่านั้นทำให้เลือดลมทั่วกายของเขาร้องระงม เกิดเจตจำนงต่อสู้ที่กดข่มไว้ไม่อยู่


เขาสูดหายใจลึก ฝืนเก็บกลั้นเจตจำนงต่อสู้ในใจแล้วหยั่งรู้ต่อ


เขาแน่ใจแล้วว่า กลิ่นอายของประทับรบอริยเทพนี้มีประโยชน์เหลือคณาต่อการฝึกยุทธ์!


หากใช้ใจหยั่งรู้ รวมกับวิชายุทธ์ที่ตนครอบครองอยู่แล้ว จะสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายสิ่ง สัมผัสเพียงหนึ่งได้ครอบครองทั้งหมด


หลินสวินกวาดตามอง แล้วค้นพบดังคาดว่าไม่ว่าจะเป็นพวกซาหลิวฉาน หลี่ชิงฮวน อู่ต้วนหยา หรือบุคคลโดดเด่นแห่งยุคคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้พักผ่อน ต่างยึดพื้นที่บริเวณหนึ่งและกำลังจดจ่อกับการสงบจิตบำเพ็ญ


เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้คุณประโยชน์ของกลิ่นอายประทับรบอริยเทพอยู่ก่อนแล้ว


หลินสวินไม่ลังเล เพ่งสมาธิ นั่งขัดสมาธิท่ามกลางลมหิมะบนยอดเขา รวมพลังจิตเป็นหนึ่งแล้วเริ่มหยั่งรู้


เขาโคจรวิชาลับดวงใจฉิวหนิว ทำเช่นนี้แล้วจะส่งผลให้เขาสามารถสัมผัสถึงปริศนาแก่นแท้ของประทับรบอริยเทพนั้นอย่างง่ายดายและตรงไปตรงมายิ่งขึ้น


เช่นเดียวกัน หลินสวินไม่ได้ผ่อนปรนความรอบคอบลงโดยสมบูรณ์ เขาควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิตได้แล้ว สามารถทำได้หลายอย่างด้วยการตั้งจิตครั้งเดียว ในเวลาเดียวกับที่เขาหยั่งรู้อยู่ เขาก็สำแดงนัยน์ตาเฉาเฟิงกวาดมองห้วงอากาศรอบทิศ


สาเหตุที่เมื่อครู่เขาได้บัวเพลิงแปดกลีบดอกหนึ่งมาราวสามารถคาดการณ์ล่วงหน้า ก็เพราะอาศัยคุณประโยชน์ของนัยน์ตาเฉาเฟิง


วิชาลับนี้สามารถมองทะลุภูผาธารา เส้นสายในนภากาศ และการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ล้วนสามารถมองขาดได้ในครั้งเดียว


ดังนั้นบนเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงนี้ หลินสวินสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงน้อยนิดบางอย่างที่ผู้อื่นไม่อาจสังเกตได้ เมื่อดอกบัวเพลิงปรากฏก็สามารถค้นพบได้ล่วงหน้าไปก้าวหนึ่ง


เวลาเคลื่อนไปทีละน้อย


บริเวณยอดเขาเงียบเชียบไร้เสียง ดอกบัวเพลิงยังไม่ปรากฏขึ้นอีก


กลับเป็นบริเวณด้านล่างของภูเขาที่มีดอกบัวเพลิงดอกแล้วดอกเล่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่เฝ้าอยู่ที่นั่นมาโดยตลอดช่วงชิง


แต่คุณสมบัติของดอกบัวเพลิงเหล่านั้นล้วนต่ำกว่าระดับกลาง อย่างมากก็มีกลีบดอกห้ากลีบ ดึงดูดเหล่าบุคคลไร้เทียมทานอย่างพวกหลินสวินได้ไม่มากนัก


ในระหว่างนี้ก็มีผู้กล้าบางคนได้รับภัยคุกคามถึงชีวิต โชคร้ายถูกคัดออกไปยามชิงวาสนา


ขณะเดียวกันก็มีเหล่าผู้กล้าที่มาใหม่มากมายเริ่มขึ้นเขา หมายจะช่วงชิงวาสนา


ไม่เพียงแดนลี้ลับหิมะน้ำแข็ง ในบริเวณอื่นของแดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปรแห่งนี้ เหตุการณ์ทำนองนี้ก็ดำเนินอยู่เช่นกัน


มีคนถูกคัดออก และมีคนได้รับวาสนา กลายเป็นเมื่อมีคนสุขก็มีคนเศร้าจริงๆ


……


หืม?


ทันใดนั้นเองหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ผุดลุกขึ้น เงาร่างหายวับ พุ่งลงไปยังที่ที่อู่ต้วนหยาอยู่


“เจ้าจะทำอะไร!”


อู่ต้วนหยาหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ชักดาบศึกออกมาเสียงดังชิ้ง ท่าทางตระหนกตกใจ


สวบ!


หลินสวินไม่สนใจเขา เอื้อมมือขึ้นไปยังศิลาหิมะที่อยู่ไม่ไกลนัก


เดิมทีที่นั่นว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด แต่ยามหลินสวินยื่นมือออกไป กลับมีดอกบัวเปล่งประกายราวเพลิงแผดเผาดอกหนึ่งปรากฏออกมา


ฟุ่บ!


ชั่วพริบตา บัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกนี้ก็ถูกหลินสวินเก็บไป


อู่ต้วนหยาดวงตาแข็งค้าง หน้าแดงเถือก รับรู้ได้ว่าการตอบโต้ของตนเมื่อกี้รุนแรงเกินไป รู้สึกขายหน้าไปบ้าง


แต่ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองก็คือ หากไม่ใช่หลินสวินลงมือ เดิมทีดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบนี้ควรจะเป็นของเขา!


บุคคลโดดเด่นแห่งยุคคนอื่นก็ตื่นตระหนก เมื่อเห็นภาพนี้แล้วสีหน้าล้วนแปลกประหลาดไปบ้าง ดวงตาฉายแวววาวโรจน์ในชั่วครู่เดียว


หากกล่าวว่าครั้งแรกหลินสวินจับพลัดจับผลูไม่ได้ตั้งใจ แต่โชคดีชิงดอกบัวเพลิงดอกหนึ่งไปได้ นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่โชคนำพามา


แต่ตอนนี้ เขากลับชิงดอกบัวเพลิงได้อีกดอกหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่เกี่ยวกับโชค!


เด็กนี่ต้องครอบครองวิชาลับบางอย่าง สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า ค้นพบร่องรอยการปรากฏของดอกบัวเพลิงได้ก่อน!


ในใจของบุคคลแห่งยุคเหล่านี้ล้วนแน่ใจในสิ่งเดียวกัน นี่ทำให้พวกเขาออกจะสีหน้าอึมครึม หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะเอาอะไรไปช่วงชิงดอกบัวเพลิงกับหลินสวินได้


หลินสวินกลับมายังตำแหน่งที่ตนอยู่ นั่งขัดสมาธิอีกครั้งเหมือนไม่มีเรื่องอะไร แล้วเริ่มหยั่งรู้ต่อ ไม่สนใจสายตาต่างๆ ที่ทอดมองมาจากรอบทิศเลย


ผ่านไปสามชั่วยาม


หลินสวินชิงเคลื่อนไหวก่อนอีกครั้ง ช่วงชิงดอกบัวเพลิงแปดกลีบดอกหนึ่งไปครอง


นี่ทำให้ผู้อื่นยิ่งสีหน้าไม่น่าดูเสียแล้ว สายตาที่มองมายังหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งร้าย


พวกเขารอที่นี่อย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้กลับไม่ได้สิ่งใดเลย แม้จะได้มาบ้างก็ต้องช่วงชิงแก่งแย่งอย่างดุเดือด


จะเป็นเหมือนหลินสวินได้อย่างไร ที่ไม่เปลืองแรงมากมายก็ได้ดอกบัวเพลิงสามดอกไปครอง!


นี่ไม่ได้เป็นดอกบัวเพลิงธรรมดา แต่เป็นสมบัติที่เก็บซ่อนวิชามรรค!


ดอกบัวเพลิงดอกหนึ่งก็เป็นตัวแทนวิชามรรคส่วนหนึ่ง ความสูงค่าของมันไม่อาจใช้ทรัพย์สินในความหมายทั่วไปมาเปรียบเทียบได้!


และด้วยเหตุนี้เอง บุคคลแห่งยุคเหล่านี้ล้วนนั่งไม่ติดกันแล้ว ในใจรู้สึกแย่เหมือนกินแมลงวันเข้าไป สายตาเจือไปด้วยไอเย็นเยียบเหี้ยมเกรียม


“หลินสวิน เจ้าทำเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง” ซาหลิวฉานสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงแฝงความเดือดดาลที่ไม่อาจเก็บกลั้นไว้ได้


“พวกเราทุกคนล้วนเฝ้ารออยู่ที่นี่ แต่วาสนากลับถูกเจ้ายึดครองอยู่คนเดียว นี่มันตะกรุมตะกรามนัก!”


อู่ต้วนหยาก็เอ่ยปากอย่างเยียบเย็นว่า “ข้าอยากถามทุกท่านในที่นี้เสียหน่อยว่า พวกท่านจะยอมให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรื่อยๆ หรือ”


ผู้โดดเด่นแห่งยุคคนอื่นสายตาวูบไหว กล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ยินยอม!”


หลินสวินเลิกคิ้ว เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พวกเจ้าไม่มีน้ำยาช่วงชิงวาสนา กลับโยนความผิดมาที่ข้า เสียทีที่พวกเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคที่ชื่อเสียงระบือแดนฐิติประจิม ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือ”


ทุกคนสีหน้ายิ่งเหยเก ในใจหมายจะบีบคอไอ้สารเลวหลินสวินผู้นี้ให้ตาย นี่มันน่าโมโหนัก!


“หลินสวิน หรือเจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับพวกเราทุกคนจริงๆ ต่อให้พลังเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ เกรงว่าก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้กระมัง”


ซาหลิวฉานผุดลุกขึ้นทันใด รังสีจากดวงตาแผ่พุ่ง


เห็นได้ชัดว่าที่เขาพูดเช่นนี้เป็นการชักจูงให้คนอื่นๆ เพ่งเล็งหลินสวิน!


ดังคาด แม้บุคคลโดดเด่นแห่งยุคคนอื่นไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ล้วนทอดสายตาไปยังหลินสวิน แสดงการข่มขู่ชัดแจ้ง


กลับเห็นว่าหลินสวินยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่กล้ารับรองว่าข้าจะต้านทานพวกเจ้าทุกคนด้วยตัวคนเดียวได้ แต่รับรองได้ว่าหากเริ่มเปิดศึกแล้ว อย่างน้อยข้าก็สามารถลากบางคนตายตกไปกับข้าได้!”


ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่า จนป่านนี้แล้วเทพมารหลินกลับยังคงแข็งกร้าว ไม่หลีกทางให้สักนิดดังเดิม


“อันที่จริงทุกท่านไม่ต้องทำเช่นนี้”


เวลานี้หลี่ชิงฮวนก็ยิ้มพูดขึ้น “จากที่ข้าดู หากพวกเราอยากชิงดอกบัวเพลิง เพียงแค่ดูแววตาของสหายยุทธ์หลินก็พอแล้ว”


“นี่หมายความว่าอย่างไร” มีคนประหลาดใจ


“ง่ายมาก สหายยุทธ์หลินสามารถค้นพบเค้าลางการปรากฏขึ้นของดอกบัวเพลิงก่อน พวกเราเพียงสังเกตการเคลื่อนไหวของสหายยุทธ์หลิน ก็สามารถเข้าร่วมการช่วงชิงได้”


หลี่ชิงฮวนยิ้มพลางแจกแจง ทำให้ผู้อื่นต่างเข้าใจแจ่มแจ้ง ดวงตาเป็นประกาย สายตาที่มองไปยังหลินสวินเหมือนกับจดจ้องเหยื่อตัวหนึ่ง


“ดีทีเดียว!” อู่ต้วนหยาหัวเราะร่า


“เช่นนี้ก็ดี” ซาหลิวฉานก็พยักหน้า


มีเพียงหลินสวินที่นิ่วหน้า รับรู้ได้ว่าออกจะยุ่งยากเสียแล้ว


เขาสามารถอาศัยนัยน์ตาเฉาเฟิงสืบหาเค้าลางการปรากฏของดอกบัวเพลิงได้ก่อนก็จริง แต่หากถูกผู้อื่นจับจ้อง เช่นนั้นยามเขาเตรียมตัวเคลื่อนไหว มีแนวโน้มสูงว่าจะทำให้คนอื่นๆ ลงมือช่วงชิงกับเขาด้วย


ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ หลินสวินสงสัยนักว่าภายใต้การช่วงชิงเช่นนี้ เป้าหมายโจมตีของเจ้าพวกนี้ย่อมเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียว


หลินสวินชำเลืองมองหลี่ชิงฮวนที่อยู่ไกลออกไปคราหนึ่ง เอ่ยในใจว่าคนผู้นี้ดูเหมือนสุภาพถ่อมตัว แต่ถ้าพูดกันเรื่องฝีมือแล้ว ยิ่งน่ากลัวกว่าพวกซาหลิวฉานเสียอีก


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราก็พึ่งพาฝีมือของแต่ละคนก็แล้วกัน”


หลินสวินยิ้มให้ ไม่พูดอะไรอีก


เวลาเคลื่อนคล้อย ไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านไปหลายชั่วยาม


ฉับพลันหลินสวินก็หยัดกายลุกขึ้น แล้วก้าวเท้าเคลื่อนที่ไปยังบริเวณที่หลี่ชิงฮวนอยู่


ตูม!


และในเวลาเดียวกันนี้เอง ผู้โดดเด่นแห่งยุคคนอื่นๆ ที่จับจ้องหลินสวินอยู่ก็ล้วนลงมืออย่างไม่ลังเลแล้ว


ตอนที่ 869 เย้าแหย่

ยามนี้พวกซาหลิวฉาน อู่ต้วนหยาล้วนตื่นเต้นเหมือนพรานที่คว้าโอกาสไว้อยู่หมัด มีความลำพองใจที่จะจับเหยื่อล่าสัตว์ได้


โครม!


ทันทีที่พวกเขาลงมือก็ใช้พลังทั้งหมด แม้ไม่พบตำแหน่งที่ดอกบัวเพลิงปรากฏ ทว่าพวกเขาล้วนเลือกไปขวางหลินสวินโดยไม่ได้นัดหมาย


เพราะมีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้น ถึงทำให้พวกเขามีโอกาสช่วงชิงเช่นกัน จะไม่ให้หลินสวินตัดหน้าไปได้ก่อนยามที่ดอกบัวเพลิงปรากฏขึ้นมา


เพียงแต่เหนือความคาดหมายของพวกเขา ตอนนี้หลินสวินกลับถอยกลับไปที่เดิมที่เคยยืนอยู่ ไม่ก้าวไปข้างหน้าอีก


นี่…


เหล่าบุคคลโดดเด่นแห่งยุคล้วนผงะ ต้องฝืนยั้งมือไว้


และก็ในตอนนี้เอง หลินสวินแสร้งทำเป็นตกตะลึง นิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า “นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน ข้าแค่นั่งจนเมื่อยแล้ว จึงลุกขึ้นมาออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย หรือพวกเจ้ายังคิดจะลงมือกับข้า”


ทุกคนล้วนสีหน้าไม่น่าดู โดยเฉพาะซาหลิวฉาน ห้ามใจไม่อยู่ตะคอกออกมาว่า “หลินสวิน นี่หมายความว่าอะไรกัน”


หลินสวินฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หมายความว่าอะไรเล่า ก็แหย่พวกเจ้าเล่นไง”


“เจ้า…” ทุกคนโมโหจนแทบกระอักเลือด จะคิดได้อย่างไรว่าเขาจะถือโอกาสนี้เย้าแหย่พวกเขา


“แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเล่นด้วยเช่นนี้ ทำให้ข้าประหลาดใจนัก” หลินสวินยิ้มแฉ่ง


ยามพูดจา เงาร่างก็หายวับเคลื่อนไปอีกฝั่งหนึ่ง


“ทุกคนระวังตัว เจ้าหมอนี่ตั้งใจยุแหย่ รีบขวางมันไว้!” อู่ต้วนหยาคำรามเสียงดัง


ไม่ต้องให้เขาเตือนสักนิด เมื่อเห็นหลินสวินเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง เหล่าผู้โดดเด่นแห่งยุคที่อยู่ตรงนั้นก็พุ่งเข้าไปอีกโดยไม่ลังเล


พวกเขายิ้มเหี้ยมในใจ เจ้าเด็กนี่ถึงกับกล้าเล่นลูกไม้ใต้จมูกพวกเขา ช่างน่าขันนัก!


เพียงแต่ ที่ทำให้พวกเขางงงวยก็คือ หลินสวินถอยกลับไปที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง มองอย่างหยอกเย้าที่พวกเขา ทั้งไม่ได้พูดอะไร


แต่สายตาและการแสดงออกเสียดสีเช่นนั้น กลับทำให้พวกซาหลิวฉานและอู่ต้วนหยาโกรธจนหน้าแทบเขียวคล้ำแล้ว


แม่งถูกแหย่อีกแล้ว!


เจ้าเด็กนี่ช่างเลวนัก มีคนอย่างเขาที่ไหนกัน


ขนาดหลี่ชิงฮวนที่อ่อนน้อมเป็นมิตรมาตลอด เวลานี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เอ่ยทอดถอนใจเบาๆ ว่า “พี่หลิน เจ้าทำเช่นนี้ ออกจะเด็กน้อยไปแล้ว เหมือนกับเด็กน้อยกำลังก่อเรื่อง หากข่าวกระจายออกไปเกรงว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของเจ้า”


หลินสวินพูดพลางยิ้มว่า “ข้าก็อยากถามพวกเจ้าเหมือนกันว่าคนมากมายขนาดนี้มาเพ่งเล็งข้าคนเดียว ไม่รู้สึกขายหน้าหรือ”


“หลินสวิน เจ้าไม่กลัวพวกเราร่วมกันลงมือกับเจ้า แล้วขับเจ้าออกจากการแข่งขันโดยสมบูรณ์หรือ” อู่ต้วนหยาพูดทั้งที่ไอสังหารพลุ่งพล่าน


“เหอะๆ เจ้าจะลองดูก็ได้”


หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย


ทุกคนต่างสีหน้าอึมครึม พวกเขาไม่ต้องการถูกหลินสวินจูงจมูกแหย่เล่นอีกแล้ว เช่นนั้นน่าขายหน้านัก


แต่ข้อเสนอของอู่ต้วนหยากลับทำให้พวกเขาใคร่ครวญ


หากสามารถจัดการเทพมารหลินได้ตอนนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่ากำจัดคู่แข่งที่รับมือได้ยากที่สุดผู้หนึ่งออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย


สวบ!


เพียงแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตัดสินใจได้ หลินสวินก็เคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว


ยังจะเล่นอีกหรือ


ทุกคนโกรธจนควันออกหู เจ้าหมอนี่มองพวกเขาเป็นเด็กสามขวบ และจะเล่นเรื่องเด็กน้อยเช่นนี้ไปกับเขาหรือไร


“แย่ล่ะ รีบลงมือ!”


แต่ตอนนี้หลี่ชิงฮวนกลับนัยน์ตาหดรัด ตะคอกเสียงดัง


ทุกคนนิ่งอึ้งไป ก็เห็นว่าคราวนี้หลินสวินไม่ได้ถอยกลับไปเหมือนคราวก่อน เงาร่างโฉบออกไปสิบจั้งตรงๆ ราวสายฟ้า


สมควรตาย! ถูกหลอกแล้ว!


พวกเขาตอบสนองโดยพลัน


โครม!


ไม่มีลังเลแต่อย่างใด ร่วมกันออกโจมตี ล้วนพุ่งไปทางทิศที่หลินสวินเคลื่อนออกไปเต็มกำลัง หมายจะไปขัดขวางเขา


น่าเสียดาย ตอนนี้ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ก็เห็นว่าเงาร่างของหลินสวินวูบไหวแผ่วเบา เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้งก็ชิงดอกบัวเพลิงไว้ในมือได้แล้วดอกหนึ่ง


ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ ดอกบัวเพลิงนี้มีเก้ากลีบ ไอแสงราวพิรุณ รังสีเทพแผ่พุ่ง งดงามแจ่มจรัสราวดวงตะวันลุกโชนดวงหนึ่ง นั่นเป็นโอสถวิญญาณเจตะเลิศล้ำดอกหนึ่ง!


“วางลงนะ!”


ทันใดนั้นพวกซาหลิวฉาน อู่ต้วนหยาก็ดวงตาวาวโรจน์แล้ว แค้นจนแทบเสียสติ ก่อนหน้านี้ที่ถูกเย้าแหย่ก็ทำให้พวกเขาอัดอั้นใจอยู่ก่อนแล้ว


ตอนนี้ยังโต้ตอบช้าไปก้าวหนึ่ง ถูกหลินสวินชิงดอกบัวเพลิงเก้ากลีบไปก่อน นี่ทำให้พวกเขาโมโหจนแทบระเบิด


ตูม!


ไม่ต้องปรึกษากันสักนิดพวกเขาก็โจมตีเต็มกำลัง สำแดงวิชาลับ รัศมีเทพน่าหวาดหวั่นพุ่งไปจู่โจมหลินสวินราวกระแสน้ำมืดฟ้ามัวดิน


ภาพนั้นเรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงในโลกา


อย่างไรเสียก็เป็นการโจมตีแฝงด้วยโทสะของผู้กล้าชั้นยอดแห่งยุคสิบกว่าคน ทั้งยังร่วมมือกันพุ่งเป้าไปที่คนคนเดียว น่าตระหนกจนผู้กล้าที่อยู่ในบริเวณอื่นของภูเขาน้ำแข็งหน้าเปลี่ยนสี สูดหายใจหนาวเยือกไม่หยุด


เพียงแต่หลินสวินพุ่งลงมาด้านล่างของภูเขาตั้งแต่ชิงดอกบัวเพลิงได้ก่อนแล้ว ทำให้การโจมตีน่าพรั่นพรึงนี้สูญเปล่า


โครม!


อานุภาพของการโจมตีนี้น่าหวาดหวั่นนัก แม้จะไม่สำเร็จ แต่กลับสะเทือนจนเขาน้ำแข็งสั่นไหว ฟ้าดินโงนเงน


“คิดจะหนีหรือ ไม่ทีทางหรอก!”


อู่ต้วนหยาโมโหจนใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว พุ่งไปไล่กวดหลินสวิน


ไม่นานนักเขาก็ตามมาถึงด้านล่างของภูเขา เมื่อเห็นว่าหลินสวินหยุดเท้า เขาก็อดยิ้มเยียบเย็นเหี้ยมเกรียมไม่ได้ “ทำไมไม่หนีแล้วล่ะ”


หลินสวินหันกายมา แล้วยิ้มสดใสพลางพูดว่า “ทำไมไม่หนีน่ะหรือ รับมือเจ้าคนเดียว ต้องหนีด้วยหรือ”


อู่ต้วนหยาผงะไป ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ทั้งร่างแข็งทื่อ สายตากวาดมองไปรอบทิศอย่างยากเย็น ตอนนี้ถึงได้พบว่ามีเพียงตนคนเดียวที่ตามมาจริงๆ…


ในบริเวณใกล้เคียง สายตาของผู้แข็งแกร่งมากมายต่างมองมาทางตน ล้วนมีสีหน้าเวทนาไม่มากก็น้อย


อู่ต้วนหยาจิตใจสั่นไหว สับสนไปหมดแล้ว ไฟโทสะเต็มอกหายวับไป ถูกความอัดอั้นและตระหนกตกใจอย่างบอกไม่ถูกเข้าแทนที่


เขาจะคิดได้อย่างไรว่าเจ้าพวกนั้นจะไร้คุณธรรมเช่นนี้ ไม่ตามมากับเขาเสียได้!


เมื่อคิดว่าตนต้องเผชิญหน้ากับเทพมารหลินโดยลำพัง ตัวเขาก็ย่ำแย่เสียแล้ว สีหน้าผสมปนเป


“กลับไปเถอะ คราวหน้าอย่าใจร้อนเช่นนี้อีกล่ะ” หลินสวินเตือนเขาด้วยความหวังดี


อู่ต้วนหยาสีหน้าอึมครึมไม่ว่างเว้น ในใจทั้งโกรธทั้งอาย ท่ามกลางสายตาจับจ้องของฝูงชนกลับตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดและคับข้องใจเช่นนี้ เขาแค้นจนอยากจะสู้ให้ตายไปข้างหนึ่งโดยไม่สนใจสิ่งใด


กลับเห็นว่าหลินสวินยิ้มให้แล้วหันกายจากไป ไม่สนใจเขาอีก


อู่ต้วนหยาแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น จะตามก็ไม่เหมาะ จะถอยก็ไม่ควร หากบนพื้นดินมีรอยแยก เกรงว่าเขาคงมุดลงไปนานแล้ว


ช่วยไม่ได้ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง!


แต่เมื่อเห็นหลินสวินจากไป ไม่คิดจะช่วงชิงวาสนาต่ออีก เหล่าบุคคลโดดเด่นแห่งยุคทั้งหมดที่อยู่ใกล้ยอดเขาล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก ความรู้สึกนั้นเหมือนส่งเทพแห่งโรคระบาดจากไปไม่มีผิด


และเมื่อคิดว่าพวกเขามีหลายคนเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรเทพมารหลินไม่ได้ กลับถูกเขาเย้าแหย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็อับอายขายหน้าอยู่บ้าง ในใจคับข้องนัก


ไอ้เวรเทพมารหลิน ไม่ช้าก็เร็วจะให้เจ้าเห็นดีกัน!


นี่เป็นเสียงในใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันของพวกซาหลิวฉาน


แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ในบริเวณอื่นของภูเขาน้ำแข็งแล้ว ภาพทุกภาพที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทำให้พวกเขามองดูอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ถึงกับเคารพบูชาหลินสวินอยู่บ้างแล้ว


เขาตัวคนเดียวช่วงชิงวาสนาอย่างต่อเนื่องท่ามกลางเหล่าผู้กล้าแห่งยุค สุดท้ายก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แล้วจากไปอย่างภาคภูมิ ความสง่างามเช่นนี้สมกับฉายาเทพมารหลินนั้นของเขาจริงๆ!


‘เด็กคนนี้ ยังเป็นคนที่รับมือยากถึงที่สุดจริงๆ…’


บนยอดเขา หลี่ชิงฮวนสีหน้าคร่ำเคร่งอย่างยากพบเห็น


ก่อนหน้านี้เขาเพียงรู้ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด เรียกได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นแห่งยุคในรุ่นเดียวกัน แต่ในใจก็ไม่ได้หวั่นกลัวเท่าไร


แต่เมื่อได้เห็นภาพทุกอย่างตรงหน้า กลับทำให้เขารับรู้ได้ว่าหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวด!


ไม่เพียงแค่พลังต่อสู้แข็งกล้า ทั้งยังมีสติปัญญาช่างวางแผน กล้าหาญเกินคน หลังจากชิงวาสนาไปได้ก็จากไปอย่างแน่วแน่ไม่ลังเลเลยสักนิด แค่เพียงจุดนี้ก็ทำให้หลี่ชิงฮวนต้องมองดูใหม่แล้ว


เพราะเขารู้ว่าหากหลินสวินยังชักช้าอยู่ที่นี่เหมือนเดิม จะต้องสร้างความเดือดดาลให้ทุกคน ทำให้เจ้าตัวไม่เพียงไม่อาจช่วงชิงวาสนาไปได้ กลับจะกลายเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็ง พบกับการเอาคืนของทุกคน!


เห็นได้ชัดว่าหลินสวินก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นถึงได้เลือกจากไปอย่างแน่วแน่เช่นนี้


นี่ก็ทำให้หลี่ชิงฮวนกลัวเข้าจริงๆ


ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น หากมีพลังอย่างเทพมารหลิน เกรงว่าจะไม่อาจควบคุมความปรารถนาภายในใจได้ และเลือกจะอยู่ช่วงชิงวาสนาต่อไป


แต่เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินต่างจากผู้อื่น


‘หวังว่าในการช่วงชิงครั้งสุดท้ายจะไม่ต้องเจอเจ้าหมอนี่แล้ว…’ หลี่ชิงฮวนพึมพำในใจ


…….


“ที่คราวนี้ได้รับวาสนาก็หนีไม่พ้นการชี้แนะจากเจ้า นี่ให้เจ้า” ยามหลินสวินจากมา ก็เรียกเนี่ยอี้อันที่รั้งอยู่แถบตีนเขามาโดยตลอด จากนั้นมอบดอกบัวเพลิงดอกหนึ่งให้


เนี่ยอี้อันตื่นตระหนกยิ่ง ออกจะประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าหลินสวินจะให้วาสนานี้แก่ตน


ก่อนหน้านี้เขารั้งอยู่ที่ตีนเขา ชิงดอกบัวเพลิงไม่ได้สักดอกเดียว เดิมทีในใจก็ห่อเหี่ยว แต่การกระทำของหลินสวินในตอนนี้ทำให้เขาซาบซึ้งอย่างยิ่ง


“รับไปเถอะ ข้าเป็นคนที่เมื่อมีคุณก็ต้องทดแทน มีแค้นก็ต้องชำระ ความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้สลายไปนานแล้ว เจ้าอย่าได้เอามาใส่ใจอีก”


“ขอบคุณมาก!” เนี่ยอันอี้สูดหายใจลึก กล่าวขอบคุณอย่างหนักแน่นจริงจัง


หากพูดว่าก่อนหน้านี้ใจเขายังมีความแค้นเคืองหลินสวินอยู่บ้าง เช่นนั้นตอนนี้ก็มลายไปจนหมดสิ้นแล้ว กระทั่งออกจะนับถือน้ำใจและความกล้าหาญของหลินสวิน


หลินสวินยิ้มให้แล้วบอกลาเนี่ยอี้อัน จากนั้นก็หันกายจากไป


เขาต้องหาที่ปลอดภัยสักที่ แล้วหลอมดอกบัวเพลิงที่เหลือในมือให้หมด เพื่อดูว่าภายในนั้นเก็บซ่อนมรดกวิชามรรคลี้ลับปานไหนกันแน่


เพียงแต่เพิ่งแยกกันไม่นาน หลินสวินก็นิ่วหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับไปยังทางเดิมอีกครั้ง


……


“คิดไม่ถึงจริงๆ…”


เนี่ยอี้อันสีหน้างงงวยอยู่บ้าง กระทั่งตอนนี้เขายังไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าหลินสวินจะมอบดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกหนึ่งให้ตนง่ายๆ เช่นนี้


นี่เป็นถึงโอสถวิญญาณเจตะชั้นเลิศ วิชามรรคที่ซ่อนอยู่ภายในย่อมไม่ธรรมดา!


“เจ้าคนแซ่เนี่ย ทิ้งดอกบัวเพลิงของเจ้าไว้ พวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” ฉับพลันผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาล้อมเนี่ยอี้อันจากที่ต่างๆ สีหน้าเหี้ยมเกรียม


เนี่ยอี้อันหน้าเปลี่ยนสียิ่ง รีบร้อนเก็บดอกบัวเพลิง จากนั้นก็เอ่ยเสียงดุดันว่า “ทำไม พวกเจ้าจะปล้นข้าในช่วงชุลมุนงั้นหรือ”


“เลิกพูดพล่อยๆ ซะที เจ้าเป็นถึงผู้สืบทอดของสำนักผสานคราม แต่กลับไปร่วมมือชิงวาสนากับเทพมารหลิน ช่างทำให้สำนักของพวกเจ้าขายหน้านัก ให้เวลาเจ้าสามชั่วลมหายใจ ถ้าไม่ส่งมาก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”


ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนเป็นผู้กล้าในฝ่ายหนึ่ง มีทั้งหญิงทั้งชาย วาจาท่าทางแข็งกระด้างนัก


ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ใกล้ตีนเขามาโดยตลอด ได้เห็นภาพเนี่ยอี้อันกับหลินสวินจับคู่มาด้วยกัน จากนั้นก็จากไปพร้อมกันกับตา


ดังนั้นเมื่อตอนนี้เห็นว่าทั้งสองแยกกันแล้ว พวกเขาก็นั่งไม่ติดทันที หมายจะช่วงชิงวาสนา


นั่นเป็นถึงดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกหนึ่งเชียวนะ!


ยั่วยวนใจพวกเขานัก สามารถทำให้พวกเขาเข้าช่วงชิงโดยไม่สนใจสิ่งใด


ฉับพลันนั้นในใจเนี่ยอี้อันก็หนาวสะท้าน คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งได้วาสนาชิ้นหนึ่งโดยไม่คาดฝันมา ชั่วพริบตาก็อาจจะถูกชิงไปแล้ว!


ตอนที่ 870 ธารดาราหลอมเพลิง

“สาม สอง…” มีคนเริ่มนับเวลาถอยหลัง


ผู้แข็งแกร่งคนอื่นบางคนก็บีบเข้ามาใกล้ทีละก้าว สีหน้าเต็มไปด้วยไอสังหาร


เรื่องอย่างฆ่าคนปล้นสมบัตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำในโลกภายนอกเท่านั้น สำหรับบุคคลระดับผู้กล้าที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้แล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องแปลก


เพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชคดังกล่าว แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่หวั่นกลัวอะไร


บนโลกนี้ ข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ก็เป็นสิ่งที่มีขึ้นเพื่อผู้อ่อนแอ ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงยืนอยู่เหนือกฎเกณฑ์เสมอ!


นี่ก็คือความเป็นจริง


เนี่ยอี้อันสีหน้าเหยเกถึงที่สุด ในที่สุดเขาก็กัดฟันแล้วตัดสินใจยอมแพ้


นี่เพิ่งเป็นบททดสอบด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรค เทียบกับดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกหนึ่ง เขาไม่อยากถูกคัดออกตอนนี้มากกว่า


ไกลออกไป หลินสวินได้เห็นภาพนี้ก็อดลอบถอนใจไม่ได้ว่าตนคาดเดาไว้ถูกต้อง


“ทีนี้ก็ไสหัวไปซะ ข้าจะทำเป็นไม่เห็น”


หลินสวินเงาร่างไหววูบและมาปรากฏตัวในที่นั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน แล้วเริ่ม ‘ส่งแขก’


เทพมารหลิน!


ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นตื่นตระหนก สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อกี้พวกเขาเห็นกับตาว่าหลินสวินจากไปเพียงลำพัง จะคิดได้อย่างไรว่าเขาจะกลับมาอีกแล้ว


ส่วนเนี่ยอี้อันที่เดิมเตรียมจะยอมแพ้ไม่ดิ้นรนก็อึ้งงันเหมือนทำใจเชื่อได้ยากในคราวแรก จากนั้นถึงยินดีปรีดา สั่นระริกไปทั้งกาย


ในที่สุด ความรู้สึกทั้งหมดนี้ล้วนแปรสภาพเป็นความซาบซึ้งจากใจ


เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มอบวาสนาให้ตนจะเป็นหลินสวิน และผู้ที่ลุกขึ้นช่วยเหลือตนก็ยังเป็นหลินสวินด้วย!


เวลานี้ต่อให้หลินสวินให้เขาไปบุกน้ำลุยไฟ ก็เกรงว่าเขาจะไม่นิ่วหน้าแม้สักนิดแล้ว


“เทพมารหลิน นี่เป็นเรื่องของพวกเรา เจ้าอย่ามายุ่งจะดีที่สุด”


“อย่าคิดว่าพลังเจ้าแกร่งกล้าแล้วพวกข้าจะกลัวเจ้า ที่นี่มีสหายยุทธ์อยู่มากมาย เจ้าคิดว่าลำพังเจ้าคนเดียวจะรับมือไหวหรือ”


ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นเอ่ยปากพลางยิ้มเหี้ยม พวกเขาไม่ยอมรามือเท่านี้


ชิ้ง!


ดาบหักที่เจิดจ้าราวหิมะดุจดั่งภาพมายาเพ้อฝันโฉบออกมาทันใด วนรอบกายหลินสวิน เจตดาบที่น่ากลัวแผ่กระจาย ฉีกห้วงอากาศออกเป็นรอยแยกน่าตื่นตระหนกสายแล้วสายเล่า


“ข้าจะพูดอีกครั้ง ไสหัวไปซะ” หลินสวินสีหน้าเย็นชา แค่เหล่าผู้กล้าสิบกว่าคนเท่านั้น ไม่อาจข่มขู่เขาได้เลย


“เทพมารหลิน เจ้าไปล่วงเกินผู้กล้าที่โดดเด่นแห่งยุคมากมายขนาดนั้น สถานการณ์ก็ไม่ดีนานแล้ว เคราะห์ใหญ่กำลังจะมาถึงตัวอยู่ก่อนแล้ว หรือตอนนี้ยังคิดจะผิดใจกับพวกเราโดยสิ้นเชิงอีกหรือ”


บางคนสีหน้าถมึงทึง ตะคอกออกมาว่า “อย่าลืมล่ะ ในแดนฐิติประจิมนี้เจ้าหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีสำนักเก่าแก่เป็นที่พึ่ง ทั้งยังไม่มีตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง หากเจ้าล่วงเกินพวกเรา เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าจะรับผลลัพธ์ไว้ไม่ไหวแน่”


“ใช่แล้ว ผู้ฝึกปราณที่มาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งอย่างเจ้า ข้าขอเตือนให้เจ้าอ่อนน้อมลงหน่อย ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาสักนิด หาไม่แล้วจะตายโดยไม่รู้ตัว!”


“อีกอย่าง ในแดนลับนี้เจ้าก็ฆ่าพวกเราไม่ได้ กลับจะเป็นการล่วงเกินพวกเราอย่างสมบูรณ์เพราะสู้กับพวกเรา เจ้าคิดว่าเช่นนี้คุ้มหรือ”


ในใจผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างหวั่นกลัวหลินสวิน แต่พวกเขาย่อมมีที่พึ่ง นำฐานะและภูมิหลังมาข่มขู่ หมายจะทำให้เขายอมถอย


“พวกสวะ”


ริมฝีปากหลินสวินพ่นคำนี้ออกมาเบาๆ


สวบ!


แทบจะในเวลาเดียวกัน ดาบหักก็โฉบออกไปดุจลำแสงจากบรรพกาลโฉบเคลื่อน เปล่งประกายน่าตื่นตาไปทั่ว


จากนั้นภาพประหลาดก็บังเกิดขึ้น ดาบหักเพิ่งจู่โจม ก็เห็นว่าห้วงอากาศห่างออกไปจู่ๆ ก็เกิดคลื่นยักษ์ระลอกแล้วระลอกเล่า พัดเอาผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าไปด้วย!


เนี่ยอี้อันสูดหายใจหนาวสะท้านดังเฮือก ตกใจอยู่เช่นนั้น


การต่อสู้เช่นนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว หลินสวินเพิ่งโจมตีครั้งเดียว ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงข้ามเหล่านั้นถึงกับไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกเคลื่อนย้ายจากไปแล้ว!


นี่หมายความว่าอย่างไร


ก็หมายความว่าอานุภาพการโจมตีของหลินสวินนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ยามฟันออกไปจริงๆ ไม่มีผู้ใดในที่นั้นสามารถตั้งรับไว้ได้ ทั้งยังจะชี้เป็นชี้ตายได้ในชั่วพริบตา!


ไม่เช่นนั้นพลังกฎเกณฑ์ของแดนลี้ลับนี้คงจะไม่สำแดงฤทธิ์ ทำให้ผู้แข็งแกร่งถูกคัดออกจากการทดสอบไปทีละคน!


ในขณะเดียวกันหลินสวินก็นิ่วหน้า พลังของแดนลี้ลับนี้เหนือธรรมชาติเกินไป เหมือนมีสติปัญญารับรู้อยู่ทั่วไปหมด ไม่ยินยอมให้ความตายเกิดขึ้นเด็ดขาด


เห็นเช่นนี้หลินสวินก็เก็บดาบหักทันที ไม่ลองเชิงอีก


ส่วนผู้แข็งแกร่งห้าหกคนที่ยังอยู่ในที่นั้นไม่ถูกคัดออก โชคดีพ้นเคราะห์ไปครั้งหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาตกใจจนทื่อทึ่ม ทั้งร่างสั่นระริก ท่าทางอกสั่นขวัญแขวนเหมือนต้องมนต์


หลินสวินไม่ใส่ใจคนเหล่านี้อีก จากไปกับเนี่ยอี้อัน กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ถึงบอกลาฝ่ายหลัง


“หลินสวิน ข้า… ขอบคุณนะ” เนี่ยอี้อันพูดตะกุกตะกักอยู่บ้าง


“เจ้าระวังตัวหน่อยนะ”


หลินสวินยิ้มให้แล้วหันกายจากไป



สามวันผ่านไป


ในส่วนลึกของชั้นน้ำแข็งที่มีลมหิมะปกคลุม หลินสวินลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิ


เขายื่นมือใหญ่ขาวสะอาดเรียวยาวออกไปกดชั้นน้ำแข็งที่อยู่บนหัวเบาๆ


โครม!


บริเวณฝ่ามือ ดวงไฟดวงแล้วดวงเล่าระเบิดออกราวกับดาราเพลิงดารดาษ เกิดเป็นพลังเผาผลาญที่น่ากลัว


ชั้นน้ำแข็งถึงสามพันจั้งถูกเผาผลาญกลายเป็นโพรงยักษ์ ทะลุขึ้นไปถึงพื้นดินในชั่วพริบตา!


นี่ก็คือมรดกวิชามรรคที่เขาได้รับจากดอกบัวเพลิงเก้ากลีบ… ‘ธารดาราหลอมเพลิง’!


วิชามรรคล้ำเลิศที่อานุภาพไพศาล พลังทำลายล้างน่าตื่นตะลึงวิชาหนึ่ง!


‘น่ากลัวดังคาด หากสำแดงพลังทั้งหมด พลังทำลายล้างระดับนี้คงปกคลุมฟ้าดิน ใช้ในยามจู่โจมเป็นกลุ่ม สามารถทำให้เกิดการโจมตีถึงชีวิตที่ไม่อาจคาดคะเนได้…’


ในใจหลินสวินอดตื่นตะลึงไม่ได้อยู่บ้าง


นี่ก็คือวิชามรรค!


พลังที่ผสานวิชาและมรรค อานุภาพไร้ที่สิ้นสุด สามารถเผาบรรพตต้มสมุทร หลอมสรรพสิ่งในจักรวาลได้อย่างแท้จริง!


ที่น่าตระหนกก็คือ ความเร้นลับที่อยู่ในธารดาราหลอมเพลิงก็ไม่ด้อยไปกว่ามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรกับเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์


‘นี่เป็นเพียงวาสนาที่ได้รับจากบททดสอบด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรคเท่านั้น ก็น่าตื่นตะลึงเช่นนี้แล้ว ไม่กล้าคิดเลยว่าบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่อยู่หลังบททดสอบห้าด่านนี้ต้นนั้น จะมีมหาวาสนาสะท้านโลกาเช่นใดซ่อนอยู่’


หลินสวินพึมพำในใจ


ทว่าสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เก็บเกี่ยวได้ในคราวนี้ ไม่ได้มีเพียงวิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยวิชามรรคนี้ ทำให้เขาหยั่งถึง ‘ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟ’ แล้ว!


ไฟ หนึ่งในธาตุทั้งห้า ทั้งเป็นมหามรรคที่อหังการโจษจันที่สุดในฟ้าดิน พลังของมันรุนแรงและเหิมเกริม พลังทำลายล้างน่าตระหนก


‘เวลาสามวันก็ทำให้เราหยั่งถึงถึงแก่นอัศจรรย์ของท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟ พลังของวิชามรรคชั้นเลิศนี้ช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้ว’


ตัวหลินสวินเองออกจะทำใจเชื่อได้ยากอยู่บ้าง


ที่ต้องรู้ก็คือ ยามเขาหยั่งรู้ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำนั้นเสียเวลาไปมาก กระทั่งก่อนทะลวงระดับกระบวนแปรจุติถึงได้บรรลุถึงเจตจำนงแห่งมรรคได้


แต่ตอนนี้ เพียงแค่วิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่งก็ทำให้เขาหยั่งถึงระดับ ‘ท่วงทำนอง’ แห่งมรรคธาตุไฟได้ นี่ดูน่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย!


ในฟ้าดินแห่งนี้ มหามรรคมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ ‘มหามรรค’ ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปกลับมีไม่มาก


ภายในนั้น มหามรรคเก้าสายอย่างปัญจธาตุ หยินหยาง และวาโยอสนีเหล่านี้ ถูกผู้ฝึกปราณในโลกยกให้เป็นมหามรรค ‘ขั้นหนึ่ง’ ที่แท้จริง


ทั้งยังถูกขนานนามว่าเป็น ‘เก้ามรรคขั้นหนึ่ง’


นอกจากนี้ ยังมีมหามรรคที่จัดเป็นพวกขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสี่… อีก แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน พลานุภาพและแก่นอัศจรรย์ไม่อาจเทียบ ‘เก้ามรรคขั้นหนึ่ง’ ได้เลย


ส่วนมรรคจำพวกมรรคกระบี่ มรรคดาบ มรรคสังหาร มรรคผลาญทำลาย ถือว่าอยู่ในขอบเขตของวิถียุทธ์ เป็นการควบคุมพลังมหามรรคอย่างหนึ่ง


หลินสวินเคยได้ยินมาก่อนว่า เหนือมหามรรคขั้นหนึ่ง ยังมีพลังมหามรรคที่ชื่อว่า ‘ขั้นสูงสุด’ อยู่


แต่ว่าพลังมหามรรคขั้นสูงสุดมีเพียงอริยะที่แท้จริงถึงสามารถหยั่งรู้และควบคุมได้ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าอริยะไม่สามารถไปถึงขั้นสูงสุดได้!


‘ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยิ่งมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณครอบครองมีมากเท่าไร พลังต่อสู้ที่สามารถสำแดงออกมาก็ยิ่งแข็งกล้าเท่านั้น กระทั่งสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ได้หลายเท่า เช่นเดียวกัน ยิ่งหยั่งรู้มหามรรคได้ลึกล้ำ ก็ยิ่งส่งเสริมการสำแดงพลังต่อสู้’


‘ตอนนี้ข้าหยั่งถึงเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำและท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟแล้ว เท่ากับว่าเมื่อเทียบกับแต่ก่อนพลังต่อสู้พัฒนาขึ้นอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังไม่พออยู่มาก’


‘ได้ยินว่าในยุคบรรพกาล ผู้โดดเด่นแห่งยุคบางคนสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศ ใช้พลังหยินหยาง ครอบครองความเร้นลับมหามรรคมากมาย พลังแข็งกล้าอย่างเหลือเชื่อ’


‘ถ้าข้าคิดจะทะลวงหนทางในอดีต เดินไปบนมรรคาเส้นใหม่ ก็ต้องมุ่งหน้าค้นหาและสืบเสาะในเส้นทางสายนี้’


‘คิดจะเป็นราชันสังสารวัฏมกุฎมรรคา… ที่ต้องต่อสู้แย่งชิงไม่ใช่แค่วาสนามหาโลกา ยังต้องสู้กับภูมิหลังและพลังของตัวเองด้วย!’


ดวงตาสีดำของหลินสวินวาวโรจน์ ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟทำให้เขาเหมือนได้มองทะลุอาณาเขตใหม่ เหมือนดั่งเปิดประตูใหญ่บานใหม่บานหนึ่ง รู้สึกสดชื่นในทันใด ตื่นรู้ขึ้นโดยพลัน


นี่ก็คือข้อเสียในการฝึกปราณด้วยตัวเอง ทั้งหมดต้องค้นหาสืบเสาะด้วยตัวเอง ไม่เหมือนผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้น ไม่ต้องค้นหาก็ได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสในสำนัก


ทว่ามีดีย่อมมีเสีย หลินสวินสืบเสาะค้นหาด้วยตัวเอง เท่ากับข้ามกฎเกณฑ์ไปมากมาย สามารถไล่ตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างใจกล้า ค้นหามรรคาที่เหมาะกับตนที่สุด


ส่วนผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้น แม้กล่าวว่ามีผู้อาวุโสในสำนักชี้แนะ แต่การชี้แนะเช่นนี้ก็มีกฎเกณฑ์และข้อจำกัด พาให้พวกเขาทำได้เพียงสืบทอดและตามรอยเดิมของผู้อาวุโสในสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย!


ตามรอยเดิม พยายามทั้งชีวิตก็ทำได้เพียงประสบความสำเร็จอย่างที่คนโบราณเคยทำได้เท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินต้องการ


มรรคาของเขา ต้องเหนือกว่าอริยะชั้นยอดแห่งบรรพกาล เดินบนมหามรรคที่เป็นของตน!


ฟุ่บ!


เงาร่างหลินสวินไหววูบ หายตัวแล้วพุ่งไปยังพื้นดิน


ลมหิมะตลบอบอวล ฟ้าดินยังคงเวิ้งว้างเหมือนเดิม เวลาผ่านไปแล้วสามวัน ขอเพียงไม่ถูกคัดออกในช่วงสี่วันที่เหลือก็เท่ากับผ่านการทดสอบด่านแรกอย่างราบรื่น


‘ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเยวี่ยเจี้ยนหมิงตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว…’


ในมือหลินสวินยังมีดอกบัวเพลิงแปดกลีบอีกสองดอก คิดจะมอบให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงและไป่เฟิงหลิวคนละดอก ที่เขาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคได้ก็เพราะเยวี่ยเจี้ยนหมิงช่วยเหลือ


เช่นเดียวกัน หากไม่มีไป่เฟิงหลิว เขาก็จะไม่รู้ความลับเกี่ยวกับเทศกาลโคมกถามรรคมากมาย มีคุณต้องทดแทน เป็นหนึ่งในนิสัยที่หลินสวินยึดถือมาตลอด


พูดถึงดอกบัวเพลิงแปดกลีบสองดอกนี้ วิชามรรคที่ซ่อนอยู่ภายในก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เรียกได้ว่ามีคุณภาพชั้นยอดในโลกยุคปัจจุบัน


สิ่งเดียวที่ต่างจากดอกบัวเพลิงเก้ากลีบอาจจะอยู่ที่ วิชามรรคที่ซ่อนอยู่ในดอกบัวเพลิงสองดอกนี้ไม่มีมรดกพลังมหามรรค


ไม่เหมือนอย่างดอกที่หลินสวินหลอม ตอนที่หลินสวินครอบครองวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิง ยังสามารถหยั่งรู้ท่วงทำนองแห่งมรรคส่วนหนึ่งของมหามรรคแห่งไฟได้ด้วย


นี่ก็คือสิ่งที่มหัศจรรย์ของวิชามรรคชั้นยอด ย่อมเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน!


‘ช่างเถอะ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรีบเก็บผลึกวิญญาณเจตะกับโอสถวิญญาณเจตะไว้มากๆ ในช่วงสี่วันที่เหลือนี้’


หลินสวินสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจ


สวบ!


ครู่ต่อมา เงาร่างสูงโปร่งของเขาก็หายลับไปในลมหิมะไร้ขอบเขต


ตอนที่ 871 โจรกินโจร

เวลาสี่วันผ่านไปในชั่วพริบตา


ลมหิมะตลบอบอวล เหนือพื้นที่มีชั้นน้ำแข็งหนาแน่นธารหินหนืดสีแดงเพลิงสายหนึ่งไหลคดเคี้ยว กระแสหินหนืดแสบตาพลุ่งพล่าน ส่งเสียงคำรามราวฟ้าร้อง


โครม!


นกกระเรียนยักษ์ปีกเพลิงตัวหนึ่งกรงเล็บคมราวดาบ แผ่รังสีเพลิงน่าหวาดหวั่นออกมา ฉีกห้วงอากาศออกเป็นรอยแยกตรงแน่วเส้นแล้วเส้นเล่า


พลังของมันน่ากริ่งเกรงนัก เหมือนสามารถประชันกับเหล่าผู้กล้าระดับกระบวนแปรจุติได้


เพียงแต่คราวนี้มันโชคร้ายมาพบกับหลินสวินเข้า


พรึ่บ!


เพียงครู่เดียวหลินสวินก็สำแดงวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิง ชั่วพริบตาก็เหมือนมีธารดาราที่ลุกโหมแผ่กระจายทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน กระเรียนปีกเพลิงตัวนั้นหลบไม่ทันถูกกลบอยู่ภายในนั้น ตายคาที่


ซ่า! ร่างของมันแปรสภาพเป็นละอองแสงสีแดงเพลิงลอยละล่อง ในขณะเดียวกันก็มีแหล่งผลึกเจตะเปล่งประกายราวเพชรเพลิงชิ้นหนึ่งตกลงมา


หลินสวินยื่นมือไปรับแล้วเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ


จากนั้นเขาก็ไม่หยุดพัก แต่เดินหน้าต่อไปตามธารหินหนืดสายนี้ ชุดสีขาวพระจันทร์ปลิวไสวกลางลมหิมะดับพึบพับ สง่างามโดดเด่น


……


ในช่วงเวลาสี่วันนี้ หลินสวินเดินไปมาทั่วดินแดนลับหิมะน้ำแข็งแห่งนี้ แม้ตลอดทางจะพบอันตรายไม่น้อย แต่ก็ถูกเขาคลี่คลายไปได้อย่างปลอดภัย


‘เก็บแหล่งผลึกเจตะได้สามสิบเก้าชิ้นแล้ว ขอเพียงหลอมพวกมันก็น่าจะสามารถเลื่อนขั้นพลังปราณเป็นระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางได้’


หลินสวินเดินหน้าไปพลางครุ่นคิด


‘น่าเสียดาย นอกจากเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงลูกนั้น ก็หาที่ที่มีโอสถวิญญาณเจตะขึ้นอีกไม่เจอ…’


ในช่วงหลายวันนี้หลินสวินหาโอสถวิญญาณเจตะอยู่เสมอ แต่ตลอดทางกลับไม่ได้เลยสักชิ้น


เดิมทีเขายังคิดจะกลับไปเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงลูกนั้นใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อวานซืนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ทำให้เขาน้ำแข็งปทุมเพลิงลูกนั้นหายเข้ากลีบเมฆ


ตามที่ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งซึ่งบังเอิญเจอระหว่างทางแพร่งพราย ตั้งแต่หลินสวินเด็ดดอกบัวเพลิงเก้ากลีบมาได้แล้วจากไป เขาน้ำแข็งปทุมเพลิงลูกนั้นก็ไม่มีดอกบัวเพลิงเก้ากลีบดอกที่สองปรากฏขึ้นอีก


นี่ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่า วาสนาที่ว่าก็มีจำนวนจำกัด ร่อยหรอหาใดเทียบ และไม่ใช่ใครจะได้รับง่ายๆ


วิ้ง!


ไกลออกไป จู่ๆ คลื่นอากาศดังแสบแก้วหูระลอกหนึ่งก็กระจายออกมาดึงดูดความสนใจของหลินสวิน


เขาเข้าไปใกล้ ก็เห็นเข้าพอดีว่ามีหนุ่มสาวสี่คนส่งเสียงคำรามดาลเดือดไม่พอใจ ถูกเคลื่อนย้ายพาตัวไป ชั่วพริบตาก็หายลับไปจากสายตา


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกคัดออกแล้ว


ส่วนสิ่งที่กำราบพวกเขากลับเป็นค้างคาวที่แปรสภาพมาจากหิมะน้ำแข็งฝูงหนึ่ง แต่ละตัวขนาดเท่าหินโม่ นัยน์ตาแดงฉาน เขี้ยวขาวราวหิมะ มีพลังเทียบได้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ


ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พวกมันปรากฏตัวเป็นฝูง คำรามก้องฟ้าดิน กระจัดกระจายทั่วทุกที่ ดุร้ายหาใดเทียบ


แม้แต่หลินสวินก็ไม่อยากยุ่งกับพวกมัน มีมากเกินไปแล้ว ฆ่าอย่างไรก็ไม่หมด


‘มีผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งถูกคัดออกแล้ว…’


หลินสวินไม่ได้ทอดถอนใจอะไร หลังจากหลบค้างคาวหิมะน้ำแข็งฝูงนั้น เขาก็เดินไปตามธารหินหนืดสายนั้นต่อ


ในช่วงเวลาสี่วันนี้ เขาได้เห็นเหตุการณ์มากมาย มีคนถูกคัดออกจากบททดสอบตลอดเวลา เห็นจนชาชินมานานแล้ว


ทว่าอัตราการคัดออกที่น่าตื่นตระหนกเช่นนี้ ก็ยังทำให้หลินสวินใจหายอยู่ดี


นี่เพิ่งเป็นบททดสอบด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรคเท่านั้น ก็มีเหล่าผู้กล้าที่มาจากทั่วสารทิศของแดนฐิติประจิมมากมายขนาดนี้ถูกคัดออก แค่คิดก็รู้ว่า หากคิดจะผ่านบททดสอบทุกด่านอย่างราบรื่น และไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณในที่สุด ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน!


หืม?


ท่ามกลางลมหิมะ จู่ๆ หลินสวินก็หยุดเดิน เหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง


แต่ไม่นานนักเขาก็เดินหน้าต่อด้วยสีหน้าไม่หวั่นไหว


โครม!


ทว่าเพียงชั่วอึดใจ บนผืนน้ำแข็งที่ห่างจากเขาไปสิบกว่าจั้งพลันระเบิดกระจุย มีรังสีเย็นเยียบแสบตาสายหนึ่งพุ่งออกมา แทงตรงมาที่หลินสวินราวสายฟ้าแลบ


“ฆ่า!”


แทบจะในเวลาเดียวกัน ทิศอื่นที่อยู่ใกล้กันก็เกิดเรื่องทำนองเดียวกัน การจู่โจมน่าหวาดหวั่นสายแล้วสายเล่าปล่อยรัศมีเทพช่วงโชติออกมาล้อมโจมตีหลินสวินจากทิศต่างๆ


รวดเร็วเกินไปแล้ว!


ทุกอย่างนี้สิ้นสุดลงในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไตร่ตรองไว้นานแล้วครั้งหนึ่ง


หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เผชิญการล้อมโจมตีที่โผล่มาโดยกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่ทันได้ตอบโต้


แต่หลินสวินเหมือนคาดการณ์ทุกอย่างนี้ไว้ก่อนแล้ว ก่อนที่การสังหารจะเกิดขึ้น เขาก็ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างหายลับไปจากที่เดิมทันที


โครม!


การจู่โจมทั้งมวลล้มเหลว จุดที่หลินสวินยืนอยู่เดิมถูกระเบิดเป็นโกรกธารมหึมาขนาดราวพันจั้ง เศษน้ำแข็งปลิวว่อน ฟ้าดินสั่นไหวเพราะการโจมตีนี้


“หืม? แล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะ”


“เวรเอ๊ย เหยื่อหายไปแล้ว”


“ออกจะชอบกลนะ ทุกคนระวังตัว!”


เสียงฉงนดังขึ้นแถวนั้น เงาร่างหนุ่มสาวแต่ละคนปรากฏขึ้นกลางลมหิมะ ทอดตามองไปโดยรอบกลับหาร่องรอยใดของเป้าหมายไม่พบ


“ปาหี่ฆ่าคนปล้นสมบัติอีกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่ง ทิ้งสมบัติที่เก็บสะสมไว้กับตัวพวกเจ้า ข้าก็จะปล่อยผ่านไป”


กลางฟ้าดินไพศาล เสียงของหลินสวินดังขึ้น แม้วาจาจะเรียบเฉยแต่กลับประหนึ่งอสนีบาต ทำให้หนุ่มสาวเหล่านั้นล้วนตัวแข็งทื่อหน้าเปลี่ยนสี


สวบๆๆ!


พวกเขาไม่ลังเลแต่อย่างใด เลือกหลบหนีไปตามทิศต่างๆ ตามจิตใต้สำนึก


“ดูท่า คงทำได้แค่ส่งพวกเจ้าออกจากการทดสอบเสียแล้ว”


เสียงทอดถอนใจดังขึ้นท่ามกลางฟ้าดิน


ฟึ่บ!


ชายหนุ่มที่กำลังหลบหนีคนหนึ่งไม่ทันได้โต้ตอบ ก็ถูกรัศมีเทพเปลวเพลิงสายหนึ่งปกคลุมไปทั้งร่าง ได้รับบาดเจ็บสาหัส


“ไม่นะ…!”


เขาตะโกนอย่างตกใจระคนเดือดดาล แต่สายไปแล้ว รอยฝ่ามือหนึ่งปรากฏขึ้น กดกำราบตัวเขาลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง กระดูกแตกหัก กระอักเลือดทางจมูกและปาก


อีกด้านหนึ่งหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งเห็นภาพนี้เข้าพอดี อกสั่นขวัญแขวนจนหัวชาหนึบ อ้าปากกำลังจะร้องเสียงแหลม แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งที่คอ ภาพตรงหน้ามืดดับไป ล้มลงดังปึงกับพื้น


ภาพทำนองนี้เกิดขึ้นในที่ต่างๆ กัน


ผู้แข็งแกร่งบางคนหนีไปไกลลิบ แต่สุดท้ายก็ยังถูกตามทันแล้วเล่นงานจนมึนงงตกลงไปกับพื้น จากนั้นก็ถูกหลินสวินหิ้วกลับไป


ผู้แข็งแกร่งบางคนอ้อนวอนขอชีวิต แต่ยังคงถูกเขาทำร้ายจนสลบเหมือด


สุดท้ายมีคนเป็นสลบไปทั้งสิ้นเจ็ดคน ถูกหลินสวินจับตัวไปวางกองไว้ด้วยกัน


“ไม่ช่วงชิงวาสนาดีๆ แต่มาลอบโจมตีเพื่อชิงสมบัติจากคนอื่น จิตใจของคนอย่างพวกเจ้าชั่วร้ายเสียจริง”


หลินสวินเอ่ยพึมพำ


แม้จะพูดเช่นนี้แต่เขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเชื่องช้า มือเท้าเริ่มกวาดทรัพย์หลังศึกอย่างว่องไว เชี่ยวชาญคุ้นเคยอย่างยิ่ง


ผู้ชายถูกถอดชุดจนเหลือแต่กางเกงชั้นในตัวเดียว นอนกระจัดกระจายบนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งด้วยร่างเปลือยเปล่า


ส่วนผู้หญิงดีกว่าหน่อย ยังมีเสื้อผ้าคลุมกายชั้นหนึ่ง เพียงแต่สภาพของพวกนางก็ไม่ต่างกัน ไม่มีใครโชคดีเล็ดรอดไปได้


เพียงครู่เดียว หลินสวินก็เก็บรวบรวมแหล่งผลึกเจตะได้เก้าก้อน รวมถึงยาลูกกลอนและโอสถวิญญาณหายากบางชนิด


ไม่อาจไม่พูดถึง ชายหญิงเหล่านี้สมกับเป็นเหล่าผู้กล้าจากสำนักเก่าแก่ต่างๆ ภูมิหลังครอบครัวเรียกได้ว่าร่ำรวย


ไม่เพียงมีแกนวิญญาณจำนวนมาก ยังมีสมบัติและของล้ำค่านานาชนิด กระทั่งยังมีคัมภีร์และวิชายุทธ์หลายอย่าง


แต่หลินสวินไม่ได้เก็บของเหล่านี้ไป เอาไปเพียงแหล่งผลึกเจตะ สมุนไพรชั้นดีและลูกกลอนวิญญาณเท่านั้น ของอื่นๆ ล้วนทิ้งไว้ให้พวกเขา


ช่วยไม่ได้ เจ้าพวกนี้ต่างเป็นผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่ ไม่แน่ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสในสำนักของพวกเขาก็รออยู่นอกเขาพยับคราม หลินสวินก็ไม่คิดจะทำอะไรรุนแรงมากนัก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็น ‘ศัตรูของทุกคน’ จากสำนักใหญ่ต่างๆ ในแดนฐิติประจิม


เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น เขาก็ทิ้งม้วนอักษรหยกม้วนหนึ่งไว้ที่เดิม จากนั้นก็ย่างเท้าจากไป


ช่วงสี่วันนี้เขาได้ประสบกับการ ‘ลอบจู่โจม’ เหมือนเมื่อกี้หลายครั้ง แต่ล้วนถูกเขาเล่นงานกลับเป็น ‘โจรกินโจร’


ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าพวกนั้นมีตาหามีแววไม่ มาชิงสมบัติของใครไม่ชิง ดันจะมาชิงของเทพมารหลิน นี่ก็ช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียจริง


……


เฮือก!


และไม่นานหลังหลินสวินจากไป ในที่ไกลลิบก็มีเสียงสูดหายใจเยียบเย็นดังขึ้น ชายอ้วนคนหนึ่งในชุดนักพรต ผมเกล้าเป็นมวย หัวเหลี่ยมหูโต ท่าทางน่าเกรงขามวิ่งอุตลุดออกมาจากชั้นน้ำแข็ง


เพียงแต่ตอนนี้เนื้ออิ่มเอิบบนแก้มเขากลับกระตุกอย่างแรง ปากก็พึมพำว่า “พุทโธ่พุทถัง เจ้าเด็กนี่ก็โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ดูปราดเดียวก็รู้ว่าใช้วิธีโจรกินโจรเป็นประจำ ฝีมือปล้นทรัพย์เช่นนี้จะประชันกับข้าได้แล้ว…”


ยามพูดจาเขาถือแส้หางม้าสีขาวโพลน แขนเสื้อใหญ่ปลิวไสว เยื้องย่างมาถึงหน้ากองหนุ่มสาวที่ถูกหลินสวินเล่นงานจนสลบเหมือดกลุ่มนั้น


“โอ้ๆ ไม่เลวนี่ ยังเหลือสมบัติไม่น้อย เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์จริง เห็นได้ชัดว่ากังวลว่าจะถูกคนใหญ่คนโตกับขุมอำนาจใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าพวกนี้เอาคืน”


นักพรตอ้วนเดาะลิ้นอย่างประหลาดใจ เขายื่นมือไปหยิบม้วนอักษรหยกที่หลินสวินทิ้งไว้บนพื้น สังเกตเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าพลันประหลาดนัก


ด้านบนเพียงเขียนไว้ประโยคเดียว ‘ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการลงโทษพวกเจ้าครั้งหนึ่ง หากกล้าคิดมาเล่นงานข้าซาหลิวฉาน ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!’


ซาหลิวฉานหรือ


นายท่านซาบ้านเจ้าสิ!


นี่เป็นการป้ายความผิดให้ซาหลิวฉานนะ!


นักพรตอ้วนลอบสบถในใจ เจ้าเด็กนั่นชั่วร้ายไปแล้ว ไม่เพียงเก่งเรื่องโจรกินโจร เห็นได้ชัดว่ายังเชี่ยวชาญเรื่องใส่ร้ายป้ายสีด้วย!


จากนั้นดวงตาของเขาก็กลิ้งกลอก หัวเราะขึ้นกะทันหันว่า “เหอะๆ ข้าเหมือนจะทายได้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร ชิชะ เพียงแต่ใครจะไปคิดว่าเทพมารหลินที่กล้าหาญเกินคน เหิมเกริมไม่หวั่นกลัวก็เล่นสกปรกแบบนี้เป็นด้วย”


“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ รอข้ามีโอกาสก็จะเล่นกับเจ้าสักหน่อย ให้เจ้าได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นปรมาจารย์มหาโจร แน่นอนว่าที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ดูว่าจะมีสมบัติอริยะซ่อนอยู่กับตัวหรือไม่กันแน่…”


นักพรตอ้วนรู้สึกคันไม้คันมือทันใด


……


ห่างออกไปนอกร้อยลี้ จู่ๆ หลินสวินก็นิ่วหน้า หันหน้าไปมองข้างหลังครั้งหนึ่ง เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนพลาดอะไรบางอย่างไป


สุดท้ายเขาก็ส่ายหัว ไม่สนใจอีกแล้วเดินหน้าต่อไป


สายัณห์มาเยือน


ไม่นานนักรัตติกาลก็มาถึง หลินสวินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วก็เห็นว่าเหนือเวิ้งฟ้าพลันปรากฏวังน้ำวนใหญ่ยักษ์รูปกระบวยคว่ำวงหนึ่ง ส่งเสียงคำรนสะท้านแสบแก้วหู


ในขณะเดียวกัน แรงดูดน่าหวาดหวั่นที่ไม่อาจต้านทานได้ก็ผุดขึ้น ทำให้เขาไม่อาจดิ้นรนได้ ถูกดูดม้วนเข้าไปในส่วนลึกของวังน้ำวนนั้น


‘บททดสอบด่านแรกจบลงเสียที…’ หลินสวินตระหนักรู้ในใจ


ในขณะเดียวกัน วังน้ำวงบนเวิ้งฟ้าแบบเดียวกันนี้ ก็พากันปรากฏขึ้นในที่ต่างๆ ของแดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร นำพาผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าที่เข้าร่วมถกมรรคไปด้วย


ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ไม่เพียงไม่ตื่นตระหนก กลับล้วนโล่งอก จิตใจที่ขมวดเกร็งก็ผ่อนคลายลง


พวกเขารู้ว่าเมื่อบททดสอบด่านแรกจบลง พวกเขาก็มีคุณสมบัติได้เข้าทดสอบด่านที่สองแล้ว!


ส่วนผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีวาสนาได้เข้าทดสอบด่านที่สอง ก่อนหน้านี้ก็ถูกคัดออกไปก่อนแล้ว…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)