Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 862-867

 ตอนที่ 862 แดนลี้ลับหิมะน้ำแข็ง

“โฮก!”


หลินสวินเพิ่งคืนสติกลับมา ยังไม่ทันมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจน เสียงร้องคำรามปานสายฟ้าสนั่นหวั่นไหวสายหนึ่งก็ดังกระหึ่มข้างโสต


พร้อมกันนั้นลมเหม็นคาวตีจมูก ความหนาวเหน็บกรีดกระดูกน่าสะพรึงวูบหนึ่งโหมซัดเข้ามา พาให้หลินสวินแข็งทื่อทั้งร่าง


เสียงสวบดังหนึ่งครา เงาร่างของหลินสวินอันตรธานไปจากตำแหน่งเดิม


โขดหินแตกระเบิด เศษน้ำแข็งปลิวว่อน หลุมขนาดใหญ่มีขอบเขตร้อยจั้งหลุมหนึ่งปรากฏเพิ่มมาบนพื้น เป็นที่น่าสยดสยองยิ่ง


หลินสวินตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมกาย พลังทำลายล้างแข็งแกร่งนัก!


มันเป็นรูปสลักน้ำแข็งมหึมา ปีกสองข้างสยายยาวสิบกว่าจั้ง กรงเล็บแหลมคมดั่งใบมีด แสงวาวหิมะน้ำแข็งราวกับกระจกเคลือบปกคลุมทั่วตัว ดวงตาคู่นั้นของมันก็ราวกับถูกสร้างมาจากการแกะสลักน้ำแข็ง ลำแสงยะเยือกบาดตาพุ่งปราดออกมา


ฉัวะ!


รูปสลักน้ำแข็งแหวกข้ามอากาศ สองปีกประหนึ่งดาบ กรงเล็บแหลมคมวาดออกเบาๆ แสงกระบี่หิมะน้ำแข็งสายหนึ่งทะลวงห้วงอากาศออกมา พร่างพราวบาดตา ปลดปล่อยกลิ่นอายเกรี้ยวกราดหาที่เปรียบไม่ได้ออกมา


หลินสวินโคจรก้าวย่างชือน้ำแข็ง เบี่ยงหลบไกลออกไปอีกครั้ง


บนพื้นดินแถบนั้นถูกฉีกทึ้งเป็นรอยแตกเส้นตรงหนึ่งพันจั้งเต็มๆ ราวกับหั่นเต้าหู้ก็ไม่ปาน กลิ่นอายอันคมกริบนั้นน่ากลัวยิ่งยวด


หลินสวินยิ่งรู้สึกพิศวงมากขึ้นเรื่อยๆ รูปสลักน้ำแข็งมหึมานั้นดุจดั่งปรมาจารย์วิถีกระบี่ผู้หนึ่ง เจตกระบี่ที่ปลดปล่อยออกมานั้นควบแน่น เกรี้ยวกราด ว่องไว เคลือบแฝงกลิ่นอายแคล่วคล่อง ทรงพลังไร้ขีดจำกัด


ยิ่งกว่านั้นเขาสัมผัสได้ว่าเจ้านกปีศาจแปลกประหลาดตัวนี้คล้ายจะไม่มีคลื่นอารมณ์ และปราศจากพลังชีวิต เสมือนเป็นหุ่นเชิดก็ไม่ปาน


แต่สัญชาตญาณการต่อสู้ของมันดันเฉียบแหลมและน่าสะพรึงถึงที่สุด เพียงแค่สองการโจมตีเท่านั้นก็สำแดงพลังต่อสู้น่ากลัวที่มีแต่พวกผ่านร้อยสมรภูมิเท่านั้นจึงจะมี


ฟึ่บๆๆ!


รูปสลักน้ำแข็งซัดโจมตีอีกครั้ง ปีกกางกระพือบ้าคลั่ง เจตกระบี่หิมะน้ำแข็งพันหมื่นสายพุ่งปราดออกมา ครอบฟ้าคลุมดิน ร่วงจากฟากฟ้าลงมาอย่างแน่นขนัด


ภาพนั้นน่ากลัวเกินไป พาให้หลินสวินรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับราชากึ่งระดับอยู่!


ตูม!


เขาโคจรปราณของตน ซัดหมัดออกไปราวกับสายฟ้า สำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ พลังหมัดไร้ขอบเขตเขย่าฟ้าสะเทือนดินอย่างไร้เทียมทาน


การปะทะอันสั่นสะเทือนแก้วหูบังเกิดขึ้นที่นี่ ผืนดินถูกแหวกออก เศษน้ำแข็งที่แตกละเอียดปลิวว่อน ทั่วฟ้าล้วนเต็มไปด้วยพลังหมัด เจตกระบี่ และความหนาวเหน็บบาดกระดูก


“นี่เป็นนกปีศาจตัวหนึ่งเสียที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่าเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญมรดกลับวิชากระบี่!”


นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ไม่กล้าประมาท ส่งเสียงร้องยาวออกมา เงาร่างทะยานขึ้นกลางอากาศ เท้าโคจรก้าวย่างชือน้ำแข็ง ใช้พลังทั้งหมด ไม่กล้าชะล่าใจสักนิด


“ตาย!”


ครู่ใหญ่ให้หลัง พลังหมัดของหลินสวินพร่างพราว เปล่งแสงน่าสะพรึงออกมา ทะลวงห้วงอากาศซัดกระแทกรูปสลักน้ำแข็งเต็มเหนี่ยวในชั่วอึดใจ


เพล้ง!


ภาพที่พาให้ผู้คนอัศจรรย์ใจปรากฏขึ้น รูปสลักน้ำแข็งนั้นประหนึ่งก้อนน้ำแข็ง พังครืนกลายเป็นเศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วน ร่วงโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า


“กลายร่างมาจากหิมะน้ำแข็งเชียว?”


หลินสวินสูดหายใจเฮือก พุ่งไปเบื้องหน้า เก็บเศษน้ำแข็งบางส่วนขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด


สุดท้ายเขาก็สามารถสรุปได้ว่านี่คือหิมะน้ำแข็งที่สุดแสนธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อครู่กลับวิวัฒน์กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งมหึมา ซ้ำยังมีเจตกระบี่ไร้เทียมทานด้วย!


นี่ช่างพาให้ผู้คนตกตะลึงนัก


“เขาพยับครามแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนชั้นยอดในระดับกระบวนแปรจุติอย่างพวกซาหลู่ เกรงว่าก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนกปีศาจตัวนี้เลย…”


สีหน้าหลินสวินเคร่งขรึมเล็กน้อย


เขาทอดสายตากวาดมองรอบบริเวณ ก็เห็นผนึกน้ำแข็งพันลี้ หิมะลอยล่องหมื่นลี้ แม้แต่พื้นดินก็ยังสร้างมาจากชั้นน้ำแข็งหนาเตอะ แวววาวและโปร่งใสทั้งสิ้น


กลางฟ้าดินปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บเสียดกระดูก ขาวโพลนทั้งแถบประดุจโลกหิมะน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ทอดสายตามองไปถึงกับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด


ชิ้ง!


หลินสวินเรียกดาบหักออกมา เงาร่างไหววูบคราหนึ่ง ก็แหวกพื้นน้ำแข็งเจาะลึกลงไป


สิบจั้ง


ร้อยจั้ง


พันจั้ง


……


จนถึงระดับความลึกแปดพันจั้ง ก็ยังคงเป็นชั้นน้ำแข็งหนาเตอะเช่นเดิม ประหนึ่งไม่มีก้นบ่อ


ระยะทางเช่นนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกค่อนข้างเปลืองแรง สุดท้ายก็ไม่อาจไม่ละทิ้งแผนการสำรวจ


‘บททดสอบด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรคคือ ‘แดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร’ จากจุดนี้ ที่นี่น่าจะเป็นโลกลี้ลับแห่งหนึ่ง…’


‘ก็ไม่รู้ว่ามีผู้กล้ากี่คนที่เข้ามาในโลกลี้ลับแห่งนี้เหมือนกับข้า’


หลินสวินยืนปักหลักใคร่ครวญ


ก่อนมาเขาได้ทำความเข้าใจมาจากไป่เฟิงหลิวแล้วว่าเทศกาลโคมกถามรรคมีบททดสอบทั้งสิ้นห้าด่าน แต่ละด่านการทดสอบล้วนเรียกได้ว่าเทพผียากหยั่งถึง ไม่เพียงลำบากอันตราย ซ้ำเปี่ยมด้วยมหัตภัยน่ากลัว หากไม่ระวังก็อาจถูกคัดออก!


ตามคำกล่าวของไป่เฟิงหลิว ในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มา บรรดาผู้กล้าที่เข้าร่วม เก้าในสิบล้วนถูกคัดออกจากบททดสอบห้าด่านกันเสียส่วนใหญ่


หรือกล่าวอีกนัยคือ ผู้กล้าที่สามารถไปถึงเบื้องหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้นในท้ายที่สุด มีเพียงหยิบมือเดียว!


แค่คิดก็รู้ว่าแม้จะเข้าร่วม แต่หากไม่สามารถผ่านบททดสอบห้าด่านที่ขวางกั้นไปได้ สุดท้ายก็จะไม่สามารถช่วงชิงศุภโชคบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้น!


ครืน!


จู่ๆ พื้นหิมะน้ำแข็งละแวกใกล้เคียงก็แตกระเบิด ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหว หิมะน้ำแข็งแตกกระจาย


ปลาที่รวมตัวขึ้นมาจากหิมะน้ำแข็งตัวแล้วตัวเล่าเหินทะยานสู่ห้วงอากาศ ไม่เหมือนกับโลกภายนอก ปลาเหล่านี้ต่างมีความยาวจั้งเศษ เกิดมาพร้อมปีกหิมะน้ำแข็ง สามารถโฉบบินกลางอากาศ น่าอัศจรรย์หาใดเปรียบ


หลินสวินหรี่ตาลง เมื่อครู่นี้พลังจิตวิญญาณของเขาแผ่คลุมรัศมีพันจั้งแถบนี้เอาไว้ แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงสัญญาณใดๆ ทว่ายามนี้พื้นดินแตกเป็นเสี่ยง ปลาปีกหิมะน้ำแข็งพุ่งพรวดออกมาเป็นฝูง!


สวบๆๆ!


พวกมันว่ายวนบนห้วงอากาศ อิสระเสรีมีชีวิตชีวาประดุจแหวกว่ายกลางสมุทร เมื่อมันอ้าปาก ก็ยิงสายฟ้าขาวหิมะบาดตาสายแล้วสายเล่าออกมา พุ่งเข้าปกคลุมหลินสวินอย่างมืดฟ้ามัวดิน


ฉัวะ!


สายฟ้าสีขาวหิมะนั้นเจิดจ้าบาดตา สามารถฉีกทึ้งห้วงอากาศเป็นเสี่ยงๆ อย่างง่ายดาย พลังอำนาจแกร่งกล้า เกือบเทียบได้กับการโจมตีสุดกำลังของมหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติแล้ว


และยามนี้ ปลาปีกหิมะน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานฟ้า ร่ายระบำราวกับกระแสน้ำ สายฟ้าสีขาวหิมะที่ยิงออกมาก็แน่นขนัดนับไม่หวาดไม่ไหว สั่นสะเทือนฟ้าดิน พาให้ผู้คนหนังศีรษะมึนชา


แย่แล้ว!


สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย หมุนตัวโจนหลบโดยไม่มีการลังเลใดๆ ด้วยความรวดเร็ว


ถึงเขาจะไม่ได้กลัวปลาประหลาดเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกปวดหัวและรำคาญใจ เยอะเกินไปแล้ว แม้จะโจมตีสังหารก็จำต้องสิ้นเปลืองพลังไปมากเกินไป


ระหว่างที่ยังไม่รู้จัก ‘แดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร’ แห่งนี้ดีพอ หลินสวินไม่อยากสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงแม้แต่นิดเดียว


เพียงแต่เขาเพิ่งสลัดการโจมตีของปลาประหลาดพวกนี้ไปได้ มุ่งหน้าไปไม่ทันไรก็เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้นอีกครั้ง!


บนเวิ้งนภา พายุหมุนหวีดคำราม หิมะน้ำแข็งร่ายระบำอย่างบ้าคลั่ง ถึงกับกลายร่างเป็นหญิงงามที่สวมชุดคลุมหิมะน้ำแข็ง โบกระบำชายเสื้อคนแล้วคนเล่า


พวกนางกำลังเต้นรำพลิ้วไหวกลางฟ้าดิน เสียงดนตรีบรรเลงโหยหวนดังคล้อยขึ้นมา เจือกลิ่นอายเศร้าโศกที่สะเทือนใจผู้คน


ทอดตามองจากไกลๆ ธิดาน้ำแข็งเต้นรำกลางฟ้าดิน เงาร่างอรชรพลิ้วไหว ดนตรีคลอโศกสะท้าน เห็นได้ชัดว่าน่าพิศวง พาให้ผู้คนขนลุกขนชัน


นี่คือกลุ่มอสูรมารสาวหิมะน้ำแข็ง!


หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบคราหนึ่ง พริบตาที่ได้ยินเสียงเพลงโศกเศร้าหนาวเย็นนั้น จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านไปกับมัน ถูกกลิ่นอายสิ้นหวัง เย็นเยียบ และโศกเศร้าที่ไร้สิ้นสุดซัดโจมตี คล้ายจะลากเขาดิ่งสู่ก้นเหวไร้ขอบเขต จมหายไป ณ ที่แห่งนี้


นี่คือการโจมตีด้วยคลื่นเสียงที่น่าสะพรึงถึงที่สุด เล็งเป้าไว้ที่จิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่ใช่เพราะหลินสวินควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้นานแล้ว เกรงว่าคงหนีไม่พ้นต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน!


“โฮก!”


ริมฝีปากหลินสวินเปล่งเสียงธรรมคลุมเครือออกมาคราหนึ่ง สัตว์เทพผูเหลาตัวหนึ่งปรากฏ แหงนหน้าคำรามสนั่น เสียงสะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน


เสียงคำรามที่ราวกับมีตัวตนกลายร่างเป็นระลอกคลื่นสีทอง หอบม้วนแหวกทั่วฟ้าดินดังสนั่นหวั่นไหว


เพล้งๆๆ!


อสูรมารสาวหิมะน้ำแข็งบางส่วนต้านทานไม่ไหว ร่างแตกเป็นเสี่ยงทันใด ถูกพลังของเสียงคำรามผูเหลาอันน่าสะพรึงบดขยี้ทันควัน


และหลินสวินก็ฉวยจังหวะนี้โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็ง อันตรธานไปจากจุดเดิมในชั่วอึดใจ


……


หนึ่งก้านธูปให้หลัง


สีหน้าหลินสวินยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทางมานี้เขาเจอรูปสลักหิมะน้ำแข็ง ปลาปีกหิมะน้ำแข็ง อสูรมารสาวหิมะน้ำแข็ง ต้นไม้อสูรมารหิมะน้ำแข็ง…


แต่ละอย่างล้วนประหนึ่งบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติ ซ้ำยังเชี่ยวชาญมรดกวิชามหามรรคที่แตกต่างกัน มีทั้งวิชากระบี่ วิชาอสนี วิชาแห่งเสียงเป็นต้น ต่างก็มีอานุภาพยิ่งใหญ่น่าทึ่ง น่าสะพรึงเป็นที่สุด


สิ่งสำคัญที่สุดคือจำนวนของพวกมันเยอะเกินไป ฆ่าฝูงหนึ่งก็โผล่มาอีกฝูงหนึ่ง เสมือนฆ่าไม่สิ้นสุดตลอดกาลอย่างไรอย่างนั้น


“น่ารำคาญซะจริง…”


หลินสวินขมวดคิ้ว


ตามกฎบททดสอบ ขอเพียงยืนหยัดในแดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปรครบกำหนดโดยไม่พ่ายแพ้ ก็สามารถผ่านบททดสอบด่านแรกได้อย่างราบรื่น


แต่หลินสวินรู้สึกสงสัยอย่างมากว่าลำพังแค่บททดสอบด่านแรก ก็อาจทำให้ผู้กล้ามากมายต้องหยุดเท้าอยู่ตรงนี้และถูกกำจัดออกไปก็เป็นได้!


ตอนที่ 863 เพลิงน้ำแข็งสอดประสาน

หิมะน้ำแข็งร่ายระบำขาวโพลนทั้งแถบ ลมมหึมาหวีดคำราม หนาวเหน็บบาดกระดูก


หลินสวินมุ่งหน้าไปตลอดทาง พบกับอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างทาง แต่ล้วนถูกเขาหลบเลี่ยงได้ทันเวลา หนีห่างอย่างรวดเร็ว


อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเกินไปแล้ว นอกจากหิมะน้ำแข็ง แดนลี้ลับแห่งนี้ก็ไม่มีภาพอื่นใดอีก


จู่ๆ เสียงทะลวงห้วงอากาศระลอกหนึ่งดังลอยมาจากในลมหิมะ ลมคลั่งวูบหนึ่งพัดผ่านเหนือหัวหลินสวิน


นี่เป็นชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง บังคับแสงเคลื่อนเจิดจ้า สะดุดตายิ่งยามอยู่กลางโลกแห่งหิมะน้ำแข็งขาวโพลน นี่พาให้หลินสวินรู้สึกประหลาดใจน้อยๆ อย่างอดไม่ได้


เดินทางตั้งนานป่านนี้ นี่คือผู้กล้ากลุ่มแรกที่เขาพบ


ส่วนบรรดาชายหญิงเหล่านั้นยามได้เห็นหลินสวินเดินโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางลมหิมะ ก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย ผุดแววแปลกประหลาดเช่นเดียวกัน


“เจ้าหมอนี่กล้าหาญพอตัวจริงๆ ถึงกับกล้าเดินข้ามแดนเวิ้งว้างหิมะน้ำแข็งเพียงลำพังโดยไม่ได้กำบังซ่อนตัว หรือจะเป็นพวกไร้เทียมทานคนหนึ่ง แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่ยักจำได้ว่ามีคนแบบนี้มาก่อน”


“พวกไร้เทียมทานอะไร มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกน่าสงสารไร้มิตรสหาย ภูมิหลังไม่ยิ่งใหญ่พอก็เท่านั้น อย่าลืมสิ ในแดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปรแห่งนี้ แม้เป็นพวกไร้เทียมทานก็ยังต้องมีคู่หูร่วมเดินทาง ระแวดระวังตัว มีหรือจะใจกล้าบ้าบิ่นอย่างเขา เห็นๆ อยู่ว่าไม่รู้จักความเป็นความตาย!”


ชายหญิงเหล่านั้นกดเสียงเบาพูดคุยกัน


“ไม่จำเป็นเดาแล้ว นี่ก็คือเจ้างั่งที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง ปราศจากมิตรสหาย ได้แต่เดินทางเพียงลำพัง ซ้ำเห็นได้ชัดว่าไม่รู้ถึงความน่ากลัวของแดนลี้ลับแห่งนี้ เดี๋ยวคงจบเห่ไม่ช้าก็เร็ว”


“อีกเดี๋ยวก็จะเข้าใกล้ ‘เขาน้ำแข็งปทุมเพลิง’ หนทางยิ่งอันตรายและน่ากลัว พอดีเลย พวกเราตามหลังคนผู้นี้ไป ปล่อยให้เขาสำรวจเส้นทางแทน เมื่อปรากฏอันตรายอะไรขึ้นจะได้หลบเลี่ยงทันเวลา”


บางคนเสนอเสียงเบา


หลินสวินเหลือบสายตาขึ้นน้อยๆ ชำเลืองมองชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นปราดหนึ่ง สีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง มุ่งหน้าเดินทางต่อไป


ยามที่เข้าสู่แดนลี้ลับหิมะน้ำแข็งแห่งนี้ หลินสวินได้ใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูป เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและรูปลักษณ์ตัวเอง เวลานี้ต่อให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงมาเอง เกรงว่าก็คงมองตัวตนของเขาไม่ออกเช่นกัน


หลินสวินรู้ดียิ่ง เมื่อวานมีคนลอบโหมกระพือข่าว ปล่อยข่าวว่าที่เกี่ยวข้องกับตนออกไป ทำให้ตัวเขากลายเป็นเป้าของทุกคน อยู่ใจกลางพายุ ถูกบรรดาผู้กล้ามากมายหมายหัว เผลอๆ อาจมีพวกใจร้อนบางส่วนมาเล่นงานตนเพื่อช่วงชิงสิ่งที่เรียกว่าสมบัติอริยะและศุภโชคก็เป็นได้


หลินสวินไม่กลัวจะเกิดปัญหา แต่ก็ไม่โง่จนไม่เตรียมการตั้งรับอะไรเลย


เหตุที่ปลอมตัวก็เพราะหมายจะดูเสียหน่อยว่า ในเทศกาลโคมกถามรรคหนนี้มีคนอยากจัดการตนมากเท่าไรกันแน่ และ ‘ตัวการ’ ที่ลอบใส่ไฟอยู่ลับๆ คนนั้นเป็นใคร!


“โฮก!”


เสียงคำรามเหี้ยมโหดบาดหูเสียงหนึ่งดังลอยมาจากระยะไกล ลิงยักษ์สีขาวหิมะทั้งตัวตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากห้วงอากาศ เส้นขนแวววาว ไอชั่วร้ายกร้าวแกร่งแผ่กระจาย ร่างสูงหลายสิบจั้งราวกับภูเขาลูกหนึ่ง ดุร้ายเกรี้ยวกราด


ร่างของมันว่องไวบึกบึน เขี้ยวราวกับใบมีดคมกริบ ดวงตาแดงฉานดั่งเลือดสด ยิงลำแสงสีเลือดน่าสะพรึงออกมา


นี่คือสัตว์ปีศาจกร้าวแกร่งน่ากลัวถึงที่สุดตัวหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์อสูรมารหิมะน้ำแข็งเหล่านั้นที่หลินสวินเคยพบระหว่างก่อนหน้านี้เสียอีก


นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลงน้อยๆ สัมผัสได้ว่าอันตรายอย่างแท้จริงค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้นมาแล้ว


สวบ!


เงาร่างของเขาไหววูบ หลบห่างออกไป อ้อมผ่านอีกด้านหนึ่ง


“โอ๋ มองไม่ออกว่าเจ้างั่งนี่ก็ระวังตัว รู้จักหลบเลี่ยงภัยอันตรายด้วย”


“นี่ปกติมาก ยิ่งเป็นคนพรรค์นี้ก็ยิ่งกลัวตาย อย่างไรเขาก็สามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคได้ ก็ย่อมไม่ใช่พวกธรรมดานัก”


ชายหญิงเหล่านั้นที่ตามหลังหลินสวินมาตลอดทางต่างหัวเราะร่วน ในคำพูดเจือแววล้อเลียน


หืม?


เดิหน้าต่อไปอีกหลายสิบลี้ สีหน้าหลินสวินผุดแววแปลกประหลาดขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ในลมหนาวสะท้านบาดกระดูกหาใดเปรียบนั้น ถึงกับมีกลิ่นคาวเลือดบาดจมูกลอยออกมาเป็นระลอก


ไม่ทันไรหลินสวินก็สัมผัสได้ว่าบนชั้นน้ำแข็งห่างออกไปไกลโพ้น มีควันลอยคลุ้ง มีทั้งเศษขนที่แตกเป็นเสี่ยง ท่อนกระดูกหัก เกล็ดกระจัดกระจาย มีคราบเลือดอยู่บนพื้นหลายจุด


ที่นี่มีการเข่นฆ่ารุนแรงฉากหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง!


หลินสวินรู้สึกหวั่นหวาดในใจ


พร้อมกันนั้นเขาตรวจสอบผ่านจิตรับรู้ ก็เห็นภาพที่ผิดปกติถึงที่สุดภาพหนึ่งทันที


ทะเลสาบหินหนืดแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นบนชั้นน้ำแข็งสีขาวหิมะ โปร่งแสงแดงสด มีอาณาเขตหลายสิบจั้ง หมอกสีขาวขมุกขมัวพวยพุ่งกลางทะเลสาบ เต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถันแสบจมูก


โลกที่ราวกับเป็นหิมะน้ำแข็งถึงกับปรากฏทะเลสาบหินหนืดขึ้นมา แต่ชั้นน้ำแข็งละแวกใกล้เคียงกลับไม่เคยถูกหลอมละลาย ตรงข้ามกลับเหมือนเพลิงน้ำแข็งสอดประสาน กลายเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่ง


‘แดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร… ผันแปร… หรือคำว่าผันแปรก็คือปรากฏการณ์ที่อยู่เบื้องหน้านี้’


หลินสวินจมสู่ภวังค์ความคิด


เขาไม่ได้เข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ ในทันที บริเวณใกล้เคียงทะเลสาบหินหนืดนั้นเพิ่งเกิดศึกนองเลือดรุนแรงขึ้นไม่นาน ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายเสี้ยวหนึ่ง


“เฮ้ เจ้าคนนั้นน่ะ ไปสำรวจก้นทะเลสาบนั่นหน่อยสิ!” ชายหญิงทั้งหมดที่ตามหลังมาก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยเช่นกัน ส่งเสียงตะโกนลั่น คิดจะให้หลินสวินไปเสี่ยงอันตราย


หลินสวินขมวดคิ้ว กวาดมองพวกเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าว “อยากไปก็ไปเอง เลิกแหกปากร้องอยู่ที่นี่”


เขากำลังคาดเดาสภาพการณ์เบื้องหน้า สงสัยว่าสิ่งที่เรียกว่าแดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปรอาจซุกซ่อนนัยอย่างอื่นเอาไว้ เหมือนกับสภาพเบื้องหน้านี้ หิมะน้ำแข็งและหินหนืดสอดประสานเข้าด้วยกัน แต่กลับไม่เคยเกิดการปะทุ สิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าผิดธรรมชาติเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย


ดังคำกล่าวที่ว่าน้ำกับไฟไม่ถูกกัน นี่ก็คือกฎธรรมชาติ


แต่ยามนี้กลับปรากฏความสมดุลแสนประณีตเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่า ‘ผันแปร’ อาจจะเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของ ‘สรรพสิ่งเมื่อถึงขีดสุดแล้วต้องพลิกกลับ’ ก็เป็นได้


และก็เพราะกำลังคาดเดาปริศนาเหล่านี้อยู่ เขาจึงมองข้ามและผรุสวาทใส่ชายหญิงกลุ่มนี้โดยตรง


“ไม่ได้ยินหรือ พูดถึงเจ้าอยู่นะ!”


ชายหญิงเหล่านั้นต่างหน้าเคร่ง ชักไม่สบอารมณ์เข้าแล้ว ในสายตาพวกเขาเด็กหนุ่มคนนี้ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว เรียกได้ว่าอ่อนแอเปราะบาง ซ้ำยังแปลกหน้ายิ่งนัก ไม่เหมือนพวกไร้เทียมทานคนใดๆ ที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย


ดังนั้นจึงคร้านจะเกรงใจ มองหลินสวินเป็นพวกอ่อนแอรังแกง่าย


‘หากมองแดนลี้ลับแห่งนี้เป็นกระบวนสลักวิญญาณรอยหนึ่ง ความหมายของมหาปัญจธาตุผันแปรนี้ อาจจะเป็นการจัดวางพลิกกลับปัญจธาตุอย่างหนึ่ง…’


หลินสวินขบคิด


“รนหาที่ตาย!”


เห็นหลินสวินนิ่งไม่ไหวติง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็แค่นหัวเราะทันที เงื้อมือซัดหนึ่งฝ่ามือออกมา “แสร้งทำบื้อใบ้หูหนวกก็เปล่าประโยชน์ ไม่ไปก็ต้องไป!”


ตูม!


ลมฝ่ามือพร่าวพราวบาดตาพวยพุ่ง ซัดห้วงอากาศกึกก้องราวกับมังกรตัวใหญ่ออกจากหุบเหว หมายจะบีบให้หลินสวินเดินหน้าไปสำรวจ


“ไม่รู้จักดีชั่ว!”


แสงเย็นเยียบวูบผ่านนัยน์ตาดำของหลินสวิน เพียงอึดใจเดียว ชายหญิงเหล่านั้นต่างสั่นสสะท้าน


ปึง!


ก็เห็นหลินสวินหมุนตัวก้าวไปข้างหน้าเบาๆ หนึ่งก้าว ชือน้ำแข็งสีขาวหิมะตัวหนึ่งปรากฏตัวห้อทะยานกลางอากาศ บดขยี้ลมฝ่ามือสายนั้นในพริบตา


จากนั้นพลังก็ไม่ลดลง ชือน้ำแข็งสะบัดหางเสียงกึกก้อง เงาร่างมหึมาเปล่งแสงยะเยือกน่าหวาดกลัวออกมา แผ่คลุมชายหญิงเหล่านั้นเอาไว้


คนหนุ่มสาวเหล่านี้สามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคได้ ย่อมเป็นผู้กล้าในบรรดาคนรุ่นเยาว์ ความแข็งแกร่งเหนือธรรมดากันทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่พวกเขามาเจอหลินสวิน จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย


แม้แต่บุคคลไร้เทียมทานระดับซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ร่วมมือกันยังถูกหลินสวินเอาชนะได้ นับประสาอะไรกับพวกเขา


“เจ้า… เจ้าคือ…”


“เทพมารหลิน!?”


ไม่ลงมือก็ไม่รู้ แต่เมื่อลงมือ ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านี้ลูกตาแทบร่วงออกมา ตะลึงงันเสียงขาดห้วง


แวบเดียวพวกเขาก็จำเทพมารหลินที่กิตติศัพท์สะท้านทั่วทิศ เพิ่งสำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ที่หน้าหอวสันตสารทเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาคนนี้ได้!


เพียงแต่พวกเขาร้องไม่ออกเลยสักนิด ชือน้ำแข็งสีขาวหิมะสะบัดหางทะยานฟ้า อานุภาพหาที่เปรียบไม่ได้ น่าสะพรึงไม่มีที่สิ้นสุด เพียงไม่กี่พริบตาพวกเขาก็ถูกสยบราบลงกับพื้น ร้องโหยหวนระงม


“เทพมาร… ไม่สิ คุณชายหลิน พวกข้าไม่รู้ว่าเป็นท่าน มีตาหามีแววไม่ ขอท่านโปรดอภัย ยกโทษให้พวกเราด้วย”


ชายหญิงเหล่านี้ฟันสั่นกระทบ ตัวสั่นเทิ้ม ความอวดดีและเหยียดหยามเมื่อครู่ไม่มีให้เห็นแล้ว ตรงกันข้าม เมื่อพวกเขานึกถึงตำนานต่างๆ นานาที่เกี่ยวกับหลินสวิน ก็ควบคุมความกลัวลนลานหวาดผวาภายในใจไม่อยู่


นี่คือพวกเหี้ยมหาญไร้เทียมทานคนหนึ่งเชียว!


ผู้กล้าอย่างพวกเขาอาจมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ซ้ำในบรรดาคนรุ่นเยาว์ก็ถือว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลสะท้านปฐพี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนระดับเทพมารหลินก็ไม่นับใช้ได้เลย!


“พวกเจ้าล่วงเกินข้าติดต่อกันหลายหน แค่ใช้คำว่ามีตาหามีแววไม่คำเดียวแล้วคิดจะให้ข้าอภัยพวกเจ้าหรือ”


สีหน้าหลินสวินเย็นเยียบ


เขาไม่ใช่พวกเหี้ยมโหดอำมหิต แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้คนอื่นมารังแก ตลอดทางเขาคร้านจะสนใจเจ้าพวกที่เหมือนแมลงวันเหล่านี้มาโดยตลอด แต่อีกฝ่ายกลับได้คืบจะเอาศอก ถึงตอนนี้ยิ่งคิดลงมือบีบให้เขายอมจำนน


นี่คือจุดที่หลินสวินไม่สามารถอดทนยอมรับได้!


ปึง!


หลินสวินยกเท้าถีบออกไป ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกถีบลอยขึ้นมา ส่งเสียงร้องโหยหวน


เพียงแต่ขณะที่หลินสวินกำลังจะลงมือหนักขึ้น ก็เห็นห้วงอากาศไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับถูกเคลื่อนย้ายออกไป หายลับกลางอากาศในทันที!


หลินสวินเลิกคิ้ว เป็นดังคาด บททดสอบห้าด่านในเขาพยับครามแห่งนี้ หากถูกคุกคามถึงชีวิตก็จะถูกโยกย้ายออกไป จุดจบเลวร้ายที่สุดก็แค่ถูกคัดออก ไร้โอกาสช่วงชิงวาสนา แต่จะไม่ถึงตายอย่างแท้จริง


หลินสวินทำความเข้าใจจุดนี้มาก่อนแล้ว อีกทั้งเขายังรู้ว่า ยามที่ทะลวงผ่านบททดสอบห้าด่าน ไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณอย่างแท้จริง ก็จะไม่มี ‘การป้องกัน’ ชั้นนี้แล้ว


หรือกล่าวอีกนัยคือ มีแต่ตอนที่ไปถึงจุดนั้นแล้ว เพื่อช่วงชิงศุภโชคใหญ่ ความตายที่แท้จริงจึงจะบังเกิด!


“อย่านะ! ขอร้องท่านล่ะ อย่าเด็ดขาด!”


ชายหญิงเหล่านั้นสติหลุด หน้าถอดสีสิ้นเชิง ไม่เต็มใจถูกคัดออกที่นี่ พวกเขาเพิ่งเข้ามา ยังไม่ทันได้รับศุภโชค ไหนเลยจะเต็มใจออกจากที่แห่งนี้กัน


ปังๆๆ!


หลินสวินยังคงไม่เห็นใจ ถีบพวกเขาปลิวลอยขึ้นไป และถูกย้ายตัวออกไปจากแดนลี้ลับหิมะน้ำแข็งคนแล้วคนเล่า


ไม่นานนักในลานก็เหลือเพียงชายหนุ่มชุดสีเข้มคนหนึ่ง


ชายหนุ่มชุดเข้มคนนี้ก็คือเจ้าคนที่ลงมือใส่หลินสวินเป็นคนแรกเมื่อครู่นั่นเอง


หลินสวินมองเหยียดเขา “เจ้าสงสัยนักไม่ใช่หรือว่าทะเลสาบหินหนืดนั่นซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่ ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมใจ ให้เจ้าไปดูด้วยตาตัวเองเสียหน่อย!”


“ไม่…!” ชายหนุ่มชุดเข้มตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดลอยออกมา


เพียงแต่ขณะที่เขาคิดจะร้องขอชีวิตก็ถูกหลินสวินถีบออกมา และตกลงไปในทะเลสาบหินหนืดที่อยู่ไกลๆ นั้นแล้ว


ครืน!


เพียงแต่ไม่รอให้ชายหนุ่มชุดเข้มตกลงไป ทะเลสาบแห่งนั้นก็เกิดเสียงครืนครัน คลื่นยักษ์หินหนืดพลิกตลบขึ้นฟ้า สีแดงเพลิงบาดตา แผดเผาเวิ้งนภาอย่างกะทันหัน


ฟู่!


พร้อมกันนั้นงูตัวยาวราวกับสายฟ้าสีเพลิงก็โฉบปราดออกมา ไหววูบเบาๆ กลางห้วงอากาศ ก่อนพุ่งโถมไปทางชายหนุ่มชุดเข้มคนนั้น


ส่วนหลินสวินที่อยู่ไกลออกไปกลับสูดหายใจเย็นเยียบ มองออกในปราดเดียว นั่นคือสัตว์ประหลาดบรรพกาลตัวหนึ่ง… อสรพิษเหินเพลิง!


ตอนที่ 864 แหล่งผลึกเจตะ

อสรพิษเหินเพลิง คล้ายงูแต่ไม่ใช่งู คล้ายเจียวแต่ไม่ใช่เจียว เป็นอสูรวิญญาณที่ถือกำเนิดจากเพลิงวิญญาณฟ้าดิน


ร่างของมันมีความหนาเท่าปากชาม ยาวสิบจั้งกว่า ทั่วตัวปกคลุมด้วยเกล็ดเพลิง ความแข็งแกร่งน่ากลัวถึงที่สุด ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายในยุคบรรพกาล!


ตูม!


อสรพิษเหินขยับตัววูบกลางห้วงอากาศ ร่างเรียวยาวคล้ายกำลังร่ายระบำ เลื้อยเคี้ยวคดดั่งสายฟ้า เคลื่อนย้ายว่องไว ปลดปล่อยแสงเพลิงบาดตาหาใดเปรียบออกมา


ราวกับฝนเพลิงพร่างพรม แต่กลับแหลมคมดุจกระบี่ คมกริบไร้เทียมทาน


ชั่วอึดใจเท่านั้นชายหนุ่มชุดเข้มคนนั้นหลบไม่ทัน ร่างท่อนบนก็ถูกแทงทะลุเป็นรูเลือดที่มีขนาดใหญ่เท่านิ้วหัวแม่มือ ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา


นี่เป็นถึงผู้กล้าคนหนึ่ง แต่อยู่ภายใต้การซัดโจมตีของอสรพิษเหินเพลิง ถึงกับปราศจากเรี่ยวแรงปัดป้อง!


หลินสวินไหวหวั่น ย่างเท้าก้าวออกไป ซัดฝ่ามือออกไปโดยไม่ลังเล


ตูม!


พลังหมัดสีใสเจิดจ้าพุ่งปราดราวกับพายุคำรามกลางฟ้าดิน สลายฝนเพลิงเต็มฟ้าเหล่านั้น พร้อมกันนั้นก็ช่วยชายหนุ่มชุดเข้มกลับมา โยนผลุงออกไปห่างๆ


เหตุที่ทำเช่นนี้ เพราะหลินสวินมีเรื่องจะถาม หาไม่เขาคงคร้านจะช่วย


ฉัวะ!


อสรพิษเหินเพลิงถูกก่อกวน ลูกตาเหมือนดั่งเพชรสีเลือดผุดแววเยียบเย็นเหี้ยมโหด สะบัดร่างพุ่งปรี่มาทางหลินสวิน


ความเร็วของมันว่องไวยิ่งยวด กรีดวาดร่องรอยแห่งเพลิงที่เจิดจ้าบาดตาเป็นสายๆ ออกมาราวกับสายฟ้าสีเพลิงระบำคลั่งอยู่กลางฟ้าดิน


ห้วงอากาศถูกฉีกทึ้งเสมือนถูกเปลวเพลิงเผาผลาญ ทิ้งรอยดำอันน่าสยดสยองพาให้ผู้คนใจสะท้านเอาไว้


ระบำแห่งเพลิงหลอม!


นี่ก็คือวิชามรรคพรสวรรค์ของอสรพิษเหินเพลิง สามารถหลอมละลายเวิ้งนภา แผดเผาปฐพี เปลี่ยนสรรพสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ เสมือนเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ระบำคลั่งทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน น่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุด


ตามที่เล่าลือ ในยุคบรรพกาลอสรพิษเหินเพลิงตัวหนึ่งถือกำเนิดก็นำพาหายนะมาสู่ใต้หล้า เพียงแค่สำแดงวิชานี้ ก็เผาภูผาธาราหลายแสนลี้ หลอมละลายสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน พาให้ฟ้าดินแถบนั้นกลายเป็นสถานที่เสื่อมสูญเพียงชั่วข้ามคืน น่าสะพรึงถึงที่สุด


และยามนี้ วิชาลับไร้เทียมทานเช่นนี้ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง!


หลินสวินมีหรือจะกล้าประมาท สำแดงพลังทั้งหมดปะทะกับมัน


ครั้งนี้เขาไม่คิดหลบเลี่ยง เพราะไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบหินหนืดแห่งนั้น หรืออสรพิษเหินเพลิงตัวนี้ต่างก็เป็น ‘ไฟ’ แต่กลับปรากฏอยู่ท่ามกลางแดนหิมะน้ำแข็งแห่งนี้ นี่คือปรากฏการณ์ ‘ผันแปร’ อย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย จะต้องซ่อนปริศนาเอาไว้แน่!


ตูม!


เงาร่างหลินสวินเคลื่อนย้ายกลางห้วงอากาศ ชือน้ำแข็งเลี้ยวลด พลังหมัดเจิดจ้า เขย่าฟ้าสะเทือนดิน เข้าปะทะกับอสรพิษเหินเพลิงตัวนั้นอย่างดุเดือด


เพียงชั่วครู่ฟ้าดินแถบนี้หวีดคำรามราวกับฟ้าร้อง ห้วงอากาศปั่นป่วน พลังหมัดและฝนเพลิงแผ่วงกว้างราวกับกระแสน้ำเชี่ยว สับสนอลหม่านไปทั้งแถบ


ชายหนุ่มชุดสีเข้มคนนั้นมองจนสั่นระริกไปทั้งตัว ฟันกระทบกันดังกึกๆ เขาเพิ่งได้รู้เอาตอนนี้ว่าตนอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับเทพมารหลิน


พลังของอสรพิษเหินเพลิงตัวนั้นไม่ด้อยกว่าผู้กล้าไร้เทียมทานชัดๆ มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติไม่สามารถต้านทานได้ไหว


แต่เทพมารหลินกลับสามารถต่อสู้ขับเคี่ยวกับมันได้ นี่เห็นได้ชัดว่าวิปริตอย่างไม่ต้องสงสัย!


ฟึ่บ!


ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ดาบสีขาวเจิดจ้าไหววูบกลางห้วงอากาศ เสียงดังพรูดดังขึ้นหนึ่งครา ร่างของอสรพิษเหินเพลิงตัวนั้นก็ถูกฟันขาดเป็นสองท่อน


นี่คือพลังของดาบหัก ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในกลเม็ดการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งหลินสวินครอบครองในปัจจุบัน หากไม่ใช่เพราะไม่อยากยืดเยื้อกับอสรพิษเหินเพลิงตัวนี้ หลินสวินคงไม่งัดมาใช้ง่ายๆ


‘การโจมตีนี้แหละ!’


ชายหนุ่มชุดสีเข้มหัวใจเต้นพล่าน นึกถึงช่วงหลายวันก่อน ชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียวคนนั้นก็ถูกการโจมตีนี้ทำเอาเจ็บหนัก เกือบถูกสังหารคาที่!


และตอนนี้อสรพิษเหินเพลิงก็ไม่อาจหลบเลี่ยง จึงถูกฟันฉับ!


พรึ่บ!


หลินสวินเพิ่งเก็บดาบหัก ก็พบอย่างน่าประหลาดว่าหลังจากอสรพิษเหินเพลิงตัวนั้นถูกฟัน ร่างพลันลุกเป็นไฟคุโชน กลายเป็นเพลิงหลอมระอุทันที


แต่ในขณะเดียวกันกลับมีหินผลึกสีเพลิงขนาดเท่าเล็บมือตกลงมา ร่วงหล่นบนพื้นหิมะน้ำแข็ง สีแดงเพลิงดุจเพชร แสงวิบไหวแวววาวบาดตา


หลินสวินสะบัดแขนเสื้อหนึ่งคราเก็บของสิ่งนี้ขึ้นมา วางไว้บนฝ่ามือเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด


หินก้อนนี้มีขนาดเล็กมาก แต่กลับเจิดจ้าหาใดเปรียบ สีแดงสดโปร่งแสง ห้อมล้อมด้วยแสงแวววาววิเศษราวกับภาพฝันมายา


“นี่คือแหล่งผลึกเจตะ ภายในบรรจุพลังต้นกำเนิดมหามรรคไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ หากนำมันไปหลอมจะสามารถช่วยเพิ่มยกระดับปราณให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังไม่ทำให้รากฐานคลอนแคลน เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มีเฉพาะยุคบรรพกาลเท่านั้น พบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ”


ชายหนุ่มชุดสีเข้มคนนั้นเอ่ยอธิบายขึ้นมากะทันหัน


หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเหตุที่ชายหนุ่มชุดเข้มให้ความร่วมมือเช่นนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตระหนักได้ว่าที่ตนไม่ฆ่าเขาเพราะมีเรื่องจะซักถาม ฉะนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายให้ความร่วมมือก่อนอย่างชาญฉลาด


ชายหนุ่มชุดเข้มสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก กล่าวว่า “หลินสวิน ขอเพียงเจ้าไม่ถีบข้าออกไป ข้ารับรองว่าจะบอกเบื้องลึกเบื้องหลังที่มีอยู่ทั้งหมดแก่เจ้า”


เขารู้ดีว่าหลินสวินมาจากโลกชั้นล่าง ซ้ำยังตัวคนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจความนัยเบื้องลึกที่เกี่ยวกับเทศกาลโคมกถามรรค


เพราะเบื้องลึกระดับนี้ มีเพียงผู้สืบทอดของสำนักเก่าแก่เท่านั้นจึงจะรู้!


“ว่ามา”


หลินสวินจำเป็นต้องเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับที่แห่งนี้อยู่บ้างจริงๆ จึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นเจ้าหมอนี่ให้ความร่วมมือกับตนอย่างว่าง่ายเช่นนี้


ไม่นานหลินสวินก็รู้ข้อมูลอื่นๆ บางส่วน


บททดสอบห้าด่านของเทศกาลโมกถามรรค แต่ละด่านต่างซ่อนปริศนายิ่งใหญ่เอาไว้ ขณะเดียวกันก็ไม่ขาดวาสนาที่ยากจะพานพบจากโลกภายนอกเช่นเดียวกัน


เช่นเดียวกับในด่านแรกอย่าง ‘แดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร’ ก็ซ่อน ‘แหล่งผลึกเจตะ’ และ ‘โอสถวิญญาณเจตะ’ ที่ให้กำเนิด ‘มรรค ’ และ ‘วิชา’ เอาไว้!


แหล่งผลึกเจตะ ช่วยยกระดับพลังปราณ


และโอสถวิญญาณเจตะนี้ก็ให้กำเนิด ‘วิชามรรค’ อย่างแท้จริง ราวกับเป็นมรดกถ่ายทอดไม่ปาน!


วิชามรรคหมายความว่าอย่างไร


มรรค คือพลังแห่งมรรค


วิชา ก็คือวิชาแห่งการต่อสู้!


มันน่าสะพรึงยิ่งกว่าวิชาลับ มีเพียงมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่เชี่ยวชาญพลังเจตจำนงมรรคเท่านั้น จึงจะสามารถหยั่งรู้และเคี่ยวกรำวิชาการต่อสู้ได้


วิชาระดับนี้แฝงแก่นอัศจรรย์มหามรรคเอาไว้ พลังอำนาจไร้ที่สิ้นสุด!


ในโลกภายนอกมีเพียงสำนักเก่าแก่เท่านั้นที่เก็บซ่อนตำราดั้งเดิมอันล้ำค่าและหายากเช่นนี้ ส่วนวิชายุทธ์ที่แพร่หลายในโลก ส่วนใหญ่ได้แต่เรียกว่าเป็น ‘วิชาลับ’ ยังห่างไกลจาก ‘วิชามรรค’ อักโข


เพราะฉะนั้นยามที่รู้ข่าวสารเหล่านี้ หลินสวินจึงตกใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าวาสนาอย่างแท้จริงจำเป็นต้องไขว่คว้ามาจากต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้นเสียอีก


แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ในบททดสอบนี้จะสามารถกอบโกยวาสนามากมายขนาดนี้ได้เช่นกัน


ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า ฐานที่หลินสวินมีอยู่ยังด้อยกว่าอยู่บ้างจริงๆ เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้น


ผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านี้มีผู้อาวุโสในสำนักคอยชี้แนะ มีตำราดั้งเดิมของสำนักให้ค้นคว้า รากฐานที่สั่งสมมาอยู่เหนือผู้อื่น ย่อมทำให้พวกเขาได้เปรียบเต็มที่ในการเคลื่อนไหวเป็นธรรมดา


ย้อนกลับมาที่หลินสวิน หัวเดียวกระเทียมลีบ ทุกสิ่งทุกอย่างได้แต่อาศัยตัวเองไปตรวจสอบสืบเสาะ ในขั้นตอนนี้ เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้น ก็เสียเปรียบอยู่ไม่น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย


ต่อมาหลินสวินยังได้รู้ว่าผู้กล้าที่มาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคหนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้น


จุดประสงค์ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือวาดหวังว่าจะกอบโกยศุภโชคและวาสนาที่ซ่อนอยู่ในบททดสอบห้าด่านนี้!


ตัวอย่างเช่นแหล่งผลึกเจตะและโอสถวิญญาณเจตะนี้ แม้แต่พวกไร้เทียมทานพบเข้าก็คงใจเต้นรัว


‘เป็นสถานที่ที่ดี ทะลวงด่านอยู่ที่นี่ สามารถประชันกับบุคคลไร้เทียมทานรุ่นเดียวกัน ซ้ำยังสามารถได้รับวาสนาที่อยู่ในนี้ เคี่ยวกรำตนเองเพื่อเลื่อนระดับปราณ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ล้ำค่าของการฝึกปราณ’


หลินสวินรำพึงรำพันในใจ


ปัจจุบันเขาอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น หากอิงจากความเร็วในการฝึกปราณทั่วไป คิดจะทะลวงสู่ขั้นต่อไป อย่างน้อยต้องใช้เวลาสามถึงห้าเดือน


นี่ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว หากบังเอิญพบอุปสรรคระหว่างทาง สามปีห้าปีก็ไม่สามารถทะลวงขั้นปราณได้


แต่หากคว้าโอกาสครั้งนี้อยู่มือ อาจสามารถพัฒนาพลังปราณอย่างก้าวกระโดดก็เป็นได้!


หญิงสาวปริศนาที่เร้นกายในห้องโถงมรรคาสวรรค์คนนั้นเคยกล่าวไว้ว่า อย่างมากที่สุดภายในสามปี มหาสงครามที่แท้จริงก็จะเปิดฉากขึ้น


นี่ก็หมายความว่า หากไม่สามารถเหยียบย่างถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับกระบวนแปรจุติภายในสามปี เมื่อมหาสงครามมาเยือน เขาก็อาจจะช้ากว่าคนอื่นหนึ่งก้าว กระทั่งอาจไร้วาสนาหลอมมรรคกลายเป็นราชัน เหยียบย่างบนเส้นทางสูงสุดนั่นก็เป็นได้!


ช่วงชิงมหามรรค หากพลาดก้าวแรก ก็จะพลาดก้าวต่อๆ ไป!


นี่คือเหตุผลว่าทำไมหมื่นผู้กล้าถึงทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนารากฐานของตนก่อนที่มหาสงครามจะมาถึง


“ยังมีเบื้องลึกอื่นๆ อีกหรือไม่” หลินสวินเอ่ยถาม เขายังอยากทำความเข้าใจมากกว่านี้


“ยังมีข่าวลืออีกหนึ่งเรื่อง ว่ากันว่าในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้จะปรากฏศุภโชคใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน หนึ่งเดียวไม่มีเสมอเหมือน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นสมบัติอริยะกายสิทธิ์ชิ้นหนึ่ง!”


ชายหนุ่มชุดเข้มคนนั้นลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมา


สิ่งนี้ทำให้ในใจหลินสวินสั่นสะเทือนไม่สิ้น


สมบัติอริยะกายสิทธิ์!


เขารู้ดีว่าสมบัติระดับนี้น่าเหลือเชื่อเพียงใด


เพราะคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือเขาก็เป็นสมบัติอริยะกายสิทธิ์ที่แตกพังอย่างหนึ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ อานุภาพอันยิ่งใหญ่ก็เหนือจินตนาการ เรียกได้ว่าพลิกฟ้าทีเดียว


“เพราะเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้บุคคลไร้เทียมทานมากมายต่างมาเข้าร่วม อย่างเช่นจี้ซิงเหยาจากเรือนกระบี่เร้นปุจฉา อวี่หลิงคงจากแดนพิสุทธิ์อมตะ ล้วนต้องมาเพราะวาสนานี้เป็นแน่ นี่คือศุภโชคชิ้นโต อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมถกมรรคอย่างพวกเราเลย ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าจากโลกภายนอกพวกนั้นก็คงใจเต้นและน้ำลายหกกันทั้งสิ้น”


ชายหนุ่มชุดเข้มคนนั้นให้ความร่วมมือดีมากจริงๆ ไม่รอให้ซักถามรายละเอียดก็พูดออกมาหมดเปลือกเสียเอง


“ที่แท้เทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ยังซุกซ่อนเบื้องลึกเบื้องหลังเอาไว้มากมายขนาดนี้เชียว…”


นัยน์ตาสีดำของหลินสวินเปี่ยมด้วยแววครุ่นคิด ในใจยิ่งแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ การมาเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ถูกต้องแล้วจริงๆ หาไม่คงพลาดโอกาสและวาสนาล้ำค่าไปมากมายอย่างแน่นอน


“เจ้าไปเถอะ”


หลินสวินตั้งใจจะเร่งเดินทางต่อไป เขาสนใจการรวบรวมโอสถวิญญาณเจตะและแหล่งผลึกเจตะเป็นอย่างมาก ถึงขั้นมุ่งมั่นจะครอบครองให้จงได้


ชายหนุ่มชุดสีเข้มกล่าวเป็นพัลวัน “หลินสวิน เจ้าจะ… พาข้าไปด้วยได้หรือไม่”


หลินสวินหันหน้ากลับมา คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ข้าปล่อยเจ้าไปหนหนึ่งแล้ว เจ้ายังคิดจะมาพัวพันกับข้าอยู่อีกหรือ”


ชายหนุ่มชุดสีเข้มพิพักพิพ่วน กล่าวทันทีว่า “ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่งที่ซ่อนของดีเอาไว้ไม่น้อย หากเจ้าพาข้าไปด้วย ข้าสามารถนำทางเจ้าได้!”


“สถานที่อะไร”


“เขาน้ำแข็งปทุมเพลิง!”


“ในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านมา เหล่าผู้กล้ามากมายต่างเคยได้รับวาสนาบนเขาลูกนี้ แต่คนที่รู้จักที่ตั้งของภูเขานี้กลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เพราะมันซ่อนอยู่ในสถานที่ ‘ผันแปร’ ลึกลับแห่งหนึ่ง…”


ไม่รอให้เอ่ยจบ หลินสวินก็ตัดบทกล่าวว่า “เหตุผลของเจ้าไม่เลวยิ่ง นำทางสิ”


ชายหนุ่มชุดสีเข้มกระปรี้กระเปร่าทันควัน รู้สึกยินดีไม่สิ้น


แม้ก่อนหน้าจะถูกหลินสวินสยบ แต่เขาไม่สนใจสักนิด ตรงข้าม เขาคิดว่าการได้เคลื่อนไหวพร้อมกับหลินสวินในครั้งนี้ไม่เพียงปลอดภัยกว่าเมื่อก่อน กระทั่งอาจได้รับวาสนาจำนวนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าฝันใฝ่เลยทีเดียว!


อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็คือเทพมารหลินผู้มีชื่อเสียงดุร้ายคับฟ้า ร้ายกาจไร้เทียมทานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมาตั้งแต่คราแรก!


ตอนที่ 865 ประทับรบอริยเทพ

ระหว่างทาง หลินสวินหลอมรวมแหล่งผลึกเจตะเม็ดนั้น


อย่ามองว่าของสิ่งนี้มีขนาดเท่าเล็บมือ แต่กลิ่นอายวิเศษที่บรรจุอยู่ในนั้นกลับเข้มข้นผิดธรรมดา ซ้ำยังมีพลังแปลกประหลาดวูบหนึ่งพาให้ปราณของหลินสวินถึงกับรุดหน้าเต็มกำลังไม่น้อย


หลินสวินตกใจทันควัน ผลลัพธ์ระดับนี้ช่างวิเศษเกินไปแล้ว มหัศจรรย์ยิ่งกว่ากินโอสถสมบัติหายากเสียอีก ทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อฐานมรรคของเขา


‘เรียกได้ว่าเป็นของวิเศษแห่งศุภโชคชัดๆ มีส่วนช่วยในการฝึกปราณถึงที่สุด หากได้รับมากกว่านี้ละก็ นั่นไม่ใช่ว่าจะทำให้ข้าทะลวงปราณขั้นถัดไปได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุดหรอกหรือ!’


หลินสวินใจเต้นอย่างสมบูรณ์แล้วเช่นกัน


ตลอดทางหาได้สงบสุข มหันตภัยรอบด้าน ในโลกหิมะน้ำแข็งเวิ้งว้าง ไม่ทันไรก็มีนกปีศาจ สัตว์ปีศาจ อสูรวิญญาณต่างๆ นานาโผล่ออกมาบ่อยครั้ง… ต่างหลอมรวมมาจากหิมะน้ำแข็งทั้งสิ้น หาใช่สิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง


แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกลับน่ากลัวถึงขีดสุด เชี่ยวชาญวิชามรรค ฝีมือต่อสู้น่าตกใจ หากไม่ใช่เพราะจิตรับรู้ของหลินสวินแกร่งกล้าเพียงพอจนสามารถหลบเลี่ยงได้ก่อนหนึ่งก้าว ระหว่างทางมานี้ก็ไม่รู้จะเกิดการต่อสู้ขึ้นกี่ครั้ง


ถึงกระนั้นยังคงทำให้ชายหนุ่มชุดสีเข้มตกใจจนหน้าซีดเผือด ย้อนถามใจตนว่าหากไม่ได้ตามหลินสวินมา เกรงว่าเขาคงถูกคัดออกไปตั้งนานแล้ว!


“สหายยุทธ์เนี่ย เขาน้ำแข็งปทุมเพลิงนั่นมีอะไรกันแน่”


หลินสวินซักถามระหว่างทาง


“นั่นคือสถานที่แห่งต้นกำเนิดผันแปรของแดนลี้ลับหิมะน้ำแข็งแห่งนี้ ทุกครั้งที่เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น บนเขาน้ำแข็งจะมีดอกบัวเพลิงเบ่งบานดอกแล้วดอกเล่า งดงามราวกับเปลวเพลิง”


“นี่ไม่ใช่ดอกบัวเพลิงธรรมดา แต่เป็นโอสถวิญญาณเจตะที่ผสมผสานกับวิชาเร้นลับ หากสามารถคว้ามาได้หนึ่งต้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้รับมรดกวิชามรรคส่วนหนึ่ง!”


ชายหนุ่มชุดเข้มมีนามว่าเนี่ยอี้อัน เป็นผู้สืบทอดจาก ‘สำนักยุทธ์ผสานคราม’ สำนักเก่าแก่ในแดนฐิติประจิม


“โอสถวิญญาณเจตะ?”


หลินสวินหวั่นไหว


“แต่สถานที่แห่งนั้นอันตรายมาก อีกอย่างคิดจะเก็บดอกบัวเพลิงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสบางส่วนในสำนักยุทธ์ผสานครามของข้า เขาน้ำแข็งปทุมเพลิงแห่งนั้นมีที่มาน่าตกใจถึงที่สุด…”


เนี่ยอี้อันเล่าทุกอย่างที่รู้


……


สองชั่วยามให้หลัง


ตูม!


ในสายลมหิมะเวิ้งว้าง เจตจำนงรบอันน่าสะพรึงกร้าวแกร่งสายหนึ่งพุ่งปราดออกมา ท่วมท้นเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน เก่าแก่และพร่างพราว สะเทือนจักรวาล


นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ทั่วร่างเกร็งแน่นในทันใด เจตจำนงรบแกร่งกล้านัก!


“นี่คือกลิ่นอายของ ‘รอยประทับรบอริยเทพ’! พวกเราใกล้ถึงที่หมายแล้ว!”


เนี่ยอี้อันส่งเสียงร้องอย่างดีใจ


ถึงเขาจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย แต่ก็เพิ่งเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเป็นครั้งแรก ยังไม่พบเจอกับตัวเองมาก่อน


รอยประทับรบอริยเทพ!


หลินสวินเพิ่งได้เข้าใจก็ตอนนี้ ตลอดทางเขาได้ยินเนี่ยอี้อันบอกว่า ตามข่าวลือบนเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงมีรอยประทับรบสายหนึ่ง เป็นสิ่งที่อริยเทพมากสามารถผู้หนึ่งทิ้งไว้ตั้งแต่บรรพกาล ผ่านการกัดกร่อนแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุดแต่ไม่เคยหายไป!


เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ แต่เวลานี้ตอนที่รู้สึกถึงเจตจำนงรบกร้าวแกร่งสายหนึ่งกลางลมหิมะนั่น เขาก็อดสะท้านสะเทือนไม่ได้


ประทับรบอริยเทพสายหนึ่ง ผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ แต่กลับคงอยู่ยาวนาน นี่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!


ทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการ ว่าต้องมีปราณน่าสะพรึงเพียงใดจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้


มุ่งหน้าต่อไป เจตจำนงรบที่ท่วมท้นฟ้าดินก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เก่าแก่และดุดัน เจือกลิ่นอายโชกโชน ประดุจดาบไร้เทียมทานพาดข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา ส่องแสงพริบไหว ไม่เคยเน่าเปื่อย


ขณะเดียวกัน สิ่งนี้ก็นำมาซึ่งอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการเคลื่อนไหวของพวกหลินสวินสองคน ยิ่งมุ่งหน้าเข้าไป แรงกดดันที่ร่างกายได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ


ยังดีที่ไม่นานนักพวกเขาก็มองเห็นเขาน้ำแข็งสีขาวหิมะซึ่งตั้งตระหง่านขึ้นฟ้า ปรากฏตัวกลางฟ้าดินอันเวิ้งว้าง


มันสูงตระหง่านถึงที่สุด ตลอดภูเขาเป็นสีขาวผ่องราวกับก่อขึ้นมาจากหินหยก ส่องแสงประกาย ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งเต็มฟ้า ปลดปล่อยความหนาวเหน็บบาดกระดูกออกมา


เจตจำนงรบอันเก่าแก่และน่าสะพรึงสายนั้นก็แผ่กว้างออกมาจากยอดเขาแห่งนี้


ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจคือหลังจากมาถึงสถานที่แห่งนี้ เจตจำนงรบกลางห้วงอากาศกลับเปลี่ยนไปเป็นคล้ายมีแต่ไม่มี ปราศจากอานุภาพกดดันอย่างก่อนหน้า เสมือนถูกเก็บรวบไว้อย่างไรอย่างนั้น


เมื่อเป็นเช่นนี้ กลับพาให้พวกหลินสวินมาถึงเชิงเขาได้อย่างราบรื่นยิ่ง


นี่ก็คือเขาน้ำแข็งปทุมเพลิง!


หลินสวินเงยหน้าแหงนมองก็เห็นหิมะน้ำแข็งราวกับหยก หินผาหนาวเยือก สภาพภูเขาคล้ายเสากระโดงเสียดฟ้าที่งอกออกมาจากพื้นดิน สูงลิ่วไกลลิบ


“หืม? มีคนมาอีกแล้ว?”


ใกล้ๆ กับเชิงเขามีบรรดาผู้กล้ารุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยมาถึงก่อนแล้ว กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างกันไป เมื่อเห็นหลินสวินและเนี่ยอี้อัน ต่างฉายแววตื่นตัวออกมาไม่มากก็น้อย


“กฎแห่งการปรากฏตัวของปทุมเพลิงเอาแน่เอานอนไม่ได้ และมีจำนวนน้อยนิด ยิ่งมีคนมามาก การแข่งขันก็ยิ่งมีมากขึ้น”


มีคนเอ่ยเสียงขรึม


“น่าเสียดาย บนเขาน้ำแข็งแห่งนี้แน่นขนัดไปด้วยกลิ่นอายประทับรบอริยเทพ ยิ่งขึ้นสูงแรงกดดันก็ยิ่งมากขึ้น ใช่ว่าพวกเราจะปีนขึ้นไปได้”


และก็มีบางคนถอนใจเบาๆ


หลินสวินสังเกตเห็นว่าบริเวณต่างๆ ตั้งแต่เชิงเขาถึงยอดเขา ถึงกับมีเงาร่างไม่น้อยยืนปักหลัก กำลังรอคอยอะไรอยู่


แต่ผู้ฝึกปราณที่เชิงเขามีมากที่สุด ยิ่งสูงขึ้นไปจำนวนผู้ฝึกปราณก็ยิ่งน้อย แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ลดน้อยลง


‘สหายยุทธ์หลิน ภูเขานี้ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายของประทับรบอริยเทพ ยิ่งรุดหน้าขึ้นไปแรงกดดันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ที่สอดคล้องกันคือ คุณภาพของดอกบัวเพลิงที่ได้กลับมาก็ยิ่งสูงขึ้น’


‘อย่างส่วนล่างเขาน้ำแข็งนี่จะได้รับแต่บัวเพลิงสองกลีบ สูงขึ้นไปอีกหน่อยก็จะได้รีบบัวเพลิงสามกลีบ สี่กลีบ ห้ากลีบ หกกลีบตามลำดับ’


‘ยิ่งคุณภาพสูงเท่าไร ก็หมายความว่าวิชามรรคที่ประทับในดอกบัวเพลิงก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น’


เนี่ยอี้อันที่อยู่ข้างๆ สื่อจิตอธิบาย


หลินสวินพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ


เขาทอดตาสำรวจกลับพบว่าบนเขาน้ำแข็งแห่งนี้เปลือยเปล่าทั้งแถบ ไม่เห็นดอกบัวเพลิงสักดอก จึงอดแปลกใจน้อยๆ ไม่ได้


เนี่ยอี้อันกล่าวว่า “ต้องรอคอย การปรากฏตัวของบัวเพลิงแต่ละดอกล้วนไม่มีกำหนดตายตัว มันอาจปรากฏบนยอดเขากลายเป็นดอกบัวเพลิงคุณภาพเยี่ยมเจ็ดกลีบดอกหนึ่ง หรืออาจปรากฏบนเชิงเขากลายเป็นบัวเพลิงสองกลีบธรรมดาดอกหนึ่งก็ได้ อยู่ที่ว่าใครจะคว้าไปได้”


หลินสวินเห็นแสงธรรมก็คราวนี้


“แต่ว่าความน่าจะเป็นที่บัวเพลิงจะปรากฏบนเชิงเขามีสูงกว่า แต่ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคุณภาพธรรมดา แต่ละแวกยอดเขานั่น โอกาสที่บัวเพลิงจะปรากฏแม้ว่ามีน้อย แต่ขอเพียงปรากฏ จะต้องเป็นบัวเพลิงชั้นสูงหกกลีบขึ้นไปอย่างแน่นอน”


“ดูท่า ที่นี่จะมีการแข่งขันมากไปหน่อย”


เนี่ยอี้อันยิ้มขื่นกล่าวว่า “ความมั่งคั่งมาพร้อมการเสี่ยงภัย นับประสาอะไรกับดินแดนแห่งวาสนาเช่นนี้ ย่อมเต็มไปด้วยการแข่งขันเป็นธรรมดา”


ตูม!


เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็เห็นการต่อสู้ปะทุโครมครามบริเวณกลางเขา ผู้กล้ากลุ่มหนึ่งเริ่มลงมือช่วงชิงดอกบัวเพลิงดอกหนึ่งที่เพิ่งโผล่ออกมา!


การต่อสู้ดุเดือดยิ่ง แสงดาบเงากระบี่เรืองรองศักดิ์สิทธิ์พาดผ่านห้วงอากาศ พาให้เมฆลมแปรปรวน


หลินสวินสังเกตเห็นว่านั่นคือบัวเพลิงห้ากลีบดอกหนึ่ง ฐานดอกมีขนาดเท่าปากชาม ก้านบัวและกลีบใบเขียวมรกตราวกับหยก ตัวดอกบัวประหนึ่งเปลวเพลิงลุกโชน สว่างจ้าพร่างพราว มหัศจรรย์หาใดเปรียบ


ท้ายที่สุดบัวเพลิงดอกนี้ก็ถูกชายชุดทองคนหนึ่งคว้าไป แต่ขณะที่ศึกนี้ปิดฉาก ผู้กล้าสามคนที่พ่ายแพ้ในการแข่งขันถูกคุกคามถึงชีวิต จึงถูกย้ายตัวคัดออกไปโดยตรง!


“การแข่งขันดุเดือดจริงๆ ด้วย…” นัยน์ตาสีดำของหลินสวินหรี่ลงน้อยๆ


“เจ้าจะขึ้นไปหรือไม่” หลินสวินตั้งท่าจะเคลื่อนไหว


“ช่างเถิด ข้ารออยู่ด้านล่างแถวนี้ก็พอ” ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเนี่ยอี้อันก็ถอนใจเบาๆ หนึ่งครา เลือกจะรออยู่แถวนี้


เขารู้ตัวดี อีกอย่างในการต่อสู้กับอสรพิษเหินเพลิงก่อนหน้ายังได้รับบาดเจ็บมาด้วย ไหนเลยจะกล้าไปแย่งชิงศุภโชคบนเขาน้ำแข็งนี่อีก


หลินสวินพยักหน้า แล้วยกเท้าเดินมุ่งหน้าขึ้นไปบนเขาน้ำแข็งเพียงลำพัง


“จริงสิ ประทับรบอริยเทพที่ปกคลุมบนเขาน้ำแข็งนั่น ส่งผลวิเศษอันน่าเหลือเชื่อต่อการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์” เสียงเนี่ยอี้อันดังไล่หลัง


อันที่จริงไม่ต้องให้เขาเอ่ยเตือนแม้แต่น้อย เมื่อเริ่มปีนเขาหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงรอยประทับรบเก่าแก่น่าหวาดกลัวสายหนึ่งกดดันเข้ามา


เจตจำนงรบนี้กว้างใหญ่ไพศาล เวิ้งว้างดั่งสมุทร น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด


ยิ่งอยู่สูงขึ้นมาแรงกดดันก็ยิ่งมากขึ้น พาให้ผู้คนเดินเหินลำบากราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่ปีนขึ้นมา ร่างกายและวิญญาณล้วนมีสัญญาณใกล้จะถูกกำราบอย่างหนึ่ง


หลินสวินไม่อาจไม่ขับเคลื่อนปราณต้านกับมัน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างพวยพุ่ง เลือดลมพลุ่งพล่านกว่าจะสลายแรงกดดันไปได้ไม่น้อย


แต่ขอเพียงเดินไปข้างหน้า พลังกดดันก็จะทบทวี พาให้หลินสวินไม่อาจไม่สำแดงพลังแท้จริงออกมาทีละก้าว


ในกระบวนการนี้ หลินสวินรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งและน่าสะพรึงของ ‘ประทับรบอริยเทพ’ สายนี้ พาให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อชัดๆ ว่านี่เป็นรอยประทับรบสายหนึ่งที่ประทับมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ช่างสะท้านโลกเกินไปจริงๆ


แต่เป็นอย่างที่เนี่ยอี้อันบอก ภายใต้ความกดดันของเจตจำนงรบสายนี้ เป็นประโยชน์ต่อการเคียวกรำวิถียุทธ์อย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ


เจตจำนงรบนั้นบริสุทธิ์ ทั้งยังเก่าแก่ไพศาลดั่งไร้ขอบเขต เมื่อสังเกตและหยั่งรู้โดยละเอียด จะสามารถหยั่งถึงปริศนามากมาย


“หืม? เจ้าหมอนั่นเป็นใคร ถึงกับก้าวสู่ตำแหน่งกลางเขาแล้ว นั่นเป็นสถานที่ที่มีแต่เหล่าผู้กล้าแนวหน้าจึงจะเข้าไปได้เชียว”


ผู้ฝึกปราณบางส่วนสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของหลินสวิน ต่างพากันตกใจไม่หยุด


เพียงแต่ใบหน้าหลินสวินแปลกตายิ่ง พาให้พวกเขาไม่อาจระบุตัวตนและที่มาได้


“มีคู่แข่งร้ายกาจเพิ่มมาอีกคนแล้ว”


เหล่าผู้กล้าที่อยู่ตำแหน่งกลางเขาต่างเฝ้าระวังขึ้นมา ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ พวกเขารู้ดี ผู้ที่สามารถมาถึงบริเวณนี้ได้ไม่มีคนทั่วไปสักคน


“ไอ้หนู เจ้ามาช้าเกินไปแล้ว ทางที่ดีเชื่อฟังสักหน่อย รอพวกเราคว้าดอกบัวเพลิงได้ทุกคนค่อยถึงตาเจ้า หากเจ้ากล้าบุ่มบ่าม ข้าเชื่อว่าสหายยุทธ์ทั้งหลายในที่แห่งนี้คงไม่ยินยอมแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างเย็นชาและข่มขู่


คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า สายตาเย็นเยียบ เต็มไปด้วยบรรยากาศข่มขู่และกล่าวเตือน


“ไอ้พวกงั่ง” ที่เชิงเขา เนี่ยอี้อันหัวเราะร่วน ถึงกับกล้าข่มขู่เทพมารหลิน ไม่กลัวเขาจะระเบิดอานุภาพดุร้าย ฉีกพวกเจ้าทั้งเป็นหรือไร


หลินสวินก็อึ้งงันไปเล็กน้อยเช่นกัน ปรายตามองเจ้าพวกนี้ปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่แข่งกับพวกเจ้าหรอก”


บรรดาผู้กล้าเหล่านี้ต่างโล่งใจไม่เบา สายตาที่มองไปทางหลินสวินก็เจือแววเหยียดหยามเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคิดว่าหลินสวินยอมศิโรราบแล้ว


แต่ครู่ต่อมา พวกเขาก็อึ้งงันอยู่ตรงนั้น


ภายใต้ยตาพวกเขา หลังจากหลินสวินมาถึงตำแหน่งกลางเขาแล้วถึงกับเริ่มปีนขึ้นไปข้างบนต่อ!


สิ่งนี้พาให้พวกเขาเบิกตาโพลงทันใด รู้สึกตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง


ตลอดทางหลินสวินเอาสองมือไพล่หลัง อาภรณ์สีขาวพระจันทร์โบกสะบัดกลางลมดังพรึ่บ ถึงแม้จะก้าวไม่เร็ว แต่เป็นต่อที่ความมั่นคง ก้าวขึ้นไปราวกับเดินทอดน่องในลานเงียบสงบ


บรรดาผู้กล้าที่อยู่กลางเขาเหล่านั้นต่างงงเป็นไก่ตาแตก สีหน้าไหววูบไม่นิ่ง เมื่อนึกถึงคำเตือนและการข่มขู่ที่พวกเขาเพิ่งทำไปเมื่อครู่ ใบหน้าก็ถูกเหมือนถูกตบเข้าบ้องหูอย่างไร้รูปหนหนึ่ง รู้สึกอึดอัดร้อนวูบวาบ


ขณะเดียวกันในใจพวกเขาก็หวาดหวั่นน้อยๆ ก่อนหน้านี้หากยั่วยุจนเจ้าหมอนั่นลงมือ ผลที่ตามมาต้องยากจินตนาการแน่!


อย่างไรเสียเจ้าคนที่สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปหาเรื่องได้แม้แต่น้อย!


ตอนที่ 866 ชิงดอกบัวเพลิง

ไม่นานนัก ภายใต้สายตาตกตะลึงของผู้คน เงาร่างของหลินสวินค่อยๆ ห่างออกไป เข้าใกล้ยอดเขาน้ำแข็งแห่งนั้น


ผู้ฝึกปราณมากมายสูดหายใจเฮือก เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน ในบรรดาบุคคลไร้เทียมทานที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ยังมีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรือ


หลังจากตกตะลึงก็มีบางคนแสดงสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น


“ฮ่าๆ คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว อาณาเขตใกล้ๆ ยอดเขานั่นถูกพวกกร้าวแกร่งไร้เทียมทานสิบกว่าคนยึดพื้นที่ไว้ตั้งแต่ต้น เจ้าหมอนี่ผลุนผลันเข้าไปใกล้ คอยดูเถอะว่าจะสามารถยืนปักหลักได้หรือไม่”


“ผู้กล้าไร้เทียมทานชื่อก้องแดนฐิติประจิมอย่างอู่ต้วนหยาผู้สืบทอดสำนักตะวันทมิฬ หลี่ชิงฮวนจากสำนักยุทธ์สมุทรครามต่างก็ครองพื้นที่อยู่แถวนั้น!”


“ซาหลิวฉานบุตรเทพคนปัจจุบันของเผ่าฉลามสมุทร ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้กล้าไร้เทียมทานแห่งทะเลมารพิฆาตก็ครองตำแหน่งที่ดีที่สุดบนยอดเขามาโดยตลอด!”


เนื่องจากเวลานี้ไม่มีดอกบัวเพลิงปรากฏขึ้น ผู้ฝึกปราณมากมายต่างทอดสายตามองไปทางหลินสวิน และพากันวิพากษ์วิจารณ์ บ้างก็ตกตะลึงและประหลาดใจ บ้างก็มีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้อื่น รอชมดูเรื่องสนุก


“ซาหลิวฉานก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ…” บริเวณเชิงเขา สีหน้าเนี่ยอี้อันเริ่มประหลาดขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาเจือแววสมเพชอยู่รำไร


จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าซาหลิวฉานคนนี้เหมือนจะซวยเกินไปหน่อยแล้ว…


หืม?


ในขณะเดียวกัน หลินสวินที่เพิ่งเข้าใกล้ละแวกยอดเขาก็มองเห็นซาหลิวฉานได้ในปราดเดียว


เจ้าหมอนี่สวมชุดคลุมสีดำ รูปร่างสูงโปร่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินน้ำแข็ง เรือนผมยาวสีฟ้าเข้มปลิวไสวกลางสายลม ดวงหน้าเย็นชาเจือกลิ่นอายเผด็จการและถือดีอันเป็นเอกลักษณ์ ดูน่าขยาดกลัวหาใดเปรียบ


เขากำลังนั่งสมาธิ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของหลินสวินที่มองมา ดวงตาซึ่งปิดสนิทก็เปิดขึ้นทันควัน สาดส่องลำแสงสีเลือดที่สว่างไสวราวสายฟ้าออกมาคู่หนึ่ง


“หึ! เจ้าพวกไม่รู้จักกลัวตายโผล่มาอีกคนแล้ว!”


ซาหลิวฉานอึ้งงันก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นก็ส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชา “ทุกคน พวกเจ้าว่าใครจะลงมือก่อน ลองทดสอบดูว่าเจ้าหมอนี่มีคุณสมบัติจะอยู่ที่นี่หรือไม่”


เห็นได้ชัดว่าเขาจำหลินสวินไม่ได้สักนิด


สิ่งนี้ทำให้หลินสวินอดมีความรู้สึกแปลกประหลาดน้อยๆ ไม่ได้ เจ้าหมอนี่ยังความจำสั้นและหยิ่งผยองเหมือนแต่ก่อนจริงๆ


“ให้ข้าจัดการดีกว่า”


ชายหนุ่มรูปงามท่าทางสบายๆ ชุดสีขาวพลิ้วแผ่วคนหนึ่งเก้าออกมา มือถือพัดหยก สวมเกี้ยวประดับขนนกบนหัว สง่างามโดดเด่น


“อู่ต้วนหยาสำนักตะวันทมิฬ!”


เสียงร้องอุทานดังลอยมาจากระยะไกล อลหม่านไม่สิ้น เห็นชัดว่าคาดไม่ถึง ว่าคนที่ก้าวออกมาขัดขวางเด็กหนุ่มนั่นเป็นคนแรกจะเป็นบุคคลไร้เทียมทานผู้นี้


“ไอ้หนูนั่นลำบากแล้ว” สีหน้าบรรดาผู้กล้าส่วนหนึ่งเจือแววเวทนา


พวกเขาต่างมาจากสำนักเก่าแก่ ย่อมรู้ดีว่าอู่ต้วนหยาแข็งแกร่งเพียงใด อย่ามองว่าภายนอกเขาวางตัวเรียบง่ายสบายๆ แต่เมื่อลงมือจริงๆ แล้วกลับอำมหิตดุดัน


ในสำนักตะวันทมิฬ คนผู้นี้มีสมญาว่า ‘ดรุณดาบมารคลั่ง’ ปราณของเขาทรงอานุภาพและน่ากลัว ตระการตาถึงขีดสุด


ว่ากันว่าอู่ต้วนหยาเคยบุก ‘รังห้าพิษ’ แดนอันตรายขึ้นชื่อในแดนฐิติประจิมเพียงลำพัง สังหารอสูรมารบำเพ็ญร้ายกาจไปหนึ่งฝูง ทำเอาพื้นที่พันลี้หลั่งเลือดเป็นแอ่ง ซากศพโครงกระดูกกองเป็นภูเขา!


“สหายท่านนี้ดูแปลกหน้ายิ่ง ไม่ทราบว่าเป็นสหายยุทธ์จากสำนักไหนในแดนฐิติประจิม” อู่ต้วนหยายิ้มน้อยๆ มองไปที่หลินสวิน ลำแสงเย็นเยียบกลางนัยน์ตาราวดาบดุจกระบี่ น่าสะพรึงสยองขวัญ


“ข้าว่าเจ้าถอยกลับไปจะดีกว่า”


หลินสวินปรายตามองเขาปราดหนึ่งแล้วเก็บสายตากลับคืน


ช่วงก่อนหน้านี้ตอนอยู่เมืองผาดารา ไป่เฟิงหลิวช่วยเขารวบรวมข้อมูลได้ไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็มีส่วนที่เกี่ยวกับอู่ต้วนหยาด้วย


หลินสวินยังจำได้ว่าครานั้นไป่เฟิงหลิวเคยกล่าวว่า อู่ต้วนหยาคนนี้ถึงจะร้ายกาจ แต่เมื่อเทียบกับซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ยังด้อยกว่าเสี้ยวหนึ่งอยู่ดี


เมื่อเป็นเช่นนี้ หลินสวินย่อมคร้านจะใส่ใจคนผู้นี้เป็นธรรมดา


เห็นหลินสวินไม่เกรงใจถึงเพียงนี้ บุคคลไร้เทียมทานในลานคนอื่นๆ ต่างพากันอึ้งงัน จากนั้นก็หัวเราะร่วนไม่หยุด


“สหายยุทธ์อู่ ดูท่าสหายคนนี้จะดูเบาเจ้ายิ่งนัก”


“ฮ่าๆ น่าสนใจ เจ้าหนุ่มที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนคนหนึ่ง กลับกล้าลำพองใจเช่นนี้ แม้แต่คำถามของสหายยุทธ์อู่ก็ยังไม่สนใจ ความกล้าหาญนี้ช่างหายากยิ่งนัก”


แต่เหล่าผู้กล้าที่อยู่บริเวณอื่นต่างพากันลอบตกใจ เจ้าหมอนี่ดูเหมือนเป็นคนที่แสนเรียบง่ายธรรมดา แต่คำพูดช่างกร้าวแกร่งจริงๆ!


“สหาย หากข้าไม่ถอยกลับไปเล่า” อู่ต้วนหยายังคงยิ้มบางๆ เพียงแต่ลำแสงเย็นยะเยือกกลางนัยน์ตายิ่งลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับดาบคมกำลังกลืนกิน คมกริบหาใดเปรียบ


เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าขณะพูด เข้าใกล้หลินสวินทีละก้าว


“ไม่ถอยกลับไปก็ได้ เช่นนั้นก็รอถูกคัดออกแล้วกัน ข้าล่ะเสียดายแทนสำนักตะวันทมิฬของพวกเจ้านัก เพิ่งด่านแรกเท่านั้น ศิษย์ในสำนักก็ถูกคัดออก เกรงว่าผู้อาวุในโสสำนักของเจ้าคงต้องเสียหน้าเท่านั้นแล้ว”


หลินสวินกล่าวเนิบนาบ


“ดูท่า เจ้ามันไม่อ่อนไม่ชอบ ชอบกินไม้แข็ง!” อู่ต้วนหยาสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาพลุ่งพล่านด้วยลำแสงน่าหวาดกลัว ชุดสีขาวโบกสะบัดดึงพรึ่บ ปลดปล่อยอานุภาพน่าสะพรึงออกมาทั่วร่าง


พรึ่บ!


แต่ไม่รอให้เขาลงมือ จู่ๆ ก็มีแสงเพลิงบาดตาวูบหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางห้วงอากาศละแวกนั้น จากนั้นดอกบัวเพลิงที่อัศจรรย์เหนือธรรมดาดอกหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางห้วงอากาศ ลอยคว้างกลางเวหา


ละอองแสงโชติช่วงดั่งแสงเพลิงนับพันหมื่นสายกระจายออกมาจากกลีบดอก งดงามไม่สิ้นสุด เมื่อนับดีๆ แล้วมีมากถึงเจ็ดกลีบ!


ชั่วอึดใจเท่านั้น นัยน์ตาของบุคคลไร้เทียมทานทั้งหมดในลานล้วนหดรัดลง จากนั้นต่างก็เริ่มลงมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


“มือมารวายุ!”


“เคล็ดวิชาฟ้าคำรามล่าดวงจิต!”


“ประทับห้วงอากาศไพศาล!”


ชั่วขณะเดียวแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์ แสงมรรค และสมบัติอันน่าสะพรึงพาดผ่านฟ้า แสงแวววาวเบ่งบานพันจั้ง ปกคลุมห้วงอากาศแถบนั้น


“ข้าจะคอยดูว่าใครกล้าแย่งกับข้า!”


ซาหลิวฉานที่ทรงพลังที่สุดในที่นั้นเหินข้ามอากาศ พลังทั่วร่างทะลวงฟ้า ยื่นฝ่ามือออกไป แสงมรรคน่าหวาดกลัวกลายเป็นกรงขัง แสงอสนีน่าหวาดกลัวพุ่งไปแผ่คลุมดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกนั้นแล้วรัดพันไว้


เวลานี้แม้แต่อู่ต้วนหยาที่เดิมทียังคิดจัดการหลินสวินก็ยังเปลี่ยนเป้าหมาย พุ่งออกไปชิงดอกบัวเพลิงดอกนั้น


โครม!


ที่แห่งนี้บังเกิดเสียงกระหึ่มก้องหูราวกับภูเขาไฟชนปะทะกัน


แม้ว่าดอกบัวเพลิงดอกนั้นจะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลไร้เทียมทานเหล่านี้กลับไม่ชักช้าแม้แต่น้อย หรือกล่าวอีกนัยได้ว่าพวกเขาสะสมพลังเฝ้ารอมาโดยตลอด เพียงแต่เพิ่งปะทุออกมาแบบปุบปับในยามนี้


สวบ!


เพียงแต่คนที่ลงมือเป็นคนแรกสุดควรเป็นหลินสวิน ไม่เพียงแต่ปัญหาด้านการตอบสนอง หนำซ้ำจุดที่บัวดอกนั้นปรากฏขึ้นก็อยู่ใกล้กับเขาที่สุด


เขาใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เพียงชั่วอึดใจก็สามารถเข้าไปใกล้


แต่ว่าระหว่างทางเขาก็หยุดเท้า เงาร่างพริบไหว ถอยหลบไปด้านข้างอีกครั้ง


“เฮอะ! เจ้าก็ยังรู้หน้าที่อยู่พอตัว!”


ซาหลิวฉานหัวเราะเยาะ ไม่ได้สนใจหลินสวิน ต่อสู้ดุเดือดช่วงชิงบัวเพลิงดอกนั้นกับคนอื่นๆ


รู้หน้าที่?


มุมปากหลินสวินผุดรอยยิ้มวูบหนึ่ง เขาไม่ได้ตั้งใจถอยหลบให้ หากแต่ตระหนักได้ว่าพริบตาที่ตนคว้าบัวดอกนี้ได้ จะต้องถูกบุคคลไร้เทียมทานสิบกว่าคนที่เหลือซัดโจมตีอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่


แน่นอน หากสู้กันจริงๆ หลินสวินย่อมมีวิธีสลายวิกฤตระดับนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เขามีการตัดสินใจอื่น จึงไม่คิดจะทำเช่นนี้


พรึ่บ!


หลังจากถอยออกมา เขาก็ไม่ได้ยืนดูอยู่ข้างๆ หากแต่เงาร่างวูบไหว ปรากฏตัวที่หน้าผาสูงชันซึ่งใกล้กับยอดเขาขึ้นไปอีก ค่อยๆ ควานมือแผ่วเบา


ภาพน่าตกใจปรากฏขึ้น ตำแหน่งที่หลินสวินควานมือเดิมทีว่างเปล่าไม่มีสิ่งของใดๆ แต่เมื่อฝ่ามือของเขาเพิ่งเอื้อมถึง ก็ปรากฏบัวเพลิงดอกหนึ่งขึ้น!


ดอกบัวนี้มีแปดกลีบ แผ่ละอองเพลิงนับพันนับหมื่นออกมาราวกับเมฆเพลิงสว่างจ้า พราวตาถึงที่สุด


“อะไร! ยังมีบัวเพลิงอีกดอก?”


“ซ้ำยังเป็นบัวเพลิงชั้นเลิศแปดกลีบด้วย นี่เท่ากับว่าได้รับมรดกวิชามรรคที่กล่าวได้ว่าชั้นยอดวิชาหนึ่งเชียว!”


บริเวณอื่นบนเขาน้ำแข็ง เมื่อผู้ฝึกปราณที่กำลังจับจ้องทุกอย่างมองเห็นภาพนี้เข้า ต่างพากันปากอ้าตาค้าง แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง


“น่าชังนัก!”


“สมควรตาย!”


ส่วนบุคคลไร้เทียมทานทั้งหมดอย่างซาหลิวฉาน อู่ต้วนหยาที่กำลังรบราฆ่าฟันกันดุเดือดอยู่นั้น สีหน้าไม่น่าดูขึ้นมาไม่น้อยในบัดดล


หลินสวินยิ้มเผล่เก็บบัวเพลิงแล้วยืนอยู่ด้านข้าง ชมศึกในที่นั้นด้วยท่าทางสบายๆ ไม่อนาทรร้อนใจ


ช่างง่ายดายเกินไปจริงๆ คว้าบัวเพลิงมาได้ดอกหนึ่งโดยไม่มีการแก่งแย่ง ซ้ำยังมีแปดกลีบเสียด้วย เมื่อเทียบกับบัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกนั้นที่กำลังถูกแย่งชิงอยู่ก็ยังมีคุณภาพสูงกว่าหนึ่งระดับ เมื่อเทียบกันเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าน่าโมโหเกินไปแล้วจริงๆ


สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลินสวินเพิ่งมาถึงบริเวณยอดเขา แต่คนอื่นล้วนเฝ้ารออย่างขมขื่นอยู่ที่นี่ตั้งนาน!


“นี่ก็คือโชควาสนาสินะ มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่กลับมีอยู่ทุกที่ ไม่เสียงแรงที่เทพมารหลินเป็นอัจฉริยะที่กล่าวกันว่าถือครองศุภโชคใหญ่” ที่เชิงเขา เนี่ยอี้อันทอดถอนใจและอิจฉาไม่สิ้น


ท้ายที่สุดหลังผ่านการแย่งชิง บัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกนั้นก็ตกไปอยู่ในมือหลี่ชิงฮวนผู้สืบทอดสำนักยุทธ์สมุทรคราม


นี่พาให้ในใจหลินสวินประหลาดใจน้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้


หลี่ชิงฮวน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกสุภาพ ดูแล้วถ่อมตนเป็นที่สุด ไม่อวดอ้างสรรพคุณ


แต่ในการต่อสู้เมื่อครู่ หลินสวินกลับพบว่าคนผู้นี้ไม่เพียงมีพลังต่อสู้โดดเด่นและแข็งแกร่งถึงขีดสุด หนำซ้ำการเล็งจังหวะยังน่าอัศจรรย์สุดขีด


‘เจ้าหมอนี่ต่อให้เทียบกับซาหลิวฉานก็ต้องไม่ด้อยไปกว่ากัน กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าหน่อยด้วยซ้ำ…’


หลินสวินใคร่ครวญ


“ทุกท่าน ออมมือให้แล้ว” หลี่ชิงฮวนเก็บบัวเพลิง ประสานมือคารวะรอบด้าน จากนั้นก็ยิ้มแฉ่งแล้วถอยกลับไปยังจุดเมื่อครู่ของตน แสนอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง


แม้คนอื่นๆ จะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สีหน้าอึมครึมอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด


“ไอ้หนู เจ้าเพิ่งมาถึงบริเวณนี้ บัวเพลิงดอกเมื่อครู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรได้รับ รีบเอาออกมาดีกว่า!”


ซาหลิวฉานเหมือนไม่มีที่ระบายอารมณ์ กวาดตามองรอบๆ แล้วจ้องหลินสวินเขม็ง สีหน้าเย็นชาและน่าหวาดผวา


ทันใดนั้นคนอื่นๆ ต่างก็ใจเต้น สายตาที่มองหลินสวินเริ่มดูไม่เป็นมิตร


ในใจพวกเขารู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง เฝ้ารออย่างลำบากมาแสนนาน ผลสุดท้ายไม่เพียงแย่งวาสนามาไม่ได้ ตรงข้ามกลับถูกคนที่เพิ่งมาถึงที่นี่คว้าบัวเพลิงดอกหนึ่งไปอย่างง่ายดาย นี่จะให้พวกเขายินยอมได้อย่างไร


กอปรกับรูปร่างหน้าตาหลินสวินดูแปลกหน้า ซ้ำยังหัวเดียวกระเทียมลีบ ฉะนั้นจึงคิดว่ารังแกได้ง่ายๆ


“สหาย หากรู้ตัวก็เอาออกมา หาไม่ เกรงว่าเจ้าไม่เพียงต้องทิ้งวาสนา วันนี้ยังอาจถูกคัดออกด้วย!”


อู่ต้วนหยาก็เอ่ยปากเช่นหัน สายตาเย็นเยียบชวนสยอง


บุคคลไร้เทียมทานเหล่านี้ต่างเพ่งเล็งหลินสวินจากทุกทิศทาง มีท่าทางต้องการบีบให้ยอมจำนนอยู่ในที


“เจ้าหมอนั่นเจอปัญหาใหญ่แล้ว!” ผู้กล้าบริเวณอื่นต่างใจสะท้าน สัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นตกที่นั่งลำบาก


“วาสนาสวรรค์ลิขิต พวกเจ้าไม่มีปัญญาไขว่คว้า แต่กลับอยากแย่งของของข้า นี่ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง”


มุมปากหลินสวินโค้งองศาเป็นเชิงนึกสนุกเสี้ยวหนึ่ง


ตอนที่ 867 เผด็จการดุจเทพมาร

“เกินไป? ฮ่าๆ วาสนาเดิมเป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าแย่งได้ก่อนก็กลายเป็นของเจ้าแล้วหรือ” อู่ต้วนหยาหัวเราะเยาะ


“แล้วเจ้าคิดอย่างไร” หลินสวินเลิกคิ้ว


“จะลองดูว่าเจ้าจะมีปัญญารักษาวาสนาชิ้นนี้ได้หรือไม่!”


ขณะพูดเงาร่างอู่ต้วนหยาไหววูบ ชุดสีขาวพลิ้วไหว เรียกดาบศึกเล่มหนึ่งออกมาเสียงดังชิ้ง ขาวเจิดจ้าดั่งอสนี พุ่งพิฆาตไปทางหลินสวิน


สวบ!


ห้วงอากาศถูกฉีกกระชากอย่างง่ายดายราวกับเนื้อผ้า คมดาบนั้นดุดันและเผด็จการเป็นล้นพ้น ขาวโพลนดุจดั่งอสนีคดโค้งที่พุ่งยิง น่าสะพรึงอย่างที่สุด


ตูม!


แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินเริ่มขยับแล้ว หนำซ้ำทันทีที่ลงมือก็ใช้พลังแท้จริงออกมา แสงหมัดสายหนึ่งผสานความเร้นลับทั้งมวลแห่งวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ แล้วปล่อยพุ่งออกมาทันควันในยามนี้


ชั่วขณะนั้นประหนึ่งอาทิตย์ดวงใหญ่ปรากฏขึ้น พาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ความโชติช่วงของพลังหมัดคล้ายจะบดขยี้ฟ้าดินให้สลายกลายเป็นผุยผง


“เจ้าคือ…” เดิมทีซาหลิวฉานก็หมายจะลงมือเช่นกัน แต่เวลานี้เขาคล้ายจำอะไรได้ ร้องเสียงหลง หน้าเปลี่ยนสีทันควัน


ในเวลาเดียวกันบุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ ต่างใจสะท้าน รับรู้ถึงความน่าสะพรึงและเผด็จการของหมัดนี้


ปึง!


พลังหมัดและคมดาบเข้าปะทะราวกับดาวหางพุ่งชนกัน ระเบิดแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์คับฟ้าออกมา คลื่นอากาศน่าหวาดกลัวหอบม้วนออกไป พาให้เขาน้ำแข็งลูกนี้สั่นสะเทือนวูบหนึ่ง


เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้กล้าที่อยู่เชิงเขาหรือที่อยู่บริเวณอื่นๆ ต่างพากันนัยน์ตาหดรัดโดยไม่รู้ตัว


พวกเขาตะลึงเมื่อเห็นการปะทะครานี้ อู่ต้วนหยาถึงกับถูกโจมตีจนซวนเซถอยหลัง สั่นเทิ้มไปทั่วร่าง ดาบศึกในมือส่งเสียงร้องโหยหวนแหลมสูง แทบปลิวออกจากมือ!


แต่เจ้าตัวเลือดลมในร่างพลิกตลบ ยากทานทนจนแทบกระอักเลือด


เขาหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ สัมผัสถึงความไม่เข้าที กำลังจะโจมตีกลับเต็มกำลัง แต่หลินสวินที่ครอบครองข้อได้เปรียบตั้งแต่แรกไหนเลยจะเกรงใจ ถือโอกาสนี้พุ่งไปข้างหน้าแล้วกระแทกออกมาอีกหนึ่งหมัด


ตูม!


พลังหมัดน่าสะพรึงพุ่งพรวดออกไป เจิดจ้าเสียจนอู่ต้วนหยาแทบลืมตาไม่ขึ้น หนำซ้ำยามนี้เขาจะเปลี่ยนกระบวนท่าอีกก็ไม่ทันเสียแล้ว ไม่อาจไม่เป็นฝ่ายถูกซัด


เสียงดังปึงสนั่นหวั่นไหว อู่ต้วนหยาถูกซัดสะเทือนอีกครั้ง ซวนเซถอยกรูด กระดูกทั่วร่างส่งเสียงเสียดสีรุนแรง สีหน้าแปรเป็นขาวซีด เลือดสายหนึ่งไหลออกจากมุมปาก


เขาตื่นตระหนก รู้สึกลนลาน เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน เหตุใดถึงแข็งแกร่งและน่าสะพรึงเพียงนี้


ตูม!


เพียงแต่ไม่รอเขาตอบสนอง หมัดที่สามของหลินสวินก็ทะลวงฟ้ากระแทกลงมาอีก ราวกับหมัดพิโรธที่เทพมารบรรพกาลซัดออกมา และเหมือนอาทิตย์ดวงใหญ่ที่สว่างจ้ากดกำราบลงมา


อู่ต้วนหยาหนังศีรษะมึนชา ขนลุกขนชัน เขาตกใจจนส่งเสียงร้องแหลมออกมาคราหนึ่ง ดีดตัวเต็มแรงพุ่งไปหลบยังจุดไกลๆ อีกด้านอย่างทุลักทุเล


เพียงแต่หมัดนี้เพิ่งมาแค่ครึ่งทางก็ถูกหลินสวินเก็บกลับคืน ไม่ได้ซัดออกไปจริงๆ ท่าทีที่เก็บปล่อยดังใจเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าการฝึกยุทธ์ของเขามีระดับความเชี่ยวชาญน่าสะท้านโลกเพียงใด


เวลานี้เหล่าผู้กล้าที่อยู่บริเวณอื่นต่างอึ้งค้างอยู่กับที่นานแล้ว


ไหนเลยพวกเขาจะคาดคิด บุคคลไร้เทียมทานผู้มีสมญานามว่า ‘ดรุณดาบมารคลั่ง’ ชื่อก้องแดนฐิติประจิมมานานอย่างอู่ต้วนหยา จะถึงกับถูกกดดันจนไม่เป็นท่าถึงเพียงนี้


เพิ่งเปิดศึกเท่านั้นก็ถูกพลังหมัดอีกฝ่ายบีบจนโงหัวไม่ขึ้น ซวนเซถอยกรูด นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว


แต่ซาหลิวฉานกลับสีหน้าอึมครึม สายตาลุกโชน สายตาที่มองไปทางหลินสวินฉายแววเคียดแค้น และมีความกริ่งเกรงที่ยากจะสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง


ส่วนบุคคลไร้เทียมทานคนอื่นเวลานี้ต่างก็มีความรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน การต่อสู้เมื่อครู่สั้นเหลือแสน แต่กลับดุเดือดสะท้านโลกอย่างไม่ต้องสงสัย


โดยเฉพาะฝีมือที่เด็กหนุ่มคนนั้นสำแดงออกมาทั้งหมดเผด็จการถึงขีดสุดชัดๆ พาให้พวกเขาต่างพรั่นใจและกดดัน


“ไม่ลองแล้วหรือ ทำไมถึงหนีเสียแล้ว” หลินสวินยิ้ม


ไกลออกไป ใบหน้าอู่ต้วนหยาร้อนวูบวาบ ภายในใจเปี่ยมด้วยความโมโหระคนอับอาย แต่ละฉากเมื่อครู่ราวกับภาพฝันชัดๆ พาให้เขาตั้งรับไม่ทัน


หากรู้เช่นนี้แต่แรก เขาจะลงมือสุดกำลังตั้งแต่คราแรกแน่!


แต่เมื่อก้าวแรกพลาด ก้าวต่อๆ ไปย่อมต้องพลาด ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพผู้ถูกกระทำและเสียเปรียบ จนถึงขั้นถูกซัดให้อับอายขายหน้าถึงเพียงนี้


“เข้ามาอีก!”


อู่ต้วนหยาคำรามอย่างเดือดจัด ดวงตาแทบปริแตก


เดิมทีเขาแสนจะเอ้อระเหย อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหว สง่างามทำตัวตามสบาย แต่ยามนี้กลับหน้าคล้ำเขียว ปรากฏความบิดเบี้ยวและดุร้ายรางๆ มีท่าทางเดือดจัดจนแทบคลั่ง


“ไม่ต้องสู้กันแล้ว”


เวลานี้เอง หลี่ชิงฮวนผู้ถ่อมตัวคนนั้นก็ก้าวเข้ามา ขวางอยู่เบื้องหน้าอู่ต้วนหยา


“เหตุใดต้องขวางข้า!” อู่ต้วนหยาโพล่งอย่างเดือดดาล


กลับเห็นหลี่ชิงฮวนไม่สนใจเขา หากแต่ทอดสายตามองไปทางหลินสวิน กล่าวทอดถอนใจว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเทพมารหลินที่ชื่อก้องเกรียงไกร ไม่ลงมือยังพอทำเนา ครั้นลงมือก็สำแดงอานุภาพแห่งเทพมารออกมา”


“อะไรนะ เขาก็คือเทพมารหลินหรือ”


“นี่…”


บุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาที่มองหลินสวินเริ่มเปลี่ยนไปในทันที ต่างมีสีหน้าทำนองว่าที่แท้เป็นเขานี่เอง มิน่าถึงเป็นเช่นนี้


“เทพมารหลิน!”


“สวรรค์ เจ้าหมอนั่นก็คือเทพมารหลินงั้นหรือ!”


“ที่แท้เขาก็ป่าเถื่อนและแข็งแกร่งอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ด้วย ดูสิ แม้แต่อู่ต้วนหยายังถูกสามหมัดกดดันจนไม่อาจไม่หลีกหนี!”


ขณะเดียวกันบริเวณอื่นบนเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น เหล่าผู้กล้าแต่ละคนล้วนปากอ้าตาค้าง


เนี่ยอี้อันกลับดูสงบมาก เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ เพียงแต่เวลานี้เขามองสำรวจซาหลิวครู่หนึ่งเป็นการเฉพาะ


ก็เห็นว่ายามนี้ฝ่ายหลังสีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง ไม่เอ่ยวาจาสักคำ สายตาที่มองหลินสวินลุกโชนไหววูบ เห็นได้ชัดว่าในใจเขาก็ไม่อาจสงบได้เช่นกัน


“เขา… เขาก็คือหลินสวิน?” เวลานี้อู่ต้วนหยาอึ้งงัน ออกอาการไม่อยากจะเชื่อ


ในใจเขารู้สึกแทบอยากกระอักเลือด เกือบร้องผรุสวาท หากรู้แต่แรกว่าเป็นเทพมารคนนี้ มีหรือเขาจะใจเร็วรีบลงมือ


“อยากลองดูต่อไปหรือไม่”


หลินสวินปรายตามองอีกฝ่าย เวลานี้เขาคืนสู่ใบหน้าเดิมแล้ว ฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดต่อไปอีก


“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ”


อู่ต้วนหยาเดือดดาล แม้เขาจะกริ่งเกรงชื่อเสียงของหลินสวิน แต่ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นบุคคลไร้เทียมทานชื่อก้องแดนฐิติประจิมคนหนึ่ง คิดว่าหากสู้เต็มกำลัง ใช้วิชาก้นกรุของตนแล้วไม่น่าจะโค่นหลินสวินไม่ได้!


“เอาล่ะ ก่อนหน้าเพียงแค่เข้าใจผิด ทั้งสองอย่าได้ยื้อยุดกันอีกเลย พวกเราต่างมาเพื่อวาสนา หากเปิดศึกใหญ่ด้วยเหตุนี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งสิ้น”


หลี่ชิงฮวนเอ่ยเตือนเสียงนุ่ม เริ่มทำการไกล่เกลี่ย


หลินสวินยิ้มน้อยๆ มองหลี่ชิงฮวนอย่างลุ่มลึกปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดได้ไม่เลว นี่เพิ่งด่านแรกเท่านั้น หากถูกคัดออกยามนี้คงขาดทุนเกินไปแล้ว”


“เฮอะ” อู่ต้วนหยาแค่นเสียงเย็น


หลินสวินหัวเราะเบาๆ “หากเจ้าไม่ยอม ก็สามารถทำอย่างจงหลีอู๋จี้คนนั้น ยามไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณค่อยมาต่อสู้กับข้า แต่ถึงตอนนั้น คงไม่เพียงแค่ถูกคัดออกง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว”


คำพูดนั้นง่ายๆ กลับเจือความเผด็จการสายหนึ่ง พาให้บุคคลไร้เทียมทานมากมายชำเลืองมอง


“มีหรือจะไม่กล้า” อู่ต้วนหยากล่าวอย่างเย็นชา “รอดูเอาเถอะ!”


เขาเดือดดาลยิ่ง ในใจลุกเป็นไฟ คิดว่าที่ตนถูกกำราบเมื่อครู่เป็นเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายคือเทพมารหลิน ฉะนั้นจึงชะล่าใจไปจนอีกฝ่ายครอบครองโอกาสได้เปรียบก็เท่านั้น


หากประมือกันจริงๆ ต้องไม่เป็นเช่นนี้เด็ดขาด!


หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่พูดมากความอีก หันหลังมุงสู่บริเวณยอดเขา


“เจ้าจะทำอะไร” ซาหลิวฉานสีหน้าเคร่งขรึม เขายืนปักหลักอยู่บริเวณนี้พอดีจึงขวางทางเดินของหลินสวิน


หลินสวินชำเลืองมองเขา “หากเจ้าอยากสู้กันอีกรอบ ข้าสามารถทำให้เจ้าสมใจได้เดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าไม่ใช่ก็หลีกไป”


บุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ ต่างสูดหายใจเฮือก พวกเขารู้ว่าเทพมารหลินแข็งแกร่งยิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะกร้าวแกร่งถึงเพียงนี้


เพิ่งกำราบอู่ต้วนหยาไป ยังจะหาเรื่องซาหลิวฉานอีก ความใจกล้านี้ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ


“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ…” ซาหลิวฉานระเบิดหัวเราะขึ้นมา เรือนผมสีฟ้าเข้มปลิวไสวเสมือนว่าโมโหถึงขีดสุด


แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน สุดท้ายซาหลิวฉานก็ข่มเอาไว้ ไม่ได้ขัดขวาง ปล่อยให้หลินสวินเดินผ่านข้างกายของตนไป!


“นี่…”


บุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ ต่างมองไม่ออก ซาหลิวฉานเป็นบุตรเทพเผ่าฉลามสมุทร ทายาทเผ่าพันธ์ดุร้ายในบรรพกาล มีนิสัยเลือดเย็นและรุนแรงเป็นที่สุด


หากเป็นยามปกติ เผชิญกับการยั่วโมโหเช่นนี้เกรงว่าคงบันดาลโทสะตั้งนานแล้ว แต่ยามนี้เขาถึงกับข่มเอาไว้ นี่เห็นชัดว่าผิดปกติยิ่ง


หรือว่าการต่อสู้กับเทพมารหลินคราวที่แล้ว ได้ทำให้เขาเกิดความกริ่งเกรงต่อเทพมารหลินเสียแล้ว


มีเพียงหลี่ชิงฮวนที่คล้ายขบคิดใคร่ครวญ


‘พี่หลี่ เจ้ามองอะไรออกบ้างหรือไม่’ อู่ต้วนหยาที่อยู่ข้างๆ สื่อจิตซักถาม ความสัมพันธ์ของเขากับหลี่ชิงฮวนค่อนข้างดี เรียกได้ว่าคบหากันหลายชั่วตระกูล


หลี่ชิงฮวนกล่าวเสียงขรึม ‘ซาหลิวฉานมีอาวุธสังหารยิ่งใหญ่ในมือ ยามนี้กลับซ่อนเร้นเอาไว้ ไม่คิดสร้างความขัดแย้งกับเทพมารหลินในยามนี้ หากข้าเดาไม่ผิด ประการแรกเขาเกรงว่าทั้งสองฝ่ายจะเสียหายหากจะสู้กับเทพมารหลินที่นี่ เพราะจะถูกพวกเราแย่งครองวาสนา ประการที่สองเขาน่าจะตั้งใจโจมตีเทพมารหลินอีกครั้งหลังทะลวงห้าด่านไปแล้ว ต้องการเคลื่อนไหวครั้งเดียวก็จบเรื่อง!’


‘กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเขาจะเลียนแบบจงหลีอู๋จี้ ฆ่าหลินสวินคนนี้งั้นหรือ’ อู่ต้วนหยาใจกระตุกวูบ


‘เทพมารหลินไม่ได้ฆ่าง่ายๆ ขนาดนั้น ยามนี้ต่างลือกันว่าเขามีศุภโชคใหญ่อยู่กับตัว ถือครองสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง บางทีข่าวลืออาจมีส่วนเท็จ แต่ก็ไม่ใช่ข่าวโคมลอยทั้งหมดแน่’


หลี่ชิงฮวนกล่าวเสียงเบา ‘ข้าว่าเจ้าอย่าไปขัดแย้งกับเขาดีกว่า เป้าหมายหนนี้ของพวกเราคือช่วงชิงศุภโชคที่เป็นหนึ่งในใต้หล้า เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ’


อู่ต้วนหยาร้องอ้อหนึ่งครา ก็ไม่รู้ว่าฟังเข้าหูบ้างหรือไม่


ขณะเดียวกันในใจซาหลิวก็กำลังขบคิด เขาไม่โง่ รู้ดียิ่งว่าต่อสู้กับเทพมารหลินในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับสองพยัคฆ์ประชันกัน และอาจถูกคนอื่นๆ ฉวยโอกาสเอาเปรียบ ไม่คุ้มค่าแต่อย่างใด


‘อดทนกับเจ้าไปอีกสักระยะ รอให้ถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณแล้ว ข้าจะต้องทำให้เจ้าตายอย่างไม่น่าพิสมัยแน่!’ ซาหลิวฉานกัดฟันลอบพึมพำกับตัวเอง


หากเขารู้ว่าหลี่ชิงฮวนที่อยู่ข้างๆ สามารถเดาความคิดส่วนใหญ่ของเขาได้เพียงแค่ลอบสังเกตการณ์ ก็ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร


แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อหลินสวินแม้แต่น้อย


เขาย่ำเท้าปีนขึ้นภูเขา ความเร็วช้าลงทุกที สุดท้ายก็หยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากยอดเขาเพียงสิบกว่าจั้ง


ที่นี่คือขีดจำกัดที่เขาสามารถรับมือไหวแล้ว และหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นก็สามารถรับมือได้ทันเวลา


หากรุดหน้าขึ้นไปอีก ก็จะไม่สามารถต้านทานพลัง ‘ประทับรบอริยเทพ’ ที่มีอยู่ทุกอณูนั่นได้


ฟู่!


หลินสวินพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งเฮือก หย่อนตัวนั่งขัดสมาธิ สงบจิตหยั่งรู้เจตจำนงรบเก่าแก่ที่พลุ่งพล่านบนภูเขาน้ำแข็งไปพลาง รอคอยดอกบัวเพลิงดอกถัดไปปรากฏขึ้นไปพลาง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)