Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 856-861
ตอนที่ 856 มหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะ
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นสั่นสะท้าน เทพมารหลินดุดันไปแล้ว แม้ท่านย่ากระเรียนทองปรากฏตัว เขายังกล้าบุกโจมตีโดยไม่หวาดเกรง พาให้อึ้งงันนัก
ท่านย่ากระเรียนทองคือหญิงชราผมเงินดุจหิมะนั่น เป็นยอดบุคคลรุ่นอาวุโสซึ่งฐานะโดดเด่นผู้หนึ่งของเรือนกระบี่เร้นปุจฉา คุณธรรมบารมีสูงส่ง ชื่อเสียงกิตติศัพท์เกรียงไกร
ในแดนฐิติประจิม แม้คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งของสำนักโบราณยังต้องให้เกียรตินางถึงสามส่วน นี่แหละคือบารมี
สีหน้าจงหลีอู๋จี้เคร่งขรึม ตวาดเสียงกร้าว “หลินสวิน เจ้ากล้ามากนักนะ! เพื่อกระทำการชั่วร้าย ถึงกับล่วงเกินผู้อาวุโสเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ช่างไร้มารยาทเหิมเกริมอย่างยิ่ง!”
เสียงสะเทือนเก้าสวรรค์ พาให้ผู้คนแตกตื่น นี่คือการยึดกุมโอกาสหมายยุแหย่ความสัมพันธ์ระหว่างเทพมารหลินและเรือนกระบี่เร้นปุจฉา!
“เจ้ามันกระจอก ถ้ากล้าก็ออกมาสู้กันสักตั้ง!” หลินสวินไม่เกรงใจยิ่ง เขาเกลียดคู่ต่อสู้จอมปลอมเช่นนี้ที่สุด
จงหลีอู๋จี้วางอำนาจน่ายำเกรง นัยน์ตาทองวาบประกายสายฟ้า พลานุภาพข่มผู้คน ตวาดลั่น “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ วันนี้ข้าจะธำรงธรรมแทนสวรรค์ สำเร็จโทษคนคลั่งไร้ขนบธรรมเนียมเช่นเจ้า!”
“พอแล้ว อย่าก่อศึกกันอีก”
ท่านย่ากระเรียนทองโบกมือ “พวกเจ้าอยากต่อสู้ สามารถตัดสินแพ้ชนะที่เทศกาลโคมกถามรรค ถึงเวลานั้นคนแก่อย่างข้าล้วนไม่อาจขัดขวางการโรมรันของพวกเจ้า”
พูดพลางนางปราดมองหลินสวินอย่างมีนัยลึกล้ำ
หลินสวินสะท้านภายในใจ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนตน ถึงแม้วันนี้เปิดฉากเข่นฆ่าใหญ่หลวงก็ไม่อาจสังหารคู่ต่อสู้ได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก ในที่ลับยังมีคนใหญ่คนโตไม่รู้เท่าไหร่กำลังติดตาม แน่นอนว่าไม่มีทางให้ตนทำการฆ่าฟันตามใจ
กลับเห็นจงหลีอู๋จี้ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ผู้อาวุโสกล่าวไม่ผิด ก่อนหน้าข้าก็เคยพูดเช่นนี้ แต่น่าเสียดายกลับมีบางคนเก็บอาการไม่อยู่ กระโดดโหยงเหยงราวตัวตลก พาให้ขบขัน”
สำหรับการเหน็บแนมเช่นนี้ หลินสวินกล่าวตรงไปตรงมา “จำคำเจ้าไว้ รอเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มต้น จะฆ่าเจ้าซะ!”
จงหลีอู๋จี้ยิ้มเยาะ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่!”
…
ศึกโกลาหลกลางเมืองครั้งปิดฉากลง หลินสวินไม่ได้เข้าหอวสันตสารท จากไปพร้อมไป่เฟิงหลิวและเยวี่ยเจี้ยนหมิง
ในใจเขาสะสมไอสังหาร แต่ไม่ได้วู่วาม หมายอาศัยช่วงก่อนเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มต้น ทำความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับงานเทศกาลใหญ่ครั้งนี้โดยละเอียด
“เทพมารหลินสมคำร่ำลือ!”
แม้ศึกใหญ่ปิดฉากลง แต่ผู้ฝึกปราณในที่นั้นยังไม่อาจสงบ นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เห็นกับตาเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกถึงความทรงพลังและป่าเถื่อนของหลินสวินกว่าเดิม
“เด็กหนุ่มซึ่งมาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง ปัจจุบันสามารถมีท่วงท่าแห่งยุคเช่นนี้ ถามตัวเองดูว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์แดนฐิติประจิม ใครสามารถทำถึงขั้นนี้ได้บ้าง ต่อไปหากใครกล้าพูดว่าเทพมารหลินมีแต่ชื่ออีก เช่นนั้นคงเรียกได้ว่าไม่รู้จริง!”
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างค่อนข้างชื่นชม เทพมารหลินมาจากโลกชั้นล่างตัวคนเดียว ไร้ที่พึ่งพิง ผลงานการต่อสู้ติดตัวล้วนใช้กำปั้นตนสร้างมาทั้งสิ้น!
นี่เห็นได้ว่าไม่ง่ายนัก และไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้สืบทอดสำนักโบราณคนอื่นสามารถเทียบได้
“ตัวคนเดียวพิชิตผู้กล้าแห่งยุคสองคน ทั้งประกาศศักดาจะฆ่าจงหลีอู๋จี้ที่เทศกาลโคมกถามรรค พลังต่อสู้และความห้าวหาญเช่นนี้ กวาดตามองทั่วแดนฐิติประจิมใครยังจะเหนือกว่า”
“พวกเจ้าว่าศักยภาพของเทพมารหลินบรรลุถึงขั้นไหนกันแน่ วิปริตเกินไปแล้ว!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์นานัปการดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก
…
หอวสันตสารท
ทั้งหมดแบ่งเป็นเก้าชั้น ภายในยังคล้ายมีฟ้าดินอีกแห่ง หนึ่งชั้นหนึ่งทัศนียภาพ พื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ที่แห่งนี้เคยมีร่องรอยอริยบุคคลบรรพกาล หากอยู่ภายในสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายเก่าแก่เคร่งขรึมได้อย่างชัดเจน
เทศกาลโคมกถามรรคจวนเริ่มต้น ภายในหอวสันตสารทรวมตัวผู้กล้ามากมายซึ่งมาจากต่างบริเวณในแดนฐิติประจิม
ช่วงก่อนหน้านี้ คิดอยากพบผู้กล้าสักคนล้วนยาก แต่ยามนี้ภายในหอวสันตสารทเก้าชั้น เต็มไปด้วยบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์ซึ่งชื่อเสียงสะเทือนแดนดิน เรียกได้ว่าเป็นชุมนุมผู้กล้า
แต่ระหว่างผู้กล้าเองยังมีแบ่งสูงต่ำ เฉกเช่นหอวสันตสารทเวลานี้ เหล่าผู้กล้าซึ่งลงหลักปักฐานอยู่ชั้นแรก คือผู้ที่ไม่อาจเปรียบเทียบกับยอดผู้กล้าซึ่งอยู่บนชั้นเก้า
นี่แหละคือช่องว่าง
ยกตัวอย่างง่ายที่สุด ในแคว้นวิญญาณอัคนี เยวี่ยเจี้ยนหมิงถือเป็นพวกมีอิทธิพลเจิดจรัสยิ่งยวดคนหนึ่ง
แต่หลังจากมาถึงหอวสันตสารทกลับได้อยู่แค่ในชั้นแรก แม้แต่ซาหลู่ผู้ติดตามคนหนึ่งยังกล้าซัดเขาออกไปนอกหอ นี่ก็คือช่องว่างระหว่างเขาและผู้กล้าแห่งยุค
ไม่เพียงเกี่ยวเนื่องกับศักยภาพแห่งตน ยังมีความแตกต่างของตำแหน่งและฐานะด้วย
เหมือนพวกไป๋หลิงซีที่แม้ยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้กล้าแห่งยุค แต่พวกเขามาจากสำนักโบราณแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ!
อาศัยเพียงฐานะเช่นนี้ก็ทำให้เหล่าผู้กล้าบางส่วนไม่อาจล่วงเกิน แน่นอนว่ามีสิทธิ์พักบนชั้นเก้าของหอวสันตสารท
แต่ไม่ว่าอย่างไร สามารถเข้าสู่หอวสันตสารทได้ก็เป็นการยอมรับอย่างหนึ่ง ว่าไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกปราณส่วนมากบนโลกสามารถเทียบได้
“เทพมารหลินนี่ช่างป่าเถื่อนเหลือเกิน ร้ายกาจยิ่งกว่าข่าวลืออยู่บ้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขามาจากโลกชั้นล่าง”
“เฮ้อ ผู้กล้าแห่งยุคอีกคนปรากฏตัว แม้เทศกาลโคมกถามรรคครานี้มีวาสนาแห่งยุคมากมาย เกรงว่าที่สามารถถูกพวกเราช่วงชิงมาคงน้อยจนน่าสงสาร”
“วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้รู้ว่าอะไรคือการต่อสู้ระหว่างผู้กล้าแห่งยุค แต่ละคนวิปริตเสียยิ่งกว่าอีกคน ช่างพาให้ผู้คนสิ้นหวังนัก”
ภายในหอวสันตสารทขณะนี้ล้วนวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด ไม่ว่าผู้กล้าซึ่งนั่งอยู่ชั้นไหนก็ตาม ต่างกำลังถกประเด็นเหตุการณ์ต่อสู้พัลวันที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
อีกไม่กี่วันเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้น ในเวลาเช่นนี้เทพมารหลินปรากฏตัวอย่างแกร่งกร้าว ทำเหล่าผู้กล้ามากมายรู้สึกถึงแรงกดดัน
“ฮึ เขาแข็งแกร่งแล้วอย่างไร ล่วงเกินเหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ จงหลีอู๋จี้ เมื่อเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มต้น เขาต้องพบการโจมตีอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่แน่ว่า… อาจถึงขั้นประสบเคราะห์!”
และมีผู้กล้ามากมายไม่พอใจยิ่ง
พวกเขามองหลินสวินเป็นพวกลวงโลกแอบอ้างชื่อมาตลอด บัดนี้ยิ่งหลินสวินเผยพลังอย่างเจิดจรัส ในใจพวกเขาก็ยิ่งอัดอั้น
“ไม่ผิด เทพมารหลินนี่ก็แค่คนที่มาจากโลกชั้นล่าง ต่อให้ศักยภาพแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นแค่ผู้ฝึกปราณไร้สังกัดคนหนึ่ง แต่เขาดันใจกล้าบ้าระห่ำยิ่ง ครั้งนี้ทำให้เกิดคลื่นลมใหญ่ขนาดนี้ คงถูกผู้คนมองเป็นหนามยอกอกแล้ว!”
ระหว่างที่กำลังสนทนา พลันมีคนหัวเราะกล่าว “คนต่ำช้าอย่างพวกเจ้านี่ แต่ละคนเจตนาคลุมเครือ วาจาเจือรสอิจฉาริษยา ทำได้แค่บ่นงึมงำอยู่ที่นี่ หากให้พวกเจ้าไปเผชิญหน้าเทพมารหลินนั่นจริงคงยอมแพ้ทันที”
ใครกัน?
ทันใดนั้นเหล่าผู้กล้ามากมายสีหน้าพลันอึมครึม หันสายตามองไปทางต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง
นั่นคือภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง สวมจีวรขาว รูปร่างผอมตอบ งามสง่าปลีกโลกา นั่งอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ กำลังหิ้วกาน้ำชาดินม่วงชงน้ำชา
เขาหน้าผากกว้าง ศีรษะเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาใสสงบดุจดาราพรั่งแสงปัญญา แค่มองเพียงครู่ก็สัมผัสถึงท่วงทำนองปราณที่ไร้มลทิน
ผู้กล้าทั้งหมดต่างนัยน์ตาหดรัดลง สังเกตเห็นความไม่ธรรมดาของภิกษุหนุ่มคนนี้
แต่ถึงอย่างไรที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้า ฉับพลันก็มีคนยิ้มเยาะ “ไม่ทราบว่าสหายท่านนี้คือผู้สืบทอดวัดอารามเก่าแก่ไหนหรือ ทำไมกล่าววาจาหลงระเริงเช่นนี้ ไม่มีท่าทางของนักบวชแม้แต่น้อย!”
ภิกษุหนุ่มยิ้มเล็กน้อย ถือถ้วยชาขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ลิ้มรสพลางกล่าวราบเรียบ “นักบวชไม่กล่าวมดเท็จ เห็นอะไรพูดอย่างนั้น หากทุกท่านไม่พอใจก็ลองไปหาเทพมารหลินคนนั้นได้ ถ้าไม่ทำตามถือว่ายอมรับแล้ว”
สีหน้าทุกคนต่างอึมครึม ภิกษุรูปนี้ดูเหมือนสุภาพนุ่มนวล แต่วาจาแหลมคมเหลือประมาณ
อันคำว่าตีคนไม่ตีหน้า เปิดโปงคนไม่ขุดคุ้ย แต่เห็นชัดว่าภิกษุรูปนี้ชำนาญการขุดคุ้ยแผลเก่า ทำทุกคนในที่นั้นต่างชิงชังและไม่ชอบใจ
ทว่าไม่รอพวกเขาเอ่ยปาก ก็เห็นภิกษุหนุ่มรูปนี้ลุกขึ้น อาภรณ์บริสุทธิ์ปลีกโลกงามสง่า ประดุจบัวหิมะดอกหนึ่งซึ่งไม่แปดเปื้อนโลกีย์
“อะไรเรียกว่าผู้กล้า ปรีชาสามารถในหมู่ชน ผู้นำแห่งหมู่ดารา น่าเสียดายในที่แห่งนี้มีคนเพียงบางตาที่เหมาะกับสมญาเช่นนี้”
เขาถอนหายใจแผ่ว คล้ายหมดสนุกอยู่บ้าง ก่อนก้าวออกไปนอกหอวสันตสารท
สีหน้าทุกคนอึมครึมยิ่งกว่าเดิม นี่เท่ากับด่าพวกเขาว่าคุณสมบัติไม่พอเป็นผู้กล้าโดยตรง!
“ดูเหมือนทุกท่านไม่พอใจนัก ช่างเถอะ ข้าจะพูดเหลวไหลสักครั้ง หลังจากนี้หนึ่งปี เมื่อ ‘กระดานทองคำผู้กล้า’ ปรากฏที่ดินแดนรกร้างโบราณใหม่อีกครั้ง ในจตุแดนวิภูมีเพียงเหล่าผู้กล้าที่แท้จริงจึงจะสามารถครองอันดับในนั้นได้”
“ส่วนทุกท่านในที่นี้ เกรงว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนไม่มีคุณสมบัติดันตัวเองขึ้นสู่อันดับบนกระดานทองคำผู้กล้า”
น้ำเสียงราบเรียบดุจวารี ว่างเปล่าและสงบนิ่ง เมื่อเสียงแผ่วลง เงาร่างภิกษุหนุ่มนั่นก็เลือนหายไปจากหอวสันตสารทอย่างไร้วี่แววแล้ว
เหล่าผู้กล้าทั้งหมดในที่นั้นต่างสั่นสะท้านภายในใจ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
กระดานทองคำผู้กล้า?
พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก!
…
ชั้นเก้าหอวสันตสารท ผู้กล้าแห่งยุคทั้งหมดนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน มีหลี่ชิงฮวนผู้สืบทอดสำนักยุทธ์สมุทรคราม มู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอารามพรางมรกต เด็กสาวชุดม่วงผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดม…
ยังมีผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งจากแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ รวมถึงบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ อีก รวมแล้วประมาณสามสิบกว่าคน
หากกล่าวอย่างเคร่งครัด ผู้กล้าแห่งยุคส่วนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในชั้นเก้าหอวสันตสารทแห่งนี้ จึงจะถือเป็นตัวแทนศักยภาพอันแข็งแกร่งที่สุดของคนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม!
ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังวิเคราะห์รายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้เมื่อครู่ มีทัศนคติต่อหลินสวินต่างกันไป แต่หาได้ถกเถียงโต้แย้ง บรรยากาศสันติสุขนัก
แต่เมื่อภิกษุหนุ่มนั่นปรากฏตัวและกล่าววาจาทิ้งท้ายไว้ จึงดึงดูดความสนใจของพวกเขาทุกคน
เพียงชั่วขณะพวกเขาต่างเงียบงันอยู่บ้าง
“ทุกท่าน พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องกระดานทองคำผู้กล้ามาก่อนหรือไม่” มีคนเอ่ยปากทำลายความเงียบ
ทุกคนล้วนส่ายศีรษะ พวกเขาต่างก็ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
แม้แต่พวกไป๋หลิงซีซึ่งเป็นผู้สืบทอดจากแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ เวลานี้ต่างสับสนมึนงง พวกเขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
“เช่นนั้นทุกท่านดูออกหรือไม่ ว่าสหายที่มาจากสำนักพุทธเมื่อครู่นั้นมาจากที่ใด” คนผู้นั้นเอ่ยถามต่อ
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนเงียบงันอีกครั้ง ในแดนฐิติประจิมมีสำนักพุทธบำเพ็ญตนน้อยมาก พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์มีชายหนุ่มผู้บำเพ็ญธรรมที่แยกตัวโดดเด่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“หากข้าเดาไม่ผิด เขาคือผู้สืบทอดมหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะ”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด เสียงไพเราะใสเย็นดุจเสียงสวรรค์ดังขึ้นในชั้นสูงสุดหอวสันตสารท
ตอนที่ 857 กระดานทองคำผู้กล้า
น้ำเสียงใสเย็นดุจน้ำแร่หยาดหยดแผ่วพลิ้ว ชวนรู้สึกจิตใจสงบ
ก็เห็นหญิงสาวเงาร่างทรงสง่า บุคลิกเยียบเย็นดุจหิมะน้ำแข็งผู้หนึ่งปรากฏตัวตรงทางเข้าชั้นเก้าหอวสันตสารทตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
นางสวมชุดกระโปรงสีพื้น ปิ่นไม้หนึ่งปักแทรกบนมวยผม เผยใบหน้าพริ้งเพราขาวกระจ่าง
นางดูเหมือนเพิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปด งดงามแต่กำเนิด คิ้วดำสนิทดุจหมึกเรียวยาว นัยน์ตากระจ่างวาบประกายราวอัญมณี มีไออัศจรรย์วิจิตรแฝงซ่อนตามธรรมชาติ
ทันใดนั้นบุคคลแห่งยุคทั้งหมดในที่นั้นต่างลุกยืนคารวะ
จี้ซิงเหยา!
ธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉา สำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม ทั้งถูกยกย่องว่าเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ มีชื่อเสียงเจิดจรัสเพียงพอทำให้ผู้คนอัศจรรย์ใจ
ในสายตาผู้ฝึกปราณทั่วไป จี้ซิงเหยาไม่ต่างอะไรกับเซียนในตำนาน ฐานะโดดเด่นเหนือใคร
ทว่าเหตุที่บุคคลแห่งยุคทั้งหมด ณ ที่นั้นลุกขึ้นต้อนรับ หาใช่เพราะหวาดกลัวและยำเกรง แต่เป็นมารยาทและการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง
แต่ไม่ต้องสงสัยว่านี่คือการยอมรับต่อฐานะจี้ซิงเหยาประการหนึ่ง
“ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ”
จี้ซิงเหยาก้าวเดินเข้ามา นางประดุจดอกบัวเขียวแผ่วพลิ้ว ขาทั้งสองเรียวยาว เอวบางร่างน้อย ชุดกระโปรงสีพื้นๆ กลับไม่อาจปกปิดเส้นสายโครงร่างที่เรียกได้ว่างามพร้อม
แน่นอนว่านางมีความงามโดดเด่นเพียงพอทำให้ผู้คนตกตะลึง บุคลิกเยียบเย็นดุจหิมะ ผิวหนังกระจ่างเกลี้ยงเกลาราวหยกมันแพะ เปล่งประกายแวววาวดุจเซียนจากสวรรค์มาเยือนแดนโลกีย์ ทำให้แม้คนมองจากที่ห่างไกลยังรู้สึกต่ำต้อยอย่างอดไม่ได้ ไม่กล้ามีจิตคิดดูหมิ่นแม้แต่น้อย
แม้แต่บุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งในที่นั้น ภายในใจยังอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชม จี้ซิงเหยาสมเป็นผู้สืบทอดซึ่งมาจากเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทาน
กระทั่งคนมากมายต่างแทบละเลย ว่าด้านหลังจี้ซิงเหยายังมีหญิงชราผมเงินดุจหิมะผู้หนึ่งติดตามมา
“มิน่าครั้งนี้ศิษย์พี่อวี่หลิงคงถึงได้จริงจังเช่นนี้ ยอมข้ามแดนวิภูมา เดินทางอย่างยากลำบากผ่านพันภูผาหมื่นวารีเพื่อมาพบผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาซึ่งไม่เคยพบหน้ามาก่อนคนนี้ รูปโฉมของแม่นางจี้เรียกได้ว่าธรรมชาติรังสรรค์ งดงามดั่งเทพธิดา!”
ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะคนหนึ่งรำพึงเสียงเบา
คนอื่นต่างรู้สึกแบบเดียวกัน
ทว่าคำพูดเขาแม้แผ่วเบา กลับยังถูกจี้ซิงเหยาได้ยินอย่างไม่มีตกหล่น โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่า ‘อวี่หลิงคง’ หว่างคิ้วพลันขมวดมุ่นอย่างยากสังเกตเห็น
“ทุกท่านสงสัยหรือไม่ เหตุใดผู้สืบทอดมหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะจึงปรากฏตัวที่นี่กะทันหัน”
จี้ซิงเหยานั่งอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ เย็นชาและโดดเด่นอย่างชัดเจน น้ำเสียงนางใสเย็นดุจเสียงสวรรค์ แต่ในชั่วขณะพลันดึงดูดความสนใจของผู้คน
นี่ทำให้ในใจพวกเขาสะท้านไหว ได้สติโดยสมบูรณ์
แดนเร้นอริยะ!
นี่คือคำเรียกขานอย่างยกย่องอย่างหนึ่ง บ่งชี้ถึงสถานที่ลึกลับที่ทั่วโลกไม่รู้จัก โดดเด่นเหนือพิภพ
ในสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ แดนเร้นอริยะซึ่งเป็นที่รู้จักมีเพียงสี่ห้าแห่ง แต่ไม่มีแห่งใดไม่ใช่อาณาเขตปริศนาถึงขีดสุด ตัดขาดจากโลก ในนั้นบ้างยึดครองโดยสำนักซึ่งสืบทอดมายาวนานหาใดเปรียบ บ้างเป็นที่อาศัยของเผ่าพันธุ์โบราณบางเผ่า
หรือบางครา แดนเร้นอริยะบางส่วนถึงขั้นยังคงไว้ซึ่งทัศนียภาพและมรดกจากบรรพกาล!
เฉกเช่นมหาวิหารธรรมนี้ก็อยู่ในแดนเร้นอริยะที่เรียกว่า ‘อนุสุขาวดี’ ซึ่งตั้งอยู่ในแดนวิภูดาราอุดร เป็นสำนักผู้บำเพ็ญธรรมเร้นลับ ความเป็นมายาวนานหาใดเปรียบ เบื้องลึกเบื้องหลังแข็งแกร่ง ถึงขั้นทำให้สำนักโบราณส่วนหนึ่งบนโลกต่างหม่นแสง!
ภิกษุหนุ่มเมื่อครู่นั้นมาจากมหาวิหารธรรมอนุสุขาวดี นี่ช่างชวนตื่นตระหนกจริงๆ
“ง่ายๆ ก็คือ มหาสงครามจวนมาเยือน สำนักโบราณส่วนหนึ่งซึ่งตัดขาดโลกในแดนเร้นอริยะ ต่างเริ่มลงมือวางแผน หมายแสวงหาศุภโชคบางส่วนในมหาสงคราม”
จี้ซิงเหยากล่าวต่อ “ผู้สืบทอดมหาวิหารธรรมคนนั้นมีฉายาสิงเจินจื่อ งามสง่าโดดเด่นพรสวรรค์เป็นเลิศ มีพรสวรรค์ ‘จิตอุบลกระดูกธรรม’ โดยกำเนิด ศักยภาพในรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้แค่ใช้คำว่าลึกล้ำยากหยั่งถึงมาพรรณนา”
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างไหวหวั่น
จี้ซิงเหยาคือบุคคลระดับผู้นำคนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม เป็นผู้กล้าแห่งยุคซึ่งคู่ควรแก่ชื่อเสียง แม้แต่นางยังยกย่องสิงเจินจื่อผู้มี ‘จิตอุบลกระดูกธรรม’ นี่ว่าลึกล้ำยากหยั่งถึง เช่นนั้นคงไม่ต้องสงสัย คนผู้นี้คือบุคคลไร้เทียมทานผู้หนึ่งอย่างไร้ข้อกังขาแน่นอน!
“หรือสิงเจินจื่อนี่จะเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้” มีคนเอ่ยถาม ดึงดูดความสนใจทุกคนทันที
เมื่อครู่นี้เทพมารหลินปรากฏตัวอย่างแกร่งกร้าว เปิดฉากต่อสู้พัลวันสะเทือนใต้หล้า
บัดนี้ยังมีสิงเจินจื่อบุคคลแห่งยุคจากมหาวิหารธรรมอนุสุขาวดีปรากฏตัวอีก นี่จะไม่ให้คนสนใจได้อย่างไร
“เขาคงไม่เข้าร่วม”
จี้ซิงเหยากล่าว “จากที่ข้ารู้ สิงเจินจื่อมาครานี้ แค่คิดจะดูหน่วยก้านผู้กล้ารุ่นเยาว์แดนฐิติประจิมสักหน่อยเท่านั้น เขาไม่ได้สนใจเทศกาลโคมกถามรรค”
นางหยุดไปชั่วขณะ นัยน์ตากระจ่างดุจดวงดาราของนางปรากฏแสงอัศจรรย์เรืองอร่าม น้ำเสียงเจือความผิดแปลกเสี้ยวหนึ่ง “แต่ข้ากลับได้ยินว่า สิ่งที่สิงเจินจื่อสนใจคือ ‘กระดานทองคำผู้กล้า’ ซึ่งจวนจะเผยออกมาทั่วดินแดนรกร้างโบราณหลังจากนี้หนึ่งปี!”
ในใจทุกคนพลันกระตุก ตระหนักถึงความผิดปกติ ทำการซักถามข้อสงสัย
จี้ซิงเหยาก็ไม่ได้ปกปิด กล่าวว่า “สิ่งที่ข้ารู้มีจำกัด แต่จากถ้อยคำไม่กี่คำที่เกี่ยวกับกระดานทองคำผู้กล้า ซึ่งเคยพบในตำราโบราณ…”
ตามคำอธิบายของนาง สมัยบรรพกาลช่วงก่อนกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด กระดานทองคำผู้กล้าก็ดำรงอยู่แล้ว
บนกระดานนี้มีลำดับชื่อหนึ่งร้อยตำแหน่ง มีเพียงผู้กล้าแห่งยุคร้อยคนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันจึงจะสามารถรั้งอันดับในนั้นได้!
“ตามคำเล่าลือกล่าวว่า สมัยบรรพกาลผู้กล้ารุ่นเยาว์ทั่วหมื่นแดนดิน เคยเปิดศึกการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนเพื่อช่วงชิงอันดับบนกระดานทองคำผู้กล้า”
จี้ซิงเหยาพูดเนิบช้า น้ำเสียงงดงามน่าฟัง พาให้บุคคลแห่งยุคในที่นั้นต่างไม่อาจนิ่งสงบ
“กล่าวอย่างไม่เกินจริงแม้แต่น้อย ขอเพียงชื่อสามารถปรากฏบนกระดานทองคำผู้กล้า ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้กล้าซึ่งเจิดจรัสที่สุดแห่งยุคสมัย!”
ภายในโถงเงียบสงัด จิตใจทุกคนกระเพื่อมไหว เข้าใจความเป็นมาของกระดานทองคำผู้กล้าแล้ว ทำให้พวกเขาต่างใจสั่นสะท้าน
สมัยบรรพกาลอันไกลโพ้น เหล่าผู้กล้าดุจหมู่ดาราเหนือฟ้า มากมายนับไม่ถ้วน มีทั้งบุตรเทพโดยกำเนิด ทั้งอัจฉริยะที่หาได้ยาก ทั้งผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น ทั้งทายาททวยเทพซึ่งมีเชื้อสายทรงพลัง…
แค่คิดก็รู้ว่าเหล่าผู้กล้าในสมัยนั้นที่สามารถดันตนเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าได้ จะมีพลังความสามารถพลิกฟ้าระดับใด!
“นี่ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์แห่งฐานะและศักยภาพอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการก้าวสู่ขอบเขตมกุฎราชันระดับสังสารวัฏ”
จี้ซิงเหยาพลันเปลี่ยนประเด็น นัยน์ตากระจ่างเอ่อท้นแสงอัศจรรย์แปลกประหลาด “ขอบเขตมกุฎราชันเลือนรางหาใดเปรียบ ลึกลับไม่อาจพบเจอ เป็นเหมือนฝันในตำนาน แต่ในตำนานเมื่อครั้งบรรพกาล ขอแค่สามารถก้าวขึ้นกระดานทองคำผู้กล้า ก็มีความหวังแห่งการช่วงชิงขอบเขตมกุฎราชันที่แท้จริง!”
ทันทีที่กล่าววาจานี้ออกไป ทุกคนตรงนั้นล้วนสั่นสะท้าน เหล่าบุคคลแห่งยุคไม่อาจนิ่งสงบโดยสิ้นเชิง แต่ละคนสีหน้าผิดแผก นัยน์ตาฉายประกายอัศจรรย์
ยังมีข่าวลือเช่นนี้ด้วย!
กระดานทองคำผู้กล้าถึงขั้นเกี่ยวเนื่องกับหนทางสู่ขอบเขตมกุฎราชันซึ่งยากพบเห็นดุจตำนานนั่น นี่ทำให้ผู้คนตกตะลึงโดยไม่ต้องสงสัย
“ทุกท่าน ผ่านกาลเวลาอันยาวนาน กระดานทองคำผู้กล้าจวนปรากฏบนโลกอีกครั้ง นี่บ่งชี้อย่างไม่ต้องสงสัยว่ามหาสงครามที่แท้จริงใกล้มาเยือนแล้ว ในฐานะสหายร่วมวิถี ข้าหวังว่าแดนฐิติประจิมของเราจะสามารถมีคนขึ้นสู่กระดานนี้ได้มากขึ้น”
จี้ซิงเหยากล่าว สีหน้านิ่งสงบเจือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง นางในเวลานี้เพิ่งสำแดงท่วงท่าของธิดาเทพสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม
ในชั่วขณะทุกคน ณ ที่นั้นต่างตระหนัก จดจำข่าวสารนี้อย่างขึ้นใจ
“แน่นอน สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญตรงหน้านี้คือเทศกาลโคมกถามรรคซึ่งใกล้จะเปิดฉากนี้”
จี้ซิงเหยาราวคุมอำนาจการพูดคุย ณ ที่นั้นอยู่หมัด คำพูดเพียงประโยคเดียวดึงดูดความสนใจทุกคนอีกครั้ง
“เทศกาลโคมครานี้เหนือกว่าอดีตที่ผ่านมา ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ จะมีบุคคลเก่งกาจคาดไม่ถึงมากมายมาเข้าร่วม”
“และนี่ยังมีนัยว่า หากหมายช่วงชิงวาสนาใหญ่ในเทศกาลโคมกถามรรค การต่อสู้แย่งชิงจะต้องเหี้ยมโหดและดุเดือดกว่าแต่ก่อน!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เสียงปรบมือพลันดังขึ้น ที่ตามเสียงปรมมือมา คือชายหนุ่มชุดเขียวเข็มขัดหยก ท่าทางงามสง่าผู้หนึ่งเดินเข้ามายังชั้นเก้าหอวสันตสารท
“คำพูดของแม่นางจี้ล้วนถูกต้อง มหาสงครามใกล้มาเยือน หมื่นผู้กล้าต่างขันแข่งแย่งชิง หากคิดโดดเด่นแตกต่างต้องเหี้ยมโหดกว่าเคย คนที่สามารถทะยานสูงเหนือเบื้องบนมีเพียงหยิบมือ ส่วนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนถูกกำหนดให้ต้องถูกคัดออก กลายเป็นดั่งหินรองเท้า”
เสียงของชายหนุ่มนุ่มนวลดุจหยก กระจ่างดั่งกลองระฆัง แฝงท่วงทำนองเฉพาะตัว
ท่าทางเขาเรียกได้ว่าโดดเด่นเหลือประมาณ คิ้วกระบี่ตาดารา ผิวขาวกระจ่าง ผมดำทั้งศีรษะทิ้งตัวลง อิริยาบถดุจหงส์มังกรโดดเด่นเหนือผู้อื่น ทันทีที่ปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาผู้คน
เหล่าผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะอย่างพวกไป๋หลิงซีต่างลุกขึ้นคารวะ “คารวะศิษย์พี่อวี่!”
ไม่จำเป็นต้องสงสัย ชายหนุ่มผู้นี้คือยอดบุคคลแห่งยุคของแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ อัจฉริยะซึ่งมีพรสวรรค์ล้ำเลิศแต่เยาว์วัย… อวี่หลิงคง!
เขาคือผู้ที่เรียกได้ว่าไร้ที่ติคนหนึ่งอย่างแท้จริง แกนกระดูกแข็งแกร่ง พรสวรรค์ล้ำเลิศ มีท่วงท่าสง่างามครองพิภพ ฐานะก็ทรงอิทธิพลหาใดเปรียบ
ตระกูลอวี่ของเขาคงอยู่ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน คนในตระกูลล้วนแต่เป็นคนใหญ่โตมีชื่อเสียงเลื่องลือในแดนกาฬทักษิณ มีอริยะที่แท้จริงผู้หนึ่งคอยควบคุมดูแล
และเขายังฝากตนเป็นศิษย์ในแดนพิสุทธิ์อมตะ เรียกได้ว่าหากกล่าวถึงฐานะและภูมิหลัง เหล่าผู้ฝึกปราณส่วนมากบนโลกนี้ไม่อาจเทียบเขาได้
นี่ก็คืออวี่หลิงคง ประดุจผู้ได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ ทำให้ผู้คนล้วนยากจะชิงชัง ด้วยมีระยะห่างแตกต่างมากอย่างแท้จริง
คนอื่นๆ ต่างนัยน์ตาหดรัด คนไม่น้อยถึงขั้นเผยความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่ง แม้พวกเขาจะเป็นบุคคลชั้นยอดเช่นกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่มีโชควาสนาดี มีภูมิหลังยิ่งใหญ่อย่างอวี่หลิงคง ก็ยังคงรู้สึกถึงแรงกดดันประการหนึ่งโดยปริยาย
มีเพียงจี้ซิงเหยาที่ขมวดคิ้วมุ่น คล้ายไม่ยินดีกับการมาอย่างกะทันหันของอวี่หลิงคงเท่าไร แต่ก็ไม่ได้เผยอาการขับไล่ไสส่งออกมา พอฝืนเรียกได้ว่าเฉยเมยเย็นชา
อวี่หลิงคงกลับคล้ายไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เขายิ้มเล็กน้อย มุ่งตรงมานั่งลงข้างจี้ซิงเหยา จากนั้นจึงพูด “น่าเสียดาย ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง ได้ยินว่าเมื่อครู่เทพมารหลินนั่นเปิดฉากต่อสู้โกลาหลสะเทือนใต้หล้า ไม่ได้เห็นด้วยตัวเองช่างน่าเสียดายจริงๆ”
เทพมารหลิน!
ไม่มีคนสังเกตเห็นว่าเมื่อได้ยินคำเรียกขานนี้ ในใจจี้ซิงเหยาพลันเกิดคลื่นถาโถมไม่อาจระงับวูบหนึ่ง ใบหน้างดงามซึ่งเรียกได้ว่าหาใดเปรียบฉายแววขุ่นเคืองอย่างยากสังเกตเห็น
ด้วยเหตุนี้ จี้ซิงเหยาจึงออกจะไม่ชื่นชอบอวี่หลิงคงที่กล่าวถึงเทพมารหลินยิ่งกว่าเดิม…
ตอนที่ 858 ศรลับยากป้องกัน
“จุ๊ๆ น้องหลิน จากวันนี้เป็นต้นไป แดนฐิติประจิมแห่งนี้ย่อมบังเกิดระลอกคลื่นมหึมาอย่างแน่นอน และกิตติศัพท์ของน้องหลินจะต้องห้อทะยานขึ้นไประดับใหม่!”
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ณ เมืองผาดารา สีหน้าไป่เฟิงหลิวโลดแล่น พูดน้ำลายแตกฟอง
เขาฮึกเหิมยิ่ง เมื่อนึกถึงศึกอลหม่านสะท้านโลกที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่ ใบหน้าชราพลันตื่นเต้นจนเปล่งประกาย
น้องหลิน?
หลินสวินลอบดูแคลนอยู่ในใจ เจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ช่างไหลลื่นเสียจริงๆ ตีสนิทกับตนอย่างแยบยลทีเดียว
“หลินสวิน ข้ากลับรู้สึกว่าหลังจากการต่อสู้วันนี้ เกรงว่ารังแต่จะทำให้เจ้าตกเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่าเดิม” เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสียงขรึม
ไป่เฟิงหลิวอึ้งงัน จากนั้นจึงกล่าวอย่างขึงขัง “นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งจริงๆ อย่างไรเสียวันนี้เจ้าก็แสดงความกร้าวแกร่ง เกือบสังหารชิงเหลียนเอ๋อร์คนนั้นไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เขียวพวกนั้นจะต้องแค้นเจ้าฝังหุ่นเป็นแน่”
“นอกจากนี้ยังมีซาหลิวฉานที่ถูกเจ้าเอาชนะคนนั้นอีก ต้องไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเล่นงานเจ้าอีกครั้งยามเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น”
กลับเห็นเยวี่ยเจี้ยนหมิงส่ายหน้า “ไม่เพียงเท่านี้ ละแวกหอวสันตสารทในวันนี้มีบุคคลไร้เทียมทานรวมตัวกันไม่รู้ตั้งเท่าไร พวกเขาเห็นการต่อสู้ครั้งนี้กับตาตัวเอง ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีความคิดอื่นใดเป็นพิเศษต่อหลินสวิน”
หลินสวินหรี่ตาลง ความจริงแล้วครั้งนี้ยามที่ต่อสู้กับซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์นั้น เขาก็ตระหนักว่าภายใต้สายตาจับจ้องของกลุ่มคน แทบเป็นเรื่องยากที่จะฆ่าสองคนนี้ให้ตายอย่างสิ้นเชิง
เหตุผลนั้นง่ายดาย ทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นบุคคลแห่งยุค ครั้งนี้มุ่งหน้ามาร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ข้างกายจะต้องมียอดฝีมือคอยอารักขาอยู่เป็นแน่
นอกจากนี้หลินสวินยังสงสัยยิ่ง ว่าในมือบุคคลแห่งยุคอย่างซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์ จะต้องมีไพ่ตายรักษาชีวิตมากมายอยู่แล้ว
อย่างไรเสียเมื่อพวกเขาประสบเคราะห์ ขุมอำนาจที่หนุนหลังพวกเขาเหล่านั้นก็จะต้องซัดโจมตีอย่างหนัก สร้างความเสียหายย่อยยับเป็นล้นพ้นอย่างแน่นอน!
ตอนนั้นการปรากฏตัวของท่านย่ากระเรียนทองก็ได้พิสูจน์การคาดเดาของหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คิดจะฆ่าบุคคลแห่งยุคระดับซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายขนาดนั้น
คิดถึงตรงนี้หัวใจหลินสวินเต้นแรง ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวถามว่า “เจ้าไป่ เจ้ารู้จักท่านย่ากระเรียนทองคนนั้นหรือไม่”
ไป่เฟิงหลิวกล่าวอย่างสบายๆ “หญิงชราคนนี้เป็นคนร้ายกาจคนหนึ่ง ระดับอาวุโสในเรือนกระบี่เร้นปุจฉาสูงส่งถึงขีดสุด แม้แต่ยามที่มู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนปัจจุบันเผชิญหน้ากับหญิงชราคนนี้ ก็ยังต้องให้ความเคารพอยู่สามส่วน”
กล่าวถึงตรงนี้ไป่เฟิงหลิวพลันเบิกตาโพลง ตบต้นขาหนึ่งฉาดกล่าวว่า “ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน! ในเมื่อท่านย่ากระเรียนทองปรากฏตัววันนี้ เช่นนั้นจะต้องเป็นเพราะว่าจี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนนั้นมาถึงแล้วนั่นเอง!”
จี้ซิงเหยา?
สีหน้าท่าทางของหลินสวินแปลกไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ทำไมถึงพูดเช่นนี้”
ไป่เฟิงหลิวกล่าวอธิบาย “ในแดนฐิติประจิม ณ ปัจจุบัน รู้กันเกือบทุกคนว่าเพื่อปกป้องจี้ซิงเหยา เรือนกระบี่เร้นปุจฉาเชิญท่านย่ากระเรียนทองคนนี้ออกมาติดตามเป็นเงาตามตัวอยู่ข้างกายจี้ซิงเหยาโดยไม่เสียดาย นี่ก็มีนัยว่าขอเพียงท่านย่ากระเรียนทองปรากฏตัว จี้ซิงเหยาก็อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง!”
‘ที่แท้นางก็คือจี้ซิงเหยานี่เอง…’
ชั่วครู่ในสมองของหลินสวินก็ผุดภาพเด็กสาวคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายเยียบเย็นดั่งหิมะ เงียบขรึมสันโดษ สวมชุดกระโปรงสีดำทั้งตัว รูปร่างอรชร ดวงหน้าถูกหน้ากากสีเงินปกปิดไปครึ่งซีก เผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาใสกระจ่างดุจดวงดาราคู่หนึ่ง และริมฝีปากแดงฉ่ำเอิบอิ่มคู่นั้น
เด็กสาวสวมหน้ากากลึกลับคนนั้น ที่ประมือกับตนในลานประลองยุทธ์หมอกสนของนครเตโช!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินสวินก็จนวาจาในบัดดล เด็กสาวที่ทระนงตนหาใดเปรียบคนนั้น ก็คือจี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ใครจะกล้าเชื่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ที่หลินสวินค่อนข้างใจฝ่อก็คือ ในตอนนั้นยามที่ประมือกับจี้ซิงเหยา เขาเคยชนบั้นท้ายของเด็กสาวคนนี้อย่าง ‘ไม่ทันระวัง’ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดบางประการ ทำเอาฝ่ายหลังเคียดแค้นแทบคลั่งในทันที หากไม่ใช่เพราะเขาเผ่นอย่างรวดเร็ว ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดข้อพิพาทมากมายเท่าไรกัน
ปวดหัวนัก!
มุมปากของหลินสวินกระตุกขึ้นอย่างจับสังเกตได้ยาก หากเขารู้แต่แรกว่าเด็กสาวที่ทระนงตนถึงที่สุดคนนั้นคือจี้ซิงเหยา เขาจะคารวะอยู่ห่างๆ อย่างแน่นอน
ช่วยไม่ได้ เด็กสาวคนนี้ถูกขนานนามว่าเป็นแนวหน้าของคนรุ่นเยาว์ในแดนฐิติประจิม ราวกับเทพเซียนบนแดนสรวง ถูกผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตื๊ออย่างคลั่งไคล้
ขอเพียงสร้างความเกี่ยวข้องบางอย่างกับนาง จะต้องนำมาซึ่งความวุ่นวายมากมายที่ไม่อาจคาดเดาได้
“น้องหลิน เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า… เจ้าดูเหมือนจะมีความคิดพิเศษบางอย่างต่อจี้ซิงเหยา?” ทันใดนั้นใบหน้าชราของไป่เฟิงหลิวพลันชะโงกเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ ทำหน้าคลุมเครือและอยากรู้อยากเห็น
ผัวะ!
หลินสวินตบเข้าที่ท้ายทอยของเขาหนึ่งฉาด กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดอุตริให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิงทระนงตนหาใดเปรียบคนนี้แม้แต่นิดเดียว”
เพียงแต่ไป่เฟิงหลิวยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวแย้มยิ้มยิงฟันว่า “เจ้าไม่เคยเห็นจี้ซิงเหยาด้วยซ้ำ ไฉนจึงรู้ว่านางทระนงตนยิ่งนัก”
ไม่อาจไม่พูด สังหรณ์ของไป่เฟิงหลิวคนนี้โคตรแม่นยำซะจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นชายที่จะหมายมั่นปั้นมือจะเป็นราชาแห่งข่าวสาร
เมื่อเห็นสีหน้าหลินสวินเริ่มดูมืดทะมึนขึ้นมา ไป่เฟิงหลิวหัวเราะร่วนทันที ไม่เอ่ยถึงประเด็นนี้อีก เพียงแต่ในใจเขารู้สึกเปี่ยมสุขหาที่เปรียบไม่ได้ ลางสังหรณ์ที่บ่มเพาะมาจากการสืบข่าวนานหลายปีบอกเขาว่า เทพมารหลินจะต้องมีเรื่อง ‘ชู้สาว’ กับจี้ซิงเหยาเป็นแน่แท้!
‘แหมๆ เมื่อครู่เพิ่งจะเกี้ยวพาแม่นางคนหนึ่งที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะ ยามนี้ดันมีความสัมพันธ์ที่อธิบายไม่ถูกกับธิดาเทพคนปัจจุบันแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอีก นี่เทพมารหลินกำลังเล่นบทรักสามเส้า หรือว่าสองนางแย่งสามีอยู่กันแน่’
ไป่เฟิงหลิวคิดเตลิดเปิดเปิง ลอบตัดสินใจเด็ดขาด จะต้องขุดคุ้ยเรื่องภายในนั้นออกมาให้จงได้หากมีโอกาส เมื่อปล่อยข่าวพวกนี้ออกไป ต้องทำให้คนทั้งโลกตกใจจนลูกตากระเด็นเป็นแน่!
หากหลินสวินรู้ถึงความคิดของเจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ เกรงว่าคงไม่พ้นสับเขาทันที
หลินสวินกำลังขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเทศกาลโคมกถามรรคกับเยวี่ยเจี้ยนหมิง
จากคำบอกเล่าของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ไม่ว่าผู้กล้าคนใดก็ตามที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ต่างก็ต้องได้รับบททดสอบชุดหนึ่ง
ถึงตอนนั้นบนเขาพยับครามลูกนั้น ต้นโคมสำริดมรรคโบราณจะปรากฏ ควบรวมดอกตูมสำริดออกมาดอกแล้วดอกเล่า
พร้อมกันนั้นทั่วทั้งเขาพยับครามจะถูกปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามลึกลับหนึ่งชั้น ทำให้ทั้งภูเขากลายเป็นโลกเร้นลับน่าพิศวงหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง
หากต้องการเข้าร่วมถกมรรค ช่วงชิงวาสนา ก็จำเป็นต้องผ่านบททดสอบด่านแล้วด่านเล่า จนกระทั่งเข้าสู่ส่วนลึกที่สุดในโลกลึกลับ จึงจะสามารถมองเห็น ‘ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ’ อย่างแท้จริง แสวงหาศุภโชคและวาสนาที่ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างฝันใฝ่ปรารถนา!
หลินสวินฟังถึงตรงนี้ สีหน้าเริ่มแปลกไปเล็กน้อย เขาพยับคราม ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ โลกลึกลับ บททดสอลด่านแล้วด่านเล่า วาสนาและศุภโชค…
เขารู้สึกว่านี่ดูไม่เหมือนการถกมรรค ตรงข้ามกลับดูเหมือนเลือกเฟ้นลูกศิษย์ไม่มีผิด มีเพียงผู้ที่ผ่านบททดสอบและผ่านการคัดเลือก จึงจะได้รับวาสนา
เวลานี้เองไป่เฟิงหลิวกระเถิบเข้ามาใกล้แล้วกล่าวด้วยท่าทีลึกลับ “ตามบันทึกโบราณที่บรรพบุรุษเผ่าข้าเหลือทิ้งไว้ ในช่วงบรรพกาล เขาพยับครามเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่ง บนนั้นมีสำนักสูงสุดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มีอริยบุคคลมากมายเป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่ในนั้น เปิดแท่นถ่ายทอดวิชา บรรยายแก่นจริงแท้มหามรรค มีศิษย์ในสำนักจำนวนนับไม่ถ้วน”
“แต่เพราะสาเหตุที่ไม่อาจล่วงรู้บางประการ สำนักสูงสุดแห่งนี้ไม่ได้ดำรงอยู่สืบมา หากแต่ดับสูญไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา”
“วิเคราะห์ตามข่าวสารที่บรรพบุรุษเผ่าวาทวาโยของข้ารวบรวมไว้ เขาพยับครามแห่งนี้จะต้องเป็นแดนประตูภูเขาที่สำนักสูงสุดแห่งนั้นหลงเหลือไว้อย่างแน่นอน!”
“และต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้น ก็คือ ‘ต้นไม้แห่งการถ่ายทอดมรรค’ ในสำนักสูงสุดแห่งนั้น เป็นที่มาและรากฐานของสำนักนี้นั่นเอง!”
หลินสวินและเยวี่ยเจี้ยนหมิงต่างสะท้านไหว เขาพยับครามและต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้นถึงกับมีข่าวลือพรรค์นี้ด้วยหรือ
“แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น เรื่องราวในยุคบรรพกาลนั้นห่างไกลและริบหรี่เกินไป ใครก็ไม่สามารถสอดส่องความจริงทั้งหมดทั้งมวลได้” ไป่เฟิงหลิวกล่าว
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่หลินสวินกลับรู้สึกอยู่รำไรว่าข่าวลือนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง
……
เวลาเคลื่อนคล้อย สามวันผ่านไปในพริบตา
หลินสวินไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลอีก เอาแต่ปรับลมปราณและเคี่ยวกรำปราณของตัวเอง เพื่อให้ตนอยู่ในสภาวะสูงสุดยามที่เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มต้นขึ้น
เยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ทำเช่นเดียวกัน มีเพียงไป่เฟิงหลิวที่หมู่นี้เอาแต่ไปสืบข่าวอยู่ข้างนอก เจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ไม่หยุดพักสักพริบตาเดียว อุทิศแรงกายทั้งหมดให้กับการสืบข่าว ช่างไม่เสียแรงที่เป็นสายสืบมือฉมังแห่งเผ่าวาทวาโย
ในช่วงเวลานี้มีผู้กล้ามากมายจากอาณาเขตต่างๆ ในแดนฐิติประจิมหลั่งไหลเข้าสู่เมืองผาดาราอย่างต่อเนื่อง ในนั้นไม่ขาดบุคคลแห่งยุคไร้เทียมทาน ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เมืองผาดารายิ่งครึกครื้นมากขึ้นเรื่อยๆ รุ่งเรืองเป็นประวัติการณ์ บนถนนใหญ่ตรอกซอยเล็กมีเงาร่างผู้ฝึกปราณให้เห็นทุกหย่อมหญ้า
กระทั่งบรรดาผู้กล้าที่ยามปกติยากจะพบเห็น ยังมีให้เห็นทั่วไปในที่แห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่ง
ขณะเดียวกันกับที่เทศกาลโคมกถามรรคกำลังจะเปิดฉาก ทั่วทั้งเมืองผาดาราก็กลายเป็นจุดรวมความสนใจจากทั่วแดนฐิติประจิม
ขุมอำนาจใหญ่ ตระกูลใหญ่นับไม่ถ้วนต่างพากันทอดสายตามองมาที่เมืองผาดารา ให้ความสนใจและตั้งตาคอยข่าวสารใหม่ล่าสุดต่างๆ
สามารถคาดเดาได้ว่าเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้จะต้องเป็นหมู่ดาวเจิดจรัส ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ และจะต้องเกิดศึกชิงอำนาจและการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกไม่รู้เท่าไรเป็นแน่!
หนึ่งวันก่อนเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้น ข่าวฮือฮาหาที่เปรียบไม่ได้แพร่สะพัดทั่วเมืองผาดารา ก่อให้เกิดระลอกคลื่นยักษ์
บางคนโพล่งด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าบนตัวเทพมารหลินมีศุภโชคพลิกฟ้า ซ้ำยังครอบครองสมบัติอริยะเอาไว้ด้วย เรียกได้ว่าสะท้านโลก นี่จึงทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากโลกชั้นล่างอย่างเขา ถอดคราบเปลี่ยนร่างกลายเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่พลังต่อสู้น่าสะพรึง สามารถบดขยี้คนรุ่นเดียวกันได้!
ครั้นข่าวนี้แพร่ออกไป ไป่เฟิงหลิวตกใจหน้าถอดดสี นั่งไม่ติดพื้นโดยสิ้นเชิง รีบร้อนไปหาหลินสวินทันที
เมื่อหลินสวินรู้เรื่องทั้งหมด เมฆหมอกพลันปรากฏขึ้นในใจทันที พรุ่งนี้เทศกาลโคมกถามรรคก็จะเปิดม่านอยู่แล้ว แต่วันนี้ดันมีข่าวพรรค์นี้แพร่งพรายออกไป นี่เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจฉวยโอกาสนี้เล่นงานเขา!
สมบัติอริยะ เพียงแค่คำนี้ก็เพียงพอทำให้ทุกคนตาร้อนผ่าว พาให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันบางส่วนใจเต้นน้ำลายหก
ข่าวที่เกี่ยวกับหลินสวินเช่นนี้แพร่ออกไป นี่เป็นการปลุกปั่นและกระตุ้นหัวใจทุกผู้คน ผลักหลินสวินไปอยู่ในตาพายุในชั่วขณะอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะต้องดึงดูดสายตาที่คอยสอดส่องและโลภโมโทสันได้อย่างมากมายเป็นแน่
ขอเพียงมีคนอดกลั้นไม่อยู่ ก็จะเกิดเรื่องแน่นอน!
บนโลกใบนี้ เรื่องฆ่าคนชิงสมบัติไม่ใช่เรื่องแปลก
ดังคำกล่าวที่ว่าคนไม่ผิด ผิดที่ถือครองหยก ยามที่เผชิญหน้ากับ ‘สมบัติอริยะ’ ที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังอาจอดไม่อยู่จะลงมือช่วงชิงด้วย!
คนที่ปล่อยข่าวนี้ต้องมีเจตนาชั่วร้าย เลวทรามหาใดเปรียบ หมายจะทำให้หลินสวินกลายเป็นเป้าของทุกคนก่อนที่เทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
ตอนที่ 859 ถูกหมายหัว
“สถานการณ์เลวร้ายแล้ว!”
ไป่เฟิงหลิวเป็นถึงสายสืบมือฉมังของเผ่าวาทวาโย มักแพร่กระจายข่าวสารต่างๆ อยู่เสมอ ประสาทสัมผัสก็ไวต่อความรู้สึกของผู้ฝึกปราณทั่วไปด้วย
เขาระบุได้ในทันทีว่ามรสุมโจมตีหลินสวินฉากหนึ่งกำลังจะมา!
เหตุผลนั้นง่ายมาก หลินสวินผงาดเร็วเกินไปนั่นเอง!
เมื่อครึ่งปีก่อนแดนฐิติประจิมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนชื่อนี้อยู่ด้วย แต่เพียงช่วงเวลาไม่กี่เดือนสั้นๆ เขาผงาดกร้าวอย่างแข็งแกร่ง สำแดงความโดดเด่น ก่อให้เกิดคลื่นลมไม่รู้เท่าไร
เริ่มจากการประลองสะท้านโลกครั้งหนึ่งกับเด็กสาวสวมหน้ากากลึกลับที่นครเตโช จากนั้นยังเป็นศัตรูกับผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมากมาย เปิดฉากการไล่ล่าดุเดือดที่ได้รับความสนใจไปทั่ว
จวบจนบัดนี้ ยิ่งเอาชนะซาหลิวฉาน เกือบสังหารชิงเหลียนเอ๋อร์ด้วยตัวคนเดียวภายใต้สายตาที่จับจ้องของเหล่าผู้กล้า…
ยามนี้ทั่วโลกต่างรู้ว่าเทพมารหลินมาจากโลกชั้นล่าง แต่เด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างคนนี้ดันผงาดง้ำอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานชื่อก้องแดนฐิติประจิม จะไม่ให้ผู้คนคิดมากก็คงยาก!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อข่าวแพร่ออกมาว่าเทพมารหลินครอบครองมหาศุภโชค ซ้ำยังมีสมบัติอริยะที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน แค่คิดก็รู้ว่าเมื่อผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้เข้าจะคิดอย่างไร
“เป็นใครกันแน่”
หลินสวินขมวดคิ้ว จมสู่ภวังค์ความคิด ตั้งแต่เขาเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณจนถึงตอนนี้ ได้ล่วงเกิดผู้คนไปไม่น้อยจริงๆ แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน กลับไม่สามารถระบุได้ว่าใครที่ทำเช่นนี้กันแน่
เพราะมีผู้ต้องสงสัยมากเกินไป ทั้งเซี่ยอวี้ถัง ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ จงหลีอู๋จี้…
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ข่าวพรรค์นี้ก็แพร่ออกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานพิสูจน์อะไรเลยสักนิด ก็สามารถทำให้เขากลายเป็นเป้าโจมตีได้!
“น้องหลิน บนตัวเจ้าคงไม่ได้… มีสมบัติอริยะจริงๆ หรอกกระมัง” ลังเลอยู่นาน ไป่เฟิงหลิวก็อดถามออกมาไม่ได้
หลินสวินปรายตามองเขาปราดหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ไป่เฟิงหลิวพิพักพิพ่วน รีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ข้าไหนเลยจะรู้ แต่ไม่ว่าเจ้าจะครอบครองสมบัติอริยะหรือไม่ สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่สู้ดีจริงๆ พรุ่งนี้เทศกาลโคมกถามรรคก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ดันเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้เสียได้ นี่เห็นชัดเลยว่ากำลังจ้องเล่นงานเจ้าอยู่!”
หลินสวินพยักหน้า นัยน์ตาดำของเขาลุ่มลึก ทอประกายเย็นเยียบ ไม่ว่าเป็นใคร หากคิดอาศัยเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้จัดการเขา ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนทั้งนั้น!
“กล่าวถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นเพราะเจ้าผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปอยู่ดี”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน เจือแววชื่นชม และมีความรู้สึกหดหู่ประการหนึ่ง
จากนั้นเขาก็เก็บอารมณ์กล่าวอย่างจริงจัง “หอกซึ่งหน้าหลบเลี่ยงง่าย ศรในที่ลับยากป้องกัน คนปล่อยข่าวในครั้งนี้อำมหิตหาที่เปรียบไม่ได้ เล็งเห็นโอกาสเหมาะ ก็ทำให้เจ้าตกเป็นเป้าโดยที่แทบไม่ได้เปลืองแรงอะไรเลย สามารถคาดเดาได้ว่ายามที่เจ้าเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค จะต้องมีคนสะกดความรู้สึกล่อหูล่อตานี้ไม่ไหว แล้วกระโจนออกมาเล่นงานเจ้าอย่างแน่นอน”
ไป่เฟิงหลิวทอดถอนใจ “เรื่องคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ ทุกคนต่างรู้กันทั่วว่าหลินสวินมาจากโลกชั้นล่าง หนึ่งคือไม่มีภูมิหลัง สองคือไร้ที่พึ่ง เรียกได้ว่าโดดเดี่ยวลำพัง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าใครอยากจัดการหลินสวิน ก็ไม่ต้องมีความกังวลและกริ่งเกรงใดๆ ทั้งนั้น”
สิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริง หากหลินสวินเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณบางแห่งในแดนฐิติประจิม แม้ผู้คนจะรู้ว่าบนตัวเขามีศุภโชค ถือครองสมบัติอริยะ หากคิดจะจัดการเขาก็ต้องชั่งใจถึงผลที่ตามมาอยู่บ้าง
แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าหลินสวินไม่มีเงื่อนไขข้อนี้!
เห็นว่าทั้งคู่ต่างหวั่นวิตก หลินสวินก็อึ้งงันอย่างไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า “สนไปไยว่าเขาเป็นใคร ในเทศกาลโคมกถามรรค ข้าจะบั่นคอจงหลีอู๋จี้ หากมีคนอื่นๆ กล้าพรวดพราดออกมา แค่ฆ่ามันซะก็สิ้นเรื่อง”
คำพูดเหล่านี้เรียบง่ายยิ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ากร้าวแกร่งหาใดเปรียบ ไอสังหารพวยพุ่ง
ทันใดนั้นในใจไป่เฟิงหลิวและเยวี่ยเจี้ยนหมิงพลันสั่นสะท้าน รู้ว่าหลินสวินถูกยั่วโมโหจนเกิดจิตสังหารขึ้นในใจแล้วจริงๆ!
ครู่ใหญ่ให้หลัง ไป่เฟิงหลิวเกาหัวแกรกๆ กล่าวว่า “ทำไมจู่ๆ ข้าถึงเริ่มรู้สึกเวทนาศัตรูที่ไม่ลืมหูลืมตาพวกนั้นขึ้นมาเสียแล้ว”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงกล่าวอย่างเห็นด้วยสุดซึ้ง “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
…
ในเมืองผาดารา ลมเมฆกระโชกพลุ่งพล่าน
หลังจากข่าวเกี่ยวกับหลินสวินแพร่ออกไป ความโกลาหลที่เกิดขึ้นก็หนักหนาเกินไปจริงๆ
หากเป็นเมื่อก่อน จะต้องมีคนมากมายแค่นเสียงขึ้นจมูกไม่เชื่อข่าวลือพรรค์นี้
แต่ยามนี้ผู้ฝึกปราณมากมายต่างมั่นใจว่าเทพมารหลินเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่คู่ควรแก่ชื่อเสียง ป่าเถื่อนดุร้าย แม้แต่ซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ชื่อเสียงของหลินสวินก็ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ได้รับคำชมต่างๆ ที่ไม่อาจคาดคิด
แต่ว่าหลังจากข่าวนี้แพร่ออกมา กลับทำให้ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่เริ่มเชื่อว่าหลินสวินครอบครองศุภโชค ซ้ำยังถือครองสมบัติอริยะไร้เทียมทานบางอย่างอยู่จริงๆ ไม่เช่นนั้นเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งอย่างเขามีหรือจะครอบครองพลังต่อสู้น่าสะพรึงระดับนี้ได้
“เป็นศุภโชคระดับใดกันแน่ ถึงกับทำให้เด็กหนุ่มโลกชั้นล่างคนหนึ่งลอกคราบกลายเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานที่สามารถสยบคนรุ่นเดียวกันได้”
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างใจเต้นระส่ำ คาดเดากันไปต่างๆ นานา คิดว่าหลินสวินอาจได้รับมรดกวิชาพลิกฟ้าบางอย่าง หรือไม่ก็ได้รับสมบัติอริยะระดับสูงอย่างหนึ่ง
กระทั่งมีคนสงสัยว่าหลินสวินได้รับมรดกตกทอดจากอริยะแล้ว ไม่เช่นนั้นมีหรือจะครอบครองสมบัติอริยะไร้เทียมทานได้
สรุปแล้วการคาดเดาและวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณมากหน้าหลายตาบังเกิดความคิดและมโนคติอันละเอียดอ่อนบางอย่างขึ้นอย่างไร้ร่องรอย
แม้แต่ยามที่เหล่าผู้กล้าบางส่วนกำลังถกเถียงเรื่องนี้กันอยู่ สีหน้ายังเจือความผิดแผกไม่มากก็น้อย ถึงแม้ภายนอกจะไม่พูดอะไร แต่ในใจมีความคิดมากมายตั้งแต่ต้นแล้ว
“นี่จึงจะสมเหตุสมผล เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากโลกชั้นล่าง กลับกลายเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานดุจดั่งมัจฉาทองกลายร่างเป็นมังกร หากบอกว่าเขาไม่มีศุภโชคบางอย่าง นั่นสิถึงเรียกว่าไม่ปกติ!”
นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองของซาหลิวฉานหลังจากรู้ข่าวพวกนี้
“ศิษย์น้องเซี่ย เจ้ากับหลินสวินคนนี้มาจากที่เดียวกัน เรื่องนี้จริงหรือไม่”
จั๋วขวงหลันแห่งสำนักกระบี่โผผินก็ไม่สามารถเยือกเย็นได้ อดซักถามออกไปไม่ได้
“ข้า…”
เซี่ยอวี้ถังอ้าปากพะงาบๆ กลับไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ในใจค่อนข้างอัดอั้น นี่จะให้เขาตอบอย่างไร
ไม่ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ ท้ายที่สุดล้วนไม่ได้ต่างอะไรจากการยกยอปอปั้นหลินสวินคนนั้นเลย!
……
“ศิษย์น้องหลิงซี สหายเจ้าคนนั้นครอบครองศุภโชคใหญ่ที่น่าเหลือเชื่อบางอย่างตามที่เล่าลือกันขนาดนั้นเชียวหรือ”
แม้แต่ผู้สืบทอดที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณเหล่านั้น ยังพากันไปไล่เลียงไป๋หลิงซีอย่างไม่อาจสงบอารมณ์ได้
“พวกท่านคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าวาสนาสร้างทุกสิ่งที่เขามีในวันนี้ทั้งหมดอย่างนั้นหรือ” ไป๋หลิงซีย้อนถาม
บนดวงหน้างามวิไลโดดเด่นของนางเจือความไม่สบอารมณ์ “หนทางแห่งการฝึกปราณ สิ่งที่ฝึกคือจิตมรรคแห่งตน ส่วนที่เรียกว่าวาสนาและศุภโชค ก็ไม่พ้นเป็นเพียงดอกไม้ประดับบนผ้าดิ้นเท่านั้น กุญแจสำคัญยังอยู่ที่จิตแห่งมรรคของเจ้าตัวมั่นคงหรือไม่”
ทุกคนต่างไม่เห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อถือ
มีเพียงอวี่หลิงคงซึ่งอยู่ข้างๆ ที่กล่าวชื่นชมเจือรอยยิ้ม “ศิษย์น้อยหลิงซีกล่าวได้ถูกต้องแล้ว การผงาดขึ้นมาของผู้กล้าคนใด ล้วนไม่อาจตัดสินได้จากวาสนาอย่างเดียว หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ไยข้าต้องระหกระเหินพันลี้เพื่อมุ่งหน้ามาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ด้วย”
คำพูดง่ายๆ แต่กลับมีความทระนงตนหยิ่งผยองอยู่ส่วนหนึ่ง
ผู้คนพยักหน้าตามๆ กันทันที จริงอย่างว่า หากเอ่ยถึงวาสนาและศุภโชค อวี่หลิงคงเรียกได้ว่าเป็นที่โปรดปราณของสวรรค์เลยทีเดียว
ในตระกูลอวี่ มีอริยบุคคลที่แท้จริงผู้หนึ่งควบคุมดูแลอยู่เชียวนะ!
หนำซ้ำตำแหน่งในแดนพิสุทธิ์อมตะของเขาก็โดดเด่นถึงขีดสุด ได้รับการดูแลและให้ความสำคัญจากบรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างสุดซึ้ง อยากได้วาสนาและศุภโชคอะไร ล้วนได้รับมาภายในไม่นาน
แต่เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่าการที่อวี่หลิงคงสามารถครองตำแหน่งในวันนี้ได้ ไม่ใช่แค่เพราะวาสนาและศุภโชคอย่างเดียวแน่นอน!
บนโลกใบนี้ไม่ขาดแคลนคนที่พรสวรรค์โดดเด่น พื้นเพดีมีชื่อเสียง แต่เป็นเพราะสภาพจิตใจย่ำแย่เกินไป ได้รับผลกระทบหลากหลายรูปแบบ ผลสุดท้ายกลับไม่ประสบความสำเร็จสักเรื่อง ตกอับกลายเป็นชนรุ่นที่สองที่หยิ่งผยองลำพองตน ปราศจากคุณูปการใดๆ บนหนทางแห่งมรรคา ได้แต่พึ่งใบบุญต้นตระกูลวางอำนาจบาตรใหญ่
คนพรรค์นี้ต่อให้มอบวาสนาและศุภโชคที่ใหญ่กว่าเดิมให้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลายเป็นบุคคลไร้เทียมทานชื่อเสียงสะท้านโลก
เพียงแต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ยามนี้อวี่หลิงคงดันกลับคำกล่าวว่า “แต่หลินสวินคนนั้นสามารถประสบความสำเร็จในวันนี้ได้ นอกจากตัวเองแล้ว ต้องหนีไม่พ้นการช่วยเหลือจากวาสนาและศุภโชคอย่างแน่นอน”
ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด
แม้แต่ไป๋หลิงซีก็ยังอึ้งงันไปบ้าง
กลับเห็นอวี่หลิงคงพูดเองเออเองว่า “ไม่เช่นนั้นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังและไม่มีภูมิหลังอย่างเขา ก็คงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมีโอกาสออกจากโลกชั้นล่างเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ากลายเป็นบุคคลไร้เทียมทานแห่งแดนฐิติประจิมอย่างในตอนนี้เลย”
มีคนอดถามไม่ได้ “ศิษย์พี่อวี่ กล่าวเช่นนี้หมายความว่าท่านเองก็เชื่อข่าวลือเกี่ยวกับเทพมารหลินนั่นด้วยหรือ”
อวี่หลิงคงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เชื่อกับไม่เชื่อ ความจริงก็อยู่ตรงนั้น รอยามที่เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น ย่อมแยกแยะจริงเท็จได้เองอยู่แล้ว”
ผู้คนต่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง มีเพียงไป๋หลิงซีที่ในใจผุดความวิตกกังวลอย่างมาก แม้แต่อวี่หลิงคงยังเห็นดีเห็นชอบเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป จะต้องนำพาผลกระทบที่ไม่อาจคาดคะเนมาสู่หลินสวินอย่างแน่นอน และเป็นหายนะหาใช่พร!
…
“เหอะๆ…”
ในลานอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง เมื่อทราบข่าวเกี่ยวกับหลินสวิน ท่านย่ากระเรียนทองก็เผยรอยยิ้มเหยียดหยามออกมาทันที
ชั่วชีวิตนี้นางผ่านประสบการณ์มากมายเหลือเกิน สรุปได้เกือบจะในทันทีว่าข่าวนี้มีคนจงใจใส่ไฟอยู่ในมุมมืด หมายจะใช้โอกาสนี้ยืมมือผู้อื่นสังหารคน
“วิธีนี้ออกจะต่ำช้ำไปหน่อยจริงๆ แต่ก็พอมองออกว่าคนที่ปล่อยข่าวออกมาจะต้องไม่มีความแข็งแกร่งพอจะต้านทานหลินสวินได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้”
“แต่จะว่าไปแล้วอุบายนี้ได้ผลมากจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวเจ้าเด็กหลินสวินนี่ก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว คงต้องหัวปั่นหัวหมุนกับเรื่องนี้ไปมาก”
ท่านย่ากระเรียนทองกล่าวตรงไปตรงมา ชี้ให้เห็นสาเหตุในนั้น
เพียงแต่จี้ซิงเหยาที่ฟังอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออยู่ในใจ
นางอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “เหตุใดท่านถึงยังเอ่ยถึงเจ้าหมอนี่อีก ต่อให้เขาหัวปั่นหัวหมุนแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าแทบทนไม่ไหวอยากเห็นเรื่องชวนหัวของเขาอยู่แล้ว!”
ท่านย่ากระเรียนทองเอ่ยวาจาอย่างอดทน “คุณหนู ท่านไม่รู้สึกว่ายามนี้เป็นจังหวะเหมาะที่สุดที่จะดึงหลินสวินคนนั้นเข้าพวกหรือ ตอนนี้ทุกคนรู้กันหมดว่าเขาไร้ที่พึ่งพิง ตัวคนเดียว พวกเราสามารถรับเขาเป็นศิษย์สำนักได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งสะสางปัญหาของเขาแล้วยังได้รับศิษย์ไร้เทียมทานคนหนึ่งเพื่อสำนักของพวกเราด้วย เรียกว่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง”
กลับเห็นจี้ซิงเหยากล่าวอย่างเด็ดขาด “เป็นไปไม่ได้! เจ้าสารเลวคนนี้น่ารังเกียจเกินไป ไร้ยางอายเป็นที่สุด ข้าตัดสินแต่แรกแล้วว่าจะให้บทเรียนที่ยากลืมเลือนไปชั่วชีวิตแก่เขาในเทศกาลโคมกถามรรค ไหนเลยจะไปดึงเขาเข้าพวกอีก อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!”
ท่านย่ากระเรียนทองยิ้มเจื่อนอย่างจนปัญญาในบัดดล ลอบกล่าวในใจว่า ‘ตอนอยู่นครเตโช การกระทำนั้นของเจ้าเด็กหลินสวินนี่ออกจะล้ำเส้นเกินไปจริงๆ ตลอดชีวิตนี้คุณหนูไม่เคยประสบความเสียเปรียบครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แต่ก็น่าเสียดายกล้าพันธุ์ดีน่าทึ่งคนหนึ่ง…’
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง จู่ๆ คลื่นประหลาดระลอกหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมากลางฟ้าดิน แพร่กระจายออกไป แล้วปกคลุมเมืองผาดาราไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณในเมืองต่างสะดุ้งตกใจ
ตอนที่ 860 เทศกาลโคมกถามรรคเปิดม่าน
อาทิตย์สีแดงค่อยๆ ลอยเด่นอยู่บนนภา รุ่งอรุณส่องแสงพร่างพราว
กลางฟ้าดินเปี่ยมด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายออกไป ก่อให้เกิดระลอกคลื่นแปลกประหลาด พาให้ผู้ฝึกปราณทั้งหมดในเมืองผาดาราแตกตื่นทันที
“เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้นแล้ว!”
เสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นเป็นระยะๆ ฮือฮาไปทั่วราวกับพายุกาฬวาตก็ไม่ปาน
สวบๆๆ!
เพียงชั่วครู่เท่านั้น ลำแสงนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นจากกลางมือง แน่นขนัดปานสายฝน สดใสเจิดจรัส ทั้งหมดต่างพุ่งหวือไปนอกเมือง
“เขาพยับครามกำลังจะปรากฏแล้ว!”
“เร็วเข้า นี่เป็นถึงเทศกาลเอิกเกริกที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่อให้ไม่สามารถเข้าร่วมได้ ก็ต้องจับจองตำแหน่งได้เปรียบสักแห่งเพื่อรอชมให้ได้”
“ระยำเอ๊ย อย่าเบียดสิ!”
คลื่นเสียงอลหม่านดังก้องกลางฟ้าดิน คึกคักเอ็ดอึงเป็นที่สุดราวกับผึ้งแตกรัง
“โฮก!”
อสูรกิเลนเพลิงเขียวตัวหนึ่งห้อทะยานสู่อากาศ เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชน แหวกว่ายกลางห้วงอากาศ กลิ่นอายราวกับราชัน ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านเหล่าผู้ฝึกปราณต่างต้องหลบฉาก
ขบวนของมู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตนั่งอยู่บนนั้น ท่วงท่าแสนสบาย
อีกด้านหนึ่งเสียงร้องก้องกังวานสายหนึ่งดังหนึ่งราวกับอสนีคลอนเก้าสวรรค์ ก็เห็นแสงสีทองแถบหนึ่งโฉบปราดขึ้นไป นั่นคือนกจาบกาฬทองตัวหนึ่งที่เรียวปีกงดงาม เรือนร่างราวกับหลอมสร้างมาจากทองคำ มีความยาวหลายสิบจั้ง
มันบรรทุกนคนจากตำหนักปรกอุดมหายลับไปในห้วงอากาศเพียงชั่วขณะ รวดเร็วถึงขีดสุด
โครม!
พื้นดินสั่นสะเทือน คชสารมังกรหยกดำตัวมหึมาดั่งภูผาแบกบรรทุกขบวนของจงหลีอู๋จี้ แหวกพุ่งทะลุโดยตรง ห้อทะยานออกไปพาให้เกิดฝุ่นควันโขมง
และละแวกใกล้เคียง สิงห์อสนีหยกขาวที่ทั่วร่างอาบสายฟ้าพร่าตาตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามแห่งลมสายฟ้า พุ่งทะยานขึ้นสู่เวิ้งนภาอย่างแรง เหลยเชียนจวินที่มาจากเผ่ามหาอสนีนั่งหลังเหยียดตรงชายเสื้อโบกสะบัดอยู่บนหลังของมัน
“โฮก!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามดุจดั่งมังกรดังก้องทั่วฟ้าดินเป็นระลอก ก็เห็นแสงสีทองบาดตาหาใดเปรียบแผดร้องอยู่บนเวิ้งฟ้า
นั่นคือเจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งที่บรรทุกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลังหนึ่ง ลอยล่องแหวกผ่านใต้ผืนฟ้า ทอดมองจากไกลๆ ดูประหนึ่งอาทิตย์สีทองดวงใหญ่เคลื่อนผ่านเวิ้งนภา น่าตกตะลึงเป็นล้นพ้น
นั่นคือผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะซึ่งมาจากแดนกาฬทักษิณอย่างไม่ต้องสงสัย!
ประเดี๋ยวเดียวในเมืองผาดารามีทั้งปักษาเทพร่ายระบำ สัตว์ปีศาจห้อทะยาน ลำแสงสารพัดตัดสลับ ภาพที่แสนเกรียงไกรระดับนั้นเรียกได้ว่าสะท้านโลก ร้อยพันปียังยากจะพานพบสักครั้ง
นี่ก็คืออิทธิพลของเทศกาลโคมกถามรรค!
“คนมากมายขนาดนี้เชียว”
หลินสวิน เยวี่ยเจี้ยนหมิงและไป่เฟิงหลิวก็เร่งออกเดินทางมุ่งสู่นอกเมืองแล้วเช่นกัน
“ส่วนใหญ่คือคนที่มาชมดูเรื่องสนุก ผู้ที่สามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคอย่างแท้จริงก็มีเพียงบรรดาผู้กล้าอย่างพวกเจ้าเท่านั้น”
ไป่เฟิงหลิวทอดถอนใจ บนใบหน้าชราเปี่ยมด้วยแววละห้อย กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “คิดถึงในตอนนั้น ผู้เฒ่าอย่างข้าก็นับว่าเป็นอัจฉริยะสะท้านโลกที่คนทั้งเผ่าวาทวาโยต่างเคารพเลื่อมใส มีความสามารถรอบรู้ครอบจักรวาล องอาจสั่นคลอนรอบทิศ เสียดายก็แต่เกิดไม่ถูกจังหวะ มีเจตจำนงสูงส่งแห่งการเข้าถึงมรรคในใต้หล้า กลับได้แต่ทอดถอนใจจนปัญญา!”
เจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ยิ่งโม้ก็ยิ่งเกินธรรมดา หลินสวินทำหน้าดูแคลน คร้านจะสนใจเขาแล้ว
ไม่นานนักพวกเขาก็เหินออกนอกเมือง พริบตาเดียวนัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดลง
ก็เห็นว่าในป่าเขากว้างใหญ่ ยามนี้ถึงกับมีกลิ่นอายปานอริยเทพชโลมอยู่ชั้นหนึ่ง ละอองแสงแต้มสีสันพันหมื่นสายโปรยปรายลงมาจากเวิ้งฟ้าประดุจสายน้ำตก ลุกโชนเจิดจรัส ส่องสะท้อนที่แห่งนั้นให้เป็นดั่งภาพฝันมายา
โครมครืน!
ผืนแผ่นดินของที่แห่งนั้นกำลังเคลื่อนไหว ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นน่าสะพรึงออกมา ราวกับมีบางสิ่งกำลังทำลายพื้นดินตรงนั้นออกมา
ในความเลือนราง แว่วเสียงสัทครรลองมหามรรคเสียงแล้วเสียงเล่าก้องสะท้อนฟ้าดิน เบาหวิวแต่เคร่งครัด ดุจดั่งกระแสเสียงของอริยบุคคลบรรพกาลกำลังท่องคัมภีร์
“แสงอรุณศักดิ์สิทธิ์ฟ้าประทาน เสียงธรรมก้องกระหึ่ม นี่คือนิมิตแห่งการปรากฏเขาพยับคราม!”
ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสส่วนหนึ่งโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ชั่วขณะนั้นผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างเร่งฝีเท้าไปทางนั้น ล้วนมีท่าทางเร่งรีบถึงที่สุด
หลินสวินก็อดไหวหวั่นไม่ได้เช่นกัน ยังไม่ทันปรากฏ ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินปั่นป่วนอันยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้ว ที่มาของเขาพยับครามแห่งนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่!
ไม่นานนักบนเวิ้งนภาถึงกับมีดอกไม้พิสุทธิ์มหามรรคดอกแล้วดอกเล่าปรากฏขึ้น ร่วงสยายลอยล่องลงมา ทั้งศักดิ์สิทธิ์และไร้อัตตา
หลังจากนั้นก็มีนิมิตต่างๆ ปรากฏตามมา ทั้งมังกรฟ้าเหินทะยาน นกเซียนบินฉวัดเฉวียน รุ้งวิเศษแหวกห้วงอากาศ เมฆมงคลรวมตัว ขับเน้นฟ้าดินบริเวณนั้นให้ประหนึ่งดินแดนพิสุทธิ์แห่งเซียน น่าอัศจรรย์ถึงขีดสุด
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างสูดหายใจเฮือก ล้วนเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเป็นครั้งแรก มีหรือจะคิดถึงว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์เช่นนี้กับตา
ส่วนบรรดาผู้กล้าบางส่วนแววตาลุกวาว จิตใจสั่นสะท้าน เปี่ยมด้วยความปรารถนา พวกเขากำลังจะเข้าร่วมในเทศกาลโคมกถามรรค ได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลกเช่นนี้ต่อหน้า ย่อมคิดเตลิดเปิดเปิงอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นธรรมดา
“การปรากฏตัวของเขาพยับครามในครั้งนี้ไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต หรือเพราะมหาสงครามใกล้มาเยือนจึงทำให้บริเวณนี้แตกต่างออกไปหรือ”
ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางส่วนรู้สึกหวั่นหวาด สั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ถูก
พวกเขาเคยพบเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของเทศกาลโคมกถามรรคมาก่อนในอดีต แต่ก็ไม่เหมือนครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าความมหัศจรรย์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน
“ปีนั้นตอนที่มู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉายังเยาว์วัย ก็เคยได้รับศุภโชคชิ้นใหญ่ในเทศกาลโคมกถามรรค ความสำเร็จครั้งเดียวก็ทำให้มีตำแหน่งในปัจจุบันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้บุคคลไร้เทียมทานคนใดจะได้รับวาสนาระดับนี้อีก”
บางคนหวนรำลึก
ตูม!
ทันใดนั้นกลางฟ้าดินที่มีแสงอรุณศักดิ์สิทธิ์คละคลุ้ง ลำแสงพลุ่งพล่าน บังเกิดก้องกระหึ่มหนึ่ง ปั่นป่วนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ประดุจเสียงเมื่อครั้งจักรวาลแรกกำเนิด
และขณะเดียวกันนั้น ห้วงอากาศปริแตก ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งปรากฏขึ้น
ภูเขาลูกนี้ตั้งตระหง่านกลางอากาศ ความสูงเต็มหมื่นจั้ง สูงตระหง่านผ่าเผย แสงมงคลสีม่วงที่ราวกับจับต้องได้พวยพุ่งทั่วตัวภูเขา
มันสูงเหลือเกิน สูงตระหง่านผ่าเผยเหมือนทะลุออกนอกนภา มโหฬารดุจไร้ขอบเขต ทำให้ผู้คนเพียงทอดมองจากระยะไกลก็รู้สึกว่าตัวเล็กจ้อยเหมือนดั่งมด เสมือนเป็นสถานที่พำนักของเทพไท้ในตำนาน
เขาพยับคราม!
เวลานี้มีผู้ฝึกปราณกระจายอยู่แน่นขนัดกลางฟ้าดินราวกับสายน้ำไหลเชี่ยว แต่กลับไม่มีเสียงฮือฮาใด ต่างพากันดวงตาแข็งค้าง ถูกภาพเบื้องหน้าทำเอาตื่นตะลึง
ส่วนบรรดาคนรุ่นอาวุโสที่ก่อนหน้านี้เคยพบเห็นเขาพยับครามมาก่อนแล้ว เวลานี้ก็ยังตกตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภูเขาแห่งนี้อัศจรรย์เกินไปแล้ว ไม่เหมือนสิ่งที่บนโลกใบนี้จะมีได้
‘หากตำนานเป็นเรื่องจริง สำนักสูงสุดที่ตั้งอยู่บนภูเขาแห่งนี้ในช่วงบรรพกาล เบื้งลึกเบื้องหลังจะน่าสะพรึงเพียงใด!’
หลินสวินก็อดร้องอุทานในใจไม่ได้
“ดูเร็ว นั่นก็คือต้นโคมสำริดมรรคโบราณ!” ทันใดนั้นมีคนร้องตะโกนขึ้นมา
จากนั้นทุกคนต่างมองเห็น มีแสงสีม่วงสุกสกาวกำลังโหมกระหน่ำแยกเขาพยับครามแห่งนั้นจากกึ่งกลาง ปรากฏต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงพันจั้งต้นหนึ่ง
ทั้งลำต้นราวกับถูกหล่อมาจากน้ำสำริด สีสันเรียบง่าย เจือกลิ่นอายเก่าแก่เข้มข้น
ต้นไม้ต้นนี้หยาบใหญ่ราวกับมังกรยึดพื้นที่ เปลือกไม้แตกระแหง ปกคลุมด้วยลวดลายแน่นขนัด กิ่งก้านแต่ละกิ่งราวกับดาบกระบี่ แข็งแรงเก่าแก่ แผ่ขยายออกไปทั่วสารทิศ
และบนกิ่งพวกนั้น ยามนี้มีดอกตูมสำริดแขวนอยู่ดอกแล้วดอกเล่า เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์งดงามหลากสีพรั่งพรูราวกับโคมไฟ ฝนเพลิงเริงระบำ
ทอดมองจากไกลๆ บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้นราวกับแขวนอาทิตย์ดวงเล็กๆ ไว้บนนั้น ทั้งเจิดจรัสมหัศจรรย์ ส่องแสงสว่างไพศาล สาดส่องฟ้าดินจนวิจิตรงดงาม
“สิบ ร้อย พัน… สวรรค์! ครั้งนี้ถึงกับมีโคมดอกสำริดพันเศษปรากฏขึ้นพร้อมกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!”
เวลานี้บุคคลสูงส่งระดับท่านย่ากระเรียนทองก็ยังตื่นตะลึง ยากจะสงบใจได้
โคมดอกไม้หนึ่งดอก เป็นตัวแทนวาสนาหนึ่งชิ้น
โคมดอกไม้พันกว่าดอก นั่นไม่ได้หมายถึงวาสนามากกว่าพันชิ้นหรอกหรือ
นึกถึงจุดนี้ทั่วร่างนางก็รู้สึกสั่นสะท้านน้อยๆ จะต้องเป็นศุภโชคที่ยุคบรรพกาลไม่เคยมีมาก่อน! บางทีต่อไปอาจไม่ปรากฏอีกแล้วก็เป็นได้!
ผู้ฝึกปราณมากมายในที่นั้นต่างตะลึงงันอยู่กับที่ ตกตะลึงจนไร้คำพูด
เทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว ปรากฏการณ์ทั้งหมดต่างบ่งชี้ว่าเขาพยับครามและต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่อยู่บนนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน และวาสนาที่กำเนิดออกมาจะต้องแตกต่างจากในอดีตอย่างแน่นอน!
“น้องหลิน ต้องคว้าวาสนาครั้งนี้ให้จงได้!”
ไป่เฟิงหลิวตื่นเต้นจนปากสั่นระริก “ถึงแม้พี่ชายจะเข้าร่วมไม่ได้ แต่ก็กล้าฟันธงว่า เทศกาลโคมกถามรรคในครั้งนี้ต้องมีวาสนาไร้เทียมทานแน่ หากสามารถช่วงชิงมาได้ ผลประโยชน์คงไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่การกลายเป็นราชันเป็นอริยะล้วนไม่ใช่เรื่องลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป!”
กล่าวถึงตรงนี้เขาตบบ่าหลินสวินดังป้าบหนึ่งที กล่าวว่า “อย่างลืมล่ะ มู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักคนปัจจุบันแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ตอนนั้นก็ได้รับศุภโชคชิ้นใหญ่จากที่นี่ นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น เขาในยามนี้อยู่ห่างจากระดับอริยะเพียงแค่นิดเดียว!”
“และเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ต่างจากที่ผ่านอย่างสิ้นเชิง ศุภโชคที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีแต่จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม หากช่วงชิงมาไม่ได้จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน!”
ไม่จำเป็นต้องเตือนสักนิด หลินสวินก็จะพุ่งเข้าใส่สุดแรงเกิดอยู่แล้ว
เวลานี้ไม่เพียงหลินสวิน บุคคลไร้เทียมทานบางส่วนต่างถูกคนใหญ่คนโตข้างกายกำชับกำชาว่าต้องแย่งชิงสุดแรง เพราะต่างมองออกกันถ้วนหน้าว่าเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ไม่ธรรมดาเกินไป
ตูม!
ทันใดนั้นในบริเวณด้านหน้า ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งพุ่งปราดออกไปหมายชิงตัดหน้าเข้าประชิดเขาพยับครามลูกนั้นก่อน แต่ไม่รอให้เข้าใกล้ ทั้งตัวก็ถูกซัดปลิวออกมาเต็มแรง นั่งฟุบกระอักเลือดอยู่บนพื้นไม่หยุด
ทุกคนต่างได้สติจากความตกตะลึง ฮือฮากันไม่สิ้น
“เฮอะๆ ความแข็งแกร่งไม่พอยังคิดเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ช่างน่าขันยิ่งชัดๆ!”
บางคนหัวเราะเยาะ
“นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีเพียงเหล่าผู้กล้าเท่านั้นที่จะสามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคได้ คำพูดนี้มีหรือจะเป็นแค่การพูดส่งๆ ง่ายๆ ไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้ก็รีบถอดใจเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า!”
บางคนเอ่ยเสียงเรียบ
แต่หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างว่องไวว่า เมื่อครู่ก่อนที่ผู้ฝึกปราณคนนั้นจะกระเด็นลอยออกมา เขาชนเข้ากับผนึกต้องห้ามลึกลับไร้รูปชั้นหนึ่ง
“บางทีอาจเพราะการมีอยู่ของผนึกต้องห้ามนั่น ถึงทำให้ผู้ฝึกปราณทั่วไปได้แต่หยุดฝีเท้าอยู่ที่นี่ ไม่สามารถปีนป่ายขึ้นเขาได้”
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้ ว่าเหตุใดผู้ที่เข้าร่วมเทศกาลโมกถามรรคจึงมีแต่เหล่าผู้กล้าพวกนั้น เหตุผลง่ายมาก เพราะผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่มีความแข็งแกร่งพอจะเฉียดใกล้เขาพยับครามลูกนั้นแม้แต่น้อย!
“นี่ก็คือพลังแห่งกฎเกณฑ์ของเขาพยับคราม ไม่เพียงผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่สามารถเข้าร่วมเท่านั้น สัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่เหนือระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่สามารถเข้าไปได้เช่นเดียวกัน”
ไป่เฟิงหลิวอธิบาย “ในกาลเวลาที่ผ่านมา เคยมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคิดจะเข้าไป ท้ายที่สุดก็ถูกซัดกระแทกจนหัวร้างข้างแตก กลับไปด้วยสภาพยับเยิน อีกอย่างตามข่าวลือ ปีนั้นเคยมีอริยบุคคลมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็แค่มองเขาลูกนี้ปราดเดียวแล้วหันหลังจากไป บางทีนี่อาจจะมีนัยว่าแม้แต่อริยะก็ไม่สามารถเข้าไปในภูเขาลูกนี้ได้!”
หลินสวินสะดุ้งอยู่ในใจ แม้แต่อริยะก็ยากจะก้าวล่วงหรือ
ทันใดนั้นสายตาที่เขามองเขาพยับครามก็เปลี่ยนไป การคงอยู่ของสำนักสูงสุดแห่งนั้นในปีนั้น ก็ดับสูญไปในสายน้ำแห่งกาลเวลาแล้ว มีเพียงภูเขาลูกนี้เท่านั้นที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นานาแล้วยังอยู่รอดเรื่อยมาได้ สิ่งนี้ช่างพาให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงเกินไปแล้ว
บนเขาลูกนั้นจะซุกซ่อนความลึกลับระดับไหนเอาไว้กันแน่
บางทีเมื่อเหยียบย่างอยู่บนนั้นอย่างแท้จริง ก็จะสามารถสอดส่องเบาะแสส่วนหนึ่งได้!
เวลานี้ในใจหลินสวินก็เกิดความปรารถนาที่ไม่อาจควบคุมได้เช่นเดียวกัน
ตอนที่ 861 บททดสอบห้าด่าน
เขาพยับครามตั้งตระหง่านกลางห้วงอากาศ สูงทะลุขอบฟ้า แสงมงคลสีม่วงคละคลุ้งทั่วตัวเขา สูงละลิ่วและเก่าแก่ประดุจภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล
ด้านหน้าภูเขา ผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนยืนมั่น แววตาลุกโชน ต่างพากันจับจ้องต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางเขา
ลำต้นหยาบหนาราวกับมังกรยึดพื้นที่เหมือนถูกหล่อมาจากสำริด กิ่งก้านแข็งแรงแผ่ขยายออกไปทั่วสารทิศดุจดั่งดาบกระบี่ บนนั้นมีดอกตูมสำริดพันกว่าดอกควบรวมออกมา แสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูดุจฝนเพลิงเริงระบำ มหัศจรรย์หาที่เปรียบไม่ได้
นี่คือวาสนาไร้เทียมทานครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เคยมีมาก่อน
พบยากนิรันดร์กาล!
ตูม!
มีผู้กล้าเริ่มเคลื่อนไหว เป็นซาหลิวฉานนายน้อยแห่งเผ่าฉลามสมุทร ทั่วร่างเขาคละคลุ้งด้วยพลังพวยพุ่งระฟ้า แหวกอากาศออกไป
ผู้คนมองเห็นในทันที กลางฟ้าดินผืนนั้นผุดคลื่นผนึกต้องห้ามลึกลับสายหนึ่ง ขัดขวางไม่ให้ใครเข้าใกล้ ราวกับม่านแสงที่พาดผ่านฟ้าดิน
วู้ม!
ยามที่ซาหลิวฉานเฉียดใกล้ ม่านแสงชั้นนั้นก็ปลดปล่อยแสงมรรคสีสดใสออกมาทันที ปกคลุมตัวซาหลิวฉานเอาไว้ในนั้น
จากนั้นภาพอัศจรรย์ฉากหนึ่งปรากฏขึ้น ก็เห็นซาหลิวฉานตัวหดเล็กลงด้วยความรวดเร็วน่าอัศจรรย์ ท้ายที่สุดก็มีขนาดเล็กเท่ามด ถูกแสงมรรคสายหนึ่งห่อหุ้ม ไปถึงบนเขาพยับครามแห่งนั้นแล้วก็มองไม่เห็นอีกเลย
ผู้คนในที่นั้นต่างสูดหายใจเฮือก รู้สึกสะพรึงไม่สิ้น
‘ในความเล็กจ้อยซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่?’ สีหน้าหลินสวินเริ่มเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาดเล็กน้อย
นี่คือพลังวิเศษสูงสุดอย่างหนึ่ง พลังแห่งการแปรเปลี่ยนห้วงอากาศ ใบไม้หนึ่งใบดอกไม้หนึ่งดอกต่างรับน้ำหนักโลกหนึ่งมิติ ทำให้สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม
เมื่อครั้งเข้าสู่ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หลินสวินก็เคยได้เห็นวิธีแบบเดียวกันนี้บนคีรีแห่งดวงกมลอันลึกลับยากหยั่งถึงลูกนั้นมาแล้ว
ตอนนั้นดอกบัวดอกหนึ่งเบ่งบาน ส่องสะท้อนจักรวาล และภายในบัวดอกนั้นก็ซุกซ่อนร่องรอยบรรพกาลที่แท้จริงอย่าง… คีรีแห่งดวงกมล!
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าหน้าเขาพยับครามลูกนี้ ตนจะได้พบเห็นวิธีที่เรียกได้ว่าสุดแสนวิเศษระดับนี้อีกครั้ง!
‘ดูท่าบนภูเขาลูกนี้ จะต้องมีอานุภาพอริยมรรคแท้จริงครอบคลุมพื้นที่อยู่แน่…’
หลินสวินรู้สึกทอดถอนใจอยู่ในใจ
“ไป!”
ในบริเวณนั้นยามนี้ชุลมุนวุ่นวายกันเป็นแถบ ผู้กล้าคนแล้วคนเล่าเริ่มเคลื่อนไหว แย่งกันเฮโลหมายจะเข้าสู่เขาพยับครามก่อนใคร
ทั้งชิงหลี่ฮวนแห่งสำนักยุทธ์สมุทรคราม อู่ต้วนหยาแห่งสำนักตะวันทมิฬ จั๋วขวงหลันแห่งสำนักกระบี่โผผิน ลู่จิ่วเกอองค์ชายห้าแห่งเผ่าอีกาเพลิง…
ประเดี๋ยวเดียวลำแสงพุ่งปราดทั่วฟ้าดินราวกับสายรุ้งวิเศษ แน่นทึบเป็นแถบๆ เจิดจ้าพร่าตา ทำเอาเกิดเสียงร้องอุทานระลอกแล้วระลอกเล่าดังก้องไปทั่ว
ไม่นานนักบุคคลไร้เทียมทานอย่างเหลยเชียนจวินแห่งเผ่ามหาอสนี ชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียวต่างก็ทยอยแหวกว่ายห้วงอากาศออกไปตามๆ กัน
‘หืม? เจ้าหมอนี่ก็มาจริงด้วยๆ’
หลินสวินอึ้งงัน ชำเลืองมองเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่ง เป็นฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรคนนั้นนั่นเอง
เจ้าหมอนี่ยังคงบ้าคลั่งดุดันเฉกเช่นที่ผ่านมา ผมยาวสีดำปลิวไสว สะพายดาบศึกที่หลังเล่มหนึ่ง ท่าทางอหังการ ประหนึ่งว่าตัวข้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า
เพียงแต่ไม่นานสีหน้าหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นอึดอัดเล็กน้อย เก็บสายตากลับมาอย่างค่อนข้างร้อนตัว
เพราะเวลานี้เอง เงาร่างของจี้ซิงเหยาธิดาเทพแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาได้ปรากฏขึ้น
นางสวมชุดกระโปรงสีพื้น เอวบางร่างอ้อนแอ้น อิริยาบถโดดเด่น บุคลิกเย็นชาราวกับหิมะ รูปโฉมไร้ที่เปรียบ ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นสายตาแทบทุกคนถูกดึงดูดเข้าไป ผู้ฝึกปราณมากหน้าหลายตาต่างผุดแววแห่งบ้าคลั่ง รวมถึงน้ำลายหกและเทิดทูน
ถึงแม้ครั้งนี้จี้ซิงเหยาไม่ได้สวมหน้ากาก แต่หลินสวินก็จำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่ก็คือเด็กสาวหยิ่งยโสที่เคยต่อสู้กับตนในคราวนั้นนั่นเอง
‘ครั้งนี้อย่าไปเจอะเจอหน้านางเป็นอันขาดดีกว่า…’ หลินสวินลอบพึมพำกับตัวเอง
ทั่วบริเวณอลหม่านอย่างรวดเร็ว เสียงฮือฮาทะลุฟ้าดังก้องขึ้น หลินสวินอึ้งไป เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมอง ก็เห็นข้างกายจี้ซิงเหยาคนนั้นถึงกับมีเงาร่างชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้น
ชายหนุ่มคนนั้นช่างพราวตาเหลือเกิน รูปงามสง่า ตาดาราคิ้วกระบี่ รูปร่างสูงโปร่งโดดเด่น ช่วงโชติราวกับอาทิตย์เจิดจ้าดวงหนึ่ง
“นี่ก็คืออวี่หลิงคงแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะที่มาจากแดนกาฬทักษิณ? ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!”
“ได้ยินว่าในตระกูลอวี่ของพวกเขายังมีอริยบุคคลผู้หนึ่งควบคุมดูแล และอวี่หลิงคงคนนี้ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่ง เป็นผู้กล้าโดยกำเนิด พรสวรรค์โดดเด่น เป็นเพชรยอดมงกุฎแห่งยุคปัจจุบัน ฐานะในแดนกาฬทักษิณไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาจี้เลย”
“ดูเอาเถิด เขากับเทพธิดาจี้ช่างเป็นคู่สวรรค์สร้างชัดๆ บางทีคงมีแต่บุคคลไร้เทียมทานอย่างอวี่หลิงคงเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับธิดาเทพระดับเทพธิดาจี้”
ผู้คนนับหมื่นร้องอุทาน ในน้ำเสียงเจือความทอดถอนใจและอิจฉาชื่นชมระคนกันไป
‘เขาก็คืออวี่หลิงคง?’ หลินสวินหรี่ตาลง แม้แต่เขายังไม่อาจไม่ยอมรับว่านี่คือชายที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งรูปโฉม บุคลิก ท่วงท่ากิริยาต่างก็ไร้ที่ติทั้งสิ้น
อีกทั้งเขายังมีภูมิหลังคับฟ้าถึงขีดสุด ฐานะเหนือล้ำ แม้แต่พลังปราณก็ถือว่าเป็นกลุ่มชั้นยอดในบรรดาบุคคลไร้เทียมทาน
คนที่น่าทึ่งระดับนี้ ก็ไม่แปลกที่จะดึงดูดสายตาและความสนใจมากมายถึงเพียงนี้
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินให้ความสำคัญอย่างแท้จริงคือ ในมือของอวี่หลิงคงคนนี้มีอาวุธอริยะแท้จริงชิ้นหนึ่ง… ตำหนักอมตะ!
หากพบคนผู้นี้ในเทศกาลโคมกถามรรค จะต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
หลินสวินสงสัยกระทั่งว่าในมือของผู้กล้าไร้เทียมทานเหล่านี้อย่างจี้ซิงเหยา เหลยเชียนจวิน มู่เจี้ยนถิง เกรงว่าคงมีไม้เด็ดและแต้มต่อแข็งแกร่งอักโขกันทั้งนั้น
‘น้องหลินดูเร็ว ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมปรากฏตัวแล้ว เจ้าต้องระวังเด็กสาวกระโปรงม่วงที่เป็นหัวหน้าให้ดี จากข่าวที่เผ่าวาทวาโยของข้าสืบรู้มา เด็กสาวคนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งระดับทั่วไป อีกอย่างที่มายังลึกลับเป็นที่สุด สันนิษฐานว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์เซียนในตำนานด้วย!’
จู่ๆ ไป่เฟิงหลิวก็สื่อจิตเสียงเบาเอ่ยเตือน
หลินสวินเงยหน้า ก็เห็นชายหญิงกลุ่มหนึ่งทะยานผ่านห้วงอากาศ ชายหล่อหญิงงาม ต่างก็ไม่ธรรมดาถึงขีดสุด
โดยเฉพาะเด็กสาวกระโปรงม่วงที่เป็นผู้นำคนนั้น รูปโฉมของนางกล่าวไม่ได้ว่างามชวนตะลึง แต่กลับกระชดกระช้อยเป็นที่สุด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหยกมันแพะ แวววาวราวแก้วผลึก มีบุคลิกเฉพาะตัวที่สง่างามเรียบง่าย ซ่อนความโดดเด่นไว้ภายใน ดูสูงส่งประดุจกล้วยไม้ในหุบเขาลึกอย่างไรอย่างนั้น
มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์เซียน?
ในใจหลินสวินสะท้านไหวไปเช่นกัน หงส์เซียน นี่เป็นถึงเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งดุจดั่งตำนานอย่างแท้จริง ในยุคบรรพกาลก็เรียกได้ว่าน่าเกรงขามหาใดเปรียบ ความแข็งแกร่งแห่งรากฐานเหลือจะจินตนาการ
‘นางน่าจะชื่อลั่วเจีย ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดม ทุกคนต่างเรียกขานนางว่า ‘ศิษย์พี่ลั่วเจีย’ ดูท่าตำแหน่งในบรรดาผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมคงต้องสูงส่งถึงขีดสุดเป็นแน่’
‘ตำหนักปรกอุดมลึกลับเป็นที่สุด ครองพื้นที่ใน ‘แดนประมุขพิภพ’ เกือบหมื่นปีมานี้แทบจะตัดขาดกับโลก มีข่าวของพวกเขาน้อยยิ่ง แต่ครั้งนี้ผู้สืบทอดของตำหนักปรกอุดมกลับปรากฏกายในเทศกาลโคมกถามรรค ก็สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อศุภโชคใหญ่บางอย่างในนี้โดยเฉพาะ’
ไป่เฟิงหลิววิเคราะห์ด้วยความว่องไว เจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ถึงจะหน้าหนาไร้ยางอายไปบ้าง แต่ไม่อาจไม่ยอมรับ ในแง่ข่าวสารเขาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างแน่นอน จะให้หลินสวินไม่จำนนก็คงไม่ได้
“หลินสวิน พวกเราก็ควรเริ่มเคลื่อนไหวได้แล้ว”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่อยู่ข้างๆ เริ่มอดกลั้นไม่อยู่เล็กน้อย
“ดี พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ”
หลินสวินพยักหน้า
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
จากนั้นทั้งคู่ก็ห้อทะยานแหวกห้วงอากาศขึ้นไป มุ่งหน้าสู่เขาพยับครามที่อยู่ไกลๆ ลูกนั้น
“จำไว้ว่าหากชิงวาสนามาได้ จะต้องแบ่งให้ข้าส่วนหนึ่งด้วยนะ!”
ไป่เฟิงหลิวตะเบ็งเสียงลั่น พาให้ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงลอบดูถูกดูแคลน
“เทพมารหลินก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของหลินสวินก็ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณมากมายในบริเวณนั้นเช่นเดียวกัน
“ยามนี้ต่างลือกันหนาหูว่าบนตัวเขามีศุภโชคใหญ่ ซ้ำยังถือครองสมบัติอริยะไร้เทียมทานชิ้นหนึ่งด้วย เข้าสู่เขาพยับครามคราวนี้ต้องดึงดูดสายตาละโมบไม่รู้เท่าไรแน่ อาจทำให้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ก็ได้!”
“เฮอะๆ ต้องคอยดูกันว่าคราวนี้เทพมารหลินจะแก้ภัยพิบัติครั้งนี้อย่างไร ข้าล่ะสงสัยนักว่าเขายังจะมีโอกาสรอดชีวิตเดินออกมาจากเขาพยับครามได้หรือไม่”
“พูดเช่นนี้ เป็นไปได้สูงว่าเทพมารหลินอาจต้องซวยหนักในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้หรือ”
“นี่ยังต้องถามอีกหรือ”
ในลานวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
ไป่เฟิงหลิวหนักอึ้งในใจทันใด มรสุมที่พุ่งเป้าไปที่หลินสวินครั้งนี้กำลังจะมาเยือนอย่างเลี่ยงไม่ได้ในท้ายที่สุดแล้ว
……
วู้ม!
ยามเข้าใกล้ม่านแสงที่พาดผ่านทั่วฟ้าดินสายนั้น หลินสวินรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปชั่วขณะในทันที ร่างกายถูกพลังลึกลับชั้นหนึ่งปกคลุม ชั่วอึดใจก็คล้ายกับทะลวงผ่านห้วงอากาศ ดวงดาราหมุนวน ฟ้าดินสับสนวุ่นวาย ภาพทุกอย่างล้วนเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว
เสียงฉึบดังหนึ่งครา เงาร่างของเขาก็ถูกเคลื่อนย้าย อันตรธานหายลับไป
นี่ก็คือวิธีสูงสุดแห่ง ‘ความเล็กจ้อยซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่’ อย่ามองเพียงว่าเขาพยับครามลูกนั้นอยู่ตรงหน้า หากไม่สามารถผ่านม่านแสงผนึกต้องห้ามอันลึกลับสายนั้นไปได้ แม้อริยบุคคลมาเองก็ไม่สามารถเฉียดใกล้แม้แต่ก้าวเดียว!
เวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง
เหล่าผู้กล้าที่เข้าร่วมครานี้ต่างทยอยหายลับไปในเขาพยับคราม แต่บรรยากาศในที่นั้นกลับไม่ได้เงียบงันหงอยเหงาเพราะเหตุนี้เลยสักนิด
ตรงกันข้าม ผู้ฝึกปราณมากมายต่างยืนปักหลักคอยอยู่ตรงนั้น เบียดเสียดแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าน่าตื่นตายิ่ง
ในบรรดาผู้ฝึกปราณเหล่านี้ ส่วนใหญ่ต่างมาชมดูเรื่องสนุก และก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ผู้อาวุโส หรือไม่ก็ญาติสนิทในตระกูลของผู้กล้าเหล่านั้น
อย่างเช่นท่านย่ากระเรียนทอง คนตระกูลจงหลี คนในเผ่าฉลามสมุทร คนในเผ่าหงส์เขียว รวมถึงคนใหญ่คนในสำนักโบราณมากมาย ต่างเฝ้าดูอยู่ในบริเวณนั้น
“นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน หากต้องการไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ จะต้องผ่านการทดสอบห้าด่าน ขอเพียงผู้กล้าคนใดไม่สามารถทนต่อบททดสอบได้ ก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกมา”
“บททดสอบด่านแรกก็คือการเข้าสู่ ‘แดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร’ ในเขาพยับคราม มีเพียงผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ในนั้นได้สิบวันจึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่บททดสอบด่านต่อไปได้”
“ผู้กล้าที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ อย่างน้อยก็มีเป็นหมื่นๆ รวมอัจฉริยะโดดเด่นที่มาจากทุกพื้นที่ในแดนฐิติประจิม เรียกได้ว่าหมู่ดาวพราวพร่าง ผู้แข็งแกร่งรวมตัวกัน เพียงแต่สุดท้ายจะมีสักกี่คนที่สามารถผ่านบททดสอบห้าด่าน และไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณได้”
ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางส่วนกำลังแลกเปลี่ยนทรรศนะ และทำการวิเคราะห์
“ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ใช้ไม่ได้กับเทศกาลโคมกถามรรคหนนี้ มหาสงครามกำลังจะมาเยือน เขาพยับครามลูกนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าทึ่งเช่นกัน ลำพังดูแค่จำนวนดอกตูมสำริดมากมายที่ออกมาจากต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้น ก็เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนแล้ว”
ท่านย่ากระเรียนทองกล่าวทันใด “สามารถคาดการณ์ได้ว่า ผู้กล้าที่เข้าร่วมหนนี้ ตราบใดที่ไม่ถูกคัดออก และไปถึงใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้นอย่างราบรื่น ล้วนสามารถช่วงชิงศุภโชคที่เป็นของตนได้ไม่มากก็น้อย”
บัดนั้นบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างแววตาลุกโชน จมสู่ภวังค์ความคิด
“การถกมรรคหนนี้เพิ่งจะเริ่ม บททดสอบที่เกิดในเขาพยับครามยามนี้ พวกเราซึ่งอยู่โลกภายนอกไม่สามารถสอดส่องได้แม้แต่น้อย มีเพียงยามที่พวกเขาผ่านบททดสอบห้าด่าน บรรลุถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้นแล้ว จึงจะสามารถมองเห็นว่าจะมีสักกี่คน ที่สามารถช่วงชิงศุภโชคซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอดีตนั้นมาได้”
ท่านย่ากระเรียนทองกล่าวราบเรียบ “ท่านทั้งหลาย แค่รออย่างสงบเป็นพอ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น