Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 844-849

 ตอนที่ 844 แอบอ้างชื่อเสียงลวงโลก

บนโลกนี้ไม่มีความพยาบาทโดยไร้เหตุผล


ในมุมมองของหลินสวิน วิธีการของซาหลิวฉานไม่ได้ต่างอะไรกับจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์ แค่เห็นตนเป็นฐานรองเหยียบ คิดเหยียบตนขึ้นไป ใช้สิ่งนี้เพิ่งกิตติศัพท์ของเขาก็เท่านั้น


“หืม?”


ขณะที่หลินสวินหันหลังจะไปจากต้นข่าวสารก็เห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้นโดยพลัน มุมปากผุดเส้นโค้งวูบหนึ่ง ช่างโลกกลมเสียจริง!


คนผู้นั้นคือชายชราผอมแห้งปานเสาไม้ไผ่ ดวงตาเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก เวลานี้กำลังขมีขมันไปอยู่ต่อหน้าซาหลิวฉาน ร้องเรียกว่า “คุณชายซา ข้ามาจากเผ่าวาทวาโย จะขอคำชี้แนะจากท่านเกี่ยวกับเทพมารหลินในเวลานี้ได้หรือไม่”


เดิมทีซาหลิวฉานที่ถูกขวางทางไม่ใคร่สบอารมณ์นัก แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘เทพมารหลิน’ สามคำนี้ เขาหยุดชะงักทันใด ปรายตามองไป่เฟิงหลิวปราดหนึ่ง พยักหน้ากล่าวอย่างสงวนท่าที “เจ้าอยากถามเรื่องอะไรก็พูดออกมาเถอะ เรื่องเกี่ยวกับเทพมารหลิน ข้าไม่มีอะไรถือเป็นข้อห้าม”


คำพูดหนักแน่นและตรงไปตรงมายิ่ง


“ไม่เสียแรงที่เป็นผู้กล้าแห่งยุคจากทะเลมารพิฆาต ความงามสง่าของคุณชายซาทำให้คนข้าไม่เลื่อมใสไม่ได้”


เจ้าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวปั้นหน้าเคร่งขรึม แต่กลับประจบสอพลออย่างหน้าไม่อายยิ่งนัก จากนั้นถึงได้ปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “คุณชายซา ไม่ทราบว่าขอถามหน่อยหรือไม่ ท่านมีมุมมองและความเห็นอย่างไรต่อเทพมารหลิน”


ซาหลิวฉานเอ่ยโดยไม่ลังเล “ก็แค่เจ้าคนแอบอ้างชื่อเสียงลวงโลกคนหนึ่งเท่านั้น! ข่าวลือเกี่ยวกับเขาในโลกนี้ข้าดูแล้วล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น คงไม่พ้นเป็นเพียงคำที่กุขึ้นโดยไม่มีมูล หากเขากล้าปรากฏตัว ข้าจะเปิดโปงความจริงของเขา ทำให้เขาชื่อเสียงป่นปี้ ให้ทั่วหล้าได้ประจักษ์ความจริง!”


คำพูดของเขาราบเรียบและหนักแน่น เหยียดหยามหาใดเปรียบ นิยามหลินสวินเป็นพวก ‘แอบอ้างชื่อเสียงลวงโลก’


สิ่งนี้ทำให้หลินสวินที่ลอบสังเกตทุกอย่างในมุมมืดอดหัวเราะเย็นชาในใจไม่ได้ ดูท่าเจ้าหมอนี่จะมุ่งร้ายหมายหัวหาเรื่องเขาให้ได้สินะ


ไป่เฟิงหลิวฮึกเหิมยิ่ง นี่เป็นข่าวสารมือหนึ่งเชียว!


จนกระทั่งขบวนของซาหลิวฉานจากไป ไป่เฟิงหลิวยังคงครุ่นคิดในสมองว่าควรใช้ประโยชน์จากข่าวนี้สร้างความฮือฮาในเมืองผาดาราอย่างไรดี


‘ซาหลิวฉานคนนี้ช่างโง่เง่านัก ยังคิดเหยียบหัวเทพมารหลินเพื่อยกตน ช่างจินตนาการหลุดโลกเสียจริงหนอ…’


‘แต่ว่าเช่นนี้จึงจะมีสีสันมากขึ้น อย่างไรเสียก็เป็นการโคจรมาพบกันระหว่างผู้กล้าแห่งยุค จะต้องดึงดูดความสนใจคนทั้งโลกได้อย่างแน่นอน’


“ท่านเป็นสหายที่มาจากเผ่าวาทวาโยหรือ” เวลานี้เองเด็กหนุ่มที่ท่าทางดูซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา บุคลิกทั่วๆ ไปคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้


ไป่เฟิงหลิวพยักหน้าอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ทำไม มีธุระหรือเจ้าหนู”


เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก กวาดมองรอบบริเวณอย่างระมัดระวังแล้วกดเสียงเบากล่าวว่า “ข้ามีเบาะแสของเทพมารหลิน…”


ไม่รอพูดจบไป่เฟิงหลิวก็ตาลุกวาวทันที “เจ้าแน่ใจ?”


เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากท่านไม่เชื่อ ข้าขายข่าวให้คนอื่นก็สิ้นเรื่อง”


กล่าวเสร็จเขาหันหลังตั้งท่าจะจากไป กลับถูกไป่เฟิงหลิวรีบร้อนขวางเอาไว้ กล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “พี่ชายตัวน้อย ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า เป็นเพราะเรื่องนี้มีผลกระทบใหญ่หลวงนัก หากเจ้าหลอกข้า ผลที่ตามมาจะร้ายแรงยิ่ง”


เด็กหนุ่มยังคงกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าพาท่านไปพบเขาได้ แต่ว่าท่านต้องตกรางวัลให้ข้าก่อนสักเล็กน้อย”


ไป่เฟิงหลิวเห็นเช่นนี้ก็แน่ใจทันที สัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะไม่ได้โกหก


เขาล้วงถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาอย่างภาคภูมิใจ ยื่นให้เด็กหนุ่ม “ในนี้มีหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลาง หากเจอเทพมารหลินจริงๆ ของพวกนี้ก็เป็นของเจ้าทันที!”


เด็กหนุ่มยิ้มอย่างซื่อๆ เก็บถุงเก็บของไว้แล้วกล่าวว่า “ตามข้ามา”


ไป่เฟิงหลิวรีบตามไปทันใด


เพียงแต่หนึ่งถ้วยชาผ่านไป ไป่เฟิงหลิวกลับรู้สึกทะแม่งชอบกล เด็กหนุ่มคนนี้พาเขาลัดเลาะทั่วเมือง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตลอดทาง ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลขึ้นทุกที


“ข้าว่านะพี่ชายตัวน้อย ข่าวของเจ้าผิดพลาดใช่หรือไม่ ที่นี่ห่างไกลเกินไปแล้วกระมัง…” เขากล่าวอย่างสงสัย


“เป็นไปไม่ได้ ข้าได้ยินมาว่ายามนี้เทพมารหลินถูกคนจำนวนมากเห็นเป็นเป้าโจมตี เขาย่อมไม่กล้าปรากฏตัวในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน ต้องซ่อนตัวอยู่เป็นแน่” เด็กหนุ่มกล่าวขอไปที


ไป่เฟิงหลิวหัวเราะฮ่าๆ ความสงสัยในใจจางหายลงไปมาก ตรงข้ามกลับทำลำพองกล่าวว่า “พี่ชายตัวน้อย เจ้าคงไม่เข้าใจ ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งสะท้อนความพิเศษของเทพมารหลินออกมาได้ ดังคำกล่าวที่ว่าต้นไม้ใหญ่กลางป่ามักถูกมรสุมโค่น ยิ่งเรื่องนี้รุนแรงมากเท่าไร ยามที่เทพมารหลินปรากฏตัวก็ยิ่งดึงดูดสายตาคนทั้งโลกได้มากเท่านั้น”


เขายิ่งพูดยิ่งคะนอง พูดจนน้ำลายแตกฟอง “เจ้าลองจินตนาการดูว่ายามที่เทพมารหลินปรากฏกายชิงชัยกับผู้กล้าแห่งยุคมากมาย เหตุการณ์นั้นจะยอดเยี่ยมมากเพียงใด จะต้องสร้างความฮือฮาไปทั่วแดนฐิติประจิมอย่างไม่ต้องสงสัยสักนิด!”


“อ้อ! แน่นอน ข้าก็จะกระจายข่าวออกไปให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้อาศัยโอกาสนี้พลอยสร้างชื่อไปด้วย!”


เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ทำเพื่อสร้างชื่อ?”


ไป่เฟิงหลิวกล่าวชี้แนะอย่างคนมากประสบการณ์ล้าสมัย “พี่ชายตัวน้อย แค่มองก็รู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจ ถึงตอนนั้นถ้าหากเทพมารหลินฝ่าฟันอุปสรรคได้ตลอดทาง นั่นย่อมทำให้กิตติศัพท์แพร่หลายไปอีกขั้น ชื่อเสียงกิตติศัพท์เช่นนี้ของเขาได้มาจากไหนกัน ยังไม่ใช่เพราะข้าสร้างมาเองกับมือหรือ เกียรติยศระดับนี้ใช่ว่าใครจะมีในครอบครองได้!”


เด็กหนุ่มร้องอ้อหนึ่งครา กล่าวต่อไปว่า “หากเทพมารหลินเคราะห์ร้ายถูกพวกไร้เทียมทานบางคนซัดโจมตีจนพ่ายแพ้จะทำอย่างไร”


ไป่เฟิงหลิวหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น มีท่าทีเร่าร้อนชี้แนะเรื่องสำคัญ “เจ้าเนี่ยยังเด็กเกินไปจริงๆ เทพมารหลินแพ้แล้วเกี่ยวอันใดกับข้า ข้าแค่รับผิดชอบกระจายข่าวสาร ชาวโลกคงไม่เอาความพ่ายแพ้ของเทพมารหลินมาโบ้ยใส่หัวข้าหรอก ถึงตอนนั้นอย่างมากข้าก็แค่ไปขุดกล้าพันธุ์ดีที่เหมือนกับเทพมารหลินอีกสักคน และช่วยเขาสร้างกิตติศัพท์ใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้งก็สิ้นเรื่อง”


เด็กหนุ่มกล่าวคล้ายขบคิด “พูดเช่นนี้ ไม่ว่าเทพมารหลินแพ้หรือชนะ สำหรับท่านก็มีแต่ได้กับได้สินะ”


ไป่เฟิงหลิวหัวเราะน้อยๆ กล่าวชื่นชม “ยุวชนพึงดัดได้สอนได้!”


“พึงสอนปู่เจ้าสิ!” เวลานี้เองเด็กหนุ่มหยุดกึกทันควัน ตบเข้าที่ท้ายทอยไป่เฟิงหลิวหนึ่งฉาด


ผัวะ!


ไป่เฟิงหลิวเซถลาเกือบล้มคะมำ หมู่ดาวสีทองปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ร้องตะโกนลั่น “ระยำเอ๊ย! ไอ้เด็กเหลือขอเจ้าตีข้าทำไม”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ถูกเด็กหนุ่มกดราบกับพื้น ซัดหมัดใส่เสียงดังตุบตับหนึ่งยก ลงมือไม่ยั้ง ทุบตีจนไป่เฟิงหลิวส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดก็ไม่ปาน


“จะฆ่าคนแล้ว! ฆ่าคนแล้ว!”


ไป่เฟิงหลิวหวีดร้องด้วยสภาพจมูกช้ำแก้มบวม ผมเผ้ากระเซิง


“เจ้าร้องไปเรื่อยๆ ข้าอยากดูเสียหน่อยว่าสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ ใครจะมาช่วยชีวิตเจ้ากัน!”


เด็กหนุ่มหัวเราะเยาะ แล้วออกหมัดซัดใส่ร่างผอมแห้งของไป่เฟิงหลิวอีกหนึ่งยก


“จอมยุทธ์น้อยไว้ชีวิตด้วย! จอมยุทธ์น้อยไว้ชีวิตด้วย! ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ต่อไปจะไม่กล้าอีกแล้ว!” ไป่เฟิงหลิวกุมหัว คร่ำครวญร้องขอชีวิตกับพื้น


เขาเมื่อสักครู่ยังทำลำพอง วางท่าใจเย็นชี้แนะ คอยวางอุบายอยู่เบื้องหลัง ยามนี้กลับเอาแต่ร้องขอชีวิตเหมือนหมาขี้เรื้อนก็ไม่ปาน สภาพก่อนหลังต่างกันสิ้นเชิง เสียเหลี่ยมเสียคมอย่างเห็นได้ชัด


“อยากให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าย่อมได้ แต่หลังจากนี้เจ้าต้องรามือ หยุดตรวจสอบและกระจายข่าวเกี่ยวกับเทพมารหลิน หากเจ้าทำได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที”


เด็กหนุ่มรามือ ปรายตามองเขา


เหนือความคาดหมาย ภายใต้สถานการณ์ถูกซัดจนน่วมเช่นนี้ ปฏิกิริยาของไป่เฟิงหลิวกลับดุเดือดยิ่งนัก กล่าวอย่างเดือดดาลมาดมั่นว่า “เป็นไปไม่ได้! เผ่าวาทวาโยของข้าเกิดมาเพื่อกระจายข่าว หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ฆ่าข้าเลยเสียยังดีกว่า!”


“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ หรือ” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ไอสังหารพวยพุ่ง


ไป่เฟิงหลิวแค่นเสียงเย็น กล่าวอย่างองอาจผึ่งผาย “เจ้าฆ่าข้าก็เปล่าประโยชน์ ข้าตายไปแล้ว ก็ยังมีสหายร่วมเผ่าของข้าลุกฮือออกมามากกว่าเดิม! ดังคำกล่าวที่ว่า ‘แม้ตัวตายแต่เกียรติศักดิ์ศรีคงอยู่ ไม่น้อยหน้าผู้กล้าในโลกา’ การตายของข้าจะต้องถูกคนเผ่าข้าจดจำและเล่าสู่กัน อาจไม่ถึงขั้นชื่อเสียงคงอยู่ตลอดกาล แต่อย่างน้อยก็ทำให้ข้าฝากชื่อเสียงอันหอมหวนไปเนิ่นนาน เป็นที่จดจำของคนทั้งโลก!”


เด็กหนุ่มจนวาจาไปชั่วขณะ เจ้าเฒ่าสากกะเบือนี่แม้ตายก็ยังคิดว่าจะฝากฝังชื่อเสียง ทำให้ชื่อเสียงเลื่องลืออย่างไร ช่างเป็นเฒ่าพิลึกคนหนึ่งจริงๆ!


“เจ้าลุกขึ้นมา ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”


เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไม่พอใจ เมื่อครู่เจ้าเฒ่าคนนี้พูดอย่างองอาจผึ่งผาย แต่ความจริงกลัวแทบตาย เอาแต่กอดขาตัวเองไม่ยอมปล่อยมือ


“เจ้าไม่ฆ่าข้าแล้ว?” ไป่เฟิงหลิวถาม


“หากข้าฆ่าเจ้า จะไม่ใช่ทำให้เจ้าได้ฝากชื่อเสียงไปเนิ่นนานหรือ” เด็กหนุ่มกล่าวเหน็บแนม


ไป่เฟิงหลิวอักอ่วน กัดฟันข่มความเจ็บปวดทั่วร่างแล้วลุกขึ้นมา ตั้งท่าอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นโฉมหน้าของเด็กหนุ่มเต็มสองตา เขาพลันตาลุกโพลง มีอาการเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ ทันที ถึงกับยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น


ครู่ใหญ่เขาถึงกระโดดผลุง ร้องเสียงหลงว่า “เทพมารหลิน?”


เด็กหนุ่มคนนั้นก็คือหลินสวินนั่นเอง เพียงแต่เวลานี้คืนสู่สภาพเดิมของตนแล้วเท่านั้น


“ทำไม เจ้าไม่ได้กำลังตามหาข้าอยู่หรือ ข้าปรากฏตัวแล้ว เหตุใดเจ้าดูเหมือนไม่ใคร่ต้อนรับข้าเลย” หลินสวินยิ้มเยาะ


ไป่เฟิงหลิวงงเป็นไก่ตาแตก เขายืนจมูกช้ำแก้มบวมอยู่ตรงนั้น สารรูปแลดูน่าสงสารยิ่ง พริบตานี้ยิ่งมีความรู้สึกงงงันท่ามกลางมรสุมโหมซัด เขาจะคาดคิดได้อย่างไร เมื่อครู่ห่วงแต่คุยโวคุยเขื่อง ไม่คิดเลยว่าจะเจอจุดไต้ตำตอเสียได้!


ช่างซัดโดนจุดเหลือเกิน!


ไป่เฟิงหลิวแทบทนไม่ไหวอยากหยิกปากของตนนัก


“ถามเจ้าหน่อย ยามนี้เยวี่ยเจี้ยนหมิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทแคว้นวิญญาณอัคนีมาถึงเมืองผาดาราแล้วหรือยัง” หลินสวินกล่าวถาม นี่จึงจะเป็นจุดประสงค์ที่เขาเป็นฝ่ายบุกมาหาไป่เฟิงหลิวด้วยตัวเอง


อย่างไรเสียในตอนแรกก็เป็นเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่มอบป้ายหยกเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคให้แก่เขา อยากจะอยู่ด้วยกันกับเขา ในเมื่อยามนี้เขามาแล้ว ย่อมต้องพบหน้ากันสักคนเป็นธรรมดา


และหากต้องการสืบข่าวของเยวี่ยเจี้ยนหมิง การมาหาเผ่าวาทวาโยย่อมไม่ผิดเป็นแน่


“เยวี่ยเจี้ยนหมิง?”


ไป่เฟิงหลิวอึ้งงัน ครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “ดูเหมือนเขาจะปรากฏตัวที่เมืองผาดาราเมื่อสิบกว่าวันก่อน เพียงแต่ผู้กล้าอย่างเขาคงได้แต่อวดศักดาในแคว้นวิญญาณอัคนีเท่านั้น ทอดตาแลทั่วแดนฐิติประจิม คงไม่น่าดูเท่าไร”


ข่าวสารของเจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ฉับไวจริงๆ เพียงแต่ปากเปราะเราะราย ยังไม่ลืมถือโอกาสถากถางเยวี่ยเจี้ยนหมิงหนึ่งคำรบ


“เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้เขาอยู่ที่ไหน” หลินสวินถาม


“หอวสันตสารท!”


ครั้งนี้ไป่เฟิงหลิวตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ปกติผู้กล้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ไม่ว่าใครล้วนไปพักที่หอวสันตสารทกันทั้งนั้น เพราะจะทำให้เหล่าผู้กล้าได้ปฏิสัมพันธ์กันล่วงหน้า ทั้งสามารถประเมินคู่ต่อสู้ได้ชัดเจนขึ้น และยังสามารถทำความเข้าใจความแข็งแกร่งของตน ใช้สิ่งนี้พิจารณาความจำเพาะและการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ระวังภัยล่วงหน้ายามที่เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น เพื่อเลี่ยงไม่ให้ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน”


หลินสวินเข้าใจในทันที เขาหันหลังเตรียมจะจากไป กลับเห็นไป่เฟิงหลิวกระวีกระวาดตามมา ใบหน้าชราเจือแววประจบเต็มที่ กล่าวว่า “คุณชายหลิน ท่านน่าจะเพิ่งมาถึงเมืองผาดารากระมัง เพื่อแสดงถึงใจกระตือรือร้นอยากใช้ความดีไถ่โทษของข้า ให้ข้านำทางท่านไปดีหรือไม่”


ตอนที่ 845 ชั่วดีเป็นตรา วสันตสารทตัดสิน

อะไรที่เรียกว่าตีงูงูเลื้อยตามไม้


ก็คือการกระทำของไป่เฟิงหลิวในยามนี้นั่นเอง


หลินสวินยังอดอึ้งงันไม่ได้ เมื่อครู่เขาถึงขั้นกดเจ้าเฒ่าคนนี้แล้วซัดหมัดใส่ไม่ยั้งไปหนึ่งยก คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวเจ้าหมอนี่ล้วนไม่ถือสาเลยสักนิด ตรงข้ามกลับเป็นฝ่ายประชิดเข้าใกล้


ความสามารถในการสร้างเสริมกำลังใจและวิธีการหน้าด้านไร้ยางอายอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ตินี้ พาให้หลินสวินยังบังเกิดความนับถือสุดกำลัง


“เจ้ายังไม่ถอดใจ?” หลินสวินถาม


ไป่เฟิงหลิวโบกมือเป็นพัลวัน กล่าวว่า “คุณชายหลินท่านอย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด ข้าเอาศักดิ์ศรีเป็นประกัน จะไม่แพร่งพรายข่าวที่ท่านปรากฏตัวในเมืองผาดาราออกไปอย่างแน่นอน”


ศักดิ์ศรี?


หลินสวินลอบปรามาส เฒ่าสากกะเบืออย่างเจ้ายังกล้าพูดถึงศักดิ์ศรี?


ไป่เฟิงหลิวหน้าหนายิ่งนัก หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “อันที่จริง ขอแค่มั่นใจว่าท่านมาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคก็พอแล้ว อย่างไรเสียมหกรรมรวมตัวผู้กล้าเยื้อแย่งถกมรรคระดับนี้ จากความสง่างามไร้เทียมทานที่ท่านมีอยู่ทั้งหมด แทบไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ ช้าเร็วย่อมมีคนรู้อยู่ดี!”


“พูดเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย หากไม่ใช่เพราะเจ้า มีหรือข้าจะต้องเผชิญกับหายนะซี้ซั้วเช่นนี้” หลินสวินกล่าวไปก็นึกอยากตีคนไปด้วย


กลับเห็นไป่เฟิงหลิวกล่าวปลงตก “คุณชายหลิน นี่ก็คือการแก่งแย่งแห่งมหาสงคราม คิดอยากโดดเด่นเหนือเหล่าผู้กล้ารุ่นใหม่ มีหรือจะไม่ต้องเผชิญกับคำครหาและการปลุกปั่น บุคคลไร้เทียมทานที่มาถึงระดับนี้เฉกเช่นท่าน แม้ไม่อยากหาเรื่อง เหล่าผู้กล้าคนอื่นๆ ก็ต้องมองท่านเป็นคู่ต่อสู้ เมื่อสบโอกาสก็คงเหยียบท่านไว้ใต้เท้า ใช้สิ่งนี้แลกมาซึ่งชื่อเสียงและความเด่นดังอยู่วันยังค่ำ!”


หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง กลับรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย คำพูดนี้ของไป่เฟิงหลิวไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้สักเท่าไร


ภายใต้ฉากหลังที่มหาสงครามกำลังใกล้เข้ามาเช่นนี้ ผู้กล้ารุ่นใหม่จากทุกเผ่าพันธุ์ต่างบ่มเพาะพลังสร้างความแข็งแกร่ง ปรารถนาจะหลอมมรรคกลายเป็นราชันบนเส้นทางมหามรรค เหยียบย่างบนมกุฎ


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การแก่งแย่งและต่อต้าน เข่นฆ่าประจัญบาน ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


นี่ก็เปรียบดั่งกองทัพนับพันแย่งชิงข้ามสะพานไม้แผ่นเดียว ผู้ใดสามารถฝ่าวงล้อมออกมา โดดเด่นเหนือปวงชนได้เป็นคนแรก ผู้นั้นก็สามารถคว้าศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปได้!



หอวสันตสารท


ตั้งอยู่ใจกลางเมืองผาดารา ความสูงหลายร้อยจั้ง ทั่วตัวอาคารทำมาจากหยกเคลือบ ทอแสงแวววาวราวภาพมายาภายใต้แสงแดดที่อาบชโลม


หอวสันตสารทเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานในเมืองผาดาราแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าในสมัยบรรพกาลเคยมีอริยะผู้หนึ่งเยี่ยมกรายผ่านที่แห่งนี้ แหงนมองปรากฏการณ์ดารา ทำนายเหตุการณ์รุ่งเรืองเสื่อมถอยอยู่ภายในตัวอาคาร ก่อนจากไปได้ทิ้งอริยะวาจาที่สั่นสะเทือนชั่วนิรันดร์เอาไว้หนึ่งประโยค…


ชั่วดีเป็นตรา วสันตสารทตัดสิน!


เพียงแปดคำสั้นๆ กลับมีความยิ่งใหญ่โชติช่วงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าคนใต้หล้าจะวิจารณ์อย่างไร สุดท้ายประวัติศาสตร์นิรันดร์จะเป็นผู้ตัดสินข้า!


นี่ก็คือความสง่างามของอริยะ


ด้วยเหตุนี้หอวสันตสารทจึงขึ้นชื่อลือกระฉ่อนเพราะอริยะวาจาแปดคำนี้ กลายเป็นสถานที่เก่าแก่เลื่องชื่อ หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าใดมาเยือน


เพียงแต่ทุกครั้งที่เทศกาลโคมกถามรรคใกล้เข้ามา หอวสันตสารทก็จะกลายเป็นดั่งสถานที่ต้องห้ามไม่ปาน


มีเพียงเหล่าผู้กล้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเท่านั้นจึงจะสามารถเหยียบย่างบนนั้นได้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าเฉียดใกล้


นี่เป็นกฎที่ไม่ได้บัญญัติไว้


ในกาลพ้นผ่านก็เคยมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากไม่ยอมรับ คิดว่าหอวสันตสารทเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่อริยบุคคลบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ ไม่ว่าใครต่างมีสิทธิ์เข้านอกออกในได้


แต่พวกเขาไม่ทันได้เฉียดใกล้ ก็ถูกเหล่าผู้กล้าบางส่วนสยบคาที่ ต้องถอยฉากอย่างโซซัดโซเซ เมื่อเวลาผันผ่านนานไป กฎข้อนี้ก็ปฏิบัติสืบต่อกันมา


ยังเหลือระยะทางห่างจากหอวสันตสารทอยู่พอสมควร ก็เห็นบนท้องถนนที่คึกคักกว้างขวางมีสัตว์ปีศาจเดินขวักไขว่ ปักษาเทพสยายปีก ดูน่าทึ่งหาใดเปรียบ แต่เวลานี้ต่างรับหน้าที่เป็นสัตว์พาหนะ บรรทุกผู้คนไว้บนหลัง


ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างพากันทยอยหลบฉาก ไม่กล้าขวางทาง


เพราะทุกคนรู้ดี ผู้ฝึกปราณที่สามารถบังคับสัตว์พาหนะน่าสะพรึงระดับนี้มาได้ แต่ละคนต้องมีที่มายิ่งใหญ่ อย่าว่าแต่หาเรื่องเลย ยังต้องรักษาท่าทางยำเกรงเอาไว้อีกต่างหาก!


“ดูนั่น! เป็นสัตว์ราชันที่ทรงพลังยิ่ง นั่นคืออสูรกิเลนเพลิงเขียวในตำนานหรือ เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวพวยพุ่งทั่วทั้งตัว แสงเรืองคละคลุ้ง กลิ่นอายราวกับราชัน!”


บนท้องถนนมีเสียงร้องอุทานดังขึ้นไม่ขาด


“ตามตำนาน อสูรกิเลนเพลิงเขียวเป็นสัตว์ราชันผู้พิทักษ์สำนักโบราณอารมพรางมรกต มีพลานุภาพคับฟ้าเปรียบได้กับราชันกึ่งระดับ กล่าวเช่นนี้แล้ว ชายหญิงที่นั่งอยู่บนอสูรกิเลนเพลิงเขียวนั้นจะต้องเป็นเหล่าผู้กล้าในอารามพรางมรกตเป็นแน่!”


“ใช่แล้ว จะต้องเป็นมู่เจี้ยนถิงศิษย์สืบทอดแท้จริงคนแรกในยุคนี้ของอารามพรางมรกตมาถึงแล้วเป็นแน่! ก็มีแต่ผู้กล้าเช่นเขาเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติได้รับการคุ้มครองจากอสูรกิเลนเพลิงเขียว!”


ยามที่หลินสวินกับไป่เฟิงหลิวเดินมาจากไกลๆ บังเอิญเห็นฉากนี้เข้าพอดี ก็รู้สึกทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขบวนเดินทางของผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณพวกนี้แต่ละคนยิ่งใหญ่กว่าคนก่อนหน้า แม้แต่สัตว์พาหนะยังอยู่ในระดับราชันกึ่งระดับ


“หลายวันมานี้เหล่าคนมีชื่อเสียงมารวมตัวกันที่เมืองผาดารา และหอวสันตสารทยิ่งเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของผู้คนนับหมื่น ผู้กล้ามากมายที่มาจากแต่ละอาณาเขตในแดนฐิติประจิมต่างก็มารวมตัวกันที่นี่”


ไป่เฟิงหลิวอธิบายอยู่ข้างๆ “และด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกปราณจำนวนมากจึงถูกดึงดูดเข้ามา หมายจะได้ยลความสง่างามของผู้กล้าหลายๆ คนสักแวบ พาให้พื้นที่ละแวกใกล้เคียงหอวสันตสารทกลายเป็นจุดที่มีผู้คนนิยมชมชอบมากที่สุดในบัดดล”


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ยามเอ่ยวาจา หลินสวินฉุดไป่เฟิงหลิวเดินเข้าใกล้ริมถนนด้วย


เวลานี้เองระลอกคลื่นน่าสะพรึงแผ่กระจายในห้วงอากาศวูบหนึ่ง ปักษาเทพที่สูงหลายสิบจั้ง เรือนร่างประหนึ่งหลอมด้วยทองคำอำมฤต ขนปีกสีสด อานุภาพศักดิ์สิทธิ์หาที่เปรียบไม่ได้โฉบบินผ่าน


ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งหลบไม่ทันถูกหอบม้วนลอยออกไป เซถลาทุลักทุเลทันที


“นกจาบกาฬทอง! นี่เป็นถึงปักษาเทพที่มีสายเลือดราชันเทพบรรพกาล กลิ่นอายทรงอานุภาพ ดูแล้วน่าอยู่ห่างจากระดับราชันเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!”


เสียงร้องอุทานดังขึ้นหนึ่งระลอก


สายตาของผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างมองไปทางนกจาบกาฬทองตัวนั้น มันบรรทุกเงาคนกลุ่มหนึ่งมีทั้งชายและหญิง


“ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดม!” พริบตานี้ไป่เฟิงหลิวก็มีสีหน้าตื่นตะลึงด้วยเช่นกัน


หลังได้รับการอธิบายหลินสวินจึงรู้ว่า ตำหนักปรกอุดมแห่งนี้ก็เป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่ง เพียงแต่ตั้งอยู่ในอาณาเขตลับโลกขนาดเล็กแห่งที่มีชื่อเรียกว่า ‘แดนประมุขพิภพ’


ในแดนฐิติประจิม นอกจากเขตแคว้นนับพัน ยังมีโลกเล็กๆ ที่เป็นเอกราชอยู่มากมาย แดนประมุขพิภพแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในแดนที่มีชื่อเสียงที่สุดในนั้น


อิงจากคำพูดของไป่เฟิงหลิว ความเป็นมาของตำหนักปรกอุดมสามารถย้อนไปถึงยุคบรรพกาลได้ รากฐานเก่าแก่หาที่เปรียบไม่ได้


เพียงแต่ผู้สืบทอดของสำนักนี้ไม่เคยปรากฏกายอยู่ในแดนฐิติประจิมมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวอีกครั้งในเวลานี้!


ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมก็มาเพราะเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


“ดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ…”


หลินสวินทอดถอนใจอีกหนึ่งระลอก ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งค้นพบความไพศาลและความลี้ลับของดินแดนรกร้างโบราณ นี่แค่แดนฐิติประจิมแห่งเดียวเท่านั้นก็ครอบคลุมเขตแดนเกือบไร้พรมแดน รวมถึงอาณาเขตโลกขนาดเล็กที่ยังไม่เคยได้ยินอีกจำนวนมาก


แค่คิดก็รู้ว่าดินแดนรกร้างโบราณที่แบ่งพื้นที่เป็นสี่แดนวิภูจะกว้างขวางมากเพียงใด!


ตู้ม!


ทันใดนั้นพื้นถนนสั่นสะเทือนรุนแรง อาคารก่อสร้างละแวกนั้นสั่นโคลง เสียงคำรามปานอสนีบาตสายหนึ่งดังขึ้น สั่นสะเทือนทั่วจักรวาล


ไม่ไกลนักสิงห์ขาวมหึมาที่ทั่วตัวอาบแสงสายฟ้าตัวหนึ่งปรากฏขึ้น พ่นเมฆคลายหมอก แผงคอระย้าร่ายรำ สายฟ้าทั่วร่างส่งเสียงกึกก้อง ปลดปล่อยสายฟ้าสีเงินบาดตาออกมา


“สวรรค์! สิงห์อสนีหยกขาว! นี่เป็นถึงสายพันธุ์ประหลาดบรรพกาลเชียว!” ผู้คนสูดหายใจเฮือก


“ผู้แข็งแกร่งเผ่าอสนีรกร้างมาถึงแล้ว!”


บนหลังสิงห์อสนีหยกขาวตัวนั้นบรรทุกตำหนักหลังหนึ่ง พอมองเห็นเงาร่างส่วนหนึ่งรำไรอยู่ในนั้น มีทั้งชายหญิง กลิ่นอายเหนือธรรมดา


“เผ่าอสนีรกร้างเป็นเผ่าใหญ่ห้าอันดับแรกในแดนฐิติประจิม ทายาทเผ่านี้ต่างมีโลหิตสมบัติที่บรรจุพลังแห่งสายฟ้าไหลเวียนอยู่ พรสวรรค์ผิดแผกพิสดาร พลังต่อสู้น่าสะพรึง หากข้าเดาไม่ผิด คนที่มาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้จะต้องเป็นเหลยเชียนจวินผู้ได้รับสมญานามว่า ‘นายน้อยเหลยโหว’ ในคนรุ่นใหม่เผ่าอสนีรกร้างอย่างแน่นอน!”


ไป่เฟิงหลิวสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ถ้อยคำหนักแน่นยิ่ง เขาเคยทำความเข้าใจข่าวสารของนายน้อยเหลยโหว รู้ดีว่านี่คือบุคคลไร้เทียมทานคนหนึ่ง พลังต่อสู้สะท้านโลก พรสวรรค์น่ากลัวเป็นที่สุด


หลินสวินหมดคำพูดไปชั่วขณะแล้ว นี่แค่ระหว่างทางยังพบเห็นบุคคลแกร่งกร้าวตระการตามากมายขนาดนี้ ไม่ว่าใครเกรงว่าคงยากทำใจให้สงบ


มุ่งหน้าต่อไปตลอดทาง สัตว์ปีศาจปักษาเทพที่พบเห็นระหว่างทางยิ่งมีมากขึ้นทุกที ทั้งหมดต่างน่าสะพรึงเป็นที่สุด พาให้ผู้ฝึกปราณมากมายใจสั่นไม่สิ้น


เมื่อเทียบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าหลินสวินไม่สะดุดอย่างยิ่ง มีเพียงเฒ่าสากกะเบือจากเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งอยู่ข้างกายเท่านั้น แม้แต่สัตว์พาหนะยังไม่มีสักตัว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูดความสนใจ


“คุณชายหลิน จากฐานะของท่านในปัจจุบัน เห็นชัดว่าวางตัวต่ำต้อยเกินไป นี่ไม่ดีเอาเสียเลย ต่ำต้อยเกินไปจะถูกคนมองข้ามและดูถูกเอาง่ายๆ” ไป่เฟิงหลิวกล่าวทอดถอนใจ


หลินสวินเอ่ย “พวกเจ้าเผ่าวาทวาโยไม่ใช่ว่ามาเกิดมาพร้อมกับปีกคู่หนึ่งหรอกหรือ อยากสยายออกมาบรรทุกข้าขึ้นบินสักเที่ยวหรือไม่ พวกเราจะได้สูงส่งขึ้นมาหน่อย”


สีหน้าไป่เฟิงหลิวแข็งค้างไป รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นพัลวัน เทพมารหลินคนนี้ช่างจินตนาการหลุดโลกเสียจริง ขี่กระดูกเฒ่าอย่างเขาขึ้นบินหนึ่งเที่ยว หากให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้าคงไม่พ้นขายขี้หน้าแย่


ฉับพลันนัยน์ตาหลินสวินแข็งทื่อ สีหน้าอึ้งงัน มองเห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งแวบผ่านบนถนนไม่ไกลออกไปนัก


นั่นคือเด็กสาวชุดขาวคนหนึ่ง งดงามโดดเด่น ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาสงบงามพิสุทธิ์ เนตรดาราของนางพราวระยับ ผมงามดำขลับ ริมฝีปากแดงเอิบอิ่ม ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาปานมันแพะ ราวกับเทพธิดาเดินออกมาจากภาพเขียน ไม่แปดเปื้อนหมอกควันในโลกมนุษย์


ไป๋หลิงซี!


เป็นนางจริงๆ ด้วย…


ในใจหลินสวินไม่ใคร่สงบเท่าใดนัก


แรกเริ่มยามอยู่นครเตโช เขาเคยเห็นเจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งลากตำหนักอมตะที่สุดหยั่งถึงหลังหนึ่งเคลื่อนผ่านห้วงอากาศไป


ตอนนั้นหลินสวินเห็นแวบๆ ว่าภายในตำหนักอมตะหลังนั้นมีเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งยืนอยู่ น่าเสียดายที่อยู่ไกลเกินไป ในตอนท้ายจึงไม่กล้ามั่นใจนัก


แต่ตอนนี้ยามที่เห็นอีกฝ่ายในเมืองผาดาราอีกครั้ง หลินสวินก็มั่นใจในทันทีว่าที่เห็นในตอนแรกจะต้องเป็นไป๋หลิงซีอย่างไม่ต้องสงสัย!


เห็นได้ชัดว่าหลังออกจากจักรวรรดิจื่อเย่ามุ่งสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ไป่เฟิงหลิวก็เข้าสู่แดนกาฬทักษิณ ฝากตนเป็นศิษย์ในแดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักโบราณแห่งหนึ่งทันที


เดิมทีหลินสวินคิดจะก้าวออกไปทักทาย แต่สังเกตเห็นว่าข้างกายไป๋หลิงซียังมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งอยู่ด้วย แต่ละคนวางขรึมเป็นพิเศษ เห็นชัดว่าต่างก็เป็นผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะ


สิ่งนี้ทำให้หลินสวินลังเลเล็กน้อย


“คุณชายหลิน ท่านคงไม่ได้ถูกใจแม่นางน้อยคนนั้นหรอกกระมัง เช่นนั้นก็รีบไล่ตามไปสิ มนุษย์ไม่เจ้าสำราญก็เสียดายวัยหนุ่มเปล่าๆ!”


ด้านข้างไป่เฟิงหลิวเบิกตากว้าง หัวเราะฮ่าๆ บนใบหน้าชราเปี่ยมด้วยแววสัปดน


หลินสวินตบผัวะเข้าที่ท้ายทอยของเขาหนึ่งฉาด ตีจนเขากัดฟันแยกเขี้ยวร้องด้วยความเจ็บไม่หยุด


เวลานี้เองห่างออกไป ไป๋หลิงซีดูเหมือนจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาพิสุทธิ์คู่นั้นหันขวับมามองทางนี้ทันใด ยามที่มองเห็นหลินสวินนางอดอึ้งงันน้อยๆ ไม่ได้ จากนั้นจึงเดินมาทางนี้…


สิ่งนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่ง ยามนี้เขาใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูป เปลี่ยนรูปลักษณ์และกลิ่นอายรอบตัวอยู่ ใช่ว่าใครๆ จะจำได้ง่ายๆ


ตอนที่ 846 ตีวัวกระทบคราด

เด็กสาวสวมชุดสีขาว ผมดำสลวยดุจดั่งน้ำตกทิ้งตัวระช่วงเอวเรียวคอด แต่งแต้มออกมาเป็นทรวดทรงน่าหลงใหล อ้อนแอ้นผอมเพรียว


นางกลับงามพิสุทธิ์ ประดุจเซียนผ่องโศภิตโดดเด่น ภายใต้รัศมีของนาง บรรดาชายหญิงละแวกใกล้เคียงต่างหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด


เวลานี้นางก้าวเท้าแผ่วเบาเดินมาทางหลินสวินราวกับเทพธิดามาเยือนโลก กลีบปากแดงเอิบอิ่มเจือรอยยิ้ม ดวงตาใสกระจ่างพราวระยับคู่นั้นฉายแววแปลกประหลาด


ไป่เฟิงหลิวนิ่งงัน งงเป็นไก่ตาแตกเล็กน้อย เมื่อครู่เขายังยุหลินสวินไปเกี้ยวเด็กสาวคนนี้อยู่ ไหนเลยจะคิดว่าพริบตาเดียว อีกฝ่ายถึงกับเป็นฝ่ายมาหาถึงที่!


“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” เสียงของไป๋หลิงซีเจือความดีใจ เป็นความดีใจและความประหลาดใจที่ได้พบคนรู้จักในต่างแดน


“เจ้า… จำข้าได้?” หลินสวินประหลาดใจ ได้พบเพื่อนเก่า ในใจของเขาก็เบิกบานเช่นกัน


“เจ้าอย่าลืมสิ ข้ากำเนิดมาพร้อมกับพรสวรรค์จิตวิญญาณ ‘ดารานิรันดร์’ คนที่ถูกข้าจดจำ ต่อให้กลายเป็นเถ้าธุลีข้าก็จำได้ทั้งนั้น” ไป่หลิงซีแย้มรอยยิ้ม ดวงตาสุกใสมองอย่างเป็นมิตร ผมงามดั่งน้ำตก อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสว มีความงามโดดเด่นเหนือโลกีย์


หลินสวินตะลึงทันที มองไปยังเด็กสาวเบื้องหน้าที่เติบโตเป็นสาวงามเต็มตัว ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานา


ปีนั้นตอนอยู่ค่ายกระหายเลือด ทุกคนเพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ปี ไป๋หลิงซีก็เผยความสง่างามเหนือพิภพตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว


ผู้คนมากมายต่างเชื่อว่านางจะต้องเป็นผู้กล้าหญิงคนหนึ่งของจักรวรรดิในอนาคต จะเจิดจ้าปานอาทิตย์ดวงใหญ่บนเวิ้งฟ้า และเป็นที่จับจ้องของคนทั่วโลกอย่างแน่นอน


และยามนี้ผ่านไปหลายปี อีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณแล้ว ซ้ำยังเจริญวัยงดงามขึ้นเรื่อยๆ ท่วงท่าสง่างาม ดรุณีสะท้านโลก


ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แสงแดดอุ่นๆ ปกคลุมร่างอรชรของไป๋หลิงซีจนกลายเป็นชั้นแสงเรืองพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ดวงหน้าสวยกระจ่างนวลเนียนยังคงสงบนิ่งเหมือนที่ผ่านมา ประดุจเซียนสาวตำหนักพระจันทร์


ไป๋หลิงซีมองสำรวจหลินสวินจากหัวจรดเท้า จากกันนานปี ยามนี้พบกันอีกครั้งทำให้นางรู้สึกสะท้านไหวในใจอยู่มากเช่นกัน


“เจ้าก็มาร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วย? จริงสิ ลำพังแค่พรสวรรค์และรากฐานที่เจ้ามีอยู่ในปีนั้น การมาเข้าร่วมเทศกาลโคมหนนี้ก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” นางกล่าวพลางยิ้มบางๆ


“เจ้าล่ะ ไม่ใช่ว่ามาร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วยหรือ” หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน


ไม่เหมือนมุมมองความรู้สึกที่มีต่อเซี่ยอวี้ถัง หลินสวินและไป๋หลิงซีมีมิตรภาพแบบ ‘เพื่อนร่วมชั้น’ ต่อกัน หนำซ้ำตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังนับว่าไม่เลวทีเดียว


ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ชายหญิงพวกนั้นที่มาพร้อมกับไป๋หลิงซีล้วนเดินเข้ามากันหมด ต่างพากันมองสำรวจหลินสวินด้วยความประหลาดใจ


เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางธรรมดา กลิ่นอายเรียบง่ายไม่ได้สะดุดตาแต่อย่างใดของอีกฝ่าย พวกเขาต่างเก็บสายตาที่มองสำรวจ รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย


“ศิษย์น้องหลิงซี คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีคนรู้จักในแดนฐิติประจิมด้วย ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ชื่อเรียงเสียงไร พอจะแนะนำพวกเราได้หรือไม่”


หญิงสาวสวมชุดคลุมกระเรียนสีเพลิง รูปร่างทรงเสน่ห์คนหนึ่งเอ่ยถามพลางหัวเราะน้อยๆ คำพูดเจือการประชดประชันที่เหมือนมีแต่ไม่มีเสี้ยวหนึ่ง


“นั่นสิศิษย์น้องหลิงซี เจ้าเป็นถึงดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในแดนพิสุทธิ์อมตะของพวกเรา แม้แต่ศิษย์พี่อวี่หลิงคงก็ยังชื่นชมเจ้า คิดดูแล้วเพื่อนของเจ้าก็คงไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน”


ชายหญิงคนอื่นๆ ก็พลอยเอ่ยปากด้วย เพียงแต่ท่าทางของพวกเขาเจือแววสัพยอกล้อเลียน เห็นได้ชัดว่ากำลังโห่เย้ยและไม่ให้เกียรติเป็นอย่างยิ่ง


หัวคิ้วของหลินสวินขมวดมุ่นอย่างจับสังเกตได้ยาก


กลับเห็นดวงหน้างามกระจ่างของไป๋หลิงซีไม่ไหวติง กล่าวราบเรียบ “พวกท่านพูดไม่ผิด เพื่อนของข้าคนนี้ไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไปจริงๆ รอให้เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น พวกท่านก็จะรู้จักเขาเอง แต่ว่าถึงตอนนั้นหวังว่าศิษย์พี่ทั้งหลายคงไม่ตื่นตระหนกตกใจยกใหญ่เป็นกระต่ายตื่นตูมเหมือนตอนนี้”


คำพูดนี้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบเฉยเมย นี่เป็นการตอบโต้ที่ไร้ร่องรอยอย่างไม่ต้องสงสัย


กระต่ายตื่นตูม?


สีหน้าของบรรดาชายหญิงเหล่านั้นผุดแววไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง หญิงสาวเสื้อคลุมกระเรียนสีเพลิงคนนั้นยิ่งส่งเสียงหัวเราะหยันออกมา ปรายตามองหลินสวิน สำรวจตรวจสอบอย่างไม่กลัวเกรง


ครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยพูดคล้ายกับสะดุ้งสุดตัว “ไม่ถูกนะ เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกว่าเพื่อนคนนี้ของศิษย์น้องหลิงซีน่าทึ่งเพียงใด คนเช่นนี้มีอยู่ทั่วไปตามท้องถนน บอกว่าหาตัวจับยากยังเป็นการยกยอเขาเลย หรือว่า… นี่คือเพื่อนที่ศิษย์น้องหลิงซีผูกมิตรด้วย?” คำพูดนี้ตรงไปตรงมายิ่ง ไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์หลินสวินซึ่งหน้า หนำซ้ำยังใช้โอกาสนี้ตีวัวกระทบคราด ลอบถากถางว่าไป๋หลิงซีไม่ระวังในการคบหาเพื่อน


ชายหญิงคนอื่นๆ ยิ้มเงียบๆ รอชมเรื่องสนุก


การถากถางและวิจารณ์โดยไม่ปกปิดแต่อย่างใดเช่นนี้ หลินสวินเคยเจอมานักต่อนักแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะจะถึงกับยกตนข่มท่านเช่นนี้ ไม่เห็นใครในสายตาด้วยเช่นกัน


เขาขมวดคิ้ว สัมผัสได้ว่ายามที่ไป๋หลิงซีฝึกปราณอยู่ในแดนพิสุทธิ์อมตะ เกรงว่าคงถูกเพื่อนร่วมสำนักกีดกันและเห็นเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน


กลับเห็นหมอกอึมครึมเสี้ยวหนึ่งฉายผ่านดวงหน้างดงามราวกับหยกของไป๋หลิงซี นางก้าวไปข้างหน้าเพียงลำพัง ดึงหลินสวินไปด้านข้างแล้วสื่อจิตกล่าว ‘เจ้าอย่าได้ใส่ใจ พวกเขาก็แค่อยากถือโอกาสนี้ถากถางและเย้ยหยันข้าก็เท่านั้น ยามนี้ข้าไม่ถือสาพวกเขา รอเมื่อมีโอกาส ข้าจะทำให้พวกเขานึกเสียใจที่ทำเช่นนี้’


เอ่ยถึงช่วงสุดท้ายเสียงของนางเจือแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง แสงเรืองรองพลุ่งพล่านในดวงตาใสกระจ่าง เห็นได้ชัดว่าลุแก่โทสะแล้ว


หลินสวินเอ่ยถาม ‘อยากให้ข้าช่วยหรือไม่’


ไป๋หลิงซียิ้มน้อยๆ น้ำเสียงเจือความมั่นใจที่ไม่เหมือนใคร ‘ก็แค่พวกเหลือเดนที่ยกตนข่มท่านกลุ่มหนึ่งเท่านั้น จัดการกับพวกเขา ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เมื่อก่อนตอนอยู่ในสำนักพวกเขากีดกันเห็นข้าเป็นศัตรูก็ช่างเถิด ข้าก็คร้านจะถือสาเอาความพวกเขา แต่การกระทำของพวกเขายามนี้แตะขีดจำกัดของข้าแล้ว หากไม่เผยโฉมให้พวกเขาดูเสียหน่อย คงคิดว่าข้าไป๋หลิงซีกลัวพวกเขาจริงๆ’


หลินสวินยิ้มแล้ว เด็กสาวตรงหน้าคนนี้งดงามไร้ทัดเทียม แปลกแยกโดดเด่น และมั่นใจในตัวเองเหมือนที่ผ่านมา มีความหยิ่งทระนงของตนประการหนึ่ง


‘เพียงแต่ตอนนี้ต้องผิดต่อเจ้าแล้ว ทำให้เจ้าถูกคนสบประมาทแบบไร้สาเหตุ’ ไป๋หลิงซีค่อนข้างรู้สึกผิด


หลินสวินคลี่ยิ้ม ‘ข้าจะคิดเสียว่าหมาเห่าแล้วกัน’


‘เจ้ายังใจกล้าเต็มกำลังเหมือนปีนั้นไม่มีผิด’ ไป๋หลิงซีก็ยิ้มเช่นกัน มีความงามน่าอัศจรรย์ราวกับดอกไม้ตูมที่เบ่งบานหลังสายฝน


“ศิษย์น้องหลิงซี ศิษย์พี่อวี่กำลังรอพวกเราอยู่ ได้เวลากลับไปแล้ว” ไกลออกไป ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนเรียก


ไป๋หลิงซีขมวดคิ้วเรียว ดวงตาใสกระจ่างฉายแววโกรธกรุ่นเสี้ยวหนึ่ง มีหรือนางจะฟังไม่ออกว่านี่คือการจงใจขัดจังหวะของอีกฝ่าย ไม่อยากให้ตนโอ้เอ้อยู่ที่นี่


“ไปเถิด ยามเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้นยังมีโอกาสได้พบกันอีก” หลินสวินกล่าวยิ้มๆ


ไป๋หลิงซีร้องอืมคราหนึ่ง ชี้ไปที่หอวสันตสารทที่อยู่ห่างออกไปแล้วกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าจะไปที่นั่นใช่หรือไม่”


“ใช่ ข้าจะไปหาสหายคนหนึ่ง”


“เจ้าต้องระวังตัว เท่าที่ข้ารู้ยามนีพวกร้ายกาจส่วนหนึ่งพักอยู่ที่นั่น ทุกคนต่างเห็นเจ้าเป็นเป้าโจมตี อยากเหยียบเจ้าไว้แทบเท้ากันทั้งนั้น”


ไป๋หลิงซีเอ่ยเตือน


“ทำไมเจ้า… ก็รู้ด้วย” หลินสวินตะลึงงัน


กลีบปากแดงแวววาวของไป๋หลิงซีคลี่เป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาใสกระจ่างไหลเวียนดั่งคลื่นน้ำ กล่าวว่า “แดนฐิติประจิมยามนี้ ใครบ้างไม่รู้จักชื่อเสียงของเทพมารหลิน”


กล่าวจบนางก็เยื้องย่างจากไป เงาร่างชดช้อย


หลินสวินลูบจมูกป้อยๆ เพียงแต่ยามที่เห็นไป่เฟิงหลิวที่อยู่ห่างออกไป สีหน้าของเขาพลันอึมครึมทันที


ก็เห็นเจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ทำลับๆ ล่อๆ เข้าไปใกล้ไป๋หลิงซี กล่าวด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “แม่นางหลิงซี ท่านคงเป็นหญิงคนสนิทของคุณชายหลิน?”


ไม่ต้องคาดเดาแต่อย่างใด เขากำลังขุดคุ้ยข่าวใหญ่เกี่ยวกับ ‘เทพมารหลิน’ อีกแล้ว!


เพียงแต่ไม่รอให้เขาถามไถ่จนได้คำตอบ ท้ายทอยก็ถูกหลินสวินเงื้อมือตบเข้าหนึ่งฉาด และด่าว่าเขาอยู่ด้านข้าง


“นี่คือเพื่อนเจ้า?” ไป๋หลิงซีถามอย่างสงสัยใคร่รู้


“เปล่า นี่คือเฒ่าสากกะเบือไร้ศีลธรรมคนหนึ่ง” หลินสวินจนปัญญาเล็กน้อย


ไป๋หลิงซียิ้มละไม ค่อยๆ เดินจากห่างไป


ไป่เฟิงหลิวเห็นเช่นนี้ ดวงตากลับทอประกาย กล่าวพึมพำในใจ ‘น่าสนใจ น่าสนใจมากๆ แค่ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนถึงขั้นไหนแล้ว โอ้ รอสบโอกาสค่อยระเบิดข่าวประเด็นร้อนนี้ออกไป…’


กระทั่งพาดหัวข่าวเขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ‘เรื่องลับที่ไม่อาจบอกใครระหว่างเทพมารหลินกับหญิงสาวผู้เลอโฉมแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะ’!


ยิ่งคิดไป่เฟิงหลิวก็ยิ่งฮึกเหิม แดนพิสุทธิ์อมตะเป็นถึงสำนักโบราณชั้นนำในแดนกาฬทักษิณ เทพมารหลินในฐานะที่ผงาดในแดนฐิติประจิม แต่สามารถคบหากับผู้สืบทอดที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะได้ ขอเพียงแพร่งพรายออกไป จะต้องบังเกิดความฮือฮาครั้งใหญ่เป็นแน่!


ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ฝึกปราณชายอิจฉาริษยาเท่าไร และไม่รู้ว่าเด็กสาวใสซื่อที่เลื่อมใสเทพมารหลินจะใจสลายไปเท่าใด…


ผัวะ!


ขณะที่ไป่เฟิงหลิวยิ่งคิดยิ่งลำพองขึ้นเรื่อยๆ ท้ายทอยก็ถูกตีอีกหนึ่งหน พาให้เขาโซซัดโซเซออกไป เซจนเกือบล้มคว่ำ


จากนั้นเขาก็เห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่มีไอสังหารพวยพุ่งของหลินสวิน


“หากเจ้ากล้าทำเรื่องเกินควรออกไป ข้ารับรองว่าสักวันหนึ่งจะไปเหยียบเผ่าวาทวาโยของพวกเจ้า แล้วโค่นต้นข่าวสารทองคำที่พวกเจ้าเทิดทูนประหนึ่งสมบัติบรรพบุรุษนั่น!” หลินสวินเน้นถ้อยเน้นคำ


เขามองปราดเดียวก็มองทะลุความคิดสกปรกของเจ้าเฒ่าสากกะเบือผู้นี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะเล่นอุบายอัปรีย์อะไรอีก


ไป่เฟิงหลิวสูดหายใจดังเฮือกหนึ่งครา สีหน้าเปลี่ยนไปยกใหญ่ กล่าวเป็นพัลวัน “สาบานต่อสวรรค์ ข้ารับรองว่าจะไม่แพร่ข่าวโคมลอยแน่”


เขากังวลมากจริงๆ หากเทพมารหลินเดือดดาลจนไปโค่นต้นข่าวสารทองคำแห่งเผ่าวาทวาโยของพวกเจ้า ผลที่ตามมาคงร้ายแรงเป็นล้นพ้น


ทั้งสองเดินหน้าต่อไป ไม่นานนักในที่สุดหลินสวินก็เห็นหอวสันตสารทเก่าแก่มีชื่อเสียงทั่วแดนฐิติประจิมหลังนั้น


มันสูงราวร้อยจั้ง ทั่วตึกสร้างมาจากหยกเคลือบ ทอดมองจากระยะไกลราวกับมังกรขาวห้อทะยานสู่เวิ้งนภา สูงตระหง่านตระการตา


แสงแดดส่องกระทบ ทำให้หอวสันตสารทชโลมด้วยแสงแวววาวเจิดจรัส ทั้งเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ เจือกลิ่นอายเก่าแก่อย่างยิ่ง


หน้าประตูใหญ่ของหอวสันตสารทมีเงาร่างผู้แข็งแกร่งบางส่วนปักหลักอยู่ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ ขวางไม่ให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นเข้าไป


แต่ถึงอย่างนั้นในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงก็ยังมีเงาร่างผู้ฝึกปราณจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ ต่างชะเง้อชะแง้มอง ทุกครั้งที่มีผู้กล้าปรากฏตัว ในลานก็จะระเบิดเสียงฮือฮาขึ้นเป็นระลอก


เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างมาชมดูความคึกคัก


ขณะที่หลินสวินมาถึงบริเวณใกล้เคียง ก็บังเอิญเห็นขบวนของพวกไป๋หลิงซีหายเข้าไปด้านในประตูหอวสัตสารทพอดี


‘ดูท่าอวี่หลิงคงบุคคลไร้เทียมทานของแดนพิสุทธิ์อมตะที่มาจากแดนกาฬทักษิณคนนั้น จะต้องมาถึงแล้วเป็นแน่…’


หลินสวินเพิ่งตระหนักได้เอาตอนนี้ว่า หากอวี่หลิงคงมาถึงแล้ว จี้ซิงเหยาธิดาเทพแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาก็น่าจะมาถึงแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่


ขณะที่กำลังขบคิด ดวงตาหลินสวินกลับหดรัดโดยพลัน


ก็เห็นในประตูบานใหญ่หอวสันสารทแห่งนั้น เวลานี้ถึงกับมีเงาร่างหนึ่งเหินลอยยออกมา เซล้มหมดสภาพกับพื้นเสียงดังปึง ฝุ่นควันคลุ้งตลบ เห็นชัดว่าสะบักสะบอมหาใดเปรียบ


ตอนที่ 847 ไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป

ทั่วลานเกิดความฮือฮา กระสับกระส่ายไม่สิ้น


ถึงกับมีคนถูกไล่ออกจากหอวสันตสารท?


นี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน!


ชั่วขณะ ทุกสายตาต่างพากันมองเข้าไป


ก็เห็นคนผู้นั้นมีรูปลักษณ์หล่อเหลา เพียงแต่เวลานี้ผมเผ้ากระเซิง คราบเลือดเปื้อนมุมปาก ดูแล้วสะบักสะบอมเป็นที่สุด


“เอ๋ นั่นดูเหมือนเยวี่ยเจี้ยนหมิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทที่ชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นวิญญาณอัคนีนี่!”


“สวรรค์! นี่เป็นถึงผู้กล้าคนหนึ่งเชียว ไฉนจึงถูกคนซัดออกจากหอวสันตสารทเสียได้ นี่ต่อไปจะให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงเงยหน้าอ้าปากได้อย่างไรไหว”


ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด


“เมืองผาดาราในปัจจุบันรวมพลผู้กล้าต่างเขตแคว้นในแดนฐิติประจิม กลายเป็นที่สนใจและจับตามองของคนทั่วหล้า บัดนี้กลับเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น คราวนี้เยวี่ยเจี้ยนหมิงอาจจะชื่อเสียงป่นปี้โดยสิ้นเชิงแล้ว!”


ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างพรั่นใจ


“เฮอะ! แคว้นวิญญาณอัคนี? ที่นั่นไม่มีแม้แต่สำนักที่เรียกได้ว่าเก่าแก่เลยสักแห่ง เยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้นับเป็นอะไรเล่า คู่ควรถูกเรียกว่าผู้กล้าด้วยหรือ น้ำหน้าอย่างเขาสมควรถูกไล่ออกจากหอวสันตสารทแล้ว!”


และมีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยหัวเราะเยาะ รู้สึกไม่เห็นด้วย


แต่เวลานี้นัยน์ตาหลินสวินไหววูบ เขาคิดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่าจะได้พบเยวี่ยเจี้ยนหมิงอีกครั้งภายใต้สถานการณ์พรรค์นี้


ภายใต้สายตาจับจ้องของฝูงชน กลับถูกซัดกระเด็นออกมาเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดเป็นคนทำก็ออกจะเกินเหตุไปหน่อยแล้ว หมายจะหยามน้ำหน้าดูถูกเยวี่ยเจี้ยนหมิงชัดๆ!


“ถุย! เศษเดนอย่างเจ้าก็เพ้อพกคิดจะมีพื้นที่อยู่ในหอวสันตสารทด้วย? ช่างไม่ดูเงาหัวตัวเองจริงๆ รีบไสหัวไป!”


เวลานี้เงาร่างล่ำสันปานภูเขาปรากฏตัวภายในหอวสันตสารท แขนสองข้างกอดอก ผรุสวาทใส่เยวี่ยเจี้ยนหมิงด้วยสีหน้าเหยียดหยาม


“เป็นผู้แข็งแกร่งจากเผ่าฉลามสมุทรแห่งทะเลมารพิฆาต!”


“ข้าจำได้เลาๆ เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายซาหลิวฉานบุตรเทพเผ่าฉลามสมุทร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ผู้ติดตามคนหนึ่งก็ยังกร้าวแกร่งและทรงพลังเช่นนี้ ไม่เห็นเยวี่ยเจี้ยนหมิงอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง”


“ฮ่าๆ ทะเลมารพิฆาตเดิมก็เป็นสถานที่รวมพลผู้แข็งแกร่งแห่งหนึ่งอยู่แล้ว หนำซ้ำเผ่าฉลามสมุทรยังเป็นขุมกำลังระดับผู้นำในนั้นอีกด้วย พวกเขาคงไม่สนใจเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่ถือกำเนิดในแคว้นวิญญาณอัคนีคนนั้นหรอก”


ตัวตนของชายร่างยักษ์กำยำผู้นั้นถูกจำได้อย่างรวดเร็ว ในลานบังเกิดเสียงฮือฮาหนึ่งระลอก


เยวี่ยเจี้ยนหมิงตะกายขึ้นมาจากพื้น สีหน้าคล้ำเขียวหาใดเปรียบ จ้องชายร่างยักษ์กำยำคนนั้นไม่วางตา กล่าวว่า “ข้าเฝ้าถามตัวเองว่าแต่ไรมาก็ไม่เคยผูกพยาบาทกับเผ่าฉลามสมุทรของพวกเจ้า แต่เหตุใดถึงได้เพ่งเล็งและทำข้าอดสูถึงเพียงนี้”


ในใจเขาเปี่ยมด้วยความเดือดดาล กลับทำได้เพียงสะกดเอาไว้ แต่เขายังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่


“เฮอะ ดูท่าเจ้ายังไม่ยอมแพ้”


ชายร่างยักษ์กำยำสาวเท้าก้าวออกมา ลำแสงแกร่งกร้าวพุ่งปราดจากนัยน์ตา จ้องเยวี่ยเจี้ยนหมิงอย่างดูถูกเหยียดหยามแล้วกล่าว “เจ้าพูดไม่ผิด เจ้าไม่เคยล่วงเกินพวกข้าจริงๆ เพียงแต่ ใครใช้ให้เจ้าอ้างตัวว่าเป็นสหายกับเทพมารหลินขี้หมาอะไรนั่น”


ทั่วลานตะลึงอึ้งค้าง คราวนี้ถึงได้ตระหนัก ที่แท้เยวี่ยเจี้ยนหมิงประสบเคราะห์โดยไร้ความผิด ก็เพราะถูกเทพมารหลินดึงมาเอี่ยวด้วย


โดยเฉพาะหลินสวิน นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทันที เขาเพิ่งรู้ในตอนนี้เช่นกัน ว่าที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงถูกคนซัดลอยออกมา ก็เพียงเพราะเคยบอกว่าเป็นสหายกับตน!


นี่เรียกว่าเหตุผลอะไรกัน


เพียงเพราะบอกว่าเป็นสหายของตนก็ต้องทนรับการโจมตีเช่นนี้เชียวหรือ


หลินสวินเข้าใจอย่างที่สุด เผ่าฉลามสมุทรทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหมายหัวตน ต้องการให้คนทั่วหล้าได้ประจักษ์กันถ้วนหน้า ว่าผู้ใดที่มีความเกี่ยวข้องกับตน จะถูกพวกเขากดข่มทั้งสิ้น!


เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะกล้ายุ่งกับตนอีก


“เพราะแบบนี้เองหรือ” เยวี่ยเจี้ยนหมิงเกือบคิดว่าตนหูฝาด ยากจะเชื่อ สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่น่าดูหาที่เปรียบไม่ได้ อะไรที่เรียกว่ากำเริบเสิบสานใช้อำนาจบาตรใหญ่


ก็นี่อย่างไรเล่า!


เพื่อจัดการหลินสวิน ถึงขนาดใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ ข่มเหงรังแกกันเกินไปชัดๆ!


“ฮ่าๆ ดูท่าเจ้ายังไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าจะพูดอีกรอบ คนที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพมารหลินขี้หมานั่น ไม่ว่าหน้าไหนล้วนเป็นเป้าที่พวกเราเผ่าฉลามสมุทรต้องกำราบทั้งสิ้น!”


ชายร่างยักษ์กำยำกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ พลันนึกอะไรขึ้นมา แววตาเจือประกายดุกร้าว กวาดมองทั่วลานแล้วร้องตะโกนดังลั่น “เทพมารหลินเจ้ามาหรือยัง ช่างเป็นสวะชัดๆ เห็นสหายเจ้าถูกหยามเกียรติเช่นนี้ก็ตกใจจนไม่กล้าแสดงตัวแล้วเรอะ!”


ทั่วลานเงียบกริบ ไร้สรรพเสียง ทุกคนต่างตระหนักว่าที่เผ่าฉลามสมุทรทำเช่นนี้เห็นชัดว่ากำลังยั่วยุ ต้องการบีบให้เทพมารหลินเป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อน!


“ผู้มาเจตนาไม่ดี ท่านอย่าหุนหันพลันแล่นเด็ดขาด เทศกาลโคมกถามรรคยังไม่ทันเริ่ม เวลานี้ไม่เหมาะจะก่อความขัดแย้งกับผู้อื่น” ไป่เฟิงหลิวรีบสื่อจิตเตือนสติหลินสวิน


เพียงแต่หลินสวินกลับทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน


ครั้งแรกที่รู้ว่าเขาถูกเหล่าผู้กล้าพวกนี้มองเป็นเป้าจู่โจม หมายเหยียบเขาก้าวสูงขึ้นไป ในใจเขาก็มีเพลิงโทสะอยู่บ้างแล้ว


เพียงแต่เขากลับไม่เคยเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ รับหน้าด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด คิดว่าหากมีคนกล้ากระโจนออกมายั่วยุตน เช่นนั้นตนย่อมไม่เกรงใจ


แต่ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าตนคิดผิด!


ยิ่งตนไม่สนใจ อีกฝ่ายก็ยิ่งลำพอง ได้คืบจะเอาศอก ทำให้ตนเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเห็นได้ชัด


กระทั่งหลินสวินสงสัยว่าการวางตัวเป็นคนประเภท ‘ผู้ใดไม่รุกรานข้า ข้าไม่รุกรานผู้นั้น’ ของตนกลับทำให้คนจำนวนมากมองว่าขี้ขลาดและถอยหนี!


เหมือนเช่นยามนี้ ผู้ติดตามข้างกายซาหลิวฉานคนหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าไล่เยวี่ยเจี้ยนหมิงออกจากหอวสันตสารทภายใต้สายตาของฝูงชน หยามเกียรติเต็มกำลัง ใช้สิ่งนี้มาโจมตีและกระตุ้นตน คิดบีบตนให้ปรากฏตัว นี่…


จะวางโตเกินไปแล้ว!


สิ่งสำคัญที่สุดคือเยวี่ยเจี้ยนหมิงพบเจอความอัปยศอดสูขนาดนี้แค่เพราะบอกว่าเป็นสหายของตน นี่แตะโดนขีดความอดทนของหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!


วันหน้าหากมีศัตรูคนอื่นๆ ต้องการจัดการเขา ก็คงทำเลียนแบบเช่นนี้ ใช้สหายส่วนหนึ่งของเขามาข่มขู่ เช่นนั้นผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการ!


“ดูท่าเทพมารหลินคงตกใจจนไม่กล้าโผล่หัวมาแล้ว”


ห่างออกไปชายร่างยักษ์กำยำยังคงหัวเราะลั่นอย่างดูถูก หยามหลินสวินต่อหน้าผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน


“ข้าขอเตือนเจ้าให้หุบปากเป็นดีที่สุด!” เยวี่ยเจี้ยนหมิงหน้าคล้ำเขียว ตะโกนอย่างเดือดดาล “เผ่าฉลามสมุทรของพวกเจ้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวกรรมตามสนองหรือ”


ชายร่างยักษ์กำยำปั้นหน้าขรึม ท่าทางแกร่งกร้าวอำมหิต กล่าวอย่างน่าเกรงขาม “กรรมตามสนอง? น่าขัน! โลกวิถีเคารพผู้แข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร กรรมตามสนองที่เจ้าว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสียงคร่ำครวญของพวกอ่อนแอไร้ทางสู้เท่านั้น!”


เขากล่าวพลางสาวเท้าเดินไปทางเยวี่ยเจี้ยนหมิง


“เจ้าจะทำอะไร” เยวี่ยเจี้ยนหมิงหน้าเปลี่ยนสี


“เจ้าไม่ได้บอกว่ากรรมตามสนองหรือ ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสของกรรมตามสนองก่อนเป็นคนแรก ถือโอกาสเตือนสติคนทั้งโลกว่าการคบค้ากับเทพมารหลินต้องไม่มีจุดจบที่ดี!”


ท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่น เงาร่างของชายร่างยักษ์พุ่งออกมา กลิ่นอายแกร่งกร้าวระฟ้าแผ่ซ่านทั่วร่าง เงื้อฝ่ามือขึ้นซัดใส่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเต็มกำลัง


ตูม!


ห้วงอากาศหวีดปะทุ ถูดซัดระเบิดในทันที ลมฝ่ามือน่าสะพรึงพวยพุ่งด้วยแสงเลือดพร่าตา ครอบฟ้าคลุมดิน ปกคลุมทั่วดินแดนไกลโพ้นสี่ทิศ


ผู้ฝึกปราณจำนวนมากสูดหายใจเฮือก ตระหนักได้ถึงความน่าสะพรึงของชายร่างยักษ์ อย่าเห็นเป็นแค่ผู้ติดตามคนหนึ่งเท่านั้น ความจริงทรงพลังยิ่ง!


และเวลานี้หลินสวินก็เริ่มขยับตัว ย่างเท้าหนึ่งก้าว พลันหายไปจากจุดเดิมเพียงชั่วแล่น


เขาตัดสินใจสู้สุดตัวแล้ว ไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไป วันนี้ต่อให้ประมุขสวรรค์มาเยือน ก็ขวางความมุ่งมั่นที่จะลงมือของเขาไม่ได้!


พรึ่บ!


ครู่ต่อมาเงาร่างของหลินสวินปรากฏอยู่เบื้องหน้าเยวี่ยเจี้ยนหมิง เพียงสะบัดแขนเสื้อ แสงเรืองพิสุทธิ์เต็มฟ้าพลันแผ่ซ่านท่ามกลางเสียงตูมตาม สลายฝ่ามือสีเลือดสายนั้นในพริบตา


“หลินสวิน?”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงอึ้งงัน เดิมทีเขาคิดว่าคราวนี้ตนต้องประสบเคราะห์แน่แล้ว ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ หลินสวินจะปรากฏตัวออกมาในชั่วพริบตา


ไม่ไกลนักชายร่างยักษ์คนนั้นก็หรี่ตาลง เทพมารหลิน? เขามาแล้วจริงๆ หนำซ้ำยังอยู่ที่นี่มาโดยตลอด?


“เทพมารหลิน!”


“สวรรค์ เทพมารหลินปรากฏตัวแล้ว!”


ใกล้ๆ นั้นผู้ฝึกปราณทั้งหมดร้องอุทาน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นๆ หรือจะเป็นผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์ ในขชั่วขณะต่างก็เปลี่ยนเป็นฮึกเหิมหาใดเปรียบ


เทพมารหลิน!


นี่เป็นถึงพวกกร้าวแกร่งที่ผงาดในแดนฐิติประจิมประหนึ่งดาวหาง เคยสำแดงการต่อสู้สะท้านโลกกับหญิงสาวสวมหน้ากากลึกลับบนเวิ้งฟ้า


และเคยสังหารราชันกึ่งระดับสี่คนจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬด้วยตัวคนเดียว ฝ่าวงล้อมอย่างทรงพลัง


กระทั่งยังมีข่าวลือว่าเขามีความเกี่ยวโยงกับหญิงสาวปริศนาปานจักรพรรดินีแห่งบรรพกาลผู้หนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การล้างผลาญเขาเถื่อนเมฆินทร์อันเป็นแหล่งอาศัยของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอีกด้วย!


หลายวันที่ผ่านมาก็เคยมีผู้กล้าแห่งยุคจำนวนมากร้องปาวๆ หมายจะสยบเทพมารหลิน คิดว่าเขาแอบอ้างสร้างชื่อ ความจริงชื่อเสียงไม่เหมือนคำร่ำลือ


อย่างเช่นจงหลีอู๋จี้ที่เป็นถึงบุคคลไร้เทียมทานผู้เป็นเหมือนราชันมารอวตาร ก็เคยพูดต่อหน้าคนทั้งโลกว่าขอเพียงเทพมารหลินปรากฏตัวในเทศกาลโคมกถามรรค เขาจะลงมือสยบเทพมารหลินเป็นคนแรก!


หรืออย่างชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียว ถึงขั้นลั่นวาจาว่าจะทำให้เทพมารหลินสำนึกผิดต่อหน้าธารกำนัล ยอมรับคำกล่าวที่ว่าชื่อเสียงตนไม่สมกับคำร่ำลือ!


ทั้งหมดนี้แม้จะทำให้เทพมารหลินถูกตราหน้าครหา แต่กลับทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายขึ้นไปอีกขั้น


แดนฐิติประจิมในยามนี้ ‘เทพมารหลิน’ สามคำนี้แทบจะเป็นที่รู้จักของทุกผู้คน!


เพียงแต่ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าเทพมารหลินจะปรากฏตัวในเวลานี้ ชั่วขณะนั้นอารมณ์ของผู้ฝึกปราณทั่วลานฮึกเหิมขึ้นมาโดยสมบูรณ์ราวกับถูกจุดชนวน


มีเพียงไป่เฟิงหลิวที่ยิ้มเจื่อน ที่แห่งนี้มีเหล่าผู้กล้ารวมตัว ดึงดูดความสนใจทั่วทั้งแดนฐิติประจิม การปรากฏตัวเวลานี้จึงไม่ฉลาดเอามากๆ


แต่ว่าไป่เฟิงหลิวก็เข้าใจ ยามนี้หลินสวินคงถูกยั่วโทสะเข้าให้แล้ว หากเปลี่ยนเป็นเขาก็คงสะกดไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน


ผู้แข็งแกร่งเผ่าฉลามสมุทรคนนั้นทำเกินกว่าเหตุเกินไปจริงๆ!


“เจ้าก็คือเทพมารหลินขี้หมาคนนั้น? ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว เพียงแต่… ดูแล้วก็คงไม่พ้นเท่านี้ ให้ข้าลองทดสอบดูก่อนว่าเจ้ามีศักยภาพสักกี่มากน้อยกันแน่!”


หลังจากชายร่างยักษ์อึ้งไปก็แสยะยิ้ม ยกมือขึ้นเรียกง้าวมหึมาสีเลือดเล่มหนึ่งออกมา ฟาดสังหารห้วงอากาศ พุ่งไปตัดหัวหลินสวิน


ตูม!


แสงเลือดสะท้านฟ้าแผ่ซ่านออกมาจากง้าวใหญ่ บาดตาจนผู้คนไม่กล้าลืมตา เจิดจ้าเกินไปแล้ว!


ดุจดั่งรุ้งเทพแหวกห้วงอากาศ พิฆาตจักรวาล!


“น่าสะพรึงนัก! ทรงพลังกว่าเมื่อครู่ตั้งกี่เท่าตัว หรือว่าเขาซ่อนพลังแท้จริงมาโดยตลอดเพื่องัดกระบวนท่าไม้ตายมาใช้ยามนี้”


ผู้ฝึกปราณมากมายหน้าเปลี่ยนสี พากันถอยหลบ


พวกเขาสัมผัสได้ว่าชายร่างยักษ์ไม่ได้บ้าระห่ำเหมือนอย่างที่แสดงออก แต่มีความแยบยลแฝงอยู่ในความหยาบช้า เก็บถนอมพลังมาโดยตลอด จนกระทั่งเทพมารหลินปรากฏตัวยามนี้ถึงได้งัดพลังแท้จริงออกมาใช้!


ด้วยเหตุนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ทางวาจาชายร่างยักษ์จะดูถูกเทพมารหลินอย่างมาก ทว่ายามที่ลงมือจริงๆ กลับไม่ได้ชะล่าใจแต่อย่างใด


เพียงแต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่เรียกได้ว่าแกร่งกร้าวสะท้านโลก หลินสวินกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ทำเพียงยื่นมือออกไป


เสียงระเบิดตูมตามดังก้องหนึ่งครา ก็เห็นแสงเลือดน่าสะพรึงนั้นระเบิดกระจุย กลายเป็นละอองแสงโปรยปรายในทันที


แต่มือเรียวยาวขาวเนียนของหลินสวินกลับกุมปลายง้าวใหญ่ที่เจิดจ้าบาดตาหาใดเปรียบเอาไว้อย่างแน่นหนา!


ตอนที่ 848 เมฆลมก่อตัวหน้าหอวสันตสารท

มือเดียวคว้าหมับเข้าที่ปลายง้าวคมที่เจิดจ้าตาเล่มนั้น


เหมือนกับยื่นมือคว้าปีกผีเสื้อตัวหนึ่งลวกๆ เห็นได้ชัดว่าทำอย่างเยือกเย็นและตามใจนึกยิ่ง


ภาพนี้มีพลังสั่นสะเทือนเหลือล้นอย่างไม่ต้องสงสัย พาให้เสียงร้องอุทานดังก้องทั่วลาน


ผู้ฝึกปราณทั้งหมดเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ


ชายร่างยักษ์คนนั้นมีนามว่าซาหลู่ ถึงจะเป็นผู้ติดตามข้างกายซาหลิวฉาน แต่ความกร้าวแกร่งแห่งพลังต่อสู้กลับเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน


ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้ เยวี่ยเจี้ยนหมิงซึ่งมีชื่อเสียงในแคว้นวิญญาณอัคนีคงไม่ถูกซัดออกจากหอวสันตสารทแน่


ตูม!


ซาหลู่หน้าเปลี่ยนสี เขาส่งเสียงตะโกนสนั่นประหนึ่งฟ้าคำราม ร่างสูงตระหง่านระเบิดพลังน่าสะพรึง โจมตีกลับอย่างดุเดือดสุดกำลัง


เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามงัดความสามารถออกมาสุดกำลังอย่างไร ง้าวมหึมาเล่มนั้นก็ถูกกำอย่างแน่นหนา ไม่กระดิกสักเสี้ยว


ทอดมองไกลออกไปก็เห็นหลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น คว้าง้าวมหึมาด้วยมือเดียว แต่ซาหลู่กลับฝืนจนหน้าแดงเถือก ร่างสูงใหญ่ปานภูผากล้ามเนื้อปริเปิด เลือดลมพลุ่งพล่าน เห็นชัดว่าเปลืองแรงไปอย่างมาก


“แย่แล้ว!”


ชั่วขณะนั้นซาหลู่หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง รับรู้ถึงความน่าสะพรึงของเทพมารหลิน


เพียงแต่ขณะที่เขากำลังจะทิ้งง้าวมหึมาและเปลี่ยนกระบวนท่านั้น ก็เห็นข้อมือหลินสวินสั่นกึก ถึงขั้นแย่งง้าวมหึมาเล่มนั้นไปควงแล้วฟาดกระแทกลงมาเต็มแรง


ปัง!


การโจมตีเดียวเท่านั้น ซาหลู่ถูกฟาดหมอบกระแตโดยพลัน กระดูกไหล่ระเบิดกระจุย โลหิตสาดกระเซ็นส่งเสียงร้องโหยหวน


ต่อให้เขาจะทรงพลังในระดับกระบวนแปรจุติแค่ไหนก็ถูกหนดให้ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวิน ด้วยฝ่ายหลังได้เหยียบย่างสู่มกุฎแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ ส่วนเขายังห่างไกลลิบลิ่ว


ในลานบังเกิดเสียงสูดหายใจเฮือก ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างมองออกว่าหากครั้งนี้หลินสวินใช้ปลายง้าวฟันฉับลงไป ซาหลู่คงถูกฟันเป็นสองท่อนตั้งนานแล้ว!


ซาหลู่ร้องคำราม เขาไม่ยินยอมยิ่ง ดวงตาก่ำเลือดแลดูอำมหิตหาใดเปรียบ ตะกายขึ้นจากพื้น แผ่แสงน่าสะพรึงไปทั่วร่างแล้วพุ่งเข้าหาหลินสวินเต็มแรง


ชิ้ง!


หลินสวินควงง้าวมหึมา ปลายคมม้วนกลับด้าน ปลดปล่อยลำแสงคมกริบสะท้านโลกออกมาราวกับธารดาราสีเงิน เสียงระเบิดดังโครมครืน กำราบซาหลู่ลงอีกครั้งอย่างเด็ดขาด


ซาหลู่ซวนเซทรุดลงกับพื้น ปลายคมเจิดจ้าแหวกทรวงอกของเขาออก เลือดสดๆ ซ่านเซ็นดุจดั่งกระแสน้ำ ย้อมพื้นดินเป็นสีแดงฉานและกลายเป็นบ่อเลือดน่าสยดสยองในชั่วพริบตา


“แค่การโจมตีเดียวเท่านั้น!” ผู้ฝึกปราณบริเวณใกล้เคียงต่างตระหนก


ทุกผู้คนล้วนตกตะลึง พวกแกร่งกร้าวแนวหน้าในระดับกระบวนแปรจุติแห่งเผ่าฉลามสมุทร ถูกเทพมารหลินสยบเพียงชั่วโบกมือ นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว!


“อ๊าก!” ซาหลู่ส่งเสียงร้องโหยหวนหาใดเปรียบ


ฉัวะ!


หลินสวินกวาดง้าวมหึมาในมือ ตัดหัวเขาร่วงลงพื้น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้พูดพล่ามแม้เพียงประโยคเดียว เด็ดขาดทรงอานุภาพ แข็งแกร่งและตรงไปตรงมา


ฮูม~ ร่างของซาหลู่กลายเป็นฉลามสมุทรตัวมหึมาตัวหนึ่ง เลือดสดๆ ปานน้ำตกชโลมพื้นดินละแวกใกล้เคียงในพริบตา แดงฉานบาดตา


ในลานไร้สรรพเสียง เงียบสงัดหาใดเปรียบ ทุกคนต่างสั่นเทิ้ม รับรู้ถึงไอสังหารที่ผงาดกร้าวถึงขีดสุดจากร่างหลินสวิน มันแผ่กระจายทุกสารทิศราวกับคลื่นยักษ์ถล่มภูผาทลาย!


ที่นี่เป็นถึงหน้าประตูใหญ่หอวสันตสารท แหล่งรวมตัวผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน


เพียงแต่ใครก็ไม่สามารถจินตนาการได้ ว่าทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัวจะถึงขั้นเหี้ยมหาญและตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตัดหัวบุคคลกร้าวแกร่งแห่งเผ่าฉลามสมุทรคนหนึ่งคาที่!


แรกเริ่มเดิมทีซาหลู่วางโตและกำเริบเสิบสานถึงขีดสุด ซัดเยวี่ยเจี้ยนหมิงปลิวลอยออกจากหอวสันตสารท ยังความอับอายมาให้เป็นที่สุด หมายจะใช้เรื่องนี้บีบให้เทพมารหลินปรากฏตัว พาให้ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างรู้สึกว่าเกินเหตุไปหน่อย และไม่ชอบใจอยู่บ้าง


ยามนี้เทพมารหลินปรากฏตัว ซาหลู่กลับไม่สามารถต้านทานและถูกปลิดชีพในทันที!


สิ่งนี้ทำให้ในใจของผู้ฝึกปราณในที่นั้น นอกจากความสะทกสะท้านแล้วยังรู้สึกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ด้วย ไม่เสียทีที่เป็นเทพมารหลินซึ่งชื่อก้องแดนฐิติประจิมในยามนี้ ไม่เพียงใจกล้าเต็มเปี่ยม หนำซ้ำยังทรงพลังไร้เทียมทานอีกด้วย!


เยวี่ยเจี้ยนหมิงเองก็อึ้งงัน ยากจะเชื่ออยู่บ้าง และรู้สึกละอายใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ เขาก้าวไปข้างหน้ากล่าวว่า “หลินสวิน ขอโทษด้วย หากไม่ใช่เพราะข้า…”


หลินสวินเอ่ยตัดบท “ไม่โทษเจ้า ว่ากันถึงสาเหตุแล้วคนที่พวกเขาต้องการเล่นงานก็คือข้า คนที่ควรขอโทษคือข้าต่างหาก ทำให้เจ้าต้องประสบเคราะห์โดยใช่เหตุ”


กล่าวถึงตรงนี้หลินสวินก็ยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเจ้าเห็นข้าเป็นสหาย มีหรือข้าจะยืนกอดอกชมดูอยู่ด้านข้างยามสหายตกที่นั่งลำบากได้”


“เทพมารหลินช่างดีนัก กล้าหาญเหมือนข่าวลือไม่มีผิด เพียงแต่เจ้าฆ่าผู้ติดตามข้างกายคนหนึ่งของข้าเช่นนี้ คงเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง”


ทันใดนั้นเสียงราบเรียบและเย็นชาเสียงหนึ่งดังลอยมาจากหอวสันตสารท ก็เห็นชายหนุ่มชุดคลุมทองทั้งตัว รูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งสาวเท้าเดินออกมา


นัยน์ตาของเขาประหนึ่งดาบ คมกริบน่าสะพรึง มีผมยาวสีฟ้าเข้ม ทุกท่วงท่าอิริยาบถมีพลานุภาพดุจกลืนกินทุกสิ่ง


เป็นซาหลิวฉานบุตรเทพคนปัจจุบันแห่งเผ่าฉลามสมุทรนั่นเอง!


เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว ในที่นั้นบังเกิดความโกลาหล ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างใจสะท้าน ซาหลิวฉาน นี่เป็นถึงบุคคลไร้เทียมทานที่ชื่อดังอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิมเชียว


เขาถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้กล้าทะเลมารพิฆาต พลังต่อสู้เหนือชั้น ลือกันว่าเขาฝึกมรดกวิชาลับของสำนักพุทธบรรพกาลตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขามีนิสัยดุดันซ้ำยังกระหายเลือด ผู้ฝึกปราณที่ตายด้วยน้ำมือของเขา หากไม่ใช่แปดร้อยก็ต้องถึงพันคน!


หลังจากซาหลิวฉานปรากฏตัว ยังมีชายหนุ่มหญิงสาวที่มาจากเผ่าฉลามสมุทรกลุ่มหนึ่งตามมาด้วย


เมื่อมองเห็นร่างซาหลู่นอนขวางถนนใหญ่ สีหน้าพวกเขาต่างเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนขึ้นมา สายตาที่มองหลินสวินเจือไอสังหารที่ไม่ปกปิดแต่อย่างใด


ไม่เพียงเท่านี้ ในหอวสันตสารทยังมีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวต่อเนื่อง มีทั้งชายและหญิง ต่างมีท่างท่าเหนือธรรมดา รัศมีพร่าวพราว เรียกได้ว่าเป็นมังกรหงส์ในหมู่ผู้คน


ไม่ต้องคาดเดาเลยสักนิด ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านี้สามารถเข้าออกหอวสันตสารทได้ จะต้องเป็นเหล่าผู้กล้าที่มาจากทุกเขตแคว้นในแดนฐิติประจิมอย่างแน่นอน!


“มู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอันดับหนึ่งแห่งอารามพรางมรกต!”


“เหลยเชียนจวินบุคคลผู้นำรุ่นเยาว์เผ่ามหาอสนี!”


“หลี่ชิงฮวนผู้กล้ารุ่นเยาว์สำนักยุทธ์สมุทรคราม!”


เสียงอุทานดังขึ้นทั่วลาน ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างแตกตื่น เพราะว่ายามนี้มีบุคคลพราวตาชื่อก้องแดนฐิติประจิมคนแล้วคนเล่าปรากฏกายให้เห็น


หากเป็นเมื่อก่อนอยากเจอตัวสักคนยังนับว่ายาก แต่ยามนี้ต่างพากันรวมตัวอยู่หน้าหอวสันตสารท ภาพระดับนี้เรียกได้ว่าสะท้านโลกอย่างที่สุด


ยังมีชายหญิงผู้กล้าบางส่วน แม้ไม่ถูกขานชื่อ แต่มาดของพวกเขาก็ไม่ด้อยกว่าคนอื่น พาให้ผู้คนร้องอุทาน


อย่างเช่นในผู้สืบทอดที่มาจากตำหนักปรกอุดม ‘แดนประมุขพิภพ’ ก็มีเด็กสาวชุดม่วงผู้หนึ่งโดดเด่นเป็นที่สุด หน้าผากเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาใสกระจ่างเปี่ยมแสงสติปัญญา แสงมรรคพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และอิ่มเอิบไหลวนทั่วเรือนร่าง ลึกลับและแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด


และคนที่เป็นเหมือนเด็กสาวชุดม่วง ในที่นั้นก็ไม่ได้บางตาด้วย!


เพียงชั่วครู่หน้าหอวสันตสารทก็มีปรากฏการณ์ผู้กล้ารวมพลราวหมู่ดาวพราวพร่างประการหนึ่ง พาให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้เคียงต่างมีความรู้สึกจับตามองไม่ทัน


เดิมทีไป่เฟิงหลิวยังกังวลใจกับสถานการณ์ของหลินสวิน แต่ยามนี้ดวงตาก็พลอยทอประกาย เขาล้วงใบข่าวสารออกมาใบหนึ่ง เริ่มบันทึกภาพเบื้องหน้าฉากแล้วฉากเล่าด้วยความว่องไว


เฒ่าสากกะเบือคนนี้อุทิศตนเพื่องานยิ่ง ท่าทางฮึกเหิมที่ได้พบข่าวใหญ่ รีบวิ่งเต้นมือเป็นระวิง


สิ่งเหล่านี้ว่าไปแล้วเหมือนเชื่องช้า แต่ความเป็นจริงเกิดขึ้นแทบจะในชั่วอึดใจ ยามที่เห็นภาพทั้งหมดนี้ สีหน้าท่าทางของหลินสวินไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด


เขาถึงขั้นรับรู้ได้ว่าภายในหอวสันตสารทยังมีพวกกร้าวแกร่งเป็นที่สุดบางส่วน ถึงแม้ไม่เคยปรากฏตัว แต่กำลังใช้จิตรับรู้ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของที่นี่อยู่


แต่หลินสวินก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ เขาทนมาเพียงพอแล้ว ตั้งแต่พริบตาที่ตัดสินใจฆ่าซาหลู่ สภาพจิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นไร้ซึ่งบ่วงพะวง ไร้ซึ่งความกริ่งเกรง!


“ข้าว่าพวกเจ้าคงเบื่อจะมีชีวิตแล้ว!”


หลินสวินยืนอย่างสันโดษอยู่ตรงนั้น เบื้องหลังก็คือศพมหึมาที่นอนขวางพื้นของซาหลู่


นัยน์ตาสีดำของเขาเย็นเยียบ มองไปที่ซาหลิวฉานแล้วกล่าว “พวกเจ้าไม่ได้ป่าวประกาศว่าจะสยบข้าหรอกหรือ ตอนนี้ข้ามายืนอยู่ตรงนี้ เปิดโอกาสให้พวกเจ้าแล้ว!”


คำพูดนี้แสนราบเรียบ แต่กลับแฝงกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวดุดัน กล้าหาญเต็มกำลัง พาให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างเลือดร้อนพลุ่งพล่านทั่วกาย ฮึกเหิมขึ้นมา


เผชิญหน้ากับเหล่าผู้กล้ามากมายเช่นนี้ หลินสวินที่ตัวคนเดียวถึงกับไม่กริ่งเกรง ความกล้าเช่นนี้หาตัวจับยากนักในหมู่คนรุ่นเยาว์ ณ ปัจจุบัน!


“ฮ่าๆๆ แค่พวกลวงโลกแอบอ้างชื่อเสียงคนหนึ่ง มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอม คิดว่าจะอาละวาดไม่กลัวเกรงได้แล้วหรือ ไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ!”


ซาหลิวฉานหัวเราะลั่น นัยน์ตาคมกริบประหนึ่งสายฟ้า ทั่วกายแผ่พลังบีบเค้นผู้คนออกมา สร้างความหวาดหวั่นไปทั่วลาน


ผู้กล้าคนอื่นบางส่วนก็ยิ้มแสยะ หัวเราะเสียงเบา เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลินสวิน


ชายหนุ่มในชุดคลุมหยกคนหนึ่งยิ่งส่งเสียงเย้ยหยันออกมา กล่าวถากถาง “ข้าว่านะพี่ชาย คนทั่วไปเรียกเจ้าว่าเทพมารหลิน เจ้าคงไม่ได้มองว่าตนเป็นเทพมารที่ไม่อาจเอาชนะได้จริงๆ หรอกกระมัง ในหอวสันตสารทเบื้องหน้ารวมตัวบุคคลชั้นยอดแห่งยุคทุกเขตแคว้นในแดนฐิติประจิม เจ้ากล้าโพล่งคำพูดเช่นนี้ออกมา ไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าขันมากหรอกหรือ”


ในน้ำเสียงเจือแววเสียดสีที่เหมือนมีแต่ไม่มีเสี้ยวหนึ่ง


ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะผสมโรงดังก้องทั่วลาน


“ไหนเลยจะเป็นแค่เรื่องน่าขัน พาให้ผู้คนผิดหวังชัดๆ เมื่อก่อนข้ายังเคยคิดว่าเทพมารหลินที่เรียกกันจะผิดธรรมดาสักเพียงใด ขนาดสงสัยว่าเขาอาจจะมีสามหัวหกแขน แต่ยามนี้ดูแล้ว ช่างทำให้ผู้คนผิดหวังเป็นที่สุด”


“คนพรรค์นี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่า ‘เทพมาร’ ด้วยหรือ มิน่าเล่าถึงได้ถูกสหายยุทธ์มากมายดูเบาและวิพากษ์วิจารณ์ จากที่ข้าดู ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกลวงโลกเลยจริงๆ”


ในที่นั้นชายหญิงบางส่วนกล่าวออกมาตามใจอยาก การกระทำคำพูดเจือกลิ่นอายหยิ่งยโสและถือดี แสดงความคิดเห็นต่อหลินสวิน ในคำพูดแฝงความดูแคลนและจงใจอย่างเด่นชัด


สิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณที่มุงดูเหล่านั้นต่างพรั่นพรึง เมื่อหลายวันก่อนพวกเขาก็ได้ยินมาว่า ในแดนฐิติประจิมมีผู้กล้ามากมายไม่ชอบใจเทพมารหลิน ดูหมิ่นถิ่นแคลนต่อเทพมารหลินยิ่ง คิดว่าเขาชื่อเสียงไม่สมคำร่ำลือ เป็นเพียงบุคคลที่แอบอ้างชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น


กระทั่งว่าพวกชั้นยอดแห่งยุคบางส่วนยิ่งป่าวร้อง ว่าหากเทพมารหลินกล้าปรากฏตัวก็จะสยบเขาซะ ทำให้เขาชื่อเสียงป่นปี้


เดิมทีเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข่าวลือ ผู้ฝึกปราณมากมายต่างเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ยามนี้ดูแล้วเห็นได้ชัดว่าข่าวลือพวกนี้ไม่ได้เป็นข่าวโคมลอย แต่เป็นเรื่องจริงต่างหาก!


ก็เหมือนกับในลานยามนี้ สายตาที่เหล่าผู้กล้าจำนวนมากมองไปที่หลินสวินล้วนเจือแววเย้ยหยันและดูถูกไม่มากก็น้อย


เห็นหลินสวินถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก มุมปากซาหลิวฉานก็ยกโค้งขึ้น กล่าวเสียงเรียบ “หลินสวิน ข้าให้โอกาสเจ้าหนึ่งหน เจ้าคุกเข่าขอโทษข้าตอนนี้ ข้าก็จะไม่ถือสาเอาความเรื่องที่เจ้าฆ่าซาหลู่ เจ้าเห็นว่าอย่างไร”


นี่กำลังหยามน้ำหน้าหลินสวินอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย!


ต้องการเหยียบย่ำและทำลายศักดิ์ศรีของหลินสวินต่อหน้าทุกคน!


การกระทำใดๆ ควรเหลือทางไว้บ้าง ไม่ควรกระทำการเกินไป แต่คำพูดนี้ของซาหลิวฉานก็ออกจะเลวร้ายเกินไป


ขณะนี้ส่วนลึกในดวงตาดำของหลินสวินฉายไอสังหารเย็นเยียบวูบหนึ่ง เพียงแต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ชายหนุ่มชุดคลุมหยกที่เคยพูดจาเสียดสีเขาก่อนหน้านี้ก็ชิงพูดขึ้นก่อน


“เฮอะๆ ถึงแม้ความคิดนี้จะไม่เลว แต่ไม่ใคร่สนุกสักเท่าไร ไม่สู้ให้ข้ากำราบเทพมารหลินที่เรียกกันคนนี้ก่อน ถึงตอนนั้นเขาไม่อยากคุกเข่าร้องขอชีวิตและขอโทษก็คงยาก”


ตอนที่ 849 นี่คือคำสั่งเสียของเจ้าหรือ

ในที่นั้นเงียบสงัดขึ้นมาทันใด ผู้ฝึกปราณหลายคนตกใจ เหล่าผู้กล้าเย้ยหยันเทพมารหลินเช่นนี้ หรือเตรียมจะเล่นงานเทพมารหลินตั้งแต่ก่อนเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้น


ชายหนุ่มชุดคลุมหยกน้ำเสียงเรียบเฉยผ่อนคลาย แต่กลับแฝงความบ้าคลั่งไม่มีที่สิ้นสุด กระตือรือร้นที่จะลอง


ความจริงการตายของซาหลู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่เขากลับกระตือรือร้นขนาดนั้น นี่เป็นการยืนยันว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้เหยียบเทพมารหลินขึ้นไป เพื่อเสริมส่งอานุภาพของตนอย่างไม่ต้องสงสัย!


‘คุณชายหลิน เจ้าหมอนี่ชื่อถังชวน มาจากสำนักโบราณกระบี่หยาดจรูญ ได้รับขนานนามว่าเป็นผู้กล้าวิถีกระบี่คนหนึ่ง ‘กระบี่แท้บ้าบิ่น’ ที่ครอบครอง เรียกได้ว่าเป็นวิชาเก่าแก่ อานุภาพน่ากลัวยิ่ง’


‘แต่นิสัยของเจ้าหมอนี่ใช้ไม่ได้ ตอนอายุสิบกว่าปีก็เกี้ยวพาพี่สะใภ้ของเขา แม้ภายหลังเรื่องนี้ถูกตระกูลถังของพวกเขาปิดข่าว แต่บนโลกนี้หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ข้าจึงบังเอิญรู้เรื่องนี้เข้า’


ในเวลาเดียวกันเสียงสื่อจิตของไป่เฟิงหลิวดังขึ้นข้างหูหลินสวิน เฒ่าสากกะเบือนี่แม้จะหน้าด้านไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสายสืบชั้นยอดของเผ่าวาทวาโย ครอบครองข่าวมากมายที่ไม่มีใครรู้


สายตาของหลินสวินที่มองไปทางชายหนุ่มชุดคลุมหยกนั่นแฝงความเย็นชา คนที่ไร้ยางอายขนาดนั้น กลับกล้ากระโดดออกมาอย่างทนรอไม่ได้ คิดว่าตนเป็นมะพลับนิ่มที่สามารถบีบกำได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ


“ไม่รู้ดีชั่ว” ริมฝีปากของหลินสวินพ่นคำพูดนี้ออกมาเบาๆ


นี่ทำให้ถังชวนยิ้มเยาะคราหนึ่ง ในดวงตากลับถาโถมไปด้วยไอสังหาร น่าหวั่นหวาดอย่างที่สุด


“ในเมื่อสหายยุทธ์ถังชวนมีความสนใจถึงเพียงนี้ ข้าเองก็ไม่อยากขัดความสุขของเจ้า เด็กหนุ่มคนนี้ยกให้เจ้าแล้ว” ซาหลิวฉานไตร่ตรองแล้วพูด


เขายินดีในเรื่องนี้มาก เพราะสามารถยืมมือถังชวนมาหยั่งเชิงเบื้องลึกเบื้องหลังของเทพมารหลินได้เช่นกัน


“ศิษย์น้องหลิงซี ที่แท้เพื่อนคนนี้ของเจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ ถึงว่าก่อนหน้านี้เจ้าชื่นชมเขาถึงเพียงนั้น เพียงแต่… ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของเทพมารหลินคนนี้ไม่สู้ดีเลย”


ริมหน้าต่างชั้นเก้าของหอวสันตสารท ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะคนหนึ่งหัวเราะเยาะเบาๆ


“ไม่ใช่แค่ไม่สู้ดี แต่กลายเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วหล้าไปแล้ว จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า เทพมารหลินไม่ได้เก่งกาจเหมือนอย่างที่เล่าลือ เกรงว่าจะเป็นแค่คนที่เที่ยวแอบอ้างชื่อเสียงหลอกลวงคนอื่นจริงๆ”


“ศิษย์น้องหลิงซี เจ้าต้องระวังตัวนะ อย่าโดนเขาหลอกเข้าล่ะ ดังคำที่ว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ ต่อไปหากคนอื่นรู้ว่าศิษย์น้องหลิงซีคบคนประเภทนี้ กลัวว่าจะส่งผลกระทบในด้านลบต่อชื่อเสียงของเจ้า”


“ศิษย์น้องหลิงซี เจ้าจะลงมือช่วยไม่ได้เชียวนะ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะของเรา หากทำเช่นนี้สหายยุทธ์ในแดนฐิติประจิมจะมองแดนพิสุทธิ์อมตะของเราอย่างไร”


ชายหญิงคนอื่นๆ ของแดนพิสุทธิ์อมตะเองก็พูดขึ้น คำพูดเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและเสียดสี


พยับเมฆดำแวบผ่านหว่างคิ้วของไป๋หลิงซี ก่อนจะกลับคืนสู่ความนิ่งสงบอย่างรวดเร็ว ใบหน้าอันงามสง่าไร้อารมณ์ พูดเสียงเรียบ “พวกท่านคิดผิดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วย อีกเดี๋ยวพวกท่านอย่าตื่นตูมกันก็พอ”


ทุกคนหลุดขำทันที ต่างไม่เห็นด้วย คิดว่าไป๋หลิงซีกำลังฝืน ไม่ยอมรับเรื่องน่าอายแบบนี้


“เทพมารหลิน มาๆๆ พวกเราฉวยโอกาสนี้ดวลกันสักตา ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าเจ้าแอบอ้างชื่อเสียงหลอกลวงคนอื่นหรือมีความสามารถจริงๆ!”


หน้าประตูใหญ่หอวสันตสารท ถังชวนหัวเราะเสียงกังวาน ก้าวเท้าเข้าไป


เขาในชุดแขนกว้าง ดวงตาเย็นเยียบราวกับกระบี่ เปล่งรังสีดุร้าย ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ แผ่ความบ้าบิ่นทะลวงฟ้าออกมาทั่วร่าง


ตูม!


กลิ่นอายบนร่างเขาน่าหวั่นหวาดกว่าเดิม เสื้อผ้าพลิ้วไสว ผมยาวสยายขึ้นราวกับกระบี่สมบัติไร้เทียมทานที่กำลังจะสำแดงฤทธิ์ บ้าบิ่นคับฟ้า พูดอย่างเนิบช้า “แต่ขอเตือนอย่างไม่น่าฟังไว้ก่อนเลยว่า หากเจ้าแพ้ จุดจบจะแย่มาก ถึงขั้นอาจต้องคุกเข่าเว้าวอน!”


ใบหน้าของผู้กล้าจำนวนไม่น้อยที่อยู่รอบๆ เผยความประหลาดใจ รับรู้ได้ว่าพลังของถังชวนไม่ธรรมดาอย่างมาก ในระดับกระบวนแปรจุติหายากและน้อยมากที่จะเห็นเช่นนี้


ส่วนผู้ฝึกปราณที่ล้อมรอบดูสถานการณ์อยู่ต่างเบิกตาโพลง กลั้นหายใจจดจ่อ หัวใจเต้นระทึกอย่างรุนแรง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดการประลองระหว่างผู้กล้าขึ้น!


เทพมารหลินที่เผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์และการดูถูกมากมาย จะสามารถแสดงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างที่เล่าลือได้หรือไม่


และถังชวนผู้กล้ารุ่นเยาว์จากสำนักกระบี่หยาดจรูญ ในเมื่อกล้าโจมตีอย่างแข็งกร้าว จะมีความสามารถเพียงพอให้เอาชนะเทพมารหลินหรือไม่


บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นมาทันที สถานการณ์ตึงเครียด


ในหอวสันตสารท บุคคลชั้นยอดบางส่วนที่ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าต่างหยุดการกระทำในมือ จับจ้องมาที่นี่


และถ้ามองลงมาจากบนฟ้าก็จะพบว่า ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านของเมืองผาดวงดารา มีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังเร่งเดินทางมาทางนี้ โดยมีหอวสันตสารทเป็นศูนย์กลาง


เห็นได้ชัดว่าข่าวที่เทพมารหลินปรากฏตัวและเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้กล้าได้แพร่ออกไปตั้งนานแล้ว และแพร่กระจายในวงกว้างด้วยความเร็วที่น่าตกใจ


เยวี่ยเจี้ยนหมิงกระวนกระวาย ในใจยิ่งรู้สึกผิด เขาคิดว่าครั้งนี้เป็นเพราะเขา จึงทำให้หลินสวินถูกบีบให้ปรากฏตัวและตกอยู่ในอันตรายแบบนี้


ไป่เฟิงหลิวเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างตื่นเต้น ในมือถือใบไม้ข่าวสารปึกหนา เตรียมจะสลักทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นลงไปโดยไม่พลาดรายละเอียดแม้เสี้ยว


ซาหลิวฉานและกลุ่มผู้กล้าคนอื่นๆ มองดูอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป


ไป๋หลิงซียืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นเก้าอย่างสง่างาม ดวงตาคู่ใสนิ่งสงบ ใบหน้าราบเรียบราวกับน้ำ โดดเด่นและว่างเปล่า


ส่วนหลินสวินในตอนนี้กลับยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม นัยน์ตาดำเย็นเยียบ เผชิญกับการท้าทายที่บ้าบิ่นเต็มกำลังของถังชวนนั่น เขาพูดออกมาเพียงประโยคเดียว “นี่คือคำสั่งเสียของเจ้าหรือ”


คำสั่งเสีย!


เหล่าผู้ฝึกปราณจุ๊ปากในใจ สมกับที่เป็นเทพมารหลินผู้มีชื่อเสียงจากความกล้าหาญ เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้กลับยังคงแข็งกร้าวและตรงไปตรงมา พาให้คนประหลาดใจและตะลึง


แต่สีหน้าของถังชวนกลับอึมครึมลง ส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เพราะคำพูดนี้ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าสยบอยู่ใต้กระบี่ของข้า!”


ชิ้ง!


ท่ามกลางเสียงครวญของกระบี่ กระบี่วิญญาณสีทองอร่ามทะยานฟ้า โฉบเข้ามาอยู่ในมือถังชวน พริบตาเดียวทั้งร่างเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายน่าหวาดหวั่นที่แพร่กระจายออกมา ทำให้ห้วงอากาศยังโอดครวญไปด้วย


ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างรู้สึกแสบตา


นี่น่ากลัวมากจริงๆ เพียงแค่อานุภาพ ก็เผยให้เห็นแล้วว่าถังชวนประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในวิถีกระบี่


“นี่ก็คือพลังแห่งกระบี่แท้บ้าบิ่นของสำนักกระบี่หยาดจรูญ เป็นมรดกวิชากระบี่ที่เก่าแก่อย่างหนึ่ง ดูจากพลานุภาพ ถังชวนได้รับการสืบทอดแล้ว ครอบครองแก่นพิสุทธิ์ของวิชากระบี่นี้ นี่มันยอดเยี่ยมมาก!”


มีผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสคนหนึ่งวิจารณ์ สายตาเต็มไปด้วยความตะลึง


“ฟัน!”


ถังชวนย่างก้าวออกมา ประดุจดั่งผู้ฝึกกระบี่เก่าแก่ กลิ่นอายทะลวงฟ้า เจตกระบี่พลุ่งพล่าน กระบี่วิญญาณสีทองอร่ามเล่มหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาวร้อยจั้งทันใด พาดขวางกลางอากาศแล้วฟันลงมาทันที


ความแหลมคมระดับนั้น เรียกได้ว่าน่าทึ่งและไร้เทียมทานจริงๆ!


เขาดูเหมือนบ้าบิ่นเต็มประดา แต่ความจริงก็ค่อนข้างมีเล่ห์เหลี่ยม รู้ว่าต่อหน้าผู้กล้ามากมายขนาดนี้ หากไม่งัดความสามารถที่แท้จริงออกมา แม้เอาชนะเทพมารหลินได้ก็จะโดนดูถูกอยู่ดี


ด้วยเหตุนี้ทันทีที่เริ่มโจมตีก็สำแดงความเร้นลับของ ‘กระบี่แท้บ้าบิ่น’ ทันที หมายจะสร้างอานุภาพขู่ขวัญไว้ก่อน แล้วใช้พลังดุจสายฟ้ากำราบหลินสวิน


ผู้คนมากมายในที่นั้นต่างถอยหลังอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ายืนอยู่ตรงนี้ เจตกระบี่ของถังชวนยิ่งใหญ่เกินไป กำเริบและน่ากลัว ปกคลุมฟ้าดินผืนนี้ หากเข้าใกล้จุดจบนั้นแทบไม่อยากจะคิด


ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงเกิดขึ้นแล้ว สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบเยือกเย็น เพียงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเท่านั้น แต่ในระหว่างนี้แสงพราวระยับบาดตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เปล่งประกาย ราวกับอาทิตย์สีขาวเจิดจ้าดวงหนึ่ง


พลันเห็นตำแหน่งที่หลินสวินก้าวไปมีชือน้ำแข็งที่ราวกับสร้างจากหิมะน้ำแข็งทะยานขึ้นฟ้า ความยาวพันจั้ง เงยหน้าร้องคำราม


นี่…


ผู้ฝึกปราณหลายคนสีหน้าแข็งทื่อ ในใจหวาดหวั่น เกือบจะคิดว่าสัตว์เทพชือน้ำแข็งบรรพกาลที่แท้จริงปรากฏตัวแล้ว อานุภาพนั่นสะท้านขวัญมากเกินไป ราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ปกคลุมที่แห่งนี้เอาไว้อย่างสิ้นเชิง


ตูม!


พร้อมกับเสียงที่ดังสนั่นขึ้น รุ้งเทพเจตกระบี่สีทองอร่ามนั่นแตกสลายทันที กลายเป็นละอองแสงซ่านเซ็น ส่วนถังชวนถูกหางชือน้ำแข็งสะบัดใส่ดังเพี๊ยะ ร่างกายปลิวออกไปอย่างแรง ปากกระอักเลือดออกมา


“สวรรค์!” กลุ่มผู้ฝึกปราณงุนงงไปหมด เกิดอะไรขึ้น


ถังชวนที่เจตกระบี่ยิ่งใหญ่คับฟ้าขนาดนี้ เพิ่งจะสำแดงวิชาก็ถูกโจมตีจนยับเยิบแล้วหรือ


นี่ทำให้ผู้คนยากจะเชื่อ เทพมารหลินเพียงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งเท่านั้น ก็โจมตีอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่มาจากสำนักกระบี่หยาดจรูญคนหนึ่งได้แล้วหรือ


นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวขนาดไหน!


ด้านเหล่าผู้กล้าอย่างซาหลิวฉานเองก็ต่างหรี่ตาลง เหนือความคาดหมายไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้น ถังชวนกลับทำได้แย่เพียงนี้


ถังชวนเองก็อึ้งงันอยู่บ้าง เพิ่งจะเผชิญหน้ากันก็ถูกโจมตีจนยับเยิน นี่ทำให้เขารับไม่ได้ รู้สึกเหมือนฝันอย่างไรอย่างนั้น


“ผู้กล้าที่ว่าเป็นเช่นนี้หรือ ยังจะคุยโวว่าจะมากำราบข้า ไม่รู้สึกอับอายขายหน้าหรือ” คำพูดของหลินสวินแฝงความดูถูก โจมตีอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจสักนิด


“เจ้ารนหาที่ตาย!”


ถังชวนเดือดดาล ในใจรู้สึกอับอาย ท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนหน้านี้เขายังประกาศกร้าวอยู่เลยว่าจะฆ่าหลินสวิน แม้หลินสวินคุกเข่าอ้อนวอนก็จะไม่ปล่อยไป


แต่เพียงพริบตากลับถูกโจมตียับเยิน ทั้งยังอยู่ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่มองมา ทั้งหมดนี้กระตุ้นให้เขาโกรธจนหน้าเขียว เดือดดาลถึงขีดสุด


ชิ้ง!


เขาโจมตีอีกครั้ง กระบี่วิญญาณสีทองอร่ามโฉบขึ้นฟ้า สำแดงลักษณ์อันยอดเยี่ยมไร้ขีดจำกัดออกมา มีทั้งเทพมารที่คำรามสะเทือนฟ้า มีพิบัติภัยที่ภูเขาทลายสมุทรถล่ม กระบี่คำรามราวกับคลื่นคลั่ง สะท้านขวัญและน่าหวาดหวั่น


“นี่ค่อยเข้าทีขึ้น” คิ้วของซาหลิวฉานที่ขมวดขึ้นก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย


ผู้ฝึกปราณคนอื่นที่อยู่รอบๆ ต่างตะลึง สัมผัสได้ว่าถังชวนเดือดดาลอย่างสิ้นเชิงแล้ว การโจมตีที่ไม่มีออมมือนั่น สำแดงพลังของผู้กล้ารุ่นเยาว์คนหนึ่งออกมาอย่างถึงที่สุด


“แดนฐิติประจิมมีผู้ฝึกกระบี่ระดับนี้ถือว่าไม่เลวเลย” ในหอวสันตสารท ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะคนหนึ่งวิจารณ์


ผู้กล้าคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้นต่างลอบเปรียบเทียบและวิจารณ์ในใจ ส่วนใหญ่คิดว่าความสามารถของถังชวนในตอนนี้ จึงจะคู่ควรกับฐานะผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งสำนักกระบี่หยาดจรูญของเขา


เพียงแต่พริบตาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นผู้กล้าเหล่านั้นหรือผู้ฝึกปราณที่อยู่ในที่นั้นต่างเผยสีหน้าอึ้งงันโดยพร้อมเพรียง


ตูม!


พลันเห็นว่าตอนที่เผชิญกับการโจมตีอันสะท้านขวัญนี้ หลินสวินเพียงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง รอยประทับโบราณหนึ่งทะยานฟ้าขึ้นมา ปรากฏภาพมายาของสัตว์เทพปี้อั้นรางๆ เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงปานกำราบทั่วทุกสารทิศ ทำลายทั้งจักรวาล


ชั่วขณะนั้นพลันได้ยินเสียงปังดังสนั่น คมกระบี่แตกกระจายทั่วฟ้า ถังชวนถูกประทับยักษ์กระแทกลงพื้นอย่างแรง แผ่นดินแตกเป็นหลุมใหญ่ ดินโคลนสาดกระเซ็น


และถังชวนฟุบอยู่ตรงนั้นเหมือนคางคกที่ถูกทับแบน เลือดไหลจากปากจมูก กระดูกทั่วร่างหักไปไม่รู้กี่ท่อนต่อกี่ท่อน ร่างกายกระตุกไม่หยุด


เฮือก!


เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจดังขึ้นในที่นั้นอย่างต่อเนื่อง ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง


ผู้กล้าหลายคนก็สะท้านในใจ พวกเขาตัดสินได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่า ในด้านศักยภาพการต่อสู้ ถังชวนและเทพมารหลินคนนั้นไม่ใช่ระดับเดียวกันแน่นอน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)