Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 840-843
ตอนที่ 840 ตอบแทนคุณด้วยความแค้น
หลินสวินเงียบงัน
คำพูดของลิ่นไท่เจินตรงไปตรงมามากพอจริงๆ บอกเขาชัดเจนว่าอย่าได้มีความคิดทะเยอทะยานเลยเถิด ธิดาเทพแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของพวกเขาสูงส่งไม่อาจเอื้อม
เพียงแต่…
ในใจของหลินสวินกลับมีความโกรธกรุ่นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
แรกเริ่มเดิมที เหตุที่เขาตกปากรับคำลิ่นเหวินจวินว่าจะมาส่งและปกป้องซย่าเสี่ยวฉงตลอดทาง ก็ไม่เคยมีความคิดเป็นอื่นมาก่อน!
ทว่าตอนนี้ตนเพิ่งมาถึง ก็ถูกคนเอ่ยเตือนเช่นนี้ จะไม่ให้หลินสวินโกรธได้อย่างไร
นี่เห็นเขาหลินสวินเป็นตัวอะไรไปแล้ว
ทว่าท้ายที่สุดหลินสวินก็ยังข่มเอาไว้ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นผู้อาวุโสของซย่าเสี่ยวฉง ถึงจะบอกว่าไม่สุภาพต่อตนมาก ทว่าทั้งหมดก็ทำไปเพราะหวังดีต่อซย่าเสี่ยวฉง หลินสวินไม่อยากไปถือสาอะไรเช่นกัน
“วางใจเถิด ระหว่างข้ากับเสี่ยวฉงไม่ได้มีอะไรเลยแม้แต่น้อย”
สุดท้ายหลินสวินก็พูดเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
ลิ่นไท่เจินร้องอ้อคราหนึ่งก่อนกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนและชดเชยจากเผ่าข้า”
ไม่ได้ขอบอกขอบใจ ไม่มีคำทักทายอบอุ่น มีเพียงกิริยาท่าทางแยกหน้าที่กับเรื่องส่วนตัวชัดแจ้งและเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งการตักเตือน
ทุกอย่างนี้ล้วนกำลังบอกหลินสวินว่าทางที่ดีอย่าได้มีเจตนาอื่นอีกเป็นดีที่สุด
หลินสวินมุ่นคิ้ว ในใจยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นเรื่อยๆ ตลอดการเดินทางนี้ เขาพานพบการไล่ล่าสังหารจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าฝ่าความเป็นความตาย ประสบความลำบากและเสี่ยงอันตรายมากมาย กว่าจะพาซย่าเสี่ยวฉงมาส่งถึงที่นี่โดยสวัสดิภาพได้
ทว่าสิ่งที่รออยู่ไม่ใช่ความซาบซึ้ง กลับเป็นการปฏิบัติเช่นนี้ จะให้เขารู้สึกดีด้วยได้อย่างไร
ดังนั้นหลินสวินจึงเอ่ยตรงๆ ว่า “การตอบแทนและชดเชยคงไม่จำเป็นแล้ว ประเดี๋ยวข้าก็จะจากไปแล้ว”
ในใจของเขารู้สึกผิดหวังและกรุ่นโกรธ คร้านจะซักถามเรื่องการเดินทางไปแดนชัยบูรพาแล้ว เขาไม่เชื่อว่าหากปราศจากความช่วยเหลือจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวแล้ว จะไร้หนทางมุ่งสู่แดนชัยบูรพา!
ใครเลยจะคิด การที่เขาตอบเช่นนี้กลับทำให้ลิ่นไท่เจินปั้นหน้าขรึม มุ่นคิ้วกล่าว “พ่อหนุ่ม เจ้ายังไม่ถอดใจหรือ มีบุญคุณเผ่าข้าย่อมตอบแทน คงไม่อาจติดหนี้บุญคุณแล้วไม่ใช้คืนได้เป็นอันขาด”
เห็นได้ชัดว่านางทึกทักเอาเองว่าหลินสวินกำลังใช้การถอยเพื่อรุก ซ้ำยังข่มขู่ตนอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำคำของนางจึงเปลี่ยนเป็นไม่เกรงใจ หว่างคิ้วเจือแววเย็นชา
นางไม่สามารถทำใจ ให้คนนอกเผ่าคนใดมาพัวพันกับธิดาเทพแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของพวกตนได้!
หลินสวินยิ้มกล่าวว่า “หากข้าต้องการการตอบแทนจริงๆ เกรงว่าพวกท่านคงไม่สามารถชดเชยได้เพียงพอ ข้าว่าช่างมันเถิด”
เขาหาได้พูดถ้อยคำโกรธเคือง ตลอดทางเขาอารักขาซย่าเสี่ยวฉงมาส่ง สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมาไม่รู้ตั้งเท่าไร
อีกอย่าง ก็เป็นเพราะเขาถึงทำให้หญิงสาวปริศนาปรากฏตัว กวาดล้างถิ่นอาศัยในแดนฐิติประจิมของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬราบเป็นหน้ากลางในคราวเดียว สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ผู้แข็งแกร่งระดับราชันตายไปตั้งไม่รู้เท่าใด
นี่เท่ากับช่วยเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวขจัดมหันตภัยซึ่งซุกซ่อนอยู่อย่างไร้ร่องรอยทีเดียว!
บุญคุณระดับนี้ หากทวงค่าตอบแทนจริงๆ จะตอบแทบได้ง่ายๆ หรือ
เพียงแต่สีหน้าของลิ่นไท่เจินยิ่งอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าหลินสวินกำลังมองข้ามความหวังดีของผู้อื่น นางก็คร้านจะพูดไร้สาระอีกต่อไป จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เห็นว่าเจ้ามีปราณระดับกระบวนแปรจุติ จะมอบสมบัติลับระดับสวรรค์ให้แก่เจ้าแล้วกัน เมื่อเปรียบกับสมบัติมรรคราชันทั่วไปก็ไม่ได้ด้อยกว่ากัน คิดว่ามันคงเพียงพอจะชดเชยและตอบแทนเจ้าได้”
นี่คือทีท่าประหนึ่ง ‘ให้ทาน’ แก่ผู้ยากไร้ก็ไม่ปาน ซ้ำยังเจือกลิ่นอายห้ามปฏิเสธเอาไว้ ราวกับการกระทำนี้เป็นการยอมให้หลินสวินมากแล้ว
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินเกือบควบคุมอารมณ์ในใจไม่อยู่ รังเกียจเดียดฉันท์ถึงขีดสุด
ในมือเขาไม่ได้มีเพียงสมบัติระดับพลิกฟ้าอย่างยานขนส่งอวกาศและดาบหักเท่านั้น ยังมีธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ศรแห่งนภาคราม เจดีย์ไร้อักษร กระทั่งในเจดีย์สมบัติยังสะกดสมบัติล้ำค่าเอาไว้อีกไม่น้อย ไหนเลยจะสนใจสมบัติลับระดับสวรรค์แค่ชิ้นเดียว
เพียงแต่เหลือบมองซย่าเสี่ยวฉงที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานไกลออกไป สุดท้ายในใจหลินสวินก็อึดอัดเล็กน้อย ลอบทอดถอนใจเฮือกหนึ่งในทันที กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
ทันใดนั้นลิ่นไท่เจินก็คลี่รอยยิ้มแห่งชัยชนะบางๆ เสี้ยวหนึ่ง สีหน้าท่าทางยิ่งดูหยิ่งผยองมากขึ้น ล้วงกล่องหยกใบหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้หลินสวิน “รับสมบัตินี้แล้ว เจ้ากับเผ่าข้าต่างก็ไม่ได้ติดหนี้กัน หวังว่าเจ้าจะรักษาตัวเอง”
หลินสวินคร้านจะอิดออด รับกล่องหยกเอาไว้แล้วโยนมันเข้าไปในแหวนเก็บของโดยไม่ได้มองเลยสักนิด
จากนั้นเขาหมุนกายมาหยุดอยู่ข้างๆ ซย่าเสี่ยวฉง ไม่ได้สนใจสายตามุ่งร้ายอยากสังหารคนของลิ่นไท่เจินโดยสิ้นเชิง กล่าวว่า “เสี่ยวฉง ข้าจะจากไปก่อนแล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงตกใจ ดีดตัวดังผึง “พี่หลินสวิน ข้าก็จะไปพร้อมกับท่านด้วย!”
ลิ่นไท่เจินเห็นดังนี้ บนใบหน้าฉายแววมืดทะมึนทันที รู้สึกโมโหอยู่ในใจ เจ้าเด็กนี่ยังมีหน้าบอกว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเสี่ยวฉง!?
“ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปทำ หลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่างข้าจะมาหาเจ้า” หลินสวินลูบหัวเด็กสาวเบาๆ ร่วมทางกันมาตลอด ในใจของเขาค่อนข้างทำใจไม่ได้เช่นกัน
ท้ายที่สุดเขาก็ยังตัดใจ หมุนกายแล้วจากไป
“พี่หลินสวิน!”
ซย่าเสี่ยวฉงหมายจะตามไป แต่กลับถูกลิ่นไท่เจินขวางเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้นางค่อนข้างหัวเสียและโกรธเคือง ร้องตะโกนไม่หยุด เห็นหลินสวินเดินไกลออกไปเรื่อยๆ หยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาอาบดวงหน้าเรียวเล็กอันบริสุทธิ์ของนางอย่างห้ามไม่อยู่
ลิ่นไท่เจินเห็นดังนี้ ความอึมครึมที่หว่างคิ้วก็ยิ่งทบทวีขึ้นเรื่อยๆ
นางมีชีวิตมาจนป่านนี้ ไหนเลยจะมองไม่ออกว่าเด็กน้อยคนนี้บังเกิดความพึ่งพาอาศัยอันใหญ่หลวงต่อเด็กหนุ่มคนนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะเกิดความหวั่นไหวตั้งนานแล้ว!
“เสี่ยวฉง เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ไปพักผ่อนให้เต็มที่เสียหน่อยดีกว่า”
ลิ่นไท่เจินกล่าวพลางใช้วิชาลับสะกดจิตซย่าเสี่ยวฉง ทำให้นางผล็อยหลับไป
จากนั้น นางทอดมองไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป หว่างคิ้วผุดแววเย็นชาแวบผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
……
ระหว่างทางหลินสวินรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ยากจะระบายออกมา เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังจากมาถึงเขาบรรพตเขียวแล้วจะเจอเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้
‘หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวฉง นายน้อยอย่างข้าจะฟังยายแก่อย่างเจ้าพูดพล่ามยืดยาวอยู่หรือ’
หลินสวินหิ้วน้ำเต้าสุรา ร่ำน้ำจัณฑ์เพียงลำพัง
เพียงแต่ไม่นานเขาก็หรี่ตาลง สัมผัสได้ถึงไอเข่นฆ่ารุนแรงวูบหนึ่ง
เกือบในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงเยียบเย็นสายหนึ่งพลันดังก้องข้างหู “เจ้าหนุ่ม ข้าคิดไปคิดมา แทนที่จะปล่อยเจ้าจากไป ยังไม่สู้ให้ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ดีกว่า”
ตามหลังกระแสเสียง เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น เรือนผมขาวดั่งหิมะ รูปโฉมทรงเสน่ห์และเย็นชา เป็นลิ่นไท่เจินที่เพิ่งได้พบหน้าค่าตากันเมื่อครู่นี่เอง!
“บอกเหตุผลแก่ข้าสักข้อ”
ท่าทีของหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นสุขุมราบเรียบในทันที ไม่สามารถสะกดความอัดอั้นเคืองขุ่นที่สะสมอยู่ในใจเป็นทุนเดิมเอาไว้โดยสิ้นเชิง ตนก้มหน้ากล้ำกลืนขนาดนี้แล้ว ยายแก่คนนี้ยังคิดราวีไม่เลิก อยากฆ่าคนจนสิ้นซากเลยหรือไร!
“เดิมทีเจ้าก็มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าข้า ก็ควรตอบแทนเจ้าให้ดี แต่น่าเสียดาย หากปล่อยให้เจ้าจากไป เกรงว่าจะแพร่งพรายความลับของเขาบรรพตเขียวซึ่งเผ่าข้าอาศัยอยู่ออกไป”
สีหน้าท่าทางของลิ่นไท่เจินหยิ่งผยองและเย็นชา กล่าวเสียงเรียบ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากข้ามองไม่ผิด เจ้าน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชามหาไร้รูปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาขั้นสูงสุดในเผ่าข้าแล้ว เจ้าคิดว่า… ข้ายังจะปล่อยเจ้าไปอยู่อีกหรือ”
นางขวางอยู่กลางห้วงอากาศ ไอสังหารคละคลุ้ง
“นี่เรียกว่าตอบแทนคุณด้วยความแค้นแล้วกระมัง”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น โกรธจัดจนยิ้มแล้ว “ข้าฝึกปราณมาจนบัดนี้ ยังไม่เคยเห็นเจ้าเฒ่าไร้ยางอายเช่นท่านมาก่อนสักครั้ง!”
“พ่อหนุ่ม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยินยอม แต่นี่โทษใครได้ ไม่ว่าทำเพื่อธิดาเทพเผ่าข้า หรือทำเพื่อไม่ให้วิชาขั้นสุดยอดของเผ่าข้ารั่วไหลออกไป ก็คงได้แต่ให้เจ้าทิ้งชีวิตไว้เท่านั้นแล้ว”
ลิ่นไท่เจินไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า ไอสังหารยิ่งเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ
เพิ่งสิ้นเสียง นางก็ลงมือโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ตูม!
รอยฝ่ามือสีม่วงขนาดใหญ่สายหนึ่งปรากฏขึ้น ครอบฟ้าคลุมดิน บีบเค้นห้วงอากาศ เสียงดังกึกก้องกำทวน พุ่งเข้าเข่นฆ่าหลินสวิน
แนวภูเขาละแวกใกล้เคียงไม่สามารถต้านทานพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ แตกระเบิดเกรียวกราวทันใด หินผาแตกเป็นผุยผงในบัดดล
ลิ่นไท่เจินคนนี้น่ากลัวยิ่ง ครอบครองพลังแห่งราชันกึ่งระดับ หนำซ้ำยังสำแดงท่าไม้ตายทันทีที่ลงมือ หมายจะฆ่าหลินสวินให้ตายคาที่
หลินสวินมีท่าทีไม่แยแส ส่วนลึกภายในดวงตาดำสนิทลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ เงาร่างของเขาไหววูบ รอยฝ่ามือขนาดใหญ่สายนั้นร่วงหล่นโครมคราม ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหว พื้นดินถูกซัดจนเป็นหลุมยักษ์ รอยแยกแตกเป็นเสี่ยงแผ่กระจาย
“เจ้าหนุ่ม อย่าขัดขืนไปเลย นับตั้งแต่ชั่วขณะที่เจ้าฝึกเคล็ดวิชามหาไร้รูป ชีวิตของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว”
เรือนผมขาวทั่วศีรษะของลิ่นไท่เจินปลิวสยาย ท่าทางราบเฉย ทรงสง่าสูงศักดิ์ นางสำแดงวิชาลับ ซัดรอยประทับฝ่ามือ แสงเรืองรองสีม่วงหวีดร้องกลางห้วงอากาศ น่าสะพรึงกลัวไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านทำเช่นนี้ ไม่กลัวเสี่ยวฉงจะผิดหวังหรือ” หลินสวินเอ่ยถามอย่างเย็นชา และเลี่ยงหลบการโจมตีกลางเวหาไม่หยุดหย่อน
“เสี่ยวฉงยังเด็ก ไม่เข้าใจว่าจิตใจมนุษย์ชั่วร้าย ขอเพียงกำจัดเจ้า วันหน้านางย่อมไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้า”
ลิ่นไท่เจินจรดนิ้วปานกระบี่ ซัดลำแสงกระบี่สีม่วงคลุ้งนภา ลำแสงคมกริบเจิดจ้าพวยพุ่ง ปกคลุมทั่วเวิ้งฟ้า กลิ่นอายเข่นฆ่าน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด
หลินสวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ยังคงไม่ตอบโต้ โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งหลบเลี่ยงพลางกล่าว “นี่คือความเห็นของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของท่าน หรือว่าเป็นการตัดสินใจของท่านคนเดียวกันแน่”
ฝนกระบี่คมกริบเฉือนห้วงอากาศเป็นรอยเหวอะหวะน่าสยดสยองนับไม่ถ้วน ชวนขนลุก เพียงแต่ยังคงไม่อาจทำร้ายถูกตัวหลินสวิน
สิ่งนี้ทำให้ลิ่นไท่เจินอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ ไอสังหารที่หว่างคิ้วยิ่งทบทวีขึ้นเรื่อยๆ กล่าวว่า “ใกล้ตายอยู่รอมร่อ ยังถามมากความอะไรกัน ยอมรับความตายแต่โดยดี ข้าจะมอบความตายอย่างง่ายดายแก่เจ้า!”
ตูม!
เงาร่างของนางเหาะเหิน ฝ่ามือลากไล้ แสงเรืองรองสีม่วงสายแล้วสายเล่ากลายเป็นลำแสงกระบี่อันน่ากลัว รายล้อมด้วยพลังอสนีแน่นขนัด พุ่งไปปกคลุมหลินสวิน
การโจมตีนี้เรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัว หากเปลี่ยนเป็นหลินสวินคนก่อน คงไม่กล้าสัมผัสลำแสงคมกริบของนางเป็นแน่
“ยายแก่ คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ หรือ”
หลินสวินกัดฟันกรอด แค้นจนไม่อาจข่มกลั้นเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ยายแก่คนนี้ไม่เพียงตอบแทนคุณด้วยความแค้น ซ้ำยังหมายเข่นฆ่าจนสิ้นซากอีกด้วย เวลานี้ต่อให้ซย่าเสี่ยวฉงมาเอง เขาก็จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
ตูม!
ทันใดนั้นกลิ่นอายรอบกายของหลินสวินพลันเปลี่ยนไป โดดเด่นเหนือโลกีย์ มีอานุภาพกดข่มไร้เทียมทาน ราวกลืนกินเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
เทียบกับเมื่อครู่ เขาเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน แสงเรืองรองพิสุทธิ์คละคลุ้งรอบกาย พลังเจตจำนงแห่งมรรคอิ่มเอิบกู่ก้อง เงามายาจักระเทพสายหนึ่งปรากฏที่หลังศีรษะ สาดแสงเจิดจรัสไร้ที่สิ้นสุด ส่องสว่างทั่วแดนดิน!
หืม?
ลิ่นไท่เจินหรี่ตาลงน้อยๆ ค่อนข้างประหลาดใจ เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ถึงกับครอบครองกลิ่นอายแข็งกร้าวปานนี้ สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างอดไม่อยู่
แต่จากนั้นนางก็แค่นเสียงเย็นชา ในฐานะราชันกึ่งระดับ นางไม่กลัวคนด้อยอาวุโสเกิดทีหลังแค่คนเดียวหรอก!
นางแหวกอากาศพุ่งปราดออกมา สองมือกางเป็นกรงเล็บ คมกระบี่สายฟ้าสีม่วงพร่างพรมลงมา ประดุจน้ำตกหลั่งริน
เพียงแต่ในพริบตานี้เอง หว่างคิ้วของหลินสวินพลันมีคมดาบสีขาวผ่องปานหิมะพุ่งปราดออกมา ประดุจภาพฝันฟุ้งเฟ้อ เปล่งแสงวิเศษผ่องอำไพ
ชิ้ง!
คมดาบโฉบพุ่งขึ้น พลังของมันดุจสายรุ้งวิเศษ ประหนึ่งเบื้องบนสามารถเฉือนเก้าชั้นฟ้า เบื้องล่างสามารถตัดใต้พิภพให้ขาดสะบั้น!
“อ๊าก…!”
ลิ่นไท่เจินส่งเสียงกรีดร้องออกมา แขนขวาถูกฟันขาดทันที ลอยคว้างกลางอากาศ ร่างซีกซ้ายของนางก็ถูกซัดเข้าอย่างจังเช่นกัน ฉีกแหวกเป็นปากแผลลึกเห็นกระดูก เกือบถูกกรีดอกคว้านท้อง แหงนหน้าขึ้นร่วงตกลงจากห้วงอากาศทั้งอย่างนั้น
ตอนที่ 841 ตบหน้าราชันกึ่งระดับ
ฉัวะ!
เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ลิ่นไท่เจินกรีดร้อง การโจมตีครั้งนี้ทำให้นางเจ็บหนัก ตื่นตระหนกเกินไป เกือบล้มหัวคะมำลงกับพื้น
การโจมตีเดียวเท่านั้นก็เกือบสังหารนางได้แล้ว สิ่งนี้ทำให้นางไม่อยากเชื่อ และไม่อาจยอมรับได้
เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงครอบครองความแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวปานนี้ได้
“ไอ้เศษเดน!”
ลิ่นไท่เจินส่งเสียงหวีดแหลม เรือนผมขาวแผ่สยาย เลือดลมรอบกายพลุ่งพล่าน แขนขวาที่ขาดสะบั้นงอกออกมาใหม่ในชั่วขณะ แม้แต่รอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกก็คืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
นางบันดาลโทสะ คิดว่าเมื่อครู่ตนเองประมาทถึงได้เกือบตกที่นั่งลำบาก ฉะนั้นจึงซัดโจมตีออกไปอีกครั้ง
ตูม!
ทั่วกายลิ่นไท่เจินเปล่งแสง กลิ่นอายพุ่งทะลุชั้นฟ้า ยื่นมือออกมา กระบี่วิญญาณสีม่วงสายหนึ่งปรากฏ ฝนกระบี่เจิดจรัสแตกซ่านออกมา
ห้วงอากาศแถบนี้ล้วนถูกฉีกขาด ส่งเสียงคร่ำครวญบาดหูหาใดเปรียบ
ไม่อาจไม่พูด ลิ่นไท่เจินแม้จะอยู่ในระดับกึ่งราชัน ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าดุดันเป็นที่สุด ครอบครองวิชาลับโบราณ ความสามารถดุดันเด็ดขาด
เมื่อสำแดงการโจมตีนี้ จักรวาลฟ้าดินปั่นป่วนสุดขีด แนวภูเขาในละแวกพันลี้ถูกคมกระบี่เกรี้ยวกราดเชือดเฉือนจนแตกสลายพังครืน สภาพการณ์น่าสยดสยอง
แต่ในเมื่อหลินสวินโจมตีออกไปแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะยั้งมือ!
“คว้าดารา!”
ทั่วร่างของเขาพลุ่งพล่านด้วยแสงเรืองรองสีอ่อน ดาบหักว่องไวดุจแสงกะพริบ ไหววูบกลางห้วงอากาศ ชั่วขณะนั้นราวกับดาราดวงแล้วดวงเล่าถูกเฉือนร่วง รัตติกาลนิรันดร์มาเยือน
ตูม!
เสียงปะทะสะเทือนเลือนลั่นฟ้าดิน ประดุจภูเขาไฟชนกัน
ชั่วขณะนั้นลิ่นไท่เจินถูกซัดปลิว ปากกระอักเลือด ผมขาวสยายกระเซิง ภาพลักษณ์ดูสะบักสะบอมผิดวิสัย “เป็นไปไม่ได้ นี่… เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
นางกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไม่อยากเชื่อเข้าไปใหญ่ ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติมีอานุภาพน่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
การโจมตีครั้งแรก ก็ตัดแขนนางข้างหนึ่ง ทำให้นางเจ็บหนัก
การโจมตีครั้งที่สองนี้ ถึงขนาดทำให้นางถอยกรูด สะบักสะสะบอมเหลือทน
นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ตูม!
ลิ่นไท่เจินจู่โจมออกไปอีกหน ทั่วสรรพางค์กายของนางราวไฟลุกโหม ยังคงไม่เชื่อว่าตนจะจนมุมอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ยามอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง
ฝนกระบี่สีม่วงทั่วท้องฟ้าร่ายรำ ราวกับพายุฝนฟ้าคะนอง หอบม้วนเวิ้งฟ้าทั้งบนล่าง ไอดุดันเกรี้ยวกราดปกคลุมฟ้าดิน น่าสะพรึงหาใดเปรียบ
แม้เปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นราชันกึ่งระดับ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีระดับนี้ เกรงว่าคงไม่กล้ารับการโจมตีนี้ตรงๆ
ลิ่นไท่เจินก็นับว่ามีประสบการณ์ผ่านมาร้อยศึกตลอดชีวิต หนำซ้ำยังเคยสังหารราชันกึ่งระดับที่แท้จริงมาแล้ว นางมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งว่าการโจมตีครั้งนี้เพียงพอจะฆ่าผู้อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูงสุดได้เกือบทั้งหมด!
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีระดับนี้ หลินสวินกลับไม่หลบหลีก ดาบหักหวดพาดห้วงอากาศ แหวกผ่านเบาๆ หนึ่งหน
“สอยจันทรา!”
ชั่วขณะนั้นราวกับจันทร์เพ็ญดวงหนึ่งโผล่พ้นเหนือทะเลมรกต แสงเรืองรองส่องประกายเงินยวงทั้งพิสุทธิ์และว่างเปล่า ท่วมท้นทั่วฟ้าดิน
ตูม!
ฝนกระบี่สีม่วงทั่วท้องฟ้าพลันสลายกลายเป็นละอองแสงสีจางในบัดดล ถูกแสงจันทร์พิสุทธิ์กลืนกิน
ในขณะเดียวกันลิ่นไท่เจินกระอักเลือดอีกครั้ง นางเจ็บปวดไปทั่วร่าง ผมขาวทั้งหัวถูกฟันร่วงไปไม่รู้กี่เส้น เกือบกลายเป็นคนหัวล้าน
สิ่งนี้ทำให้นางแทบคลั่ง ดวงตาเบิกถลน
ก่อนหน้านี้นางมองหลินสวินเป็นเนื้อข้างเขียง สามารถเข่นฆ่าได้ตามใจ จึงเฉยเมยหยิ่งผยอง ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตามาโดยตลอด
แต่ไหนเลยจะคาดคิด ชั่วพริบตากลับกลายเป็นนางที่ถูกซัดจนปราชัยอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังไม่มีเรี่ยวแรงปัดป้องเลยแม้แต่น้อย!
ความแข็งแกร่งเหลื่อมล้ำกันมากเกินไปหรือ
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดอยู่ที่จุดนี้ ระดับกึ่งราชันกลับถูกเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งเอาชนะอย่างง่ายดาย แม้แต่เรี่ยวแรงต้านทานยังไม่มี นี่มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว
หากไม่รู้ ทุกคนคงคิดว่านางคือระดับกระบวนแปรจุติ ส่วนเจ้าเด็กนั่นต่างหากที่เป็นราชันกึ่งระดับ!
“ยายแก่ เจ้าไม่ได้จะตอบแทนคุณด้วยความแค้นหรอกหรือ เข้ามาเลย!”
ไกลออกไป หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น เพลิงโทสะที่สั่งสมอยู่ในใจของเขาไม่เคยระบายออกมาอย่างสมบูรณ์ ยายแก่คนนี้ช่างน่ารังเกียจ ไม่เพียงเนรคุณ ซ้ำยังจะฆ่าคนให้สิ้นซาก สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สามารถอดทนได้โดยเด็ดขาด
“ไอ้เศษเดน อย่ามาวางโต!”
ลิ่นไท่เจินเจียนบ้าคลั่งอยู่รอมร่อ นางกรีดร้องเกรี้ยวกราดออกมา ดวงหน้าทรงเสน่ห์แปรเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวอำมหิต ก่อนโจมตีออกไปอีกครั้ง
“เผาตะวัน!”
เงาร่างของหลินสวินเจิดจรัส เบื้องหลังกายปรากฏเงามายาจักระเทพวงหนึ่งอยู่รำไร ส่วนดาบหักในพริบตานี้ราวกับกลายร่างเป็นอาทิตย์ดวงใหญ่ ระเบิดลุกโชนอย่างฉับพลัน
ครืน!
เปลวไฟเจิดจรัสบาดตาน่าพรั่นพรึงแผ่ขยายไปทั่วทิศ ทุกที่ที่ผ่านไป ห้วงอากาศถูกแผดเผา ทิวเขาหลอมละลาย แม้แต่กระแสน้ำยังถูกต้มจนระเหยในทันที!
อานุภาพนั้นโชติช่วงไพศาล ประหนึ่งหมายจะเผาฟ้าผลาญดินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
“อ๊าก..!”
ลิ่นไท่เจินส่งเสียงกรีดร้องออกมา นางบาดเจ็บสาหัสแล้ว ผิวหนังแตกระแหงไหม้เกรียม ผมขาวถูกเผา เดิมทีเป็นหญิงรูปโฉมงดงามทรงเสน่ห์เหลือล้นผู้หนึ่ง ทว่ายามนี้กลับเหมือนถ่านไม้ที่ไหม้เกรียมไม่มีผิด
น่าอนาถไปแล้ว!
หากถูกผู้ฝึกปราณภายนอกเห็นเข้าคงไม่อยากเชื่อเป็นแน่
อย่างไรเสียในฐานะราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง เวลานี้กลับเหมือนปาไข่ใส่ศิลา เหมือนมดแดงเขย่าต้นไม้ กระทั่งต่อต้านและขัดขืนก็ยังทำไม่ได้ ถูกเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งทำให้ปราชัยอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ใครเล่าจะคาดคิด
ชิ้ง!
หลินสวินเก็บดาบหัก ก้าวเท้าลงจากห้วงอากาศ แสงเรืองรองสีอ่อนคละคลุ้งทั่วสรรพางค์กาย เบื้องหลังมีจักระเทพเจิดจ้าสำแดงภาพอัศจรรย์นานัปการ ขับเน้นจนเขาประหนึ่งเป็นเทพไท้มาเยือนโลก
นี่คือศึกแรกหลังจากเขาข้ามผ่าน ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’ กลายเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ อานุภาพที่สำแดงทั้งหมดย่อมต่างจากที่ผ่านมา!
ย้อนไปก่อนหน้านี้ หากประมือกับราชันกึ่งระดับ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้ใช้ตัวช่วยอย่างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม ต้องงัดพลังสุดแรงเกิดกว่าจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
ทว่ายามนี้ ราชันกึ่งระดับไม่สามารถคุกคามหลินสวินได้เลยแม้แต่น้อย นี่ก็คือพลานุภาพที่เหยียบย่างสู่มกุฎมรรคาระดับกระบวนแปรจุติ!
มกุฎสุดยอด ประหนึ่งผู้เป็นราชันแห่งระดับ สามารถมองข้ามศัตรูทั้งปวงในระดับเดียวกันได้!
และมกุฎมรรคาของหลินสวิน รากฐานและพลังที่สั่งสมมาทั้งหมดบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ต้น ฉะนั้นพลังที่มีในครอบครองทั้งหมดสามารถเรียกได้ว่าแตกต่างจากทุกคน เป็นหนึ่งไม่มีสองนับจากอดีตตราบจนปัจจุบัน!
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
ลิ่นไท่เจินส่งเสียงกรีดร้อง เวลานี้นางมีสภาพน่าสังเวชหาใดเปรียบ ก่อนหน้านี้เกรี้ยวกราดมุ่งมาดจู่โจม ทว่ายามนี้กลับตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์
ถึงอย่างไรการถูกโหมโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ หากยังไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ของตัวเอง เช่นนั้นก็คงเป็นคนโง่เกินบรรยายแล้วจริงๆ
ฉะนั้นเวลานี้ยามเห็นหลินสวินเดินเข้ามา ลิ่นไท่เจินจึงสะท้านในใจ ประดุจมองเห็นเทพมารตนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
“ข้ามาส่งธิดาเทพของเผ่าพวกเจ้าด้วยเจตนาดี ไม่ได้มีความคิดอื่นใดแต่แรก กลับถูกเจ้ามองว่ามีใจคิดไม่ซื่อ เหยียดหยามดูหมิ่นข้า นั่นก็ช่างเถิด อย่างไรเสียผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”
หลินสวินก้าวไปเบื้องหน้า นัยน์ตาดำราวสายฟ้า น่าขนลุกหาใดเปรียบ “แต่เจ้าไม่เพียงเนรคุณ ซ้ำยังคิดสังหารข้าให้สิ้น เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอายและต่ำช้ายิ่งนักหรือ”
“ทุกอย่างข้าล้วนคิดเพื่อความปลอดภัยของเผ่าข้าทั้งนั้น!”
ลิ่นไท่เจินยังคงเชิดคอตั้ง เดือดดาลและไม่ยอมรับอย่างที่สุด แก้ต่างให้ตัวเอง
“ตัวเองไร้ยางอาย ยังยกคุณธรรมเรื่องความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์มาบังหน้า ดูท่าเจ้ามันหน้าด้านจริงๆ!”
หลินสวินโกรธจัดจนยิ้ม เขาไม่พูดพล่ามอีก สะบัดฝ่ามือใส่หน้ายายแก่นี่ทันที เสียงตบดังกังวาน ตบจนนางร้องโหยหวนไม่ขาดสาย ดวงหน้าที่แต่เดิมไหม้เกรียมพลันแดงเป่งขึ้นมาในชั่วขณะ ปากจมูกกระอักเลือด ฟันร่วงกราวไม่รู้กี่ซี่
กระทั่งต่อมาปากของลิ่นไท่เจินบวมเจ่อจนเปล่งวาจาไม่ออก หลินสวินจึงรามือ โยนนางลงกับพื้นพลางกล่าวว่า “หากไม่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้อาวุโสของเสี่ยวฉง คนอย่างเจ้า ข้าคงฆ่าทิ้งตั้งแต่แรกแล้ว!”
แววตาของลิ่นไท่เจินเคียดแค้น ภายในใจเปี่ยมด้วยความรู้สึกอัปยศอดสู นางเป็นถึงราชันกึ่งระดับ กลับถูกเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งตบตีสั่งสอนเช่นนี้ ทำให้นางแทบทนไม่ไหวอยากขุดช่องมุดเข้าไปอยู่ในรู
หลินสวินขมวดคิ้วน้อยๆ เขามองแววเคียดแค้นในใจลิ่นไท่เจินออก ในใจบังเกิดไอสังหารหนักหน่วงจนเกือบควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็สะกดเอาไว้ ล้วงมือหยิบกล่องหยกใบนั้นที่ลิ่นไท่เจิน ‘ให้ทาน’ ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วทิ้งไว้บนพื้น “ของเล่นชิ้นนี้เจ้าเก็บเอาไว้เองดีกว่า รีบไสหัวออกไป!”
กล่าวจบหลินสวินพลันหมุนตัวจากไป
เขากังวลว่าถ้ายังอยู่ต่ออาจทนไม่ไหวลงมือฆ่ายายแก่คนนี้ ฝึกปราณมาจนบัดนี้ เขายังไม่เคยพบเคยเจอคนแก่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน
“ไอ้เศษสวะ เจ้าคอยดูเถอะ!”
มองเงาหลังของหลินสวินจากไปไกลลับ ลิ่นไท่เจินไม่ได้มีความซาบซึ้งใดๆ แม้เพียงเสี้ยว ตรงข้ามกลับยิ่งรู้สึกเคียดแค้นมากขึ้นทุกที
น่าเสียดาย หลินสวินในตอนนี้ไม่เกรงกลัวการข่มขู่ของผู้ใด แม้ครั้งนี้ไม่ได้ฆ่านาง แต่ก็ไม่กลัวว่านางจะมาแก้แค้นเลยแม้แต่น้อย!
มหาสงคราม หนทางแห่งการฝึกปราณ ไม่อาจหลีกเลี่ยงการผูกพยายาทกับศัตรูมากมาย ถ้าหากกลัวการแก้แค้นจนปล่อยให้ตัวเองเปลี่ยนไป จากคนที่ฆ่าล้างสังหารหมู่อย่างไม่กลัวเกรง กลายเป็นคนที่แม้แต่ตัวเองยังชิงชังโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นจะบำเพ็ญมหามรรค แสวงหาความเป็นอมตะทำไมเล่า
ศัตรูอาจแข็งแกร่งขึ้นแล้วชำระแค้นในอนาคต ทว่าตนเองในอนาคต ขอเพียงยึดมั่นพัฒนาตนจนแกร่งกล้า ก็มีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งกว่าศัตรู!
นี่ก็คือความมั่นใจในตัวเองของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
ไม่ว่าภูตผีปีศาจ สัตว์ประหลาดมารอสูรจะมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงเท่าใด หากกล้าเข้ามา ข้าจะฆ่ามันในดาบเดียว!
……
ย่ำค่ำโพล้เพล้
ในเขาบรรพตเขียว ลิ่นไท่เจินหวนกลับมาแล้ว รูปลักษณ์ของนางคืนสู่สภาพปกติ เพียงแต่ปราณดั้งเดิมเสียหายหนัก ดวงหน้าซีดขาวหาใดเปรียบ หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความอิดโรย
ชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่งวิ่งโร่ตีวงล้อมเข้ามาด้วยความดีอกดีใจ
“ผู้อาวุโส พวกเราได้ยินธิดาเทพพูดหมดแล้ว ที่แท้เด็กหนุ่มที่มาส่งธิดาเทพเมื่อครู่ ก็คือเทพมารหลินผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในแดนฐิติประจิมในตอนนี้!”
“ใช่แล้ว เขาเป็นถึงผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของเผ่าเรา หากไม่ได้การคุ้มกันตลอดทางจากเขา เกรงว่าธิดาเทพคงพบเจอเรื่องยากคาดเดาไปตั้งแต่ต้น”
“พอนึกถึงความสำเร็จเกรียงไกรของเทพมารหลินคนนั้นดูแล้ว ไม่รู้ว่าสังหารไอ้เศษสวะหมาดำไปเท่าไร นี่ก็เท่ากับช่วยเผ่าของพวกเราระบายความอัดอั้นตันใจไปได้หนึ่งเฮือกทีเดียว”
ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นต่างปริปากพูดเจื้อยแจ้วอย่างได้ใจ ไม่ได้สังเกตเห็นสักนิดว่าสีหน้าของลิ่นไท่เจินแข็งค้างหาใดเปรียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เมื่อเร็วๆ นี้แหล่งที่อยู่ในเขาเถื่อนเมฆินทร์ของไอ้เศษสวะหมาดำพวกนั้น ถูกหญิงสาวปริศนาซึ่งมีอานุภาพทะยานฟ้าคนหนึ่งกำจัดจนสิ้นซาก สังหารจนพวกมันไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้แดนฐิติประจิมต่างลือกันกระฉ่อน ว่าคุณชายหลินคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับหญิงสาวปริศนาที่ว่า”
“หากเป็นเช่นนี้จริง คุณชายหลินก็คือผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของพวกเราทั้งเผ่า!”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เบื้องหน้าของลิ่นไท่เจินดำทะมึนขึ้นมาระลอกหนึ่ง รู้สึกเหมือนถูกคนใช้กระบองฟาดหนักๆ เข้าที่ท้ายทอย ทั้งตัวดูย่ำแย่เสียแล้ว
‘เทพมารหลิน… เขาถึงกับเป็นเทพมารหลินคนนั้น…’ นางพึมพำในใจ มีความรู้สึกพังทลายซึ่งไม่สามารถสาธยายออกมาได้
หากนางรู้แต่แรก ไหนเลยจะทำเรื่องพวกนั้นออกไป
เมื่อคิดว่าตนตอบแทนคุณด้วยความแค้น ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายโจมตีและสั่งสอนยกหนึ่ง ลิ่นไท่เจินก็รู้สึกอยากตายขึ้นมาแล้ว
‘ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ก็ได้ผูกปมพยายาทไปแล้ว เจ้าอาจมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าข้า แต่ว่า… ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด! ต้องมีสักวัน ข้าจะคืนความแค้นและความอัปยศอดสูที่ได้รับมาทั้งหมดเป็นสิบเท่า!’
สุดท้ายลิ่นไท่เจินกัดฟันกรอด ตัดสินใจแน่วแน่อยู่ภายในใจ
“ไท่เจิน คุณชายหลินผู้นั้นอยู่ไหนกันเล่า”
ทันใดนั้นเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ทำให้ลิ่นไท่เจินสะดุ้งทันควัน มองเห็นผู้ชราคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นอยู่ไกลๆ ท่วงท่าสง่างามเป็นเอกเทศ ดั่งเทพเซียนเหนือธรรมชาติ
นี่คือผู้อาวุโสแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของพวกเขา นามว่าลิ่นตู้ กุมอำนาจทั้งหมดในเผ่า
ชั่วขณะนั้นสีหน้าลิ่นไท่เจินพลันเปลี่ยนไป ข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจเอาไว้ ก้าวไปเบื้องหน้าแล้วกล่าวอย่างละอายว่า “คุณชายหลินมีธุระสำคัญต้องจัดการ ข้าพยายามรั้งสุดกำลังก็ไม่อาจทำให้เขาอยู่ต่อในฐานะแขกได้ ในใจรู้สึกละอายยิ่ง…”
ตอนที่ 842 ลมพายุรวมตัวในแคว้นต้าฉิน
เนินเขาเว้านูน ฉากวิวทิวทัศน์รกชัฏทั่วผืน
เงาร่างสายหนึ่งพุ่งหวือระหว่างเนินเขา ความเร็วว่องไวอัศจรรย์หาใดเปรียบ ชือน้ำแข็งสีขาวราวหิมะสายหนึ่งทะยานสู่ท้องนภา แหงนหน้าร้องคำราม พิทักษ์อารักขาแก่เขา
เพียงชั่วขณะเท่านั้นเงาร่างสายนี้พลันอันตรธานลับไป กลับทำเอาเหล่าสัตว์ปีกสัตว์สี่เท้าระหว่างทางส่วนหนึ่งตกใจจนหวีดร้องแตกตื่นไม่สิ้นสุด
เงาร่างสายนั้นก็คือหลินสวิน
ตั้งแต่ออกจากเขาบรรพตเขียว เขาก็ลัดเลาะกลางเนินเขา รีบมุ่งสู่แคว้นตาฉิน
อีกยี่สิบกว่าวัน เทศกาลโคมกถามรรคที่มีชื่อเสียงก้องโลกจะเปิดฉากขึ้น ส่วนสถานที่ของเทศกาลโคมกถามรรค ก็อยู่บนเขาพยับครามภายในอาณาเขตแคว้นต้าฉินนั่นเอง
ตูม!
ทิวเขาประหนึ่งง้าว เรียงรันตั้งตระหง่านกลางห้วงอากาศ ทั่วสรรพางค์กายของหลินสวินปลดปล่อยแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์ ความเร็วว่องไวประดุจไล่ทิวาล่าอสนี หวดข้ามห้วงอากาศ บังเกิดเสียงระเบิดดังอึกทึกครึกโครม
ตลอดทางเขาสำแดงและเคี่ยวกรำพลังของตน เพิ่งเลื่อนขึ้นระดับกระบวนแปรจุติ แม้จะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแกร่งกล้าที่สุดตามตำนานเล่าขานแล้ว ทว่าหลินสวินก็ยังไม่อาจผ่อนคลาย
ก่อนมหาสงครามมาเยือน การหล่อหลอมมรรคเพื่อเป็นราชัน เหยียบย่างบนมกุฎ และกลายเป็นมกุฎราชันอย่างแท้จริง การฝึกปราณในระดับกระบวนแปรจุติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ระดับนี้เป็นระดับสุดท้ายแห่งห้าระดับใหญ่ของการฝึกปราณ อยู่เหนือระดับกำลังภายใน ระดับจิตผสานวิญญาณ ระดับมหาสมุทรวิญญาณ และระดับหยั่งสัจจะ เหนือขึ้นไปอีกก็คือราชันระดับสังสารวัฏที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าฝันใฝ่!
กล่าวได้ว่ากระบวนแปรจุติเป็นระดับสำคัญที่อยู่ตรงกลาง เชื่อมระหว่างการฝึกปราณก่อนหน้าและสิ่งที่กำลังจะตามมา หากปรารถนาเป็นราชัน จะต้องเสริมสร้างรากฐานให้เหนียวแน่นไร้ที่เปรียบให้ได้!
ระดับกระบวนแปรจุติแบ่งออกเป็นสามขั้นใหญ่ ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย
บรรลุถึงระดับนี้ ถ้ำสวรรค์ภายในร่างจะกลายเป็นจักระเทพ รวมถึงพลังต้นกำเนิดทั้งปวงของเจ้าตัวด้วย
กระบวนแปรจุติ ความหมายตรงกับชื่อ หมายถึงลักษณ์อัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลงและกำเนิดใหม่ หมุนวนโดยสมบูรณ์
ภายในจักระเทพ เก็บซ่อนไว้ซึ่งมรรควิถีของผู้ฝึกปราณ และแก่นจริงแท้แห่งการแจ้งมรรค ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งกำเนิดพลังของผู้ฝึกปราณด้วย
บรรลุถึงระดับนี้แล้ว ผู้ฝึกปราณสามารถควบคุมพลังแห่งเจตจำนงมรรค ควบรวมพลังจิตวิวัฒน์เป็นจิตรับรู้ มีพลานุภาพพลิกฟ้าคลุมดินอยู่ในครอบครอง
กล่าวโดยทั่วไป ระดับกระบวนแปรจุติก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่จุดสูงสุดในโลกียะแล้ว
ส่วนผู้เป็นราชัน นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยัดยืนอยู่บนยอดเขาเหนือปวงชน แยกตัวออกจากการฝึกปราณห้าระดับใหญ่ ข้ามผ่านความเป็นความตายและมุ่งแสวงหาอมตะนิรันดร์ เป็นเจ้าเหนือหัวระดับยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน
หากอริยเทพไม่ปรากฏกาย เช่นนั้นราชันก็อยู่เหนือสุด!
การฝึกปราณในปัจจุบันของหลินสวิน อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น สามารถสำแดงจักระเทพมหามรรคของตน
แต่ที่ต่างจากมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไป คือเขาเหยียบย่างบนเส้นทางแห่งมกุฎแล้ว อีกทั้งมีวิญญาณแห่งพลังจิต แม้แต่การบำเพ็ญมหามรรค ก็บรรลุถึงขั้นเจตจำนงแห่งมรรคตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะแล้ว
ส่วนตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาสามารถกำราบสังหารราชันกึ่งระดับได้ ย่อมไม่เกรงกลัวผู้อยู่ในระดับเดียวกันหน้าไหนทั้งนั้น!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลินสวินมุ่งแสวงหาคือเส้นทางแห่งความบริบูรณ์ของตน เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดในบรรดาผู้เป็นราชันทั่วพิภพ ย่อมไม่อาจพอใจแต่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
‘ครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินบันทึกความเร้นลับของการกลายเป็นราชัน ไม่ใช่วิธีฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างแท้จริง ดูจาดจุดนี้ หากต้องการทะลวงความเป็นความตายกลายเป็นราชัน จำเป็นต้องให้ตัวผู้ฝึกปราณก้าวออกจากมรรคาของตน… มีเพียงทำเช่นนี้ อาจจะสามารสร้างความแตกต่างกับผู้อื่น แตกต่างจากอดีต กลายเป็นมกุฎราชันอย่างแท้จริงได้…’
เร่งรีบเดินทางไปพลาง หลินสวินก็ทำความเข้าใจและใคร่ครวญไปด้วย
ครั้งก่อนตอนที่ทะลวงด่านในห้องโถงมรรคาสวรรค์ รางวัลที่ได้รับมามีสองชิ้น คือครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’
เพียงแต่สิ่งที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน คือความเร้นลับแห่งการกลายเป็นราชัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นประสบการณ์และการหยั่งรู้อย่างหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า หากบำเพ็ญเพียรตามมรรคาที่ตนเดินอยู่ต่อไป เช่นนั้นมรรคาที่ตนก้าวเดินย่อมไม่เหมาะแก่การก้าวกลับไปบนเส้นทางเก่าแก่ซึ่งมุ่งสู่ระดับราชัน จะต้องสืบสานอดีตบุกเบิกปัจจุบัน ฝ่าทะลวงเส้นทางแห่งราชันซึ่งเป็นของตน
สืบสานอดีตสำแดงปัจจุบัน ใช้ปัจจุบันเป็นหนทางบุกเบิกวิถีแห่งอนาคต!
นี่ย่อมเป็นมรรคาที่แตกต่างจากทั้งอดีตและปัจจุบันสายหนึ่งอย่างแน่นอน!
สิ่งที่เรียกว่าทุกยุคสมัยของแผ่นดินย่อมปรากฏอัจฉริยบุคคล ผลงานแต่ละคนเล่าขานสืบมานับร้อยปี หนทางในอดีตเป็นเพียงการสืบทอด สามารถตกทอดสืบต่อไปได้ แต่กลับไม่อาจรักษาให้คงเดิม เป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการก้าวเดินซ้ำรอยเดิมของคนสมัยโบราณ!
ไม่ว่าความสำเร็จจะยิ่งใหญ่เพียงใด ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก่งแย่งแข่งขันกับอริยบุคคลบรรพกาลได้เลย
และตอนนี้ มหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังมาเยือน นี่ย่อมเป็นมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคบรรพกาลอย่างแน่นอน
ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ หากยังคงเดินย่ำซ้ำรอยเดิมบนเส้นทางเก่าแก่ จะเหยียบย่างบนเส้นทางมกุฎราชันอันเบาหวิวเฉกเช่นตำนานเล่าขานสายนั้นได้อย่างไร
ฝึกปราณจนบัดนี้ หลินสวินแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ ทำให้เขายิ่งตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าหากยังยึดมั่นดึงดันในมรรคาที่สืบทอดต่อกันมา ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าคงไร้วาสนากับระดับมกุฎราชันเป็นแน่แท้!
ดังนั้นสิ่งที่เขาร้องขอในตอนนี้ก็คือ มรรคาสายหนึ่งซึ่งเป็นของตัวเขาเองที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนทางแห่งการหล่อหลอมอย่างแท้จริง สรรสร้างเส้นทางมหามรรคที่แตกต่างจากอดีต เพียงพอจะประชันความรุ่งเรืองกับอริยบุคคลบรรพกาลได้
แน่นอน ทุกอย่างนี้อาจค่อนข้างริบหรี่อย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าการเดินทางพันลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก ขอเพียงพากเพียร จะต้องมีวันแห่งความสำเร็จแน่นอน
……
สามวันต่อมา
ในพื้นที่รกร้าง หลินสวินยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ ดาบหักโฉบพุ่งผ่านห้วงอากาศฉับพลัน แหวกเฉือนทิวเขาพันลี้ ราวกับสายฟ้าสีเงินยวง
เพียงแต่ทุกอย่างต่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
จนกระทั่งเงาร่างของเขาจากไปไม่นาน ทิวเขาลูกแล้วลูกเล่าเหล่านั้นถึงกับแหวกสะบั้นจากกึ่งกลาง ก่อนถล่มทลายโครมครืน
ภูเขาแต่ละลูกรอยตัดราบเรียบเป็นระเบียบ ราวกับถูกตัดด้วยมือของเทพสวรรค์ มีพลังอันน่าสั่นสะท้านอย่างหนึ่ง
กระบวนเฉือนนภาสงัด!
กระบวนท่าแรกในครึ่งหลังของ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ เงียบงันประดุจไร้สรรพเสียง ว่างเปล่าดั่งไร้พรมแดน ทว่าผ่าเฉือนแดนดินในชั่วแล่นโดยที่ผีสางเทวดาไม่แตกตื่น!
ตอนนี้หลินสวินรู้แล้วว่าเพลงดาบวัฏจักรฟ้าฉบับสมบูรณ์ ความจริงแล้วควรเรียกว่า ‘หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า’
หกกระบวนเฉือนนี้แบ่งออกเป็น คว้าดารา สอยจันทรา เผาตะวัน นภาสงัด เกิดดับ และไม่เที่ยงแท้!
แต่ละกระบวนเฉือนต่างมีพลังสะเทือนฟ้าสั่นคลอนพิภพในตัวเอง มหัศจรรย์คาดเดาไม่ได้ น่าสะพรึงไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมเป็นวิชาชั้นยอดเหนือสุดที่สั่นคลอนอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้หลินสวินฝึกฝนแต่เพียงครึ่งแรกของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า ยังไม่สามารถรับรู้ถึงความเร้นลับขนานแท้ของมรดกวิชานี้
แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว
เพลงดาบที่สมบูรณ์ ก็เปรียบเสมือนความเร้นลับใหม่เอี่ยมที่ส่องแสงชัชวาล อานุภาพและแก่นอัศจรรย์ที่ซ่อนไว้ทั้งหมด ทำให้หลินสวินลอบตกใจไม่สิ้นสุด และยิ่งตระหนักถึงความเหนือธรรมดาของห้องโถงมรรคาสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากมรดกวิชาส่วนนี้ ก็ตกทอดมาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์แห่งนั้น
ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ในปัจจุบันของหลินสวิน จึงทำได้แต่เพียงฝืนหยั่งถึงความเร้นลับของ ‘กระบวนเฉือนนภาสงัด’ ได้เท่านั้น ส่วนกระบวนเฉือนเกิดดับและไม่เที่ยงแท้นั้นคลุมเครือลึกลับเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถทำความเข้าใจปริศนาลี้ลับทั้งหมดของมันได้ในยามนี้
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินร้องอุทานอย่างเสียไม่ได้
ระหว่างทางหลินสวินไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาใช้วิญญาณแห่งพลังจิตนั่งสมาธิหยั่งห้วงนิมิต ใจจดใจจ่อกับปริศนาความเร้นลับของกระบวนเฉือนเกิดดับและกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้
ตามการคาดเดาของเขา ราวๆ ครึ่งปีก็น่าจะพอเข้าใจหยั่งถึงความเร้นลับทั้งมวลของสองกระบวนเฉือนสุดท้ายได้
……
เจ็ดวันต่อมา
หลินสวินเดินออกมาจากภูเขารกร้างอันกว้างใหญ่
เดิมทีอานุภาพของเขาดุดันราวกระบี่ เปล่งประกายคมกริบไร้ที่เปรียบ ทั้งตัวเปรียบเสมือนคมกระบี่ที่ตีหลอมมาร้อยปีพันปี เบ่งบานด้วยแสงเรืองรองที่บันดาลให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
เพียงแต่ขณะที่เขาสาวเท้าย่างออกไปทีละก้าว กลิ่นอายทั่วร่างก็เริ่มเก็บเข้าหากันทีละน้อย ไหลบรรจบกันประหนึ่งกระแสน้ำ ท้ายที่สุดประกายคมกริบทั้งมวลก็หดหายเข้าไปภายในกาย
เมื่อมองดูอีกครั้ง เขาสวมอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ เรือนผมดำสนิทลู่ระช่วงเอว กลิ่นอายรอบกายราบเรียบประดุจน้ำนิ่ง หวนคืนสู่ท่วงทำนองแห่งความเป็นเอกเทศ
หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำมานานหลายวัน ในที่สุดหลินสวินก็สร้างความมั่นคงในระดับของตนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังทำให้การฝึกปราณก้าวหน้าขึ้นไปอีกหนึ่งก้าวด้วย
และยามนี้เขาสามารถควบคุมเก็บปล่อยพลังทุกส่วนของตัวเองได้ดั่งใจแล้ว สิ่งนี้เรียกได้ว่าทำได้ตามใจปรารถนาไม่มียกเว้น ในอกมีอสนีเหิมฮึกทว่าจิตใจราวกับทะเลสาบแน่วนิ่ง
เมืองเมฆาโรย!
ไกลออกไปกำแพงเมืองขนาดมหึมาแห่งหนึ่งสะท้อนเข้าสู่สายตา เป็นช่วงชิงพลบพอดี แสงสนธยาดุจเพลิงไฟ ย้อมทั้งเมืองให้เป็นสีทองงดงามหนึ่งชั้น
‘เข้าสู่เมืองนี้ ก็เท่ากับเข้าสู่อาณาเขตแคว้นต้าฉินแล้ว นับจากวันนี้ยังเหลือเวลาอีกประมาณเจ็ดวันกว่าเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้น ก็ไม่รู้ว่าแดนฐิติประจิมแห่งนี้มีเหล่าผู้กล้ามุ่งหน้ามารวมตัวกันสักกี่มากน้อย…’
เมื่อหลินสวินนึกถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงเยวี่ยเจี้ยนหมิงจากสำนักยุทธ์พันเวท และฟางหลินหานจากอาศรมดาบแปดวิทูรขึ้นมาไม่ได้
และยังนึกถึงจี้ซิงเหยาธิดาเทพเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ซึ่งเล่าลือกันว่าถูกขนานนามให้เป็นบุคคลแนวหน้าในบรรดาคนรุ่นใหม่แห่งแดนฐิติประจิม รวมถึงอวี่หลิงคงบุคคลชั้นยอดที่มาจากแดนพิสุทธ์อมตะจากหนึ่งในสี่แดนวิภูแดนกาฬทักษิณ
กระทั่งเขายังนึกถึงหนึ่งในห้าผู้สืบทอดที่แท้จริงของสำนักกระบี่โผผินอย่างจั๋วขวงหลัน และพวกเซี่ยอวี้ถัง รวมถึงลู่จิ่วเกอองค์ชายห้าแห่งเผ่าอีกาเพลิง บางทีทั้งหมดนี้อาจมาถึงอาณาเขตแคว้นต้าฉินตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
‘ไหนจะจงหลีอู๋จี้ กับชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียวอีก… ก็ไม่รู้ว่าสองคนนี้มากันหรือยัง…’
ครั้นหลินสวินนึกถึงตรงนี้ นัยน์ตาดำสนิทก็ฉายแววเย็นเยียบ
เขายังไม่ลืมว่าเจ้าสองคนนี้เหยียดหยามและประณามเขาต่อหน้าคนทั้งโลกอย่างไร มองเขาเป็นแท่นรองเหยียบ ใช้เรื่องนี้มาเสริมสร้างชื่อเสียงของตัวเอง
สวบ!
หลินสวินไม่ได้โอ้เอ้ เงาร่างไหววูบมุ่งปราดไปยังเมืองเมฆาโรยที่อยู่ไกลออกไปทันที
“ข่าวด่วนสะเทือนขวัญ! หลี่ชิงฮวนผู้กล้ารุ่นเยาว์จากสำนักยุทธ์สมุทรครามแคว้นเมฆาหยก อู่ต้วนหยาผู้สืบทอดแท้จริงอันดับหนึ่งแห่งสำนักตะวันทมิฬแคว้นจันทร์กระจ่าง ไปถึงเมืองผาดาราที่อยู่หน้าเขาพยับครามพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว”
“จากที่คำนวณ จวบจนบัดนี้เหล่าผู้กล้าที่มีชื่อเสียงซึ่งมาจากภายในพันเขตแคว้นของแดนฐิติประจิม ได้มาถึงมากกว่าห้าร้อยคนแล้ว!”
“ว่ากันว่าเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีบุคคลเก่งกาจจากอีกสามแดนวิภูอย่างชัยบูรพา ดาราอุดร และกาฬทักษิณเข้าร่วมด้วย!”
ทันทีที่เข้าสู่เมืองเมฆาโรย บนท้องถนนอันคึกคักคลาคล่ำ โรงสุราร้านน้ำชามีผู้คนรวมกลุ่มกัน เกือบทุกหัวระแหงต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์และพูดคุยข่าวสารเกี่ยวกับเทศกาลโคมกถามรรค
ภาพเหตุการณ์ที่ร้อนแรงเช่นนั้นทำให้หลินสวินลอบตกใจ อดทอดถอนหายใจไม่ได้ อิทธิพลของเทศกาลโคมกถามรรคต่อแดนฐิติประจิม ไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบทั่วไปจริงๆ ด้วย
ดูจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ฝึกปราณในโลกนี้ก็เห็นแล้ว
“เฮ้ย ได้ยินมาว่าเทพมารหลินคนนั้นเคยปรากฏตัวในเมืองหมอกโลหิตด้วย ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
สิ่งที่ทำให้หลินสวินมีอาการแปลกไปเล็กน้อยก็คือ… ในเสียงพูดคุยเซ็งแซ่เหล่านี้ถึงขั้นมีกระแสเสียงจำนวนมากกำลังพูดถึงเขาอยู่ด้วย
“ฮ่าๆ ที่ข้าอยากรู้มากกว่าก็คือ เทพมารหลินคนนั้นจะกล้าเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วยหรือไม่ต่างหาก จนถึงตอนนี้ไม่ได้มีเพียงพวกชั้นยอดอย่างจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์เท่านั้น ผู้กล้าคนอื่นๆ บางส่วนต่างก็มีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเทพมารหลินเป็นอย่างยิ่ง หมายสำแดงอานุภาพแก่เทพมารหลินในงานเทศกาลโคมกถามรรคกันทั้งนั้น”
“ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน สาเหตุก็เป็นเพราะกิตติศัพท์ที่เทพมารหลินสร้างขึ้นก่อนหน้านี้มีมากเกินไป ค่อยๆ กลบชื่อเสียงของผู้กล้าจำนวนมาก สิ่งนี้ย่อมทำให้ผู้คนไม่พอใจอย่างยิ่ง ซ้ำยังได้ยินอีกว่าตอนนี้สำนักต่างๆ พากันคิดว่าชื่อเสียงของเทพมารหลินอาจแหกตา และไม่ได้ร้ายกาจเหมือนที่เล่าขานแต่อย่างใด!”
“ไม่ว่าอย่างไรหากเทพมารหลินกล้ามาจริงๆ จะต้องมีเรื่องสนุกฉากใหญ่ให้ชมเป็นแน่”
หลินสวินได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ สีหน้าก็ยิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาสงสัยจริงๆ ว่าเบื้องหลังของการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดนี้ จะมีพวกปากมากเผ่าวาทวาโยคอยพัดกระพือใส่ไฟอยู่เบื้องหลังหรือไม่!
อย่างไรเสียการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ก็มากเกินไป ดูเหมือนต้องการให้ผู้คนจำนวนมากมองตนเป็นเหมือนเป้าล่อ…
ตอนที่ 843 ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ
หลินสวินแวะพักที่เมืองเมฆาโรยครึ่งวัน ก่อนออกเดินทางมุ่งสู่เมืองผาดารา
เมืองผาดาราตั้งอยู่ในเขตใจกลางแคว้นต้าฉิน เป็นเมืองที่เก่าแก่มากเมืองหนึ่ง เล่าลือกันว่าเมืองผาดารามีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว
เมืองผาดาราเลื่องชื่อในแดนฐิติประจิมอย่างยิ่ง เพราะเป็นสถานที่จัดเทศกาลโคมกถามรรคซึ่งจัดขึ้นทุกๆ ร้อยปี บนเขาพยับครามนอกเมืองผาดารานั่นเอง
…
ครึ่งวันต่อมา นอกเมืองผาดารา หลินสวินเก็บยานสมบัติ เงาร่างพลิ้วไหวมุ่งเข้าไปในเมือง
“อาจารย์ ในเมื่อเขาพยับครามก็อยู่นอกเมือง เหตุใดพวกเราไม่รีบเข้าไปตั้งแต่คราวแรก แทนที่จะเข้ามารอในเมืองนี้”
“ฮ่าๆ เจ้าเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งแรกย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา เขาพยับครามแห่งนี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ตำนานเล่าขานว่าเคยมีเทพแท้จริงเปิดธรรมสถาน ถ่ายทอดมรรค เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ปกคลุมด้วยปาฏิหาริย์แห่งหนึ่ง”
“ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ แม้จะเฉียดใกล้ยามนี้ แต่หากวาสนาไม่ถึงก็อย่าคิดเหยียบย่างบนนั้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
ในเมืองผาดารา การจราจรพลุกพล่าน ผู้คนสัญจรไปมาคลาคล่ำ เสียงสนทนาเกรียวกราวดังก้องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
เมืองเก่าแก่กว้างใหญ่แห่งนี้เป็นสถานที่รุ่งเรืองอันดับต้นๆ ในแคว้นต้าฉิน ประชากรไม่รู้ว่ามีกี่หมื่นคน แลดูคึกคักหาใดเปรียบ
ในขณะที่เทศกาลโคมกถามรรคใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั่วทั้งเมืองผาดาราก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งได้รับความสนใจมากที่สุดในแดนฐิติประจิมเช่นเดียวกัน
ทุกวันมีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าใดเร่งรุดมาจากทุกทิศ ผู้สืบทอดสำนักโบราณ ลูกหลานตระกูลทรงอำนาจที่สืบทอดกันมาช้านาน สิ่งมีชีวิตและทายาทจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ… ล้วนแห่แหนเข้ามากันทั้งสิ้น
แน่นอน ที่เยอะยิ่งกว่าคือคนที่มาชมดูความครึกครื้น ถึงอย่างไรเทศกาลโคมกถามรรคก็ใช่ว่าใครจะสามารถเข้าร่วมได้ตามใจ
ขณะที่หลินสวินเข้ามาในเมือง เพียงชั่วขณะเท่านั้นนัยน์ตาดำพลันฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งมากมายยิ่งนัก!
ภายใต้พลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของเขา ทำให้เห็นว่าในหมู่ฝูงชนบนท้องถนนนั้นไม่ขาดกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่ง บางคนหากกล่าวถึงพลานุภาพและความองอาจ ถึงขั้นไม่ด้อยไปกว่าบรรดาผู้กล้าที่หลินสวินเคยพบมาก่อนเลย!
นอกจากนี้ยังมีเงาร่างของสัตว์ประหลาดเฒ่าส่วนหนึ่งไหววูบอยู่ในนั้นด้วย อาจเป็นผู้อาวุโสจากสำนักโบราณบางแห่ง หรือไม่ก็เป็นบุคคลสำคัญในขุมอำนาจใหญ่สักแห่ง ข้างกายพวกเขาล้วนมีชายหนุ่มหญิงสาวตามมาด้วย
‘ถึงขนาดมีพวกร้ายกาจที่มีกลิ่นอายเทียบชั้นได้กับพวกจั๋วขวงหลัน ลู่จิ่วเกอด้วย… ดูท่าคงเป็นอย่างที่เล่าลือ เมืองผาดาราแห่งนี้ได้กลายเป็นที่รวมตัวของผู้กล้ารุ่นใหม่ในแดนฐิติประจิมไปแล้ว’
ในใจของหลินสวินยิ่งรู้สึกทอดถอนใจขึ้นเรื่อยๆ
เขาเพิ่งเข้าเมืองมา มองไปที่ใดก็เห็นพวกชั้นยอดเกลื่อนกลาด แค่คิดก็รู้ว่าเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ดึงดูดคนรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงในแดนฐิติประจิมได้มากขนาดไหน
ทว่าผู้กล้าระดับแนวหน้าอย่างพวกจั๋วขวงหลันกับลู่จิ่วเกอถือเป็นส่วนน้อย ในหมู่คนเป็นร้อยเป็นพัน เห็นมีเพียงสองสามคนเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังน่าทึ่งพอดู
อย่างไรเสียจั๋วขวงหลันก็เป็นถึงหนึ่งในห้าศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักโบราณกระบี่โผผิน คนระดับเขา ในสำนักโบราณทั่วแดนฐิติประจิมก็มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น
หลินสวินเดินตามหลังกลุ่มคนมุ่งสู่ใจกลางเมือง
พันเขตแคว้นทั่วแดนฐิติประจิม ภายในเมืองมากมาย เกือบทุกเมืองล้วนมีต้นข่าวสารตั้งอยู่ในนั้น เมืองผาดาราก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
‘เหลือไม่ถึงเจ็ดวันก่อนที่เทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มต้นขึ้น จากการคาดการณ์ของเผ่าวาทวาโยของพวกเรา ยามนี้ลำพังแค่ในเมืองผาดาราก็มีผู้กล้ากว่าพันคนที่มาจากทั่วสารทิศในแดนฐิติประจิมแล้ว!’
‘อีกอย่างตัวเลขนี้ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วน่าตกใจ มั่นใจได้ว่ายามเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ จะต้องเปิดฉากบันลือโลกอย่าง ‘หมื่นผู้กล้าชิงความเป็นใหญ่’ แน่!’
‘ยามนี้มหาสงครามกำลังจะมาถึง ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ความนัยของเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ยิ่งเปลี่ยนเป็นไม่ธรรมดา สุดท้ายผู้กล้าแห่งยุคคนใดจะโดดเด่นเหนือปวงชน สามารถชิงอันดับหนึ่งในเทศกาลโคมไปได้ พวกเราตั้งตาคอยกัน!’
…
หน้าต้นข่าวสารเงาคนไหววูบ มวลชนแน่นขนัด ใบข่าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนขยับไหว ฉายภาพข่าวสารล่าสุดออกมาทีละใบ
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น เก็บงำกลิ่นอายทั่วร่างเอาไว้ ซ้ำยังใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูป บรรยากาศรอบกายบังเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคลอนดิน และไม่ห่วงว่าจะถูกคนจำได้
ยามนี้หลินสวินรู้แล้วว่าบนเขาพยับครามมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ต้นหนึ่ง ราวกับสร้างมาจากสำริดทั่วทั้งต้น ทนทานเก่าแก่ สูงเสียดฟ้า
มันคงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ผ่านการเปลี่ยนแปลงทุกยุคสมัยแต่ยังยั่งยืน มีความเก่าแก่ที่พอจะทำให้คนทั้งโลกรู้สึกสะทกสะท้าน
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ ทุกๆ ร้อยปีบนกิ่งก้านเปลือยเปล่าของต้นไม้ต้นนี้จะมีหน่อดอกสำริดควบรวมออกมาดอกแล้วดอกเล่า ทุกครั้งที่เบ่งบาน ก็เหมือนโคมสีสำริดส่องสว่างแขวนอยู่บนกิ่งไม้ทั่วทั้งต้น ละอองแสงเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันพร่างพรายเจิดจรัสสาดเซ็นออกมานับพันนับหมื่นสาย ส่องสว่างท้องนภา ศักดิ์สิทธิ์หาที่เปรียบไม่ได้
ดอกสำริดดอกแล้วดอกเล่านั้นถูกเรียกว่า ‘ดอกโคมมรรคโบราณ’
ส่วนต้นไม้สำริดที่ทั้งเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้น ก็ถูกชาวโลกขนานนามว่า ‘ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ’!
สิ่งที่เรียกว่า ‘เทศกาลโคมกถามรรค’ ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ ร้อยปีก็จะเปิดม่านที่ใต้ต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้นนั่นเอง
เพียงแต่ก่อนหน้าที่ดอกโคมมรรคโบราณยังไม่เบ่งบาน ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้จะไม่ปรากฏบนโลกราวกับอริยะที่เร้นกาย
แม้จะมาถึงเขาพยับครามก่อนกำหนด ก็ไม่อาจเสาะหาร่องรอยของมันได้เลย
และเหตุที่เทศกาลโคมกถามรรคได้รับความสนใจจากทั่วทั้งแดนฐิติประจิม ไม่ใช่เพียงเพราะการถกมรรคง่ายๆ แค่นั้น ประเด็นหลักอยู่ที่คำว่า ‘เทศกาลโคม’ ต่างหาก
ในต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั้นยังมีวาสนาชั้นเลิศซุกซ่อนอยู่ มีเพียงผู้กล้าไร้เทียมทานที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้รับมัน!
ลือกันว่ามู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉาแห่งแดนฐิติประจิม เคยช่วงชิงศุภโชคชั้นดีจากเทศกาลโคมกถามรรคไปได้เมื่อสมัยยังหนุ่ม ทำให้มรรคาของเขาพุ่งทะยานสูงขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็หลอมมรรคกลายเป็นราชัน อหังการทั่วทิศ!
ที่น่ากลัวที่สุดคือมู่ซางเสวี่ยในตอนนี้ได้รับการขนานนามให้เป็นสุดยอดตำนานแห่งระดับราชันทั่วหล้า สำนักโบราณมากมายต่างเห็นว่า อีกไม่กี่ปีเขาก็จะสามารถทะลวงอมตะนพเคราะห์ พบหนทางแห่งอริยมรรค กลายเป็นอริยะแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอีกคน!
และตัวอย่างคนที่ได้รับศุภโชคในงานเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านมาแบบเดียวกับมู่ซางเสวี่ยก็มีจำนวนไม่น้อย ไม่ว่ามากหรือน้อย ต่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมบนมรรคาของตนกันทั้งนั้น
นี่ก็คือจุดที่เทศกาลโคมกถามรรคดึงดูดผู้ฝึกปราณในแดนฐิติประจิม เพื่อให้ได้รับศุภโชคโลกตะลึงจากการถกมรรค นี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดต่างก็เฝ้าฝันถึง
แต่ว่าคนที่สามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคมีเพียงเหล่าผู้กล้ารุ่นเยาว์เท่านั้น หากไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ แม้ว่าต้นโคมสำริดมรรคโบราณจะปรากฏก็ไม่อาจเยี่ยมกรายเฉียดใกล้
“หลีกทาง!”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงตวาดราวกับสายฟ้าฟาดดังขึ้นใกล้ๆ กับต้นข่าวสาร ทำเอาผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งตกใจจนตัวสั่น เกือบล้มลงกับพื้น
ก็เห็นชายร่างยักษ์กลิ่นอายแกร่งกร้าว รูปร่างสูงใหญ่เกือบหนึ่งจั้งอยู่ไม่ไกลออกไป มือใหญ่ปานใบลานโบกสะบัดเต็มแรง กลุ่มคนถูกแหวกออกในทันที
ผู้ฝึกปราณบางส่วนหลบไม่ทันถูกผลักล้มคว่ำลงกับพื้น ขณะตั้งท่าจะด่าทอ แต่พอเห็นรูปลักษณ์ของชายร่างยักษ์คนนั้นเต็มตา สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
“ผู้แข็งแกร่งเผ่าฉลามสมุทรแห่งทะเลมารพิฆาต!” มีผู้ฝึกปราณร้องอุทาน
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างหน้าถอดสี ‘ทะเลมารพิฆาต’ สถานที่แห่งนั้นไม่ธรรมดา มีเผ่าทะเลสมุทรบรรพกาลซึ่งมีรากฐานเก่าแก่จำนวนมากอาศัยอยู่
และเผ่าฉลามสมุทรนี้ก็เป็นขุมกำลังระดับผู้นำฝ่ายหนึ่งในทะเลมารพิฆาต!
ชายร่างยักษ์คนนั้นแค่นเสียงเย็น วางมาดอันธพาลเด่นชัด จากนั้นเขาก็หันกลับมา ถอยฉากไปด้านข้างอย่างพินอบพิเทา ดูถ่อมตนเป็นที่สุด
และเวลานี้เองผู้คนถึงได้เห็นว่า ด้านหลังชายร่างยักษ์คนนั้นยังมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งเดินตามมาด้วย
ผู้นำคือชายหนุ่มชุดคลุมทอง รูปร่างกำยำ มีผมยาวสีฟ้าเข้ม ดวงตาดุจดาบคม น่าสะพรึงหาใดเปรียบ
ชายหญิงคนอื่นๆ ต่างห้อมล้อมเขาประหนึ่งดาวล้อมเดือน ต่างพากันเดินมาที่หน้าต้นข่าวสาร
“นี่… ถึงกับเป็นบุตรเทพคนปัจจุบันของเผ่าฉลามสมุทร! ซาหลิวฉานที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้กล้าแห่งทะเลมารพิฆาต!”
ผู้ฝึกปราณบางส่วนตกใจยกใหญ่ สีหน้ายิ่งดูกริ่งเกรงและนบนอบขึ้นเรื่อยๆ
เผ่าฉลามสมุทรน่ากลัวเป็นที่สุด และซาหลิวฉานในฐานะที่เป็นบุตรเทพคนปัจจุบันของเผ่าฉลามสมุทร ก็เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงเกรียงไกรในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม
ลือกันว่าคนผู้นี้ถือกำเนิดมาพร้อมกับรากแห่งปัญญา แกนกระดูกผุดผ่อง สิ่งที่บำเพ็ญฝึกฝนคือวิชาอภินิหารเร้นลับของสำนักพุทธบรรพกาลที่แสนลึกลับ ความสามารถแท้จริงลึกสุดหยั่ง
ขบวนของซาหลิวฉานมีท่าทางเจือความเย่อหยิ่งเป็นเอกลักษณ์ มุ่งตรงไปที่หน้าต้นข่าวสารโดยไม่ได้สนใจสายตานบนอบยำเกรงจากรอบข้าง
“เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวของเทพมารหลินคนนั้น”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งซาหลิวฉานก็มุ่นคิ้วกล่าว “ระหว่างทางมาเมืองผาดาราของข้าในครั้งนี้ ก็ได้ยินวีกรรมเกี่ยวกับคนผู้นี้มาไม่น้อย อยากถือโอกาสนี้ดูเสียหน่อยว่าเขาจะร้ายกาจเหมือนที่เล่าลือขนาดนั้นหรือไม่ แต่ไฉนจนป่านนี้เขากลับยังไม่มา”
ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงลอบตกใจ บุตรเทพเผ่าฉลามสมุทร หนึ่งในสิบสุดยอดผู้กล้าแห่งทะเลมารพิฆาตคนนี้ ก็อยากประมือกับเทพมารหลินด้วยเช่นกัน!
เพราะเหตุใดถึงบอกว่า ‘ก็อยาก’
ง่ายมาก ในเมืองผาดารายามนี้ เหล่าอัจฉริยะผู้กล้ารวมตัว และมีจำนวนไม่น้อยไม่ชอบใจเทพมารหลิน หมายจะประกาศศักดาต่อเทพมารหลินยามที่เทศกาลโคมกถามรรคเปิดฉากขึ้น!
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ไม่กี่วันก่อนก็แพร่สะพัดไปทั่วแดนฐิติประจิมแล้ว
ปัจจุบันก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างกำลังรอคอย ดูว่าเทพมารหลินที่ถูกกล่าวขานเสียจนน่าอัศจรรย์คนนั้น ครั้งนี้จะกล้ามาร่วมงานเทศกาลโคมกถามรรคหรือไม่
หลินสวินซึ่งอยู่ในกลุ่มคนสีหน้าราบเรียบ ในใจกลับเคียดแค้นเจ้าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวนั่นขึ้นทุกที หากไม่ใช่เพราะเขาไปป่าวประกาศเรื่องของตนมาตลอดก่อนหน้านี้ มีหรือตนจะตกเป็นเป้าสายตาผู้คนตั้งมากมายขนาดนี้
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า พวกคนที่รู้จักและไม่รู้จักเขา ต่างพากันตั้งท่าจะเล่นงานเขากันหมด ทำเอาหลินสวินหมดคำพูดไปชั่วขณะ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เกรงกลัว เพียงแต่รู้สึกรำคาญมากก็เท่านั้น
ดังคำกล่าวที่ว่าคนกลัวชื่อเสียงหมูกลัวอ้วนพี คนโบราณว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ!
“นับแต่นี้เป็นต้นไป หากใครสามารถแจ้งเบาะแสว่าพบเห็นเทพมารหลินปรากฏตัวในเมืองผาดารา ให้มารับรางวัลจากข้าได้!”
ซาหลิวฉานท่าทางเย่อหยิ่ง เจือกลิ่นอายแข็งแกร่งบีบคั้นผู้คนสายหนึ่ง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “แน่นอน ถ้าหากเทพมารหลินคนนั้นกล้าปรากฏตัวมาพบเอง ขอเพียงเขายอมรับว่าแข็งแกร่งสู้ข้าไม่ได้ ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เขาพ่ายแพ้อย่างอุจาดตาจนเกินไป!”
กล่าวจบเขาก็หมุนตัว พาบรรดาชายหญิงทั้งหมดสาวเท้าเดินออกไปจากที่แห่งนี้
ผู้ฝึกปราณในลานทั้งหมดต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบ นี่ซาหลิวฉานกำลังเลียนแบบจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์ กดข่มเทพมารหลินต่อหน้าผู้คนงั้นหรือ
ส่วนในใจหลินสวินก็หงุดหงิดอยู่บ้างเช่นกัน เหตุใดตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็กล้ากระโจนออกมาวิพากษ์วิจารณ์และดูแคลนตนไปเสียหมด?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น