Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 836-839

 ตอนที่ 836 มหาเคราะห์สามพิบัติ

ครืน!


บนนภากาศ อสนีเคราะห์โหมกระหน่ำแดงก่ำดั่งโลหิต อุดมกลิ่นอายชวนประหวั่นปานทลายพิภพ


เงาร่างหลินสวินส่องสว่าง พุ่งขึ้นไปรับอสนีเคราะห์ เงาร่างสูงสง่าถูกอสนีเคราะห์โรมรันต่อเนื่อง บุปผาอสนีสีเลือดเจิดจรัสบาดตากระซ่านเซ็น


ผ่านการปิดด่านเก็บตัวเจ็ดวัน หลินสวินฟื้นฟูร่างกายจนสมบูรณ์ถึงขั้นสุดยอด ในที่สุดวันนี้จึงนำมาซึ่งเคราะห์สวรรค์เลื่อนระดับกระบวนแปรจุติ!


เปรี้ยง!


อสนีบาตสีเลือดร่ายระบำฟาดผ่าลงมา ห้วงอากาศล้วนถูกบดละเอียดกลายเป็นจุณ เขาแต่ละลูกถูกซัดแหลกลาญชั่วพริบตา ระเหยหายจากแผ่นดินโดยสมบูรณ์


พลังทำลายล้างนั่นทำให้อสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจบางส่วนที่อยู่ห่างไกลตระหนกจนสั่นไปทั้งตัว ประหนึ่งความกล้าแตกดับสูญสลาย ไม่อาจไม่ถอยห่างอีกครั้ง


พวกมันอาศัยอยู่ในภูเขานี้และมีมรรควิถี แต่กลับไม่อาจจินตนาโดยสิ้นเชิงว่าบนโลกนี้ถึงกับมีอสนีเคราะห์ชวนประหวั่นเช่นนี้ด้วย!


ท้องฟ้านั่นเสมือนโลหิตเทพลุกโชน แดงก่ำบาดตา อสนีเคราะห์ซัดสายฟ้าพลิกตลบ เป็นตัวแทนเจตจำนงแห่งสรวงสวรรค์ ปล่อยพลังยิ่งใหญ่ราวหมายกำจัดหมื่นมาร ทำลายฟ้ามลายดิน


ทว่าสีหน้าหลินสวินกลับไม่ไหวหวั่น นิ่งสงบอย่างไม่เคยมีมาก่อน เงาร่างเขาแผดก้อง โคจรปราณเต็มกำลัง โหมปล่อยโรมรันและต่อต้านอย่างต่อเนื่อง


ทอดมองจากที่ห่างไกล ทั่วร่างเขามีแสงประกายไหลบ่า ผมดำแผ่สยาย รูปร่างผงาดผยองประดุจเทพในตำนาน มีท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทานประการหนึ่ง


ครืนๆ!


พลังของเคราะห์สวรรค์เปลี่ยนเป็นน่าพรั่นพรึงขึ้นเรื่อยๆ เสมือนถูกยั่วโทสะ


อสนีเคราะห์ซึ่งพลิกตลบราวเกลียวคลื่นนั่น เปลี่ยนจากสีแดงสดดั่งโลหิตเป็นสีม่วงทีละน้อย รัศมีสายฟ้าสายแล้วสายเล่าส่องประกายเจิดจรัส แสงม่วงรัดพัน แพรวพราวลานตา


ตูม!


อสนีเคราะห์สีม่วงโชติช่วงบ้างวิวัฒน์เป็นรูปลักษณ์สัตว์เทพ สัตว์ปีศาจ เสมือนดั่งมีชีวิต ปรากฏบนโลกและจู่โจมสังหารกลางนภากว้าง


บ้างวิวัฒน์เป็นสมบัติต่างๆ เช่นหอก ทวนวงเดือน ค้อนสงคราม ดาบกระบี่ ไอสังหารแผ่เต็มฟ้า สะท้านสะเทือนโลกหล้า


บ้างยังกลายเป็นรูปลักษณ์ประหลาดอย่างภูเขาสูงตระหง่าน ตำหนักโบราณพิฆาตจักรวาล เปี่ยมอานุภาพสูงส่งบดขยี้สรรพสิ่ง


แต่ไม่ว่าอสนีเคราะห์แปรเปลี่ยนอย่างไร หลินสวินไม่เคยถอยหลังแม้เพียงก้าว ปะทะมันอย่างกร้าวแกร่ง พลังหมัดส่งเสียงกัมปนาท ซัดการโจมตีทั้งมวลจนแหลกลาญ!


“สวรรค์! เจ้าหมอนี่ดุดันเกินไปแล้ว อานุภาพแห่งอสนีเคราะห์ยากจะเห็นนับตั้งแต่โบราณมา ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต แต่เขา… ไม่เคยถูกโจมตีจนพินาศ!”


สิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ห่างไกลตะลึงงันอยู่ตรงนั้น


ยิ่งเป็นพวกเย้ยฟ้า อสนีเคราะห์ที่ต้องเจอก็ยิ่งร้ายกาจ นี่คือความรู้ร่วมกันของผู้ฝึกปราณทั้งหมดนับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน


เหตุการณ์ตรงหน้าพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัย ว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์นั่นต้องเป็นปีศาจซึ่งมีพลังพลิกฟ้าผู้หนึ่งแน่


ไม่นานนักเงาร่างหลินสวินแผ่ขยาย ส่งเสียงกู่ก้อง กลิ่นอายทั่วสรรพางค์กายยกระดับอีกครั้ง เลือดลมดั่งพญามังกรควบทะยาน


นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความทรงพลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน เหนือกว่าอดีตที่ผ่าน เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและมั่นใจ


ครืน!


เหตุการณ์สะเทือนใต้หล้าพลันปรากฏ เมฆาเคราะห์ซึ่งสั่งสมอสนีบาตพลิกม้วนถูกหลินสวินซัดกระจายในหมัดเดียว!


ห้วงอากาศนั้นราวถูกระเบิด เมฆาเคราะห์ซ่านเซ็นไปทั่วสารทิศ ทำให้บริเวณนั้นเกิดปรากฏการณ์ราวกับเป็นสุญญากาศ


นี่ทำให้ผู้คนยากจะเชื่อ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างออกไปเมื่อเห็นภาพนี้เข้าต่างหวาดหวั่นจนแทบล้มพับลงพื้น


นี่ยังเป็นคนอยู่ไหม


นั่นเป็นถึงมหาอสนีเคราะห์ซึ่งเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต แค่มองไกลๆ ก็หวาดกลัวอย่างที่สุดแล้ว


แต่ตอนนี้ถึงกับถูกหมัดเดียวซัดทลาย!


ทุกสรรพชีวิตกลัวลนลาน นี่มันสัตว์ประหลาดที่โผล่มาจากไหนกันแน่


ช่างเย้ยฟ้าจริงๆ!


ใต้ผืนนภา เงาร่างหลินสวินเด่นตระหง่าน อาบไล้กลางสายฟ้าสีม่วงซึ่งแผ่สยายลอยล่อง ผิวหนังทุกกระเบียดนิ้วต่างส่องแสงประกาย พลังอันแข็งแกร่งกู่ก้องภายในร่าง อึกทึกครึกโครมดั่งฟ้าคำราม


เขากำลังสัมผัสถึงอย่างเงียบๆ


นี่คือ ‘มหาเคราะห์แห่งอสนี’ ใน ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’


อสนีเคราะห์ซึ่งฟาดผ่าลงมาเรียกขานว่า ‘มหาเคราะห์อสนีกลืนกิน’ เปี่ยมพลังสังหารน่าสะพรึง เพ่งเล็งที่มรรควิถีของผู้ฝึกปราณ ทันทีที่แบกรับไม่ไหวก็จะถูกขจัดฐานมรรค ทำลายล้างมรรควิถี กายหยาบและพลังปราณจะถูกกำจัดสิ้นในชั่วพริบตา ชวนประหวั่นอย่างแท้จริง


ตามที่หลินสวินรู้ ในยุคปัจจุบันยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครชักนำ ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’ ยามบรรลุระดับกระบวนแปรจุติมาก่อน


ด่านเคราะห์เช่นนี้ สมัยบรรพกาลเองก็ยากพบเห็นอย่างยิ่ง มีเพียงบุตรเทพโดยกำเนิดที่แท้จริงและพวกระดับผู้กล้าซึ่งเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน จึงจะสามารถชักนำมหาเคราะห์เช่นนี้มาได้!


‘มรรคาแห่งมกุฎ โดดเด่นเหนือใครจริงดังว่า ทั้งแตกต่างจากผู้อื่น…’


ในใจหลินสวินเกิดความหยั่งรู้มากมาย


อสนีเคราะห์สีม่วงซึ่งถูกซัดละเอียดกลายเป็นละอองแสงพร่างฟ้า กำลังถูกร่างกายเขาเขมือบกลืน ทำให้ปราณเขาเกิดการแปรสภาพน่าอัศจรรย์


ถ้ำสวรรค์ภายในร่างบีบรัดตัวต่อเนื่อง แท่นมรรคโบราณก็กำลังถูกขัดเกลาทีละเล็กทีละน้อยอย่างเลือนราง ควบรวมเป็นต้นแบบจักระเทพแจ่มจรัสบาดตาสายหนึ่ง…


ตูม!


ไม่รอให้การแปรสภาพเช่นนี้สิ้นสุด บนท้องฟ้าเกิดภัยพิบัติน่าตระหนกอีกครั้ง ปรากฏรอยร้าวชวนประหวั่นหลากสาย แต่ละสายต่างยาวพันจั้ง


เมื่อแหงนมองจากพื้นดิน ท้องฟ้าเสมือนเครื่องแก้วแตกร้าว


ขณะเดียวกันเปลวเพลิงสีดำสนิทที่ราวโปร่งแสงสายแล้วสายเล่า พวยพุ่งออกจากรอยร้าวใหญ่บนอากาศอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ทั้งไม่เปล่งประกายหรืองามแปลกตา แต่กลับมีกลิ่นอายของความน่ากลัวที่แฝงซ่อนประการหนึ่งรางๆ


ทว่านี่กลับพาให้ใจสั่นระรัว!


ห่างออกไปสิ่งมีชีวิตทั้งมวลจิตวิญญาณระส่ำระสาย รู้สึกหายใจไม่ออกราวจะสิ้นชีพ สีหน้าล้วนเปลี่ยนแปลงยกใหญ่


นี่มันเคราะห์อะไรกัน


ไม่ใช่อสนีบาตอีก แต่เป็นเพลิงทมิฬโปร่งแสงที่เงียบเชียบอย่างน่าประหลาด!


เปรียบเทียบกันแล้ว อัคคีเคราะห์เช่นนี้น่าหวาดกลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


พรึ่บ!


ขณะเดียวกันหลินสวินนั่งขัดสมาธิบนอากาศ เหนือศีรษะวิญญาณแห่งพลังจิตสูงหนึ่งชุ่นพลันพุ่งทะยาน ทั่วร่างอบอวลแสงอัศจรรย์เปล่งประกายทะลวงเมฆา


นี่คือด่านเคราะห์ที่สองของ ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’ นามว่า ‘อัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณ’ มุ่งเป้าโจมตีจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณ ทันทีที่ยืนหยัดไม่ไหวพลังจิตจะกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา ความทรงจำ เจตจำนง จิตรับรู้ทั้งมวลต่างถูกเผาทำลายสิ้น ดับสูญโดยสมบูรณ์


ต่อให้เทพไท้ในตำนานปรากฏตัวก็ไม่อาจช่วยเยียวยา!


เมื่อวิญญาณแห่งพลังจิตสูงหนึ่งชุ่นปรากฏ อัคคีเคราะห์ซึ่งพวยพุ่งเหนืออากาศนั่นราวฉลามได้กลิ่นเลือด แค่ชั่วพริบตาก็ปกคลุมวิญญาณแห่งพลังจิตและทำการแผดเผา


ร่างกายหลินสวินนั่งในห้วงอากาศ แต่กลับเป็นว่าสุขสงบปลอดภัย ไม่ได้รับอันตรายใดๆ


ส่วนวิญญาณแห่งพลังจิตของเขาก็เคร่งขรึมมีสง่า นั่งสมาธิกลางอัคคีเคราะห์นับหมื่นพันอย่างเงียบสงบ แสงสว่างซึ่งส่องประกายทั่วร่างวิวัฒน์เป็นวงแหวนเทพสายหนึ่ง หมุนอ้อมทั่วร่าง


ภายในวงแหวนเทพหมื่นดาราเจิดจรัส วัฏจักรไม่ดับมอด จันทร์เพ็ญแขวนลอยแสงเงินยวงไหลพุ่ง ตะวันดวงโตโดดเด่นโชติช่วงรุ่งโรจน์


ขณะทำการทะลวงด่านที่หกในห้องโถงมรรคาสวรรค์ก่อนหน้านี้ หลินสวินก็หลอมผสานเคล็ดเวทบริกรรมโดยสมบูรณ์ แปรเปลี่ยนออกมาเป็นวิญญาณแห่งพลังจิตของตน


ยามนี้ย่อมไม่หวั่นเกรงพลังของอัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณ!


ตรงกันข้าม ภายใต้การแผดเผาของอัคคีเคราะห์เช่นนี้ ทำให้จิตวิญญาณของเขาได้รับการขัดเกลาอีกครั้ง จิตใจผุดผ่องวาวระยับ มีความรู้สึกแห่งการหลุดพ้นอย่าง ‘เปลือยเปล่าทุกอณู’


อย่างไรคือเปลือยเปล่าทุกอณู


ก็เหมือนมัจฉาแหวกว่ายไม่พันเกี่ยวด้วยสายเบ็ด หลุดพ้นจากความกังวล!


ทั้งเหมือนดั่งจิตใจไร้ธุลีไร้มลทิน สมบูรณ์เต็มเปี่ยม ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยกังวลจากความคิดฟุ้งซ่านอันใด!


คำกล่าวที่ว่ามัจฉาน้อยนิดปลดเปลื้องห้วงลึก หมื่นมดโคจรทุกข์กังวลชั่วกัปกัลป์ ก็คือแก่นอัศจรรย์เช่นนี้


บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง แต่กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงพาให้อึดอัดชวนหายใจไม่ออกยังคงอยู่ทุกอณู


ดูไปแล้วอัคคีเคราะห์นี้ราบเรียบไม่เกิดคลื่นถาโถม แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมโดยไม่ต้องสงสัย!


เหล่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างไกลต่างอึ้งงัน เคราะห์สวรรค์ที่เห็นเบื้องหน้าทั้งมวล อยู่นอกเหนือจินตนาการและการรับรู้ของพวกเขาโดยสมบูรณ์


แต่พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่า เคราะห์สวรรค์ระดับนี้ยากพบเห็นยิ่งนัก นานปีจึงจะพบเจอสักครั้ง!


ผ่านไปหนึ่งเค่อ


วิญญาณแห่งพลังจิตพลันลืมตาหยัดกายขึ้น อ้าปากสูดหายใจ


ฮูม…


อัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณทั่วผืนฟ้า ถูกกลืนเข้าสู่ร่างวิญญาณแห่งพลังจิตในชั่วพริบตา


จากนั้นทั่วร่างวิญญาณแห่งพลังจิตแผ่แสงอัศจรรย์ พราวพร่างทะลึกพุ่ง สุดท้ายจึงหวนคืนความนิ่งสงบ


ทว่าเปรียบเทียบกับแต่ก่อน วิญญาณแห่งพลังจิตราวถูกพันค้อนร้อยหลอม ขัดเกลาปลายกระบี่ ให้ความรู้สึกหลุดพ้น กลับคืนสู่สามัญประการหนึ่ง


สวบ!


มันพุ่งเข้าร่างหลินสวินแล้วหายลับจากไป


ขณะเดียวกันหลินสวินซึ่งนั่งขัดสมาธิลืมตาขึ้น ในลูกตามีแสงอัศจรรย์ใสสงบไหลผ่าน


เหล่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างไกลต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว แต่ละคนล้วนรู้สึกราวถูกแววตานั่นของหลินสวินกวาดมอง ความลับบนล่างทั่วกายล้วนถูกมองทะลุสิ้น


นี่ทำให้พวกเขาขนพองสยองเกล้า พิศวงถึงขีดสุด เกือบคุกเข่ากราบกรานอย่างอดไม่อยู่ เหมือนดั่งเผชิญหน้าเทพองค์หนึ่ง


แต่เคราะห์สวรรค์ครานี้ยังไม่จบ


หลินสวินยืนขึ้น นัยน์ตาดำนิ่งสงบผ่องแผ้วเฉกเช่นหุบเหวลึกสะท้อนนภาลัย ทั่วร่างห้อมล้อมด้วยประกายกระจ่างสมบูรณ์ กลิ่นอายเจตจำนงแห่งมรรคแผ่พุ่ง


เหนือศีรษะ ฟ้าดินเงียบสงัดหนาวเหน็บหาใดเปรียบ


หลินสวินรู้ว่ามหาเคราะห์ครั้งที่สามจวนมาเยือน


เคราะห์นี้ถูกเรียกว่า ‘เคราะห์วาโยดับวิชา’ สิ่งที่ทำลายคือวิชาแห่งปราณ รากแห่งการแจ้งมรรค! หากแบกรับไม่ไหว อวัยวะตันห้าจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เนื้อกระดูกลับหาย ทุกสิ่งต่างดับมอด!


เคราะห์นี้น่าหวาดกลัวที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย


แต่เคราะห์นี้ยังไม่ทันเยื้องกราย เหล่าสิ่งมีชีวิตซึ่งทอดมองจากที่ห่างไกลต่างแบกรับกลิ่นอายชวนประหวั่นเต็มฟ้าดินไม่ไหว ลุกลี้ลุกลนหลบหนีไป


พวกเขาสังหรณ์ว่าหากอยู่ต่อ ต้องประสบผลกระทบกายอาสัญมรรคสลายแน่!


ฮูมๆๆ …


ไม่นานนักบนเวิ้งฟ้ามีเสียงราวลมกาฬวาตข้ามแดน พริบตาเดียวผืนฟ้าพลันอลหม่าน เหมือนกลายเป็นตาพายุ


รัศมีพันลี้ต่างถูกวาโยทมิฬปกคลุม ภูเขาใหญ่สูงพันจั้งแต่ละลูกถูกหอบเหนือพสุธาลอยเคว้งกลางอากาศ จากนั้นพลันกลายเป็นฝุ่นผงกระจายหายไร้ร่องรอย


กระแสธารพลิกตลบ แม่น้ำ พืชพรรณ หินศิลา… ล้วนถูกแรงลมน่าสะพรึงดึงทึ้งดับสลายโดยปริยาย


แค่พริบตาพืชพรรณซึ่งเดิมหนาแน่นเฟื่องชอุ่ม ป่าเขาลำเนาไพรเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ล้วนถูกกำจัด ฟ้าดินแถบนี้ถูกวาโยทมิฬปกคลุม โหมทำลายโดยสมบูรณ์!


ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นเสมือนวันสิ้นโลกมาเยือน!


นี่ก็คือ ‘เคราะห์วาโยดับวิชา’ สมัยบรรพกาล หลังจากผู้กล้าฝีมือล้ำเลิศสะเทือนใต้หล้าบางส่วนข้ามผ่าน ‘มหาอสนีเคราะห์กลืนกิน’ และ ‘อัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณ’ แล้ว ส่วนมากล้วนดับสิ้นมรรคสลายพร้อมความแค้น เพราะไม่อาจยืนหยัดผ่านวามเจ็บปวดแห่งการดับวิชา!


และเวลานี้หลินสวินอยู่กลางเคราะห์วาโย ทั่วร่างส่องสว่าง สำแดงวิชาที่มีออกมาต้านทานและกรำศึกกับมัน


เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ เพลงดาบวัฏจักรฟ้า มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร…


เพียงชั่วขณะก็เห็นกลางเคราะห์วาโยสีดำชวนประหวั่นนั่น ปรากฏลักษณ์ประหลาดนานัปการอันเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน


มีดาราร่วงหล่น สุริยันจันทราช่วงโชติชัชวาล…


มีมังกรทะยานนภา ปักษาเพลิงขับขาน…


ทั้งมีชือน้ำแข็งขดล้อม ฟู่ซี่เข้าปะทะ…


และลักษณ์ประหลาดทั้งหมดต่างประหนึ่งมีรูปลักษณ์แท้จริง หลอมรวมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ โอบล้อมหลินสวินซึ่งอยู่ตรงกลาง ถูกเขาควบคุมและสำแดงอย่างสมบูรณ์!


ภาพเหตุการณ์นั้นเปรียบเสมือนเซียนสำแดงวิชา เทพยุทธ์เผยมรรคในตำนาน!


ตอนที่ 837 แปรจักระเทพ

เคราะห์วาโยดับวิชา แต่หลินสวินกลับสำแดงวิชา!


วายุสีดำส่งเสียงหวีดหวิวปกคลุมฟ้าดินพันลี้ เสียงดั่งเทพมารคำราม สั่นสะเทือนกลางฟ้าดิน


นอกจากหลินสวิน ทุกอย่างบริเวณนี้ล้วนจมสู่การดับสูญ สรรพสิ่งไม่อาจดำรง แม้แต่ห้วงอากาศยังถูกฉีกทึ้งบดขยี้ราวเศษผ้า


ฮูมๆๆ …


เคราะห์วาโยยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าดินปั่นป่วนโกลาหล สายลมสีดำซัดกระหน่ำมืดฟ้ามัวดิน เสมือนตกอยู่ในแดนไร้วิชา


กระทั่งต่อมาเงาร่างหลินสวินก็ถูกฝังกลบอยู่ภายใน ไม่อาจหาพบอีก



บริเวณที่ห่างจากป่าเขารกร้างนี้ไปไกลโพ้น มีเมืองแห่งหนึ่งนามว่าหมอกโลหิต


ขณะนี้ในเมืองหมอกโลหิต ผู้ฝึกปราณมากมายต่างตื่นตระหนก แหงนหน้าขึ้นฟ้าโดยไม่ได้นัดหมาย สายตามองไปยังพื้นที่รกร้างห่างไกลโดยพร้อมเพรียง


ท้องฟ้าตรงนั้นดำสนิทราวน้ำหมึก รุกคืบกลางฟ้าดินดั่งเพลิงโหม ปรากฏการณ์น่าสะพรึงกลัวราวกับมีอสูรมารไร้เทียมทานอุบัติบนโลก


เพียงแค่มองปราดเดียวต่างทำผู้คนใจสะท้าน สัมผัสถึงความหนาวเย็นยากอธิบาย


“นั่นมันอะไร”


คนมากมายหน้าเปลี่ยนสี ร้องอุทานไม่หยุด


“เป็นด่านเคราะห์ที่สวรรค์ส่งลงมา… วาโยดับวิชา… ตำนานที่บันทึกไว้ในตำราโบราณเป็นเรื่องจริงหรือนี่…”


ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสคนหนึ่งส่งเสียงทอดถอนใจคล้ายละเมอ “สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า นั่นต้องเป็นบุคคลระดับปีศาจเย้ยฟ้าแน่ มิฉะนั้นคงไม่มีทางชักนำด่านเคราะห์อันเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ได้!”


ผู้ฝึกปราณจำนวนมากฮือฮา สั่นสะท้านไม่หยุด


“คนที่ข้ามด่านเคราะห์ คงไม่ใช่ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งกระมัง เพียงแต่จะเป็นใครกันแน่”


“ไป ไปดูกัน!”


ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาทะยานหวือแหวกอากาศ พุ่งไปยังป่าเขารกร้างอันห่างไกลนั่น


“ต้องระวังให้ดี! อย่าเข้าใกล้พื้นที่ที่เคราะห์วาโยดับวิชานั่นปกคลุมเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้ามีความสามารถเทียมฟ้าก็ต้องกายสิ้นมรรคสลาย!”


ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสคนหนึ่งส่งเสียงเตือน


แต่ไม่เพียงไม่สามาถทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นหวาดกลัวจนถอยร่น กลับทำให้พวกเขาใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม เคราะห์สวรรค์ซึ่งแต่โบราณมายากจะเห็นเช่นนี้ คือสิ่งที่อริยเทพคนใดชักนำมากันแน่


สายลมทมิฬดุจกระแสน้ำปกคลุมฟ้าดิน ทำเอาทั่วบริเวณนั้นประหนึ่งกลายเป็นแดนมารบรรพกาล น่าสะพรึงกลัวหาใดเปรียบ


“เฮ้ยๆ น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่สหายยุทธ์คนไหนกำลังข้ามด่านเคราะห์กัน”


ผู้ฝึกปราณบางส่วนที่เร่งตามมาอ้าปากค้างตาเบิกโพลง


ด่านเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่เคยเกิดขึ้นในแดนฐิติประจิมมาก่อน! น่าเหลือเชื่อและชวนประหวั่นเกินไปแล้ว!


“บางทีอาจมีเพียงสมัยบรรพกาล ถึงจะได้เห็นด่านเคราะห์สะเทือนใต้หล้าเช่นนี้กระมัง”


มีผู้ฝึกปราณทอดถอนใจ


“ใครกำลังข้ามด่านเคราะห์กันแน่ เหตุใดถึงมองไม่เห็นเงาร่างเขา แล้วในแดนฐิติประจิมใครจะมีพลังพลิกฟ้าเช่นนี้”


ในใจผู้ฝึกปราณอีกมากมีความใคร่รู้ที่ระงับไม่อยู่ เบิกตามองหา แต่กลับไม่อาจมองเห็นเงาร่างคนที่ข้ามด่านเคราะห์


ตูม!


ทันใดนั้นเหนือฟ้ามีเสียงสะท้านสะเทือนทึบหนัก แม้อยู่ห่างไกลก็ยังทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่ทอดมองมาอึดอัดหน้าอก หัวใจเกือบแหลกสลาย ยากทานทนจนเกือบกระอักเลือด


“รีบดูเร็ว!”


มีคนร้องเสียงหลง


ก็เห็นห้วงอากาศซึ่งถูกเคราะห์วาโยดับวิชาปกคลุมจนประหนึ่งแดนมารนั่นพลันส่องสว่าง แสงอัศจรรย์นับหมื่นพันโฉบพุ่งดั่งรุ้งเทพ ควบรวมเป็นจักระเทพพร่างพราวหาใดเปรียบวงหนึ่ง!


จักระเทพดุจตะวัน โอบล้อมด้วยแสงเจิดจรัส ต่อให้เป็นเคราะห์วาโยดับวิชาก็ปิดกั้นไม่อยู่ เจิดจ้าเหลือประมาณ


จักระเทพกลมสมบูรณ์นั่นหมุนวนเนิบช้ากลางอากาศ สำแดงลักษณ์อัศจรรย์ผุดผ่องไพศาลไร้จำกัด


มีเงาเทพสูงใหญ่เหยียดกาย สำแดงวิชาหมัดไร้เทียมทานผลาญสวรรค์ต้มสมุทร ทลายสรรพวิญญาณ สั่นคลอนฟ้าดิน


มีปลายดาบแหวกเมฆทะลวงฟ้า สะท้อนลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นต่างๆ อย่างดวงดาราร่วงหล่น จันทร์เต็มดวงกลางฟ้า ดวงตะวันเจิดจ้าโดดเด่น


ยังมีเงาแห่งสัตว์เทพบรรพกาลมากมายปรากฏ ทั้งชือน้ำแข็ง ฟู่ซี่ ปี้อั้น ซวนหนี ป้าเซี่ย ผูเหลา เฉาเฟิง…


ภาพต่างๆ ปรากฏในจักระเทพเปล่งประกายนั่นอย่างงดงาม วิเศษอัศจรรย์ไม่เป็นสองรองใคร สะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างแท้จริง


กระทั่งต่อมาถึงขั้นปรากฏภาพเทพยิงตะวัน กาทองครวญโลหิต!


ทว่าภาพเช่นนี้กลับแทบไม่มีใครสามารถสังเกตเห็น เพราะจักระเทพนั่นเจิดจ้าเกินไป ราวตะวันดวงโตแห่งจักรวาลกำลังส่องแสงสว่างไสว ไม่อาจมองโดยตรง


“กระบวนแปรจุติ! นี่คือเคราะห์สวรรค์ที่ชักนำมาด้วยการบรรลุระดับกระบวนแปรจุติ!”


“สวรรค์! ต้องเป็นตัวประหลาดระดับใดจึงสามารถมีพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ แค่ยามก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติก็เรียกด่านเคราะห์ไร้เทียมทานยากพบเห็นตั้งแต่โบราณกาลเช่นนี้”


ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างตื่นตระหนก พวกเขาเพิ่งตระหนักว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์ มีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้กล้าระดับปีศาจรุ่นเยาว์คนหนึ่ง!


“มหาสงครามจะมาแล้วอย่างนั้นหรือ ทำไมหลังจากเทพมารหลินปรากฏตัว บนโลกนี้ยิ่งเริ่มปรากฏสัตว์ประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ”


ผู้ฝึกปราณบางส่วนสั่นไปทั้งตัว


“เทพมารหลิน? ฮึ ตอนนี้เขาถูกผู้กล้าแห่งยุคมากมายลบหลู่และประณาม ต่างเห็นว่าเขามีแค่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น มีหรือจะสามารถเปรียบกับปีศาจที่กำลังข้ามด่านเคราะห์ตรงหน้านี้ได้”


และมีผู้ฝึกปราณจำนวนมากเหยียดหยาม นำภาพเหตุการณ์ตรงหน้ามาประณามคนที่ถูกเรียกว่าเทพมารหลิน…


นี่เหมือนเรื่องตลกและเหลวไหลยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย หากให้พวกเขารู้ว่าคนที่กำลังข้ามด่านเคราะห์นั่นก็คือเทพมารหลินที่พวกเขาต่างปรามาส ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร


ครืน!


กลางเคราะห์วาโยดับวิชา จักระเทพดั่งดวงตะวันเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม กระทั่งต่อมาภายในจักระเทพนั่นแผ่เสียงกัมปนาทประดุจสัทครรลองมหามรรคออกมาเป็นระลอก ราวกับอริยบุคคลบรรพกาลกำลังสวดภาวนาอยู่ภายใน แก่นอัศจรรย์ลอยล่องกลางฟ้าดิน ไพศาลไร้ขีดจำกัด


ขณะเดียวกันเงาร่างสูงใหญ่ทรงพลังปรากฏอย่างเลือนรางพร่ามัว ใช้จักระเทพนั่นเป็นภาพเบื้องหลัง ทั่วร่างพร่าเลือดนด้วยแสงพร่างพราย พาให้คนไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน


มองจากที่ห่างไกล ทำให้ผู้คนเกือบจะสงสัยว่าเป็นเทพไท้ในตำนานมาเยือนโลกา!


เปรี๊ยะ!


เงาร่างนั่นเชิดหน้า สะบัดมือง่ายๆ เคราะห์วาโยดับวิชาซึ่งปกคลุมฟ้าดินนั่นถูกแหวกผ่าเป็นรอยแยกมหึมา


พริบตานั้นแสงโชติช่วงพลิกม้วนเก้าชั้นฟ้า จักระเทพดั่งมหาสุริยัน แสงสว่างที่ปลดปล่อยออกมาม้วนกลืนเคราะห์วาโยเต็มฟ้าจนสิ้น!


ผู้ฝึกปราณทั้งหมดอ้าปากค้าง แทบไม่กล้าเชื่อตาตนเอง


จากการรับรู้ของพวกเขา ผู้ฝึกปราณข้ามด่านเคราะห์ล้วนอเนจอนาถยิ่งยวด ผ่านอันตรายล่อแหลมเหลือคณา บางทีอาจโชคดีรอดชีวิตต่อไปได้ แต่นั่นคือภัยพิบัติที่เก้ามรณาหนึ่งรอดพ้นอย่างแท้จริง


ทว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์เบื้องหน้านี้กลับเหมือนกร้าวแกร่งเป็นพิเศษ โบกมือคราเดียวก็กวาดกำจัดด่านเคราะห์ทั่วฟ้า!


“นี่มัน…”


พวกเขาล้วนหัวสมองเบลอไปหมด ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น


เมื่อหวนคืนสติ ในบริเวณข้ามด่านเคราะห์นั่นคืนสู่ความสงบแล้ว ท้องฟ้าใสสะอาดดุจชะล้าง ห้วงอากาศราบเรียบสมดุล ไม่เห็นร่องรอยพิบัติเคราะห์อีกเพียงเสี้ยว


เสมือนทั้งหมดที่เห็นเมื่อครู่เป็นฝันร้ายเพ้อพกเกินจริงฉากหนึ่ง


ที่หายไปเช่นกันยังมีเงาร่างซึ่งข้ามด่านเคราะห์นั่น ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็ระเหยจาก ใครต่างไม่รู้ว่าเขาจากไปเมื่อใดกันแน่


แต่ที่สามารถยืนยันได้คือ มหาเคราะห์ไร้เทียมทานซึ่งมีอยู่แค่ในบันทึกตำนานโบราณนี้ถูก ‘คนผู้นั้น’ ข้ามผ่านแล้ว


อีกทั้งวิธีข้ามด่านเคราะห์ยังกร้าวแกร่งจนพาให้อลหม่าน!


พื้นที่พันลี้ ภูเขาสูงชันแหลกเป็นจุณ สรรพสิ่งดับสูญ ผืนดินแตกระแหง น่าตกตะลึงราวซากปรักหักพัในสมรภูมิ


ทุกอย่างล้วนคล้ายกำลังพิสูจน์ว่าด่านเคราะห์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่น่าหวาดกลัวระดับใด


“คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่”


นี่คือข้อสงสัยของผู้ฝึกปราณทุกคน กระทั่งสุดท้ายพวกเขาล้วนไม่เคยเห็นรูปร่างคนที่ข้ามด่านเคราะห์อย่างชัดเจน นี่ทำให้พวกเขาต่างผิดหวังและห่อเหี่ยว


“รู้ได้เลยว่าบุคคลเย้ยฟ้าราวปีศาจเช่นนี้ไม่ใช่พวกธรรมดาแน่ หลังข้ามด่านเคราะห์ครานี้จะต้องผงาดกร้าวบนโลก สามารถชิงชัยกับหมื่นผู้กล้า!”


นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกปราณทั้งหมดเห็นพ้องจ้องกัน


ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งซึ่งมาจากเผ่าวาทวาโยบันทึกภาพต่างๆ บนใบไม้ต้นข่าวสารอยู่ก่อนแล้ว รอแค่กลับเมืองก็จะแพร่ข่าวนี้ออกไป


‘บุคคลแห่งยุคปรากฏตัวบนโลกอีกคนแล้ว ข้ามอสนีเคราะห์ที่พบเห็นได้ยากตั้งแต่โบราณกาล ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติอย่างแกร่งกร้าว! เขาคือใคร? ไม่มีผู้ใดรู้!’


พอนึกถึงว่าหลังข่าวนี้แพร่ออกไปจะทำให้เกิดความครึกโครมขนาดไหน ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนนี้ก็ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว



ลำธารใสสะอาดไหลรินแผ่วเบา ส่งเสียงราวเสียงสวรรค์ ฟองคลื่นละเอียดม้วนกระเซ็น สาดแสงงามตระการใต้แสงอาทิตย์


ริมลำธาร กวางเขียวตัวหนึ่งกำลังไล่ตามผีเสื้อกลางทุ่งดอกไม้ ส่งเสียงร้องอย่างปิติรื่นเริง


หลินสวินยิ้มมองทุกอย่างนี้ นานพอควรปลายนิ้วเขาวาดผ่านอากาศเบาๆ ประทับจิตสายหนึ่งลงในสมองของกวางเขียว


นี่คือมรดกวิชาหนึ่ง ชื่อว่า ‘คัมภีร์ยุทธจักร’ มาจากเผ่าสิงห์โลหิตอันเป็นสายเลือดบรรพกาล


กวางเขียวตัวนี้เคยแบกหลินสวินซึ่งบาดเจ็บสาหัสก้าวผ่านป่าเขาเขียวขจี ถือว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง


บัดนี้หลินสวินข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ ใกล้จะต้องลาจาก จึงอยากมอบวาสนาบางอย่างให้กวางเขียว ส่วนหลังจากนี้มันจะสามารถประสบผลสำเร็จได้มากเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของมันเองแล้ว


หลินสวินคิดไปคิดมาก็นำถุงเก็บของใบหนึ่งแขวนบนคอกวางเขียว ภายในถุงเก็บของบรรจุลูกกลอนวิญญาณโอสถวิเศษ รวมถึงสมบัติบางส่วนที่จำเป็นต่อการฝึกปราณ


เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลินสวินยกมือลูบศีรษะกวางเขียวพลางยิ้มกล่าว “เจ้าตัวน้อย ภายหลังมีวาสนาค่อยพบกันใหม่”


กล่าวจบเขาก็ยิ้มบางๆ แล้วหันหลังจากไป


กวางเขียวตะลึงงัน ต่อมาถึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง แยกเท้าทั้งสี่วิ่งไล่ตามหลินสวิน เหมือนอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้หลินสวินจากไป


ทว่าไม่นานมันก็ต้องผิดหวัง เพียงชั่วครู่กลางป่าเขาก็ไม่มีร่องรอยหลินสวินแล้ว มีเพียงเสียงสายน้ำแผ่วเบาที่ยังคงสะท้อนกลับมา


กวางเขียวละล้าละลังอยู่ที่เดิมอย่างกระสับกระส่ายและผิดหวัง ส่งเสียงร้องสะอื้นอาดูรเป็นระลอก


นานพอควรมันจึงก้มหัวคอตก หมุนตัวกลับสู่ป่าเขาเก่าแก่รกร้างนั่นก่อนหายลับจากไป


‘เจ้าตัวน้อย รักษาตัวด้วย’


หลินสวินยืนอยู่บนยอดเขาไกลโพ้น มองเห็นทุกการกระทำของกวางเขียวในสายตา อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอยู่บ้าง


สุดท้ายเขาโบกมือเงียบๆ ไปยังทิศทางที่กวางเขียวจากไป ก่อนลอยล่องจากไป



เมืองหมอกโลหิต


พริบตาที่เงาร่างหลินสวินปรากฏตรงประตูเมืองก็สัมผัสได้อย่างฉับไว ว่าสายตาของผู้สัญจรไปมาโดยรอบที่มองตนต่างชะงักงันเล็กน้อย สีหน้าผิดแผกต่างออกไป


หลินสวินลูบจมูกอย่างอดไม่อยู่ ค่อนข้างคลางแคลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน


กระทั่งเข้าสู่เมืองหมอกโลหิต หลินสวินยิ่งรู้สึกได้ชัดกว่าเดิม ผู้ฝึกปราณที่สังเกตเห็นตนตลอดทางสีหน้าล้วนชะงักงัน ม่านตาเบิกโพลง ท่าทางกังขาแต่ไม่กล้ายืนยัน


อีกทั้งหลินสวินสังเกตเห็นว่า ด้านหลังตนมีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังแอบตามมา ต่างตั้งท่าหมายสืบหาเบื้องลึกเบื้องหลังตน


สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลยิ่ง!


แต่นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดพวกเขาเหมือนจำตนได้


หลินสวินข่มความสงสัยในใจ มุ่งหน้าต่อไปเงียบๆ เพียงแต่เพิ่มความเร็วขึ้น ไม่กี่พริบตาก็หายไปบนท้องถนนคึกคัก


และไม่นาน ข่าวลือที่เกี่ยวกับ ‘เทพมารหลินปรากฏตัวที่เมืองหมอกโลหิต’ ก็เริ่มแพร่กระจายภายในเมือง…


ตอนที่ 838 รับรู้มูลเหตุ

เมืองหมอกโลหิต หน้าต้นข่าวสาร


สีหน้าหลินสวินเดี๋ยวมืดทะมึนเดี๋ยวกระจ่างปรวนแปรไม่หยุด


เขาหยุดยืนอยู่ตรงนี้นานมากแล้ว เพียงแต่จนบัดนี้อารมณ์ยังไม่อาจนิ่งสงบ


บนต้นข่าวสาร มีภาพการต่อสู้ระหว่างเขากับเด็กสาวหน้ากากปริศนาที่นครเตโช


ยังมีข่าวที่เขาสังหารผู้แข็งแกร่งระดับราชันกึ่งระดับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬสี่คน


กระทั่งแม้แต่ประโยค ‘สังหารสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทั้งใต้หล้า’ ที่เขาเคยกล่าวตอนนั้นก็ล้วนเห็นได้บนต้นข่าวสาร


เพียงแต่…


หลินสวินกลับไม่อาจจินตนาแต่แรก ว่าในช่วงเวลาหลังตนออกจากเมืองก่วมหิมะจะเกิดเรื่องมากขนาดนี้


‘ข่าวชวนตะลึง เทพมารหลินถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬสองคนตามล่า ไม่รู้เป็นตาย!’


‘มีหญิงสาวปริศนาปรากฏตัว คล้ายอริยเทพแห่งบรรพกาล!’


‘เขาเถื่อนเมฆินทร์พินาศย่อยยับ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่อยู่ภายในถูกสังหารหมดไม่รอดสักคน ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือหญิงสาวปริศนานั่น!’



เมื่อดูทุกอย่างเสร็จสิ้น สุดท้ายหลินสวินก็เข้าใจ ที่แท้คำว่า ‘ออกไปดูสักหน่อย’ ที่หญิงสาวปริศนาในห้องโถงมรรคาสวรรค์นั่นกล่าวถึง แท้จริงแล้วคือทำเรื่องใหญ่โตฮือฮาหาใดเปรียบมากเช่นนี้!


เข้าเขาคุนอู๋ที่ตั้งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาเพียงลำพังราวเข้าสู่แดนไร้ผู้คน แม้แต่อริยะที่แท้จริงยังไม่กล้าเหนี่ยวรั้ง


จากนั้นนางไปถึงริมแม่น้ำพรมแดน หมุนตัวสังหารทั้งเขาเถื่อนเมฆินทร์ ทำลายล้างผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬบนเขาเถื่อนเมฆินทร์ทั้งหมดชั่วพริบตา!


สุดท้ายนางสิ้นธุระก็จากไป ปิดซ่อนชื่อเสียงและเกียรติยศ


‘สันนิษฐานเช่นนี้ นาง… มีหรือจะไม่ใช่ผู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าอริยบุคคลมากสามารถคนหนึ่ง’


สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่นนัก จิตใจซัดสาดโหมกระหน่ำ


‘ที่แท้ไม่เพียงแต่โก่วหยางป๋อและโก่วหยางทง แม้แต่แหล่งพำนักในแดนฐิติประจิมของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ล้วนถูกนางขุดรากถอนโคนในชั่วแวบเดียว!’


‘อืม นางเคยบอกว่าจะยื่นมือช่วยข้าสามครั้ง กล่าวเช่นนี้ หากครั้งหน้าข้าเจอเคราะห์สังหารถึงชีวิตก็สามารถขอให้นางออกมือใช่หรือไม่’


หลินสวินมีความคิดผุดขึ้นเป็นสาย


แต่ไม่นานสีหน้าเขาพลันอึมครึม อารมณ์เปลี่ยนเป็นย่ำแย่


เขาเห็นข่าวนั่นที่ไป่เฟิงหลิวประกาศ บ่งชี้โดยตรงว่าระหว่างเขาและหญิงสาวปริศนามีความเกี่ยวเนื่องกัน!


หลินสวินสามารถจินตนาการได้เลยว่า เมื่อคนบนโลกทราบข่าวนี้จะก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมมากเพียงใด ต้องมีสายตามากมายจับจ้องมาที่ตน ทำการวิพากษ์วิจารณ์และคาดเดาไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่


‘มิน่าตอนที่เพิ่งเข้าเมืองหมอกโลหิต ตลอดทางถึงได้เจอสายตาเคลือบแคลงและพิลึกพิลั่นมากขนาดนั้น ที่แท้เป็นเจ้าสากกะเบือเฒ่าไป่เฟิงหลิวนี่เสี้ยมออกมา…’


หลินสวินแค้นจนอยากต่อยคน


เจ้าไป่เฟิงหลิวนี่ช่างเป็นพวกปากสว่างกลัวฟ้าดินไม่อลหม่าน เขาสร้างเรื่องออกมาเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับนำตนวางบนกองเพลิง!


‘หืม?’


หลินสวินสังเกตเห็น ไป่เฟิงหลิวปล่อยข่าวนี้ออกมาไม่นาน เซี่ยอวี้ถังก็แพร่ข่าวสาร


แต่เมื่อเห็นเนื้อหาข่าวชัดเจน นัยน์ตาหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ หว่างคิ้วเจือความหนาวเย็น


เขาคาดไม่ถึงว่าคนที่กระโดดออกมาโจมตีตนคนแรกจะเป็นเซี่ยอวี้ถัง ‘คนคุ้นเคย’ คนนี้ นี่ทำให้ในใจเขามีความโกรธซึ่งไม่อาจระงับ


ล้วนมาจากจักรวรรดิจื่อเย่าในโลกชั้นล่างเหมือนกัน แต่เจ้าเซี่ยอวี้ถังนี่กลับอวดตัวเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผิน ใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้โจมตีตนต่อหน้าคนทั่วโลก เจตนาเรียกได้ว่าเหี้ยมโหดเหลือประมาณ


‘ครั้งก่อนตอนเจอกัน ข้าบอกแล้วว่าบุญคุณความแค้นจบสิ้นลงตรงนั้น แต่เจ้ากลับกระโดดออกมาโจมตีข้าในเวลานี้ เช่นนั้นต่อไปหากพบเจอกันอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ…’


หลินสวินพึมพำอยู่ในใจ


ที่ทำให้หลินสวินหมดคำพูดคือ ต่อมาเขาก็เห็นว่าหลังจากเซี่ยอวี้ถังแพร่ข่าว กลับเป็นเจ้าสากกะเบือเฒ่าไป่เฟิงหลิวนี่ออกแก้ต่างเพื่อตน…


‘เจ้าหมอนี่เป็นตาแก่แปลกประหลาดจริงๆ’ หลินสวินแอบพึมพำ


ไม่ว่าเซี่ยอวี้ถังหรือไป่เฟิงหลิวจะทำให้หลินสวินหงุดหงิดในใจอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้เขาโกรธ เพราะไม่คู่ควรพอ


แต่เมื่อเห็นข่าวต่อมา สีหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นอึมครึมอยู่บ้าง


‘โลกปัจจุบันนับวันยิ่งเหลวแหลกขึ้นทุกที สามารถเอาคำว่า ‘เทพมาร’ มาใช้กับตัวเองง่ายๆ เลยหรือ ไปบอกเทพมารหลินที่ว่านี่ ถ้ากล้าก็มาเขาพยับครามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ข้าจงหลีอู๋จี้จะคว่ำเขาเป็นคนแรก!’


จงหลีอู๋จี้?


หลินสวินไม่รู้ว่านี่มันตัวอะไร เห็นการลบหลู่และประณามเช่นนี้หลินสวินแค่รู้สึกว่าน่าขัน


แต่เมื่อเห็นว่าธิดาเทพเผ่าหงส์เขียวคนหนึ่งนามชิงเหลียนเอ๋อร์เอ่ยปาก ในที่สุดหลินสวินก็มีโทสะบ้างแล้ว


‘พิภพไร้ผู้กล้าแล้วหรือ ถึงนำพวกไร้น้ำยามาสร้างชื่อ ถ้าหลินสวินนั่นกล้าปรากฏตัวบนเขาพยับคราม ข้าจะทำให้เขาสำนึกผิดขอขมาต่อหน้าธารกำนัล ยอมรับว่าชื่อตนไม่สมชื่อ!’


นี่มันไม่เกรงใจกันมากไปแล้ว ไม่เพียงแต่ลบหลู่ ยังเจือรสหยามเหยียดโดยไม่ปกปิดแม้แต่น้อย


ตุ๊กตาดินเหนียวยังมีธาตุแท้เป็นดินอยู่สามส่วน นับประสาอะไรกับหลินสวินคนที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยยอมเสียเปรียบ หากจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์นี่แค่กล่าวคำพวกนี้กันส่วนตัว หลินสวินคงคร้านจะคิดเล็กคิดน้อย ถึงอย่างไรเขาก็ควบคุมปากคนทั้งใต้หล้าไม่อยู่


แต่ที่ทำให้หลินสวินโมโหคือ เจ้าสองคนนี้ประกาศต่อหน้าธารกำนัล ทำให้ผู้ฝึกปราณทั้งแดนฐิติประจิมต่างเอาไปพูดต่อ นี่จะไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ


‘ไม่มีความแค้นต่อกัน พวกเจ้ากลับกระโดดออกมาเพ่งเล็งข้า เห็นว่าข้ากลั่นแกล้งง่ายนักหรือ คิดจะเหยียบข้าไว้ใต้ฝ่าเท้าส่งเสริมเกียรติยศตนเอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุบายสกปรกเช่นนี้!’


หลินสวินไหนเลยจะมองไม่ออก จงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์ดูภายนอกกำลังประณามและลบหลู่ตน แท้จริงแล้วคือการฉวยโอกาสนำเขาหลินสวินเป็นฐานเหยียบ หมายอาศัยสิ่งนี้มาประกาศกิตติศัพท์อำนาจ!


เพียงแต่พวกเขาเลือกเป้าหมายผิดแล้ว!


หลินสวินไม่ใส่ใจที่จะถูกคนอื่นวิจารณ์ แต่หากคนอื่นมีเจตนาแอบแฝง วางแผนใช้อุบายเช่นนี้เหยียบตนไว้ใต้ฝ่าเท้า อาศัยสิ่งนี้มาสร้างชื่อเสียงของพวกเขา นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินสามารถทนได้


สู้!


มหาสงครามก็คือการต่อสู้ แสวงหาความก้าวหน้า กล้ามองไปเบื้องหน้า!


ตอนมายังดินแดนรกร้างโบราณ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าก็เคยชี้แนะหลินสวิน ว่าการต่อสู้แห่งมหามรรคเหมือนดั่งร้อยลำเรือแย่งหลั่งไหล พันใบเรือล่องแข่ง ไม่เคยมีการอดกลั้นและยอมให้!


แน่นอนว่าหลินสวินย่อมไม่ใช่คนขี้ขลาด


ตอนอยู่จักรวรรดิจื่อเย่า เขาก็อาศัยความกล้าเกินมนุษย์มนาสร้างชื่อ ถูกคนวิจารณ์ว่าป่าเถื่อนและเหี้ยมโหดเกินไปอยู่บ่อยครั้ง


ภายหลังเมื่อเขาอยู่ในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ ได้สังหารบุตรเทพธิดาเทพไปไม่รู้กี่เผ่า ไม่เคยเกรงกลัวมาก่อนเช่นเดียวกัน


กระทั่งลองนับนิ้วคิดรวมกัน หากหลินสวินขี้ขลาด คงไม่ล่วงเกินสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้าพวกนั้นแล้ว


บัดนี้ในดินแดนรกร้างโบราณนี่ หลินสวินก็ยังคงรักษาเจตนารมณ์ดั้งเดิมไม่เคยเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ไปเข่นฆ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬจนถึงตอนนี้


ปัจจุบันพวกคนชั้นยอดแห่งยุคซึ่งมีชื่อเสียงในแดนฐิติประจิมนานแล้วส่วนหนึ่ง กลับหมายนำตนมาเป็นฐานรองเหยียบประกาศศักดา หากอดกลั้นไม่ไปคิดเล็กคิดน้อย นั่นก็ไม่ใช่หลินสวินแล้ว


‘เทศกาลโคมกถามรรคใช่ไหม ลองคำนวณเวลาแล้วยังเหลือประมาณหนึ่งเดือนถึงจะเริ่มขึ้น ถึงเวลานั้นข้าจะลองไปดูว่าพวกเจ้าสามารถทำตามที่พูดได้หรือไม่!’


หลินสวินสูดหายใจลึกจดจำบัญชีไว้แล้ว ตัดสินใจว่าหลังส่งซย่าเสี่ยวฉงถึงเขาบรรพตเขียวแล้ว จะไปเยือนเขาพยับครามสักครั้ง


“ขอทางหน่อย รีบหลีกทางหน่อย มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งเบียดผ่านฝูงชน นำใบไม้ข่าวสารแขวนบนต้น บนข่าวกลับเขียนไว้ว่า


‘ปีศาจเย้ยฟ้าปริศนาปรากฏตัวบนโลกา ข้ามมหาเคราะห์สามพิบัติอย่างแกร่งกร้าว สามารถคาดเดาได้เลยว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์แดนฐิติประจิมจะปรากฏบุคคลแห่งยุคอีกคน!’


นอกจากตัวอักษร ยังมีภาพเคราะห์วาโยดับวิชามืดฟ้ามัวดิน จักระเทพสายหนึ่งส่องประกายดั่งตะวันต่อต้านกับมัน ภาพเหตุการณ์สะเทือนใต้หล้าชวนประหวั่น


แต่เมื่อหลินสวินเห็นภาพนี้ในใจพลันหมดคำพูด ยอมจำนนโดยสิ้นเชิง


เรื่องกระจายข่าวใครแกร่งที่สุด


แน่นอนว่าเผ่าวาทวาโยเป็นผู้ปรีชาสามารถอย่างที่สุด!


นี่เพิ่งไม่นานเท่าไหร่ ข่าวเกี่ยวกับการข้ามด่านเคราะห์ของตนก็แพร่ออกมาแล้ว ยังดีที่ตนจากไปเร็ว ฐานะจึงไม่ถูกเปิดโปง


ทว่าไม่ทันให้หลินสวินยินดีปรีดา ข่าวหนึ่งก็แพร่มาอีก…


‘จวนครบหนึ่งเดือน เทพมารหลินเผยร่องรอยอีกครั้ง เพิ่งเข้าสู่เมืองหมอกโลหิต ตามคำบอกเล่าของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ เทพมารหลินได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติแล้ว!’


‘จากการวิเคราะห์ของเผ่าวาทวาโยเรา ขอทำการคาดเดาโดยไม่รับผิดชอบใดๆ ว่าการปรากฏตัวของเทพมารหลินอาจจะเกี่ยวข้องกับปีศาจปริศนาที่ข้ามผ่านมหาเคราะห์สามพิบัติ’


‘หรือมหาเคราะห์ครานี้ แต่เดิมคือสิ่งที่เทพมารหลินชักนำมา’


‘ประกาศอย่างจริงจัง การคาดการณ์นี้เป็นเพียงเผ่าวาทวาโยของข้าบังอาจคาดเดา เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว จะจริงหรือเท็จ ขอเชิญติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้ต่อไป!’


ทันใดนั้นเสียงฮือฮาดังก้องขึ้นในละแวกใกล้เคียงต้นข่าวสาร


แต่มุมปากหลินสวินกลับแอบกระตุกไม่หยุดอย่างอดไม่อยู่ ไม่แปลกที่คนใหญ่คนโตมากขนาดนั้นบนโลกจะเคียดแค้นชิงชังเผ่าวาทวาโยเช่นนี้ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้แล้ว


หลินสวินหันหลังเดินจากไป ไม่ได้ลังเลอะไรอีก


ข่าวการปรากฏตัวของเขาที่เมืองหมอกโลหิตต้องแพร่สะพัดออกไปโดยเร็วแน่ ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นาน


นี่ทำให้ในใจหลินสวินกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม เพราะเผ่าวาทวาโยนี่ ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตนถูกเปิดเผยออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำจนเขาถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ยามเพิ่งเข้าเมืองก็ไม่อาจไม่จากไป ความรู้สึกนี้น่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว


‘หากวันไหนยั่วโมโหข้าถึงขีดสุด ข้าจะไปแหล่งพำนักเผ่าวาทวาโยของพวกเจ้า ตัดต้นข่าวสารทองคำนั่น!’


หลินสวินลอบขบฟันกรอด


ยังดีที่เขาสังเกตเห็นความไม่เข้าทีเสียก่อน จึงใช้ชุดคลุมบังกาย ใช้หมวกปีกกว้างปกคลุมหน้าตาโดยตลอด มิฉะนั้นคงถูกคนจำได้นานแล้ว



ซูม!


กลางอากาศเวิ้งว้างไร้ขอบเขต ยานสำเภาลำหนึ่งแล่นผ่านเมฆขาวดุจหิมะไปยังที่ห่างไกล


บนยานสำเภา หลินสวินใคร่ครวญอยู่นานพอควร สุดท้ายจึงทำการวิเคราะห์ออกมาว่า ยึดตามความเร็วนี้ ระยะทางประมาณสามวันก็สามารถไปถึงเขตแคว้นหงส์สถิต


“พี่หลินสวิน ทำไมท่านทำตัวลับๆ ล่อๆ อย่างนี้ ไม่กล้าใช้โฉมหน้าที่แท้จริงพบปะผู้คนหรือ”


ด้านข้าง ซย่าเสี่ยวฉงกะพริบดวงตาโตใสสะอาด ถามอย่างใคร่รู้


“เจ้าไม่เข้าใจ” หลินสวินถอนหายใจ ตอนนี้เขายังแต่งกายด้วยชุดคลุมบดบังร่าง ดูประหลาดอยู่บ้างจริงๆ


ภายใต้การซักถามอย่างต่อเนื่องของซย่าเสี่ยวฉง หลินสวินจึงเล่าสถานการณ์ปัจจุบันรอบหนึ่ง


เมื่อรู้ว่าหลินสวินถูกสายสืบเผ่าวาทวาโยทำจนมีท่าทางเหมือนหนูข้ามถนน เกรงแต่จะถูกคนสืบรู้ฐานะ ซย่าเสี่ยวฉงพลันเป็นสุขอย่างยิ่ง แอบหัวเราะคิกคักไม่หยุด


ครั้นเห็นสีหน้าหลินสวินผิดแปลกอยู่บ้าง ซย่าเสี่ยวฉงรีบเกร็งหน้าทันใด ข่มรอยยิ้มกล่าวจริงจัง “พี่หลินสวิน ข้ามีวิธีหนึ่ง รับรองว่าท่านไม่ต้องปวดหัวเรื่องนี้!”


หลินสวินร้องอ้อทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ


กลับเห็นซย่าเสี่ยวฉงเม้มริมฝีปากอวบอิ่ม ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายคล้ายตัดสินใจเด็ดขาด สูดหายใจลึกพลางกล่าว “พี่หลินสวิน ข้าจะถ่ายทอดวิชาสุดยอดหนึ่งให้ท่าน ท่านต้องจำให้มั่น!”


ตอนที่ 839 เขาบรรพตเขียว

วิชาลับหรือ


หลินสวินจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง รู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะตอนนี้เขาไม่ได้ขาดวิชาลับอะไรเลย


เพียงแต่ยามที่เสียงถ่ายทอดวิชาลับดังเข้าข้างหู หลินสวินอึ้งงันเล็กน้อย จากนั้นพลันเปลี่ยนทีท่าเป็นจริงจังขึ้นมา


จวบจนต่อมาเขาหรี่ตาลง หว่างคิ้วผุดแววประหลาดใจอย่างควบคุมไม่อยู่


‘เคล็ดวิชามหาไร้รูป’!


นี่เป็นมรดกวิชาเก่าแก่อันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง สัจคาถาไม่ยาวมากนัก แต่เป็นวิชาลับระดับสูงอย่างหนึ่ง


เสียงของซย่าเสี่ยวฉงใสกังวานปานน้ำพุ ไพเราะเสนาะหู หลินสวินจมดิ่งสู่ความเร้นลับ สงบนิ่งศึกษาโดยไม่รู้ตัว


เคล็ดวิชามหาไร้รูป คือแก่นมรรคแห่งการเปลี่ยนแปลงในจักรวาลเสี้ยวหนึ่ง ซึ่งได้มาจากการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งของบรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว


เคล็ดวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘เห็นแจ้งไร้ลักษณ์’ มรดกสูงสุดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ยอดเยี่ยมหาที่เปรียบไม่ได้


เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนถึงขั้นสูงสุด ผู้ฝึกปราณสามารถควบคุมการเปลี่ยนนานัปการ ทำให้เจ้าตัวสามารถแปลงร่างได้สารพัดนึก


อย่างหญ้าไม้หินผา หรืออย่างสัตว์ปีกสัตว์สี่เท้า ลักษณะร้อยแปดพันเก้าเป็นต้น


สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับพลังวิเศษขุนพลสวรรค์สามสิบหกท่า อสูรพิภพเจ็ดสิบสองกระบวนตามตำนานเล่าขานแห่งบรรพกาลแต่อย่างใด


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสมัยบรรพกาลของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวก็คือวิชาแปลงกาย เรียกได้ว่าผีสางเทวดาไม่อาจคาดเดาได้ ป้องกันยากเย็นแสนเข็ญ


ตามตำนาน บรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวเคยสำแดงเคล็ดวิชาดังกล่าว ทำให้แม้แต่อริยะผู้หยัดยืนอยู่บนจุดสูงสุดยังไม่สามารถแยกแยะจริงเท็จได้ อัศจรรย์หาที่เปรียบไม่ได้โดยแท้


และเคล็ดวิชามหาไร้รูปนี้ก็คือวิชาลับขั้นสูงสุดในเผ่าพวกเขา!


แน่นอน เคล็ดวิชามหาไร้รูปนี้แม้คุณสมบัติเนื้อแท้คือการเปลี่ยนแปลง แต่แก่นแท้ของมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแปลงร่าง ในนั้นยังซุกซ่อนแก่นอัศจรรย์มหามรรคอันเป็นปริศนาเร้นลับอยู่ด้วย


นอกจากนี้ หากปราศจากสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ต่อให้เคี่ยวกรำเคล็ดวิชาดังกล่าวก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงสุด


แต่แม้จะฝึกฝนได้เพียงน้อยนิด ก็สามารถรับประโยชน์ได้มากมาย


ปัจจุบันหลินสวินมีวิญญาณแห่งพลังจิต เมื่อเสริมด้วยประโยชน์มหัศจรรย์ของดวงใจฉิวหนิว ก็สามารถหยั่งถึงแก่นแท้ของเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้เกือบจะในทันที


เพียงแต่พร้อมกันนั้นเขาก็พบว่าการฝึกวิชาดังกล่าวมีข้อจำกัดมากมาย เว้นแต่ตนจะมีสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ไม่เช่นนั้นความเร้นลับทั้งหมดที่เขายึดกุมได้ก็จะมีจำกัด


แม้เป็นดังนี้ก็ยังทำให้หัวใจของหลินสวินสั่นไหว วิชาลับระดับนี้ยอดเยี่ยมเหลือแสน จะต้องเป็นมรดกวิชาลับพิทักษ์เผ่า ไม่สามารถแพร่งพรายสู่ภายนอกได้


ยามนี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับถ่ายทอดวิชาลับดังกล่าวให้แก่ตน ทำให้หลินสวินซาบซึ้งยิ่ง ซ้ำยังรู้สึกกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย


ดังคำกล่าวที่ว่าเคล็ดลับไม่แพร่งพรายสู่คนนอก หากรู้แต่แรกว่าสิ่งที่ซย่าเสี่ยวฉงจะถ่ายทอดแก่ตนเป็นวิชาลับพิทักษ์เผ่าเช่นนี้ หลินสวินคงปฏิเสธตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน


เพียงแต่เห็นชัดว่าตอนนี้สายเกินกว่าจะปฏิเสธเสียแล้ว


“พี่หลินสวิน ท่านรีบลองดูเร็วเข้า” ดวงหน้าบริสุทธิ์ของซย่าเสี่ยวฉงฉายแววรอคอย


“เอ่อ…”


หลินสวินอึ้งงัน ทิ้งความกังวลไว้เบื้องหลัง พยักหน้าและกล่าวว่า “ก็ได้”


ฮูม~!


จากนั้นไม่นานแสงเรืองรองไหววูบ หลินสวินกลายร่างเป็นนกสีเขียวตัวหนึ่งทันที เพียงแต่ยังมีแขนขาของมนุษย์ หนำซ้ำส่วนหัวก็มีผมยาวปกคลุมอยู่ ดูแล้วเหมือนมนุษย์วิหค เห็นชัดว่าไม่เข้าท่า แปลกประหลาดเป็นที่สุด


ซย่าเสี่ยวฉงเบิกตาโพลงทันที จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า


หลินสวินทำตัวไม่ถูกไปพักหนึ่ง ประยุกต์ใช้เคล็ดลับ กลายร่างเป็นต้นสนโบราณต้นหนึ่ง แต่ก็ยังแปลกประหลาดมากอยู่ดี ลำต้นเรียวเล็กมากเกินไป หนำซ้ำบนกิ่งก้านก็ยังมีหัวห้อยอยู่ น่าสยดสยองอย่างเห็นได้ชัด


ซย่าเสี่ยวฉงหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว…


ในใจหลินสวินรู้สึกอักอ่วนมากขึ้นทุกที เขาแปลงร่างต่อไป มีทั้งก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า นก สัตว์สี่เท้า แมลง…


ทว่าทั้งหมดกลับไม่สมประกอบ คนโง่ยังดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


ท้ายที่สุด กลิ่นอายรอบกายของหลินสวินพวยพุ่งขึ้นมาระลอกหนึ่ง รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับต่างจากเมื่อก่อนราวกับคนละคน


ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือกลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้โดดเด่นและหลุดพ้นเฉกเช่นเมื่อก่อน ตรงข้ามกลับเรียบง่ายสมถะประดุจโขดหิน ดูธรรมดาสามัญยิ่ง


เวลานี้กระทั่งซย่าเสี่ยวฉงยังอึ้งงัน กล่าวว่า “แบบนี้ค่อยยังชั่ว ดูแล้วคลับคล้ายคลับคลา แต่เมื่อสังเกตโดยละเอียด ไม่ว่าใครก็คงไม่สงสัยว่าท่านคือเทพมารหลิน”


หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก เขารู้ว่าด้วยข้อจำกัดทางสายเลือดของตัวเอง จึงฝึกฝนเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้ถึงแค่นี้เท่านั้น หากฝึกต่อไปก็เสียแรงเปล่า


เว้นเสียแต่วันใดวันหนึ่งเขาเหยียบย่างบนอริยมรรคอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้นคงบรรลุหมื่นวิชา สามารถขับเคลื่อนปริศนาแห่งเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“เป็นเช่นนี้ก็ดี จากนี้ไปอย่างน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงสายตาสอดแนมของพวกเผ่าวาทวาโยพวกนั้นได้…” หลินสวินลอบกล่าว



สามวันให้หลัง ณ แคว้นหงส์สถิต


หลินสวินบังคับยานสมบัติเข้าสู่เมืองแห่งหนึ่ง สืบข่าวพอประมาณแล้วพาซย่าเสี่ยวฉงตรงดิ่งจากไป


เขาบรรพตเขียวตั้งอยู่นอกเมืองล้อมเมฆินทร์ในแคว้นหงส์สถิต มีชื่อเสียงอย่างมากในท้องถิ่น


สาเหตุก็เพราะเขาบรรพตเขียวมีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นกำเนิดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว


เพียงแต่เมื่อนานมาแล้วเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเคยโจมตีเขาบรรพตเขียวอย่างหนัก หมายล้างบางคนในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ก่อให้เกิดศึกนองเลือดที่กินเวลานานหลายร้อยปี


สุดท้ายเขาบรรพตเขียวอันกว้างขวางกลายเป็นพื้นที่รกร้างอย่างสิ้นเชิง


ตอนนี้แม้เขาบรรพตเขียวยังคงอยู่ ทว่าเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากยอดเขาแห้งแล้งลูกหนึ่ง


ทว่าหลินสวินไม่คิดเช่นนั้น ตอนที่อยู่ในนครเตโช ลิ่นเหวินจวินอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงเคยบอกเอาไว้ว่าต้องพาซย่าเสี่ยวฉงมาส่งที่นี่ เมื่อถึงเวลาจะมีคนมาพบ


อีกอย่าง หลินสวินจะไปแดนชัยบูรพาได้หรือไม่ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘คนผู้นี้’ ด้วย


ไม่กี่ชั่วยามให้หลัง


นอกเมืองล้อมเมฆินทร์ หน้าเนินเขารกชัฏ หลินสวินพาซย่าเสี่ยวฉงมาถึงสถานที่แห่งนี้


เพียงแต่ยามมองเห็นเนินเขาบรรพตเขียวที่มีชื่อเสียงลูกนี้อย่างแท้จริง หลินสวินก็อดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้


รกร้างเกินไปแล้ว!


แนวเขาสูงหลายพันจั้ง ทุกอณูคือวัชพืชรกร้าง ในนั้นมีรอยแยกผาชันด้านหนึ่ง รอยแยกราบเรียบ ยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังเหลือทิ้งไว้


ราวกับว่าเมื่อนานมาแล้วเคยมีคนผ่าภูเขาแห่งนี้ด้วยกระบี่ ทำให้เขาบรรพตเขียวถูกตัดราบเรียบ ทิ้งไว้เพียงภูเขารกร้างที่ไม่เหลือเค้าเดิมลูกหนึ่งเท่านั้น


หลินสวินยากจะจินตนาการจริงๆ ว่าภูเขาลูกนี้ที่เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวอาศัยอยู่ วิวทิวทัศน์ในตอนแรกจะเป็นอย่างไร


ตะวันสายัณห์ทอแสง เงาหญ้ากระจัดกระจายบนพื้นดิน


หลินสวินแผ่จิตรับรู้หมายเสาะหาโดยถี่ถ้วน ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาพลันหดรัด เก็บจิตรับรู้อย่างเงียบๆ


ไม่จำเป็นต้องค้นหา เพราะชั่วขณะที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ บนเขาบรรพตเขียวอันเวิ้งว้างแห่งนั้นพลันมีเงาร่างหลายสิบสายปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศ


ชายหล่อหญิงงาม แต่ละคนต่างทรงสง่าเหนือธรรมดา


เมื่อพวกเขาเห็นหลินสวิน ชายหญิงเหล่านี้ต่างขมวดคิ้วมุ่น ทว่ายามเห็นซย่าเสี่ยวฉง หว่างคิ้วของพวกเขาจึงฉายแววตื่นเต้นออกมา คล้ายกับจดจำตัวตนของฝ่ายหลังได้


แต่หลินสวินกลับตกใจเล็กน้อย เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายในเขาบรรพตเขียวที่รกร้างหาใดเปรียบแห่งนี้ มีระลอกคลื่นยักษ์เก่าแก่คลุมเครือเป็นที่สุดประการหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ น่ากลัวถึงขีดสุด


เมื่อครู่ชายหญิงเหล่านี้เดินออกมาจากค่ายกลใหญ่!


‘ดูเหมือนว่าในเขาแห่งนี้ยังซุกซ่อนเขตแดนอื่น ซ้ำยังมีค่ายอริยะคอยคุ้มครองอยู่…’


หลินสวินคล้ายใคร่ครวญ


“เสี่ยวฉง!”


ทันใดนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง พริบตาที่มองเห็นซย่าเสี่ยวฉง ถึงกับร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตื่นเต้น


นี่คือฮูหยินที่งดงามผู้หนึ่ง ผมขาวดุจหิมะ รูปร่างเพรียวยาวอ้อนแอ้น นัยน์ตาพราวระยับ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาปานมันแพะ ดวงหน้าเปี่ยมเสน่ห์งามวิไล ท่วงท่าสง่างามโดดเด่น


“ท่านย่าสาม!” ซย่าเสี่ยวฉงเบิกตากว้างเช่นกัน มีท่าทีประหลาดใจและคาดไม่ถึง


หลินสวินกลับลอบเหงื่อตก หญิงสาวรูปงามเลอโฉมเหนือปวงชน ท่วงท่าน่าหลงใหลเช่นนั้น ถึงขั้นเป็นบุคคลระดับ ‘ท่านย่า’ ไปเสียแล้ว


จากนั้นฮูหยินงดงามก็ก้าวมาข้างหน้าพูดคุยกับซย่าเสี่ยวฉง สีหน้าท่าทางเปี่ยมด้วยแววตื่นเต้นและทอดถอนใจไม่สิ้นสุด


ชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มนั้นต่างเดินล้อมเข้ามา มองสำรวจซย่าเสี่ยวฉงด้วยความสงสัยใคร่รู้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นซย่าเสี่ยวฉงเช่นกัน


จากการพูดคุยของพวกเขา ทำให้หลินสวินเข้าใจได้ว่าฮูหยินงดงามผู้นั้นนามว่าลิ่นไท่เจิน เป็นบุคคลรุ่นอาวุโสของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว


“เสี่ยวฉง เจ้ากลับมาแล้วก็ดี จากนี้ไปย่าจะไม่ให้เจ้าทนทุกข์อีกต่อไป” ลิ่นไท่เจินสีหน้าเมตตา


“ท่านย่าสาม นี่คือพี่หลินสวินเจ้าค่ะ”


ซย่าเสี่ยวฉงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามัวแต่พูดคุยสนทนา กลับละเลยหลินสวินที่อยู่ข้างกาย นางกระวีกระวาดแนะนำทันที


“พี่หลินสวิน นี่คือท่านย่าสามของข้า ตอนยังเล็กนางมักไปหาข้าบ่อยครั้ง และดีกับข้ายิ่งนัก”


“คารวะผู้อาวุโส” หลินสวินคำนับ


ลิ่นไท่เจินพยักหน้า เก็บรอยยิ้มมีเมตตา สายตาที่มองหลินสวินเจือแววดุดันอย่างยากสังเกต ก่อนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย


นางเอ่ยปาก “พ่อหนุ่ม ขอบคุณเจ้ามากที่คุ้มครองเสี่ยวฉงกลับมา เผ่าข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า จะตอบแทนและชดเชยให้เจ้าอย่างเต็มที่”


“ท่านย่าสาม พี่หลินสวินส่งข้ากลับมา ไม่ใช่เพื่อการตอบแทนและชดเชยอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ” ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยแก้


หลินสวินถอนหายใจในใจ เด็กโง่คนนี้ เห็นชัดว่าฟังไม่ออกถึงความหมายแฝงในน้ำเสียงของลิ่นไท่เจิน


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ลิ่นไท่เจินยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เสี่ยวฉง เจ้าไปพักผ่อนด้านข้างก่อนสักประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพี่หลินสวินของเจ้าเสียหน่อย”


ซย่าเสี่ยวฉงอึ้งไป กลับเห็นหลินสวินกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไปเถอะ ข้าเองก็มีเรื่องอยากพูดกับท่านย่าสามของเจ้าอยู่พอดี”


พี่หลินสวินของเจ้า…


ท่านย่าสามของเจ้า…


บทสนทนานี่ฟังอย่างไรก็น่าอึดอัดชอบกล


น่าเสียดาย ซย่าเสี่ยวฉงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางร้องอ้อหนึ่งที แล้วไปนั่งบนโขดหินห่างออกไปอย่างว่าง่าย


ชายหนุ่มหญิงสาวของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวเหล่านั้นเห็นดังนี้ต่างพากันแห่ห้อมเข้าไป เริ่มทักทายปราศรัยซย่าเสี่ยวฉงทันที


“ผู้อาวุโส เป็นท่านพูดก่อนหรือข้าพูดก่อนดี”


ในที่นั้นเหลือเพียงพวกเขาสองคน หลินสวินถามเจือรอยยิ้ม ตั้งแต่พริบตาที่ลิ่นไท่เจินปรากฏตัว เขาก็สัมผัสได้ว่าฮูหยินงดงามผู้นี้มีความคิดเห็นเป็นอื่นต่อตัวเอง


เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะซย่าเสี่ยวฉงเป็นฝ่ายปริปากก่อน นางจะต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการมีตัวตนของตนเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นท่าทีที่ปฏิบัติต่อตนก็แยกแยะชัดแจ้ง ค่อนข้างเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัด


เห็นว่าหลินสวินพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ แววดุดันในดวงตาของลิ่นไท่เจินก็ไม่มีการปิดบังอีกต่อไป จับจ้องหลินสวินพลางสื่อจิต ‘พ่อหนุ่ม เจ้าพาเสี่ยวฉงกลับมาส่ง เผ่าข้าย่อมซาบซึ้งอย่างที่สุด จะต้องตอบแทนเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เจ้าโปรดจำไว้ นับแต่นี้ต่อไปเจ้ากับเสี่ยวฉงจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กันอีก ทางที่ดีอย่าได้มีความคิดเพ้อพกอื่นอีกเป็นดีที่สุด’


‘ความคิดเพ้อพก?’ หลินสวินเลิกคิ้ว ‘คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร’


ลิ่นไท่เจินดูคล้ายไม่ใคร่สบอารมณ์ หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความเฉยชา ‘อยากให้ข้าพูดตรงๆ หรือ ก็ดี เจ้าควรรู้ว่าเสี่ยวฉงเป็นธิดาเทพของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้า ฐานะและตำแหน่งโดดเด่นหาใดเปรียบ ใช่ว่าใครจะถวิลหาได้ตามอำเภอใจ ตอนนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วว่าควรทำอย่างไร’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)