Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 830-835

 ตอนที่ 830 ดุจอริยะจรจรัล

จบความแค้นหรือ


นี่หมายความว่าอย่างไร


โก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงไม่ได้โง่เขลา ก่อนหน้านี้เป็นเพราะถูกสั่นคลอนจึงควบคุมความรู้สึกไม่ได้ แต่เวลานี้เมื่อใคร่ครวญเล็กน้อยก็ได้สติกลับมา


ในใจพวกเขาตื่นกลัว กลิ่นอายเจ้าเด็กนั่นก็หายลับไปภายในถ้ำนั้น ส่วนสตรีทรงอำนาจหาใดเทียบผู้นี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เดินออกมาจากถ้ำนั้นหรอกหรือ


นี่เป็นการออกหน้าแทนเด็กนั่นหรือ


เมื่อคิดถึงตรงนี้ทั้งสองคนก็รู้สึกอัดอั้นแทบพังทลาย จะคิดได้อย่างไรว่าเพียงแค่ตามสังหารเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่งเท่านั้น กลับไปล่วงเกินผู้ทรงฤทธิ์เช่นนี้ได้


“ผู้อาวุโส นี่เป็นการเข้าใจผิดขอรับ!”


โก่วหยางป๋อเหงื่อออกไปทั้งหัว ร้องขอชีวิตอย่างกริ่งเกรง


สวบ!


แต่โก่วหยางทงกลับหนีไปแล้ว เขาดูออกว่าต่อให้ร้องขอชีวิตไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรเสียพวกเขาก็ตามฆ่าเจ้าเด็กนั่นมาตลอดทาง


ในสถานการณ์เช่นนี้จะยังมีทางให้หันหลังกลับได้เสียที่ไหน


ดังนั้นโก่วหยางทงจึงหนีทันทีโดยไม่ลังเล อีกทั้งยังใช้พลังทั้งหมดที่มี เงาร่างหายวับ ทั้งร่างมีแสงกาฬพลุ่งพล่าน แปรสภาพเป็นสุนัขสวรรค์มายาทมิฬยาวถึงร้อยจั้งเสียงดังโครมคราม สั่นสะเทือนห้วงอากาศให้แหลกสลาย ท่าทางหนีเอาชีวิตรอด


“เจ้า…” โก่วหยางป๋อเดือดดาล เขาตกตะลึง ไม่อาจคาดคิดได้ว่าอีกฝ่ายกลับทิ้งตนไปได้


ทั้งร่างของหญิงสาวโอบล้อมไปด้วยรัศมีเทพงดงามสะดุดตาสายแล้วสายเล่า ราวกับสายโซ่มีระเบียบ นางสีหน้าเรียบเฉย แม้จะเห็นโก่วหยางทงหนีไป สีหน้าก็ไม่หวั่นไหวตื่นตระหนก


“หนีไปสุดขอบฟ้าแล้วอย่างไรเล่า หนีความตายไม่พ้นอยู่ดี…”


หญิงสาวยื่นมือเรียวงามเปล่งปลั่งข้างหนึ่งบีบเบาๆ ไปในอากาศ


การเคลื่อนไหวตามใจนึกและเป็นธรรมชาติ


แต่ห่างออกไปหลายพันลี้ โก่วหยางทงที่กำลังหนีอย่างบ้าคลั่งกลับค้นพบอย่างตื่นตะลึงว่าร่างของตนกลับกำลังถอยหลัง!


เขายิ่งหนีไวขึ้นเท่าไรก็ถอยหลังเร็วขึ้นเท่านั้น!


“ไม่…!”


โก่วหยางทงตื่นตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดออกมา หวาดกลัวสุดขีด ส่งเสียงร้องคำรามลั่นฟ้า


ถึงกระนั้นที่ทำให้เขาสิ้นหวังก็คือ เขาเป็นถึงบุคคลระดับราชัน เวลานี้กลับประหนึ่งมดตัวจ้อย ไร้พลังดิ้นรนหรือต้านทาน!


ทำได้เพียงเบิกตามองตัวเองถอยหลังไป… ถอยหลังไป…


แต่ในสายตาของโก่วหยางป๋อแล้ว กลับเห็นเป็นอีกภาพหนึ่ง


ร่างมหึมายาวร้อยจั้งของโก่วหยางทงนั้นกลับหดเล็กลงไม่หยุด กระทั่งภายหลังถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นเล็กเท่ามด ถูกหนีบเข้าไประหว่างสองนิ้วของสตรีลึกลับนางนั้น!


เฮือก!


โก่วหยางป๋อสูดหายใจเย็น สับสนงงงวยไปหมดแล้ว นี่เป็นวิชาไร้เทียมทานชั้นไหนกัน เหตุใดถึงมีพลานุภาพน่ากลัวเหลือเชื่อเช่นนี้


บุคคลระดับระชันดุจดังมด!


ภาพนี้ไม่ใช่การเปรียบเปรย แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว!


“อ๊าก!”


ไม่ทันที่โก่วหยางป๋อจะมีปฏิกิริยา ร่างของเขาก็ถูกจับไปอย่างเสียการควบคุมเช่นกัน จนอดส่งเสียงคำรามพรั่นพรึงไร้ทางสู้ไม่ได้


เวลานี้ หากมีโอกาสเลือกใหม่อีกครั้ง ต่อให้ให้เขามีจิตใจกล้าหาญร้อยดวงก็จะไม่ไปตามฆ่าหลินสวินอีกเด็ดขาด


น่าเสียดาย มาเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น สัตว์ประหลาดระดับราชันสองคนก็หายไปจากที่นั้น


ส่วนในฝ่ามือของหญิงสาวผู้นั้น กลับมีสุนัขสีดำขนาดเท่ามดสองตัวกำลังดิ้นรนเห่าหอนอย่างคลุ้มคลั่ง แต่เสียงกลับเบานัก ไม่ได้ยินเลย


ภาพนี้ช่างสั่นสะท้านใจคนเกินไปแล้ว!


ราชันที่ผงาดผยองเหนือพลังปราณห้าระดับสองคน กลับถูกหยิบขึ้นเหมือนต้นหญ้า ราวกับมดที่ไม่อาจสลัดพ้นนิ้วมือของหญิงสาวผู้นั้น!


ประหนึ่งวิชาลับไร้เทียมทานยุคบรรพกาลในตำนาน… จักรวาลปลายหัตถ์!


หากภาพนี้กระจายออกไปต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตแน่!


“ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ระดับราชันในตอนนี้อ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ ขนาดเมล็ดพันธุ์แห่งมรรคยังไม่รวมตัวกันเลย มีดีเพียงเปลือกนอกจอมปลอม…”


หญิงสาวอึ้งไป ในความทรงจำของนาง อานุภาพของระดับราชันสามารถกลับภูเขาพลิกสมุทร คำรามก้องจักรวาล ทรงพลังและโอหัง เดิมไม่ควรอ่อนแอเช่นนี้


“ดินแดนรกร้างโบราณเปลี่ยนไปดังคาด กาลเวลาผันผ่าน ที่ถูกฝังกลบไปไม่ใช่เพียงมรดกวิชา ยังมีการหายไปของพลังปราณด้วย…”


หญิงสาวทอดถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ปลายนิ้วมีแสงมรรคไหลออกมา ทำลายสุนัขทมิฬตัวเท่ามดสองตัวนั้นให้สิ้นซาก


บุคคลระดับราชันสองคนสิ้นชีพลงเช่นนี้!


ช่างง่ายดายและธรรมดาเกินไปแล้ว เหมือนขยี้มดสองตัวให้ตายโดยไม่รู้ตัว นี่น่าตื่นตะลึงสะท้านโลกายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


“เกิดดับเป็นวัฏจักร หมื่นวิชาล้วนว่างเปล่า ดินแดนเดิมยังคงอยู่ ทว่าสหายเก่ากลับไม่อาจพบเจอได้แล้ว…”


ระหว่างที่รำพัน หญิงสาวก็ก้าวเท้าออกมาครั้งหนึ่ง ภูผาธาราและผืนปฐพีสั่นสะเทือน สภาพอากาศแปรผัน แสงมงคลแผ่กระจาย เกิดเป็นปรากฏการณ์ประหลาดงดงามและยิ่งใหญ่


“สวรรค์ นี่ยังเป็นคนอยู่หรือ”


ที่ไกลออกไป ชายชราผอมแห้งราวไม้ไผ่ก็ทรุดยวบลงไปกับพื้น ดวงตาทั้งสองเลื่อนลอย


คนผู้นี้คือไป่เฟิงหลิวที่หมายจะกลายเป็นราชันแห่งข่าวสารของดินแดนรกร้างโบราณ!


เพียงแต่ในตอนนี้จิตวิญญาณของเขากลับสูญเสียการควบคุมราวต้องมนต์


ในสายตาเขา ก็เห็นว่าห้วงอากาศนั้นมีมังกรใหญ่ทะยานฟ้า หงส์เซียนม้วนตัวเกี่ยวกระหวัด เต่าดำแผ้วทาง… แสงมงคลสายแล้วสายเล่าแปรสภาพเป็นรุ้งเทพ กลายเป็นมหามรรคเจิดจรัสไม่อาจจับจ้องใกล้ๆ ได้สายหนึ่ง พุ่งทะลุเหนือห้วงนภา


ส่วนเงาร่างของหญิงสาวผู้นั้นก็ก้าวเข้าไปภายในนั้นราวจักรพรรดินีจรจรัล!


เพียงชั่วพริบตาเงาร่างของหญิงสาวก็หายไป มีเพียงแสงเทพไหววูบแผ่ไปทั่วเวิ้งนภาราวนิมิตมายา


นี่เป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่พบเห็นได้ยากในชั่วกาล ในตำนานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันล้วนบันทึกปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ไว้น้อยยิ่งนัก!


เหงื่อกาฬชโลมทั่วกาย เปียกชื้นจนรู้สึกแย่ แต่ไป่เฟิงหลิวไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาคลำใบไม้สีทองใบหนึ่งจากในอ้อมแขนออกมาอย่างเร่งร้อน


ก่อนหน้านี้เขาเคยลอบสลักไว้ หมายจะนำทุกสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้าบันทึกลงไป


เพียงแต่เมื่อเห็นใบไม้สีทองใบนั้นเขากลับงงงวยถึงที่สุด ด้านบนว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเลย สะอาดเกลี้ยงเกลาไม่มีร่องรอยสลักแม้แต่นิดเดียว!


“หรือว่า… หรือว่าท่านผู้นั้นเป็นอริยะสตรีผู้หนึ่ง”


ไป่เฟิงหลิวร้องเสียงหลงออกมา ในบันทึกบรรพชนเผ่าวาทวาโยของพวกเขา อริยเทพราวสวรรค์ ไม่อาจดูหมิ่นได้!


แม้เป็นใบไม้ต้นข่าวสารสีทอง ต่อหน้าพลังของอริยเทพก็ไม่อาจใช้ได้!


“ใต้หล้านี้จะเกิดเรื่องใหญ่ทะลุฟ้าเสียแล้ว…”


ไป่เฟิงหลิวเกิดสัญชาตญาณแรงกล้าขึ้นในใจ


แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าบุคคลไร้เทียมทานดั่งอริยะสตรีผู้นี้เป็นไปได้สูงมากที่จะเกี่ยวข้องกับเทพมารหลิน!


คราวนี้เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเตะโดนแผ่นเหล็กยิ่งใหญ่เสียแล้ว จะโชคร้ายหรือไม่


ไป่เฟิงหลิวผุดลุกขึ้น สูดลมหายใจลึก กลับมามีสภาพจิตใจไร้ความกริ่งเกรงไม่กลัวความตาย กัดฟันครั้งหนึ่งแล้วรีบจากไป


เขาจะไปสืบเสาะการเคลื่อนไหวของผู้ที่ดูเหมือน ‘อริยะสตรี’ ผู้นี้!


……


ในวันนี้แดนฐิติประจิมสั่นสะเทือนรุนแรง ผู้ฝึกปราณแต่ละล้วนหวาดผวา กดดันจนรู้สึกหายใจไม่ออก พวกเขาสังหรณ์ว่าใต้หล้านี้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น


ส่วนสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันบางตนกลับออกจากการปิดด่าน ใช้พลังทั้งหมดสืบหาข่าวคราว ก่อนหน้านี้พวกเขาก็สะท้านสะเทือน ในใจตื่นกลัว


หญิงสาวเยื้องย่างในอากาศ เงาร่างอรชร เพียงแค่หนึ่งเค่อก็ตัดผ่านร้อยเขตแคว้นกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เหมือนว่าตลอดทางมานี้ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมายขึ้นมาได้


“นั่นคือ…”


“เป็นอริยเทพเดินทางอยู่ใช่ไหม”


“สวรรค์!”


ส่วนตลอดทางนี้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันจากที่ต่างๆ ล้วนได้เห็นรอยเท้าของหญิงสาวผู้นั้น เสียดายที่กลับเลือนรางและไร้เทียมทาน ภาพนั้นปราดเดียวก็เลือนหายไป


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเหล่านั้นล้วนอกสั่นขวัญแขวน มีความกริ่งเกรงแทบจะก้มหัวกราบกราน


ครู่ใหญ่หญิงสาวหยุดอยู่หน้าภูเขาวิญญาณเก่าแก่สูงใหญ่ลูกหนึ่ง ยืนอยู่เหนือห้วงอากาศแล้วมองลงมา


ภูเขานี้เกรียงไกร ด้านบนนั้นมีหมอกเซียนตลบอบอวล ไอสีม่วงพลุ่งพล่าน ท่ามกลางแสงสายัณห์ยามเย็น อาบไล้ไปด้วยรังสีศักดิ์สิทธิ์สีทองระเรื่อ


อาคารเก่าแก่เป็นทิวแถวกระจัดกระจายอยู่ภายในนั้น ดูงดงามและเงียบสงบราวเป็นสถานที่มงคลซึ่งเป็นที่พำนักของเซียน อยู่เหนือมรรตยะ แปลกแยกจากโลกา


ภูเขานี้มีนามว่าคุนอู๋!


เรือนกระบี่เร้นปุจฉา สำนักอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมก็ตั้งตระหง่านอยู่บนนี้!


ตอนที่ 831 แค้นใจที่คนในอดีตไม่ได้เห็นข้าบ้าระห่ำ

“นางไปเรือนกระบี่เร้นปุจฉาแล้ว!”


ตลอดทางมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันไม่น้อยตามหลัง บุคคลที่ดูเหมือน ‘อริยะ’ เช่นนี้ผู้หนึ่งปรากฏบนโลกยุคปัจจุบัน จะเป็นเพราะอะไรกัน


นี่ทำให้พวกเขาสงสัย เพียงแต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้เงาร่างของนางปรากฏหน้าเขาคุนอู๋ สัตว์ประหลาดระดับราชันเหล่านี้ล้วนใจสะท้านไหว แทบงงงวย


นาง…


นี่จะทำอะไร


เขาคุนอู๋สูงตระหง่านและศักดิ์สิทธิ์ ไอสีม่วงอบอวล ผู้ฝึกปราณเรือนกระบี่เร้นปุจฉาที่อารักขาอยู่ภายในนั้น เวลานี้ล้วนขนลุกซู่ รู้สึกกดดันอย่างยิ่งยวด แข็งทื่อไปทั้งตัว หน้าเปลี่ยนสีในทันใด


ไม่นานนักเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉาก็ตื่นตระหนก นำบุคคลชั้นสูงในสำนักทั้งหมดออกมา


เพียงแต่เมื่อเห็นเงาร่างอรชรที่ยืนเด่นอยู่เหนือห้วงอากาศนั้นพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสียิ่ง ไม่อาจรักษาความสุขุมเยือกเย็นได้ ประหนึ่งเผชิญหน้ากับผู้เป็นนายเหนือหัวคนหนึ่ง


“พวกเจ้าถอยไปให้หมด!” ก็ในตอนนี้เอง กลางเขตหวงห้ามหลังเขาที่ลี้ลับที่สุดในเขาคุนอู๋ก็มีเสียงชราเสียงหนึ่งดังออกมา เผยความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง


ผู้อาวุโสชางเจิ้งก็ตื่นตระหนกเข้าแล้ว!


ในชั่วพริบตา โดยรอบเรือนกระบี่เร้นปุจฉาล้วนสั่นไหวจนไม่อาจพูนเพิ่มไปมากกว่านี้ได้แล้ว


ผู้อาวุโสชางเจิ้ง คนเก่าแก่ระดับดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นอริยะที่ชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่ง!


เพียงแต่เขาไม่ได้เปล่งเสียงมานับพันปีแล้ว แต่ตอนนี้กลับตื่นตระหนกและออกคำสั่ง ทำให้พวกเขาย่อมสั่นสะท้านอย่างมาก ทั้งรู้สึกได้ว่าเงาร่างอ้อนแอ้นที่มาอย่างกะทันหันนั้นต้องมีที่มาน่าหวาดหวั่นแน่


หาไม่แล้วจะทำให้อริยะชางเจิ้งสะทกสะท้านได้อย่างไร


หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นกลับเหมือนไม่รับรู้ททุกอย่างนี้ ดวงตาคู่นั้นของนางกวาดมองเขาคุนอู๋ สีหน้าปรากฏความเจ็บปวด


ระหว่างที่เหม่อลอยอยู่นั้น นางราวกับได้ยินเสียงหัวเราะภาคภูมิไร้ซึ่งข้อจำกัดเสียงนั้นอีกครั้ง…


‘ไม่แค้นใจที่ผู้คนในอดีตไม่เห็นข้า แต่แค้นใจที่ผู้คนในอดีตไม่ได้เห็นข้าบ้าระห่ำ!’


คนผู้นั้นในตอนนั้นสวมอาภรณ์สีขาวทั้งตัว พรสวรรค์โดดเด่น จิตใจฮึกเหิม เคยฟันแปดพันบรรพตให้สะบั้นในกระบี่เดียว อานุภาพข่มขวัญไปทั้งสิบเก้าเขตแดนของดินแดนรกร้างโบราณ


แต่กาลเวลาผันผ่าน ตอนนี้แม้แต่เขาก็ไม่อยู่แล้ว…


หญิงสาวลอบถอนใจในใจ เยื้องย่างในห้วงอากาศ มาถึงในเขาคุณอู๋อย่างฉับพลัน เงาร่างปรากฏขึ้นหน้ากระท่อมที่ทรุดโทรมหาใดเทียบหลังหนึ่ง


ระหว่างนี้ค่ายกลใหญ่ปกปักษ์ภูเขาที่เรียกได้ว่าสามารถปลิดชีพสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้นั้น กลับไม่ไหวติงแม้สักนิด


ส่วนเหล่าผู้ฝึกปราณของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาทั้งหมดต่างงงงวย สะเทือนขวัญจนอึ้งงันอยู่เช่นนั้น ภาพตรงหน้านี้เหนือธรรมดาและน่าหวาดหวั่นเกินจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว!


หินลับกระบี่ก้อนหนึ่งตั้งอยู่หน้ากระท่อม แวววาวดุจกระจก บนนั้นยังมีเจตกระบี่ไร้เทียมทานพวยพุ่ง เสียดแทงหาใดเทียบ


“ขอสหายยุทธ์หยุดก่อน นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของข้า ไม่อาจยลได้”


เสียงอริยะชางเจิ้งดังขึ้น เป็นทั้งการเตือนและบอกให้ระวัง


ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่ได้ลงมือขัดขวางไม่ให้หญิงสาวผู้นั้นเข้าสู่เรือนกระบี่เร้นปุจฉาอย่างแท้จริง นี่บ่งบอกว่าขนาดอริยะระดับเขายังรับมือไม่ไหวอยู่บ้างโดยไม่ต้องสงสัย


หญิงสาวไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จดจ้องกระท่อมที่ผ่านลมฝนจนทรุดโทรมมานานแล้วหลังนั้น ครู่ใหญ่จึงเอ่ยพึมพำว่า “สหายร่วมทางในชีวิตล้วนล้มหายตายจาก ช่างน่าห่อเหี่ยว ผู้ที่เข้าใจข้ามีแต่สหายเหล่านั้น ผ่านไปเนิ่นนานปีล้วนแก่ชรา เฉยชาต่อสรรพสิ่งในโลกา…”


น้ำเสียงเศร้าซึม ดูทดท้อใจและสิ้นหวังอย่างไร้สิ้นสุด


นางเดินมาหน้าหินลับกระบี่ก้อนนั้น ก้มหน้ามองพื้นผิวหน้าหินที่ราวกับกระจก คลับคล้ายสะท้อนเงาร่างสูงใหญ่ซึ่งโดดเด่นในยุคสมัยนั้น


นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมืองามข้างหนึ่งออกไป หมายจะลูบหินลับกระบี่ก้อนนั้น


“สหายยุทธ์หยุดมือ!”


เสียงของอริยะชางเจิ้งพลันดังขึ้น เจือไปด้วยแรงกดดันลี้ลับที่น่ากลัว


ชั่วพริบตาทั้งเขาคุนอู๋ก็สั่นระริก เวิ้งฟ้าสภาพอากาศแปรผันในทันใด กลิ่นอายพาให้ผู้อื่นหายใจไม่ออกตลบอบอวลมาด้วย


นี่เป็นโทสะแห่งอริยะ เมื่อในใจครุ่นคิด จักรวาลก็แปรเปลี่ยนโดยง่าย ภูผาธาราล้วนสั่นไหว


มองจากที่ไกลออกไป ทั้งเขาคุณอู๋ปกคลุมไปด้วยพลังลี้ลับน่าครั่นคร้ามชั้นหนึ่ง ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้เคียงภายในหมื่นลี้ล้วนสั่นระรัว แทบจะอ่อนยวบลงไปกับพื้น


สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่ตามมาด้วยบางคนล้วนสั่นเทาไปทั้งตัว สีหน้าตื่นตะลึง นี่เป็นพลานุภาพของอริยมรรคที่แท้จริง!


หรือว่าอริยะชางเจิ้งแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาจะลงมือต่อกรหญิงสาวลี้ลับผู้นั้น


หน้ากระท่อมทรุดโทรม หญิงสาวมุ่นคิ้ว ราวกับในที่สุดก็ออกจะหมดความอดทนแล้ว ปลายนิ้ววาดออกไปเบาๆ


เจตกระบี่ปรากฏขึ้น ด้านบนพุ่งทะลุเก้าชั้นเมฆ ด้านล่างกดลงมายังคุนอู๋!


โครม!


พลังกดทับของอริยะที่ปกคลุมอยู่เดิมในฟ้าดินบริเวณนี้ ระเบิดสลายเป็นเสียงอึกทึกที่สะท้านสะเทือนจนหูแทบหนวก กระเซ็นกระสายรอบทิศราวกระแสวารี


ในขณะเดียวกันอริยะชางเจิ้งก็ส่งเสียงอึดอัด เหมือนรู้สึกเสียเปรียบไม่น้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ร้องออกมาอย่างฉงนว่า “ฟันหมู่เมฆานิรันดร์ได้ในกระบี่เดียว! เหตุใดเจ้าถึงใช้มรดกตกทอดของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของข้าได้”


น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


หญิงสาวกลับไม่สนใจเขาอีก ใช้ปลายนิ้วลูบลงบนหินลับกระบี่นั้นเบาๆ สีหน้าแฝงไปด้วยความทดท้อ เอ่ยทอดถอนใจเบาๆ ว่า “เวิ่นเสวียนนะเวิ่นเสวียน ผู้คนในโลกยกย่องให้เจ้าเป็นมหาจักรพรรดิแห่งวิถีกระบี่ แต่แล้วอย่างไรเล่า ผ่านไปนับหมื่นนับพันปี สรรพสิ่งในโลกมนุษย์ล้วนกลายเป็นว่างเปล่าอย่างที่เจ้าเคยว่าไว้แต่แรกอยู่ดี!”


พอพูดจบนางก็หันกาย ไม่มองดูกระท่อมทรุดโทรมกับหินลับกระบี่นั้นอีก แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว


“สหายยุทธ์โปรดหยุดก่อน!”


อริยะชางเจิ้งส่งเสียงรั้ง เขาตระหนักว่าเป็นไปได้สูงที่สตรีนางนี้จะมีความสัมพันธ์กับ ‘จักรพรรดิกระบี่เวิ่นเสวียน’ ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของพวกเขา!


เพียงแต่นางจากไปอย่างรวดเร็ว ลับไปในเวิ้งฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลนานแล้ว


วันนี้เขาคุณอู๋สั่นสะเทือน ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาไหวสะท้าน ส่วนข่าวที่เกี่ยวข้องกับการปรากฏกายของอริยะชางเจิ้งยิ่งม้วนตลบออกไปอย่างครึกโครมในแดนฐิติประจิมราวพายุ


สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่ได้เห็นทุกอย่างนี้ล้วนชาหนึบไปทั้งหัว ขนาดอริยะชางเจิ้งยังไม่อาจรั้งหญิงสาวผู้นั้นได้ นี่ช่างน่าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว


…….


ห้วงอากาศที่มีรุ้งเทพทะลวงไปทั่วอย่างงดงามยาวออกไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ หงส์เซียนว่ายวน เจินหลงทะยานฟ้า แสดงให้เห็นความน่าเกรงขามเจิดจรัสหาใดเทียม ราวกับจักรพรรดินีจรจรัล


หญิงสาวเดินเยื้องย่าง มองภูผาธาราและผืนพสุธาไปทั่ว รอยเท้าเลื่อนลอย ชั่วพริบตาก็ห่างออกมาหลายหมื่นลี้ กว้างใหญ่ไพศาล จิตวิญญาณไม่ประหวั่น


ไม่นานนักนางก็มาถึงหน้าแม่น้ำแบ่งเขตแดนสายหนึ่ง กระแสธารสีเงินเกรียงไกรม้วนกลับลงมาจากเวิ้งฟ้า คำรามห้อตะบึงท่ามกลางห้วงอากาศ จากนั้นก็ไหลเข้าไปในแม่น้ำแบ่งเขตอันไร้ขอบเขตนั้น


มองไกลออกไป ผืนน้ำและท้องฟ้าเชื่อมกัน ยิ่งใหญ่และเชี่ยวกราก เหมือนแม่น้ำสายหนึ่งเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเหมือนมหาสมุทรไร้ที่สิ้นสุดพาดผ่านอยู่ที่นั่นประหนึ่งฉากกั้นแห่งภพภูมิ


ภายในแม่น้ำพรมแดน สายฟ้าฟาดโครมคราม ห้วงเวลาปั่นป่วน หลุมดำน่าพรั่นพรึงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตลอด สำแดงกลิ่นอายทำลายล้างแทบจะกลืนกินทุกอย่างออกมา


นี่ก็คือแม่น้ำพรมแดน ขวางกั้นระหว่างสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ ภายในมีความแปลกประหลาดและสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ได้มากมาย ลี้ลับและน่าครั่นคร้าม


เคยมีราชันที่แท้จริงลองข้ามแม่น้ำพรมแดนนี้ดู เมื่อถึงโลกอีกฟากฝั่งกลับสิ้นชีพระหว่างทาง ไม่เหลือซากศพ


ว่ากันว่าสิ่งที่สังหารราชันผู้นี้เป็นเพียงปลาลี้ฮื้อแดงที่รูปลักษณ์ไม่สะดุดตาตัวหนึ่งเท่านั้น!


แต่ข่าวลือทำนองนี้ก็ไม่ได้มีน้อย ทำให้แม่น้ำพรมแดนกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งโดยสิ้นเชิง แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่ต้องการเหยียบย่างเข้าไปในนั้นโดยง่าย


แขนเสื้อหญิงสาวพลิ้วไสว หยุดยืนริมฝั่งแม่น้ำพรมแดน ทั้งกายอบอวลไปด้วยรุ้งเทพราวสายโซ่เทวะเป็นระเบียบ เพียงลุกขึ้นยืนตามสบายเท่านั้น กลับบีบให้คลื่นน้ำสีเงินที่ไหลเชี่ยวในแม่น้ำแบ่งเขตแดนนั้นพากันถอยร่นได้!


ตู้ม!


น้ำในแม่น้ำกำลังพลิกกลับ เสียงดังราวอสนีบาต ส่วนในสมองของนางก็เหมือนมีเสียงประหัดประหารต่อสู้ดุเดือดระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้น


ทุกอย่างตรงหน้าราวกลับไปเหมือนตอนแรก ในตอนนั้นฟ้าดินสั่นสะเทือน ภูเขาศพทะเลเลือด เหล่าเทพมารข้ามฟ้ามาสู้รบดุเดือดระหว่างเก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดิน


แสงดาบเงากระบี่เกี่ยวกะหวัดกับรัศมีเทพมหามรรค เสียงคำรามดาลเดือดของเทพมารกับโพธิสัตว์กำลังห้ำหั่นกัน


ตอนนั้นเหมือนท้องฟ้ากำลังจมจ่อม ผืนพสุธายุบตัว สิ่งมีชีวิตที่ถูกดึงเข้าไปในศึกนี้ล้วนไม่อาจโชคดีมีชีวิตรอด แม้แต่พวกสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางรักษาตัวไว้ได้!


น่าสลดหดหู่เกินไปแล้ว!


กระทั่งภายหลังผู้มากความสามารถในตำนานบางคนก็ปรากฏตัว ยื่นมือสอยจันทราและดารา โจมตีเหนือฟ้าคราม…


นั่นเป็นภาพราววันสิ้นโลก!


ศึกนั้นถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ศึกแห่งการดับสูญ’


ตั้งแต่นั้นมาดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ก็ตกอยู่ในความมืดมนและพังทลาย นิจนิรันดร์ราวราตรีอันยาวนาน!


“ในสมัยนั้นน่ากลัวว่าคนพวกนั้นจะไม่รู้ว่า ดินแดนรกร้างโบราณในตอนนี้ได้กลายเป็นสี่แดนวิภูและโลกใบน้อยที่แตกออกเป็นส่วนๆ นับไม่ถ้วนแล้ว…”


ครู่ใหญ่หญิงสาวก็ถอนใจเบาๆ แล้วหันกายจากไป


กระทั่งเงาร่างของหญิงสาวหายไป ส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดนนั้นถึงมีนัยน์ตาคู่หนึ่งเบิกออก แล้วจดจ้องเบื้องหลังนางที่จากไปอยู่นาน


ในที่สุดดวงตานั้นก็ปิดลงอีกครั้งแล้วมลายหายไป


……


แคว้นคันฉ่องทมิฬ


“เพิ่งกลับจากแม่น้ำพรมแดน ชั่วหันกายก็เข้ามาในแคว้นคันฉ่องทมิฬแล้ว นางคิดจะทำอะไรกันแน่”


สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่ตามรอยหญิงสาวล้วนใจสั่นระรัว แคว้นคันฉ่องทมิฬนี้เป็นถึงอาณาเขตของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!


หลังจากหญิงสาวเข้าสู่แคว้นคันฉ่องทมิฬก็ผ่อนความเร็วลงเหมือนกำลังเสาะหาอะไรอยู่


แต่นี่กลับทำให้ผู้ฝึกปราณแต่ละเผ่าในแคว้นคันฉ่องทมิฬล้วนใจสั่นระรัว รู้สึกหวาดหวั่น กลิ่นอายที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนเช่นนั้นปกคลุมไปทั่วฟ้าดินทุกหนแห่ง แม้ว่าจะห่างไปไกลก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน!


นางจะทำอะไร


หญิงสาวข้ามผ่านแคว้นคันฉ่องทมิฬ ทำให้คนใหญ่คนโตหลายคนกระวนกระวายใจ นี่ก็เหมือนพายุไร้เทียมทานผ่านดินแดน ไม่ว่าใครได้เห็นก็ไม่อาจสุขุมเยือกเย็นได้


ผู้ฝึกปราณธรรมดาบางคนยิ่งหมอบลงไปกับพื้น บูชาอย่างจริงใจ


พลานุภาพเช่นนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว


ผ่านไปเพียงครู่เดียว เงาร่างอรชรของหญิงสาวก็ปรากฏหน้าเขาเถื่อนเมฆินทร์


เขาเถื่อนเมฆินทร์ หนึ่งในฐานที่มั่นใหญ่ซึ่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬยึดครองในแดนฐิติประจิม งดงามอัศจรรย์เกินธรรมดา เป็นแดนสมบัติถ้ำเซียนชั้นเลิศ


“ใครน่ะ”


“แย่แล้ว!”


“สวรรค์! น่ากลัวเกินไปแล้ว!”


ทันทีที่เงาร่างนั้นปรากฏขึ้น บนเขาเถื่อนเมฆินทร์ก็มีเสียงแตกตื่นเซ็งแซ่ สถาณการณ์โกลาหล


ไม่นานนักเหล่าคนใหญ่คนโตของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก็ปรากฏตัวขึ้น ล้วนมองเงาร่างอ้อนแอ้นที่ไกลออกไปนั้นด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง ในใจหวาดผวาและไม่สงบ


ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่มาถึงโดยกะทันหันผู้หนึ่ง แต่เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นกลับเหมือนผู้เป็นนายที่ควบคุมเก้าชั้นฟ้าสิบผืนดินผู้หนึ่ง พลังคุกคามที่น่ากริ่งเกรงนั้นทำให้พวกเขาไม่ว่าพลังปราณจะสูงหรือต่ำ ล้วนรู้สึกหายใจไม่ออกจนแทบหมดอาลัยตายอยาก


“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาเยือนเผ่าข้าด้วยเหตุใดหรือ”


ในที่สุดสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬผู้หนึ่งก็เดินออกมา เก็บกลั้นความหวาดหวั่นและสะพรึงกลัวในใจ สูดหายใจลึกแล้วถามออกไป


หญิงสาวสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยวาจาง่ายๆ เพียงแค่สองคำเท่านั้น “ฆ่าหมา”


ตอนที่ 832 ทวนพิฆาตมรรค

ฆ่าหมา


พูดสองคำนี้ออกมาอย่างราบเรียบ แต่กลับเหมือนคมดาบแหลมเล่มหนึ่งที่กระทุ้งเข้าไปในหัวใจของผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเหล่านั้น


สีหน้าพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นเหยเกหาใดเทียบอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ถึงการลบหลู่อย่างไร้ที่สิ้นสุด


ในใต้หล้าตอนนี้ ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกระจายไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณ แม้แต่สำนักเก่าแก่บางสำนักยังไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ


แต่ตอนนี้กลับมีหญิงสาวลี้ลับคนหนึ่งมาขวางหน้าปากทางภูเขา ปากเอ่ยวาจาเพ้อเจ้อ นี่เป็นการดูหมิ่นและล้ำเส้นเกียรติยศของเผ่าพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย


บรรยากาศกดดันหาใดเทียบ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทุกคนล้วนรู้สึกเดือดดาล


โดยเฉพาะสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่เอ่ยถามผู้นั้น เขาคิดว่าตัวเองเกรงใจมากพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคำตอบที่รอนั้นกลับเป็นสองคำนี้!


นี่ทำให้ใบหน้าชราของเขาอึมครึม อัดอั้นจนไม่น่าดู อดไม่ได้จนพูดอย่างเหี้ยมเกรียมว่า “ผู้อาวุโส หากเผ่าข้ามีอะไรล่วงเกินก็ขอให้พูดมาตรงๆ ก็ได้ เหตุใดต้องดูหมิ่นเผ่าข้าเช่นนี้เล่า แม้พลังของท่านจะเหนือธรรมดา แต่ในเผ่าข้าก็มีอริยเทพบัญชาการเช่นเดียวกัน หากต่อสู้เข้าจริงคงไม่รู้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ!”


วาจาเช่นนี้พูดออกมาอย่างแข็งกระด้างถึงที่สุด เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองว่า แม้เป็นอริยะที่แท้จริงก็ไม่ต้องการผิดใจกับเผ่าของพวกเขา


เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนอื่นๆ ก็จิตใจฮึกเหิม แน่นอน เผ่าของพวกเขานี้มีผู้อาวุโสระดับอริยเทพดูแลอยู่ บนโลกยุคปัจจุบันยังไม่เคยหวั่นกลัวผู้ใดมาก่อน!


“เฮอะ ใจหมานี่กล้าคับฟ้าดังคาดจริงๆ!”


วาจาหญิงสาวเจือไปด้วยความดูถูก เรียบเฉยถึงที่สุด


ประโยคว่าใจหมานี่กล้าคับฟ้าทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้นั้นสีหน้ายิ่งเหยเกแล้ว เขากำลังจะโต้กลับ แต่ทันใดนั้นก็แข็งทื่อไปทั้งตัว


อันตรายยากบรรยายท่วมท้นร่างกายราวกระแสน้ำไหลหลาก ทำให้เขาสะท้านไปทั้งตัว อกสั่นขวัญแขวน ลอบร้องว่าแย่แล้วในใจ


ขณะเดียวกัน ข้างหูเขาก็มีเสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็งดังขึ้น…


“ฆ่าหมา เริ่มจากเจ้าก่อนแล้วกัน”


ภายใต้สายตาจับจ้องนับไม่ถ้วน ก็เห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นยื่นมืองามเรียวยาวขาวสะอาด เปล่งปลั่งแทบจะสมบูรณ์แบบข้างหนึ่งออกมา แล้วคว้ากลางห้วงอากาศง่ายๆ


พรวด!


จู่ๆ ร่างของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้นั้นก็ระเบิดออกเหมือนแมลงที่ถูกบี้แหลก แปรสภาพเป็นหมอกโลหิตเต็มฟ้า ย้อมห้วงอากาศให้เป็นสีแดง!


นี่เป็นถึงราชันผู้หนึ่ง โอหังเหนือทั่วสารทิศ อานุภาพคับฟ้า แต่ตอนนี้กลับไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกสังหารคาที่!


ชั่วขณะหนึ่งผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทั้งบนล่างเขาเถื่อนเมฆินทร์พากันงงงวย เดิมทีพวกเขาไม่หวาดกลัว คิดว่าต่อให้อริยะที่แท้จริงมาเยือนก็ไม่กล้าเปิดฉากสังหารใหญ่สุ่มสี่สุ่มห้า


แต่ตอนนี้พวกเขาแทบพังทลาย!


ใครเคยเห็นภาพน่าตื่นตะลึงเช่นนี้บ้าง ราชันระดับสังสารวัฏผู้ผงาดเหนือระดับใหญ่ทั้งห้ากลับถูกกำจัดเหมือนวัชพืช


ไม่ทันได้ตอบโต้


และไม่ทันได้ร้องโหยหวน


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้อง ถูกบี้ตายเหมือนแมลงไปทั้งอย่างนั้น!


นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว!


คนใหญ่โตเหล่านั้นล้วนสะท้านขวัญขนลุกเกรียว ส่วนฝีมือพวกธรรมดาในเผ่ายิ่งตกใจจนร่างกายอ่อนยวบลงไปกับพื้น อกสั่นขวัญหาย


แต่ไม่ว่าเป็นใคร ในใจต่างก็มีความคิดเดียวกันผุดขึ้นมา…


วันนี้เกรงว่าเผ่าของพวกเขาจะประสบเคราะห์ใหญ่หลวงที่ไม่เคยมีมาก่อน!


ดังคาด หญิงสาวเคลื่อนไหวแล้ว เงาร่างของนางคลุมเครือไม่ชัดเจน ถูกโซ่เทพเป็นระเบียบงดงามและเจิดจรัสพันพัว อานุภาพพุ่งทะลุเก้าชั้นฟ้า ขย่มขวัญทุกหย่อมหญ้า ก้าวเท้าออกไปก้าวเดียววายุเมฆาโหยหวน ห้วงอากาศเกิดเสียงโครมครามน่าครั่นคร้าม


รัศมีเทพไร้ที่สิ้นสุดเปล่งประกายราวละอองแสงเซียนโบยบิน ลอยละล่องเหนือเงาร่างราวนิมิตมายานั้นของหญิงสาว ชั่วพริบตานั้นฟ้าดินบริเวณนี้ก็เกิดปรากฏการณ์อันแล้วอันเล่า


ทั้งเจินหลงร้องคำราม หงส์เซียนกระพือปีก เต่าดำกลืนสมุทร… ทั้งยังมีมารเทพโหยหวน เสียงธรรมครั่นครื้น ราวกับอสนีเทพระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่กระจาย


พรูดๆๆ!


เขาเถื่อนเมฆินทร์กำลังถล่ม หมอกโลหิตวงแล้ววงเล่าระเบิดออกบนร่างผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬในภูเขา ราวประทัดที่เรียงกันแน่นขนัด


นองเลือด


งดงาม


น่าพรั่นพรึง!


ก้าวเดียว ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอย่างน้อยหลักพันในที่นั้นก็ถูกสังหาร!


ภาพนองเลือดเช่นนั้นช่างประหนึ่งนรกปรากฏขึ้นในโลกา ฟ้าดินบริเวณนี้ล้วนมีสีแดงฉานไปหมด


“ไม่…!”


“น่าชังนัก!”


“เจ้ากล้า!”


“อย่านะ…!”


เสียงร้องแหลมน่าหดหู่และหวาดหวั่นดังขึ้น พวยพุ่งไปในฟ้าดิน ทำให้ที่นี่เหมือนโรงฆ่าสัตว์ พาให้ชาหนึบไปทั้งหัว


ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬบางคนจะหลบหนี แต่กลับถูกรัศมีเทพสายแล้วสายเล่ากวาดโดน ร่างกายเผาไหม้จนระเหยไปในอากาศ ขนาดเถ้ากระดูกยังไม่หลงเหลือ


ส่วนผู้แข็งแกร่งบางคนก็คุกเข่ากับพื้นร้องขอชีวิต แต่ต่อให้ทำเช่นนี้ก็ยังไม่อาจหลีกหนีจุดจบที่ถูกฆ่าตายได้ดังเดิม!


นี่น่าครั่นคร้ามเกินไปแล้ว


สถานที่พันลี้ที่มีเขาเถื่อนเมฆินทร์เป็นศูนย์กลางถูกพลังน่ากลัวหาใดเทียบผนึกไว้ ในฟ้าดินบริเวณนี้ สตรีผู้นั้นประหนึ่งนายเหนือหัว เพียงดีดนิ้วก็ทำลายทุกอย่างเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน!


อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งทั่วไป แม้แต่คนใหญ่คนโตอย่างราชันกึ่งระดับและสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน ในตอนนี้ก็ดูเล็กจ้อยร่อยราววัชพืช ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์


หญิงสาวผู้นั้นเหนือธรรมดาและศักดิ์สิทธิ์เกินไปแล้ว ทั้งกายอาบชโลมด้วยแสงธรรมเจิดจรัส พร่าเลือนและอรชรดูไม่เหมือนผู้คนในโลก แต่เหมือนเทวดาองค์หนึ่งมองเหยียดหยันลงมายังเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ควบคุมความเป็นความตายของสรรพชีวี!


ตูม!


เขาเถื่อนเมฆินทร์ถล่มลง หมอกโลหิตเบ่งบานดอกแล้วดอกเล่า รุ้งเทพโชติช่วงปกคลุมไปทั้งพื้นที่ ตั้งแต่เริ่มจนจบนางทำเพียงก้าวออกไปก้าวเดียวเท่านั้น


ทว่าก้าวนี้ กลับสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!


……


“สวรรค์ ข้าเห็นอะไรเข้า เพียงผู้เดียวเท่านั้น กลับเหยียบย่ำเขาเถื่อนเมฆินทร์จนสลาย บุกสังหารเข้ามายังอาณาเขตของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!”


“ต่อหน้านาง ระดับราชันถูกปลิดชีพตามใจนึกราววัชพืช นาง… เป็นใครกันแน่ ทั้งมีพลังปราณเพียงใดกัน”


“น่ากลัวไปแล้ว! เข้าออกเขาคุนอู๋เหมือนเข้าเขตแดนไร้ผู้คน ขนาดอริยะชางเจิ้งแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉายังไม่กล้าฝืนรั้ง และตอนนี้ยังบุกเข้ามาในเขาเถื่อนเมฆินทร์ นี่หมายจะกระทุ้งฟ้าให้แตกรึ!”


ห่างออกไปจากเขาเถื่อนเมฆินทร์ไกลสุดลูกหูลูกตา ผู้แข็งแกร่งระดับราชันกลุ่มหนึ่งที่ตามมาล้วนศีรษะชาหนึบ จิตวิญญาณสั่นระริก รู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


แข็งแกร่งไปแล้ว!


แม้เป็นเพียงการมองจากที่ไกลๆ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกแทบหายใจไม่ออก ไม่กล้าคาดคิดเลยจริงๆ ว่าหากเผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้นั้นจะน่าหวาดผวาและกดดันเช่นไร


นางเป็นใครกันแน่


ไม่มีผู้ใดล่วงรู้!


แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้า ทันทีที่แพร่งพรายออกไปยังโลกภายนอกจะก่อให้เกิดแรงสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่!


ความน่าเกรงขามและพลังราวอริยเทพเช่นนี้สามารถทำให้ผู้อื่นตกใจจนตายได้ ที่ต้องรู้ก็คือ ในดินแดนรกร้างโบราณในปัจจุบัน บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่ล่วงรู้กันนั้นมีเพียงอริยะ


แต่พลังของหญิงสาวผู้นี้แม้ไม่อาจดูออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องไม่อ่อนแอกว่าบุคคลระดับอริยะแน่!


เวลานี้ทั้งแคว้นคันฉ่องทมิฬตกอยู่ในความสั่นสะเทือน ผู้ฝึกปราณมากมายก็รู้สึกถึงกลิ่นอายไร้เทียมทานที่น่าครั่นคร้ามหวาดผวา


พวกเขากระวนกระวายอยู่ไม่สุข ไม่รู้ชัดว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่


แต่พวกเขากลับคาดการณ์ได้ว่า ภายในแคว้นคันฉ่องทมิฬวันนี้จะต้องมีเรื่องใหญ่น่าสยดสยองสะท้านฟ้าดินเกิดขึ้นแล้ว!


……


เพียงครู่เดียวเท่านั้นการต่อสู้ก็ปิดฉากลง


เขาเถื่อนเมฆินทร์ที่สูงหลายพันจั้ง งดงามอัศจรรย์เหนือธรรมดา แต่ตอนนี้กลับถูกทำลายจนกลายเป็นที่ราบ นองเลือดและยับเยินไปทั่ว


ยังผ่านไปไม่นาน ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันบางคนถึงเพิ่งกล้าเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง


“สวรรค์!”


หลังจากเห็นภาพน่ากลัวตรงหน้าอย่างชัดเจน สัตว์ประหลาดเฒ่าที่เห็นโลกมาจนชินชาเหล่านี้ก็ตกใจจนอ้าปากค้าง


ที่นี่มีเลือดสดๆ คละคลุ้งไปทั่ว เศษซากเต็มไปหมด ศพนอนกระจัดกระจาย นอกจากนี้ทั้งเขาเถื่อนเมฆินทร์ก็ถูกทำลายจนถล่มราบเป็นหน้ากลอง!


“ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว!”


ผู้แข็งแกร่งระดับราชันเหล่านี้สูดหายใจเยียบเย็น เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกระจายไปทั่วดินแดนรกร้างโบราณ แม้ว่าเขาเถื่อนเมฆินทร์นี้จะเป็นเพียงหนึ่งในแหล่งพำนักของพวกเขา แต่ในแดนฐิติประจิมกลับเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจใหญ่เก่าแก่เผ่าหนึ่ง


แต่ตอนนี้ทั้งเขาเถื่อนเมฆินทร์และเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่พำนักอยู่ภายในนั้นกลับถูกทำลายจนสิ้นซาก ขนาดระดับราชันยังไม่อาจเอาชีวิตรอด!


นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับทำลายอิทธิพลที่สำนักแห่งหนึ่งสร้างขึ้น


ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงครู่เดียว และผู้ที่ลงมือนั้นกลับเป็นสตรีเพียงผู้เดียว


สตรีที่เทียบเทียมกับจักรพรรดินีโบราณผู้หนึ่ง!


ข่าวย่อมปิดไว้ไม่อยู่ เริ่มแพร่งพรายและกระจายออกไป เขาเถื่อนเมฆินทร์ถูกทำลาย ที่นี่เกิดศึกสะท้านโลกา ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬล้วนถูกสังหารสิ้น


ทันทีที่ข่าวนี้กระจายออกไปก็ก่อให้เกิดคลื่นสะท้านฟ้า ครู่เดียวก็สั่นสะเทือนทั้งแดนฐิติประจิม ทั้งโลกล้วนตื่นตระหนก สายตานับไม่ถ้วนพากันมองไปยังเขาเถื่อนเมฆินทร์ในแคว้นคันฉ่องทมิฬ สายสืบมากมายเริ่มไปสืบหารายละเอียดราวเสียสติ


ขณะเดียวกันในหมู่ภูเขาไพศาล หญิงสาวก้าวย่างไปกลางห้วงอากาศ และเริ่มย้อนกลับมาแล้ว


การเดินของนางคราวนี้ รอยเท้ากระจายไปทั่วอาณาเขตมากมายในแดนฐิติประจิม นึกใคร่ครวญถึงศึกแห่งการดับสูญคราวนั้นแล้วก็ให้ถอนใจอย่างยิ่ง


จากนั้นนางก็หันกายเหยียบย่างเข้าสู่แคว้นคันฉ่องทมิฬ ทำลายเขาเถื่อนเมฆินทร์ให้ราบเป็นหน้ากลอง กวาดล้างแหล่งพำนักแห่งหนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงไม่ถึงชั่วหนึ่งก้านธูปเท่านั้น!


จบเรื่องก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ซุกซ่อนความสามารถและชื่อเสียงเรียงนาม ล้วนเป็นเช่นนั้น


เปรี๊ยะ!


และในยามที่หญิงสาวเดินอยู่นี้เอง จู่ๆ ก็หยุดเดิน ดวงตาทั้งสองมองไปยังขอบฟ้า สีหน้าเรียบเฉยเย็นชาดังเดิม เพียงแต่หว่างคิ้วกลับมีความเคร่งครัดเพิ่มขึ้นมา


ก็เห็นว่าเหนือฟ้ากระจ่างปรากฏรอยแยกมายาที่น่าสะท้านขวัญ กลิ่นอายสังหารยากบรรยายกระจายออกมาจากคมทวน


ชิ้ง!


ชั่วพริบตานั้นราวกับมีเทพเทวาองค์หนึ่งฟื้นคืนจากคมทวน พลังสูงส่งที่ถักทอระหว่างมรรคและวิชาทิ่มแทงลงมาอย่างครึกโครม ปลายทวนชี้ไปยังหญิงสาวผู้นั้น


นางไม่ได้หลบหนี ยืนสงบอยู่เช่นนั้น


นางรู้ว่าหลบไปก็ไร้ประโยชน์ ในยุคบรรพกาลก็เคยมีผู้เทียมฟ้ามากมายถูกโจมตีด้วยคมทวน แล้วจากไปอย่างคับแค้นใจ มรรคาที่เสาะหาก็ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์


เพราะทวนนี้มีที่มาไม่แน่ชัด ราวเป็นร่างจำแลงของมหามรรค แต่กลับมีนัยถึงความอัปมงคลและความตาย!


มัน ยังถูกมองว่าเป็น ‘ทวนพิฆาตมรรค” ด้วย!


ฟุ่บ!


ตำแหน่งทรวงอกของหญิงสาวถูกแทงทะลุ นางกลับเหมือนไม่รู้สึกสักนิด เงาร่างหายวับลับไปจากอากาศ


ส่วนคมทวนนั้นไม่อาจหาเป้าหมายพบ สืบเสาะกลางห้วงอากาศครู่ใหญ่ ในที่สุดก็กลับเข้าไปในรอยแยกกลางอากาศนั้น


รอยแยกหายไปในฉับพลัน ฟ้าครามคืนสู่ความสงบราบเรียบอีกครั้ง ราวกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น


หน้าถ้ำที่เคยทำให้โก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทงตายไปอย่างคับแค้นใจ เงาร่างพร่ามัวลางเลือนเงาหนึ่งปรากฏขึ้น เทียบกับแต่ก่อนแล้วท่าทางน่าเกรงขามของนางก็ยังคงเดิม


เพียงแต่เงาร่างกลับยิ่งลางเลือนเหมือนหมอกควันเสียแล้ว ราวกับจะหายไปเมื่อไรก็ได้…


“ในที่สุดมหาสงครามก็ใกล้มาเยือนแล้ว แต่พลังพิฆาตมรรคของเจ้ายังไม่น่ากลัวพอ!”


หญิงสาวชำเลืองมองเวิ้งฟ้าด้วยสีหน้าเย็นชาครั้งหนึ่งก่อนหันกายลับไปในถ้ำนั้นอย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกัน เหนือเวิ้งฟ้าก็มีรอยแยกห้วงอากาศรอยหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอย่างเลือนราง เพียงแต่ไม่ทันปรากฏออกมาก็สงบลงอีกครั้ง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ตอนที่ 833 ใต้หล้าต่างตระหนก

“ข่าวใหญ่น่าตระหนก เขาเถื่อนเมฆินทร์ถูกถล่มราบ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬซึ่งพำนักอยู่ภายในล้วนบรรลัยหมด!”


“ลือกันว่าเป็นหญิงสาวคล้ายอริยเทพคนหนึ่งออกมือ สังหารระดับราชันราวตัดวัชพืช ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต”


“ไม่เพียงเท่านี้ ร่องรอยของหญิงสาวคนนั้นยังเคยปรากฏบนเขาคุนอู๋เรือนกระบี่เร้นปุจฉา ราวเข้าสู่แดนไร้ผู้คน แม้แต่อริยะชางเจิ้งซึ่งเก็บตัวเงียบเป็นเวลาหลายพันปียังถูกทำให้ตระหนก!”


ข่าวเช่นนี้เสมือนลมกาฬวาตพัดม้วนทั่วแดนฐิติประจิม ก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมใหญ่หลวง


หญิงสาวคนนั้นเป็นใครกันแน่


ไม่ว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปหรือแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าในแต่ละขุมอำนาจต่างรู้สึกสั่นสะท้าน


เรือนกระบี่เร้นปุจฉา สำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม มีอริยะที่แท้จริงดูแล แต่กลับไม่กล้าลงมือกับหญิงสาวคนนั้น ปล่อยให้เข้าออกตามใจชอบ!


เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ อิทธิพลแผ่กว้างทั่วสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ แต่ช่วงเวลาหนึ่งวัน แหล่งพำนักของเผ่าในแดนฐิติประจิมกลับถูกคนขุดรากถอนโคน!


ทั้งหมดนี้ต่างปรากฏเป็นที่ประจักษ์ ว่าหญิงสาวคล้ายอริยเทพผู้นั้นน่าหวาดกลัวระดับใด สามารถเทียบกับมหาจักรพรรดิบรรพกาล แค่ดีดนิ้วก็พลิกฟ้าพลิกดิน!


เพียงชั่วขณะทั้งแดนฐิติประจิมเดือดพล่าน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างวิพากษ์วิจารณ์ คาดคะเนความเป็นมาและพลังปราณของหญิงสาวปริศนาผู้นั้น


“กล้าไปสังหารถึงแหล่งพำนักของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ อาจมีเพียงอริยะที่แท้จริงถึงกล้าทำเช่นนี้!”


คนใหญ่คนโตมากมายทำการสันนิษฐาน นี่ทำให้พวกเขาตกตะลึง เมื่อไหร่กันที่แดนฐิติประจิมปรากฏผู้ดำรงอยู่ในระดับอริยเทพซึ่งไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน


“อริยะชางเจิ้งยังไม่กล้าเหนี่ยวรั้ง เกรงว่าใช้อริยเทพสองคำมาบรรยายหญิงสาวผู้นั้นคงไม่พอ ข้าสงสัยว่านางใช่คนในโลกเราหรือไม่ ถึงอย่างไรต่อให้ทอดมองทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีอริยะคนไหนมีพลานุภาพเช่นนี้”


เพราะไม่รู้สถานการณ์ ดังนั้นแม้คำวิพากษ์วิจารณ์และการคาดเดานานัปการจะมาก แต่สุดท้ายก็ไม่มีคนสามารถให้คำตอบที่แน่ชัด


แต่มีอยู่บ้างที่คล้ายคลึง นั่นคือศักยภาพเกี่ยวกับหญิงสาวปริศนาผู้นี้ ถูกมองว่าเป็นระดับอริยเทพหรือถึงขั้นแกร่งกว่า!


“เรือนกระบี่เร้นปุจฉากล่าวออกมาแล้ว! พวกเขาประกาศว่าหญิงสาวปริศนานี้มีความเกี่ยวข้องใหญ่หลวงกับสำนักของพวกเขา เป็นผู้อยู่ในระดับอริยเทพชั้นยอด!”


ไม่นานนักข่าวจากเรือนกระบี่เร้นปุจฉาก็แพร่มา ชั่วขณะเดียวทำให้แดนฐิติประจิมซึ่งเดิมปั่นป่วนไม่หยุดเกิดกระแสครึกโครมโดยสมบูรณ์


“นี่บ่งชี้ว่าเรือนกระบี่เร้นปุจฉากำลังแสดงความเป็นมิตรกับหญิงสาวปริศนานั่นใช่หรือไม่”


ขุมอำนาจมากมายทำการตัดสินออกมาเช่นนี้


ทว่าไม่มีคนเข้าใจสถานการณ์ภายในที่แท้จริง จึงมิอาจสันนิษฐานมากกว่านี้อีก


“ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว! เห็นเค้าลางเลยว่าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬต้องไม่วางมือยุติเรื่องราว อย่างไรเสียครานี้ที่แดนฐิติประจิม อย่างต่ำพวกเขาก็สูญเสียผู้แข็งแกร่งระดับราชันห้าคน รวมถึงคนในเผ่าร่วมหลายหมื่น นี่เป็นความแค้นฝังลึกใหญ่หลวง!”


“ไม่ผิด ภายในเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมีผู้อยู่ในระดับอริยเทพดูแลเช่นเดียวกัน สันนิษฐานจากจุดนี้ ต่อไปอาจถึงขั้นเกิดการต่อสู้ของอริยมรรค!”


เมื่อการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ล้วนรวมอยู่ที่เรื่องผลกระทบจากคลื่นลมนี้ ทั่วแดนฐิติประจิมล้วนตกอยู่ในความสั่นสะเทือน


การต่อสู้อริยมรรค?


เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนั่นเสียหายสาหัสเช่นนี้ จะลงมือเต็มกำลังโดยไม่สนสิ่งใดจริงหรือ


ทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นจากต่างสถานที่ทั่วแดนฐิติประจิม กระทั่งต่อมาถึงขั้นเริ่มแพร่สะพัดไปยังอีกสามแดนวิภู ชัยบูรพา ดาราอุดร กาฬทักษิณ!


แต่ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกนี้ ผู้ฝึกปราณมากมายต่างสนใจประเด็นเดียวกัน…


เหตุใดหญิงสาวปริศนานั่นถึงปรากฏตัวตอนนี้ อีกทั้งเหตุใดนางต้องฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬบนเขาเถื่อนเมฆินทร์ทั้งหมด


“เหอะๆ คงเป็นเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกำเริบเสิบสานจนเคยตัว ล่วงเกินหญิงสาวปริศนาผู้นี้เข้าโดยไม่ตั้งใจ ก่อให้เกิดมหันตภัยใหญ่หลวงตามมา!”


มีคนเป็นสุขบนความทุกข์คนอื่น


“ไม่ผิด ไอ้พวกหมาดำเวรนี่อำมหิตเหี้ยมโหด หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าทำเรื่องให้สวรรค์พิโรธคนเคียดแค้นเท่าไรต่อเท่าไร กรรมตามสนองบ้างก็สมควร!”


ผู้ฝึกปราณส่วนมากต่างรู้สึกสะใจ เห็นว่าการกระทำของหญิงสาวปริศนาครานี้ช่างถึงใจ ทำให้พวกเขานิยมชมชอบ


แต่การวิเคราะห์พวกนี้สุดท้ายยังเจือสีสันความรู้สึก ทั้งไม่น่าเชื่อถือนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากเท่าใด


เวลานี้มีคนส่งเสียงสัพยอกทำการซักถามเผ่าวาทวาโย “พวกเจ้าเผ่าวาทวาโยไม่ใช่มีฉายาว่าหูไวตาไวที่สุดหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงไม่มีข้อมูลใหญ่ที่แท้จริงเผยแพร่ออกมา”


ทันใดนั้นพวกชอบหาเรื่องก็เริ่มวิจารณ์เผ่าวาทวาโย คิดว่าปกติยามพวกเขาพบเรื่องขี้หมูราขี้หมาบางอย่างก็จะวิ่งเร็วกว่าใครเพื่อน แต่เมื่อเจอเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกลับจนปัญญาโดยสิ้นเชิง


นี่ทำให้ชนชั้นสูงเผ่าวาทวาโยพลันคับแค้นอับอายหาใดเปรียบ รู้สึกหน้าหม่นแสงอย่างมาก ตั้งแต่ข่าวเกี่ยวกับหญิงสาวปริศนาแพร่ออกไป พวกเขาก็จัดกำลังพลทั้งหมดออกตรวจสอบ


แต่ที่น่าอักอ่วนคือ ร่องรอยของหญิงสาวปริศนานั่นราวเทพมังกรเห็นหัวมิเห็นหาง ชั่วพริบตาก็ก้าวผ่านภูผาธาราไร้สิ้นสุด พวกเขาไหนเลยจะสามารถสืบหาข่าวคราวอะไรออกมาได้ทันที


“ตรวจสอบ ไปตรวจสอบมาให้หมด! มิฉะนั้นหน้าตาเผ่าวาทวาโยเราจะเอาไว้ที่ไหน บรรพชนเราเป็นถึงราชันแห่งข่าวสารที่ชื่อเสียงเลื่องลือเมื่อครั้งบรรพกาล ทรงเกียรติสูงส่งเช่นนี้ จะให้คนอื่นเขาวิจารณ์โจมตีและดูหมิ่นได้อย่างไร”


ภายในเผ่าวาทวาโย พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าแผดเสียงคำรามราวอสนีบาต


และในช่วงสำคัญนี้ ไป่เฟิงหลิวก็ก้าวออกมา นำใบไม้ทองคำใบหนึ่งติดลงบนต้นข่าวสาร


ทันใดนั้นทั่วแดนฐิติประจิมอึกทึกครึกโครมให้ความสนใจ ยังคิดว่าในที่สุดเผ่าวาทวาโยก็ได้ข่าวใหญ่อะไรจริงๆ สักที


ใครเล่าจะคาดคิด ใบไม้ทองคำนั่นกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ข่าวคราวอะไรก็ไม่มี!


“แม่งเอ๊ย พวกเจ้าเผ่าวาทวาโยล้อกันเล่นรึไง”


“ช่างฟุ่มเฟือยซะจริง ข่าวอะไรล้วนไม่มียังจะใช้ใบไม้ทองคำ เห็นชัดว่าหลอกลวงต้มตุ๋น พวกเจ้าเผ่าวาทวาโยตอนนี้ทำตัวไม่น่าเชื่อถือเกินไปแล้วกระมัง”


“หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปยังจะให้ใครเชื่อข่าวของพวกเจ้าเผ่าวาทวาโยอีก ทำให้คนผิดหวังเกินไปแล้ว!”


เพียงชั่วขณะมหาชนต่างกราดเกรี้ยว ทยอยวิจารณ์โจมตีเผ่าวาทวาโยเซ็งแซ่


แต่ไป่เฟิงหลิวกลับสงบใจนัก กระทั่งจุดชนวนเพลิงพิโรธของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนสำเร็จ เขาถึงได้เอ่ยปากประกาศข่าวด้วยท่าทางลุ่มลึก “ในตำราเผ่าข้าบันทึกว่า อริยเทพดั่งสวรรค์มิอาจดูหมิ่น ใบไม้ทองคำที่พวกเจ้าเห็นตอนนี้ก็เคยจารึกร่องรอยของหญิงสาวปริศนาผู้นั้น แต่ทว่าสุดท้ายกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า!”


ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตื่นตะลึง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


“จริงหรือเปล่า”


ทุกคนต่างกังขา


แม้แต่คนใหญ่คนโตชั้นสูงภายในเผ่าวาทวาโยต่างมึนงงไม่หยุด หรือไป่เฟิงหลิวนี่คิดใช้ใบไม้ทองคำว่างเปล่าใบหนึ่งอุดปากคนทั้งใต้หล้า


แต่ไป่เฟิงหลิวคือผู้ฝึกปราณเผ่าวาทวาโยซึ่งมีปณิธานจะเป็น ‘ราชันแห่งข่าวสาร’ แน่นอนว่าเขาย่อมมิอาจทนให้ผู้อื่นตั้งคำถามต่อข่าวของตน


ไม่นานนักเขาพลันเผยข่าวใหญ่ออกมา…


“ทุกท่านจำข่าวเกี่ยวกับเทพมารหลินที่ข้าประกาศช่วงก่อนหน้าได้หรือไม่”


ดูเหมือนไป่เฟิงหลิวมีความอดทนนัก ไม่ปล่อยข่าวทั้งหมดออกมาทันที นำกลเม็ด ‘แสร้งปล่อยเพื่อจับ ยั่วน้ำลายคน’ มาเล่นจนบรรลุถึงจุดสมบูรณ์


ผู้ฝึกปราณแดนฐิติประจิมต่างงงงัน พวกเขาย่อมจำได้ ช่วงก่อนหน้านี้เคยมีข่าวออกมา เทพมารหลินสังหารสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกลุ่มหนึ่งที่เมืองก่วมหิมะ ทั้งเคยกล่าวว่าจะ ‘สังหารสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทั้งใต้หล้า’


ต่อมาเทพมารหลินตัวคนเดียวฝ่าวงล้อมสังหารราชันกึ่งระดับสี่คนจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สุดท้ายก็ลอยชายจากไป


เวลานั้นยังก่อให้เกิดความฮือฮาในแดนฐิติประจิม!


แต่ไม่นานเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก็เริ่มเปิดฉากล้างแค้น ส่งระดับราชันสองคนทำการตามล่าเทพมารหลิน ทำให้เรื่องนี้ดึงดูดสายตาทั่วแดนฐิติประจิมทันที


กระทั่งปัจจุบัน ยังไม่มีคนรู้ว่าเทพมารหลินเป็นหรือตายกันแน่


แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหญิงสาวปริศนานั่น


ผู้ฝึกปราณมากมายงุนงง ในใจต่างโมโหโกรธา คิดว่าไป่เฟิงหลิวกำลังกระบิดกระบวน


แต่พวกหัวไวส่วนหนึ่งกลับแอบคาดเดาความเป็นไปได้บางอย่าง ในใจสั่นสะท้านอย่างอดไม่อยู่ สูดหายใจหนาวเยือกไม่หยุด


หรือว่าเทพมารหลินมีความเกี่ยวข้องกับหญิงสาวปริศนา


ความคิดเช่นนี้ทำเอาพวกเขาอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม น้ำลายถูกยั่วออกมาโดยสมบูรณ์


และยามนี้ สำนักโบราณบางส่วนก็ถูกข่าวที่ไป่เฟิงหลิวปล่อยออกมาดึงดูด เริ่มทยอยให้ความสนใจขึ้นมา ช่วยไม่ได้ กระทั่งตอนนี้แม้แต่พวกเขายังไม่เคยได้ข่าวคราวใดเกี่ยวกับหญิงสาวปริศนาผู้นั้น


ไป่เฟิงหลิวขณะนี้ราวกลายเป็นบุคคลที่ทั้งแดนฐิติประจิมให้ความสนใจโดยปริยาย นี่ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจ ลอยล่องอย่างกับเซียน


อะไรที่เรียกว่าเป็นที่จับตามองทั้งใต้หล้า


ก็แบบนี้อย่างไร!


ในใจไป่เฟิงหลิวภาคภูมิอย่างมาก ครานี้ถึงได้ปล่อยข่าวใหญ่ที่ตนสืบมาได้ทั้งหมด…


“แม้ข้าไม่รู้ว่าหญิงสาวปริศนานั่นคือใคร แต่รู้ว่าตอนแรกสุดที่นางปรากฏตัว เคยกำจัดบุคคลระดับราชันสองคนจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!”


“และบุคคลระดับราชันสองคนนี้ ก็คือโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงซึ่งตามล่าเทพมารหลิน! หลังจากนั้นหญิงสาวปริศนาผู้นั้นถึงเริ่มมุ่งหน้าสู่เขาคุนอู๋ ต่อมาจึงมีเรื่องราวในภายหลังเกิดขึ้น!”


“เท่านี้ก็สันนิษฐานได้ว่า มีโอกาสสูงที่หญิงสาวปริศนาจะเป็นบุคคลชั้นสูงที่อยู่เบื้องหลังเทพมารหลิน!”


ทันทีที่ข่าวรอบนี้ปรากฏ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างตะลึงงัน สะท้านสะเทือนอยู่ตรงนั้น หญิงสาวปริศนานั่นเกี่ยวข้องกับเทพมารหลิน?


นี่เหมือนว่าไม่ใช่ความจริง น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง!


“แม้ยากจินตนาการ แต่คำอธิบายนี้กลับมีเหตุผล ถึงอย่างไรแดนฐิติประจิมตอนนี้ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเทพมารหลินกำลังถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามล่า มาบัดนี้หญิงสาวปริศนาปรากฏตัว ขยี้เขาเถื่อนเมฆินทร์เสียราบ เห็นชัดว่าออกหน้าแทนเทพมารหลิน!”


ผู้ฝึกปราณมากมายตื่นตัว ยิ่งวิเคราะห์ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผลนัก


“มีความเกี่ยวข้องกับเทพมารหลินจริงหรือ คาดไม่ถึงเกินไปแล้ว ใครเล่าจะคาดคิดว่าเบื้องหลังเขายังมีผู้ร้ายกาจน่าพรั่นพรึงเช่นนี้”


“ข้าว่าแล้ว เด็กหนุ่มแห่งยุคอย่างเทพมารหลินต้องไม่ใช่พวกธรรมดา เบื้องหลังเขาต้องมีสำนักเก่าแก่ปริศนาแน่ และหญิงสาวปริศนาผู้นี้น่าจะเป็นอาจารย์ผู้อาวุโสของเทพมารหลิน!”


แต่ยังมีคนคัดค้านต่อสิ่งนี้ เห็นว่าไป่เฟิงหลิวกำลังพยายามโยงเรื่อง พูดจาส่งเดช


“หึ! หากเบื้องหลังเทพมารหลินมีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้หนุนอยู่ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมีหรือจะกล้าบุ่มบ่ามออกตามล่าเขา”


“น่าขัน หากเทพมารหลินมีผู้อาวุโสเช่นนี้ คงชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้านานแล้ว ไหนเลยจะเพิ่งถูกพวกเรารู้จักเอาป่านนี้ นี่เห็นได้ว่าเป็นเท็จ!”


ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งปรามาส คิดว่าไป่เฟิงหลิวนำหลินสวินและหญิงสาวปริศนานั่นมาเชื่อมโยงกัน ไม่ควรยกยอเขามากเกินไป


โดยเฉพาะเซี่ยอวี้ถัง เมื่อได้ยินข่าวคราวนี้พลันไม่อาจควบคุมอารมณ์ในใจ ส่งเสียงหัวเราะเยาะ หน้าตาฉุนเฉียว “รากเหง้าของหลินสวินข้าหรือจะไม่รู้ ก็แค่เด็กหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งในโลกชั้นล่าง! สำนักปริศนาอะไร อาจารย์ผู้อาวุโสอะไร เห็นชัดว่ากำลังยกยอมัน! เผ่าวาทวาโยช่างหน้าไม่อาย!”


ตอนที่ 834 ลบหลู่และประณาม

เซี่ยอวี้ถังไม่อาจไม่เดือดดาล หรือควรพูดว่าริษยา


ช่วงเวลานี้ข่าวลือเกี่ยวกับหลินสวินมีมาต่อเนื่อง ทำทั้งแดนฐิติประจิมสั่นสะเทือน เปิดฉากคลื่นลมไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร


หลินสวินราวกลายเป็นหนึ่งในบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิมซึ่งได้รับความสนใจที่สุด จนใครๆ ต่างรู้จัก


ในเขตแคว้นหลายพันเมืองร่วมหมื่นแห่งแดนฐิติประจิมปัจจุบัน แทบทุกแห่งต่างพูดถึงทุกอย่างเกี่ยวกับ ‘เทพมารหลิน’


เปรียบเทียบกันแล้ว เขาเซี่ยอวี้ถังแม้กราบอาจารย์เข้าสำนักกระบี่โผผินอยู่ก่อน แต่ชื่อเสียงกลับจำกัดอยู่แค่ในแคว้นล้ำเมฆา ช่างแตกต่างอย่างมากเหลือเกิน


นี่จะให้เซี่ยอวี้ถังผู้เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เห็นหลินสวินในสายตามาตลอดอดกลั้นได้อย่างไร


เด็กหนุ่มซึ่งมาจากชนบทห่างไกลความเจริญของโลกชั้นล่างคนหนึ่ง บัดนี้กลับทะยานเหนือเมฆ ชื่อเสียงขจรขจายทั่วสรรพทิศ นี่ทำให้เซี่ยอวี้ถังไม่อาจยอมรับโดยสิ้นเชิง


ด้วยเหตุนี้วันนั้นเอง เขาอาศัยฐานะของผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผิน เปิดเผยข่าวแก่เผ่าวาทวาโย หมายเปิดโปงเบื้องหลังหลินสวิน บดขยี้ข่าวลือไร้สาระเกี่ยวกับหลินสวินซะ!


นี่แหละคือข่าวใหญ่!


เผ่าวาทวาโยทราบเรื่องทั้งหมดนี้ก็ป่าวประกาศออกไปทันที


“ข่าวชวนตะลึง! จากการเปิดเผยของเซี่ยอวี้ถังผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผิน เทพมารหลินมาจากโลกชั้นล่าง มีชาติกำเนิดกระจ้อยร้อย หาใช่ผู้สืบทอดสำนักปริศนาบางแห่งอย่างแน่นอน! สันนิษฐานเช่นนี้ เทพมารหลินน่าจะไม่เกี่ยวเนื่องอันใดกับหญิงสาวปริศนานั่น!”


ทันใดนั้นแดนฐิติประจิมอึกทึกครึกโครมอีกครา ผู้ฝึกปราณมากมายหลายหลากตะลึงนิ่งอึ้ง


โลกชั้นล่าง?


ในสายตาผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน นั่นเป็นดินแดนแห่งความแร้นแค้นเกินทน มหามรรคบกพร่อง ประหนึ่งซากปรักหักพังแห่งการบำเพ็ญเพียร พูดว่าเป็นดินแดนแห่งการทอดทิ้งล้วนไม่ถือว่าผิด!


เมื่อเผชิญหน้าโลกชั้นล่าง ผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณโดยกำเนิดจะมีท่าทีหยิ่งในศักดิ์ศรีสูงส่งเหนือผู้อื่นประการหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับผู้ดีมีสกุลพำนักอยู่ราชวัง เผชิญหน้าขอทานซึ่งอาศัยอยู่เขตสลัม


ไม่นึกเลยว่าเทพมารหลินคือผู้ฝึกปราณจากโลกชั้นล่าง


นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนซึ่งเดิมยกย่องสรรเสริญหลินสวินอย่างยิ่งต่างตะลึงงันอยู่บ้าง


“เหอะ ที่แท้เป็นพวกจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง ข้ายังมองเขาวิเศษวิโส สุดท้ายก็แค่นี้!”


“เทพมารหลินอะไรกัน ล้วนแต่ถูกเผ่าวาทวาโยคุยโวโอ้อวด ว่ากันตามตรง นี่แค่คนบ้านนอกซึ่งโผล่มาจากโลกชั้นล่างเท่านั้น ไม่สมชื่อเสียง!”


น้ำเสียงเยาะหยันเหน็บแนมมากมายเริ่มปรากฏ


หลายวันมานี้ทุกแห่งหนล้วนมีคำเล่าลือของหลินสวิน บอกว่าเขาเป็นเอกบุคคลรุ่นเยาว์ ใจกล้าเกินมนุษย์มนา ยกยอเขาราวบุคคลครองพิภพ เจิดจรัสหาใดเปรียบคนหนึ่ง


เดิมนี่ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์บางส่วนไม่พอใจนัก ทั้งอิจฉาทั้งริษยา


บัดนี้เห็นเบื้องหลังหลินสวินถูกเปิดเผย พวกเขาพลันมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น ฉวยโอกาสซ้ำเติมทันที ทำการประณามและเย้ยหยันหลินสวิน


ชั่วขณะเดียวนำคำว่าร้ายนานัปการก็ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ส่วนมากล้วนมาจากผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ พวกเขาไม่พอใจมากและริษยายิ่ง เห็นว่าหลินสวินไม่คู่ควรมีชื่อเสียงเช่นวันนี้แต่แรก


เห็นสภาพการณ์เกิดผกผัน นี่ทำให้เซี่ยอวี้ถังผู้แพร่ข่าวพลันหัวเราะ เผยเจตนาชั่วร้าย


เขาแอบกล่าวอยู่ในใจ ‘หลินสวินเอ๋ยหลินสวิน เจ้าก็อย่าโทษข้าเลย ใครให้เจ้าก้าวกระโดดจนเกินงาม สุดท้ายชื่อเสียงจอมปลอมก็คือชื่อเสียงจอมปลอม ข้าแค่พูดความจริงบางอย่างเท่านั้น สมควรให้ผู้คนตาสว่างสักหน่อย ได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าอย่างชัดเจน!’


เซี่ยอวี้ถังเห็นว่าตนไม่ได้ทำผิด แม้หลินสวินจะแค้นตนด้วยเหตุนี้ เขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย!


เมื่อทราบเรื่องทั้งหมดไป่เฟิงหลิวเองก็กลัดกลุ้มและเดือดดาลนัก เกียรติภูมิและฐานะที่เขาเพลิดเพลินอยู่ตอนนี้ล้วนสร้างจากการแพร่ข่าวเกี่ยวกับหลินสวิน ส่วนลึกก้นบึ้งจิตใจเห็นหลินสวินเป็น ‘ขุมสมบัติ’ เพื่อขุดค้นข่าวสารอย่างหนึ่ง


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีหรือจะทนให้คนอื่นล้มล้างข่าวที่ตนแพร่ได้


ตนเพิ่งบอกว่าเทพมารหลินเกี่ยวข้องกับหญิงสาวปริศนานั่น แต่กลับถูกคนปฏิเสธ นี่แม่งต่างอะไรกับตีแสกหน้า


ไป่เฟิงหลิวโกรธจัด เริ่มแถลงข่าวดำเนินการโต้กลับ “เหอะๆ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินคนหนึ่งสามารถเป็นตัวแทนทั้งสำนักกระบี่โผผิน มาทำการป้ายสีและสบประมาทผู้กล้าแห่งยุครุ่นเยาว์คนหนึ่ง!”


เขาปล่อยวาจารุนแรงออกมาโดยตรง “ถ้ากล้าก็พนันกับข้า หากเทพมารหลินและหญิงสาวปริศนาไม่มีความสัมพันธ์กัน ข้าจะตัดหัวขอโทษผู้คนทั้งใต้หล้า แต่หากที่ข้าพูดเป็นความจริง เจ้าผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินนี่กล้าตัวหัวตนเองมาขอขมาหรือไม่”


ครืน!


ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณแดนฐิติประจิมนับไม่ถ้วนพลุ่งพล่านอีกครา การพนันนี้ช่างมีสีสัน สภาพการณ์เห็นชัดว่าจะพลิกกลับ


เซี่ยอวี้ถังอัดอั้นแทบกระอักเลือด สีหน้าถมึงทึง กำลังหมายทำการตอบกลับแต่ถูกจั๋วขวงหลันรั้งไว้


“ศิษย์น้องเซี่ย ไม่ว่าข่าวจริงหรือเท็จแล้วจะเกี่ยวอะไรกับพวกเรา อย่าได้ก่อคลื่นลมด้วยเหตุนี้!” วาจาจั๋วขวงหลันราบเรียบ แต่ไม่ยอมให้สงสัย


สีหน้าเซี่ยอวี้ถังปรวนแปรนานพอควร สุดท้ายจึงอดทนกัดฟัน ลอบตัดสินใจว่าหลังจากนี้เมื่อความจริงกระจ่าง สุดท้ายคนบนโลกจะรู้ว่าใครถูกใครผิด!


แต่การเงียบของเซี่ยอวี้ถังกลับถูกไป่เฟิงหลิวมองว่ายอมจำนน เขาได้ใจภาคภูมิ ปล่อยข่าวอย่างเอื้อเฟื้อใจกว้างเหลือประมาณ “เจ้าหนุ่ม อย่ามัวแต่คิดสร้างข่าวใหญ่ เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเป็นการตบหน้าตัวเองอย่างนั้นหรือ”


เซี่ยอวี้ถังโกรธจนหน้าเขียว ไอ้แก่เผ่าวาทวาโยนี่กล้าวิจารณ์เขาเชิงลบ คงอยากตายจนทนไม่ไหว!


สรุปแล้ว ทุกอย่างนี้เพียงพออธิบายว่าคลื่นลมครานี้ใหญ่โตอึกทึกครึกโครม ทั้งแดนฐิติประจิมล้วนถูกสั่นคลอน


แน่นอนว่ามีเสียงแข็งกร้าวยิ่งยวดแพร่ออกมา อาทิเช่นผู้กล้าแห่งยุครุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแดนฐิติประจิมคนหนึ่ง ก็อวดดีและหยิ่งผยองนัก


เขากล่าวว่า “โลกปัจจุบันนับวันยิ่งเหลวแหลกขึ้นทุกที สามารถเอาคำว่า ‘เทพมาร’ มาใช้กับตัวเองง่ายๆ เลยหรือ ไปบอกเทพมารหลินที่ว่านี่ ถ้ากล้าก็มาเขาพยับครามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ข้าจงหลีอู๋จี้จะคว่ำเขาเป็นคนแรก!”


นี่ก่อให้เกิดคลื่นถาโถมมหึมา ผู้ฝึกปราณมากมายสูดหายใจเย็นเยียบ จงหลีอู๋จี้เป็นบุคคลแห่งยุคเยี่ยงราชันมารกลับชาติมาเกิด มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในบรรดาคนรุ่นเยาว์แดนฐิติประจิม ทรงพลังเหลือประมาณ


ไม่นานนักหญิงสาวอีกคนก็กล่าวเรียบๆ “พิภพไร้ผู้กล้าแล้วหรือ ถึงนำพวกไร้น้ำยามาสร้างชื่อ ถ้าหลินสวินนั่นกล้าปรากฏตัวบนเขาพยับคราม ข้าจะทำให้เขาสำนึกผิดขอขมาต่อหน้าธารกำนัล ยอมรับว่าชื่อตนไม่สมชื่อ!”


ทันใดนั้นคนมากมายต่างตกตะลึงยากจะเชื่อ


เพราะหญิงสาวที่กล่าววาจานั้นมาจากเผ่าหงส์เขียว หนึ่งในสิบเผ่าใหญ่แห่งแดนฐิติประจิม นามว่าชิงเหลียนเอ๋อร์ เป็นธิดาเทพยุคปัจจุบันของเผ่าหงส์เขียว ครองความรุ่งโรจน์เหนือพิภพ ท่วงท่าอัศจรรย์ฝีมือล้ำเลิศ!


ก่อนหน้ามีจงหลีอู๋จี้เอ่ยปากปรามาส ยังมีชิงเหลียนเอ๋อร์กล่าววาจาตามมา ชั่วขณะหนึ่งจึงดึงดูดสายตาทั้งแดนฐิติประจิม ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในใจสั่นสะท้าน


แม้แต่สำนักโบราณบางส่วนต่างถูกทำให้ตระหนก ทุกคนล้วนตระหนักได้ว่าเทศกาลโคมกถามรรคซึ่งใกล้จะเปิดฉากในไม่ช้านี้ ต้องเกิดการต่อสู้สะเทือนใต้หล้าแน่


เพียงแต่เทพมารหลินเผชิญหน้าการลบหลู่และประณามเช่นนี้ จะกล้ามุ่งหน้าสู่เขาพยับครามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคหรือไม่



โลกภายนอกคลื่นลมโหมคลั่ง เกิดเรื่องจนอึกทึกครึกโครม


แต่หลินสวินผู้เป็นตัวหลักกลับไม่รับรู้สรรพสิ่ง


เขากำลัง ‘ทะลวงด่านทดสอบ’


หลังหญิงสาวปริศนาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์จากไป เขาก็ทะลวงด่าน


ด่านที่หกแห่งทางเดินเมฆาหยกนาม ‘จิตขับเคลื่อน’ พูดว่าทะลวงด่าน แท้จริงคือการทดสอบและขัดเกลาซึ่งมุ่งเป้าที่พลังจิตของผู้ฝึกปราณ


เมื่อการทะลวงด่านเริ่มต้น เงามายามารสวรรค์หลากสายจะปรากฏในห้วงนิมิต ทำการจู่โจมพลังจิต


เงามายามารสวรรค์เหล่านี้แม้ไร้รูปไร้สถานะ แต่ควบคุมวิชาลับโจมตีจิตวิญญาณอันน่าหวาดกลัว วิวัฒน์เป็นรูปลักษณ์ชวนประหวั่นไร้ขอบเขตต่างๆ อย่างอสนีบาต ลมกาฬวาต เพลิงใต้พิภพ วารีทมิฬ


หลินสวินโคจรเคล็ดเวทบริกรรม พลังจิตส่องประกายสว่างไสวประดุจตะวันสะท้อนนภาคราม กระจ่างแผ่ไพศาลสรรพสิ่งไม่อาจล่วงล้ำ


ท่ามกลางการโรมรันเช่นนี้ กลับทำให้หลินสวินขัดเกลาพลังจิตจนแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม มีความเคร่งขรึมทรงสง่าอยู่เลือนราง


ไม่นานนักเงามายามารสวรรค์วิวัฒน์เป็นพลังอัศจรรย์นานัปการอาทิ วาโยกลืนกิน แสงร่ายไหลบ่า รุ้งแม่เหล็ก บุปผาสวรรค์ ระดมบุกโจมตีรอบใหม่


ในที่สุดหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดัน พลังจิตสั่นระรัวรุนแรง อยู่ในสภาพ ‘เกิดดับสับเปลี่ยน’ อย่างหนึ่ง ราวพร้อมทลายทุกเมื่อ ทั้งเสมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ตลอดเวลา มหัศจรรย์ยิ่งยวดและล่อแหลมอันตรายเหลือประมาณ


สุดท้ายเงามายามารสวรรค์เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นโซ่ตรวนหลากสายห้อมล้อมพลังเคราะห์ หมายพันธนาการกำจัดพลังจิตของหลินสวิน


นี่คือการโจมตีที่น่ากลัวที่สุดโดยมิต้องสงสัย!


สิ่งเดียวที่หลินสวินสามารถทำได้คือรวมพลังเป็นหนึ่ง ยืนหยัดเจตนารมณ์ โคจรเคล็ดเวทบริกรรมถึงขีดสุด


พลังจิตเขาบ้างวิวัฒน์เป็นวัฏจักรหมู่ดาวพร่างฟ้า เจิดจรัสดั่งกระดานหมากแห่งจักรวาล ดวงดารากระจายแน่นหนาอยู่ภายใน เผยลักษณ์อัศจรรย์แห่งดาราจักรโคจร


บ้างดุจจันทร์เพ็ญแขวนประดับเหนือนภาคราม ประกายเงินพลิ้วละล่อง เห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปรของความมืดมิดและกระจ่างกลมมน เผยลักษณ์แห่งจันทราเคลื่อนคล้อย


บ้างกลับผสานรวมใหม่เป็นตะวันดวงโต ปลดปล่อยแสงสว่างไร้สิ้นสุด ดำรงอยู่ทุกอณู!


สุดท้ายสามมหาลักษณ์อัศจรรย์ ดาราจักรโคจร จันทราเคลื่อนคล้อย และตะวันจรัสแสงรวมเป็นหนึ่ง ก่อเป็นเค้าร่างปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ ‘สุริยันจันทราเด่นนภา หมื่นดาราล้อมพิทักษ์’ อยู่ในห้วงนิมิต


ขณะเดียวกันพลังจิตเกิดเปลี่ยนแปลงคล้ายจักรวาลแรกกำเนิด ทั้งราวเปลือกไข่เปิดกะเทาะ กลายเป็นละอองแสงหลากสีงามตระการนับหมื่นพัน จากนั้นจึงเริ่มเกาะรวมกันใหม่อีกครั้งทีละน้อย…


สุดท้ายกลายเป็นคนตัวเล็กสูงประมาณชุ่น เงาร่างสูงสง่า ใบหน้าซึ่งเดิมเลือนรางค่อยๆ ชัดเจน นัยน์ตาดำเปล่งประกาย เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลา รูปลักษณ์ถึงกับเหมือนหลินสวิน


คนตัวเล็กนั่งขัดสมาธิในห้วงนิมิต บริสุทธิ์ผุดผ่องปลีกโลกา เคร่งขรึมมีสง่า เหนือศีรษะดวงดาราล้อมพิทักษ์ จันทร์เพ็ญแทรกประดับ ตะวันเจิดจ้าสาดส่องแผ่ไพศาล ขับเน้นให้คนตัวเล็กประดุจนายเหนือหัวผู้หนึ่ง วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ


ถึงตอนนี้เงามายามารสวรรค์แตกซ่านตูมตาม สลายหายไร้ร่องรอย


ส่วนการเคี่ยวกรำเคล็ดเวทบริกรรมของหลินสวินก็บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ หลอมรวมเป็นหนึ่ง สุดท้ายพลังจิตจึงปรากฏการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด พัฒนาจาก ‘พลังจิต’ เป็น ‘วิญญาณเทพ’!


วิญญาณเทพ คือวิญญาณแห่งพลังจิต


ในโลกของคนธรรมดา วิญญาณเทพซึ่งปุถุชนทั่วไปต่างบูชาเลื่อมใส แท้จริงแล้วก็คือมหายุทธ์ซึ่งครอบครอง ‘วิญญาณแห่งพลังจิต’!


ถึงอย่างไรในสายตาปุถุชน ผู้ฝึกปราณซึ่งสามารถเหินฟ้าดำดิน ควบคุมลมสายฟ้า ก็ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณเทพในตำนาน


พรึ่บ!


กลางห้องโถงมรรคาสวรรค์หลินสวินลืมตาขึ้น ขณะเดียวกันวิญญาณแห่งพลังจิตสูงหนึ่งชุ่นในห้วงนิมิตเขาก็ลืมตาขึ้นด้วย


พริบตานั้นความรู้สึกอัศจรรย์ยากพรรณนาบังเกิดขึ้นจากก้นบึ้งจิตใจหลินสวินตามธรรมชาติ เขาสังเกตเห็นว่าการทะลวงด่านครั้งนี้ของตนได้เปลี่ยนแปลงและยกระดับอย่างพิเศษโดดเด่นโดยสมบูรณ์!


ตอนที่ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา

แวดวงผู้ฝึกปราณปัจจุบัน ถึงแม้อยู่ท่ามกลางระดับกระบวนแปรจุติ ก็มีเพียงพวกล้ำเลิศชั้นยอดที่แท้จริงจึงสามารถผสานรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้!


เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ จิตวิญญาณผู้ฝึกปราณยิ่งสามารถปลดเปลื้องออก ท่องมหาสมุทรอุดรยามสายัณห์พยับคราม อิสระเสรีภายใต้นภาครามประดุจเทพเซียนแห่งแดนดิน!


สำหรับผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ มีเพียงบรรลุถึงระดับกึ่งราชันจึงจะสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต


แน่นอนว่าผู้ฝึกปราณอีกมากทำได้แค่หยุดลงตรงนี้ตลอดชีวิต


นี่คือหลุมวิถีหนึ่ง ก้าวผ่านพ้นก็สามารถล่องทะยานในฟ้าดิน หากก้าวไม่พ้น มรรคาชั่วชีวิตนี้ก็ได้แต่หยุดลงตรงนี้


ทว่าหลินสวินต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่กลับสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต ครอบครองช่องทางจิตวิญญาณ ท่องตระเวนทั่วผืนฟ้าปฐพี!


นี่เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าโดยมิต้องสงสัย หากกระจายออกไปคงถูกมองเป็นปีศาจ สร้างความอึกทึกครึกโครมยกใหญ่


หลินสวินเวลานี้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนอย่างเปี่ยมล้น ไม่เกี่ยวกับพลังปราณ แต่เป็นการแปรสภาพใหม่ทั้งหมดของจิตวิญญาณ


พลังจิตรับรู้แปรสภาพดุจมีแสงแห่งปัญญา เพียงเกิดความคิด สรรพสิ่งล้วนบังเกิดติดตาม เพียงดับความคิด ก็ว่างเปล่าไร้ตัวตน!


กล่าวสรุปโดยง่าย ข้อดีข้อใหญ่ของการบรรลุถึงจุดนี้คือ แม้กายหยาบดับสลาย พลังจิตจะคงอยู่ตราบนิรันดร์!


“ยินดีด้วย เจ้าทะลวงด่านที่หกแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ผ่านแล้ว”


ขณะที่หลินสวินสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณหลังแปรสภาพ ริมหูก็มีเสียงใสเย็นดั่งวารีเสียงนั้น


เขาพลันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าตรงปลายทางของทางเดินเมฆาหยกมีเงาร่างเลือนรางพร่ามัวหนึ่งยืนอยู่ นัยน์ตาคู่หนึ่งกำลังมองตนจากที่ห่างไกล


หลินสวินจำได้อย่างชัดเจน ก่อนตนจะทะลวงด่าน หญิงสาวปริศนาผู้นี้บอกว่าจะออกไปดูสักหน่อย ครู่หนึ่งก็จะกลับมา


แต่ทว่าคาดไม่ถึง หลังจากนางหวนคืนก็ไม่เคยหายไป แต่ปรากฏอยู่ตรงนั้นโดยไม่กลัวว่าจะถูกตนมองเห็น


การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน


“นี่คือรางวัลของด่านที่หก”


หญิงสาวดีดนิ้ว แสงเปล่งประกายกลุ่มหนึ่งอุบัติขึ้น วาบกะพริบปรากฏเบื้องหน้าหลินสวินทันใด


พริบตานั้นหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ภายในกลุ่มแสงนั่นประทับมรดกวิชาลับสองส่วน แบ่งเป็นส่วนครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’!


แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อนรับมรดกวิชา เพราะเขาพบว่าเงาร่างทรงสง่าปริศนานั่นยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้จากไป


“ขอบพระคุณผู้อาวุโส” หลินสวินแสดงความขอบคุณ


หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างพร่างแสงศักดิ์สิทธิ์เลือนราง ดั่งฝันเสมือนมายา ให้ความรู้สึกไม่เป็นความจริง ประดุจครู่ต่อมาจะสำเร็จเป็นเซียนและจากไป


นางเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าว “บัดนี้ระยะห่างระหว่างเจ้ากับประตูสวรรค์เหลือเพียงสามด่าน แบ่งออกเป็นด่านที่เจ็ด ‘ผลาญขอบเขต’ ด่านที่แปด ‘ทลายมรรค’ ด่านที่เก้า ‘มองตน’ ข้าหวังว่าครั้งต่อไปที่ทะลวงด่าน จะสามารถมาถึงบริเวณที่ข้ายืนได้ในคราเดียว”


น้ำเสียงเย็นใสสะท้อนกลางฟ้าดินซึ่งราวว่างเปล่าผืนนี้


ในใจหลินสวินสะท้าน นี่ไม่ใช่สื่อว่าให้ตนทะลวงสามด่านติดกันในคราเดียว แล้วไปยืนที่ปลายทางทางเดินเมฆาหยกอย่างนั้นหรือ


ปลายทางเดินคือบริเวณที่บานประตูสวรรค์นั่นตั้งอยู่ หรือก็คือบริเวณที่หญิงสาวผู้นั่นยืนอยู่จนถึงปัจจุบัน!


หลินสวินตระหนักได้ว่าในนี้ต้องมีสาเหตุอะไรแน่ ถึงได้ทำให้หญิงสาวปริศนานั่นเตรียมการเช่นนี้


“เรียนถามผู้อาวุโส ตอนนั้นข้าต้องมีปราณระดับใดจึงจะสามารถมาทะลวงด่านอีกครั้ง” หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวถาม


“หลอมมรรคบรรลุราชัน ก้าวสู่มกุฎ!”


หญิงสาวหันหลัง เงาร่างเลือนรางทรงสง่าจางหายไปในบานประตูปริศนาสูงเทียมฟ้านั่นทีละน้อย


“ภายในสามปี มหาสงครามจักมาเยือน หากเจ้าสามารถคว้าโอกาส บางที… อาจเปิดประตูบานนี้ได้”


น้ำเสียงเย็นใสบางเบา แต่พาให้หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด


“มรรคาแห่งมกุฎระดับราชัน…”


นานพอควรหลินสวินถึงได้พึมพำแผ่วเบา ดวงตาเขามองไปยังปลายทางทางเดินเมฆาหยก


ตรงนั้นบานประตูสวรรค์ปิดสนิทตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงนั้น เสมือนชั่วกาลนิรันดร์ไม่เคยเปิดใช้มาก่อน เห็นได้ว่าลึกลับหาใดเปรียบ


ภายในประตูบานนั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่


จะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของห้องโถงมรรคาสวรรค์หรือไม่


ในใจหลินสวินเกิดความมุ่งหวังอย่างไม่เคยมีมาก่อน


เขาสัมผัสได้ว่า อาจมีเพียงต้องให้ตนไปถึงปลายทางทางเดินเมฆาหยกนั่นเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติไปเข้าใจและรับรู้ถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกขั้น


และบางทีก็อาจจะได้รู้ว่าหญิงสาวปริศนาผู้นั้นคือใครกันแน่!


“จำไว้ ก่อนที่เจ้ายังไม่กลายเป็นมกุฎราชัน ข้ายื่นมือเพื่อเจ้าได้แค่สามครา ก่อนหน้านี้เจ้าใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลังจากสามครั้งยังช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้… ก็ถือว่าข้าดูคนผิด”


ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นกระจ่างนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หลินสวินซึ่งเดิมกำลังคิดจากไปพลันตื่นตะลึง


โอกาสยื่นมือช่วยเหลือสามครั้ง!


สำหรับหลินสวิน นี่ราวกับเป็นรางวัลที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากทะลวงผ่านด่านที่หกยังสามารถรับรางวัลเช่นนี้


แต่เมื่อได้ยินประโยคว่า ‘ใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง’ หลินสวินพลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน


เขาไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือมาก่อนนะ!


ทว่าไม่รอหลินสวินซักถาม เบื้องหน้าเขาคล้ายมืดทะมึน ฟ้าพลิกดินหมุนโดนพลัน ถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว


ในถ้ำอันแห้งแล้ง สีหน้าหลินสวินวูบไหว ต่อให้ตีกะโหลกแตกเขาก็คิดไม่ออกว่าตนขอให้หญิงสาวปริศนาผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วยตอนไหน…


นี่ไม่ใช่หมายความว่าตนเหลือโอกาสแค่สองครั้งหรือ


หลินสวินทอดถอนใจ ออกจะหดหู่อยู่บ้าง


เพียงแต่ตั้งแต่ที่เขาฝึกปราณมาจนถึงปัจจุบันก็สู้คนเดียวมาตลอด ไม่เคยพึ่งพาใครมาก่อน ทั้งไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก


การบำเพ็ญเพียร สิ่งที่ฝึกคือเจตนาตั้งตน สิ่งที่พึ่งพิงก็คือตนเอง หากในใจหวังพึ่งพิงผู้อื่นกลับจะเป็นการผูกมัดมรรคาแห่งตน และถูกกำหนดให้ไม่อาจกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!


ช่วยเหลือก็ส่วนช่วยเหลือ แต่หลินสวินคงไม่นำความหวังความเป็นตายของตนไปฝากไว้กับคนอื่นจนสิ้น


“หืม? ไม่สิ!”


สีหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง เขาไม่อาจสนใจเรื่องอื่นได้อีก หมายจะลุกขึ้นโดยพลัน


แต่ไม่ทันไรเขาก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมาคราหนึ่ง ความเจ็บปวดสาหัสทั่วสรรพางค์ทำให้เขาสูดหายใจเยียบเย็น


ก่อนหน้านี้ถูกพวกโก่วหยางป๋อสองคนตามล่าจนร่างกายเขาเจียนพังทลาย กลายเป็นตะเกียงไร้น้ำมัน บัดนี้แม้เคี่ยวกรำ ‘วิญญาณแห่งพลังจิต’ ออกมาแล้ว แต่อาการบาดเจ็บบนร่างยังคงสาหัสหาใดเปรียบ ไม่ใช่เรื่องดีเลย!


‘ไม่รู้ว่าเจ้าหมาแก่สองตัวนั่นตามมาหรือไม่…’


ในใจหลินสวินกระสับกระส่ายอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินนานแล้ว


‘ต้องรีบไปจากที่นี่โดยเร็ว!’


หลินสวินอดกลั้นความเจ็บปวดสาหัส แทบจะกัดฟันกรอดถึงได้บังคับลากร่างแหลกเหลวออกจากถ้ำแห่งนี้ไป


ประจวบเหมาะรุ่งเช้า ลมเย็นพัดโชย แสงยามเช้าอร่ามเรืองรอง ทิวเขาเขียวขจีห่อหุ้มด้วยเมฆหมอกยามเช้า เพริศพรายดั่งทองชั้นหนึ่ง


ที่ราบเงียบสงบ มีเสียงร้องเสียงคำรามของสัตว์ดังก้องเป็นครั้งคราว ทั้งหมดดูสงบสุขนัก ไร้กลิ่นอายอันตรายใดๆ


หลินสวินไม่กล้าประมาท มุ่งหน้าเดินทางห่างออกไป


เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสภาพร่างกายไม่ได้เลวร้ายลง กลับกลายเป็นว่ากำลังทำการซ่อมแซมและฟื้นฟูทีละน้อย


นี่คือความอัศจรรย์ของอมฤตแกนสุวรรณที่กลืนไปก่อนหน้า


เพียงแต่ในตอนนี้หลินสวินไม่อาจสำแดงพลังปราณได้อีก ได้แต่เดินเท้าในป่าเขาเพียงลำพัง


ไม่นานนักกระแสธารสายหนึ่งไหลเอื่อยจากห้วยลำธารแห่งหนึ่ง กวางเขียวตัวหนึ่งกำลังดื่มน้ำริมธาร


หลินสวินจิตใจไหววูบ โคจรวิชาลับ ‘ดวงใจฉิวหนิว’ สื่อสารกับมัน


ไม่นานนัก กวางเขียวตัวนั้นลังเลสักพักก่อนก้าวมาเบื้องหน้าหลินสวิน แลบลิ้นเลียกลางฝ่ามือหลินสวินแล้วค่อยคุกเข่าลงบนพื้น


หลินสวินยิ้มน้อยๆ ลูบศีรษะกวางเขียวเบาๆ แล้วจึงพลิกตัวขี่กวางเขียว เดินทางห่างออกไปผ่านป่าเขากว้าง


‘มีกลิ่นอายชวนประหวั่นราวอริยเทพปรากฏตัว ทำให้พื้นที่โดยรอบต่างตระหนก สรรพวิญญาณก้มหัวสวามิภักดิ์หรือ’


ระหว่างทางหลินสวินสื่อสารกับกวางเขียว และพบอย่างตกตะลึงว่าเมื่อวานบริเวณภูเขานี้มีเหตุไม่คาดฝันสะเทือนใต้หล้าเกิดขึ้น!


‘เกรงว่าคงเป็นร่องรอยของหญิงสาวปริศนาผู้นั้น ถึงได้มีอานุภาพเทียมฟ้าเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็เคยบอกตอนอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ว่าจะออกไปดูสักหน่อย…’


‘หากกล่าวเช่นนี้ เจ้าหมาแก่ระดับราชันสองตัวนั่นคงไม่ได้ตายในมือนางกระมัง’


นึกถึงตรงนี้ในใจหลินสวินพลันสะท้าน รีบสื่อสารกับกวางเขียว น่าเสียดาย ในความทรงจำของกวางเขียวไม่มีภาพจำเรื่องนี้


‘จริงสิ นางเคยบอกว่ายื่นมือช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง สันนิษฐานเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่’


‘อีกทั้งด้วยความสามารถของเจ้าหมาแก่สองตัวนั่น เกรงว่าเมื่อวานคงสามารถหาร่องรอยข้าพบ แต่จนถึงป่านนี้ดันไม่ปรากฏตัว ดูท่าคงประสบเคราะห์แล้ว!’


หลินสวินใคร่ครวญ ทำการวิเคราะห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปออกมา


‘มิน่าล่ะนางถึงบอกว่าช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง แต่นางแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่ ถึงสามารถสังหารเจ้าหมาแก่สองตัวนั่นอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงได้’


ในใจหลินสวินไม่อาจสงบอยู่บ้าง


‘ไม่ว่าอย่างไรสำหรับตอนนี้ สถานการณ์ของข้าเปลี่ยนเป็นปลอดภัยแล้ว ถึงเวลาหาสถานที่สงบเงียบทะลวงระดับปราณแล้ว…’


กวางเขียวบรรทุกหลินสวินพลางก้าวย่างอย่างมั่นคง ก้าวผ่านพื้นหินผาค่อยๆ ห่าออกไปเรื่อยๆ


ผ่านไปเจ็ดวัน


ในป่าเก่าแก่กลางหุบเขาผืนหนึ่งพลันมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งหาใดเปรียบแผ่พุ่ง ลอยทะยานเหนือห้วงฟ้า


ชั่วพริบตาฟ้าดินสั่นสะเทือน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมฆาเคราะห์โหมซัดสาดมาจากทั่วสารทิศ มืดฟ้ามัวดิน ดำสนิทราวน้ำหมึก แผ่กลิ่นอายอึดอัดหาใดเปรียบราวกับวันสิ้นโลกจวนมาเยือน


ครืน!


เสียงฟ้าร้องกัมปนาทดังก้องขึ้น เสมือนกลองยักษ์โบราณกาลไหวระรัว ถาโถมกระหน่ำเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินดังครืนครัน สายฟ้าเจิดจ้าพลุ่งพล่าน ไหลหลั่งบ้าคลั่งราวน้ำตก อุดมด้วยไอสังหารมลายล้างสรรพสิ่ง


สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในภูเขานี้ส่งเสียงร้องโหยหวนหวาดผวา วิ่งคลั่งกระเจิดกระเจิง ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไป เห็นชัดว่ามีเคราะห์สวรรค์สะเทือนใต้หล้ามาเยือน!


ส่วนอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังบางส่วนกลับเกร็งไปทั้งตัว ทอดมองจากที่ห่างไกล ขอแค่มีอันตรายเพียงนิดพวกเขาก็จะหลบลี้หนีหายในพริบตา


ครืน!


บนเวิ้งฟ้า อสนีเคราะห์ปั่นป่วน เปลี่ยนจากสีเจิดจ้าดุจเงินยวงเป็นสีแดงเลือดทีละน้อย หยาดย้อมห้วงอากาศ ประดุจโลหิตแห่งเทพกำลังลุกโหม!


สายฟ้าสีเลือดแดงสดแหวกผ่าอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายชวนประหวั่นเพียงพอทำให้สรรพชีวิตบนโลกหล้าสะท้านสะเทือน ปั่นป่วนห้วงนภากาศให้แหลกละเอียด


น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!


ชั่วขณะเดียวอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังเหล่านั้นล้วนตระหนก รู้สึกถึงความหวาดกลัวหาใดเปรียบ ขวัญหนีดีฝ่อ ที่แท้เป็นอริยเทพจากที่ใดกำลังข้ามด่านเคราะห์กันแน่ ทำไมถึงชักนำอสนีเคราะห์สะเทือนใต้หล้าเช่นนี้


ฟุ่บ!


ระหว่างที่พวกเขาพากันคาดคะเน เงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมา ทั่วร่างส่องสว่าง เงาร่างสูงสง่าเปี่ยมกลิ่นอายไร้เทียมทานผงาดผยอง มุ่งตรงไปยังเมฆาเคราะห์เหนือชั้นฟ้า


เฮือก!


ห่างออกไปไกล อสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทั้งหมดล้วนสูดหายใจหนาวเยือก ขนพองสยองเกล้า เจ้าหมอนี่เป็นใคร วิปริตเกินไปแล้วกระมัง นี่หมายจะเข้าไปรับเคราะห์สวรรค์ไร้เทียมทานด้วยตนเองหรือ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)