Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 822-829
ตอนที่ 822 จุดสูงสุดของระดับหนึ่ง
ระดับเจตจำนงแห่งมรรคคือระดับที่สองของการแจ้งมรรค เป็นระดับที่สูงกว่าระดับท่วงทำนองแห่งมรรค
เมื่อมาถึงระดับนี้ ผู้ฝึกปราณสามารถใช้พลังเจตจำนงแห่งมรรคหลอมรวมในมรรควิถีของตน อย่างเช่นในการต่อสู้หรือการฝึกปราณ
โดยทั่วไปแล้วแม้เป็นมหายุทธ์ที่เข้าถึงระดับกระบวนแปรจุติ ก็มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถหยั่งถึงและขัดเกลาพลังเจตจำนงแห่งมรรคจากฟ้าดินได้
แต่หลินสวินกลับสามารถมองทะลุเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำด้วยรากฐานพลังเพียงระดับหยั่งสัจจะ นี่ดูพิเศษมากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เหมือนใครในโลก นับได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดคนหนึ่ง
อาทิตย์ตกสาดแสงราวกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้
เงาร่างของหลินสวินปรากฏอยู่ตรงหน้าทะเลสาบสีมรกตอันเงียบสงบ
พื้นผิวของทะเลสาบใสราวกับกระจกที่เงาวาว สะท้อนภาพทิวทัศน์อย่างหมดจด พื้นที่บริเวณโดยรอบล้วนถูกฉายบนพื้นผิวของทะเลสาบอย่างละเอียดไม่มีขาดตก
และสภาวะจิตของหลินสวินก็สงบเงียบราวกับน้ำ นิ่งสงบและราบเรียบ สัมผัสและสำรวจความงามแห่งฟ้าดินที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนอย่างเป็นธรรมชาติ
ฟ้าดินมีความงดงามยิ่งใหญ่ แต่ไม่เคยใช้วาจาโอ้อวด ฤดูกาลทั้งสี่มีการหมุนเวียนสม่ำเสมอ แต่ไม่เคยอวดอ้าง สรรพสิ่งมีหลักการเติบโตที่แน่นอน แต่ไม่เคยสาธยาย มีเพียงการสงบใจสัมผัส จึงจะเข้าใจความหมายของมัน
นี่คือความวิเศษอย่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ หลังจากหยั่งถึงเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ ‘ใจสงบนิ่งดั่งน้ำ สามารถสะท้อนภาพสรรพสิ่ง’
หลินสวินยืนอยู่ริมทะเลสาบ ออกหมัดสำแดงความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์อย่างเงียบๆ
เขาไม่ได้ใช้พลังปราณ แต่ในหมัดของเขากลับแฝงไว้ด้วยนัยแห่งธาตุน้ำ ราวกับน้ำไหลเมฆเคลื่อน เรียบง่ายไม่มีตัวตน ไม่เจือปนกลิ่นอายโลกีย์แม้แต่น้อย ยอดเยี่ยมสุดจะพรรณนา
ฮวา~~
ในทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไป ผิวน้ำอันราบเรียบกระเพื่อมระลอกหนึ่ง ราวกับเกิดจากแรงหมัดอันไร้รูป
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ระลอกคลื่นบนทะเลสาบแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์โหมซัดสาด คำรามราวกับฟ้าร้อง ยกตัวปั่นป่วนเป็นเสาน้ำสูงร้อยจั้ง ราวกับมังกรน้ำมากมายถูกพลังหมัดดึงดูด คำรามอย่างเดือดพล่านอยู่ในอากาศ
จนกระทั่งตอนหลัง ฟ้าดินถูกเขาเติมเต็ม แสงน้ำอันเป็นประกายพุ่งทะยาน มีสภาพบรรยากาศที่ทรงพลานุภาพและทอดยาวติดต่อกันอย่างไร้ขีดจำกัดอย่างหนึ่ง
แม้แต่ฟ้าดินยังเริ่มสั่นสะเทือน หมู่เขารอบๆ สั่นไหว ต้นไม้เก่าแก่ที่เจริญงอกเงาเกิดเสียงดังแซ่กๆ
สัตว์อสูรบางส่วนที่อาศัยอยู่ในผืนป่าต่างหวาดหวั่น ล้วนกำลังหนีเอาตัวรอด
ตูม!
ตามการสำแดงวิชาหมัดที่ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ ของหลินสวิน จังหวะการสั่นสะเทือนของฟ้าดินยิ่งรุนแรงขึ้น ภูเขาทะเลสาบล้วนถูกแสงน้ำอันน่าสะพรึงท่วมท้นทั้งหมด
แม้อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ยังสามารถได้ยินเสียงอึกทึกของแรงหมัดและคลื่นที่ซัดสาด ราวกับสายฟ้าบนเก้าชั้นฟ้ากำลังสั่นสะเทือน
น่าทึ่งเกินไปแล้ว ไม่ใช้พลังวิญญาณ เพียงหลอมรวมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำให้เข้ากับแรงหมัด กลับแสดงอานุภาพอันน่าสะพรึงที่ฟ้าดินสะเทือนไหว สรรพสิ่งหวาดหวั่น!
หลินสวินในตอนนี้เงาร่างถูกล้อมรอบไปด้วยแสงน้ำมากมาย มีความรู้สึกไม่สมจริงเหมือนเป็นภาพมายา บริสุทธิ์อยู่เหนือโลกีย์
ครืน!
จู่ๆ เขาก็เก็บหมัด เท้าเหยียบย่างออกไป ชือน้ำแข็งตัวหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ยาวราวพันจั้ง ลำตัวประหนึ่งภูเขาที่คดเคี้ยว สีขาวเป็นประกาย แหงนหน้าครวญ ราวกับชือน้ำแข็งบรรพกาลที่แท้จริงปรากฏตัวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ขยับเคลื่อนอย่างน่าเกรงขามอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน!
ก้าวย่างชือน้ำแข็ง
โครม!
ชือน้ำแข็งสะบัดหาง เทือกเขาลูกหนึ่งบริเวณนั้นพลันถล่มเสียงดังสนั่น
ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ หลินสวินก็เงยหน้าขึ้น ตาทั้งคู่สาดแสงราวกับสายฟ้าสองสาย สองมือของเขาราวกับภาพมายา กดกลางอากาศเบาๆ คราหนึ่ง
ภาพชวนตะลึงปรากฏขึ้นแล้ว ยอดเขาที่เดิมถล่มทลาย กลับหยุดอย่างกะทันหัน ราวกับถูกกักขังอยู่ตรงนั้น
ฝุ่นควัน เศษหินที่กระเด็นล้วนหยุดชะงักทั้งอย่างนั้นไม่ขยับ ปรากฏเป็นสภาวะหยุดนิ่งอย่างหนึ่ง
ผนึกป้าเซี่ย!
ทุกอย่างยังไม่จบ หลังจากนั้นหลินสวินสำแดงความมหัศจรรย์แห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างประทับปี้อั้น ไอซวนหนี ปะทะฟู่ซี่ โทสะหยาจื้อ เสียงคำรามผูเหลาออกมาทั้งหมด
เพียงแต่ต่างจากที่ผ่านมา มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรที่หลอมรวมกับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ อานุภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากกว่าเท่าตัว!
จวบจนรัตติกาลมาเยือน หลินสวินยังคงสำแดงพลังยุทธ์ ใช้เจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำเป็นตัวนำ สร้างพลังต่อสู้ของตนขึ้นใหม่
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร
ตูม!
หลินสวินพลันเก็บมือ พลังอันน่าหวั่นหวาดที่สั่นสะเทือนอยู่กลางฟ้าดินราวกับเสียการควบคุมกะทันหัน กระจายหายไปโดยพลัน
และในเวลาเดียวกันนั้น ทั้งตัวหลินสวินแผ่พลานุภาพอันน่าพรั่นพรึงไปทั่วทุกทิศ เพียงพริบตาเดียว ในรัศมีร้อยลี้รรพสัตว์หมอบคลานกับพื้น ตัวสั่นระริก ตกใจจนทรุดตัวอยู่ตรงนั้น
นี่เป็นกลิ่นอายของมกุฎราชันอันสะท้านขวัญ เป็นอานุภาพหลังจากระดับหยั่งสัจจะเข้าถึงขั้นสมบูรณ์ ราวกับผู้นำแห่งราชัน ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทำให้พวกมันหวาดหวั่น ในใจเกิดความรู้สึกยอมจำนนที่ไม่อาจต้านทาน
‘นี่ต่างหากที่เป็นขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริง ในที่สุดข้าก็ทำได้แล้ว…’
ดวงตาของหลินสวินสาดฉายแสงเจิดจ้าฉีกทำลายความมืด เปล่งประกายท่วงทำนองปราณอันเป็นเอกลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบและว่างเปล่าไปทั่วทั้งร่าง
เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังที่เพิ่มพูนในร่าง แข็งแกร่งขึ้นกว่าในอดีตยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพลังจิตวิญญาณหรือพลังปราณล้วนเรียกได้ว่าพุ่งพรวดขึ้น!
ไม่นานปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดก็กลับคืนสู่ความสงบ ทะเลสาบราบเรียบ เต็มไปด้วยแสงดาวสีเงิน แสงคลื่นเป็นประกายระยิบระยับ หมู่เขาในระยะไกลเงียบสงบ ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางราตรี
มีเสียงร้องของแมลงดังขึ้นเป็นบางคราว ดูเงียบสงัดเป็นพิเศษ
หลินสวินมีความรู้สึกหนึ่ง ราวกับเพียงยกมือขึ้นก็สามารถเด็ดดวงดาวบนฟากฟ้าลงมาได้ เพียงย่างเท้าก็สามารถข้ามผ่านภูผาธาราไม่มีที่สิ้นสุด
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกหลังจากศักยภาพพัฒนาขึ้นเท่านั้น แต่หลินสวินแข็งแกร่งถึงขีดสุดอย่างแท้จริง หากบอกว่าเมื่อก่อนเขาเป็นราชันในระดับหยั่งสัจจะ สามารถปราบปรามศัตรูทุกคนได้
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ แม้เป็นราชันในระดับหยั่งสัจจะเช่นกันมาเยือน เขาก็มั่นใจว่าสามารถสยบคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย!
‘ต่อจากนี้ก็สามารถเริ่มเตรียมบรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้แล้ว!’
ใบหน้าของหลินสวินเผยรอยยิ้ม รู้สึกดีใจอย่างควบคุมไม่อยู่
เขาค้างอยู่ในระดับหยั่งสัจจะตั้งแต่ตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าแล้ว จนถึงตอนนี้ในที่สุดก็เข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นสมบูรณ์ นี่เหมือนกับการปีนขึ้นสู่ยอดเขาอันตรายลูกหนึ่งสำเร็จ มีความดีใจที่ประสบความสำเร็จและสามารถพิชิตมันได้
“อยู่นั่น!”
เสียงเยียบเย็นดังจากระยะไกล ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบกะทันหัน เพิ่มความอันตรายให้กับพื้นที่ใต้รัตติกาลแห่งนี้
“ลงมือ!”
ต่อจากเสียงตะโกน รัตติกาลถูกแสงอันเจิดจรัสส่องสว่าง พลันเห็นเงาร่างสี่ห้าร่างเปล่งประกายไปทั้งตัว ราวกับสุริยันที่เร่าร้อนพุ่งมาทางนี้
พวกเขาแต่ละคนกลิ่นอายน่าหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่าล้วนอยู่ในระดับกึ่งราชัน ทันทีที่โจมตีภูผาธาราแถบนี้ก็ต้านทานอานุภาพกดดันระดับนี้ไม่อยู่ ถล่มทลายเสียงดังสนั่น อากาศปั่นป่วน ทุกอย่างตกอยู่ท่ามกลางความสั่นสะเทือน
ในที่สุดอันตรายที่แท้จริงก็มาเยือนแล้ว!
หลินสวินหรี่ตาเล็กน้อย ราชันกึ่งระดับเริ่มเกาะกลุ่มเคลื่อนไหว นี่ไม่ใช่ลางดีอะไร เป็นการยืนยันว่าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเริ่มเอาจริงขึ้นมาแล้ว
ชิ้ง!
หลินสวินเรียกดาบหักออกมา เงาร่างพุ่งไปข้างหน้า เปิดฉากการต่อสู้ดุเดือด
เขาไม่มีความคิดที่จะหนี ตอนนี้พลังปราณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก ทั้งยังสามารถหยั่งถึงเจตจำนงแห่งมรรค กำลังกังวลว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้ให้เคี่ยวกรำฝึกฝนอยู่พอดี
อีกอย่าง หลินสวินเองก็อยากลองดูว่าดาบหักที่ควบคุมโดยมรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรค หลังจากหลอมรวมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำเข้าไปแล้ว อานุภาพจะน่ากลัวแค่ไหน!
……
ในหุบเขาลึกที่เต็มไปด้วยหินรูปทรงประหลาดแห่งหนึ่ง โก่วซวีสิงเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ภายใต้รัตติกาลด้วยสีหน้าเยียบเย็น
ข้างๆ เขายังมีผู้อาวุโสสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ต่างสวมเสื้อคลุมสีดำ ท่าทางแก่ชราไม่กระฉับกระเฉง แต่เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างง่ายๆ ก็มีกลิ่นอายกดดันอันสะท้านขวัญที่ชวนหายใจไม่ออก
พวกเขามีนามว่าโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทง ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน ชื่อเสียงเลื่องลือมานานปี ศักยภาพแข็งแกร่งกว่าโก่วขุ่ยที่ตายในมือหลินสวิน
สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับนี้ โดยทั่วไปน้อยมากที่จะปรากฏบนโลกอีก หากไม่ปิดด่านหยั่งรู้ความลับแห่งอมตะ ก็เตรียมความพร้อมเพื่อข้ามอมตะเคราะห์ เรื่องธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเชิญพวกเขามาออกหน้าได้
เพียงแต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องมา!
เหตุผลง่ายมาก ในฐานะที่เป็นราชันคนหนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ โก่วขุ่ยกลับตายอนาถอยู่ข้างนอกโดยไม่มีแม้แต่ศพให้เห็น ทำให้เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทั้งเผ่าสั่นสะเทือน ไม่สามารถกล้ำกลืนความเคียดแค้นนี้ได้
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา หลายที่ในแดนฐิติประจิมแพร่ข่าวกันกระฉ่อนว่าหลินสวินนั่นสยบยอดฝีมือเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอย่างต่อเนื่องเพียงลำพัง ทำให้เกิดคลื่นโกลาหลฮือฮาอย่างที่สุด และทำให้ชื่อเสียงของหลินสวินโด่งดังขึ้นมา เกียรติศักดิ์เพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก
แต่สำหรับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของพวกเขาแล้ว นี่กลับเป็นความอัปยศอดสูใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย!
หากไม่ฆ่าหลินสวิน ก็หมายความว่าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา แม้แต่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งยังสู้ไม่ได้มิใช่หรือ นี่จะให้พวกเขามีที่ยืนในแดนฐิติประจิมได้อย่างไร
“สังหารสุนัขมายาทมิฬทั่วหล้างั้นหรือ เด็กนี่… หลงระเริงจนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแล้วจริงๆ ครั้งนี้จะต้องป่นกระดูกเขาเป็นผงให้ได้!”
โก่วหยางป๋อพูดอย่างเย็นชา ร่างกายของเขาผอมซูบ ดวงตาเรียวยาว กลิ่นอายเย็นเยียบและเหี้ยมโหด
“ผ่านไปหลายวันขนาดนี้ กลับยังไม่ได้ยินข่าวว่าเขาถูกฆ่าเสียที ซวีสิง การคาดการณ์ของเจ้าผิดพลาดหรือเปล่า”
อีกด้านโก่วหยางทงขมวดคิ้วพูด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอย ดวงตาขุ่นมัว ดูแก่ชราอย่างมาก แต่ถ้าพูดถึงอานุภาพกลับไม่ด้อยไปกว่าโก่วหยางป๋อ
“ไม่มีทาง”
โก่วซวีสิงตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “คราวก่อนที่เขาหนีไปได้ ล้วนเป็นเพราะในมือเขามียานสำเภาที่น่าจะเป็นสมบัติอริยะ อีกทั้งที่ใต้เท้าโก่วขุ่ยประสบเคราะห์ก็เพราะบาดเจ็บสาหัสจากราชันอสูรเนตรทองนอเดียว หาใช่ฝีมือเด็กนี่”
“ใช่ ราชันกึ่งระดับทั้งสองอย่างโก่วซานและโก่วไห่ก็ล้วนถูกอสูรเนตรทองนอเดียวฆ่า หากลงมือจริงๆ เด็กนั่นไม่ใช่คู่มือของเราแน่!”
พูดถึงตรงนี้ความอัดอั้นและชิงชังอันยากจะอธิบายก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจโก่วซวีสิง คราวก่อนแพ้อย่างน่าอนาถเกินไปแล้ว!
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเด็กนั่น หากสู้กันซึ่งๆ หน้า แม้เจ้าหมอนั่นมีร้อยชีวิตก็คงไม่พอฆ่า
“แต่เหตุใดผ่านไปหลายวันขนาดนี้แล้ว จนตอนนี้ไม่เพียงไม่สามารถจับกุมเจ้านั่นได้ กลับเป็นฝั่งเราที่สูญเสียคนในเผ่ามากมายขนาดนั้น”
โก่วหยางทงสีหน้าเย็นชา “ซวีสิง ความผิดพลาดที่เจ้าก่อไว้ครั้งที่แล้วรุนแรงเกินไป หากไม่ใช่เพราะท่านปู่ของเจ้ามาร้องขอว่าให้โอกาสเจ้าทำความดีหักล้างความผิด เผ่าคงปลดตำแหน่งนายน้อยของเจ้าไปตั้งนานแล้ว และลงโทษขั้นรุนแรง”
เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดต่อว่า “หากเจ้าไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ความรุนแรงของผลลัพธ์ไม่ต้องให้ข้าพูดเจ้าก็คงรู้”
โก่วซวีสิงหนักอึ้งในใจขึ้นมา เอ่ยอย่างหน้าเขียวชิงชัง “ข้ารู้ เมื่อครู่นี้ข้าส่งราชันกึ่งระดับห้าคนเคลื่อนกำลังพร้อมกันแล้ว ในคืนนี้จะต้องเด็ดหัวเด็กนั่นมาได้แน่!”
โก่วหยางทงพูดเรียบๆ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น หากเจ้าทำไม่ได้ ก็มีแต่ต้องให้พวกเราลงมือ เพียงแต่ถึงตอนนั้น กลัวว่าเจ้าคงไม่สามารถทำความดีลบล้างความผิดแล้ว…”
โก่วซวีสิงหัวใจหดเกร็ง สีหน้ายิ่งโกรธจนเขียวขึ้นไปอีก
ครั้งนี้ในเผ่าส่งราชันสองคนอย่างโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงมา ดูไปแล้วเหมือนจะมาช่วยเขาสังหารหลินสวินด้วยกัน แต่ความจริงกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!
ตอนที่ 823 แข็งแกร่งเกินต้านทาน
เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแข็งแกร่งยิ่งนัก อำนาจกระจายไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ มีชาวเผ่าหลายหมื่น น่าตื่นตระหนกถึงที่สุด
และลูกหลานสายตรงระดับนายน้อยที่มีฉายา ‘บั่นพันเศียร’ อย่างโก่วซวีสิงก็ย่อมมีไม่น้อย
ผู้อื่นอาจไม่เข้าใจ แต่โก่วซวีสิงกลับรู้ดีว่าการแข่งขันภายในเผ่านั้นโหดเหี้ยมและนองเลือดปานใด
คิดจะเฉิดฉายออกมาในหมู่คนรุ่นเยาว์ ต้องมีศักยภาพเท่านั้น!
ที่โกวซวีสิงมีสถานะในเผ่าเช่นทุกวันนี้ได้ ก็ล้วนมาจากการเหยียบย่ำซากศพมากมาย เคี่ยวกรำฝ่าฝนเลือดคาวโลหิตถึงแลกมาได้
ดูเหมือนสะดุดตา แต่เขารู้ดีว่าทันทีที่ตนสูญเสียอำนาจ ภายในเผ่าต้องมีคนมากมายเหยียบตนให้จมดิน จนไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาได้อีก!
ดังเช่นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนที่ติดตามข้างกายเขาอย่างโก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทง ดูเหมือนมาช่วยเขาสังหารหลินสวิน
แต่แท้จริงแล้ว เจ้าสองคนนี้แทบอยากให้โก่วซวีสิงล้มเหลวหมดท่าเสียตอนนี้เลย
เหตุผลก็ง่ายดาย โก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทงเป็นผู้สนับสนุนนายน้อยระดับบั่นพันเศียรอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้กับขุมอำนาจของโก่วซวีสิง!
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ ต่อให้จะเสียหายรุนแรง ต่อให้โก่วซวีสิงส่งกำลังคนของตนไปตามฆ่าหลินสวิน ก็ไม่หมายให้โก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทงลงมือ!
เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาโก่วซวีสิงก็ไม่อาจนำความดีความชอบมาทดแทนความผิด ได้โอกาสพลิกแพ้เป็นชนะ!
‘ครั้งนี้ต้องชนะ!’
โก่วซวีสิงลอบกำหมัดแน่น
เขาเคยวิเคราะห์อย่างเยือกเย็นถึงสาเหตุที่ครั้งก่อนล้มเหลว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่าขอเพียงไม่ ‘หลงกลกับดัก’ เหมือนคราวก่อนอีก เคลื่อนกำลังราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันสังหาร หลินสวินนั่นจะต้องตายอนาถแน่!
ถึงขั้นที่โก่วซวีสิงยังสงสัยว่า ต่อให้เป็นผู้กล้าที่ได้รับการขนานนามว่าชั้นยอดไร้เทียมทานทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ เมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องประสบเคราะห์แล้ว
อย่างไรเสียนั่นก็เป็นราชันกึ่งระดับกลุ่มหนึ่ง!
ต่อให้ไม่ใช่ราชันที่แท้จริง พลานุภาพระดับนั้นก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ผู้กล้าแห่งยุคคนไหนจะรับมือได้
‘คืนนี้ข้าจะรอฟังข่าวดีอย่างสงบ จะพลิกสถานการณ์เหมือนพลิกฟ้าดิน ทำให้พวกระยำที่คอยซ้ำเติมเหล่านั้นหาข้ออ้างโจมตีข้าไม่ได้อีก!’
โก่วซวีสิงพึมพำในใจ สายตาชำเลืองมองไปยังพวกโก่วหยางทงที่อยู่ข้างๆ สีหน้าผสมปนเปไม่แน่นอน
…..
ในป่าเขา
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างดุเดือด รัศมีเทพม้วนตลบทำลายยอดเขา หินผาแตกทลาย เกิดเสียงโครมครามสนั่น
ตูม!
คมดาบที่เจิดจ้าราวหิมะโฉบมาจากบนภูเขาหินลูกหนึ่ง ฟันภูเขาสูงพันจั้งขาดสะบั้นราวตัดเต้าหู้ สภาพการน่าพรั่นพรึง สามารถตัดภูผาสะบั้นสมุทรดุจเซียนดาบบรรพกาลที่เล่าลือในตำนาน!
เงาร่างหลินสวินไหววูบเคลื่อนตัวไปในอากาศ ชือน้ำแข็งตัวหนึ่งชูคอส่งเสียงร้อง เกี่ยวกระหวัดร่าง สำแดงพลานุภาพน่าหวาดหวั่น
เพียงแต่แม้เป็นเช่นนี้ กลับยังคงไม่มีทางพลิกสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมได้
ราชันกึ่งระดับห้าคน แต่ละคนใช้พลังทั้งหมดที่มี พลานุภาพอัศจรรย์มหาศาล ใช้ทั้งวิชาลับและสมบัติวิญญาณปิดล้อมพื้นที่นี้จนน้ำยังไหลออกไปไม่ได้
โครม!
พวกเขาต่อสู้ดุเดือดขึ้นไปถึงชั้นฟ้าหลายครั้ง เสียงหวีดหวิวดังขึ้นหลายครั้งกลางป่าเขากว้างใหญ่ไพศาล ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าไหวเอน ผืนปฐพีแตกระแหงออกเป็นโกรกธารน่าหวาดหวั่นและแผ่ขยายออกไป
สิ่งมีชีวิตบางตัวหลบหนีไม่ทันก็ถูกสลายกลายเป็นจุณคาที่
สภาพเช่นนี้น่าตื่นตระหนกยิ่งนัก! หากเกิดขึ้นในเมืองต้องเป็นมหาภัยพิบัติที่หลั่งเลือดไร้ที่สิ้นสุดครั้งหนึ่งแน่
“ไอ้สวะตัวจ้อย ยังไม่ยอมมอบชีวิตให้หรือ”
ชายชราผู้หนึ่งพุ่งประจัญบานท่ามกลางเสียงตะคอกเย็นเยียบ
ในมือเขาใช้ม้วนภาพที่ส่องแสงเจิดจ้าภาพหนึ่ง ในภาพนั้นฉายปรากฏการณ์ในท้องฟ้าโคจรไปมา อักษรลับพลุ่งพล่านราวพายุฝน เต็มไปด้วยพลังพิฆาตน่าพรั่นพรึง
นี่เป็นสมบัติโบราณที่พิเศษอัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง ทันทีที่กางออกก็ราวกับปิดฟ้าคลุมดิน ปกคลุมสรรพสิ่งไว้ภายในนั้น หลอมทำลายจนสิ้นซาก
อีกด้านหนึ่งชายวัยกลางคนน่าเกรงขามผู้หนึ่งก็สะบัดข้อมือซัดทวนยาวสีเลือดเล่มหนึ่งออกมา เงาทวนหนักแน่นโจมตีผ่านห้วงอากาศ ปลดปล่อยพลังทะลุทะลวงน่าครั่นคร้ามไร้เทียมทานออกมา
นอกจากนี้ยังมีค้อนทองที่ปลดปล่อยสายฟ้าออกมา ประหนึ่งอสนีบาตเก้าชั้นฟ้าฟาดลงมาบนโลกา ไอสังหารวินาศทำลายล้าง
ส่วนรอบนอก กลับมีชายในชุดนักพรตผู้หนึ่งยืนอยู่ สีหน้าเขาเรียบเฉย โคมทองดวงหนึ่งลอยอยู่เหนือฝ่ามือ
โคมทองนี้โบราณและลี้ลับ ไส้โคมไหววูบ ดวงไฟเล็กละเอียดนับหมื่นพันพลิ้วไหวออกมา แปรสภาพเป็นมังกรเพลิงตัวยาวสีทองหนึ่งตัวบดบังพื้นที่แถบนี้
เมื่อมองลงมาจากเวิ้งฟ้า ที่นี่เจิดจรัสสะดุดตาราวโคมไฟสี่ทองนับหมื่นนับพันโชติช่วง แต่สภาพการกลับน่ากริ่งเกรงถึงที่สุด
ชายในชุดนักพรตที่ถือโคมทองเป็นกองหนุน ยับยั้งไม่ให้หลินสวินหนีไป
เมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมสังหาร หลินสวินก็กดดันทบทวี สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตัวเขาก่อนหน้านี้แม้เคยปลิดชีพราชันกึ่งระดับ แต่ล้วนอาศัยพลังของคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรแห่งนภาคราม
อย่างเช่นการสังหารกลุ่มราชันกึ่งระดับเผ่าพ่อมดเถื่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด หรือการฆ่าซุนเหิงผู้ก่อตั้งอาวุโสสำนักมุกวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้
ยังไม่เคยประจันหน้ากับราชันกึ่งระดับอย่างแท้จริงเลย
แต่ตอนนี้เมื่อหยั่งถึงเจตจำนงแห่งมรรคแล้ว ทำให้พลังปราณในกายทะลวงขั้นสมบูรณ์สูงสุดในระดับหยั่งสัจจะ หลินสวินถึงได้เริ่มประลองกับราชันกึ่งระดับอย่างแท้จริง
อีกทั้งยังเป็นตัวคนเดียวเผชิญหน้ากับการปิดล้อมของราชันกึ่งระดับห้าคนด้วย!
แรงกดดันมากมายอย่างแท้จริง ห้ำหั่นถึงตอนนี้ หลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดันมาโดยตลอด อย่าว่าแต่สังหารศัตรูเลย ขนาดจะฝ่าวงล้อมไปยังลำบาก
หากไม่ใช่ว่า หลังก้าวย่างชือน้ำแข็งหลอมรวมกับพลังเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำแล้วอานุภาพแปรเปลี่ยนไปอีกขั้นหนึ่ง เป็นไปได้มากที่หลินสวินจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปนานแล้ว!
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลินสวินก็ต้านทานความกดดันเช่นนี้ได้อยู่ดี!
อีกทั้งในการต่อสู้ดุเดือดนี้ หลินสวินกำลังขัดเกาตัวเอง ใช้มรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรคหลอมรวมกับพลังเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ แล้วนำสิ่งนี้มาสำแดงวิชาจิตขับเคลื่อนใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้ดาบหักเริ่มแสดงพลานุภาพที่แท้จริงแห่ง ‘ศาสตราจิต’!
ศาสตราจิต!
สมบัติลับที่หายากอย่างที่สุด แม้แต่ราชันที่แท้จริงยังมีน้อยนักที่ได้ครอบครอง ในสมัยบรรพกาล มีข่าวลือเหลือเชื่อมากมายเกี่ยวกับศาสตราจิต
ยามอัครบุคคลบรรพกาลบางคนใช้ศาสตราจิต สามารถสะบั้นฟ้าดิน ทำลายเวิ้งนภา ปั่นป่วนหยินหยาง น่าประหวั่นพรั่นพรึงหาใดเทียบ!
แม้ว่าดาบหักจะเสียหาย แต่อย่างไรก็เป็นศาสตราจิตจริงแท้ชิ้นหนึ่ง แต่ก่อนถูกจำกัดด้วยเรื่องพลังปราณ หลินสวินจึงไม่เคยสำแดงอานุภาพของดาบหักได้อย่างสมบูรณ์เลย!
แต่ตอนนี้ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปแล้ว คุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการหยั่งถึงเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำเกินกว่าจินตนาการ ทำให้การควบคุมดาบหักของเขาเริ่มต่างออกไปแล้ว…
โครม!
ชายวัยกลางคนน่าเกรงขามถือทวนยาวสีเลือดไว้ในมือ บดขยี้ห้วงอากาศ โจมตีทะลวงฟ้า ท่าทางสะท้านโลกา
เสียงปึงหนึ่งดังขึ้น ดาบหักหมุนคว้าง แสงบริสุทธิ์เปล่งปลั่งราวมายาไหลเอ่อ แม้ถูกสะเทือนให้ถอยไป แต่กลับสลายกระบวนท่าพิฆาตนี้ได้
นี่ทำให้ชายกลางคนนิ่วหน้า ออกจะทำใจเชื่อได้ยาก
พวกเขาราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือ กลับยังปลิดชีพเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งไม่ได้ในเวลาสั้นๆ นี่ย่อมดูเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
หากเรื่องนี้กระจายออกไป เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ!
ไม่เพียงแต่เขา ราชันกึ่งระดับคนอื่นก็ไม่อาจสงบใจได้เช่นกัน สายตาที่มองมายังหลินสวินแตกต่างไปจากเดิม
นี่เป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนกัน
อายุน้อยปานนี้ พลังปราณก็แค่ระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น แต่ภายใต้การปิดล้อมของราชันกึ่งระดับห้าคนกลับสามารถยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้ ไม่ต่างอะไรกับการเย้ยฟ้า!
ทอดสายตามองคนรุ่นเยาว์ทั่วจตุแดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ แม้แต่บุคคลที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุค ถ้าไม่ได้ใช้สมบัติลับเย้ยฟ้า เกรงว่ายังยากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้
แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มเช่นนี้คนหนึ่งกลับทำได้!
นี่น่าตื่นตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย ทันทีที่เผยแพร่ออกไป ต้องก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและความอึกทึกครึกโครมนับไม่ถ้วนแน่
“ฆ่า!”
ชายชราที่ในมือถือม้วนภาพปรากฏการณ์บนท้องฟ้าตะคอกเสียงดังว่า “ครั้งนี้จะให้เด็กนี่รอดไปไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้ว ไม่เพียงแต่นายน้อยจะติดร่างแหไปด้วย กระทั่งภายหลังยังอาจทำให้เผ่าเราเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากมหาศัตรูที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งด้วย!”
ตูม!
พลานุภาพของชายชรายิ่งน่ากลัว ม้วนภาพฉายภาพฟ้าดิน สุริยันจันทราและหมู่ดาราโคจร เกิดเป็นพลังทำลายล้างน่าหวาดหวั่น
ในขณะเดียวกัน ราชันกึ่งระดับอีกสี่คนล้วนหวาดหวั่นใจ รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหา
อิงจากรากฐานและศักยภาพน่าพรั่นพรึงที่เจ้าเด็กนี่แสดงออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อเขาเติบใหญ่จะต้องเป็นมหาศัตรูไร้เทียมทานดั่งเย้ยฟ้าผู้หนึ่ง!
“ฆ่า!”
พวกเขาล้วนกราดเกรี้ยว งัดฝีมือก้นกรุออกมา ในชั่วครู่เดียวรัศมีเทพเปล่งประกาย สมบัติวิญญาณทะยานฟ้า ส่องสว่างไปทั้งแถบนี้ สภาพการน่าตื่นตะลึงยิ่งขึ้น
เพียงแต่ในดวงตาของหลินสวินตอนนี้วาบแววเยียบเย็น พลันหัวเราะเสียงดังกล่าวว่า “ถึงตอนนี้ยังคิดจะฆ่าข้าหรือ”
“สายไปแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงตะคอกดัง ทั้งร่างเขาเกิดเสียงโครมราม รัศมีเทพสีเขียวอ่อนพวยพุ่งตลบไปทั่ว ทำให้ทั้งตัวเขาดุจดวงอาทิตย์สีเขียวดวงหนึ่ง สาดส่องฟ้าดินภูผาธาราแต่เพียงดวงเดียว
ภายในร่าง สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณราวลุกโหม บรรลุสภาวะสุดยอดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เวลานี้พลังจิตกลับสงบเยือกเย็นและผ่องแผ้วราวหิมะ
นี่เป็นพลานุภาพขั้นสูงสุด วิชาอริยะยุทธ์กับโทสะหยาจื้อโคจรเลือนลั่นในขณะนี้ ทำให้อานุภาพของหลินสวินแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับในชั่วครู่เดียว
“เจ้า…”
นัยน์ตาของชายชราที่ถือม้วนภาพหรี่ลง สีหน้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ใจสั่นระรัว ไม่คิดเลยว่ามาถึงตอนนี้แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้กลับปะทุพลานุภาพสะท้านโลกาเช่นนี้กะทันหัน
ฟึ่บ!
ดาบหักที่เจิดจ้าราวหิมะดั่งภาพมายาโฉบพุ่งออกไป และแตกต่างจากแต่ก่อน ด้วยบนพื้นผิวดาบหักมีลายมรรคที่คลุมเครือและลี้ลับชั้นแล้วชั้นเล่าพวยพุ่ง
กลิ่นอายน่ากริ่งเกรงนั้นทำให้ฟ้าดินล้วนหม่นหมอง ตกอยู่ในห้วงเสียงโหยหวนน่าหดหู่
ชายชราคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง ร้องเสียงดังว่าไม่เข้าทีแล้ว ก่อนต้านทานสุดแรง!
ฉัวะ!
ม้วนภาพในมือเขาฉีกขาดออกเป็นสองส่วนราวผืนผ้า
จากนั้นก็เกิดเสียงดังพรึ่บขึ้น ชายชราเพียงรู้สึกเย็นที่คอ ศีรษะก็กระเด็นขึ้นไปในอากาศ ไม่ทันได้โต้ตอบใดๆ
พลังเช่นนั้น เฉียบคมเกินไปแล้ว!
ขนาดพลังจิตของชายชรายังถูกฟันไปในเวลาเดียวกัน ถูกทำลายล้างในชั่วพริบตานั้น เพราะพลังลายมรรคที่ปกคลุมดาบหักน่าหวาดกลัวและไร้เทียมทานยิ่ง ราวกับไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจทำลายได้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งนัก ใครก็คิดไม่ถึงว่าเพียงดาบเดียวเท่านั้นจะถึงกับมีพลานุภาพสะเทือนฟ้าดิน ข่มขวัญผีสางเช่นนี้ได้!
อย่างไรเรียกแข็งแกร่งเกินต้านทาน
ก็เช่นนี้อย่างไรเล่า
ขนาดราชันกึ่งระดับยังยากสกัดกั้น ได้แต่กล้ำกลืนความแค้นที่ตั้งรับไม่ทันภายใต้คมดาบนี้!
ตอนที่ 824 ตายหมดแล้วหรือ
ดาบนี้ของหลินสวินดุดันยิ่งนัก แสงดาบดุจสายฟ้า ราวสายรุ้งไหววูบ จากนั้นก็สังหารราชันกึ่งระดับคนหนึ่งให้ตายคาที่!
ความว่องไวของหลินสวินทำให้ชายชราผู้นั้นทำใจเชื่อได้ยาก การโจมตีเช่นนี้ เหตุใดถึงออกมาจากมือของเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งได้
น่าเสียดายที่ไม่ทันให้ได้คิดมาก จิตวิญญาณก็ถูกทำลาย สิ้นชีพโดยสมบูรณ์
การตายของชายชราทำให้ราชันกึ่งระดับอีกสี่คนล้วนตื่นตะลึงแทบร้องออกมา พวกเขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร
นี่เป็นการโจมตีอย่างไรกัน
ช่างเหมือนไม่มีสิ่งใดที่ทำให้แตกหักไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำลายไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ แข็งแกร่งเกินต้านทาน!
ตูม!
อานุภาพที่เหลืออยู่ของดาบหักไม่ได้ลดลง ห้วงอากาศถูกตัดออกเป็นรอยแยกยาวไปถึงหน้ายอดเขา ยอดเขานั้นถูกซัดให้ราบ ไหวเอนโครมคราม
จากนั้นดาบหักก็ไหววูบแผ่วเบาแล้วกลับมาตรงหน้าหลินสวิน ทั้งร่างของหลินสวินในตอนนี้ส่องแสงเจิดจ้าราวสุริยัน ทำให้ผู้อื่นไม่อาจมองตรงๆ ได้
เขาเหมือนเทพเทวา ดาบหักเจิดจ้าราวหิมะวนอ้อมรอบกาย สั่นสะท้านจิตวิญญาณ ฉายแสงไปทั่วภูผาธารา
สวบ!
เขาไม่ได้ลังเล โคจรวิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้ออย่างเต็มกำลัง ทั้งตัวราวมีพลานุภาพที่สามารถกลืนกินบุพกาล ควบคุมดาบหัก กระโจนออกมาข้างหน้า
“เร็วเข้า! ลงมือพร้อมกัน!”
ชายกลางคนน่าเกรงขามคำรามเดือดดาล ถือทวนยาวสีเลือดฟาดฟันออกไป
อีกด้านหนึ่งสตรีที่อาบชโลมสายฟ้าเงาร่างไหววูบ ขยับค้อนทองสายฟ้า ชี้ขึ้นฟ้าแล้วตีลงมาอย่างฉกาจฉกรรจ์
เสียงสวบดังขึ้น ชายผอมบางอีกคนหนึ่งนัยน์ตายิงแสงเลือดออกมาราวภูตผี เรียกเหล็กหมาดแหลมเรียวเล่มหนึ่งออกมาแล้วโจมตีหลินสวินอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
ส่วนบุรุษชุดนักพรตที่ยืนอยู่รอบนอกก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
วิ้ง!
เขาดีดนิ้วมือเรียวยาวเบาๆ โคมทองที่อยู่ในมือเขาหมุนคว้างลอยสูงขึ้นกลางอากาศ เปลวเพลิงสีทองน่าหวาดหวั่นไหลพุ่งออกมาปกคลุมหลินสวิน ราวแปรสภาพเป็นเตาหลอมกลียุค
เปลวเพลิงสีทองไหลบ่าราวสมุทร เจิดจรัสงดงาม มีพลังแผดเผาน่าตื่นตระหนก เผาห้วงอากาศจนถล่มทลายเกิดเป็นโพรงสีดำมากมาย
ทวนโลหิต
ค้อนอัสนี
เหล็กหมาดแหลม
โคมทอง…
สมบัติอัศจรรย์มากมาย วิชาลับพรั่งพรู พาให้ฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในการต่อสู้ดุเดือดโหดร้ายหาใดเทียบ ฟ้ามืดดินหม่น หินทรายปลิวว่อน พร้อมกับเสียงระเบิดทลายโครมครามสนั่นหวั่นไหวจนหูแทบดับ
ทุกอย่างนี้ล้วนสำแดงพลานุภาพของราชันกึ่งระดับสี่คนออกมาอย่างหมดจด หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าจะถูกกำจัดตายคาที่ไปนานแล้ว
เพียงแต่ต่างจากเมื่อครู่ หลินสวินก็เปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิงเช่นกัน เจตจำนงแห่งมรรคอบอวลไปทั้งกาย รัศมีเทพครั่นครืน ทรงพลังและผงาดผยองถึงที่สุด
ดาบหักเคลื่อนไหวไปในอากาศราวอสนีบาตตระการตา เหมือนรุ้งเทพหวีดร้อง รวดเร็วอย่างน่าประหลาดหาใดเทียบ ทั้งคมดาบก็ไร้เทียมทาน!
บนผิวดาบพวยพุ่งไปด้วยสัญลักษณ์ลายมรรคคลุมเครือ คลื่นน่าหวาดหวั่นที่สั่นสะท้านจิตใจเทพมารปรากฏขึ้น ประหนึ่งสามารถกำราบทั้งผีและเทพ!
นี่เป็นพลังของราชันในขอบเขตระดับ ขนานนามว่ามกุฎมรรคาอันแข็งแกร่งที่สูง วิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้อถูกหลินสวินโคจรถึงระดับสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยสมบูรณ์
กระทั่งพูดได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินใช้พลังทั้งหมดที่มีอย่างไม่ออมมือเช่นนี้ พลังไพศาลที่ฮึกเหิมร้อนเร่า ต่อสู้ราวเพลิงลุกโหมเช่นนั้น ทำให้เขามีความเชื่อมั่นและความกล้าหาญว่าสามารถผลักดันเก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดินได้โดยสมบูรณ์ ไม่หวาดกลัวสิ่งใดก
ปัง!
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหล็กหมาดแหลมก็ระเบิดแหลก ชายผอมบางส่งเสียงร้องตื่นตระหนก ลุกลี้ลุกลนหลบหนี เพียงแต่เงาร่างกลับยังคงเชื่องช้า
นี่เป็นพลังของผนึกป้าเซี่ย สามารถสร้างผนึกไร้รูปได้ หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีทางใช้กับราชันกึ่งระดับได้เลย
เพียงแต่หลังจากหลอมรวมกับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ ผนึกป้าเซี่ยก็แปรสภาพ ทันทีที่สำแดงออกมา พลันเล่นงานจนอีกฝ่ายรับมือไม่ทัน
ต่อให้ทำได้เพียงทำให้เงาร่างของฝ่ายตรงข้ามช้าลง แต่ในการห้ำหั่นดุเดือดเช่นนี้ก็เพียงพอให้ถึงแก่ชีวิตได้!
ฉัวะ!
ไม่เหนือจากที่คาด หลินสวินคว้าโอกาสนี้ไว้ ดาบหักไหววูบแผ่วเบาก็ฟันบั้นเอวฝ่ายตรงข้ามขาด เลือดไหลราวน้ำพุ สิ้นชีพคาที่ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน
ถ้าว่ากันตามสามัญสำนึก ราชันกึ่งระดับถูกฆ่าตายได้ยากยิ่ง พลังจิตของพวกเขาให้กำเนิดจิตวิญญาณ ถูกพลังมหามรรคที่ตนครอบครองปกป้อง หากพลังจิตไม่ดับสิ้นก็มีโอกาสเย้ยความตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
แต่พลังของดาบหักน่าพรั่นพรึงมากเกินไป เป็นศาสตราจิตไร้เทียมทาน บนนั้นอบอวลไปด้วยพลังลายมรรคคลุมเครือ สามารถกำจัดพลังจิตได้ในชั่วพริบตา!
หรือพูดได้ว่า ขอเพียงถูกดาบหักสังหาร แม้แต่เซียนเทพมาก็ช่วยไม่ได้แล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ราชันกึ่งระดับอีกคนหนึ่งถูกฟัน!
ภาพนองเลือดนี้กระตุ้นให้ราชันกึ่งระดับอีกสามคนที่เหลือหน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง ตื่นตระหนกระคนเกรี้ยวกราดถึงที่สุด
คิดจนหัวแตกก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องประหลาดเหลือเชื่อเช่นนี้ !
ในใจพวกเขาสั่นระรัวจนไม่อาจสงบนิ่งได้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมคล้ำเขียว เมื่อสู้ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรุนแรงและน่ากลัวแล้ว
เพียงแต่ทั้งหมดนี้ล้วนดูไร้ประโยชน์
เวลานี้หลินสวินกำลังดำดิ่งกับการขัดเกลาอย่างหนึ่ง กำลังขัดเกลาอานุภาพใหม่เอี่ยมของดาบหัก เมื่อเขาค่อยๆ หลอมรวมมรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรคเข้ากับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ อานุภาพของดาบหักก็เพิ่มขึ้นทีละขั้นตามไปด้วย!
ดาบหักยิ่งเจิดจ้าขึ้นราวภาพนิมิต เผยคมสะท้านโลกออกมา แสงนี้แยงตานัก ทำให้ผู้อื่นไม่อาจมองจ้องใกล้ๆ ได้
ส่วนบนพื้นผิวของดาบ สัญลักษณ์ลายมรรคที่คลุมเครือตลบอบอวล พลานุภาพเช่นนั้นทำให้ตัวหลินสวินเองยังรู้สึกตื่นตระหนกและเหนือความคาดหมาย
นี่ถึงเป็นอานุภาพที่แท้จริงของดาบหักหรอกหรือ
หลินสวินรับรู้ว่า ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการครอบครองพลังเจตจำนงแห่งมรรค หรืออาจเป็นเพราะมีพลังเจตจำนงแห่งมรรค ถึงได้ปลุกอานุภาพที่แท้จริงภายในดาบหักได้!
ตูม!
ไม่นานนักค้อนทองสายฟ้านั้นก็ถูกโจมตีสลายไป แปรสภาพเป็นละอองแสงบ้าคลั่งปลิวล่อง
ส่วนหญิงรูปร่างอ้อนแอ้นแต่กลิ่นอายกลับอำมหิตและอหังการถึงที่สุดผู้นั้นหน้าถอดสี เงาร่างล้มลงโซซัดโซเซ หวีดร้องเสียงแหลม
ในที่สุดนางก็ตระหนกและหวาดผวา ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ดาบหักเล่มนั้นดุจเทววัตถุในมือเทพ ชั่วพริบตาเมื่อกี้นางแทบนึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว!
เปรี๊ยะ!
เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะตั้งสติจากอาการตื่นตระหนก ก็เห็นว่ากลางสนามรบ ชายน่าเกรงขามคนนั้นกับทวนยาวสีโลหิตในมือเขาล้วนถูกฟันออกเป็นสองท่อนในชั่วพริบตา!
ก่อนตาย ชายน่าเกรงขามยังคงตั้งท่าเคลื่อนไหวพุ่งประจัญบาน ดวงตากราดเกี้ยวเบิกกว้าง แต่ในที่สุดร่างของเขาก็แปรสภาพเป็นฝนโลหิตตกลงสู่พื้นสะเทือนเลือนลั่น พร้อมกับทวนยาวที่หักสะบั้น
ตายแล้ว!
ความหนาวสะท้านยากบรรยายบังเกิดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจแล้วแผ่ไปทั่วทั้งร่าง ทำให้หญิงผู้นั้นอกสั่นขวัญหายราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง
สวบ!
นางไม่ลังเลสักนิด หันกายจะหลบหนีเหมือนเสียสติ
ภาพแต่ละภาพเมื่อครู่นี้ดูเหลือเชื่อเกินจริงปานนั้น ทั้งยังนองเลือดและน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ทำให้ราชันกึ่งระดับอย่างนางรู้สึกหวาดหวั่นและกระวนกระวายใจ
นางไม่อาจจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นมีพลังน่ากลัวเช่นไรกันแน่ ถึงได้เย้ยฟ้าสะท้านโลกาเช่นนี้
และนางก็ไม่อาจคิดได้เช่นกันว่า ดาบหักที่เปล่งประกายราวภาพนิมิตมายานั้นเป็นสมบัติระดับใด ถึงได้มีพลานุภาพแข็งแกร่งเกินต้านทาน ไม่อาจเทียบเทียมได้เช่นนี้
นางเพียงรู้ว่า…
หากยังไม่หนีไป ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!
“โก่วอิง! เจ้าถึงกับทิ้งข้าแล้วหนีไปหรือ” เบื้องหลังมีเสียงคำรามเดือดดาลของชายถือโคมทองผู้นั้น น้ำเสียงเจือความผิดหวังหาใดเปรียบ
หญิงผู้ถูกเรียกว่าโก่วอิงกัดฟันไม่ปริปาก นางกำลังหนี หากยังอยู่ก็ต้องสิ้นชีพกันหมด ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดจะไม่หนีเล่า
ตูม!
เมื่อหนีออกมาได้ราวพันลี้ นางก็พลันได้ยินว่าในที่ไกลออกไปเกิดเสียงสั่นสะเทือนน่าครั่นคร้าม
โก่งอิงหันกายอย่างรวดเร็ว จิตรับรู้แผ่กว้าง ชั่วพริบตาก็จับสัมผัสได้ว่าภายบริเวณที่ห่างออกไป เปลวเพลิงสีทองพากันโปรยปรายลงมาราวละอองแสง บดบังฟ้าดิน งดงามเจิดจรัส
เพียงแต่ในบริเวณนั้นกลับไม่มีเงาร่างของชายในชุดนักพรตผู้นั้นอีกแล้ว
ตายแล้ว…
ในใจของโก่วอิงสลดหดหู่ นางไม่อาจจินตนาการได้ว่าพวกเขาซึ่งเป็นราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือ เพียงเพื่อต่อกรกับเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับมีจุดจบเช่นนี้
ในเวลาเดียวกันนางก็ลอบดีใจอย่างอดไม่อยู่ หากไม่ใช่ว่าหนีออกมาเร็ว ครั้งนี้เกรงว่านางก็ต้องประสบเคราะห์ไปด้วย เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งกองพลอย่างแท้จริง
หืม?
ร่างของโก่วอิงสั่นเทา ในสัมผัสรับรู้ของจิตรับรู้ เห็นว่าเด็กหนุ่มสูงโปร่งผู้นั้นกำลังมองมาทางตนจากไกลๆ
เงาร่างสูงโปร่ง แขนเสื้อโบกพลิ้ว ผมดำเปล่งประกาย ยืนอยู่เหนือห้วงอากาศที่เปลวเพลิงสีทองแผ่กระจาย ขับเน้นให้เงาร่างของเขาเปล่งประกายวูบวาบ ปกคลุมไปด้วยท่วงทำนองปราณลี้ลับและน่าพรั่นพรึง ราวเทพมารสะท้านสะเทือนโลกบรรพกาลในสมัยโบราณ!
แม้จะห่างกันพันลี้ โก่วอิงกลับคล้ายเห็นว่าดวงตาที่ลุ่มลึกราวหุบเหวคู่นั้นจ้องตนจากที่ไกลๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชาและไร้ความเห็นใจ
หนี!
โก่วอิงเหมือนถูกทำให้ตกใจเหลือล้น ไม่กล้าชักช้าอีก หันกายแล้วหนีไปทันที
เป็นถึงราชันกึ่งระดับที่มาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬผู้หนึ่ง กลับถูกทำให้ตกใจเช่นนี้ทั้งที่ห่างออกมาพันลี้แล้ว หากแพร่ออกไปต้องก่อให้เกิดคลื่นลมลูกมหึมาในแดนฐิติประจิมแน่
“ถือว่าเจ้าหนีได้เร็ว”
ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทองเต็มฟ้า หลินสวินที่ยืนตระหง่านกลางอากาศชักสายตากลับมา เขาไม่ได้ตามไป เงาร่างวูบไหวเริ่มจัดการสนามรบ
เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็ถือสมบัติเก็บของสี่ชิ้นรวมถึงโคมทองโบราณใบหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว หายลับไปในท้องฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่
บริเวณนั้นกลับคืนสู่ความเงียบสงบ เพียงแต่เต็มไปด้วยควันโขมงและความยุ่งเหยิง พื้นดินแตกออก ภูผาธาราทรุดทลาย ต้นไม้ใบหญ้าถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตตายอนาถกลายเป็นเถ้าถ่าน…
ทุกอย่างนี้ประหนึ่งกำลังบอกเล่าว่าการต่อสู้เมื่อครู่นั้นน่าพรั่นพรึงสะท้านโลกาเพียงไหน!
“คำนวณเวลาดูก็ควรมีข่าวออกมาแล้ว”
ในทะเลสาบกลางหุบเขา โก่วซวีสิงนิ่วหน้า ในใจเขาออกจะวิตกกังวลและกระวนกระวาย เพียงแต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งและสุขุม
“ซวีสิง หากยังร่ำไรต่อไปอีกก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลา พวกเราไม่ได้มีเวลามากมายมารอที่นี่ได้” โก่วหยางป๋อเอ่ยเสียงเรียบ ไม่พอใจอยู่บ้างแล้ว
“หึ หากให้พวกเราสองคนลงมือแต่แรกก็คงฆ่าเจ้าหนูนั่นตายไปนานแล้ว เหตุใดต้องรอกระทั่งตอนนี้ด้วย” โก่วหยางทงก็ส่งเสียงหึเย้ยหยัน
โก่วซวีสิงเดือดดาลอยู่ในใจ ด้วยรู้ว่าเจ้าสองคนนี้ไม่ได้เจตนาดี แทบอยากเห็นตนล้มเหลวแล้วซ้ำเติมทีหลัง ทำให้ตนไม่อาจเชิดหน้าในเผ่าได้โดยสมบูรณ์
“รออีกหน่อย” โก่วซวีสิงก็คร้านจะปกปิด น้ำเสียงแข็งกระด้าง เขาไม่กลัวว่าเจ้าสองคนนี้จะกล้าทำอะไรตน
พวกโก่วหยางป๋อเห็นเช่นนี้จึงนิ่วหน้า สุดท้ายก็ยิ้มหยัน ไม่กล่าวมากความอีก พวกเขาก็ไม่อยากบีบโก่วซวีสิงมากเกินไปเช่นกัน
“นายน้อย แย่แล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงที่เผยแววทุกข์ตรมหดหู่เสียงหนึ่งแว่วมาจากไกลๆ
เงาร่างของโก่วอิงปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงนี้ ใบหน้าพริ้งเพราของนางซีดเผือด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและไม่ยินยอม เหมือนไม่กล้าสบตาโก่วซวีสิงอยู่บ้าง
โก่วซวีสิงหน้าเปลี่ยนสีในทันใด เก็บกลั้นความตื่นตระหนกในใจแล้วพูดว่า “เป็นอะไรกันแน่ เหตุใดถึงมีเพียงเจ้าคนเดียวที่กลับมา พวกเขาเล่า”
“ตายหมดแล้ว…” โก่วอิงก้มหน้าต่ำ พูดออกมาอย่างยากลำบาก
เพียงแค่สามคำนี้ กลับเหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ทำให้โก่วซวีสิงแข็งทื่อไปทั้งตัว อึ้งงันอยู่เช่นนั้นโดยสมบูรณ์
ตายหมดแล้วหรือ
ตอนที่ 825 ไป่เฟิงหลิว
โก่วซวีสิงเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง
สีหน้าของเขาปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทรวงอกกระเพื่อมไหว ไม่มีความสงบนิ่งและสุขุมอีกแล้ว
ราชันกึ่งระดับห้าคนออกโจมตี กลับเหลือเพียงคนเดียวที่หนีกลับมาหัวซุกหัวซุน ส่วนอีกสี่คนที่เหลือประสบเคราะห์ทั้งสิ้น นี่ทำให้โก่วซวีสิงไม่อาจยอมรับได้
ความล้มเหลวคราวก่อนเป็นเพราะราชันอสูรเนตรทองนอเดียวตัวหนึ่งลงมือ เช่นนั้นแล้วคราวนี้เล่า
หรือเจ้าเด็กนั่นจะขอให้สิ่งมีชีวิตระดับราชันสักตนมาช่วยเขา
จากนั้นโก่วอิงก็เล่าเรื่องศึกใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างหมดเปลือก ทั้งแสดงอย่างชัดเจนว่าหลินสวินไม่ได้เป็นแค่ผู้กล้าแห่งยุคทั่วๆ ไป
พลังต่อสู้ของเขา รวมถึงวิชาลับและสมบัติที่ใช้ล้วนเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึงและเย้ยฟ้า ไม่มีทางใช้สามัญสำนึกทั่วไปมาประเมินได้
“เป็นเช่นนี้เชียว…”
เมื่อโก่วซวีสิงได้รู้ความจริงก็แทบจะพังทลาย เขารู้สึกว่าน่าขันเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งนะ ภายใต้การล้อมโจมตีของราชันกึ่งระดับห้าคน ไม่เพียงไม่ถูกสังหาร กลับถูกเขาเอาชนะในคราวเดียวได้อย่างนั้นหรือ
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ใครจะเชื่อกัน
เดิมทีในใจโก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทงยินดีปรีดานัก ออกจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่บ้าง ย่ามใจที่ได้เห็นโก่วซวีสิงพบความล้มเหลว
แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริงจากโก่วอิง พวกเขาก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันตา แววตาไหววูบไม่ว่างเว้น
“เด็กนี่ต้องก้าวเข้าสู่มกุฎมรรคาแล้วแน่ๆ อีกทั้งวิชาลับที่ครอบครองก็ต้องสะท้านโลกาหาใดเปรียบ”
โก่วหยางป๋อเอ่ยเสียงต่ำลึก “แต่หากเพียงเท่านี้ ยังไม่มีทางข้ามระดับใหญ่หนึ่งระดับไปฆ่าราชันกึ่งระดับได้”
“ใช่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคงจะอยู่ที่สมบัติที่เขาใช้ชิ้นนั้น!” โก่วหยางทงก็เอ่ยปาก ดวงตาขุ่นมัวปรากฏแสงน่าหวาดหวั่น
“และหากว่ากันเรื่องสมบัติในยุคปัจจุบัน แม้แต่ยอดศาสตรามรรคราชัน ก็ไม่มีทางสังหารราชันกึ่งระดับคนหนึ่งได้ซึ่งหน้า ถ้าสันนิษฐานเช่นนี้ สมบัตินี้ต้องเป็น…”
พูดถึงตรงนี้ ราชันทั้งสองอย่างโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงล้วนหนังตากระตุก พูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่า “สมบัติอริยมรรค!”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา โก่วซวีสิงและโก่วอิงล้วนหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด จิตใจไม่อาจสงบนิ่งได้
สมบัติอริยมรรคหรือ
เพียงแค่ความหมายที่คำนี้แสดงออกมาก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวขาดอากาศหายใจแล้ว
เพราะสมบัติชั้นนี้มีอานุภาพน่าหวั่นกลัวเหนือจินตนาการ ตามคำร่ำลือ สมบัติอริยมรรคที่แท้จริง เพียงกลิ่นอายก็สามารถกำราบจนราชันเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้!
โก่วหยางป๋อนิ่วหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ อาจจะเป็นศาสตราจิตชั้นยอดชิ้นหนึ่งก็ได้ แต่ว่าถ้าเป็นเช่นนี้จริง นั่นหายากยิ่งกว่าสมบัติอริยมรรคเสียอีก…”
ศาสตราจิต ไร้เทียมทานและหาได้ยาก ใช้วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงหลอมขึ้นมา พบเห็นได้ในสมัยบรรพกาลเท่านั้น ในโลกยุคปัจจุบัน ต่อให้เป็นราชันที่แท้จริงก็แทบจะครอบครองสมบัติเช่นนี้ได้ยาก
อานุภาพของศาสตราจิตอาจไม่น่ากลัวเท่าสมบัติอริยมรรค แต่มันกลับหายากกว่า กระทั่งว่าศาสตราจิตบางชิ้นก็เป็นสมบัติล้ำค่าแห่งอริยมรรค!
อย่างไรเสียศาสตราจิตก็เป็นเพียงนามเรียกทั่วไป หมายถึงสมบัติลี้ลับล้ำค่าที่สามารถใช้วิชาจิตขับเคลื่อนควบคุม
สบบัติอริยมรรคที่มีคุณประโยชน์เหลือเชื่อบางชิ้นก็มีพลานุภาพเช่นนี้เช่นกัน
“ยานสมบัติที่เหมือนสมบัติอริยมรรคชำรุดลำหนึ่ง ดาบหักที่เหมือนศาสตราจิตไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง… และพลังของเจ้าเด็กนี่ก็น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เป็นไปได้สูงที่จะก้าวเข้าสู่มกุฏมรรคา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ก่อนหน้านี้เจ้าเด็กนี่จะต้องเคยได้รับมหาศุภโชค!”
โก่วหยางทงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาวาวโรจน์ราวตัดรัตติกาล
“ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะลงมือแล้ว”
อีกด้านหนึ่งโก่วหยางป๋อก็ลุกขึ้นช้าๆ เอ่ยปากเสียงเบา
“ไป!”
ราชันทั้งสองไม่ลังเลสักนิด เงาร่างไหววูบ หายตัวไปในอากาศ
ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้ถามความเห็นของโก่วซวีสิงเลย ประหนึ่งละเลยเขาไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่พวกเขาแน่ใจว่าหลินสวินมีศุภโชคอยู่กับตัว ตัวตนของหลินสวินก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้สำเร็จ
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ต่อให้มีฐานะเป็นราชัน แต่พวกเขาก็มีความปรารถนาต่อสมบัติอริยมรรคอย่างยิ่งยวด!
……
ครู่เดียวโก่วซวีสิงก็สีหน้าเหยเกหาใดเทียบ โกรธจนกัดฟันกรอด
เขารู้ว่าพริบตาที่ตาแก่สองคนนี้เคลื่อนไหว เขาก็ไม่มีโอกาส ‘ทำความดีชดใช้ความผิด’ อีกแล้ว ที่รอเขาอยู่ต้องเป็นบทลงโทษรุนแรงจากเผ่า รวมถึง…
การโจมตีและเหยียบย่ำที่เข้ามาซ้ำเติมเขานับไม่ถ้วน!
ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้จะเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้อีก!
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้… ทำไม… ทำไมกัน…”
โก่วซวีสิงยิ่งคิดยิ่งไม่ยินยอม ตัวเขามีสัญญาณคล้ายพังทลาย อกสั่นขวัญแขวน
“นายน้อย ไม่แน่ว่าสถานการณ์อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิดก็ได้ แม้เป็นตาแก่สองคนนั้นลงมือ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่พ่ายแพ้ล่ะ”
โก่วอิงพลันเอ่ยปาก ทำให้โก่วซวีสิงผงะไป
“ท่านคิดดูสิ ถ้าตาแก่สองคนนั้นล้มเหลวขึ้นมา ผลลัพธ์นั้นก็ยิ่งรุนแรง ความรับผิดชอบก็ไม่ได้อยู่ที่นายน้อยด้วย อย่างไรเสียขนาดราชันยังทำอะไรเจ้าเด็กนั่นไม่ได้ นับประสาอะไรกับท่านเล่า”
คำพูดของโก่วอิงราวมีมนตร์สะกด ทำให้โก่วซวีสิงที่เดิมทีหดหู่กลัดกลุ้มหาใดเปรียบกลับมาสุขุมเยือกเย็นในทันใด
“เจ้ากำลังบอกว่าตาแก่สองคนนี้ก็อาจจะคว้าน้ำเหลวกลับมาหรือ” โก่วซวีสิงกล่าวอย่างลังเล
“ก่อนที่ผลลัพธ์ของเรื่องราวจะออกมา ใครก็ไม่อาจรับประกันได้”
ดวงตาโก่วอิงไหววูบ “แต่นายน้อยอย่าลืมว่า คราวก่อนใต้เท้าโก่วขุ่ยก็ลงมือเอง ก็ไม่ใช่ว่า…”
พูดยังไม่ทันจบ ความคิดก็แสดงออกมาอย่างหมดสิ้น
โก่วซวีสิงสงบเยือกเย็นลงโดยสมบูรณ์ เพียงแต่ในใจเขายังสิ้นหวังดังเดิม เดิมทีโก่วขุ่ยถูกราชันอสูรเนตรทองนอเดียวโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงได้ประสบเคราะห์
แต่ครั้งนี้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับระชันสองคนร่วมกันลงมือ เจ้าเด็กนั่นจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร
พูดไปก็น่าเศร้า เวลานี้โก่วซวีสิงกลับไม่ต้องการให้หลินสวินตายไป
เพื่อรักษาตำแหน่งในเผ่าของตนไว้ เขากลับไม่อาจควบคุมให้ตนไม่คิดเช่นนี้ ความรู้สึกย้อนแย้งพรรค์นี้ทรมานจิตใจเขาดุจยาพิษ
“หวังว่า… จะเป็นเช่นนี้เถิด…”
ครู่ใหญ่โก่วซวีสิงถึงถอนหายใจลึกๆ สีหน้าเขาปรวนแปรไม่แน่นอน ดูน่าสะพรึงกลัวอยู่บ้างภายใต้รัตติกาล
……
“ออกมา!”
แนวเขาสูงต่ำเป็นระลอกท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี หลินสวินที่กำลังเหินทะยานอยู่พลันหยุดฝีเท้า ดวงตาราวสายฟ้ามองไปยังที่ไกลออกไปโดยฉับพลัน
“ถ้าไม่ปรากฏตัวอีก ก็อย่าโทษที่ข้าจะฟันเจ้า” มุมปากของหลินสวินยกขึ้น
“คุณชายโปรดอย่าขุ่นเคือง”
ทันใดนั้นในที่มืดใต้ตัวเขา เงาร่างเงาหนึ่งก็กระโจนผลุงขึ้นมา คารวะซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่เหงื่อผุดเต็มหน้า เอ่ยว่า “ข้าผู้ชราไป่เฟิงหลิวแห่งเผ่าวาทวาโย รออยู่ที่นี่เพียงเพื่อสอบถามเรื่องราวบางอย่างจากคุณชายขอรับ”
นี่คือชายชราผู้หนึ่ง รูปร่างผอมบาง ผิวดำคล้ำ ท่าทางจริงใจตรงไปตรงมา
ความจริงแล้วเขาเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ประกายแสงที่ฉายออกมาอย่างไม่รู้ตัวจากดวงตาคู่นั้นทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่า ตาแก่ผู้นี้ไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่แสดงออก
หลินสวินร้องอ้อ คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าอยากถามอะไร”
ไป่เฟิงหลิวหรือ
ชื่อนี้ไม่เห็นสมกับความจริงเลย !
กลับเห็นว่าไป่เฟิงหลิวหัวเราะแห้งๆ สองครั้งก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “คุณชาย ตอนนี้ท่านมีกิตติศัพท์ระบือไกล ชื่อเสียงสะเทือนสี่สมุทร เสมือนเป็นหนึ่งในบุคคลไร้เทียมทานที่ถูกจับตามองอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ไปแล้ว ช่วงนี้ไม่รู้ว่ากิตติศัพท์ของท่านจะเกริกก้องในเมืองต่างๆ อีกไม่รู้เท่าไร…”
“เลิกพูดจาไร้สาระแล้วเข้าประเด็นเสียที” หลินสวินเอ่ยตัดบทอย่างไม่เกรงใจ
ไป่เฟิงหลิวหัวเราะอย่างอักอ่วนแล้วพูดว่า “เอ่อ ความจริงก็ง่ายดายนัก ข้าผู้ชรามาจากเผ่าวาทวาโย เพียงต้องการทราบเรื่องความแค้นของท่านกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ อีกทั้งยังต้องการทราบสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างท่านกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตลอดทางมานี้”
หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตาแก่นี่แจ้นมาถึงพื้นที่รกร้างห่างไกลเช่นนี้ ก็เพื่อสืบเรื่องพวกนี้หรือ
นี่ทำให้หลินสวินนับถืออยู่บ้าง เผ่านี้ไม่เสียแรงที่เป็นชนเผ่าที่ข่าวสารรวดเร็วที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ ทันทีที่จะสืบข่าว ก็วิ่งมารวดเร็วกว่าใคร
แต่ในใจนับถือก็ส่วนนับถือ หลินสวินไม่คิดจะถูกตาแก่นี่ ‘สัมภาษณ์’ จึงปฏิเสธไปตรงๆ แล้วหันกายจากไป
ล้อเล่นน่า ตอนนี้เขาถูกตามฆ่าอยู่ จะไปแพร่งพรายข่าวคราวเกี่ยวกับตัวเองได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าหลินสวินปฏิเสธอย่างหมดจดเช่นนี้ ไป่เฟิงหลิวก็งงงวยในทันใด ครู่หนึ่งถึงพึมพำว่า “ผู้โดดเด่นวัยเยาว์คนอื่น เมื่อได้ข่าวว่าพวกเราเผ่าวาทวาโยจะมาสืบข้อมูลจากพวกเขา ต่างอยากเล่าเรื่องที่น่าลำพองใจที่สุดในชีวิตของพวกตนให้พวกเราเผ่าวาทวาโยได้กระจายกิตติศัพท์ของพวกเขาออกไป แต่ดูเจ้าหมอนี่สิ ไม่สนใจเลยสักนิด ไม่เข้าใจจริงๆ…”
แม้ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ไป่เฟิงหลิวยังต้องปลุกจิตใจตัวเองให้ฮึกเหิม แล้วไปสืบข่าวที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินอย่างเต็มที่
ช่วยไม่ได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ในเขตแดนสิบกว่าแคว้นของแดนฐิติประจิม ต่างมีข่าวเกี่ยวกับศึกใหญ่ของ ‘เทพมารหลิน’ กับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกระจายไปอย่างกว้างขวาง
อีกทั้งข่าวนี้ยังอึกทึกครึกโครมถึงที่สุด คลื่นลมที่ก่อขึ้นมหึมานัก กระทั่งตอนนี้ยังถ่ายทอดด้วยความเร็วน่าตะลึงไปทั่วแดนฐิติประจิม
อย่างไรเสียในรุ่นเยาว์ เทพมารหลินย่อมเป็นผู้โดดเด่นคนแรกที่กล้าท้าทายเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีผลการต่อสู้ชโลมเลือดมาพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่แค่คุยโว
โดยเฉพาะประโยคนั้นของเขาที่พูดว่า ‘จะสังหารสุนัขมายาทมิฬทั่วหล้า’ ยิ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแลกเปลี่ยนกันอย่างแข็งขัน
และตอนนี้ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างรู้ว่า หลังจากเทพมารหลินออกจากเมืองก่วมหิมะ ก็ถูกผู้แข็งแกร่งที่เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬส่งมาตามสังหาร
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนเริ่มติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พากันสันนิษฐานว่าคราวนี้เทพมารหลินจะประสบเคราะห์หรือไม่ ทั้งจะสามารถฝ่าเส้นทางสายโลหิตแล้วจากไปอย่างยิ่งใหญ่ได้หรือเปล่า
ส่วนเผ่าวาทวาโยที่มองว่าการถ่ายทอดข่าวในใต้หล้าเป็นความรับผิดชอบของตนย่อมไม่อาจละเลยเรื่องนี้ได้ ส่งสายสืบจำนวนมากไปสืบข่าวรอบด้าน
ไป่เฟิงหลิวก็เป็นสายสืบที่อาวุโสที่สุดคนหนึ่ง เขามากด้วยประสบการณ์ มีกิตติศัพท์ว่าเป็น ‘ไป่ผู้เจนจัด’
“โธ่ น่าเสียดายนะ ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะรอจนเจ้าหนูนี่มาถึง แต่เจ้าหนูนี่กลับไม่ร่วมมือ… ดูท่า มีแต่ต้องให้ข้าไปสืบเสาะเองเสียแล้ว…”
ไป่เฟิงหลิวถอนหายใจ จากนั้นก็ปลุกใจให้ฮึกเหิม ตามรอยไปตามทางที่หลินสวินจากมา ไม่ได้ไล่ตามเด็กหนุ่ม
นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาบ่มเพาะมานานปี สัญชาตญาณบอกเขาว่าทางที่หลินสวินจากมานี้ต้องผ่านศึกนองเลือดมามากมาย
ในเมื่อมีการต่อสู้ ก็ต้องมีสนามรบเหลือทิ้งไว้ หลินสวินอาจจะไม่อยากแพร่งพรายเรื่องเหล่านี้ แต่ขอเพียงหาสนามรบพบ ก็จะสืบหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการต่อสู้ได้!
ดังคาด ไม่นานนักไป่เฟิงหลิวก็ตามหาสนามรบที่เสียหายไปทั่วได้
เพียงแต่ชั่วขณะที่เขาได้เห็นสนามรบนี้ ด้วยประสบการณ์ขึ้นเหนือล่องใต้มานานปี ได้ผ่านหูผ่านตามามากของเขา ก็ยังทำให้เขาตัวแข็งทื่อ สูดหายใจเยียบเย็นอย่างอดไม่ได้
ตอนที่ 826 ลมพัดใต้หล้า
สนามรบครอบคลุมพื้นที่พันลี้ ภูผาธาราถล่มทลาย พื้นดินแตกระแหง ต้นไม้ใบหญ้าแปรสภาพเป็นเถ้าธุลี เห็นแต่วินาศภัยเต็มตา
ไป่เฟิงหลิวมีฐานะเป็นสายสืบเผ่าวาทวาโยที่มากประสบการณ์คนหนึ่ง เพียงครู่เดียวเขาก็รับรู้ได้ว่าที่นี่เคยเกิดศึกนองเลือดสะท้านโลกาขึ้น!
“หึ เจ้าหนูแม้เจ้าไม่ต้องการแพร่งพรายข่าวออกไป แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนหัด สนามรบตรงหน้านี้ก็มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับเจ้าให้ข้าขุดได้!”
ไป่เฟิงหลิวเผยรอยยิ้ม เมื่อคิดว่าตนจะขุดคุ้ยข่าวที่สามารถทำให้ผู้คนในใต้หล้าใจสั่นระรัวข่าวหนึ่ง ในใจเขาก็อดเต้นระส่ำไม่ได้ รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจอย่างควบคุมไม่อยู่
สวบ!
เขาไม่รีรอแล้ว เงร่างวูบไหว เริ่มสืบเสาะในสนามรบอย่างรอบคอบ
ไป่เฟิงหลิวในเวลานี้ดูตั้งใจจดจ่อ ไม่วอกแวกเลยสักนิด ถึงกับมีกลิ่นอายศรัทธาแรงกล้า
แต่ละวิชาชีพมีศาสตร์เฉพาะต่างกันไป ผู้ฝึกปราณอื่นอาจเชี่ยวชาญการศึก การหลอมอาวุธ การหลอมยา การเลี้ยงสัตว์ การปลูกพืชวิญญาณ…
ทว่าสำหรับพวกเขาเผ่าวาทวาโยแล้ว การเสาะหาและเผยแพร่ข่าวสารเป็นความสามารถที่พวกเขามีมาแต่กำเนิด!
ไม่นานนักไป่เฟิงหลิวก็พบร่องรอยการต่อสู้ครั้งนี้มากมาย เพียงแต่ยิ่งเขาพบร่องรอยมากขึ้น เขากลับไม่อาจสงบใจให้เยือกเย็นได้แล้ว
“สวรรค์! มีกลิ่นอายแตกต่างกันของราชันกึ่งระดับห้าแบบ นี่ไม่ได้หมายความว่าที่นี่มีราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือหรอกหรือ”
“สนามรบครอบคลุมพื้นที่พันลี้ ภูเขาถล่มทลาย ผืนดินถูกตีแตก แน่ใจได้ว่าศึกนี้ต้องดุเดือดถึงที่สุด และยืดเยื้อไปช่วงเวลาหนึ่ง… บ้าเอ๊ย! ราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือยังฆ่าเจ้าหนูนี่ไม่ตายหรือ นี่มันเย้ยฟ้าเลยนะ!”
“เอ๊ะ เศษสมบัติมรรคราชัน! ทวนยาวสีเลือดหักสะบั้น ม้วนภาพที่ถูกฉีกขาด ซากค้อนยักษ์ที่แหลกละเอียด… พวกมัน… ถึงกับถูกทำลายจนสิ้นเลยหรือ”
“ไม่สิๆ ในสนามรบพบเศษซากศพที่หลงเหลืออยู่หลังราชันกึ่งระดับสี่คนสิ้นชีพไป นี่น่าจะพิสูจน์ได้ว่ายังมีราชันกึ่งระดับอีกคนหนึ่งหนีไปแล้ว…”
ท่ามกลางรัตติกาล ตาแก่ผอมแห้งราวไม้ไผ่ผู้หนึ่งกระโดดไปมาในบริเวณนั้นเหมือนหนูนา ปากก็ร้องโวยวายดังบ้างค่อยบ้างปนเปกันไป ดูประหลาดและน่าขัน
เพียงแต่ตัวไป่เฟิงหลิวเองกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าเวลานี้สีหน้าเขาผันแปรไม่ว่างเว้น ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจจนแทบจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่อยู่
ครู่ใหญ่เขายืนนิ่งแล้วพ่นลมหายใจยาว พูดพึมพำอย่างเหม่อลอยอยู่บ้างว่า “ถ้าข้าแพร่ข่าวศึกนี้ออกไป ต้องถูกหาว่าเสียสติแล้วแน่ๆ… ให้ตายสิ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เวลานี้ไป่เฟิงหลิวถึงค่อยๆ สงบใจขึ้นมาบ้าง เขาตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่เขาก็ต้องเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป!
นี่คือความเป็นมืออาชีพในฐานะของลูกหลานเผ่าวาทวาโยคนหนึ่ง
“แต่จะเผยแพร่ข่าวนี้อย่างไรดีถึงจะยิ่งน่าเชื่อถือล่ะ”
ไป่เฟิงหลิวตกอยู่ในภวังค์ความคิด สุดท้ายเขาก็กัดฟันแล้วนำใบไม้อัศจรรย์สีทองเจิดจ้าราวใบลานใบหนึ่งออกมา
นี่คือใบไม้ของต้นข่าวสารสีทอง ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งปริมาณก็น้อยนิด แม้แต่ในเผ่าวาทวาโยก็มีคนในเผ่าส่วนน้อยเท่านั้นที่ครอบครองได้
และในสถานการณ์ทั่วไป ต้องพบเรื่องใหญ่โตครึกโครมถึงที่สุดเท่านั้นถึงสามารถเลือกใช้ใบไม้ของต้นข่าวสารสีทองมาจารึกข่าวได้
“ให้ตายสิ! ข้าจนตรอกแล้ว จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็คราวนี้ล่ะ ยามข่าวนี้สะเทือนเลือนลั่นแดนฐิติประจิม ข้าก็สามารถไปขอใบไม้ของต้นข่าวสารสีทองจากเผ่าเพิ่มได้อย่างชอบธรรม!”
ไป่เฟิงหลิวกัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด
ต่อมาเขาก็เริ่มสำแดงวิชาลับ ใบไม้สีทองส่องแสงเจิดจ้าฉายจอภาพออกมา แล้วเริ่มจารึกร่องรอยและรายละเอียดในสนามรบแห่งนี้
สำหรับไป่เฟิงหลิวแล้ว ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าข่าวที่ตนเผยแพร่ออกไปไม่ได้แต่งขึ้น จึงจะทำให้ทุกคนในโลกเชื่อเรื่องศึกนองเลือดสะท้านโลกอันเหลือเชื่อนี้ได้!
เมื่อทำทุกอย่างนี้จนเสร็จสิ้น เขาเพียงรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตั้งหน้าตั้งตาคอยยิ่งนัก
เขาคาดการณ์ได้ว่าเมื่อตนกระจายข่าวนี้ออกไป ในแดนฐิติประจิมต้องเกิดความครึกโครมใหญ่ราวภูผาถล่มทะเลหวีดร้องแน่!
เด็กหนุ่มเทพมารระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง กลับประจันหน้ากับราชันกึ่งระดับจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬห้าคนโดยลำพังได้ ท้ายที่สุดด้วยมาดผยองเย้ยฟ้า ยังปลิดชีพไปสี่คน หลบหนีไปหนึ่งคน!
นี่ กวาดตามองไปยังผู้กล้าแห่งยุคในรุ่นเยาว์ทั่วทั้งแดนฐิติประจิม ใครจะทำได้กัน
หืม?
จู่ๆ ไป่เฟิงหลิวที่ตกอยู่ในห้วงความคิดบ้าคลั่งก็พลันแข็งทื่อไปทั้งตัว สัญญาณอันตรายถึงที่สุดผุดขึ้นในใจ ทำให้เขาขนลุกเกรียว
ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีชายชราสวมอาภรณ์สีดำสองคนก้าวเดินผ่านห้วงอากาศจากที่ไกลลิบ
ราชันระดับสังสารวัฏ!
เหงื่อกาฬผุดพรายทั่วร่างไป่เฟิงหลิว ในใจประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวด เขาขึ้นเหนือล่องใต้หลายปีมานี้ สายตาคู่นี้ขัดเกลาจนร้ายกาจหาใดเทียบมานานแล้ว มองปราดเดียวก็ดูออกว่าสองคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าราชันที่มาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
ซวยแล้ว…
เมื่อไป่เฟิงหลิวคิดขึ้นได้ ว่าข่าวที่ตนจะเผยแพร่ออกไปเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดผลแง่ลบอย่างยิ่งยวดต่อเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ เขาก็มีความรู้สึกว่าตนเสียท่าเข้าแล้ว
“หึ! แมลงหวี่สมควรตายพวกนี้อีกแล้ว ช่างแทรกซึมเก่งเสียจริง ที่ไหนๆ ก็มีร่องรอยของพวกมัน”
เหนือห้วงอากาศ โก่วหยางทงส่งเสียงหึหยันดุจอสนีบาต สะท้านขวัญจนไป่เฟิงหลิวสั่นเทาไปทั้งตัว ทรุดลงกับพื้น
เพียงแต่ในตอนที่เขานึกว่าตนจะเสียท่า กลับได้ยินเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น…
“ช่วยข้าอย่างหนึ่งแล้วจะไว้ชีวิตเจ้า” เป็นเสียงที่โก่วหยางป๋อเปล่งออกมา
ไป่เฟิงหลิวผงะไป พยักหน้าไม่ว่างเว้น “ขอผู้อาวุโสสั่งมา”
“กระจายข่าวหนึ่ง บอกว่าคนที่กล้าติฉินนินทาเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทุกคนต้องชดใช้ความผิดด้วยชีวิต”
เมื่อพูดจบโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงก็ทะยานอากาศจากไปด้วยกัน ชั่วพริบตาก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
เฮือก!
ไป่เฟิงหลิวสูดหายใจลึกเยียบเย็น หน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนนี้จะร่วมกันสังหารเทพมารหลินหรอกหรือ
ทว่าครู่ต่อมาเขาก็หัวเราะเสียงดังออกมา สีหน้าลิงโลดกล่าวว่า “สวรรค์! ท่านดีกับข้ามากไปแล้ว! พิสูจน์ข่าวใหญ่ปานนี้ได้ ภายหลังข้ายังต้องกังวลว่าจะไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในเผ่าอีกหรือ”
เขายิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ขาดแค่ไมได้วาดไม้วาดมือเริงระบำเท่านั้น
และในยามฟ้าแรกสางนี้เอง ไป่เฟิงหลิวก็ออกจากพื้นที่รกร้างนี้ กลับสู่เมืองหนึ่งในแดนฐิติประจิมด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
ในวันเดียวกันนั้น เขาติดใบไม้ต้นข่าวสารสีทองไว้บนลำต้นของต้นข่าวสารเก่าแก่กลางเมืองต้นนั้น
พรึ่บ!
เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ต้นข่าวสารทุกต้นในเขตแคว้นหลายพันและเมืองนับหมื่นทั้งแดนฐิติประจิมล้วนเกิดคลื่นไหวกระเพื่อม บนลำต้นบังเกิดเงาใบไม้สีทองเจิดจ้าใบหนึ่ง
ชั่วครู่เดียวผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนถูกดึงดูด แย่งกันมาดูทั้งแดนฐิติประจิม
เพราะพวกเขารู้ดีว่า เมื่อใบไม้ต้นข่าวสารสีทองของเผ่าวาทวาโยปรากฏ ย่อมหมายความว่ามีเรื่องใหญ่โตยิ่งยวดเกิดขึ้น!
“ข่าวกระจายออกไปแล้ว ข้าจะยิ้มดูความผันผวนของอิทธิพลใต้หล้า!”
ส่วนไป่เฟิงหลิวผู้เป็นตัวต้นเรื่อง ในขณะที่ปล่อยข่าวออกไปกลับห้ามไม่ให้หัวเราะร่าไม่ได้อีกแล้ว
……
แคว้นอินทรีสมบัติ เมืองวารีเขียว
ด้านหน้าต้นข่าวสารมีผู้คนมากมาย ผู้ฝึกปราณรวมตัวหนาแน่น เกิดเสียงร้องตื่นตระหนกระลอกแล้วระลอกเล่าอยู่เรื่อยๆ ทุกคนสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
ฟางหลินหานยืนนิ่งอยู่ในนั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะมีกลิ่นอายคึกคะนองราวปีศาจแต่งแต้ม กลับบังเกิดสีหน้าผันแปรไม่ว่างเว้นอยู่ตลอด
ครู่ใหญ่เขาถึงพึมพำอย่างขุ่นเคืองว่า “น้องหลินนะน้องหลิน เสียแรงที่ข้าคิดว่าเจ้าเป็นสหาย เจ้ากลับไม่บอกข้าว่าเจ้าก็คือ ‘เทพมารหลิน’!”
จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าพิกลอย่างอดไม่ได้ “ทุกคนในใต้หล้าล้วนบอกว่าข้าฟางหลินหานบ้าระห่ำไร้ที่สิ้นสุด ใจกล้าเกินใคร แต่เทียบกับเจ้าแล้วกลับไม่เท่าไร อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ผยองและวิปริตเท่าเจ้า…”
ไกลออกไปยิ่งมีผู้ฝึกปราณกำลังเร่งมามากขึ้นเรื่อยๆ ดูยิ่งใหญ่นัก
ฟางหลินหานเมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้ากลับเคร่งขรึมอย่างยากจะเห็น
เขารับรู้ได้ว่าข่าวที่เผ่าวาทวาโยปล่อยออกมานี้ไม่ต่างอะไรกับเจาะชั้นฟ้าให้แตกออก ครู่เดียวก็ผลักให้หลินสวินอยู่เหนือยอดคลื่น!
“เจ้าต้องตั้งรับให้ดี ตอนเทศกาลโคมกถามรรค หากไม่มีเจ้าเข้าร่วมต้องขาดสีสันไปไม่น้อยแน่…”
ฟางหลินหานพึมพำ
…..
แคว้นเขี้ยวลอย เมืองแสงคลื่น
เยวี่ยเจี้ยนหมิงกำลังร่ำสุรา ท่าทางของเขาสง่างาม คิ้วตรงราวกระบี่ ดวงตาราวดารา มีกลิ่นอายสุภาพเหนือธรรมดา ชวนให้ผู้อื่นจับจ้องยิ่งนัก
เพียงแต่เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เขากำลังครุ่นคิดเรื่องที่จะไปเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคที่เขาพยับคราม
ฉับพลันเสียงฮือฮาครึกโครมหาใดเทียบระลอกหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของเยวี่ยเจี้ยนหมิง
“ข่าวใหญ่! ใบไม้สีทองของเผ่าวาทวาโยปรากฏขึ้นอีกแล้ว! ลือกันว่าเกี่ยวกับเด็กหนุ่มเทพมารที่ชื่อหลินสวิน!”
ทันใดนั้นก็เห็นผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนพุ่งมาที่ใจกลางเมือง แสงเคลื่อนที่ราวห่าฝน งดงามสะดุดตา ดูยิ่งใหญ่ถึงที่สุด
หลินสวินหรือ
คงไม่ใช่เขากระมัง
เยวี่ยเจี้ยนหมิงไตร่ตรองแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
หน้าต้นข่าวสารในเมือง เยวี่ยเจี้ยนหมิงยืนนิ่งครู่ใหญ่ ในใจก็สั่นสะท้านไม่หยุด ไม่อาจสงบใจได้อยู่นาน
เป็นเขาดังคาด!
เพียงแต่ที่ทำให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่อาจคาดคิดได้ก็คือ เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่บังเอิญพบที่ภูเขาโคม่วงในตอนนั้น ตอนนี้กลับมีพลานุภาพเพียงนี้แล้ว!
‘เทพมารหลิน… เทพมารคนหนึ่ง! ตอนนั้นข้าไม่ได้ดูคนผิดจริงๆ แต่ว่า นี่ก็ออกจะน่าตะลึงมากเกินไปหน่อย’
ในใจเขาทอดถอนใจอย่างยิ่ง ‘ข้ามอบป้ายหยกเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคให้เจ้าแล้ว ก็ดูว่าเจ้าจะมาหรือไม่…’
……
แคว้นต้าถัง เมืองฉางอัน
ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของแดนฐิติประจิม เมืองฉางอัน และถูกมองเป็น ‘นครศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ’ ของแดนวิภูนี้ เนื่องจากใกล้ๆ เมืองนี้มีสำนักเก่าแก่สามสำนักตั้งอยู่!
ในนั้น ยังมี ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ที่มีฉายาว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิมด้วย
ในเกี้ยวสมบัติสีเขียวไม่สะดุดตาคันหนึ่ง มีเสียงใสเย็นรื่นหูเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดถึงอึกทึกปานนี้”
ผู้ที่ขับเกี้ยวสมบัติเป็นหญิงชราชุดเขียวผู้หนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไปสืบความเล็กน้อยก่อนตอบว่า “บนต้นข่าวสารในเมืองปรากฏใบไม้สีทองขึ้นใบหนึ่ง น่าจะมีเรื่องใหญ่โตถึงที่สุดเกิดขึ้นเจ้าค่ะ”
“ไปดูซิ”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นานนักเกี้ยวสีเขียวก็หยุดลงหน้าต้นข่าวสาร หญิงสาวในชุดกระโปรงดำรูปร่างเพรียวบาง สวมผ้าคลุมหน้าผู้หนึ่งเดินออกมา
“เหตุใดถึงเป็นเขา”
เมื่อตาเห็นจอภาพที่ใบไม้ทองควบรวมขึ้นซึ่งแขวนอยู่บนลำต้นของต้นข่าวสารนั้น เงาร่างผอมเพรียวของเด็กสาวชุดดำก็แข็งทื่ออย่างยากสังเกตเห็น
ตอนที่ 827 การตามสังหารที่ฝูงชนจับจ้อง
เวลานี้หญิงชราชุดเขียวก็สีหน้าพิกลยิ่งนัก
นางจำเทพมารหลินผู้นั้นได้เช่นกัน เป็นเด็กหนุ่มคนที่เคยประลองกับคุณหนูที่ลานประลองยุทธ์หมอกสนในนครเตโช
เพียงแต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปไม่ถึงสองเดือน ชื่อเสียงของเด็กหนุ่มคนนี้ก็กระจายมาถึงเมืองฉางอันแล้ว!
เมืองฉางอันเชียวนะ นี่เป็นถึงนครศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณของแดนฐิติประจิม ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในหลายพันเขตแคว้นในแดนฐิติประจิมจับตามอง!
‘ดังคาด มัจฉาทองย่อมไม่ใช่สัตว์ในบึง เมื่อเจอการเปลี่ยนแปลงย่อมกลายเป็นมังกร!’ หญิงชราชุดเขียวถอนใจในใจ
ตอนนั้นยามเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้สามารถต่อกรคุณหนูได้ นางก็รู้ว่าเด็กคนนี้จะต้องผงาดในโลกา ชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วสี่สมุทร
ทว่า…
ความก้าวหน้านี้ออกจะรวดเร็วเกินไปแล้ว…
“เทพมารหลิน… เหอะๆ… เทพมารหลิน… เหอะๆ…” ข้างกันนั้น เด็กสาวชุดดำส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นเหมือนทั้งถากถาง เกลียดชังและไม่พอใจ แม้เป็นเสียงหัวเราะเยียบเย็น เสียงนั้นก็ไพเราะรื่นหูราวเสียงสวรรค์
สีหน้าของหญิงชราชุดเขียวยิ่งประหลาดขึ้นไปอีก
นางเข้าใจจิตใจของคุณหนูในตอนนี้ดี ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นเด็กนั่นออกจะบ้าบิ่นเกินไปบ้าง ล่วงเกินส่วนสงวนของคุณหนูในระหว่างการต่อสู้ ทำให้คุณหนู ‘ระลึกถึง’ เขาอย่างสมบูรณ์ จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์ก็คาดเดาได้ยากเสียจริง
“คุณหนู เด็กนี่ยอดเยี่ยมนะเจ้าคะ ภายใต้การปิดล้อมของราชันกึ่งระดับห้าคน ยังสามารถฝ่าเส้นทางโลหิตออกไปได้ ช่างน่าเหลือเชื่อ” หญิงชราชุดเขียวเอ่ยปาก
“หึ ดูจากร่องรอยที่การต่อสู้นั้นทิ้งไว้ พิสูจน์ได้เพียงว่าเจ้าสารเลวนี่อาศัยสมบัติทรงพลังอย่างยิ่งยวดชิ้นหนึ่งเอาชนะ หากไม่เป็นเช่นนี้ ด้วยพลังที่แท้จริงของเขาไม่มีทางประมือกับราชันกึ่งระดับห้าคนได้เลย!”
เด็กสาวชุดดำร้องหึเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย
ผู้อื่นอาจจะมองอะไรไม่ออก แต่นางมีฐานะเป็นบุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์ ย่อมมองกุญแจสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้ออกในปราดเดียว
หญิงชราชุดเขียวพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว จากสมบัติมรรคราชันที่ถูกทำลายบางส่วนซึ่งหลงเหลือในสนามรบนั้น ไม่ผิดแน่ ในมือเด็กนี่น่าจะมีสมบัติที่เทียบได้กับสมบัติระดับอริยะ มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถสังหารราชันกึ่งระดับสี่คนได้”
นางหยุดไปครู่ค่อยกล่าวต่อ “ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าพลังของเด็กนี่แข็งแกร่ง ไม่เพียงพลังปราณโดดเด่น แต่น่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่ผู้หนึ่งด้วย”
เด็กสาวชุดดำดูไม่พอใจอยู่บ้าง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าคนสารเลวที่ต่ำช้าหาใดเทียบผู้หนึ่ง ควรค่าให้ยกยอปอปั้นขนาดนี้เชียวหรือ เทพมารหลินหรือ ข้าว่าชื่อเจ้าหลินไร้ยางอายสิถึงจะถูก!”
เมื่อนางพูดจบก็หันกายจากไป ราวกับถ้ามองดูอีกครั้งหนึ่งจะทำให้นางควบคุมความเดือดดาลในใจไม่อยู่
หญิงชราชุดเขียวจนใจไปครู่หนึ่ง เดิมทีนางคิดจะลองสลายความขุ่นข้องในใจของคุณหนู กระทั่งคิดหาโอกาสเชิญเด็กหนุ่มผู้นั้นเข้าสำนักที่พวกนางอยู่
อย่างไรเสียเด็กหนุ่มเช่นนี้ก็ต้องเป็นต้นกล้าชั้นเลิศที่สำนักเก่าแก่ใหญ่โตแย่งกันชักชวนแน่ แต่ดูจากตอนนี้ เรื่องนี้เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว
ทันใดนั้นหญิงชราชุดเขียวก็ใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “คุณหนู ในข่าวบอกว่าเด็กคนนี้กำลังถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามสังหารอยู่ ท่านว่า…”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า เขาตายไปได้ยิ่งดี!” เด็กสาวชุดดำไม่หันหน้ากลับมา ขึ้นเกี้ยวสมบัติสีเขียวคันนั้น
หญิงชราชุดเขียวทอดถอนใจ เสียดายเด็กหนุ่มที่เรียกได้ว่าชั้นยอดเช่นนี้…
“แต่เจ้าจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดก็ได้ ข้าอยากรู้ว่าเขาจะตายอย่างไรกันแน่!” ในเกี้ยวสมบัติมีเสียงเด็กสาวชุดดำแว่วมา
หญิงชราชุดเขียวชะงักไป อดเอ่ยถามไม่ได้ว่า “คุณหนู หากครั้งนี้เขาไม่ตาย ท่านจะไม่…”
“ไม่มีทาง!” เด็กสาวชุดดำเหมือนรู้ว่านางจะพูดอะไร จึงตัดบททันควัน “ต่อให้เขาโชคดีรอดชีวิตมาได้ ข้าก็จะไปกำราบเขาเอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หญิงชราชุดเขียวก็ยิ้มบางๆ นางรู้ว่าในส่วนลึกของจิตใจ คุณหนูไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มคนนั้นถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬฆ่าตาย
นี่ก็เพียงพอแล้ว
……
แคว้นเถาฮุน เมืองเมฆน้ำหมึก
“เด็กนี่ ให้มองเป็นศัตรูตัวฉกาจของเจ้ากับข้า!”
หน้าต้นข่าวสาร ลู่จิ่วเกอองค์ชายห้าแห่งเผ่าอีกาเพลิงสีหน้าเคร่งครัด ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ
“ไม่ผิด เขากับพวกเราเป็นคนจำพวกเดียวกัน ไม่เพียงพลังปราณล้ำเกินคนรุ่นเดียวกัน ในมือยังมีสมบัติลับที่สามารถสังหารราชันกึ่งระดับได้ ภายหลังหากเกิดความขัดแย้งขึ้น ย่อมต้องปฏิบัติอย่างศัตรูตัวฉกาจไปทั้งชีวิต!”
อีกด้านหนึ่งจั๋วขวงหลันดวงตาคมปลาบราวกระบี่ ทั้งร่างแผ่พลังดุดันออกมา
ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองก่วมหิมะ พวกเขาก็เคยพบหลินสวิน และเคยเห็นว่าเขาสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอย่างไรกับตา
และในตอนนั้นหลินสวินก็ได้รับการยอมรับจากพวกเขา ถูกมองว่าเป็นคนจำพวกเดียวกัน เพียงแต่ในส่วนลึกของจิตใจ พวกเขาก็รู้ดีว่าแม้จะให้ความสำคัญกับหลินสวิน แต่ไม่ได้หวั่นกลัวเท่าไรนัก
แต่ตอนนี้ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว เพราะพบว่าไม่ได้มีแต่พวกเขาที่มีอาวุธสังหารยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถเย้ยฟ้าได้อยู่ในมือ เทพมารหลินคนนี้ก็มีด้วยเช่นกัน!
“ข้าสงสัยเสียจริง เจ้าคนที่มาจากโลกชั้นล่างผู้หนึ่ง เหตุใดถึงครอบครองพลังที่เกรียงไกรเช่นนี้ได้ ขอเพียงเขาไม่ตายในการตามสังหารครั้งนี้ สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะลองสู้กับเขาดูสักตั้ง!”
ดวงตาลู่จิ่วเกอบังเกิดแสงเจิดจ้า ราวเปลวเพลิงช่วงโชติกำลังลุกโหม
เมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังสนทนากันเรื่องเทพมารหลิน เซี่ยอวี้ถังซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกสับสนขึ้นในใจ เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เดือดดาลและไม่สบายใจ
เขาก็มาจากโลกชั้นล่างเช่นกัน อีกทั้งยังถือกำเนิดในขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง แต่ตอนนี้ถ้าว่ากันด้วยอานุภาพและกิตติศัพท์ กลับยังเทียบหลินสวินไม่ได้ นี่ทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้!
“ไปเถอะ ห่างจากภูเขาพยับครามไม่ไกลแล้ว อย่างมากที่สุดครึ่งเดือนพวกเราก็ไปถึงที่นั่น ข้าล่ะอยากเห็นว่าครั้งนี้จะมีบุคคลระดับอัจฉริยะ ผู้กล้า บุตรเทพ และธิดาเทพปรากฏตัวมากมายเพียงไหน”
ลู่จิ่วเกอกล่าว
“พี่ลู่ ท่านว่าครั้งนี้เทพมารหลินจะประสบเคราะห์ตายไปหรือไม่”
จั๋วขวงหลันเอ่ยถาม พวกเขาหันกายเดินทางห่างออกไป
“นอกเสียจากมีบุคคลเทียมฟ้ามาช่วยเหลือ หาไม่แล้วเขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ราชันสองคนร่วมกันลงมือ ต่อให้เขาครอบครองสมบัติอริยะที่แท้จริงก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์เลวร้ายได้”
ลู่จิ่วเกอเอ่ย
จั๋วขวงหลันถอนหายใจเบาๆ “เป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่มีวาสนาได้เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเสียแล้ว ออกจะน่าเสียดายไปบ้าง…”
ในความคิดของเขา หลินสวินมาจากโลกชั้นล่าง ในดินแดนรกร้างโบราณถือเป็นคน ‘หัวเดียวกระเทียมลีบ’ ไร้ที่พึ่งพิง ไม่น่ามีใครช่วยเขาเลย
อย่างไรเสียผู้ที่ตามสังหารเขาก็เป็นถึงเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ต่อให้สำนักเก่าแก่ช่วยเหลือเขา ก็ต้องกังวลถึงความเสี่ยงที่จะขัดแย้งกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
และเมื่อได้ยินการสนทนานี้ เซี่ยอวี้ถังก็ใจชื้นขึ้นมาไม่น้อยอย่างไม่มีสาเหตุ ถึงขั้นออกจะรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นด้วย
นี่ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย รับรู้ได้ว่า ‘มารในใจ’ ที่หลินสวินนำมาให้ตนยิ่งลึกล้ำลงไปอีก!
……..
วันนี้ไม่เพียงพวกฟางหลินหาน เยวี่ยเจี้ยนหมิง เด็กสาวชุดดำ ลู่จิ่วเกอ จั๋วขวงหลันและเซี่ยอวี้ถังที่ติดตามข่าวนี้ของหลินสวิน
ในเขตแคว้นหลายพัน นครนับหมื่นทั่วทั้งแดนฐิติประจิม ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนก็ได้ล่วงรู้ทุกอย่างนี้
เทพมารหลิน!
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ผงาดขึ้นในแคว้นวิญญาณอัคนี เป็นที่จับจ้องของทั้งแดนฐิติประจิมโดยสมบูรณ์ ขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนล้วนรับรู้ว่า ในหมู่คนรุ่นเยาว์มีบุคคลที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว!
แน่นอนว่าเมื่อมีเสียงตื่นตระหนก ฮือฮาและตกตะลึง ก็ต้องมีเสียงดูถูกและไม่ยอมรับ
“เทพมารหลินอะไรกัน นี่มันเด็กหนุ่มบ้าระห่ำไม่รู้ดีชั่วคนหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าเหิมเกริมบอกว่าจะสังหารสุนัขมายาทมิฬทั่วหล้าให้สิ้น ตอนนี้เป็นอย่างไร ยั่วให้ราชันสองคนตามฆ่า!”
“นี่เรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬใช่เผ่าที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งจะล่วงเกินได้หรือ รนหาที่ตายจริงๆ”
“รอดูเถิด ผ่านไปไม่นานก็จะมีข่าวการตายของเทพมารหลิน! นี่ก็คือค่าชดเชยความจองหอง”
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าสุนัขมายาทมิฬบางคนยิ่งเอ่ยวาจาบ้าระห่ำว่า “กล้าลบหลู่คนเผ่าข้า ต้องถูกสังหารเหมือนหลินสวินผู้นี้! มีใครไม่พอใจก็ลุกขึ้นมา!”
คำเดียวก็เกิดคลื่นสะเทือนนับพันชั้น ผู้ฝึกปราณที่ปกป้องหลินสวินหลายคนล้วนเดือดดาล หมาดำเหล่านี้จองหองไปแล้ว นี่กำลังคุกคามผู้คนทั่วใต้หล้าหรือ
อีกทั้งตอนนี้หลินสวินก็ยังไม่ตาย!
ทั้งยังมีผู้ฝึกปราณมากมายเป็นกังวลแทนหลินสวิน คิดว่าเขาถูกราชันเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามสังหาร เกรงว่าจะไม่มีหวังรอดชีวิตอีก
พูดได้ว่าความเป็นความตายของหลินสวินในตอนนี้ ดึงดูดความสนใจของทั้งแดนฐิติประจิมแล้ว ส่งผลต่อจิตใจของผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไร
และในตอนนี้ไป่เฟิงหลิวซึ่งเป็นผู้ปล่อยข่าวหลินสวินคนแรกก็ลุกขึ้นมา แล้วเผยแพร่ข่าวระดับทองคำข่าวหนึ่งอีกครั้ง “เผ่าข้าจะติดตามข่าวคราวความเป็นความตายของเทพมารหลินอย่างเต็มที่ อีกทั้งจะประกาศโดยทันที!”
ไป่เฟิงหลิวลำพองใจนัก ในฐานะสายสืบของเผ่าวาทวาโย ได้เห็นข่าวหนึ่งของตนก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่โตเช่นนี้ไปทั้งแดนฐิติประจิม นี่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจและทะนงตนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
อีกทั้งเป็นเพราะเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับหลินสวิน เขาจึงได้รับความโปรดปรานและการตกรางวัลจากคนใหญ่คนโตในเผ่านับไม่ถ้วน ตำแหน่งในเผ่าก็เลื่อนสูงราวน้ำขึ้น ดึงดูดความสนใจจากผู้คน เนื้อหอมหาใครเทียบได้
‘ในยุคบรรพกาล เผ่าข้ามีผู้อาวุโสผู้หนึ่งได้รับฉายาว่า ‘ราชันแห่งข่าวสาร’ ชื่อเสียงกึกก้องนิจนิรันดร์ และในกาลปัจจุบัน ข้าไป่เฟิงหลิวก็จะใช้สิ่งนี้เป็นเป้าหมาย ช่วงชิงขึ้นสู่บัลลังก์สมบัติของราชันแห่งข่าวสารในเร็ววัน!’
ไป่เฟิงหลิวภาคภูมิใจในความสำเร็จของตน ลำพองใจมากล้น
……
ยามโลกภายนอกเกิดคลื่นลมโหมสะเทือนเลือนลั่น หลินสวินซึ่งถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนติดตามข่าวคราวกลับหนีตายหัวซุกหัวซุน
ยามสายัณห์ อาทิตย์อัสดงราวโลหิต
ในหมู่เขาไพศาล ยานสำเภาลำหนึ่งหายวับไปอย่างรวดเร็วราวแสงฉายกลางนภากาศ รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
ด้านหลังของยานมีเงาดำพลานุภาพน่าหวาดหวั่นสองเงากำลังไล่ตาม พวกเขากระโจนออกไปก้าวหนึ่งก็ไปไกลถึงพันจั้ง ประดุจเคลื่อนที่ในห้วงอากาศ รวดเร็วถึงที่สุดเช่นกัน
โครม!
กระทั่งเงาร่างของพวกเขาหายไป ฟ้าดินบริเวณนั้นถึงเกิดเสียงระเบิดจนหูแทบดับขึ้นระลอกหนึ่ง
ก็เห็นว่าเกิดรอยแยกทั้งยาวและแคบรอยหนึ่งกลางห้วงอากาศ คลื่นเสียงกระจายออก สะเทือนภูผาธารา สิงสาราสัตว์ที่จำศีลอยู่ภายในนั้นล้วนตื่นตระหนกระคนคับข้อง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แค่คิดก็รู้ว่าความเร็วที่พวกเขาไล่ตามกันรวดเร็วปานไหน!
พรวด!
ภายในยานขนส่งอวกาศ หลินสวินพลันกระอักเลือด สีหน้าออกจะซีดเผือด
เขาสบถอย่างขุ่นเคืองอยู่บ้าง ไม่ได้อ้อยอิ่งต่อไปแต่อย่างใด นำอมฤตแกนสุวรรณออกมาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและเสริมกำลังทันที
ตอนที่ 828 สุดจึงเปลี่ยน
คืนนั้นหลินสวินสังหารราชันกึ่งระดับสี่คนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนชนะอย่างงดงาม แต่ความจริงแล้วสิ้นเปลืองพลังเขามากนัก
เพียงแต่เขายังไม่ทันได้ฟื้นฟูพลังกาย ก็ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอย่างโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงตามฆ่า จึงต้องหนีตายโดยพลัน
ยานขนส่งอวกาศถูกเขาเร่งจนถึงขีดสุด ยังดีที่สมบัติอริยะที่ไม่สมบูรณ์ชิ้นนี้แม้ต้องใช้แกนวิญญาณจำนวนมาก แต่นำมาใช้หนีเอาชีวิตรอดกลับเป็นอาวุธล้ำเลิศชั้นหนึ่ง
ระหว่างทางเป็นเพราะอาศัยยานขนส่งอวกาศ ทำให้หลินสวินหลบเคราะห์สังหารถึงชีวิตได้ไม่รู้กี่ครั้ง พูดได้อย่างแท้จริงว่าเป็นการรอดตายอย่างหวุดหวิด
ทว่าแม้จะโชคดีหนีรอดมาถึงตอนนี้ แต่เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังขับเคลื่อนภายในกายเริ่มแปรปรวน มีเค้าลางจะพังทลายอยู่กลายๆ
นี่ก็คือความน่ากลัวของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน แม้พวกเขาไม่อาจปลิดชีพหลินสวินได้ในเวลาอันสั้น แต่ทุกครั้งที่ลงมือกลับทำร้ายหลินสวินอย่างหนักหน่วงยิ่ง
หากไม่มียานขนส่งอวกาศป้องกันไว้ ก็คงสิ้นชื่อไม่รู้กี่ครั้งไปนานแล้ว
เวลานี้หลินสวินเลือดไหลไปทั้งกาย ผิวหนังเริ่มปรากฏรอยแตก สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากยังคงมีรอยเลือดไหลออกมา ท่าทางน่าสลดนัก
และก็เพราะได้อมฤตแกนสุวรรณช่วยไว้ ถึงทำให้เขาฝืนทนมาถึงตอนนี้ ยังคงมีพลังและต้นทุนที่จะหนีเอาชีวิตรอดได้
สวบ!
ยานขนส่งอวกาศรวดเร็วอย่างอัศจรรย์ โบยบินเหนือท้องฟ้าสูงเวิ้งว้าง หลินสวินกำลังเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่กล้าผ่อนคลายแม้สักนิด
สำหรับเขา ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยเข้าตาจนขนาดนี้มาก่อน ร่างกายแทบจะแหลกสลายแล้ว
โครม!
คลื่นน่าหวาดหวั่นมาเยือนอีกครั้ง กดทับอย่างรุนแรง
แม้หลินสวินเคลื่อนยานขนส่งอวกาศหลบหนีอย่างเต็มกำลังก็ยังคงได้รับผลกระทบดังเดิม ยานสำเภาทั้งลำส่งเสียงโครมครามจนหูแทบดับราวถูกคีรีเทพกระแทกเข้าอย่างจัง
หลินสวินกระอักเลือดอย่างรุนแรง อีกทั้งภาพข้างหน้าก็มืดลง เลือดพุ่งออกมาจากร่างกายทุกกระเบียดนิ้ว กระดูกถูกโคลงจนแตกไปไม่รู้กี่ซี่ แทบจะสลบไปทันที
อึกๆ!
เขากรอกอมฤตแกนสุวรรณในขวดหยกอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็กัดฟันบังคับยานขนส่งอวกาศอย่างเต็มกำลังราวบ้าระห่ำ รวดเร็วกว่าเมื่อกี้นี้ไม่น้อย
ตั้งแต่ถูกตามฆ่าเมื่อคืนจนถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วสิบกว่าชั่วยาม ตัวหลินสวินเองก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปได้ไกลแค่ไหน
แต่ว่า เวลานี้เขากลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตนแทบทนไม่ไหวแล้ว!
“สู้ตาย!”
เด็กหนุ่มปลุกสติตัวเองอย่างแข็งขัน ไม่สนใจอาการบาดเจ็บทั่วร่างอีก โคจรพลังทั้งกายถึงขีดสุด
ตู้ม!
ถ้ำสวรรค์ภายในร่างของเขาส่งเสียงครึกโครม แท่นมรรคโบราณส่งเสียงกึกก้อง รัศมีเทพพวยพุ่ง กลิ่นอายพรุ่งพรวดขึ้นมากในครู่เดียว
เพียงแต่บนร่างของเขา ผิวหนังแตกระแหงปริออกเป็นดอกเลือด อาการบาดเจ็บยิ่งรุนแรงขึ้น
ทว่าตอนนี้หลินสวินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว หากไม่แก้ไข ใช้เวลาไม่นานเขาก็จะพังทลายลงโดยสมบูรณ์
ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ศัตรูลงมือ เขาก็จะเสียท่าก่อนเอง
ซ่า!
หมอกตลบอบอวลราวนิมิตมายากระจายออกมาจากตัวหลินสวิน แล้วปกคลุมไปทั่วยานขนส่งอวกาศ
ไอซวนหนี!
……
หืม?
ทันใดนั้นนัยน์ตาของโก่วหยางป๋อหรี่ลง ร่องรอยและกลิ่นอายทั้งหมดของยานขนส่งอวกาศกลับหายไปจากจิตรับรู้ของเขาในทันใด ไม่อาจเพ่งเป้าได้อีก
ประหนึ่งระเหยไปกลางอากาศ
“เกิดอะไรขึ้น”
อีกด้านหนึ่งโก่วหยางทงก็ใจสั่นขึ้นมา รับมือไม่ทันอยู่บ้าง
สวบ!
ครู่หนึ่งผ่านไป สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั้งสองปรากฏกายกลางห้วงอากาศในจุดที่ยานขนส่งอวกาศหายไป แล้วสัมผัสอย่างถี่ถ้วน
แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย!
นี่ทำให้สีหน้าพวกเขาอึมครึมลง
ตั้งแต่เมื่อคืนวานพวกเขาก็ตามสังหารหลินสวิน แต่กระทั่งตอนนี้กลับยังไม่สำเร็จ นี่ทำให้ใบหน้าชราของพวกเขาออกจะข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่
ตนมีฐานะเป็นบุคคลระดับราชัน อย่าว่าแต่ฆ่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่งเลย ต่อให้ไปฆ่าราชันกึ่งระดับก็ไม่ต่างอะไรกับเชือดหมูเชือดไก่
แต่ตอนนี้ราชันสองคนอย่างพวกเขาร่วมกันลงมือ กลับไม่สามารถจัดการหลินสวินได้ในเวลาอันสั้น หากเรื่องนี้กระจายออกไป ผู้คนในใต้หล้าจะมองพวกเขาอย่างไรกัน
เดิมทีด้วยฐานะของพวกเขา ไปสังหารหลินสวินก็ดูน่าขายหน้าพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังเจอสถานการณ์เช่นนี้อีก ทำให้พวกเขาถูกไฟโทสะแผดเผา รู้สึกอับอายอย่างยิ่ง
“เห็นชัดว่ายานสำเภาที่เจ้าเด็กนั่นครอบครองจะต้องเป็นสมบัติอริยมรรค!”
โก่วหยางทงสายตาวาวโรจน์ เจือไปด้วยความประหลาดใจและความละโมบ
“สมบัติที่อยู่กับตัวเขาไม่ได้มีแค่ชิ้นเดียว รอฆ่าเขาได้ เจ้ากับข้าเอาศุภโชคบนตัวมันมาแบ่งกันก็พอแล้ว”
โก่วหยางป๋อสูดหายใจลึก สีหน้าเหี้ยมเกรียม “เรื่องที่เร่งด่วนคือรีบหาร่องรอยเจ้าเด็กนั่นให้เร็วที่สุด อย่าให้มันหนีไปได้เด็ดขาด!”
สวบ!
สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนออกโจมตีและตามหาอีกครั้ง
…….
หลินสวินในตอนนี้ก็เหมือนแผดเผาตัวเอง แม้พลังปราณเกรียงไกร แต่สภาพร่างกายกลับยิ่งเลวร้ายลง
เดิมทีตามที่หลินสวินคำนวณไว้ หลังจากหยั่งรู้พลังเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ ก็จะเริ่มเตรียมบรรลุระดับกระบวนแปรจุติ
แต่การตามสังหารที่มาอย่างกะทันหันกลับทำลายแผนทั้งหมดของเขา กระทั่งทำให้เขาเกือบตาย!
ตุ้บ!
ผ่านไปหนึ่งเค่อ หลินสวินอดทนต่อไปไม่ไหวโดยสมบูรณ์แล้ว เขาแข็งใจเก็บยานขนส่งอวกาศ จากนั้นก็เคลื่อนที่ลงมาจากห้วงอากาศ เงาร่างแทรกเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำอย่างโซซัดโซเซ ในที่สุดก็ล้มลงนอนราบที่นั่นเสียงดังตุ้บ
เขาปลุกตัวเองให้มีสติอย่างแข็งขัน ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ สร้างความแข็งแรงให้ร่างกายตน
แต่การรับรู้กลับคลุมเครือรางเลือน ศึกนี้ทำให้เขาอ่อนล้าเกินไป ใช้พลังไปจนหมดสิ้น ร่างกายกำลังจะแหลกสลายถึงที่สุด อยู่ในสภาพที่พลังเหือดแห้งราวตะเกียงที่ไร้น้ำมัน
‘หลับไม่ได้ ซย่าจื้อกับเจ้าคางคกยังปิดด่านอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร ยังไม่ตื่นขึ้นมา’
‘ยังมีซย่าเสี่ยวฉง…’
‘ยังต้องไปล้างแค้นอวิ๋นชิ่งไป๋…’
‘ยังต้องไปเสาะหามรรคา…’
‘บนภูเขาชำระจิต พวกเขาก็ยังรอให้ข้ากลับไป…’
‘ยังต้อง…’
หลินสวินพึมพำในใจ เตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
เขารู้ว่าทันทีที่ตนหลับไป ก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
ดังนั้น จะหลับไม่ได้!
‘แต่ถ้าไม่หลับแล้วอย่างไร ด้วยสภาพของเราในตอนนี้ไม่อาจฟื้นฟูในเวลาอันสั้นได้เลย และหากไม่ผิดจากที่คาด เจ้าหมาสองตัวนั่นใช้เวลาไม่นานก็จะตามทัน จุดจบเหมือนจะกำหนดไว้นานแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนได้แล้ว…’
‘ไม่!’
‘ต้องมีชีวิตรอด!’
‘หากท่านลู่รู้ว่าข้ายอมจำนนเท่านี้ มีหรือตอนนั้นจะยังช่วยข้าไว้’
‘เจ้าจิ้งจอกเฒ่าจ้าวไท่ไหลผู้นั้นหากรู้ว่าข้าก้มหัวยอมแพ้ จะล้อว่าข้าไปสมรภูมิกระหายเลือดเสียเปล่าหรือไม่นะ’
‘นั่นสิ ในสมรภูมิกระหายเลือด ก็ทำให้ข้าเห็นความเป็นความตายจนชินตามานานแล้ว เข้าใจความหมายของการมีชีวิต เวลานี้… จะพูดว่าล้มเลิกง่ายๆ ได้อย่างไร’
‘อีกอย่าง ถ้าตายไปแล้วจะสังหารสุนัขมายาทมิฬทั่วหล้าได้อย่างไร’
‘มีชีวิตต่อไป!’
‘ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!’
หลินสวินฝืนหยัดร่างที่เจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งตัว ดวงตาแดงก่ำราวหลั่งเลือด ดูดุร้ายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
สุดจึงเปลี่ยน เปลี่ยนจึงผ่าน!
พริบตานั้นหลินสวินนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีของอัศจรรย์และลี้ลับบางอย่างอยู่กับตัว
น้ำเต้าหลอมวิญญาณ ภายในนั้นมีเลือดหัวใจหยดหนึ่งของผู้ยิ่งใหญ่บางคนในยุคบรรพกาล ในหยดเลือดเก็บกักมรดกแก่นมรรคบางอย่าง
เพียงแต่สำหรับตอนนี้แล้ว กลับใช้การไม่ได้
เขาเดี่ยวราหู เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากแดนวิญญาณโบราณ ลือกันว่าเป็นสิ่งที่ราชาอสูรมารราหูในยุคบรรพกาลหลงเหลือไว้ ภายในนั้นมีแผนภาพสมบัติวิชาลี้ลับแผ่นหนึ่ง
แต่ตอนนี้ก็ใช้การไม่ได้เช่นกัน
อมฤตแกนสุวรรณ สมบัตินี้แม้สามารถช่วยชีวิตคนเจ็บเจียนตาย แต่สำหรับหลินสวินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้แล้ว ทำได้เพียงใช้ฟื้นฟู แต่ไม่อาจช่วยให้เขาคลี่คลายการตามสังหารตรงหน้าได้
เศษเสี้ยวเจตจำนง สิ่งนี้เป็นของประหลาดที่ได้มาจากในสุสานสมุทรฝังมรรคซึ่งอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ภายในประทับเศษเสี้ยวการหยั่งรู้ของผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาล ทำได้เพียงใช้ฝึกปราณเปิดหูเปิดตาดูมรรควิถี
หนอนกินเทพหรือ
ไม่ได้!
พวกมันยังเป็นตัวอ่อน มีพลังต่อสู้จำกัด ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้เลย
เจดีย์สมบัติไร้อักษรหรือ
ไม่ได้
คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารหรือ
ไม่ได้
…….
หลายปีมานี้หลินสวินรอนแรมไปทั่วสารทิศ สะสมสมบัติอัศจรรย์ไว้กับตัวไม่น้อย เพียงแต่ในตอนนี้ ที่สามารถคลี่คลายวิกฤตตรงหน้าได้กลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ท้ายที่สุดหลินสวินก็เพ่งความสนใจไปที่ ‘ห้องโถงมรรคาสวรรค์’ ในห้วงนิมิต!
สมัยอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะ เขาเคยรับด่านเคราะห์อสนีไร้เทียมทานที่พบได้ยากครั้งหนึ่ง
หลังจากข้ามด่านเคราะห์ ยังได้รับแผลมรรคน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด ระหว่างทางต่อจากนั้นก็ถูกเหล่าผู้กล้าตามสังหารจนเกือบสิ้นชีพ
ในตอนนั้นก็เป็นเพราะได้เคล็ดวิชาตัดวิถีจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ ทำให้เขาหลอมพลังเคราะห์แผลมรรคในกาย และฟื้นฟูพลังโดยสมบูรณ์
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ หลินสวินจำได้อย่างแจ่มชัดว่าตอนที่มายังแดนวิญญาณโบราณ ตนถูกห้องโถงมรรคาสวรรค์พาเคลื่อนย้ายผ่านห้วงเวลาออกมานอกจักรวรรดิจื่อเย่า!
‘คราวก่อนตอนออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ เสียงลี้ลับนั้นเคยพูดว่า ทะลวงด่านครั้งหน้าต้องครอบครองพลังเจตจำนงแห่งมรรค…’
‘เพื่อคลี่คลายวิกฤตตรงหน้า อาจจะลองดูก็ได้!’
ในที่สุดหลินสวินก็กัดฟัน กลั้นลมหายใจรวบรวมสติด้วยใจสู้หัวชนฝา ใช้จิตรับรู้สัมผัสถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์
ฮูม!
ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ฟ้าดินเวิ้งว้างราวไร้ขอบเขต ทางเดินเมฆาหยกที่ตรงแน่วปูลาดกลางห้วงอากาศ
สุดทางเดินก็คือประตูลี้ลับที่ตั้งตระหง่านเทียมฟ้าบานหนึ่ง ราวกับไม่ได้เปิดออกมานานชั่วกัลป์
เพียงแต่มายืนที่นี่คราวนี้ หลินสวินกลับไม่มีความรู้สึกทอดถอนใจราวกลับมาเยือนถิ่นเก่าแล้ว
คลื่นคลุมเครือที่คุ้นเคยคลื่นหนึ่งอบอวลอย่างเงียบเชียบ กวาดไปทั่วทั้งร่างหลินสวิน ทันใดนั้นฟ้าดินบริเวณก็นั้นมีเสียงว่างเปล่าเยียบเย็นราวน้ำแข็งดังขึ้น…
“ผู้แสวงมรรค ด่านที่หกของทางเดินเมฆาหยกคือ ‘จิตขับเคลื่อน’ จะเริ่มทะลวงด่านตอนนี้หรือไม่”
หลินสวินสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “เริ่มเถอะ!”
จะแพ้หรือชนะก็อยู่ที่การเคลื่อนไหวนี้ เขายินดีจะลองดู
ต่อให้ความหวังน้อยนิด แต่อย่างไรก็เป็นความหวังอยู่ดี ไม่ใช่หมดหวัง!
เพียงแต่…
ด่านนี้มีนามว่า ‘จิตขับเคลื่อน’ จะเกี่ยวกับการฝึกพลังจิตหรือเปล่า
หากเป็นเช่นนี้ อาจจะสามารถเก็บรักษาพลังจิตได้ส่วนหนึ่ง ละทิ้งกายเนื้อ รอเมื่อพ้นอันตรายแล้วค่อยสร้างร่างกายอีกครั้งก็ได้
แต่ก่อนหลินสวินก็เคยได้ยินว่า ในอดีตกาลก็มีผู้ฝึกปราณมากมายถอดร่าง ทำให้พลังจิตโบยบินออกมานอกกาย ท่องไปในฟ้าดิน เพียงแต่วิธีนี้อันตรายเกินไป เสียสมาธิเพียงนิดเดียวก็จะจบลงที่สลายสิ้นทั้งกายจิต
แต่สำหรับหลินสวินในตอนนี้แล้ว แม้วิธีนี้จะอันตรายกว่านี้เขาก็รับได้ ยังดีกว่าถูกศัตรูฆ่าอยู่ดี
ถึงกระนั้นที่ทำให้เขางงงวยก็คือ เขารออยู่นาน การทะลวงด่านก็ยังไม่เริ่มเสียที
หรือเป็นเพราะว่าตนได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป ไม่มีคุณสมบัติเข้าทะลวงด่าน
หลินสวินนิ่วหน้า
ก็เป็นตอนนี้เอง เสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็งเสียงนั้นก็ดังขึ้น เพียงแต่วาจาที่กล่าวออกมากลับไม่เกี่ยวข้องกับการทะลวงด่าน ทำให้เขาเกือบคิดว่าตนได้ยินผิดไปแล้ว!
ตอนที่ 829 เด่นสง่าไร้เทียมทาน อานุภาพสะท้านสิบทิศ
“โลกภายนอก มหาสงครามมาแล้วใช่หรือไม่”
เสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็งนั้นดังขึ้น ไม่มีคลื่นอารมณ์เลยสักนิด แต่นี่กลับทำให้หลินสวินอึ้งไป ไม่อาจเชื่อได้
หากเขาจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม!
นี่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่าที่เขาคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ถูกต้อง เสียงนี้น่าจะเป็นตัวตนที่มีสติปัญญาอย่างหนึ่ง!
“ยังไม่มา แต่ก็ใกล้แล้ว” หลินสวินพูดตามจริง
“ใกล้แล้ว…” เสียงนั้นตกอยู่ในความเงียบงัน
ฟ้าดินกว้างไกลไร้ขอบเขต ทางเดินเมฆาหยกปูลาดตรงแน่ว ประตูสวรรค์ลี้ลับตั้งตระหง่าน ทุกอย่างล้วนคุ้นตาเช่นนี้
แต่เมื่อเสียงนี้เริ่มเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ทำให้ทั้งหมดนี้แตกต่างไปจากเดิมแล้ว
หลินสวินพลันรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายสนใจมหาสงครามเช่นกัน เป็นเพราะเหตุใด
หรือว่าตั้งแต่อดีตนานมาแล้ว อีกฝ่ายก็รู้ว่าใต้หล้านี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทันใดนั้นหลินสวินก็ยิ้มหยันตนเอง ชีวิตเขาเสี่ยงตาย ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ต่อให้รู้เหตุผลทั้งหมดนี้แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า
“ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย”
จู่ๆ เสียงเย็นยะเยือกราวน้ำแข็งนั้นก็ดังขึ้น วาจาที่เอ่ยออกมาทำให้หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ออกไปหรือ
หรือว่า…
และในระหว่างที่หลินสวินไหวสะท้านในใจนี้ สุดทางเดินเมฆาหยกก็พลันปรากฏเงาร่างคลุมเครือเลือนรางเงาหนึ่ง สง่างามอรชร ดูร่างจริงทั้งหมดไม่ออก เพราะละอองแสงเจิดจรัสราวเซียนโบยบินบดบัง ช่วงโชติแสบตาถึงที่สุด
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นสตรีนางหนึ่ง!
“เจ้าทะลวงด่านอย่างวางใจ ข้าไปครู่หนึ่งแล้วจะกลับมา”
เงาร่างสง่างามราวเซียนโบยบินนั้นพลันแปรสภาพเป็นละอองแสงแล้วมลายหายไปพร้อมกับเสียงเลือนราง
ไปครู่หนึ่งแล้วจะกลับมาหรือ
หลินสวินใจสั่นสะท้าน ในหัวออกจะสับสนงงงวย เขาไม่คิดเลยว่าเข้ามายังห้องโถงมรรคาสวรรค์ครั้งนี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น
โครม!
ไม่ทันให้หลินสวินได้ครุ่นคิด ทัศนวิสัยตรงหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด
เริ่มการทะลวงด่านครั้งที่หก!
…….
แสงสายัณห์มืดลง
“หาพบแล้ว กลิ่นอายของเด็กนี่เคยปรากฏขึ้นที่นี่!”
กลางห้วงอากาศปรากฏเงาร่างของโก่วหยางป๋อ ใบหน้าซูบตอบและเรียบเฉยของเขาเผยรอยยิ้ม “ในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วหรือ”
อีกด้านหนึ่งดวงตาโก่วหยางทงฉายแววเหี้ยมเกรียมเย็นเยียบ “เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง กลับสามารถทนการตามสังหารของพวกเรามาถึงตอนนี้ได้ก็หายากจริงๆ ทว่าสุดท้ายก็เป็นเช่นนี้อยู่ดี ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้ก็สู้พลังระดับราชันที่แท้จริงไม่ได้!”
“รอจับเจ้าเด็กนี่ได้อย่าเพิ่งฆ่ามันตายก่อน ข้าจะแขวนศพมันนอกเมืองฉางอันแคว้นต้าถัง แล้วประจานศพมันร้อยวัน ให้ผู้ฝึกปราณทั้งแดนฐิติประจิมได้เห็นโดยทั่วกันว่าคนที่กล้าล่วงเกินเผ่าเรา จะพบจุดจบน่าสังเวชเพียงไหน!”
น้ำเสียงโก่วหยางป๋อเรียบเฉย แต่วาจากลับน่าสะท้านขวัญ
“เชือดไก่ให้ลิงดูหรือ ไม่เลว ความวุ่นวายที่เจ้าเด็กนี่ก่อขึ้นทำให้เกียรติภูมิของเผ่าเราเสื่อมเสีย ต้องใช้การลงโทษอย่างโหดเหี้ยมนี้เป็นเยี่ยงอย่าง”
โก่วหยางทงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ระหว่างที่สนทนากันอยู่ เงาร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั้งสองก็ปรากฏขึ้นเหนือห้วงอากาศเบื้องหน้ายอดเขาเขียวชอุ่มลูกหนึ่ง
เป็นที่นี่เอง!
ชั่วพริบตาสายตาของพวกเขาก็เคลื่อนไป แล้วเพ่งเป้าไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งตรงตีนเขาลูกนี้
“สถานการณ์โดยรวมแน่ชัดแล้ว” มุมปากของโก่วหยางป๋อยกขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม
“ก็ให้ข้าลงมือแล้วกัน”
โก่วหยางทงยิ้ม ในใจกลับบังเกิดความปรีดาอย่างบอกไม่ถูก
นี่เป็นเรื่องที่ไม่บังควร อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงราชัน ยามนี้เพียงแค่สังหารเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง เดิมทีควรรู้สึกอับอายถึงจะถูก แต่ตอนนี้กลับมีความรู้สึกเช่นนี้ ช่างไม่บังควรนัก
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าการตามสังหารตลอดทางนี้ทำให้โก่วหยางทงคับข้องใจเพียงไหน และเวลานี้ก็ถือว่าได้โอกาสปลดปล่อยแล้ว
“ก็ได้ จำไว้ อย่ารีบร้อนฆ่าเจ้าเด็กนี่เด็ดขาด” โก่วหยางป๋อเตือนขึ้นอีกหนึ่งประโยค เหมือนกลัวว่าถ้าหลินสวินตายแล้วจะไม่อาจทำให้เขาระบายไฟโทสะที่สุมทรวงได้
“นั่นย่อมแน่นอน”
โก่วหยางทงหัวเราะชอบใจ
พวกเขาพูดคุยกันอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง ท่าทางมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะ
เพียงแต่ตอนที่โก่วหยางทงกำลังจะลงมือ รอยยิ้มที่มุมปากกลับแข็งทื่อโดยพลัน นัยน์ตาเบิกกว้าง ถึงกับนิ่งอึ้งอยู่เช่นนั้น
“หืม?”
ขณะเดียวกันโก่วหยางป๋อก็จิตใจสั่นระรัว รู้สึกกระวนกระวายถึงขีดสุด ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
ก็เห็นว่าภายในถ้ำที่อยู่เบื้องล่างของยอดเขานั้น เงาร่างคลุมเครือเลือนรางเงาหนึ่งเดินออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ อรชรอ้อนแอ้นไม่ชัดเจน
ทว่าภาพที่พวกโก่วหยางป๋อเห็นกลับเป็นอีกอย่าง
พวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดระดับราชัน ผงาดเหนือห้าระดับใหญ่แห่งพลังปราณ โอหังเหนือโลกา ในใต้หล้ากาลปัจจุบัน หากไม่มีอริยะปรากฏกาย ราชันถือเป็นผู้อยู่สูงสุด!
แต่เมื่อได้เห็นเงาร่างนี้ พวกเขากลับหนาวเยือกไปทั้งตัว
นี่เป็นตัวตนเช่นไรกัน
เหนือร่างนางราวกับมีสายโซ่เทพที่ส่องสว่างเปล่งประกายโอบล้อมสายแล้วสายเล่า มีละอองแสงเซียนโบยบินลอยละล่อง มีแสงร้อนแรงโชติช่วงอบอวล แสงแต่ละแสงปะทุออกราวดอกไม้ไฟ
จู่ๆ ก็เกิดเสียงกึกก้องเหนือเวิ้งฟ้า ละอองแสงมงคลเทลงมาสายแล้วสายเล่า ประหนึ่งสักการะเทพชั้นยอดผู้หนึ่งซึ่งมาเยือนโลกา บังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเจิดจรัสขึ้น!
ส่วนนางยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น มีท่วงท่าประหนึ่งก้มมองเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน พาให้กาลเวลาทำได้เพียงศิโรราบ
นี่เป็นปรากฏการณ์น่าหวาดหวั่นที่สามารถสะท้านโลกาได้!
อย่างไรเรียกมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง อยู่เหนือทวยเทพทั้งปวง
ก็อย่างนี้อย่างไรเล่า!
โก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทง สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคน ถือตัวว่าได้เห็นคลื่นลมใหญ่โตมาจนเจนจัด กระทั่งเคยมีโชคได้พบเห็นบารมีของอริยะยุคปัจจุบันผู้หนึ่งจากไกลๆ
แต่เมื่อเทียบกับเงาร่างเลอเลิศตรงหน้านี้ ขนาดอริยะยังดูด้อยกว่าไปสามส่วน ไม่อาจเทียบรัศมีได้!
นี่ทำให้พวกเขาหนังศีรษะชาหนึบ หน้าเปลี่ยนสียิ่ง
พวกเขาจะคิดได้อย่างไรว่าในเวลาที่จะได้ตักตวงเช่นนี้ กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันพรรค์นี้ขึ้นกะทันหัน
คนผู้นี้เป็นใครกัน
เหตุใดถึงปรากฏตัวที่นี่ได้
บุคคลระดับนี้ เหตุใดไม่เคยได้ยินในดินแดนรกร้างมาก่อน
ในใจสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งสองเกิดความสงสัยนับไม่ถ้วน ความรู้สึกตกตะลึงและหวาดผวาที่ไม่ได้มีมาหลายปีแล้วบังเกิดขึ้นในจิตใจอีกครั้ง
ครืน!
ฟ้าดินเริ่มสั่นไหว ปรากฏความโกลาหล กลิ่นอายเหนือธรรมดาราวอริยเทพพุ่งทะลุเมฆา ปั่นป่วนสภาพอากาศ
พลังที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ทะลวงผ่านพลังแห่งมหามรรคชั้นฟ้า ชั่วพริบตาก็ม้วนตลบกระจายไปทั่วสารทิศ
ในเวลานี้สรรพสัตว์ตัวสั่นงันงก หมื่นวิญญาณหมอบคลาน ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรในแดนฐิติประจิมต่างหวาดหวั่นและกดดัน แทบอยากจะคุกเข่าหมอบกราบลงไปกับพื้น
ก่อนหน้านี้พวกโก่วหยางป๋อยังมีท่าทางมั่นใจว่าจะกำชัย โอหังหาใดเทียบ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหวาดผวาโดยสมบูรณ์ พวกเขาเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันในกาลปัจจุบัน แต่เวลานี้กลับรู้สึกหวาดกลัว เหมือนตัวเล็กจิ๋วราวมด!
พวกเขาอยากหันกายหนีไปอย่างยิ่ง
ทว่าอานุภาพของเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นแผ่ไพศาลไปทั่วทิศ กลิ่นอายฟ้าดินล้วนถูกกดทับ ทำให้พวกเขาถึงกับไม่กล้าก้าวเท้าเคลื่อนที่เลยสักนิด!
ราวกับว่าหากกล้าทำเช่นนั้นก็จะเป็นการลบหลู่ ฟ้าดินไม่อาจยอมรับ
เวลานี้ในเขตแคว้นนับพันของแดนฐิติประจิม ไม่รู้มีบุคคลที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบเท่าไรตื่นตระหนก มองไปทางทิศเดียวกันอย่างคาดไม่ถึง
เพียงแต่ด้วยพลังของพวกเขา กลับรู้สึกเพียงแรงกดดันหาใดเทียมที่สามารถทำให้สรรพสัตว์ในโลกล้วนสั่นเทิ้ม!
“เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นไรถือกำเนิดกันแน่นี่ ถึงได้มีอานุภาพผงาดฟ้าเช่นนี้”
“แม้แต่อริยะในปัจจุบันก็ไม่ถึงขนาดนี้กระมัง”
“เหตุใดถึงได้… มหาสงครามยังไม่ทันอุบัติขึ้น พลังสูงส่งราวกับเป็นสิ่งต้องห้ามก็จะถือกำเนิดขึ้นแล้วหรือ”
ขนาดบุคคลระดับราชันผู้แข็งแกร่งยังสั่นสะท้าน กระทั่งสิ่งมีชีวิตโบราณที่ได้เหยียบย่างลงไปบนอริยมรรคบางตัวก็ถูกทำให้ตื่นตระหนก รู้สึกหวาดผวาและกดดัน
เวลานี้กลิ่นอายเช่นนั้นพุ่งผ่านเก้าชั้นฟ้า เขย่าขวัญถึงอเวจี สรรพสิ่งล้วนศิโรราบ ราวกับเป็นเจตจำนงแห่งผู้เป็นนายเหนือฟ้าดิน
ทศทิศล้วนจำนน สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนจิตใจสั่นระรัว พวกที่ธรรมดาบางส่วนยิ่งนึกว่าบังเกิดรอยเทพ คุกเข่าก้มหัวเคารพบูชาลงกราบกราน
“ข้ากลับมาอีกครั้งแล้ว เพียงแต่… ดินแดนรกร้างโบราณนี้กลับไม่ใช่สถานที่ที่ข้าคุ้นเคยอีกแล้ว…” นางพึมพำแผ่วเบา กลัดกลุ้มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถอนหายใจเบาๆ ทำให้ทั้งฟ้าดินครวญครางเพราะนาง
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น กลิ่นอายไร้เทียมทานที่พุ่งทะลุนภากาศไปก็รวมตัวเข้าด้วยกันราวกระแสธาร เก็บรวบเข้ามาบนร่างสตรีผอมบางผู้นั้น
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณที่อยู่ตามที่ต่างๆ ของแดนฐิติประจิมก็ล้วนอึ้งไป ตื่นจากความตกตะลึงและกดดัน มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชั่วพริบตาเมื่อกี้ไม่เหมือนจริงราวกับฝันร้าย
แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าและสิ่งมีชีวิตโบราณบางตัวกลับรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง!
นี่ทำให้พวกเขาจิตใจสั่นระรัว พากันสันนิษฐานเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดถึงมีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ซุ่มซ่อนอยู่ในพรมแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของแดนฐิติประจิมได้ ราวกับผู้เป็นนายเหนือฟ้าดิน สามารถเหยียดหยันเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!
“อย่างไรก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ยุคสมัยผันผ่าน กาลเวลาเปลี่ยนแปร ต่อให้เอาชนะศัตรูทั้งมวล ไร้ศัตรูอยู่ในโลกาแล้ว จะต้านทานความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของโลกได้อย่างไร…”
“ผู้ที่คุ้นเคยเหล่านั้นล้วนไม่อยู่แล้ว การเสาะหาหนทางแห่งมหามรรคที่แท้ก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ต้องเดินโดดเดี่ยวโดยลำพัง…”
อารมณ์ของนางเหมือนหดหู่และผิดหวัง สายตาหมองหม่น
หากหลินสวินได้เห็นเช่นนี้ต้องไม่อาจเชื่อแน่ ว่าเสียงที่เยียบเย็นราวน้ำแข็ง ว่างเปล่าและเรียบเฉยนั้นกลับมีความหวั่นไหวในอารมณ์เช่นนี้
“ช่างเถิด ตอนนั้นข้าเหยียบย่างบนวิถีทางไพศาลโดยลำพัง ในใจก็รู้ดีอยู่แล้วว่ากฎกรรมชาตินี้ถูกกำหนดไว้นานแล้ว”
แม้จะเก็บงำกลิ่นอายบนร่าง แต่ยามสตรีผู้นั้นยืนอยู่เช่นนั้น ทั้งร่างก็ยังคงอาบชโลมไปด้วยรัศมีเปล่งประกายดังเดิม ตอบรับกับมหามรรครอบชั้นฟ้า เกิดเป็นบรรยากาศเหนือธรรมดาที่ทำให้สรรพสัตว์ต้องก้มหัวสักการะ
สายตาของนางหันเหไป เหนือห้วงอากาศพลันมีเสียงถล่มโครมคราม ดุจจะพังทลายเหมือนไม่อาจรับสายตาจดจ้องเช่นนี้ได้
ตุ้บๆ!
โก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทงคุกเข่าลงไปทันใด ฝืนพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกข้าสองคนเดินผ่านที่แห่งนี้ มิได้มีความคิดจะละเมิดลบหลู่ ขอท่านผู้อาวุโสเมตตาไว้ชีวิตด้วย!”
นี่เป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ เป็นผู้ทรงอำนาจมานานปี อานุภาพสะท้านแดนดิน ชื่อเสียงชั่วร้ายสะเทือนไปทั่วแดนฐิติประจิม!
แต่ตอนนี้กลับประหวั่นพรั่นพรึงราวหมาไร้เจ้าของ คุกเข่าลงโดยตรง!
นี่หากถูกผู้คนในใต้หล้าเห็นเข้า เกรงว่าจะไม่อาจเชื่อได้เลย
“เฮอะ คิดไม่ถึงว่ากาลเวลาไร้ที่สิ้นสุดผ่านไป สายเลือดสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกลับยังดำรงอยู่ถึงปัจจุบัน เห็นเช่นนี้แล้ว…”
สตรีผู้นี้ทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เสียงแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไม่แปรปรวน มีความเฉยเมยและราบเรียบถึงที่สุดเพิ่มขึ้นมา
ราวกับว่าขอเพียงนางต้องการ โลกนี้ไม่มีเรื่องใดสามารถทำให้นางหวั่นไหวได้
เสียงพูดเพิ่งเงียบลง ลำแสงราวเซียนโบยบินแสงหนึ่งก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง แล้วหายเข้าไปในหว่างคิ้วของพวกโก่วหยางป๋อ
ส่วนพวกเขาตั้งแต่เริ่มจนจบ อย่าว่าแต่ต่อต้าน ขนาดจะโต้ตอบยังไม่ทัน!
ครู่ต่อมาพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณและความทรงจำของตนถูกเจตจำนงสูงส่งสายหนึ่งฉวยไว้ ในสมองมีความเจ็บปวดทิ่มแทงอย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกัน สตรีผู้นี้เหมือนเข้าใจทุกสิ่งแล้ว ในดวงตายังไร้อารมณ์เช่นเคย
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งนางถึงถอนใจเบาๆ “ช่างเถิด ให้ข้าจบความแค้นนี้เองก็แล้วกัน เพียงหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะผลักประตูบานนั้นออกไปได้…”
ทันใดนั้นกระแสเย็นยะเยือกไปถึงขั้วกระดูกก็อบอวลในจิตใจพวกโก่วหยางป๋อ ทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความไม่เข้าทีโดยพลัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น