Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 812-815

 ตอนที่ 812 ภาพนักพรตขี่วัว

ฉิวหนิว สัตว์เทพกายสิทธิ์บรรพกาล มีดวงใจพิสุทธิ์เก้าห้อง สามารถจำแนกสำเนียงหนอนแมลงต้นไม้ใบหญ้า ใจสื่อสารสรรพสิ่ง ครองพรสวรรค์อัศจรรย์เกินคาดเดา


เล่าลือว่าสัตว์ตัวนี้ถึงขั้นสามารถสื่อสารกับสัจจะแห่งมหามรรคฟ้าดิน!


และ ‘ดวงใจฉิวหนิว’ มรดกวิชาลับส่วนนี้คือวิชาลับประหลาดที่ใช้หยั่งรู้สรรพวิญญาณในฟ้าดิน ผสานตัวของตนและธรรมชาติเข้าด้วยกัน


หลังฝึกวิชาลับนี้ สภาวะจิตจะเชื่อมหมื่นมายา ดวงจิตและฟ้าดินจะขานรับซึ่งกันและกัน ทำให้ยามฝึกผู้ฝึกปราณสามารถหยั่งถึงร่องรอยของมหามรรคได้ตามธรรมชาติ!


นี่คือความน่าอัศจรรย์เหลือประมาณ


การแจ้งมรรค!


แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ ยังไม่เคยเห็นใครสามารถหยั่งรู้และควบคุมพลัง ‘เจตจำนงแห่งมรรค’


ถึงอย่างไรมหามรรคก็ไร้นาม ไร้รูป ไร้ลักษณ์ เลือนรางและคลุมเครือเกินไป ในบรรดามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติพันคน ผู้ที่สามารถหยั่งถึงปริศนาและแก่นแท้ของมันยังไม่เห็นมีสักคน เรียกได้ว่าไร้หนึ่งในพัน หายากดั่งขนหงส์เขากิเลน


แต่หากมี ‘ดวงใจฉิวหนิว’ แน่นอนว่ายิ่งสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณหยั่งถึงร่องรอยแห่งมหามรรค


จากตรงนี้แค่คิดก็รู้แล้วว่า วิชาลับส่วนนี้สะเทือนใต้หล้าและอัศจรรย์ระดับใด!



“สวรรค์มีเมตตา ในเมื่อเจ้ามาเจอข้าในเวลานี้ นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง สิ่งนี้มอบให้เจ้า”


หลินสวินจิตใจกระจ่างว่างเปล่า โยนขาสุนัขดำขนาดใหญ่ให้เสือดาวโลหิต


“ไปเถอะ”


เขาสะบัดมือ หมู่ดาราส่องประกายเหนือฟ้า ประพรมแสงเย็นสะอาดอาบไล้เงาร่างสง่างามปลีกโลกา


เห็นชัดว่าเสือดาวโลหิตตะลึงงัน ก่อนส่งเสียงครวญทุ้มต่ำราวมีสติปัญญา คุกเข่าลงกับพื้นก้มหัวให้หลินสวิน


จากนั้นมันจึงคาบขาหมาดำมหึมานั่น แล้วหันหลังหายไปท่ามกลางรัตติกาล


กระรอกน้อยยังหลับสนิท หางใหญ่โตอ่อนนุ่มปุกปุยคลุมบนร่าง จมูกส่งเสียงกรนครอกๆ


หลินสวินกลับเคี่ยวเข็ญและหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของดวงใจฉิวหนิว


หลายวันก่อน เมื่อเขาเข้าใจปริศนาทั้งมวลแห่งนัยน์ตาเฉาเฟิงอย่างลึกซึ้งในที่สุด จึงเริ่มสัมผัสปริศนามรดกร่างสุดท้ายของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร


และค่ำวันนี้ เพิ่งเริ่มเปิดประตูของวิชาอัศจรรย์นี้ ก็พบความเล็กน้อยแล้ว


‘คิดไม่ถึงว่าวิชาลับส่วนนี้จะเหนือคาดเช่นนี้ เมื่อมีมันก็สามารถจัดการอุปสรรคในการฝึกแจ้งมรรคของข้าพอดี!’


นัยน์ตาดำของหลินสวินผ่องแผ้ว ส่องประกายสุกสกาวใต้แสงดารา


ปัจจุบันช่องโหว่สุดท้ายที่เขาต้องเติมเต็มเพื่อเลื่อนระดับสู่ระดับกระบวนแปรจุติ คือระดับขอบเขตแจ้งมรรค


สี่ฤดูหมุนสลับ รุ่งโรจน์เสื่อมถอยปรวนแปร ตะวันเด่นจันทราคล้อย กลางวันเปลี่ยนกลางคืนแทน มีขึ้นย่อมมีลง… นี่คือลักษณ์แห่งสรรพสิ่ง


สรรพสิ่งล้วนมีลักษณ์ ลักษณ์คือว่างเปล่า พื้นฐานคือมรรค สะท้อนให้เห็นถึงฟ้าดิน อันเป็นท่วงทำนองแห่งมรรค เผยแสดงการสับเปลี่ยนแห่งสรรพสิ่งตามลำดับ หมุนเวียนเป็นวัฏจักร


นี่ก็คือท่วงทำนองแห่งมรรค ร่องรอยแห่งอัคคีซึ่งลุกโหมโชติช่วง ร่องรอยแห่งพฤกษาซึ่งพลังชีวิตสืบเนื่อง ร่องรอยแห่งทองซึ่งดุดันหาใดเปรียบ…


ร่องรอยแห่งสรรพสิ่งล้วนเป็นท่วงทำนองแห่งมรรค สื่อถึงกลิ่นอายแห่งมรรคประการหนึ่ง สอดประสานทั่วฟ้าดิน เปี่ยมแน่นทุกหัวระแหง


ด้วยมันอัศจรรย์ไร้รูป จึงไม่อาจบรรยาย


ก่อนก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ หลินสวินก็หยั่งรู้และครอบครองท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังค้างอยู่ในระดับท่วงทำนองแห่งน้ำขั้นสมบูรณ์ ไม่อาจทะลวงไประดับ ‘เจตจำนงแห่งมรรค’


เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าควรจัดการอุปสรรคนี้อย่างไร แต่ยามนี้มีดวงใจฉิวหนิว ทำให้เขามองเห็นความหวังโดยไม่ต้องสงสัย!


‘รอแค่ยึดกุมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำได้ ก็ไม่ต้องสะกดข่มระดับปราณ เตรียมเลื่อนสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้…’


หลินสวินพึมพำในใจ เฝ้ารอคอยเต็มที่ เขาค้างอยู่ระดับหยั่งสัจจะนานเกินไปแล้ว!


สวบ!


ทันใดนั้นในบริเวณที่ห่างไปไกลมีเงาร่างวูบไหว เสือดาวโลหิตตัวนั้นหวนกลับมา ปากยังคาบท่อนสำริดสนิมเขรอะกระดำกระด่างท่อนหนึ่งมาด้วย


หลินสวินชะงัก ก็เห็นเสือดาวโลหิตวางท่อนสำริดลงบนพื้นอย่างระมัดระวังยิ่งก่อนหันหลังจากไป เห็นชัดว่านี่คือ ‘การตอบแทน’ ของมันอย่างหนึ่ง


นี่ทำหลินสวินไหวหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ‘แพะมีจิตพินอบเทิดทูนน้ำนม อีกามีคุณธรรมกตัญญู คิดไม่ถึงว่าเสือดาวโลหิตก็รู้จักตอบแทนบุญคุณข้าด้วย…’


เขาหยิบท่อนสำริดสนิมเขรอะด่างพร้อยนั่นขึ้นมา ก็เห็นว่าสิ่งนี้หนักอึ้ง ขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ ปกคลุมด้วยสนิมทองแดงสีเขียวเข้มชั้นหนึ่ง คล้ายเป็นเศษเสี้ยวสมบัติบางอย่าง


หลินสวินออกแรงที่นิ้วกำจัดสนิมเหล่านี้ เผยโฉมหน้าดั้งเดิมของท่อนสำริดออกมา จากนั้นนัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด


ท่อนสำริดดูแล้วธรรมดายิ่ง แต่ด้านบนสลักภาพชายชราชุดนักพรตคนหนึ่งนั่งบนหลังวัวเขียว ท่าทางผ่อนคลายกำลังแหงนมองฟากฟ้า


ภาพดูเรียบง่าย คล้ายผ่านการกัดกร่อนแห่งเวลาอันไร้สิ้นสุด บางส่วนมัวจางเลือนราง แต่เมื่อหลินสวินมองไปกลับรู้สึกถึงแรงกดดันยิ่งใหญ่ที่พุ่งปะทะใบหน้า!


แรงกดดันมหาศาลนั่นแผ่กว้างราวไร้จำกัด ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต ชั่วพริบตาหลินสวินรู้สึกราวกับว่าชายชราขี่วัวเขียวนั่นคล้ายดั่งมีชีวิต นัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางตน


นั่นมันดวงตาอะไรกัน


ล้ำลึกราวจักรวาล สะท้อนลักษณ์แห่งสุริยันจันทราเคลื่อนคล้อย กาลเวลาผันเปลี่ยน ความลับของมหามรรค ทุกอย่างเสมือนปรากฏอยู่ภายใน!


เฉือก!


หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก จิตใจสั่นสะท้าน รู้สึกยำเกรงปานปรารถนาจะคุกเข่ากราบไหว้ ไม่อาจจินตนาการเกินไปแล้ว


แต่เมื่อเขามองโดยละเอียดอีกครั้ง ลักษณ์ประหลาดเมื่อครู่เสมือนระเหยหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าหลินสวินจะหยั่งเชิงอย่างไรก็ไม่พบสิ่งใดอีก


นี่ทำให้หลินสวินมึนงง ภาพของนักพรตขี่วัวทำไมถึงสลักลงบนท่อนสำริด สิ่งนี้คงมีความเป็นมาใหญ่หลวง!


หลินสวินลุกขึ้น กระรอกน้อยที่หลับสนิทพลันตกใจตื่นร้องเสียงแหลม พลิกตัวหนีลับราวหมอกควัน


ไม่นานนักหลินสวินมาถึงถ้ำชะง่อนผาแห่งหนึ่ง เสือดาวโลหิตกำลังนอนหมอบอยู่ภายใน ข้างกายล้อมรอบด้วยลูกเสือดาวโลหิตห้าหกตัว


หลินสวินหยุดยืนอยู่นอกถ้ำ ใช้จิตรับรู้กวาดมองอย่างละเอียด พยายามมองหาเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับท่อนสำริด


แต่สุดท้ายยังคงไม่พบอะไร


เสือดาวโลหิตถูกรบกวนตื่น เมื่อเห็นหลินสวินมันคล้ายนึกไม่ถึงอยู่บ้าง ส่งเสียงทุ้มต่ำคราหนึ่งราวถามเจตนาการมาของหลินสวิน


หลินสวินใจเต้น โคจรวิชาลับดวงใจฉิวหนิว ลองสื่อสารกับเสือดาวโลหิต


ทันใดนั้นในหัวปรากฏภาพฉากมากมาย ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าผืนหนึ่ง เสือดาวโลหิตกำลังเสาะหาอาหาร แต่กลับพบโครงกระดูกในถ้ำแห่งนี้


โครงกระดูกอยู่ท่านั่งสมาธิ น่าจะเป็นผู้ฝึกเซียนคนหนึ่ง ฝุ่นธุลีเกาะกุมทั่วร่าง อยู่ในท่านั่งสมาธิไม่รู้นานเท่าไรแล้ว


เสือดาวโลหิตเข้าไปสัมผัสเบาๆ โครงกระดูกนั่นพลันสลายกลายเป็นฝุ่น เหลือเพียงท่อนสำริดสนิมเขรอะด่างพร้อยบนพื้น


ภาพเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ก็เลือนหาย


‘ที่แท้ที่นี่เคยมีผู้ฝึกเซียนคนหนึ่งสิ้นชีพในท่านั่งสมาธิ หลงเหลือเพียงท่อนสำริดนี้…’ หลินสวินคล้ายขบคิดบางอย่าง


จู่ๆ เสือดาวโลหิตลุกขึ้น ร่างกายปราดเปรียวพุ่งเข้าไปที่ส่วนลึกข้างผาสูงชัน


นานพอควรมันจึงหวนกลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ปากมันกลับมีม้วนกระดูกเน่าเปื่อยชิ้นหนึ่ง มันวางลงข้างเท้าหลินสวิน


กร๊อบ!


เมื่อหลินสวินหยิบม้วนกระดูกขึ้นมา ผิวนอกของมันก็แตกระแหงคล้ายใกล้จะแตกหักดับสลาย


หลินสวินไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น รีบเร่งส่งจิตรับรู้เข้าไปภายใน ฉับพลันก็เห็นอักษรเฉพาะสมัยบรรพกาล…


‘ปรารถนาเลียนแบบอริยะ ก้าวผ่านอีกฟากฝั่งแห่งผืนดารา มุ่งหน้าทัศนาแหล่งสถานอัศจรรย์ แต่แล้วหนทางตัดขาด อดทนค้นหามาสี่หมื่นแปดพัน เหลือไว้เพียงวัตถุต่างหน้าเมธี ไร้วาสนาพบมรรคาแห่งเมธี มรรคาแห่งข้าสิ้นสุดแล้ว!’


หลินสวินตะลึงงัน


แกรก!


ในมือเขา ม้วนกระดูกซึ่งเน่าเปื่อยเกินทนกลายเป็นฝุ่นผงโดยสมบูรณ์ แผ่กระจายหายไปจากโลก


แต่หลินสวินกลับไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง


ในหัวเขาเสมือนมองเห็นสมัยบรรพกาล ผู้ฝึกปราณซึ่งฝึกมรรคาสวรรค์คนหนึ่งได้รับของต่างหน้าเมธีโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงคิดจะเลียนแบบอริยะ ก้าวผ่านอีกฟากฝั่งแห่งห้วงดารา เสาะหาแหล่งสถานอัศจรรย์


แต่เขาค้นหาอย่างยากลำบากสี่หมื่นแปดพันปี กลับไม่เคยพบหนทางสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ สุดท้ายสิ้นชีพไปพร้อมความเสียดาย หวนคืนสู่ธุลีดิน หลงเหลือเพียงท่อนสำริดนี้ไว้


‘สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ของต่างหน้าเมธี’ ถูกผู้ฝึกปราณคนนั้นมองว่าเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเกิดความคิดเลียนแบบอริยะ มุ่งหน้าไปดูแหล่งสถานอัศจรรย์…’


หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด นิ้วมือลูบไล้ท่อนสำริดที่สลักภาพนักพรตขี่วัว ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่


แสวงหามาสี่หมื่นแปดพันปี แต่สุดท้ายไร้วาสนาพบพาน สิ้นชีพด้วยความเสียดาย…


แหล่งสถานอัศจรรย์นั่น สมเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล!


หลินสวินเคยเข้าสู่ ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ได้รับมรรคคาถาปริศนาและป้ายคำสั่งเซียนเหินที่เกี่ยวกับ ‘แหล่งสถานคุนหลุน’ มาก่อน แน่นอนว่าต้องรู้ว่าจตุโบราณสถานบรรพกาลมีความเร้นลับมากเพียงใด


แต่เขากลับคาดไม่ถึงว่า ท่อนสำริดซึ่งหลงเหลือในมือเมธีเมื่อครั้งบรรพกาลจะมีความเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์


นานพอควร หลินสวินจึงเก็บภาพนักพรตขี่วัวที่สลักในท่อนสำริด ผงกศีรษะไปทางเสือดาวโลหิตตัวนั้นเล็กน้อย ก่อนหันหลังลอยล่องจากไป



ผ่านไปสามวัน


หลินสวินปรากฏตัวหน้าภูเขาใหญ่ที่รูปลักษณ์คล้ายอาณาเขตพยัคฆ์ สูงตระหง่านทรงพลังลูกหนึ่ง


สำรวจผ่านนัยน์ตาเฉาเฟิง ทำให้เขาตัดสินได้อย่างชัดเจนว่าภูเขานี้กักเก็บสายแร่แกนวิญญาณอันอุดมเส้นหนึ่ง


แต่เมื่อเขาเตรียมจะขุด กลับพบว่ามีคนกำลังเจาะภูเขาขุดเหมืองอยู่ก่อนแล้ว


นั่นคือผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่ง เจาะทะลวงอยู่ในถ้ำเหมืองตรงกลางทิวเขา


นอกถ้ำเหมืองยังมีเกี้ยวสมบัติงามวิจิตรคันหนึ่งจอดอยู่ ละแวกใกล้เคียงมีผู้ฝึกปราณมือฉมังคุ้มกันห้อมล้อม เห็นชัดว่าภายในเกี้ยวสมบัติต้องเป็นบุคคลฐานะไม่ธรรมดาคนหนึ่ง


เห็นดังนั้นหลินสวินที่ไม่คิดช่วงชิงสายแร่กับผู้อื่นก็หมายจากไป ทว่าเวลานี้กลับมีเสียงสุภาพอ่อนโยนหนึ่งดังขึ้น


“คุณชายก็มาเพื่อสายแร่นี้ด้วยหรือ”


ยามกล่าว ม่านเกี้ยวสมบัตินั่นถูกเลิกออก เผยใบหน้าหญิงงามนางหนึ่ง


คิ้วตาโค้ง ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ฟันสะอาดเป็นประกาย มุมปากแต้มรอยยิ้มเล็กน้อย บุคลิกนุ่มนวลดั่งดอกกล้วยไม้ เชยตามามองหลินสวิน


ทันใดนั้นผู้คุ้มกันใกล้เกี้ยวสมบัติต่างตื่นตระหนก เพิ่งสังเกตเห็นการมีอยู่ของหลินสวิน ทุกใบหน้าล้วนเจือความระแวดระวังมองมาโดยพร้อมเพรียง


‘ผู้หญิงคนนี้พลังรับรู้แหลมคมมาก ห่างขนาดนี้ยังสามารถสังเกตเห็นการมีอยู่ของข้าได้ น่าจะเป็นผลจากการฝึกวิชาลับจิตวิญญาณบางอย่าง…’


ในใจหลินสวินตกตะลึงอยู่บ้าง จากนั้นส่ายศีรษะแสดงออกว่าตนแค่ผ่านทาง แล้วจะหันหลังจากไป


“บังอาจ! พี่สาวข้ากำลังถามเจ้า ใครใช้ให้เจ้าไป? หรือเจ้ามีเจตนาน่าสงสัย”


ข้างเกี้ยวสมบัติ เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าสิบหกที่ค่อนข้างรูปงามคนหนึ่งส่งเสียงตวาดลั่น


เหล่าผู้คุ้มกันมือฉมังต่างเผยสีหน้าไม่เป็นมิตร


สายแร่แห่งนี้แฝงแกนวิญญาณมูลค่าน่าอัศจรรย์ หลายวันก่อนเพิ่งถูกพวกเขาค้นพบและทำการขุดค้น แน่นอนว่าต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นมาแย่งชิง


และการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลินสวินทำให้พวกเขาไม่อาจไม่สงสัย คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นหสายสืบที่ขุมอำนาจบางแห่งส่งมาสืบข่าว


ตอนที่ 813 สำนักกระบี่โผผิน

หลินสวินหันไป มุมปากหยักโค้งขึ้น หันมองเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่กระโชกโฮกฮากใส่ตนพร้อมพูดเสียงเรียบ “เจ้าหนู ระวังภัยจะมาจากปาก”


เด็กหนุ่มหล่อเหล่าคนนั้นเดือดดาล ใช้นิ้วชี้หลินสวินพลางกล่าว “ภัยจะมาจากปากงั้นเหรอ เจ้ากล้าข่มขู่ข้า พูดมา! ใครส่งเจ้ามา ถ้าไม่ตอบตามความจริง วันนี้ก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไป!”


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


ใกล้ๆ เด็กหนุ่มรูปงาม ผู้คุ้มกันทั้งหมดต่างชักอาวุธออกมา จ้องหลินสวินอย่างเย็นชา ท่าทางเตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา


ความเย็นเยียบแวบผ่านเข้ามาในแววตาของหลินสวิน เขารู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด


ทว่าแม้จะเข้าใจผิดก็ไม่ควรเผด็จการขนาดนี้หรือเปล่า


“หากข้าอยู่ต่อ เจ้าจะรับผลลัพธ์ได้หรือ”


หลินสวินพูดสบายๆ ความลุ่มลึกของเสียงคำรามผู่เหลาขับเคลื่อนไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เสียงของเขาแฝงพลังชวนตะลึงที่น่าสะพรึงกลัว


เด็กหนุ่มรูปงามนั่นสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เท้าเซถอยล้มลงกับพื้น สะเทือนไปทั้งร่าง


ผู้คุ้มกันเหล่านั้นหัวใจสะท้าน ร้อนรนอย่างที่สุด ยากจะเชื่อนัก ภาพนี้แปลกประหลาดเกินไป คำพูดเดียวเท่านั้นก็สยบคุณชายน้อยของพวกเขาได้แล้ว!


“เจ้ากล้าลอบโจมตี!”


เด็กหนุ่มหล่อเหล่าคนนั้นกรีดร้อง เคียดแค้นอย่างที่สุด “พวกเจ้ายังอึ้งอะไรอยู่ ไปฆ่าไอ้สารเลวนั่นซะ!”


หลินสวินขมวดคิ้ว ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ หลังจากถูกโจมตีเช่นนี้จะต้องระแวงและระมัดระวัง ไม่กล้าเหิมเกริมกับตนอีก


แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับแตกต่าง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมายโสโอหังจนติดเป็นนิสัย ไม่เคยเสียเปรียบอะไรมาก่อน


“หุบปาก!”


เหตุการณ์เข่นฆ่ากำลังจะเกิดขึ้น ก็เห็นว่าตอนนี้เองในที่สุดหญิงสาวอ่อนโยนที่เดินออกจากเกี้ยวสมบัติก็หมดความอดทน ดุว่าเด็กหนุ่มรูปงาม “เสี่ยวเทียน เจ้าก่อเรื่องพอหรือยัง ไม่ถามความจริงให้รู้เรื่องก็ฆ่าฟันกัน นี่จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!”


ตอนที่นิ่งเงียบนางดูอ่อนโยนมาก แต่พอโกรธขึ้นมากลับแฝงความน่าเกรงขามอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาเปลี่ยนไป สุดท้ายก็อดกลั้นไม่เอ่ยวาจา


ในเวลานั้นหญิงสาวหันมองหลินสวิน พูดอย่างรู้สึกผิด “น้องชายคนเล็กคนนี้ของข้าถูกตามใจจนเสียคน จึงล่วงเกินคุณชาย หวังว่าคุณชายจะเข้าใจ”


หลินสวินขานรับว่าอ้อ ท่าทางคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ในเมื่อเจ้ารู้แต่แรกว่านิสัยของเขาแย่เพียงนี้ ก่อนหน้านี้กลับไม่ห้าม หรือต้องการพิสูจน์ความอดทนของข้า”


สีหน้าของหญิงสาวยิ่งรู้สึกผิด “ที่แท้คุณชายก็ดูออกแล้ว นี่เป็นความผิดของข้าจริงๆ หากคุณชายไม่พอใจ ข้ายินดีมอบความจริงใจให้คุณชายเป็นการชดเชย”


นางจริงใจมาก ไม่ได้เถียงและปกปิด ทำให้หลินสวินอึ้งไป ในใจแอบพูดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา


“ไม่จำเป็น ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดข้าย่อมไม่ถือสาเด็กเมื่อวานซืน ขอตัว” หลินสวินโบกมือง่ายๆ แล้วพลันหมุนตัวจะจากไป


ผู้หญิงคนนั้นร้อนรนเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไร”


หลินสวินพูด “พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น ถามเรื่องนี้ทำไม”


หญิงสาวอธิบาย “คุณชายอย่าได้เข้าใจผิด เมื่อครู่นี้ล่วงเกินไปมาก ข้าเพียงอยากชดเชยความผิดอย่างเต็มที่ มิฉะนั้นคงรู้สึกไม่สบายใจ”


หลินสวินถอนหายใจในใจ ไม่สนใจนัก ท่าทีของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะจริงใจอ่อนโยน ความจริงแอบแฝงความเร้นลับเอาไว้


นางพูดไปพูดมา ก็เพื่ออยากยืนยันฐานะของตน จะได้คาดเดาจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ก็เท่านั้น


ก็หมายความว่าจวบจนกระทั่งตอนนี้นางยังคงสงสัยว่า ที่จู่ๆ ตนปรากฏตัวหน้าเทือกเขาซึ่งมีชีพจรปราณวิญญาณแห่งนี้ เพราะมีจุดประสงค์อื่น


หลินสวินฝึกปราณมาถึงวันนี้ คลื่นลมอะไรบ้างที่ไม่เคยเจอ ความคิดเพียงเล็กน้อยเท่านี้เขามองออกในแวบเดียว ไม่จำเป็นต้องคาดเดาด้วยซ้ำก็


“หากเจ้าอยากชดเชยจริงๆ ก็ไปขุดสายแร่วิญญาณของเจ้าอย่างสบายใจเถอะ ของแค่นี้ไม่เข้าตาข้าหรอก” หลินสวินทิ้งประโยคนี้เอาไว้แล้วลอยตัวออกไปอย่างไม่ลังเลอีก


ผู้หญิงคนนั้นสีหน้าแข็งทื่อ ใบหน้างดงามร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าหมอนี่… ดันอ่านใจตนออกตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือ


นางคล้ายคิดอะไรอยู่ ตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดายิ่ง ต่างจากเหล่าผู้กล้าที่โดดเด่นที่นางเคยเจอมา


“คุณชาย ข้านามว่าอวี๋เสวี่ยเจียว มาจากเมืองก่วมหิมะ ต่อไปหากมีวาสนาได้พบกันอีกจะชดเชยและตอบแทนแน่!”


นางพูดเสียงใส เสียงดังออกไปไกลมาก เพียงแต่เสียดายที่หลินสวินไปไกลแล้ว จึงไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่


“ท่านพี่ ด้วยฐานะของท่าน เหตุใดต้องเคารพเจ้าหมอนั่นขนาดนี้ ข้าว่าเจ้าหมอนั่นเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัด มีเจตนาไม่ดี!” เด็กหนุ่มรูปงามนั่นไม่พอใจมาก เขามีชื่อว่าอวี๋เสวี่ยเทียน เป็นน้องชายแท้ๆ ของอวี๋เสวี่ยเจียว


ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ก็สงสัยมาก


ตระกูลอวี๋ของพวกเขาทรงอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งในเมืองก่วมหิมะ ชื่อเสียงเลื่องลือในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้นี้ และด้วยฐานะหญิงสาวรุ่นเยาว์ตระกูลอวี๋ที่โดดเด่นที่สุด ในเมืองก่วมหิมะ อวี๋เสวี่ยเจียวเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง ฐานะสูงส่ง


แต่ตอนนี้นางกลับทั้งยอมถอยและขอโทษเด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติเกินไป!


อวี๋เสวี่ยเจียวชะงักไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจเบาๆ “พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร เมื่อครู่นี้หากเขาต้องการช่วงชิงสายแร่วิญญาณแห่งนี้จริงๆ ในบรรดาพวกเราใครก็ขวางไม่อยู่”


นางฝึกวิชาลับจิตวิญญาณมาตั้งแต่เด็ก การรับรู้ยิ่งใหญ่อย่างที่สุด ตั้งแต่เห็นหลินสวินในแวบแรกนางก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด ราวกับหุบเหวใหญ่ที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา!


“พวกเราออกมาเกือบเดือนแล้ว ควรจะกลับเมืองได้แล้ว…” จู่ๆ อวี๋เสวี่ยเจียวก็ตัดสินใจ ดูกะทันหันมาก ทำให้คนอื่นๆ ต่างอึ้งงัน


กลับเมืองก่วมหิมะหรือ


……


สองชั่วยามหลังจากนั้น


ทอดสายตามองไป ลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนเป็นราบเรียบและกว้างขวางขึ้น


บนทุ่งรกร้าง หมู่เขาค่อยๆ ซ่อนตัวบนเส้นขอบฟ้า สามารถมองเห็นเค้าโครงกำแพงเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแต่ไกล


หลังจากหลินสวินมาถึงที่นี่ก็ชะลอความเร็ว มุ่งหน้าไปทางกำแพงเมือง


ตั้งแต่ออกจากนครเตโชจนถึงตอนนี้ เขาเดินทางอย่างยากลำบากในพื้นที่รกร้างมาเดือนกว่าแล้ว ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็มีสัตว์อสูร สัตว์ปีศาจเดินอยู่ในภูเขาลึกเป็นเพื่อน


ตามการคาดเดาของหลินสวิน ตลอดทางเขาเดินผ่านมาอย่างน้อยหลายแสนลี้แล้ว ระหว่างทางนอกจากถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามฆ่า ยังพบเจออันตรายอีกไม่รู้เท่าไหร่


ถึงอย่างไรในพื้นที่ดิบเถื่อนดั้งเดิมที่เทือกเขาที่เรียงราย สัตว์ปีศาจกระจายอยู่ทุกแห่งหน สัตว์อสูรหลากสายพันธุ์ปิดขวาง ทั้งยังมีอันตรายจากแมลงมีพิษ หนทางยากลำบากมาก หากคนทั่วไปอยากจะเดินทางบนเส้นทางเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย


แม้แต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปก็ไม่กล้าเดินทางกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้เพียงลำพังเหมือนหลินสวิน


ตอนนี้ในที่สุดก็มองเห็นกำแพงเมืองหนึ่ง ทำให้ในใจหลินสวินเองตื่นเต้นขึ้นมา เขาจำเป็นต้องสอบถามและยืนยันเส้นทางไปแคว้นหงส์สถิตสักหน่อยก่อน


ในเวลาเดียวกันก็ต้องเปลี่ยนของใช้จำเป็นบางส่วน อย่างเช่นแกนวิญญาณที่ต้องใช้ในการฝึกปราณ รวมทั้งหยกควบรวมจิตระดับกลางที่ป้อนหนอนกินเทพ


อีกทั้งในเมืองก็สามารถรู้เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในแดนฐิติประจิมในช่วงที่ผ่านมาได้


เมื่อออกจากเทือกเขากว้างสัตว์อสูรก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นแล้ว ระหว่างทางหลินสวินเริ่มเจอคนบ้างแล้ว


ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า เข้าออกผืนป่าโบราณเพื่อขุดและเก็บโอสถวิญญาณกับหญ้าวิญญาณ อีกทั้งรับซื้อพวกหนังสัตว์จากชาวเขา แม้หนทางจะอันตราย แต่กลับได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเลย


จากปากพวกเขา หลินสวินได้รู้ว่าเมืองที่อยู่ห่างไปนั่นชื่อว่าเมืองก่วมหิมะ ตั้งอยู่แถบชายแดนของแคว้นล้ำเมฆา


แคว้นล้ำเมฆาเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในแดนฐิติประจิม


เหตุผลก็อยู่ที่ว่า แคว้นนี้มีสำนักโบราณที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อทั้งแดนฐิติประจิม…


สำนักกระบี่โผผิน!


ว่ากันว่าสำนักนี้มีลูกศิษย์แปดพันคน เป็นระดับหยั่งสัจจะสามพันคน มีรากฐานที่แข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น ดึงดูดสายตาผู้คนที่สุด ในสำนักกระบี่โผผินมีราชันกระบี่หกคนและอริยะกระบี่กึ่งระดับหนึ่งคนควบคุมด้วยตัวเอง!


ราชันกระบี่!


เป็นชื่อเรียกผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝึกปราณสายกระบี่ และเป็นราชันระดับสังสารวัฏแล้ว


ส่วนอริยะกระบี่กึ่งระดับยิ่งวิปริตกว่า เป็นบุคคลผู้น่าสะพรึงที่ก้าวผ่านอมตะนพเคราะห์แล้ว ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะกลายเป็นอริยะ


สำนักกระบี่โผผินสำนักเดียว ก็มีราชันกระบี่ถึงหกคนและอริยะกระบี่กึ่งระดับคนหนึ่งควบคุม แค่คิดก็รู้ว่าขุมอำนาจนี้แข็งแกร่งเพียงใด!


และเพราะเหตุนี้ สำนักกระบี่โผผินจึงถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ของแดนฐิติประจิม ถือเป็นขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งในหมู่สำนักโบราณ


ถ้าพูดถึงฐานะ ก็ด้อยกว่าสำนักอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมอย่างเรือนกระบี่เร้นปุจฉาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ถึงอย่างไรเรือนกระบี่เร้นปุจฉาก็มีอริยะที่แท้จริงควบคุม เพียงจุดนี้ก็สามารถแสดงถึงความโดดเด่นของรากฐานได้แล้ว


ฮูว~


บนฟากฟ้าจู่ๆ ก็เกิดคลื่นสะท้านขวัญ ปักษาเทพที่ขาวดั่งหิมะ น่าเกรงขามอย่างที่สุดตัวหนึ่งขวางกั้นกลางอากาศ บรรทุกชายหญิงรุ่นเยาว์สิบกว่าคน


ที่นี่ห่างจากประตูเมืองใหญ่อย่างเมืองก่วมหิมะไม่ไกลแล้ว ระหว่างทางมีเงาร่างมากมายเดินไปเดินมา ตอนนี้ต่างตื่นตกใจ อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้


จากนั้นเสียงฮือฮาก็ดังขึ้น


“นี่คือปักษาหิมะเลือดหงส์ตัวหนึ่ง มีสายเลือดหงส์ยักษ์โบราณ กลิ่นอายน่าสะพรึงมาก เกรงว่าจะมีอานุภาพเทียบได้กับราชันกึ่งระดับ!”


“ปักษาหิมะเลือดหงส์ ข้ารู้แล้ว พวกเขาเป็นผู้สืบทอดจากสำนักกระบี่โผผิน!”


สถานการณ์ดูสับสนวุ่นวายขึ้นมาในชั่วขณะ หลายคนยากจะปกปิดสีหน้าตะลึงและคลั่งไคล้ สำนักกระบี่โผผินเป็นแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งที่สุดในแคว้นล้ำเมฆาเชียวนะ!


และตอนนี้ปักษาหิมะเลือดหงส์ตัวหนึ่งลงมาจากฟ้า บรรทุกผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินรุ่นเยาว์สิบกว่าคน มาปรากฏตัวตรงชายแดนของเมืองก่วมหิมะ นี่จะไม่ให้อึ้งตะลึงได้อย่างไร


ที่มาพร้อมกับความตกตะลึงก็คือความสงสัยใคร่รู้ ว่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินเหล่านี้มาเยือนเมืองก่วมหิมะเพื่อการใด


ตอนนี้หลินสวินเพิ่งมาถึงหน้าประตูเมืองนั่น กำลังเตรียมจะเข้าไป พบเห็นภาพนี้เข้าสายตาจึงถูกดึงดูดไปด้วย


พรึ่บ!


ปักษาหิมะเลือดหงส์ลดระดับลง ลมกระโชกแรงกวาดพื้นดิน เศษฝุ่นบินว่อน


ผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินสิบกว่าคนลอยตัวลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา หนุ่มหล่อสาวสวย แต่ละคนราวกับเซียนมาเยือนโลก เรียกได้ว่าเป็นมังกรหงส์ในหมู่ผู้คน ต่างโดดเด่นในแบบที่แตกต่างกัน


โดยเฉพาะชายคนที่เป็นหัวหน้า เขาสวมเสื้อขนนก ศีรษะสวมเกี้ยวประดับรุ้งดารา เสื้อผ้าพลิ้วไหว ห้าวหาญองอาจ ท่าทางกระปรี้กระเปร่า


สายตาของเขาราวกับสายฟ้า เส้นผมดำราวกับหมึก รูปร่างสง่าดุจกระบี่ ยืนอยู่ตรงนั้นง่ายๆ เหมือนดั่งเซียนกระบี่ในตำนาน มีบุคลิกอันพลิกฟ้า


“สวรรค์ นั่นคงไม่ใช่จั๋วขวงหลันหรอกนะ”


ในที่นั้นมีคนอุทานด้วยความตกใจ สร้างความสะเทือนอย่างหนัก ผู้ฝึกปราณรอบๆ ต่างสูดหายใจไม่หยุด


จั๋วขวงหลัน!


ยอดคนรุ่นเยาว์แห่งสำนักกระบี่โผผิน เบียดตัวเข้ามาอยู่ในห้าอันดับแรกของศิษย์สืบทอดของสำนัก ชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในแดนฐิติประจิม เสมือนดวงดาวที่สะดุดตาในบรรดาคนรุ่นเยาว์ แสงประกายไกลหมื่นจั้ง


ต่อให้เป็นหลินสวิน เมื่อเห็นบุคลิกของคนผู้นี้แล้วยังอดหรี่ตาไม่ได้ สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของอีกฝ่าย เขามีความน่าเกรงขามซ่อนอยู่ น่าหวาดหวั่นอย่างมาก


ทว่าไม่นานสายตาหลินสวินก็ถูกชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ จั๋วขวงหลันดึงดูด


เหตุใดจึงเป็นเขา


เมื่อแน่ใจในตัวตนของชายคนนั้นแล้ว หลินสวินก็ใจสะท้าน ไม่อยากจะเชื่อนัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอคนผู้นี้ที่นี่


ตอนที่ 814 ต้นข่าวสาร

คนผู้นั้นคาดเข็มขัดหยกบนชุดคลุมสีเขียว เกล้วผมเป็นมวย ใบหน้าหล่อเหลา สะพายกระบี่โบราณสีน้ำเงินไว้กลางหลัง สีหน้าเผยความเย่อหยิ่ง


ดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง!


ตอนที่หลินสวินยังเป็นเด็กหนุ่มอ่อนแออายุสิบสามสิบสี่ ก็เคยเจอเซี่ยอวี้ถังในป่าโบราณนอกหมู่บ้านเฟยอวิ๋นครั้งหนึ่ง


ตอนนั้นหลินสวินมีพลังปราณเพียงระดับกำลังภายในเท่านั้น แต่เซี่ยอวี้ถังได้ก้าวสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว สามารถควบคุมดาบ สง่างามราวกับเซียน


จากนั้นในเมืองหมอกอำพรางมณฑลซีหนาน ครั้งแรกที่หลินสวินเจอหลิ่วชิงเยียน ก็ได้เจอเซี่ยอวี้ถังอีกครั้ง


เพียงแต่ตอนนั้นเซี่ยอวี้ถังเคยใช้คมกระบี่สามฉือจ่อลำคอหลินสวิน ด้วยท่าทางที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ข่มขู่ให้หลินสวินปล่อยคุณชายเสเพลคนหนึ่งที่ถูกกำราบไว้


จนตอนนี้หลินสวินยังจำคำพูดที่เซี่ยอวี้ถังเคยพูดตอนนั้นได้…


‘มดปลวกตัวน้อย หากไม่รู้จักประมาณตนระวังภัยจะมาถึงตัว!’


นั่นเป็นครั้งแรกที่หลินสวินถูกข่มขู่เช่นนี้ ถูกกระบี่จ่อคอหอย มองเป็นมดปลวก ชีวิตนี้เขาไม่มีวันลืมความรู้สึกเช่นนี้


เพียงแต่หลังจากหลินสวินเข้าไปอยู่ในนครต้องห้ามได้ไม่นาน ดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังก็เดินทางมาฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ หลังจากนั้นหลินสวินก็ไม่เคยได้ยินข่าวของคนผู้นี้อีกเลย


แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจะพบคนผู้นี้อีกครั้งที่หน้าเมืองก่วมหิมะ ซึ่งอยู่แถบชายแดนแคว้นล้ำเมฆาแห่งแดนฐิติประจิม


‘ดูเหมือนว่าหลังจากเขามาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ ก็ได้กราบอาจารย์เข้าไปฝึกปราณในสำนักกระบี่โผผิน และดูจากสถานการณ์คงได้รับความสำคัญจากสำนักอย่างมาก’


หลินสวินตระหนักได้ในใจ เซี่ยอวี้ถังสามารถติดตามอยู่เคียงข้างจั๋วขวงหลันผู้เป็นหนึ่งในห้าศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่โผผินได้ ฐานะในสำนักกระบี่โผผินย่อมไม่ต่ำแน่


หลินสวินไม่ถึงกับรู้สึกดีกับเซี่ยอวี้ถัง แต่ก็ไม่ได้เกลียดชัง ตอนนั้นแม้เคยถูกอีกฝ่ายเอากระบี่จ่อคอข่มขู่ แต่ก่อนหน้านั้นเซี่ยอวี้ถังก็เคยบังเอิญช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง


ดังนั้นสำหรับหลินสวิน เขากับเซี่ยอวี้ถังก็เท่ากับว่า ‘หมดสิ้นบุญคุณความแค้น’ ไม่มีใครติดค้างใคร


แน่นอนว่าหลินสวินมีความเย่อหยิ่งและศักดิ์ศรีของตน แม้จะไม่ไปแก้แค้นเซี่ยอวี้ถัง แต่เขาก็ไม่มีทางจะไปปฏิสัมพันธ์กับเซี่ยอวี้ถังก่อน


แม้สำหรับดินแดนรกร้างโบราณ พวกเขาทั้งสองล้วนถือว่าเป็น ‘ศัตรู’ ที่มาจากที่เดียวกัน ทว่าเป็นคนรู้จักก็ใช่ว่าจะสามารถมองข้ามเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วให้อภัยต่อกันได้


“หลินสวิน?”


เพียงแต่ตอนที่หลินสวินเตรียมจะหมุนตัวกลับไปนั้น เซี่ยอวี้ถังก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน พลันส่งเสียงอย่างประหลาดใจ “เจ้าก็มาดินแดนรกร้างโบราณแล้วหรือ”


หลินสวินขานรับว่าอืม สีหน้าเรียบเฉย


เซี่ยอวี้ถังขมวดคิ้ว ไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปี เขาพบว่าพลังปราณของหลินสวินอยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นสมบูรณ์แล้ว ในใจยิ่งคาดไม่ถึงอยู่บ้าง


“ตอนนี้เจ้ากราบอาจารย์เข้าสำนักใดหรือยัง”


เซี่ยอวี้ถังถาม ตอนนั้นเขาไม่เคยสนใจหลินสวินเลยสักนิด


และเป็นตอนที่อยู่ในนครต้องห้าม เขาถึงได้รู้ว่าหลินสวินสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่จับตามองแล้ว


เพียงแต่เขาก็ยังคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ชายขอบของจักรวรรดิจื่อเย่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ก็มีความสามารถที่จะเข้ามาฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณแล้ว!


นี่ทำให้อดตะลึงและประหลาดใจไม่ได้แล้ว


อย่าลืมว่าในจักรวรรดิจื่อเย่า ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณได้ง่ายๆ! มีเพียงขุมอำนาจใหญ่ชั้นยอดแห่งยุคเท่านั้น จึงจะสามารถส่งลูกศิษย์ของพวกเขามายังแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่และกว้างขวางนี้ได้!


“ยัง”


หลินสวินส่ายหน้า


เซี่ยอวี้ถังขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง ในใจกระจ่างแล้ว


ก็จริง เด็กหนุ่มที่ไม่มีเบื้องหลัง ไม่มีฐานะ สามารถเข้ามาฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณได้ก็เป็นโชคดีมากแล้ว ยังจะสามารถเข้าสำนักโบราณใดได้อย่างไร


“ศิษย์น้องเซี่ย นี่คือสหายของเจ้าตอนที่อยู่โลกชั้นล่างหรือ”


ทันใดนั้นจั๋วขวงหลันพูดขึ้น เขาอยู่ในชุดเสื้อแขนกว้าง ท่าทางสง่างาม ร่างยืดตรงราวกับกระบี่ มีกลิ่นอายราวกับเมฆที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทันทีที่อ้าปากก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งลาน


“ไม่ถึงขั้นเรียกว่าสหาย แค่รู้จักเท่านั้น” เซี่ยอวี้ถังพูดสบายๆ


จั๋วขวงหลันขานรับว่าอ้อคำหนึ่งก็เก็บสายตา ไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยพอเป็นพิธีกับหลินสวิน ท่ามกลางความเงียบแฝงความเย่อหยิ่งที่ดูห่างเหิน


โลกชั้นล่าง!


บริเวณรอบๆ ผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินต่างชะงัก สีหน้าพลันปรากฏความไม่เห็นด้วย ต่างดูถูกเหยียดหยามไม่มากก็น้อย


ทีแรกเห็นเซี่ยอวี้ถังคุยกับหลินสวิน พวกเขายังแปลกใจในตัวหลินสวินไม่น้อย คิดว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักเก่าแก่ที่ใดที่หนึ่ง


แต่เมื่อรู้ว่านี่เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอันแห้งเหือดและยังไม่มีสำนัก ก็หมดความสนใจทันที


“ศิษย์น้องเซี่ย เรื่องสำคัญรออยู่ จะเสียเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว” จั๋วขวงหลันพูดสบายๆ


เห็นได้ชัดว่าเซี่ยอวี้ถังก็ไม่ได้มีความคิดที่จะแนะนำหลินสวินให้คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าพูด “ทุกอย่างล้วนฟังตามที่ศิษย์พี่จั๋วกล่าว”


“เช่นนั้นก็ไปเถอะ”


กลุ่มของพวกเขาพุ่งหน้าเข้าประตูเมืองไปทันที ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมองหลินสวินตรงๆ อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว


สำหรับพวกเขา เด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอย่างหลินสวิน ไม่ต่างอะไรกับคนผ่านทาง ไม่ควรค่าให้ความสนใจ


มีเพียงเซี่ยอวี้ถังเท่านั้นที่ก่อนไปเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง แล้วสื่อจิตอย่างนิ่งสงบ ‘หากเจ้าประสบปัญหาอันใดสามารถมาหาข้าได้ แต่ว่าหากข้าช่วยได้ก็จะช่วย หากช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็อย่าตั้งความหวังไว้มากนัก’


พูดจบเขาก็จากไปอย่างเร่งรีบ


หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นพลันยิ้มเยาะคราหนึ่ง


ตอนที่เซี่ยอวี้ถังพูดคำพูดเหล่านี้ มีความรู้สึกว่าเหนือกว่าเป็นเอกลักษณ์ ราวกับกำลังทำทาน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ


หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่เข้าเมืองก่วมหิมะด้วยซ้ำ กลับถูกกลุ่มผู้สืบทอดที่มาจากสำนักกระบี่โผผินดูถูกและมองข้ามแล้ว


แม้แต่เซี่ยอวี้ถังยังแสดงท่าทีสูงส่ง ท่าทางเหมือนทำทานอย่างไรอย่างนั้น ทำให้หลินสวินรู้สึกตลก


เขาส่ายหน้า ไม่นานก็ทิ้งเรื่องเล็กที่แทรกเข้ามานี้ไป ก้าวเท้าเข้าประตูเมืองเก่าแก่สูงใหญ่ของเมืองก่วมหิมะ


……


ตอนที่หลินสวินจากไปได้ไม่นาน เกี้ยวสมบัติอันหรูหรางดงามคันหนึ่งขับเคลื่อนมาจากระยะไกลท่ามกลางการคุ้มครองของกลุ่มผู้ฝึกปราณ


คนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวสมบัติก็คือสองพี่น้องอวี๋เสวี่ยเจียวและอวี๋เสวี่ยเทียน


“ท่านพี่ เราไปดูที่ ‘ต้นข่าวสาร’ กลางเมืองก่อนดีหรือไม่ จากไปหนึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในแดนฐิติประจิมบ้าง”


อวี๋เสวี่ยเทียนพูดอย่างตื่นเต้น


อวี๋เสวี่ยเจียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่อยากให้น้องชายผิดหวังจึงพยักหน้าพูด “ก็ดี งั้นลองไปดู”


ต้นข่าวสาร


นี่เป็นต้นไม้โบราณที่แปลกประหลาด ปลูกโดยผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยที่ข่าวไวที่สุด


ทุกครั้งที่มีเรื่องฮือฮาที่สุดเกิดขึ้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยก็จะสืบข่าวมาแขวนไว้บนต้นไม้ ควบรวมเป็นใบไม้แต่ละใบให้คนมาดูมาชม


ใบไม้ของต้นข่าวสารยอดเยี่ยมมาก สามารถเปลี่ยนเป็นตัวอักษรและรูปภาพ ฉายภาพเหตุการณ์เสมือนจริงของหลายข่าวอีกครั้ง


และหลายข่าวที่เป็นความลับอย่างมากก็สามารถสืบได้บนต้นข่าวสารเช่นกัน เพียงแต่ต้องเอาแกนวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาป้อนใบไม้พวกนี้ จึงจะสามารถมองเห็นเนื้อหาในนั้นได้ทันที


และก็เพราะเหตุนี้ ต้นข่าวสารจึงถูกเรียกว่าเป็น ‘ต้นเงินต้นทอง’ ของเผ่าวาทวาโย


……


กลางเมืองก่วมหิมะ


ต้นข่าวสารสูงใหญ่เสียดฟ้าที่เก่าแก่และแข็งแรงฝังรากอยู่ที่นี่ กิ่งก้านของมันแผ่สาขาออกไปเหมือนมังกรมีเขา ด้านบนเต็มไปด้วยใบไม้หนาแน่น


ใบไม้มีสีขาวเป็นประกายราวกับแกะสลักจากน้ำแข็ง ขนาดใหญ่พอๆ กับใบพัด ภายในซ่อนข่าวสารต่างๆ ที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยสืบมาได้


ตอนที่พวกของอวี๋เสวี่ยเจียวมาถึงก็พบด้วยความแปลกใจว่า ที่นี่คึกคักผิดปกติ เงาร่างที่ราวกับคลื่นน้ำล้อมรอบต้นข่าวสารเอาไว้จนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้


“คนเยอะขนาดนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่!” อวี๋เสวี่ยเทียนตะโกนอย่างตื่นเต้น ลุกพรวดขึ้นกระโดดลงจากเกี้ยวสมบัติอย่างร้อนรน แล้วเบียดเข้าไปในกลุ่มคน


“น้องเล็กยังคงใจร้อนเกินไป…” อวี๋เสวี่ยเจียวส่ายหน้า จากนั้นนางเองก็ลุกขึ้น ก้าวลงจากเกี้ยวสมบัติเช่นกัน


อวี๋เสวี่ยเจียวจำได้แม่น จะต้องเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่ที่ฮือฮาอย่างมากเกิดขึ้น บริเวณต้นข่าวสารถึงได้ดึงดูดผู้ฝึกปราณมากมายขนาดนี้


‘หรือในช่วงนี้ยังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ’ ในใจอวี๋เสวี่ยเจียวอดแปลกใจไม่ได้


และในเวลานั้นเอง อวี๋เสวี่ยเทียนที่เบียดเข้าไปในกลุ่มคนนานแล้วส่งเสียงด้วยความตกใจกะทันหัน “ท่านพี่ รีบมาดูเร็ว!”


อวี๋เสวี่ยเจียวในใจสะท้าน เดินมาหน้าต้นข่าวสารรวมตัวกับอวี๋เสวี่ยเทียนอย่างราบรื่นท่ามกลางการปิดล้อมอย่างหนาแน่นของผู้คุ้มกัน


ตอนที่สายตาของนางมองไปทางลำต้นซึ่งสะดุดตาที่สุดของต้นข่าวสารก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย


ถึงกับเป็นเขา!?


ตอนที่ 815 ชื่อเสียงโด่งดังกะทันหัน

ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างรู้ว่า โดยทั่วไปน้อยมากที่กลางลำต้นจะถูกแขวนข่าวขึ้นไป


แต่ถ้ามีข่าวแขวนขึ้นไปในบริเวณนี้ ก็แสดงว่ามีเรื่องใหญ่ที่เพียงพอให้ฮือฮาไปทั้งแดนฐิติประจิมเกิดขึ้น


ตอนนี้บนกลางลำต้นของต้นข่าวสารอันเก่าแก่และแข็งแกร่ง ควบรวมใบไม้ขนาดเท่าใบพัด ขาวเป็นประกายราวกับหิมะ


ใบไม้ส่องประกาย แปรเป็นจอภาพจอหนึ่ง


ในจอภาพกำลังแสดงฉากการประลองที่ตะลึงโลกอย่างที่สุด


นั่นเป็นการประลองระหว่างชายหญิงรุ่นเยาว์คู่หนึ่ง


ฝ่ายชายราวกับเด็กหนุ่มเทพมารผู้หนึ่ง ดวงตาดำราวกับสายฟ้า รอบตัวแผ่แสงบริสุทธิ์ เงาร่างเหินทะยานภายใต้ท้องฟ้า ผงาดผยองและกร้าวแกร่ง


ส่วนฝ่ายหญิงนั้นสวมหน้ากากสีเงิน เงาร่างสง่างามราวกับเซียน แต่การโจมตีกลับตะลึงโลก ปลดปล่อยไอกระบี่อันน่าหวาดหวั่น แหลมคมพลิกฟ้า ผ่าโจมตีเก้าชั้นฟ้า!


จอภาพสั่นและเบลอเล็กน้อย แต่กลับไม่ส่งผลต่อความสนใจของผู้ฝึกปราณเลยสักนิด สีหน้าของพวกเขาล้วนสั่นสะเทือน จิตใจถูกดึงดูด


ในเวลาเดียวกันมีเสียงชราดังขึ้นในจอภาพ กำลังแนะนำการต่อสู้ครั้งนี้…


‘นี่เป็นการประลองตะลึงโลกที่เกิดขึ้นในนครเตโชแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นสะเทือนไปทั้งแคว้น พอเผ่าวาทวาโยของเรารู้ข่าว ก็เริ่มสืบรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ในทันที…’


‘ที่น่าเสียดายคือ จนตอนนี้เรายืนยันได้เพียงว่าเด็กหนุ่มที่ราวกับเทพมารนั่นชื่อหลินสวิน เคยปรากฏตัวในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของนครเตโช ได้ยินว่าเขามีความสนิทสนมชิดเชื้อกับซย่าเสี่ยวฉงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์กลุ่มดาว และฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูร’


‘เพียงแต่ที่มาของหลินสวิน พวกเราเผ่าวาทวาโยใช้เวลาสืบอยู่หลายวันก็ยังไม่ได้ความ แต่สามารถยืนยันได้ว่า ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของแดนฐิติประจิม เพียงพอที่เรียกว่าเป็นบุคคลระดับพลิกฟ้าในหมู่ผู้กล้า!’


หลินสวิน?


ชื่อนี้ไม่คุ้นเลยสักนิด ทำให้กลุ่มผู้ฝึกปราณที่อยู่ในที่นั้นต่างงงงวย แคว้นวิญญาณอัคนีมีผู้กล้าแห่งยุคเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


ส่วนอวี๋เสวี่ยเจียวในใจไหวสะท้าน ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นนางก็จำได้ว่าชายที่ราวกับเทพมารพลิกฟ้าผงาดผยองในจอภาพ คือเด็กหนุ่มที่บัญเอิญเจอกันเมื่อหลายชั่วยามก่อน!


‘ที่แท้ศักยภาพของเขาก็แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิด…’ ในใจอวี๋เสวี่ยเจียวยากจะสงบ


นางแอบรู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นไม่ได้ใช้วิธีแข็งกร้าวหยุดหลินสวิน มิฉะนั้นผลลัพธ์จะต้องเลวร้ายจนไม่กล้าคิดอย่างแน่นอน


ส่วนอวี๋เสวี่ยเทียนน้องชายของอวี๋เสวี่ยเจียวงงเป็นไก่ตาแตก สีหน้าอึมครึมสับสน ท่าทางไม่กล้าเชื่อ


เขาเองก็จำหลินสวินได้ ทันทีที่นึกได้ว่าตนเคยพูดจาเสียมารยาท ท้าทายและต่อว่าหลินสวิน เขาก็เหงื่อซึมไปทั้งร่าง ตน… เกือบก่อหายนะครั้งใหญ่แล้ว!


ในจอภาพเสียงชรานั้นดังขึ้นอีกครั้ง ‘สำหรับหญิงสาวคนนั้น ที่มายิ่งลึกลับและน่าสะพรึง เพราะข้อห้ามบางอย่าง เผ่าวาทวาโยของเราจำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยได้…’


ในที่นั้นฮือฮาขึ้นมาทันที!


เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินสวินผู้ราวกับเทพมารก็ลึกลับมากพอแล้ว ตอนนี้แม้แต่หญิงสาวสวมหน้ากากสีเงินคนนั้น ที่มาถึงขั้นน่ากลัวและน่าหวาดหวั่นมากกว่า ทำให้เผ่าวาทวาโยไม่กล้าเปิดเผยฐานะ นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว


“มหาสงครามกำลังจะมาเยือน พวกปีศาจสัตว์ปหระหลาดที่ปลีกวิเวกมากมายต่างเริ่มปรากฏแล้ว”


“ต่อไปใต้หล้านี้คงจะคึกคักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์จะต้องมีบุคคลระดับเย้ยฟ้าที่ความสามารถน่าทึ่งเกิดใหม่อีกมากมาย อย่างเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินสวินคนนี้ ที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ชื่อของเขาด้วยซ้ำ!”


ผู้ฝึกปราณมากมายถอนหายใจ


“การประลองที่โดดเด่นระดับนี้มีให้เห็นน้อยมากจริงๆ คาดการณ์ได้เลยว่า อีกไม่นานชื่อของหลินสวินจะต้องโด่งดังไปทั่วทั้งแดนฐิติประจิม!”


มีคนคาดเดา


“ใช่ บุคคลระดับปีศาจเช่นนี้ เมื่อเทียบกับศิษย์สืบทอดรุ่นเยาว์ทั้งห้าของสำนักกระบี่โผผินแห่งแคว้นล้ำเมฆาของเราคงไม่ด้อยไปกว่ากันแน่ ชื่อนี้จะต้องโด่งดังไปทั่วหล้าอย่างแน่นอน”


ได้ยินผู้ฝึกปราณรอบๆ ถอนหายใจและคาดเดา สีหน้าของอวี๋เสวี่ยเทียนก็ยิ่งซีดเซียว ในใจกระสับกระส่ายขึ้นมาแล้ว


ตระกูลอวี๋ของพวกเขาเป็นเพียงแค่ขุมอำนาจใหญ่ในเมืองก่วมหิมะเท่านั้น แม้รากฐานมั่นคง แต่จะเทียบผู้กล้าแห่งยุคที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งแดนฐิติประจิมได้อย่างไร


“น้องเล็ก บทเรียนครั้งนี้เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจ ต่อไปอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่ามอีก มิฉะนั้นสักวันจะต้องนำพาเคราะห์ภัยที่อันตรายถึงชีวิตเข้ามา!”


อวี๋เสวี่ยเจียวฉวยโอกาสเตือนและสอนอวี๋เสวี่ยเทียน


อวี๋เสวี่ยเทียนพยักหน้า คราวนี้เขาหลาบจำแล้ว


“ถอยๆ ถอยให้หมด!”


ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งของเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งเบียดตัวผ่านกลุ่มคนเข้ามา สีหน้าตื่นเต้นอย่างที่สุด “ครั้งนี้มีข่าวที่น่าทึ่งยิ่งกว่าเกิดขึ้น อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับหลินสวินนั่น หากพวกเจ้าไม่ถอยแล้วรับข่าวล่าช้า อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”


เกี่ยวข้องกับหลินสวิน?


ข่าวที่น่าทึ่งยิ่งกว่า?


เสียงฮือฮาดังขึ้นโดยพลัน ผู้ฝึกปราณที่ล้อมอยู่หน้าต้นข่าวสารหลีกทางให้อย่างรู้ตัว เร่งให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนนั้นรีบวางข่าว


ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนนั้นพลันได้ใจอย่างมาก ราวกับกษัตริย์กำลังรับการสักการะบูชาจากทุกคน ก้าวเท้าอย่างมั่นคงเชิดหน้าขึ้นสูง เดินไปที่ต้นข่าวสารอย่างเชื่องช้า


เผ่าของพวกเขาชื่นชอบการสืบข่าวแต่กำเนิด และชอบที่จะเป็นที่สนใจของผู้คน นี่เป็นความรู้สึกที่เงินยังไม่สามารถแลกมาได้ สามารถให้ความรู้สึกเป็นเกียรติแก่พวกเขาอย่างสูงสุด


แม้ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ อยากจะหยิกผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยที่จงใจกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาจนแทบทนไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนที่ปริศนานี้จะถูกคลี่คลาย กลับจำต้องรอคอยโดยไม่สามารถทำอะไรได้


สุดท้าย ราวกับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นจนพอใจแล้ว ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนนั้นไม่ปกปิดอีกต่อไป แขวนใบไม้ที่เป็นประกายระยิบระยับราวกับหิมะขึ้นบนกลางลำต้นของต้นข่าวสาร


วู้ม!


ใบไม้ขาวดั่งหิมะประหนึ่งมีชีวิตขึ้นมากะทันหัน แผ่แสงเลือนลางราวมายา ไม่นานก็ควบรวมเป็นจอภาพจอหนึ่ง


เพียงแต่ในหน้าจอกลับเป็นตัวหนังสือที่อาบเลือดและเต็มไปด้วยไอสังหารเหี้ยมโหดน่ากลัว…


‘ประกาศนำจับ!’


‘จับกุมผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์หลินสวิน ผู้ใดที่สามารถให้เบาะแสของเขาได้ ตกรางวัลแกนวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันชิ้น!’


‘ผู้ที่สามารถฆ่าได้ เพียงนำศีรษะมาเข้าพบ ตกรางวัลเป็นแกนวิญญาณระดับสูงห้าพันชิ้น!’


‘ประกาศนี้มีผลระยะยาว!’


เนื้อหาเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ไม่อธิบายและขยายความเลยสักนิด แต่ความอำมหิตและจิตสังหารในตัวอักษรนั้นกลับพาให้หนังหัวชาวาบ


ยามเห็นชื่อที่ลงนามประกาศนำจับนี้ ทั่วทั้งลานเงียบสนิททันที เปลี่ยนเป็นเงียบงันถึงที่สุด สีหน้าของผู้ฝึกปราณทุกคนต่างเปลี่ยนไปอย่างมาก


เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!


นี่ดันเป็นประกาศนำจับจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ และคนที่ต้องการจับกุมก็คือหลินสวิน เด็กหนุ่มที่ราวกับผู้กล้าแห่งยุคนั่น!


แกนวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันชิ้น เพียงพอจะทำให้มหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติถวายชีวิตแล้ว สามารถซื้อ ‘สมบัติวิญญาณมรรคราชัน’ ชิ้นหนึ่งได้


ส่วนแกนวิญญาณระดับสูงห้าพันชิ้น…


มูลค่ายิ่งสูงกว่า!


“หลินสวินทำเรื่องอะไรไว้กันแน่ ถึงได้ทำให้เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอยากฆ่าเขาให้ได้โดยไม่เสียดายรางวัลชิ้นโต”


“เผ่านี้ชำนาญการสะกดรอยและสังหารศัตรูที่สุด อุปนิสัยดุร้ายและเหี้ยมโหด ตอนนี้กลับยังต้องใช้ประกาศนำจับเพื่อจับกุมหลินสวิน ดูท่าพวกเขาต้องเสียเปรียบยกใหญ่ในมือหลินสวินแน่!”


ครู่ใหญ่ในบรรยากาศอันเงียบสงัดมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น แต่ละคนต่างแปลกใจ พูดถึงแล้วสีหน้าล้วนเปลี่ยนไป เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเป็นเผ่าที่ทำให้ผู้คนเกลียดชัง หวั่นเกรงและหวาดกลัวอย่างแน่นอน


พวกเขาลงมือตามอำเภอใจ กระหายเลือดและเย็นชา ทำเรื่องที่ทั้งสวรรค์และคนต่างก็พากันเคียดแค้นในดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้เท่าไหร่แล้ว


วันนี้พวกเขากลับติดประกาศนำจับ จะจับกุมตัวเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะผงาดขึ้นมาและมีแววว่าจะเป็นผู้กล้าแห่งยุค ข่าวนี้น่าตะลึงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!


“เพราะอะไร เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนี่รังแกกันเกินไปแล้ว เผ่ามนุษย์ของเราเพิ่งจะมีบุคคลพลิกฟ้าคนใหม่ผงาดขึ้น พวกเขาก็ทนไม่ได้จะกวาดล้างแล้วหรือ”


มีผู้ฝึกปราณส่งเสียงอย่างเดือดดาล ทำลายบรรยากาศในที่นั้นทันที


ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ล้วนชิงชังเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ในจิตใต้สำนึกพวกเขาต่างยืนข้างหลินสวิน


“น่าชังนัก! พวกหมาดำสารเลวอวดดีเกินไปแล้ว ทั้งยังติดประกาศนำจับ ประกาศจับหลินสวินทั่วทั้งแดนฐิติประจิม รังแกกันเช่นนี้ได้ด้วยหรือ”


“คอยดูเถอะ พวกอวดดีและเผด็จการอย่างพวกเขา สักวันกรรมจะต้องตามสนอง!”


ในที่นั้นผู้ฝึกปราณต่างส่งเสียงเคียดแค้น


แม้แต่อวี๋เสวี่ยเจียวและน้องชาย ยามนี้ต่างเลือกที่จะยืนอยู่ข้างหลินสวินโดยพร้อมเพรียง เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเป็น ‘ศัตรูร่วม’ ของโลกบำเพ็ญตน ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วทุกสารทิศ!


หากไม่ใช่เพราะอิทธิพลของเผ่าพวกเขายิ่งใหญ่เกินไป เบื้องลึกเบื้องหลังน่าพรั่นพรึง คงถูกหลายสำนักร่วมมือกันกวาดล้างไปตั้งนานแล้ว


“แล้วก็เผ่าวาทวาโยของพวกเจ้ากลับช่วยคนเลวสร้างกรรมชั่ว ช่วยพวกหมาดำสารเลวติดประกาศนำจับ หรือพวกเจ้าก็กลายเป็นสุนัขรับใช้ไปแล้ว”


มีคนเดือดดาล พุ่งเป้าไปที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยที่เผยแพร่ข่าวนี้


ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยรีบพูดว่า “เผ่าวาทวาโยของพวกเรายึดหลักความเป็นธรรมและเป็นกลางเสมอมา เพียงเผยแพร่ข่าวสารเท่านั้น ส่วนบุญคุณความแค้นและข้อจริงเท็จ พวกเราไม่เคยเข้าไปมีส่วนร่วม จุดนี้คิดว่าทุกคนล้วนรู้ดี”


เขาหยุดไปครู่ค่อยกลอกตาแล้วพูด “ทุกท่านอย่าได้โกรธ ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนของเผ่าวาทวาโยได้วิเคราะห์ข่าวนี้อย่างรอบคอบ ได้ความจริงที่น่าทึ่งบางอย่างมา หากทุกท่านรู้… ไม่แน่ว่าอาจจะดีใจ”


ดีใจงั้นหรือ


ทุกคนต่างแปลกใจ


หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงชราดังมาจากใบไม้น้ำแข็งหิมะที่กลายเป็นประกาศนำจับนั่น…


‘มีรายงานว่า หลินสวินออกจากนครเตโช เคยถูกผู้แข็งแกร่งจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามฆ่าด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่สามารถเปิดเผยได้’


‘การตามฆ่าในครั้งนั้น เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเคลื่อนกำลังราชันกึ่งระดับสองคนและราชันที่แท้จริงอีกหนึ่งคน นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดมือฉมังเกือบร้อยคน โดยมีโก่วซวีสิง นายน้อยผู้หนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่มีสมญานามว่า ‘บั่นพันเศียร’ นำทัพ’


เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เสียงสูดหายเข้าด้วยความตกใจดังขึ้นในทันที ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างมือเท้าเย็นเฉียบ หัวใจแขวนลอยขึ้นมา


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


เพื่อฆ่าเด็กหนุ่มเย้ยฟ้าคนหนึ่ง ถึงขั้นส่งราชันที่แท้จริงมา! เพียงจุดนี้ก็ทำให้ผู้คนกดดันและสั่นสะเทือนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังที่ตามฆ่ายังไม่ได้มีเพียงเท่านี้!


ในที่นั้นเงียบสงัดลงอีกครั้ง บรรยากาศกดดันมาก ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างตั้งใจฟัง กลัวอย่างยิ่งว่าจะพลาดรายละเอียดจุดใดไป


นี่เป็นข่าวใหญ่ที่ตะลึงโลก สามารถทำให้เกิดคลื่นลมขนาดใหญ่ทั่วทั้งแดนฐิติประจิม!


‘จากข่าวที่พวกเราสืบมาได้ ในการตามฆ่าครั้งนั้น การเคลื่อนไหวของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬไม่ได้ราบรื่น กลับยังพบอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง…’


เสียงชราอธิบาย ผู้ฝึกปราณรอบๆ ต้นข่าสารต่างตั้งใจฟังใจจดจ่อ


ทุกคนไม่ได้สังเกตเห็นว่า ในมุมหนึ่งนอกฝูงชน เด็กหนุ่มที่รูปร่างสง่างามสวมเสื้อคลุมสีดำ ใช้ปีกหมวกบดบังใบหน้าครึ่งนึงเอาไว้ เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ก็หมุนตัวออกไปเงียบๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)