Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 800-807
ตอนที่ 800 เลือกหนทางตาย
ProjectZyphon
หลินสวินบำเพ็ญเพียรมาจนถึงบัดนี้ เรียกได้ว่าผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ไม่ต่างอะไรจากการเดินออกมาจากภูเขาซากศพทะเลเลือด
แม้ขณะนี้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม ปฏิกิริยาตอบสนองของเขานับว่าน่าตกตะลึงและอาจหาญ พลานุภาพผงาดผยอง พลังรุนแรงร้ายกาจ ฉวยทุกโอกาสการต่อสู้โจมตีศัตรูอย่างหนักหน่วง
ปึง!
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งพลันโฉบออกมาดุจภูตผี มือกระชับเหล็กหมาดปลายแหลม สาดแสงยะเยือกบาดตากลางอากาศ พุ่งตรงเข้ามาจู่โจมหลังศีรษะหลินสวิน
หลินสวินไม่แม้แต่หันกลับ โคจร ‘ผนึกป้าเซี่ย’ ปล่อยพลังไร้รูปออกมา คู่ต่อสู้พลันถูกพันธนาการประหนึ่งหนอนแมลงติดใยแมงมุมกลางคัน
แย่แน่!
คู่ต่อสู้ตระหนก ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
แต่หลินสวินฉวยโอกาสนี้ ร่างกายเคลื่อนไปข้างหลังโดยพลัน แผ่นหลังโก่งขึ้น สำแดงภาพมายาฟู่ซี่เข้าปะทะเต็มกำลัง
ตูม!
มหายุทธ์คนนี้ร้องโหยหวน ทั้งตัวถูกกระแทกกระเด็นสูงไประยะร้อยจั้งปานว่าวสายป่านขาด โลหิตทั่วร่างพรั่งพรู กระดูกปริแตกออกจากกัน
สุดท้ายก็ร่วงลงพื้นดังตุ้บ หัวทิ่มคอแทบหัก ตาเหลือกหมดสติทันที
น่าอนาถเกินไปแล้ว!
ถูกปะทะฟู่ซี่กระแทกร่างเข้าจังๆ พลังน่าหวาดกลัวเช่นนั้นไม่ด้อยไปกว่าถูกคีรีเทพเคลื่อนทับ!
ขณะเดียวกันหลินสวินหมายหัวชายหนุ่มเคร่งขรึมผมแดงดุจเพลิงผลาญ การเข่นฆ่าโรมรันเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์ผิดธรรมดา ทันทีที่จู่โจมพลาดก็ถอยร่น รับมือได้ยากนัก ทำเอาหลินสวินพลาดโอกาสจู่โจมสังหารศัตรูหลายครา
ชิ้ง!
ดาบหักออกโจมตี กลายเป็นแสงคมไร้เทียมทานเปล่งประกายแวววาว พุ่งวาบหายไปในพริบตาเดียวท่ามกลางห้วงนภายามค่ำคืน นี่ก็คือศาสตราจิตซึ่งควบคุมโดยจิตรับรู้ รวดเร็วว่องไวหาใดเปรียบ
พรูด!
ชายหนุ่มเคร่งขรึมนั่นไม่สามารถหลบได้ ถูกดาบหักเฉือนตัดหูไปข้างหนึ่ง ขณะเดียวกันแขนซ้ายและไหล่ก็ถูกฟันขาด เลือดแดงสดสาดกระเซ็น
แต่ไม่อาจไม่พูดถึง คนผู้นี้กร้าวแกร่งยิ่งยวด ขณะได้รับบาดเจ็บสาหัส เงาร่างยังพุ่งทะยานหนีห่างออกไปไกล
เพียงแต่สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นผิดแปลกหาใดเปรียบ ภายใต้ความเจ็บปวดสาหัสเกินทน เขาคำรามลั่น “น่าอัปยศนัก! พวกเรามีมากขนาดนี้จะกำราบมันไม่ลงเชียวรึ”
มหายุทธ์คนอื่นแห่งสำนักมุกวิญญาณสีหน้ายุ่งยากหาใดเปรียบ นับจากเริ่มสู้จนถึงตอนนี้ ฝั่งพวกเขามีพวกพ้องบาดเจ็บสาหัสไปห้าหกคนแล้ว เกือบถูกสังหารอยู่หลายครา
ตรงกันข้ามศัตรูกลับไร้ความเสียหาย อานุภาพกร้าวแกร่งยิ่งกว่าเดิม นี่ทำให้พวกเขาอัดอั้นและเคียดแค้นอยู่ในใจ รู้สึกอับอายหาใดเปรียบ
“เจ้าเด็กสวะ ดูสิว่าเจ้าจะอาละวาดได้สักกี่น้ำ!”
เวลานี้ฮว่าชิงฉือไม่อาจนิ่งดูดาย เขาเริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน แขนเสื้อเกิดเสียงสะบัดโบก เรียกกระถางหยกสีขาวซึ่งมีกลิ่นอายโบราณออกมา ตัวกระถางสูงเพียงหนึ่งฉื่อ มีสามขาสองหู พื้นผิวสลักภาพลับลายเมฆขด
วู้ม!
กระถางหยกทะยานฟ้า เรืองแสงหมุนวน ห้วงอากาศราวไม่อาจแบกรับน้ำหนักมัน ทรุดทลายปริออกสนั่นหวั่นไหว!
นี่คือสมบัติโบราณที่น่ากลัวยิ่งยวดชิ้นหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย ทั้งยังสมบูรณ์ไร้ตำหนิ ทำให้อานุภาพของมันไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม
ครืนๆ…
ขณะหมุนวน รอบตัวกระถางหยกแผ่รุ้งเทพที่ราวกับหยกขาวสายแล้วสายเล่าออกมาอย่างแผ่วพลิ้ว ยาวประมาณร้อยจั้ง ตัดผ่านอากาศเข้าไปปกคลุมหลินสวิน อานุภาพแห่งรัศมีแสงทำให้ม่านรัตติกาลบนท้องฟ้าสว่างจ้า
นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง ดาบหักพุ่งโฉบอากาศ เข้าประจัญบานกับกระถางหยก แสงศักดิ์สิทธิ์โหมกระหน่ำ เสียงปะทะปึงปังกัมปนาท
ที่ทำหลินสวินเกินคาดหมายอยู่บ้างคือกระถางหยกนั่นแข็งแกร่งผิดธรรมดา ใช้คมของดาบหักล้วนไม่อาจก่อความเสียหายแก่มัน
แต่ฮว่าชิงฉือกลับตะลึงยิ่งกว่า ที่มาของกระถางหยกของเขาไม่ธรรมดา เป็นสมบัติหายากตกทอดมาจากบรรพกาลที่ได้มาจากแดนเร้นลับแห่งหนึ่ง พลานุภาพเรียกได้ว่าเป็น ‘ยอดศาสตรามรรคราชัน’
แต่บัดนี้กลับทำอะไรดาบหักเล่มหนึ่งไม่ได้ นี่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าดาบหักนั่นต้องไม่ใช่ธรรมดา!
“ลุยพร้อมกัน ฆ่าเด็กนี่ซะ!”
ฮว่าชิงฉือตวาดลั่น พลังอำนาจน่ายำเกรง เผ้าผมหนวดเคราแผ่สยาย มือกระชับกระถางหยก ปล่อยรุ้งเทพดุจหยกขาวสาดซัดฟ้าดิน
พร้อมกันนั้นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนอื่นก็โหมโจมตีเข้ามาพร้อมกันอีกครา
เขตพื้นที่ป่าเขารัศมีร้อยลี้ล้วนตกอยู่ในความพังทลาย ราพณาสูร สรรพสิ่งดับสลาย สิ่งมีชีวิตซึ่งพำนักอยู่ภายในหลีกหนีอย่างลุกลนนานแล้ว
การเคลื่อนไหวใหญ่โตยิ่งนัก ท้องฟ้ายามค่ำผืนนี้ล้วนถูกส่องสว่าง แสงสมบัติทะลวงเมฆา ประกายศักดิ์สิทธิ์ลอยล่องโชติช่วง สั่นสะเทือนผิดปกติ
หลินสวินยิ้มเยาะ ในใจเดือดดาลนัก เจ้าพวกนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เขาควบคุมดาบหักเข้าปะทะกระถางหยกในมือฮว่าชิงฉือ
ขณะเดียวกันก็ย่างก้าวไปบนห้วงอากาศอย่างแข็งกร้าว ออกหมัดอย่างมุทะลุ สำแดงความเร้นลับแห่งเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์
ไม่อาจล่าช้าอีก ชักช้าจะไม่ทันการ แม้ที่นี่เป็นทุ่งกว้างป่าร้างนอกเมือง แต่ถึงอย่างไรก็ห่างจากนครเตโชไม่มาก ยิ่งชักช้าก็ยิ่งก่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย
เสียงสวบหนึ่งดังขึ้น ความเร็วของหลินสวินบรรลุถึงขีดสุด เร็วจนไม่อาจจินตนา
ส่วนพลังหมัดเขาอัดแน่นถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด ซัดออกไปตามสบายก็มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แหวกขุนเขาแยกสมุทร ไม่มีสิ่งใดไม่พังทลาย
ตูม!
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งถือเกราะสมบัติป้องกัน ชนปะทะกับหลินสวินอย่างไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย ผลคือสองแขนระเบิดแหลก เกราะสมบัติแตกละเอียด ร่างกายตกกระแทกพื้นรุนแรง เส้นเอ็นตัดขาดดับชีวาโดยสมบูรณ์
นี่ทำพวกฮว่าชิงฉือดวงตาแทบถลน สู้กันมาถึงตอนนี้พวกเขาไม่เพียงไม่อาจทำอะไรฝ่ายตรงข้าม ยังเป็นฝ่ายบาดเจ็บหนักต่อเนื่อง สูญเสียอย่างไม่อาจไม่เรียกว่าสาหัสสากรรจ์
หากสภาวการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ผลที่ตามมาคงไม่อาจแม้แต่จะคิด!
“ฆ่า!”
ฮว่าชิงฉือแผดคำราม โคจรกระถางหยกในมือถึงขีดสุดเข้าพิฆาต
แต่อานุภาพแห่งดาบหักเรียกได้ว่าเย้ยฟ้า หลังผ่านการแปรสภาพที่สมรภูมิกระหายเลือด แม้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ฟื้นคืนท่วงท่าสง่างามบางส่วนดังแต่ก่อนจนเรียกได้ว่าเป็น ‘ศาสตราจิต’
แม้กระถางหยกนั่นจะแข็งแกร่ง แต่ในชั่วขณะหนึ่งกลับไม่สามารถทำอะไรดาบหักได้
และต่อจากนั้น หลินสวินทยอยโจมตีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีกหลายคนบาดเจ็บสาหัส ฆ่าไปสามคนอย่างกร้าวแกร่ง ความยอดเยี่ยมดุดันของเขา พละกำลังอาจหาญเด็ดขาดเช่นนั้นของเขา ถึงขั้นทำเอาบุคคลชั้นแนวหน้าของสำนักมุกวิญญาณขวัญหนีดีฝ่อ!
ตึง!
คันฉ่องสำริดหน้าเดียวถูกซัดกระเด็น นี่คือสมบัติวิญญาณประหลาดชิ้นหนึ่ง สามารถฉายค่ายกลสลักวิญญาณออกมา สร้างเป็นค่ายกลใหญ่กลางอากาศพิฆาตศัตรู
แต่ตอนนี้ยังไม่ทันสำแดงอานุภาพ ก็ถูกหมัดหนึ่งของหลินสวินซัดตูมปลิวกระเด็น เสียงครวญคร่ำดังระงมไม่ขาดหู
ผู้แข็งแกร่งซึ่งถือคันฉ่องสำริดนั่นงงงวย เพิ่งคิดจะหลบ พลังหมัดเจิดจรัสชวนประหวั่นก็บดอัดห้วงอากาศมาถึงเบื้องหน้าเขา!
จบเห่แล้ว!
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนนี้สิ้นหวังอยู่ในใจ
ทว่าเวลานี้เอง กลิ่นอายน่าหวาดกลัวแผ่กระจายอบอวลทั่วบริเวณ ทำเอาฟ้าดินสะท้าน ชั้นเวหาเหนือห้วงอากาศต่างพังทลายระเบิดออกทีละน้อย แบกรับแรงอานุภาพกดดันนี้ไม่ไหว
ขณะเดียวกัน หมัดที่หลินสวินจู่โจมออกไปก็ถูกเก็บเข้ามา จากนั้นเงาร่างวูบไหวถอยออกไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาดำจับจ้องไปยังที่ห่างไกล
สถานการณ์พลิกผันกะทันหัน มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติถือคันฉ่องสำริดรอดพ้นเภทภัยครานี้ หอบชีวิตน้อยๆ กลับคืนมาอย่างโชคดี แต่เขากลับตระหนกจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือดหาใดเปรียบ
“เจ้าหนุ่ม ส่งมอบสมบัติบนตัวออกมา แล้วจะเว้นโทษตายกับเจ้า”
ห่างออกไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งล่ำสัน อาบไล้แสงศักดิ์สิทธิ์บาดตา ท่ามกลางรัตติกาลประหนึ่งตะวันเจิดจรัสสยบผู้คน
นี่คือสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับกึ่งราชันผู้หนึ่ง แต่ท่าทางดูราวเด็กหนุ่ม สวมชุดคลุมเงิน ผมดำเกล้ามวย หน้าตาหล่อเหลาเจือความเคร่งขรึมเย็นชาอยู่สามส่วน
นัยน์ตาเขาถาโถมด้วยแสงมหามรรค ประดุจสุริยันจันทรากระเพื่อมไหวอยู่ภายใน สะท้อนภาพฟ้าดินสาดส่องทั่วอัมพร
“ผู้ก่อตั้งอาวุโส!”
พวกฮว่าชิงฉือต่างตื่นเต้นยินดีราวยกภูเขาออกจากอก ก่อนหน้านี้พวกเขาเก็บกลั้นความคับแค้นไว้ไม่อยู่
บัดนี้ในที่สุดก็สามารถพลิกสถานการณ์แล้ว!
เพราะผู้ปรากฏตัวคือซุนฮวน ผู้ก่อตั้งอาวุโสสำนักมุกวิญญาณซึ่งคอยบัญชาการอยู่ลับๆ เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่พลังปราณขาดเพียงเสี้ยวก็จะก้าวสู่ระดับราชันอย่างแท้จริง
อย่าเห็นว่าท่าทางเขาละอ่อน อันที่จริงอายุกว่าพันปีแล้ว
แต่เหนือความคาดหมายพวกเขา หลินสวินที่มองเห็นภาพนี้กลับเยือกเย็นไม่หวั่นเกรง ตรงกันข้ามกลับดูเหมือนคาดเดาสิ่งนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว กล่าวว่า “ไอ้แก่ ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว ข้ารอเจ้าเสียนาน แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความอดทนกว่าที่คิด”
นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายแววเยียบเย็น ไอสังหารในใจโหมกระหน่ำ พลังทั่วร่างยิ่งเปี่ยมท้นในชั่วพริบตา ประดุจเพลิงอัคคีพลุ่งพล่าน
ก่อนเริ่มการต่อสู้ เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่ามีสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งแฝงตัวอยู่ในความมืด หากไม่ใช่เช่นนั้นหลินสวินคงเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่อย่างอหังการไม่กลัวผู้ใดไปแล้ว
แต่ยามนี้อีกฝ่ายเปิดเผยตัว เท่ากับไม่มีภัยคุกคามอันใดอีก
“ไอ้เด็กสวะ เจ้ายังกล้าบ้าระห่ำ คงอยากตายจนทนไม่ไหวสินะ!” ฮว่าชิงฉือตวาดด่าหลินสวินด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
“ยังไม่คุกเข่ารับความตายอีก!” คนอื่นๆ ต่างส่งเสียงเย็นชา คิดว่าซุนฮวนปรากฏตัว สถานการณ์บ่งชัดว่าหลินสวินต้องตายแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงผู้ก่อตั้งที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาสำนักมุกวิญญาณ เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับกึ่งราชันผู้หนึ่งซึ่งสั่นสะเทือนแคว้นวิญญาณอัคนี!
จากมุมมองพวกเขา แม้พลังต่อสู้หลินสวินเย้ยฟ้าแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่!
“ว่ามาเถอะ เจ้าอยากตายยังไง”
ซุนฮวนย่างก้าวกลางอากาศราวเดินเล่นในลานกว้าง นัยน์ตามีแสงศักดิ์สิทธิ์เอ่อล้น มีความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามครองฟ้าดินประการหนึ่ง
แต่วาจาเขายิ่งกร้าวแกร่งเด็ดขาด ท่าทีราวยึดกุมอำนาจการส่งมอบความเป็นตาย ชวนประหวั่นสยบข่มผู้คน
นี่ก็คือความมั่นใจของสัตว์ประหลาดเฒ่า ด้วยยืนอยู่เหนือปลายยอดแห่งการบำเพ็ญ มองดูภูเขาเล็กรายรอบ เห็นผู้ฝึกปราณระดับต่ำกว่าราชันดั่งไร้ตัวตน
หลินสวินยิ้ม ฟันขาวดุจหิมะส่องประกายวิบวับท่ามกลางรัตติกาล สำหรับคนอื่น บางทีราชันกึ่งระดับคงเหมือนภูเขาใหญ่สูงตระหง่านไม่อาจสั่นคลอนจนชวนรู้สึกสิ้นหวัง
แต่สำหรับเขาหลินสวิน ยังไม่ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามขนาดใหญ่
ต้องรู้ว่ายามอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด เขาเคยมอบความตายให้ราชันกึ่งระดับเผ่าพ่อมดเถื่อนหลายคนกับมือ!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของซุนฮวน จึงทำหลินสวินอดจะรู้สึกขันขึ้นมาไม่ได้
เขายิ้มอย่างกำเริบเสิบสาน ทำเอาพวกฮว่าชิงฉือโกรธจนหน้าเขียว ไอ้เด็กเวรนี่ยังไม่รู้สถานการณ์อีกรึ ช่างเย่อหยิ่งจนถึงขั้นไม่สนชะตากรรม!
ซุนฮวนสีหน้าราบเรียบ ทว่าแท้จริงในใจถูกยั่วโทสะ กะอีแค่ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งเท่านั้น ว่ากันตามจริงสุดท้ายก็แค่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง กลับกล้าดูแคลนเขาเช่นนี้ นี่ไม่ต่างอะไรกับยั่วหยอกความน่าเกรงขามเขาซึ่งหน้า
ซุนฮวนถอนใจเบาๆ “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเลือกหนทางตาย ข้าก็จะใช้วิธีเรียบง่ายที่สุดสงเคราะห์เจ้าแล้วกัน!”
เสียงเพิ่งดังออกมา ชายเสื้อเขาพลันสะบัดโบกดั่งมีเวทมนตร์เหมือนในตำนาน ปล่อยแสงมรรคชวนประหวั่นออกไป ก่อนวิวัฒน์เป็นกระแสน้ำหลากรุนแรง ม้วนแผ่ปกคลุมไปทางหลินสวินอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ตอนที่ 801 สถานการณ์แปรเปลี่ยนอีกครา
ProjectZyphon
การโจมตีของซุนฮวนเรียบง่าย ตรงไปตรงมาและดุดัน!
นี่คือความเชื่อมั่นในพลังถึงที่สุดประการหนึ่ง อยู่เหนือระดับกระบวนแปรจุติ แม้อาศัยเคล็ดวิชานับพันในมือเจ้า ข้าก็สามารถถล่มมันในคราเดียว!
และเช่นเดียวกัน นี่คือพลังและความห้าวหาญของราชันกึ่งระดับ กับแค่หนอนน้อยตัวเดียว แค่ดีดนิ้วก็ขจัดสิ้น ไม่จำเป็นต้องก่อศึกใหญ่โตแต่แรก
ครืน!
แสงมรรคเชี่ยวกรากดุจเกลียวคลื่นประวาตฟ้า ส่องประกายถึงขีดสุดและน่าสะพรึงยิ่งยวด สาดส่องทั่วฟ้าดินจนเจิดจ้าดุจหิมะ
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำเอาพวกเฮ่าชิงฮือใจสั่นระรัว ปิ่มจะหายใจไม่ออก แม้แต่พวกเขาเองก็เพิ่งเคยเห็นซุนฮวนออกมือเป็นครั้งแรก
และพลังแผ่ไพศาลน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ ทำให้พวกเขาไม่คลางแคลงแม้แต่น้อย ว่าต่อให้เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้!
ไอ้เด็กสวะนั่นต้องถูกกำจัดแน่!
พวกเขาฮึกเหิมอยู่ในใจ
ทว่ายังไม่รอให้พวกเขาได้ยินดี ทั่วร่างก็พลันแข็งทื่อโดยพร้อมเพรียง ในครรลองสายตาปรากฏภาพที่ทำให้พวกเขายากลืมเลือนชั่วชีวิต…
หลินสวินดึงธนูง้างศร เงาร่างหล่อเหลาพลันเปลี่ยนเป็นกำยำดุจเทพมาร กลิ่นอายชวนประหวั่นเหลือจะเอ่ยแผ่ซ่านจากคันธนูและศรในมือ
ตูม!
ฟ้าดินปานพังทลาย ปรากฏลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงอย่างตะวันร่วงหล่นจากนภาคราม กาทองครวญโลหิตกลางทะเลมรกต ที่นั่นวายุอสนีถาโถม เสมือนเทพมารบรรพกาลคำรามพิโรธ
เพราะอัศจรรย์สะเทือนใต้หล้าเกินไป จึงทำให้ฟ้าดินแถบนี้ล้วนปรากฏสัญญาณเภทภัยราวกับเป็นวันสิ้นโลกก็ไม่ปาน
ตูม!
สามารถเห็นอย่างชัดเจน ว่าศรดำสนิทที่ถูกปล่อยออกไป ราวกับเป็นแสงมรรคที่ประหนึ่งแสงแรกแห่งตะวันแหวกผ่ารัตติกาล
รอบๆ ลูกศร ห้วงอากาศกลายสภาพแปรปรวน ช่วงเวลาดั่งถูกทะลวงผ่าน ต่อหน้ามัน แสงมรรคทั้งผืนซึ่งซุนฮวนแผ่ออกมาราวทำจากกระดาษ เพียงเสียงครืนเดียวก็ถูกฉีกขาด กลายเป็นละอองแสงประพรมลอยล่องทั่วนภา
เวลาเสมือนดั่งหยุดนิ่งและยึดตรึงชั่วพริบตา
เดิมสีหน้าซุนฮวนเย็นชาและอำมหิต มีอานุภาพดุจสูงส่งบงการผู้อื่น แต่เมื่อเห็นหลินสวินเรียกคันธนูออกมา ม่านตาเขาพลันหดรัด สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
และเมื่อหลินสวินง้างสายธนูแดงสดราวแช่ในน้ำเลือดนั่น ในใจเขาสั่นสะท้านยากอธิบาย ขนพองสยองเกล้า มัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างที่สุด
นี่ทำให้เขาประหลาดใจยากจะเชื่อ
กระทั่งพริบตาที่ศรดอกนี้ปล่อยออก เขาไม่อาจสงบใจได้อีก สีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวงเกือบหวีดร้องเสียงหลง ไร้ซึ่งท่วงท่าสูงส่งเหนือคนอื่นอีกแม้เพียงเสี้ยว กลับดูราวกระต่ายที่ตื่นตระหนก สั่นเทาไปทั้งตัว
เขาขวัญหนีดีฝ่อ สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึง ตระหนักได้ว่าครานี้ตนสะเพร่าเต็มที หาใช่ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกิน แต่ประเมินสมบัติในมือคู่ต่อสู้ต่ำไปต่างหาก!
นี่เสมือนเทพมังกรจากฟ้าพลันพบว่า ในมือมดปลวกตัวจ้อยบนพื้นดินถือดาบสมบัติไร้เทียมทานพอที่จะสังหารมังกรได้!
หนี!
ซุนฮวนสมกับเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่ากึ่งราชัน สัญชาตญาณการต่อสู้และประสบการณ์อันจัดเจนทำให้เขาเกิดตอบสนองตั้งแต่พริบตาแรก
ทว่าความประมาทท้ายที่สุดก็คือประมาท ความเลินเล่อเพียงเล็กน้อยก่อนหน้าอาจไม่ส่งผลอะไร แต่เวลานี้กลับสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิต!
เพราะนี่คือธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม คันธนูและศรคู่นี้มีที่มาเกินคาดเดานี้ เคยสังหารเหล่าราชันกึ่งระดับบนสมรภูมิกระหายเลือดหลายคน ทำให้ราชันที่แท้จริงต้องสิ้นชีพด้วยความแค้น!
กระทั่งราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ยังเคยอาศัยธนูและศรคู่นี้บุกถล่มค่ายพ่อมดเถื่อน กดดันกองทัพพ่อมดเถื่อนจนยุติศึกไม่กล้ารุกราน!
บัดนี้หลินสวินใช้ธนูและศรคู่นี้ในดินแดนรกร้างโบราณเป็นครั้งแรก หากไม่สังหารศัตรูคงผิดต่อพลานุภาพล้นฟ้าของสมบัติคู่นี้เกินไป
ตูม!
เสียงดังสนั่นปานอสนีบาต แสงเพลิงทำลายล้างโชติช่วงทะลวงเมฆา กระจายไปทั่วม่านรัตติกาล ขยายแผ่ทุกทิศ สะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
และร่างของซุนฮวนถูกสังหารกระจุยในชั่วพริบตา เลือดเนื้อแหลกทลาย ดับสลายภายในรัศมีแสงมลายล้าง!
กระทั่งใกล้ตาย สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้ห่างจากระดับราชันเพียงเสี้ยวยังไม่ทันแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องโหยหวนก็หายลับจาก ศพอันตรธาน!
คลื่นกระแทกควันหลงชวนประหวั่นยังคงแผ่กระจาย ทะลวงโค่นทิวเขาอันห่างไกล ป่าไม้เก่าแก่กลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา พื้นดินปริแตกแยกออกหลายสายดั่งช่องแคบหุบเหวลึก ทุกอย่างล้วนน่าตกตะลึง ราวเห็นวันสิ้นโลกมาเยือนกับตา
ตึกตักๆ…
ฮว่าชิงฉือและพวกคนชั้นแนวหน้าของสำนักมุกวิญญาณทั้งหมดต่างถูกคลื่นลูกหลงน่าหวาดหวั่นนี้โจมตี ซวนเซกระเด็นไปนอกระยะสิบกว่าจั้ง ปากกระอักเลือด ล้มกองระเนระนาด อเนจอนาถหาใดเปรียบ
ทว่านใจพวกเขาถูกความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าปะทะ ทำเอาพวกเขาสิ้นหวังหมดหนทาง ตะลึงงันโดยสมบูรณ์
ในฐานะผู้ก่อตั้งอาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของสำนักมุกวิญญาณ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับกึ่งราชันที่ชื่อเสียงสะเทือนแคว้นวิญญาณอัคนีผู้หนึ่งอย่างซุนฮวน กลับถูกศรดอกเดียวสังหารต่อหน้าต่อตาพวกเขา ความไหวหวั่นและผลกระทบเช่นนั้นถึงกับเกือบทำให้พวกเขาพังทลาย
ตายแล้ว?
พวกเขาไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้าย!
ในเวลาเดียวกันสีหน้าหลินสวินพลันซีดขาว ร่างกายมีสัญญาณราวตะเกียงน้ำมันแห้งขอดออกมารางๆ พลังทั่วร่างเกือบถูกดูดไปจนสิ้น
นี่ก็คือพลังสะท้อนกลับ เขาคุ้นเคยอยู่ก่อนแล้วจึงไม่ลนลาน ด้วยเหตุนี้จึงแอบเตรียมแกนวิญญาณหลายก้อน ดูดซับพลังเสริมกำลังตนเต็มที่
ทว่าต่างจากแต่ก่อน ครั้งนี้ในใจเขากลับปรากฏเจตจำนงดุดันที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่ง จู่โจมสภาวะจิตและจิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารับไม่ไหวอยู่บ้าง
‘อย่างที่ราชินีกระหายเลือดกล่าวไว้ไม่ผิด ธนูวิญญาณไร้แก่นสารไม่อาจใช้บ่อยๆ มิฉะนั้นไอพลังอำมหิตซึ่งเปี่ยมท้นในตัวมันจะถูกชักนำมา ทำให้เกิดผลลัพธ์เลวร้ายไม่อาจคาดเดา…’
นัยน์ตาดำของหลินสวินมีแสงเยียบเย็นผุดพราย โคจรเคล็ดเวทบริกรรมต้านทานและสลายไอพลังอำมหิตซึ่งกำลังจู่โจมจิตใจเต็มที่
ตอนนั้นจ้าวซิงเย่เคยเตือนว่าคันธนูนี้เคยแปดเปื้อนเลือดอริยะ กำจัดสิ้นวิญญาณแห่งอริยะ สมัยบรรพกาลเรียกได้ว่าเป็นอาวุธสงครามแห่งยุค
ทว่าปัจจุบันมันเสียหายหนักเกินไป และไออำมหิตและความกระหายเลือดซึ่งสั่งสมอยู่ภายในก็มากเกินไป ไม่ช้าก็เร็วต้องระเบิดออกมาแน่!
ตอนนั้นยามจ้าวซิงเย่สังหารราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคี ก็มีความคั่งแค้นก่อนสิ้นลมของอริยะเอ่อล้นจากคันธนู แค่เพียงครู่เดียวยังเกือบทำยอดบุคคลระดับราชันอย่างจ้าวซิงเย่ประสบเภทภัย!
แค่คิดก็รู้ว่าไอพลังอำมหิตเช่นนี้น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบระดับใด
และยามนี้หลินสวินก็รับรู้ถึงมันแล้ว เพียงแต่สิ่งที่เขาสัมผัสถึงเป็นเพียงแค่ไอพลังอำมหิตที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบางๆ เท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ยังทำให้การขับเคลื่อนพลังทั่วร่างของเขาได้รับผลกระทบจนอลหม่านแทบพังทลาย เห็นได้ว่าน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
และเวลานี้เอง หลินสวินจึงตระหนักถึงความน่ากลัวของธนูวิญญาณไร้แก่นสารโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงส่งผลต่อศัตรู แม้แต่กับผู้ใช้เองก็จะเกิดผลกระทบไม่อาจคาดเดา!
‘หากมีโอกาส จงมุ่งหน้าสู่หุบเขาตะวันคล้อยที่ถูกขนานามว่าเป็น ‘แดนเร้นอริยะ’ ค้นหาวิญญาณอาวุธที่สูญหายของธนูวิญญาณไร้แก่นสารให้พบ แก้ไขภัยแฝงแห่งคันธนูนี้ให้สมบูรณ์…’
หลินสวินสูดหายใจลึก นึกถึงคำชี้แนะที่จ้าวซิงเย่เคยมอบให้
ธนูวิญญาณไร้แก่นสารคือสมบัติอริยะกายสิทธิ์ที่แท้จริง ต่างจากสมบัติอริยะโดยทั่วไป เดิมภายในมีวิญญาณอาวุธที่สามารถสะกดไออำมหิตและความกระหายเลือดในคันธนูอยู่
แต่เมื่อผ่านกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเสียหายหนักมานานแล้ว วิญญาณอาวุธไม่รู้ตกหล่นหายไปอยู่แห่งใดนานแล้ว
หากคิดหาวิญญาณอาวุธกลับมา การมุ่งหน้าสู่หุบเขาตะวันคล้อยอาจสามารถเสาะหาเบาะแสพบ!
เสียงครวญครางทรมานระลอกหนึ่งดังออกมาไกลๆ ปลุกหลินสวินให้ตื่นจากห้วงความคิด จากนั้นนัยน์ตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น จ้องมองยังที่ห่างออกไป
ตรงนั้นฮว่าชิงฉือและคนชั้นแนวหน้าของสำนักมุกวิญญาณทั้งหมดแม้โอดครวญสะบักสะบอม แต่ยังล้วนรอดชีวิต…
หลินสวินเก็บคันธนูและศร ย่างก้าวกลางอากาศมุ่งประชิด
ถึงแม้พลังกายเหือดหายไปมาก แต่หากรีดเค้นพลังทั้งหมด หลินสวินมั่นใจว่ายังสามารถปลิดชีพคนพวกนี้จนเกลี้ยงได้
“บรู๊ว!”
ทว่ายังไม่รอให้หลินสวินเข้าประชิด บนทิศทางมุ่งสู่นครเตโชพลันเกิดเสียงหอนเล็กแหลมน่าเกรงขามดังขึ้น ประดุจผีร้องไห้หมาป่าหอน ท่ามกลางรัตติกาลเห็นได้ว่าชวนขนพองสยองเกล้า
หลินสวินสีหน้าปรวนแปรอยู่บ้าง มองพวกฮว่าชิงฉือซึ่งอยู่ห่างไกล ท้ายที่สุดจึงสะกดข่มความกระหายสังหารศัตรูที่เหลืออยู่ ตัดสินใจจากไปทันที
หากเขาคาดเดาไม่ผิด ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคงถูกทำให้ตระหนก รีบเร่งมุ่งมาทางนี้เต็มกำลัง!
ถึงอย่างไรการเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ใหญ่โตเกินไป นครเตโชก็ห่างจากตรงนี้ไม่ไกล แน่นอนว่าต้องมีคนถูกทำให้ตระหนก และต้องมาเสาะหาข้อเท็จจริง
ปัจจุบันหลินสวินไม่ได้ตัวคนเดียว ข้างกายเขายังมีซย่าเสี่ยวฉงอีกคน เพื่อความปลอดภัยของเด็กสาว หลินสวินไม่สามารถเสี่ยงอันตรายอีก
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หากพวกเจ้ากล้าแพร่งพรายออกไป วันหน้าข้าจะมาล้างบางสำนักมุกวิญญาณ!”
นัยน์ตาดำขลับหลินสวินเย็นชา มองจ้องฮว่าชิงฉือประหนึ่งคมดาบยะเยียบเย็น
พริบตานั้นฮว่าชิงฉือหนาวสั่นไปทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง ในใจเขาถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำนานแล้ว บัดนี้หลังจากได้ยินคำข่มขู่ของหลินสวินก็ทำเอาเขาปานจะพังทลาย
เขารู้ว่าในเมื่อเด็กหนุ่มนั่นกล้าพูด ต้องกล้าทำเช่นนี้แน่!
สวบ!
หลินสวินไม่ชักช้า กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่งแล้วเงาร่างก็หายวับไปทันใด หายไปในหมู่เขาอันห่างไกลซึ่งถูกปกคลุมไว้ด้วยรัตติกาลไร้ขอบเขต
“เขา… เขายอมปล่อยพวกเรางั้นรึ”
หานเหยียนเชวียยากจะเชื่อ เขาเสียแขนข้างหนึ่ง ช่วงท้องถูกทะลวงเป็นรูโหว่ชุ่มเลือด กระดูกแตกหลายแห่ง ผมเผ้าสยายยุ่ง ท่าทางอเนจอนาถนัก
คนอื่นต่างตะลึงงันเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินสวินจึงเมตตาละเว้นชีวิตพวกเขาในเวลานี้
มีเพียงฮว่าชิงฉือทีคล้ายเดาอะไรออก กล่าวสีหน้าอึมครึมเคร่งขรึม “ทุกท่าน วาจาเมื่อครู่ทุกท่านล้วนได้ยินแล้ว เพื่อความอยู่รอดของพวกเราสำนักมุกวิญญาณ ข้าไม่หวังให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น ดังนั้นเรื่องวันนี้… ก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเถอะ!”
ไม่เคยเกิดขึ้น?
คนอื่นสีหน้าปรวนแปร ในใจทั้งหวาดกลัว งุนงง โกรธแค้นและสิ้นหวัง ผู้ก่อตั้งอาวุโสซุนฮวนตายแล้ว ยังให้ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น?
อันที่จริงฮว่าชิงฉือขมขื่นยิ่งกว่าพวกเขา แต่เขารู้ว่าหากไม่ทำเช่นนี้ จากนี้ไปสำนักมุกวิญญาณของพวกเขาคงเสี่ยงจะถูกล้างบางทุกเมื่อ!
“เรื่องนี้พวกเราได้แต่ยอมรับไป จะกล่าวโทษก็ต้องโทษพวกเราที่มองผิด ล่วงเกินเด็กหนุ่มที่ไม่ควรล่วงเกิน…”
ฮว่าชิงฉือดวงตาเหม่อลอย กล่าวพึมพำ “เขาเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งยุคที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเป็นอสูรมารพลิกฟ้าไม่อาจใช้เหตุผลทั่วไปมาเปรียบเทียบ… นอกเสียจากเขาจะตายไป ไม่เช่นนั้นเรื่องในวันนี้พวกเราคงได้แต่ยอมจำนน!”
กล่าวถึงตอนท้าย สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นไม่อาจขืนขัดอย่างที่สุด
ใช่ ยอมจำนน!
พวกเขาสำนักมุกวิญญาณอาจสามารถข่มขวัญแคว้นวิญญาณอัคนีได้ แต่ทั้งแดนฐิติประจิมก็เป็นแค่สำนักเล็กพรรคน้อยหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ล่วงเกินอสูรมารพลิกฟ้าที่ถูกลิขิตมาให้ผงาดกร้าวบนดินแดนรกร้างโบราณ!
มิฉะนั้นจุดจบคงเหมือนอย่างที่เด็กหนุ่มนั่นกล่าวไว้ ถูกล้างบางทั้งสำนัก!
“ทางนี้!”
ท่ามกลางรัตติกาลอันห่างไกล เสียงอึมครึมหนึ่งดังขึ้น ทำเอาพวกฮว่าชิงฉือที่กำลังหนักอกหนักใจตื่นตระหนก เงยหน้ามองออกไป
ก็เห็นขบวนวิญญาณมายาทมิฬซึ่งอาบไล้อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงทมิฬ กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แต่ไกลอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
ราตรีกาลดุจหมึกเขียน
พวกเขาเสมือนดั่งเหล่ามารร้ายจากขุมนรกทมิฬ
ตอนที่ 802 สายเลือดจิ้งจอกนิล
ProjectZyphon
“ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนอาชาวิญญาณ นัยน์ตาอึมครึม โอบล้อมบริเวณนี้เอาไว้อย่างหนาแน่น
รัตติกาลมืดมิด บรรยากาศอึดอัด
ห่างออกไป ยังมีสหายพวกเขาบางส่วนตรวจสอบเสาะหาเบาะแสบนสมรภูมิซึ่งพังพินาศ
หากกล่าวว่าเผ่าวาทวาโยคือเผ่าพันธุ์ที่หูตาว่องไวที่สุดบนดินแดนรกร้างโบราณ เช่นนั้นประสาทรับกลิ่นอันแม่นยำของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก็เรียกได้ว่าโดดเด่นในใต้หล้า ศัตรูซึ่งถูกพวกเขาหมายตาเพียงครั้งแทบไม่มีสักคนที่หนีรอด
ผู้เอ่ยปากคือชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมกันลมสีดำคนหนึ่ง ผิวขาวกระจ่าง ใบหน้างามสง่า นัยน์ตาพิกลชวนประหวั่นเจือความเหี้ยมโหดเยียบเย็น
เขานามว่าโก่วตง เป็นหัวหน้ากองกำลังขบวนนี้
พวกฮว่าชิงฉือสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด สะท้านไปทั้งตัว คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเด็กหนุ่มพลิกฟ้าราวเทพมารนั่นเพิ่งจากไป พวกป่าเถื่อนยิ่งกว่ากลุ่มหนึ่งก็เข้ามา
เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
นี่เป็นเผ่าพันธุ์ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วนต่างหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเอ่ยถึง วิธีการเหี้ยมโหดกระหายเลือด เข่นฆ่าสังหารไร้หวาดเกรง เรียกได้ว่าก่อกรรมทำชั่วเลื่องลือถ้วนทั่ว
แม้แต่สำนักโบราณบางส่วนล้วนไม่ปรารถนาข้องแวะกับเผ่าพันธุ์นี้
พรูด!
เมื่อเห็นว่าไร้ผู้ตอบรับ โก่วตงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ ก็ชูดาบโลหิตแคบยาวคมกริบทุกอณูในมือ
แสงโลหิตวาบประกาย ศีรษะชโลมเลือดหนึ่งก็ปลิวลอยกลางอากาศ!
นั่นคือมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสหายใจรวยรินจากการโรมรันเมื่อครู่อยู่ก่อนแล้ว ถูกสังหารทิ้งโดยตรงอย่างไร้แรงต้านทานสิ้นเชิง
โลหิตแดงสดร้อนฉ่าหลั่งรินต่างน้ำตก ทำเอาพวกฮว่าชิงฉือร้องตกตะลึง โกรธแค้นจนสั่นไปทั้งตัว คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าอีกฝ่ายจะสังหารคนอย่างไม่ทันตั้งตัว!
แค่นี้ก็สรุปความอำมหิตและกระหายเลือดของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬได้แล้ว
“เวลาของพวกข้ามีค่ายิ่ง หวังว่าพวกเจ้าจะร่วมมืออยู่บ้าง”
น้ำเสียงโก่วตงทุ้มต่ำเจือความเหี้ยมโหดเลือดเย็น “มิฉะนั้น เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่เหลือรอดสักคน”
ฮว่าชิงฉือดวงตาปูดโปนแทบถลน โกรธถึงขีดสุด แต่สุดท้ายเขาถอนใจกล่าวหดหู่ “เดิมเมื่อครู่พวกเราคิดซุ่มโจมตีเป้าหมายหนึ่ง แต่กลับดึงดูดยอดฝีมือปริศนามาอย่างคาดไม่ถึง ทำเอาพวกเราเสียหายรุนแรง แม้แต่ผู้ก่อตั้งอาวุโสของสำนักยังโชคร้ายประสบเคราะห์…”
สีหน้าเขาโศกเศร้าและคับแค้นเปี่ยมความอัดอั้น แต่กลับไม่กล่าวถึงหลินสวิน ใช้คำว่า ‘ยอดฝีมือปริศนา’ มาแทนที่
พรูด!
โก่วตงฟังจบ ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่กลับสะบัดดาบฟันอีกศีรษะหนึ่งลอยลิ่วอีกคราพลางกล่าว “ข้าต้องการฟังความจริง”
ตายไปอีกคนแล้ว!
นี่ทำให้พวกเฮ่าชิงฮือแทบพังทลาย สัมผัสถึงความสิ้นหวังและโกรธแค้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาสำนักมุกวิญญาณนับว่าเป็นสำนักใหญ่โด่งดังในแคว้นวิญญาณอัคนี
แต่ยามนี้ผู้อาวุโสประจำสำนักพวกเขากลับถูกฟันหัวขาดราววัชพืชอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย นี่เป็นการลบหลู่และเหยียบย่ำพวกเขาที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย!
“ฆ่าซะเถอะ! ผู้ก่อตั้งอาวุโสสำนักมุกวิญญาณของข้าก็ตายแล้ว ทั้งตอนนี้ยังบาดเจ็บสาหัส ข้าไม่อยากอยู่ต่อนานแล้ว!” ฮว่าชิงฉือพลันผุดลุกขึ้น ถลึงตามองโก่วตงด้วยโทสะ
นัยน์ตาวาบแสงประหลาดของโก่วตงหรี่ลง จากนั้นจึงยิ้มกล่าว “ก็ถูก หากเปลี่ยนเป็นข้าคงไม่ปกป้องศัตรูในเวลานี้”
เขาพูดพลางสะบัดมือ ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งซึ่งกำลังตรวจสอบเศษซากในสมรภูมิอันห่างไกลรีบเร่งวิ่งมาหา
“เป็นอย่างไร” โก่วตงถาม
ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดอย่างรวดเร็ว “ตามร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ สิ่งที่สามารถยืนยันได้คือเมื่อครู่ที่แห่งนี้มีราชันกึ่งระดับคนหนึ่งสิ้นชีพ มือสังหารน่าจะใช้สมบัติน่ากลัวบางอย่างจู่โจมสังหารในคราเดียว…”
โก่วตงไหวหวั่นอยู่บ้าง แววยะเยือกในนัยน์ตาพรั่งพรู “ไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะยิ่งใหญ่เช่นนี้ ที่แท้เพราะมีการต่อสู้ระหว่างราชันกึ่งระดับ… สามารถระบุตัวตนมือสังหารได้ไหม”
ผู้ใต้บังคับบัญชาส่ายศีรษะ “เบาะแสน้อยเกินไป ไม่อาจสรุปชัดขอรับ”
เวลานี้เองผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬซึ่งอยู่ตรงสมรภูมิห่างไกลอีกคนคล้ายพบอะไรบางอย่าง จึงร้องตะโกน “ใต้เท้าโก่วตง ตรงนี้มีกลิ่นอายนางเด็กนั่นเสี้ยวหนึ่งเหลือทิ้งไว้ขอรับ!”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬซึ่งนั่งอยู่บนอาชาวิญญาณทั้งหมดพลันกระสับกระส่าย ทั่วร่างแผ่ไอสังหารชวนประหวั่น
แต่นัยน์ตาโก่วตงจับจ้องฮว่าชิงฉือทันที มือหยิบม้วนภาพหนึ่งออกมาคลี่แผ่กลางอากาศพลางกล่าว “ไอ้แก่ เจ้าเคยเห็นนางเด็กนี่สินะ”
บนม้วนภาพวาดภาพเหมือนเด็กสาวงามพริ้งเพราอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ดวงตาโตใสสะอาด น่ารักไร้เดียงสา
พวกฮว่าชิงฉือต่างตกตะลึง รู้สึกคลางแคลงและยากจะเชื่อ หรือผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬปรากฏตัวที่นี่เพื่อไล่ล่าเด็กสาวเช่นนี้คนหนึ่งงั้นรึ
มีเพียงสีหน้าหานเหยียนเชวียที่เปลี่ยนเป็นผิดแปลกอยู่บ้าง เขาจำได้ว่านี่คือซย่าเสี่ยวฉง!
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกถึงนัยน์ตาอึมครึมเฉียบคมสายหนึ่งจ้องมาที่ตนทันที ทำเอาเขาแข็งทื่อไปทั้งตัว แอบร้องว่าแย่แล้ว
ก็เห็นโก่วตงกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “พูดมา”
เพียงสองคำแต่กลับมีความรู้สึกชวนอึดอัดและกดดันอย่างหนึ่ง ทำให้หานเหยียนเชวียแทบจะพูดออกไปตามจิตใต้สสำนึก “นางชื่อซย่าเสี่ยวฉง มาจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาว หลายวันก่อนที่การทดสอบใหญ่รวมสำนักของแคว้นวิญญาณอัคนีเรา ข้าเคยพบนางครั้งหนึ่ง”
โก่วตงจ้องหานเหยียนเชวียอยู่ครู่ใหญ่จึงถอนสายตากลับ ออกสั่งการทันที “เรียกหานายน้อย เป้าหมายปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้หนีไปพร้อมลิ่นเหวินจวิน!”
สวบ!
ไม่นานนักดอกไม้ไฟสีเลือดบาดตาสายหนึ่งทะลวงขึ้นเหนือเมฆ งดงามน่าดึงดูดหาใดเปรียบท่ามกลางรัตติกาล
นี่คือ ‘บุปผาโลหิตส่งวิญญาณ’ เป็นสมบัติเฉพาะตัวอย่างหนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ มีความอัศจรรย์ใช้เรียกหาในระยะพันลี้
เพียงชั่วขณะ เกี้ยวสีดำหลังหนึ่งซึ่งถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแปดคนแบกก็เคลื่อนผ่านความว่างเปล่ามาถึง
“คารวะนายน้อย!”
ทันใดนั้นทุกคนรวมโก่วตงหยุดทุกการกระทำโดยพร้อมเพรียง คุกเข่าทำความเคารพ ภาพเหตุการณ์เคร่งขรึมจริงจังเหลือประมาณ
“นางเด็กนั่นหนีไปจากตรงนี้รึ”
ในเกี้ยวสีดำ น้ำเสียงงามสง่าสงบนิ่งหนึ่งดังขึ้น
“คาดว่าเช่นนั้นขอรับ!”
“เหอะๆ ลิ่นเหวินจวินนางผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมตัดใจดังคาด คิดว่าแค่นางเด็กนั่นรอดชีวิตก็มีโอกาสพลิกชะตาเผ่าพวกมันงั้นรึ น่าเสียดาย ชะตาของพวกมันเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวขาดแล้ว ไร้หนทางฟื้นคืน!”
ภายในเกี้ยวสีดำเสียงเยาะหยันไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญดังขึ้น “อีกทั้งครานี้มี ‘ใต้เท้าขุ่ย’ ออกลงมือ ลิ่นเหวินจวินนั่นจะต้องไร้ทางรอดแน่!”
“นายน้อย ตามที่พวกเราวิเคราะห์นางเด็กนั่นน่าจะหนีไปไม่ไกล ซ้ำเมื่อครู่ที่นี่เพิ่งเกิดศึกใหญ่ มีบุคคลปริศนาคล้ายราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งปรากฏตัว”
โก่วตงกล่าว “พวกเราสงสัยว่าเป็นไปได้สูงที่บุคคลปริศนาจะพาตัวนางเด็กนั่นไป”
“ราชันกึ่งระดับ?”
ภายในเกี้ยวสีดำมีเสียงประหลาดใจ “คาดไม่ถึงว่าลิ่นเหวินจวินยากแค้นถึงขั้นนี้ ยังสามารถเชิญราชันกึ่งระดับคนหนึ่งมาช่วยได้”
“แต่การดิ้นรนเช่นนี้ช่างเปล่าประโยชน์ อย่าว่าแต่ราชันกึ่งระดับ แม้แต่ราชันที่แท้จริงผู้หนึ่ง หากกล้าขัดขวางพวกข้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิต!”
คำพูดนี้กล่าวอย่างสบายอารมณ์นัก แต่เผยอานุภาพผงาดผยองชวนใจสั่นโดยปริยาย
“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายนางเด็กนั่นก็คือร่างแห่ง ‘สายเลือดจิ้งจอกนิล’ สมรรถภาพทางกายเช่นนี้พบเห็นได้น้อยนัก ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ทั้งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวมีเพียงไม่กี่คนที่มีคุณสมสบัติทางกายเช่นนี้ ทันทีที่ผงาดขึ้นมาจะต้องครองพลานุภาพชวนประหวั่นไม่อาจคาดเดา”
นายน้อยกล่าวเนิบช้า “ยังดี นางเด็กนั่นยังไม่เคยรับรู้ถึงพลังนี้ แม้ไม่ถึงขั้นมีภัยคุกคาม แต่สุดท้ายก็เป็นภัยเงียบหนึ่งอยู่ดี ครั้งนี้ต้องกำจัดมันให้สิ้นซาก”
พูดถึงตรงนี้เขาหาได้ลังเลอีก กล่าวสั่งการ “เริ่มลงมือเถอะ นางเด็กนี่จวนจะกลายเป็นความหนักใจของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในเผ่า พวกเขาคงต่างรอข่าวดีจากเราอยู่…”
ตูม!
เวลาต่อมา ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทั้งกลุ่มออกเดินทางประดุจวิญญาณอเวจี ล้อมพิทักษ์เกี้ยวสีดำนั่นทะยานฟ้า มุ่งหน้าไปทางป่าเขาไร้ขอบเขตอันห่างไกล
ไม่คิดเลยว่าแต่ต้นจนจบ พวกสำนักมุกวิญญาณล้วนถูกมองข้ามราวอากาศธาตุ!
“คาดไม่ถึงว่ามีชีวิตรอดครานี้ เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่เคยเห็นพวกเราในสายตา…” ฮว่าชิงฉือกล่าวอย่างขมขื่น
คนอื่นๆ เองก็แววตาว่างเปล่า
สำหรับพวกเขาวันนี้ช่างเหมือนฝันร้าย เหี้ยมโหดและหนักหน่วงเหลือเกิน ทำให้พวกเขายากจะยอมรับจนถึงตอนนี้
และสาเหตุทั้งมวลก็แค่เพราะความละโมบก้อนหนึ่งในใจพวกเขา
พวกเขาต่างไม่รู้ว่าควรเสียใจภายหลังหรือควรเคียดแค้นชิงชัง บางทีนี่คงเป็นค่าตอบแทนของความโลภที่ต้องจ่ายกระมัง แต่ค่าตอบแทนนี้มันมากเกินไปแล้ว!
…
ทิวเขาทอดยาวเรียงรายราวไม้แหลม หนาทึบแน่นขนัดแผ่กว้างไพศาล ภายในไม่ขาดแดนสมบัติที่งดงามสงบเงียบ แต่ที่มากกว่าคือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยวร้างโหดเหี้ยม ดิบเถื่อนดั้งเดิม
เปรียบเทียบกับรอบกำแพงเมือง ภายในป่าเขาที่อยู่ด้านนอกอันตรายกว่าโดยไม่ต้องสงสัย สัตว์ปีศาจจำศีล สัตว์อสูรพำนัก ยังมีภัยพิบัติไม่อาจระบุมากมายฝังอยู่ภายใน ดูเร้นลับอันตราย
หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนยอดเขางามลูกหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิสูดลมหายใจเข้าออกฟื้นฟูพลังกาย
ภูเขาลูกนี้ไม่สูงแต่งดงามเงียบสงบ สนเก่าแก่เขียวชอุ่ม น้ำตกหลั่งรินน้ำพุเวียนวน ไอวิญญาณสีเงินดั่งหมอกควันอบอวล เสมือนแดนสมบัติบำเพ็ญเพียร
เดิมที่นี่ถูกพญาอสูรมารงูขาวยึดครอง เมื่อหลินสวินมาถึงยังไม่ทันลงมือ อาศัยเพียงกลิ่นอายก็ทำให้พญาอสูรมารซึ่งเริ่มมีปัญญาวิญญาณตัวนี้สังเกตเห็นอันตราย หลีกหนีอย่างลุกลี้ลุกลน
หลินสวินเคร่งขรึมมีสง่า จมูกปากพ่นหมอกแสงประกาย ทั่วร่างพวยพุ่งด้วยไอสมบัติท่วงทำนองมรรค รูขุมขนผ่อนคลายลง การขับเคลื่อนพลังทั่วสรรพางค์ปลอดโปร่งพลุ่งพล่าน
แกนวิญญาณขั้นกลางก้อนแล้วก้อนเล่าในมือกลายเป็นผงละเอียด แต่เขากลับไม่รับรู้
ตอนนี้จิตใจเขาว่างเปล่า สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณผสานกับร่างกายอย่างสมบูรณ์ เรือนกายส่องสว่างแวววาว มีท่วงทำนองไร้มลทินประการหนึ่ง
ภายในร่างพลังวิญญาณซึ่งจวนเจียนแห้งขอดกำลังฟื้นคืนด้วยความเร็วน่าตระหนก ถาโถมขึ้นลงทั่วร่างราวกระแสน้ำคลั่ง
เทียบกับผลึกวิญญาณระดับสูง ความแกร่งกร้าวซึ่งแฝงอยู่ในแกนวิญญาณขั้นกลางบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่กว่าโดยไม่ต้องสงสัย นี่จึงเพิ่มความเร็วในการดูดซึมและหลอมรวมให้หลินสวินมากขึ้น
ก่อนหน้าต้องใช้เวลาสามถึงห้าชั่วยามจึงจะสามารถฟื้นคืนพลัง บัดนี้สามารถร่นเวลาเหลือหนึ่งชั่วยาม!
ทว่าแม้แกนวิญญาณขั้นกลางมีข้อดีแต่ราคาแพงเกินไป สำหรับหลินสวินในยามนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ใช้แค่ในช่วงเวลาสำคัญยังพอว่า
หากมันกลายเป็นสิ่งของประจำวันที่ใช้ในการฝึก ด้วยสินทรัพย์ของหลินสวินต้องแบกรับไม่ไหวแน่
ทันใดนั้นหลินสวินซึ่งอยู่ระหว่างฝึกพลันเกิดสัญญาณเตือนภายในใจ ในสถานที่ไกลสุดหล้ามีคนกำลังแอบสังเกตการณ์ และถูกเขาจับได้ตั้งแต่พริบตาแรก!
ตอนที่ 803 สภาพบรรยากาศแดนดิน
ProjectZyphon
พลังจิตวิญญาณหลินสวินยิ่งใหญ่ระดับใด แม่นยำเหนือจินตนาการ
พริบตานั้นเขาถึงขนาดสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าในพุ่มหญ้าชอุ่มนอกระยะประมาณสามพันจั้งมีเงาร่างหนึ่งหลบซ่อนอยู่
คนผู้นี้นัยน์ตามืดมนยะเยือก รูจมูกใหญ่โต กำลังใช้วิชาลับสูดดมทุกกลิ่นอายกลางห้วงอากาศ สุดท้ายจึงทอดสายตามองยังทิวเขาที่หลินสวินอยู่จากที่ห่างไกล
เห็นชัดว่าคนผู้นี้อาศัยเพียงประสาทรับกลิ่นแยกแยะร่องรอยของหลินสวิน!
หลินสวินหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย พลันนึกถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทันที เผ่าพันธุ์นี้สร้างชื่อเสียงโด่งดังโดยอาศัยประสาทรับกลิ่นอีนเฉียบคม
สมเป็นจมูกสุนัขซะจริง!
หลินสวินหยุดโคจรลมปราณอย่างเงียบเชียบ คิ้วขมวดเล็กน้อย
เขาตระหนักได้ว่าการเข่นฆ่าโรมรันกับคนสำนักมุกวิญญาณก่อนหน้า ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตื่นตระหนกโดยไม่ต้องสงสัย!
ต่อจากนั้น หลินสวินสัมผัสได้ว่าเจ้าคนที่หลบซ่อนอยู่ห่างไกลนั่นหยิบม้วนหยกดำสนิทเจือสีโลหิตม้วนหนึ่งในอกออกมา…
นี่มัน?
แม้หลินสวินไม่อาจจำแนก แต่สังเกตได้ว่าไม่เข้าทีโดยสัญชาตญาณ
พรึ่บ!
เวลาต่อมาเงาร่างเขาหายไปจากจุดเดิม พุ่งทะยานโดยใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มอัตรา หาได้บดบังกลิ่นอายแม้แต่น้อย
สวบ!
ระยะทางสามพันกว่าจั้งเท่านั้น สำหรับหลินสวินชั่วพริบตาก็ถึง
เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนั่นคล้ายถูกทำให้ตกใจ ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาไม่ล่าช้า ทะยานพุ่งหลบห่างไปในบัดดล
แต่ชัดเจนว่าช้าไปหนึ่งจังหวะ เสียงฉัวะดังขึ้น ดาบหักดุจสายรุ้งพุ่งออกไป ทะลวงผ่านแผ่นหลังเป็นรูชุ่มเลือด เขาร้องทุรนทุรายก่อนซวนเซล้มลงกับพื้น
ขณะเดียวกันเงาร่างหลินสวินลอยล่องลงมา เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนหลังเจ้าหมอนี่พลางกล่าว “ว่ามา เจ้าอยากจัดการตัวเองหรือให้ข้าลงมือแทน”
“ไอ้เด็กสวะ เจ้ากล้าทำร้ายข้า…” นี่คือชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ใบหน้าซูบตอบ รูจมูกใหญ่ จ้องหลินสวินอย่างผูกพยาบาท
แต่ไม่รอพูดจบก็ถูกฝ่ามือหนึ่งของหลินสวินซัดลงกบาล ฟาดจนเขาสับสนมึนงง กะโหลกศีรษะแทบแหลก
จากนั้นหลินสวินไม่พูดมากความ เริ่มใช้ทัณฑ์ทรมานที่เรียนรู้จากค่ายกระหายเลือดกับเจ้าหมอนี่
ผ่านไปครู่ใหญ่ชายหนุ่มชุดดำชักกระตุกทั้งตัวอยู่บนพื้น สีหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬตรงหน้าผากไหลบ่าราวน้ำตก กัดฟันกรอดแทบแตก นัยน์ตาว่างเปล่ามึนงง ปรากฏสัญญาณพังทลาย ทรมานถึงขีดสุด
ขณะนี้เขาปรารถนาความตายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะการทรมานก่อนหน้าทำให้เขาเหมือนตกนรกทั้งเป็น ถูกทรมานอย่างเจ็บปวดไร้สิ้นสุด
หลินสวินได้รับสิ่งที่ตนอยากรู้ทั้งหมดอย่างรวดเร็วโดยไม่เกินความคาดหมาย
ฟุ่บ!
หนอนกินเทพตัวหนึ่งโฉบออกมา ชอนไชเข้าร่างชายหนุ่มชุดดำอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เขมือบกลืนจิตวิญญาณของเขาจนเกลี้ยง ปลิดชีพลงตรงนั้นโดยสมบูรณ์
หลังจากนั้นเขาก็กลับร่างเดิม กลายเป็นสุนัขใหญ่สีดำร่างคล้ายลูกวัวตัวหนึ่ง นัยน์ตาดุจกระดิ่งสำริดแดงสดหาใดเปรียบ ขนผิวเรียบเนียนส่องประกาย สี่เท้าแข็งแกร่งทรงพลัง เขี้ยวยาวราวหนึ่งฉื่อเบียดแน่นขาวดุจหิมะทั้งปาก
นี่ก็คือร่างจริงของสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ
สวบ!
หลินสวินหิ้วสุนัขดำตัวนี้หายไปจากจุดเดิม
…
หน้าลำธารใสกระจ่าง เปลวเพลิงลุกโหม บนตะแกรงเสียบเนื้อย่างเหลืองเกรียมมันวาว โชยกลิ่นหอมของเนื้อที่เย้ายวนใจเป็นพิเศษ
นี่คือเนื้อของสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ นับเป็นสายพันธุ์สุนัขพันธุ์หนึ่ง สรรพคุณเนื้ออุดมพลังเต็มเปี่ยม นำมาย่างไฟแรงแน่นอนว่าต้องอร่อยอย่างหาได้ยาก
หน้ากองไฟ หลินสวินตกอยู่ในห้วงความคิด
เขาได้รู้สิ่งที่อยากรู้ แต่ความจริงกลับทำเขาประหลาดใจอยู่บ้าง
เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมุ่งหน้ามายังนครเตโชครานี้ เคลื่อนพลขุมพลังชั้นยอดซึ่งเรียกได้ว่ามือฉมังรวมร้อยกว่าคน ในนั้นถึงขั้นมีราชันกึ่งระดับสองคนและราชันที่แท้จริงคนหนึ่ง!
นอกจากนี้ ทายาทสายตรงของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬผู้หนึ่งยังติดตามมาด้วย หรือกล่าวได้ว่าหัวหน้าปฏิบัติการครานี้ก็คือทายาทสายตรงผู้นี้
เขามีนามว่าโก่วซวีสิง ถูกเรียกว่า ‘นายน้อย’ ในเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอันยิ่งใหญ่ทั่วดินแดนรกร้างโบราณ นับเป็นบุคคลยอดผู้กล้ารุ่นเยาว์
โก่วซวีสิงไม่ธรรมดายิ่ง ยึดตามการประเมินภายในของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สามารถเรียกได้ว่าเป็นบุคคลผู้กล้าระดับ ‘บั่นพันเศียร’
อย่างไรคือบั่นพันเศียร
ก็หมายถึงโก่วซวีสิงเคยอาศัยพลังของตน จู่โจมสังหารศัตรูซึ่งปราณแกร่งกล้ากว่าเขากว่าพันคนกับมือ!
พลังปราณ ไม่ได้หมายถึงพลังต่อสู้ที่แท้จริง
โก่วซวีสิงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้เป็นข้อพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัย ว่าเขาคือพวกเหี้ยมโหดป่าเถื่อนที่สามารถสังหารศัตรูข้ามระดับได้ ผลงานการต่อสู้น่าตกตะลึงที่ชโลมเลือดคือสิ่งพิสูจน์ที่ดีที่สุด!
และด้วยเหตุนี้ ฐานะของโก่วซวีสิงในเผ่าจึงค่อนข้างพิเศษโดดเด่น ถูกเทิดทูนให้เป็นนายน้อย เมื่อใดที่ออกเดินทาง ข้างกายต้องมีผู้อาวุโสประจำเผ่าติดตามมาด้วย
ตามคำเล่าลือ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ถึงขั้นมีผู้กล้าไร้เทียมทานสมญา ‘โค่นหมื่นศัตรู’ เพียงแค่ไม่มีคนรู้เท่านั้น
แน่นอนว่าข่าวคราวพวกนี้ไม่ถึงกับทำให้หลินสวินตื่นตระหนกเกินไป ที่ทำให้เขาตกตะลึงคือเป้าหมายสุดท้ายของพวกโก่วซวีสิงหาใช่จัดการลิ่นเหวินจวิน แต่เป็นการตามฆ่าซย่าเสี่ยวฉงซึ่งอยู่ข้างกายลิ่นเหวินจวิน!
เพราะซย่าเสี่ยวฉงคือทายาทสายตรงเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวเช่นเดียวกัน ซ้ำยังเป็นมี ‘สายเลือดจิ้งจอกนิล’ อันเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดโดยกำเนิด
หลินสวินไม่แน่ใจว่าพรสวรรค์สายเลือดชนิดนี้น่าตื่นตะลึงมากเพียงใด แต่เขาเข้าใจว่าทันทีที่ซย่าเสี่ยวฉงตื่นรู้พลังแห่งเส้นปราณโลหิตประเภทนี้ จะได้ครอบครองพลังน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต ก่อเกิดภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอย่างไม่อาจจินตนา
ด้วยเหตุนี้ซย่าเสี่ยวฉงจึงกลายเป็นหนามยอกอกที่พวกเขาหมายกำจัดให้สิ้นซาก เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม!
สาเหตุที่พวกเขากรีธาทัพใหญ่โต เคลื่อนพลสองราชันกึ่งระดับและหนึ่งราชันที่แท้จริงอย่างไม่เสียดายครานี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับการสังหารซย่าเสี่ยวฉง!
‘ที่แท้ฐานะนางหนูนี่ไม่ธรรมดาเช่นนี้…’
หลินสวินใคร่ครวญพลางหยิบเนื้อสุนัขที่อย่างสุกแล้วมากินอย่างเอร็ดอร่อย ความสดใหม่ของรสชาติทำเอาหลินสวินหวั่นไหวไม่หยุด
อร่อยจริงๆ!
เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน บรรจุไขพลังหอมหวน รสชาติอบอวลทั่วทั้งปาก ซ้ำยังเคี้ยวหนึบ เรียกได้ว่าเป็นยอดอาหารเลิศรส
เปลี่ยนเป็นคนอื่น หลังรู้ข่าวเหล่านี้คงกลัดกลุ้มกระสับกระส่าย ต่อมอาหารไม่รับรสนานแล้ว
แต่หลินสวินกลับเหมือนคนไม่เป็นอะไร นั่งอยู่ข้างลำธารใสสะอาดกินอย่างตะกละตะกลาม ยังดื่มสุราหลายอึกบ่อยๆ ท่าทางอิสระลอยชาย
ไม่นานนักเนื้อสุนัขทั้งตัวถูกยัดลงท้องหลินสวิน บนพื้นเหลือเพียงกระดูกกองหนึ่ง
จากนั้นเขาหยัดร่างสูงขึ้น ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง กลิ่นอายทั่วร่างเต็มเปี่ยม คล้ายมีพลังซึ่งใช้ยังไงก็ไม่หมด
“ดูท่าเนื้อหมาดำนี่ก็เป็นมหาโอสถบำรุงปราณได้ ซ้ำยังรสชาติสดอร่อย”
หลินสวินทำปากจ๊อบแจ๊บเหมือนยังไม่หายอยาก จากนั้นเขายิ้มกล่าวกับตนเอง “อย่างนี้ก็ดี บนหนทางต่อจากนี้อย่างน้อยก็ยังได้กินเนื้อหมาดำเพิ่ม ถือว่าคุ้มค่า…”
หลินสวินไม่ชักช้าอีก หันหลังจากไป
ตามคำฝากฝังของลิ่นเหวินจวิน เขาต้องพาซย่าเสี่ยวฉงไปส่งยังเขาบรรพตเขียวในเขตแคว้นหงส์สถิต
ยามออกเดินทาง หลินสวินก็ได้รู้ว่าแคว้นหงส์สถิตอยู่ห่างจากแคว้นวิญญาณอัคนีอย่างยิ่ง ตรงกลางคั่นด้วยเขตแคว้นหลายสิบแห่ง ระยะห่างกว่าล้านลี้!
ถึงแม้อาศัยความเร็วของยานขนส่งอวกาศ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสิบวัน
แต่หลินสวินไม่ได้ทำเช่นนั้น เขามีแผนการอื่นอยู่ในใจ
…
ผ่านไปสองชั่วยาม
ริมลำธารใสสะอาดสายนั้นปรากฏผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกลุ่มหนึ่ง
เมื่อเห็นกระดูกขาวดุจหิมะกองหนึ่งซึ่งถูกแทะจนเกลี้ยงเหลือทิ้งไว้บนพื้น พวกเขาพลันโกรธจนหน้าเขียว เปล่งเสียงโหยหวนราวผีร้องไห้หมาป่าหอน ทำสิ่งมีชีวิตบริเวณใกล้เคียงตระหนกจนอกสั่นขวัญแขวน
“น่าชังนัก! ถึงกับกล้าเห็นผู้แข็งแกร่งเผ่าข้าเป็นอาหาร ใครมันกล้าบังอาจเหิมเกริมเช่นนี้ อยากตายนักสินะ!”
เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแผลงฤทธิ์จนเคยชิน อดีตที่ผ่านล้วนเป็นพวกเขาสังหารศัตรูอย่างกระหายเลือดอำมหิต ไหนเลยจะคิดว่าบนโลกนี้ยังมีคนกล้านำพวกเขามาย่างกินเป็นอาหาร
นี่เป็นการยั่วยุศักดิ์ศรีของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง ไม่อาจให้อภัย!
“อย่าให้ข้าจับตัวมันได้ มิฉะนั้นมันต้องรู้ซึ้งถึงคำว่าตายเสียยังดีกว่าอยู่!” โก่วตงสีหน้าเยียบเย็น หน้าตาถมึงทึงหาใดเปรียบ
“อย่าบอกเรื่องนี้กับนายน้อย หากนายน้อยโมโหขึ้นมาใครก็รับไม่ไหว”
โก่วตงสูดหายใจลึกกล่าวกำชับ “เก็บกวาดซะ ค้นหาร่องรอยศัตรูต่อ ไม่ว่ามันเป็นใคร เมื่อกล้าเป็นอริกับพวกเราเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ก็ต้องชดใช้ด้วยความตาย!”
“ขอรับ!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนอื่นๆ รับบัญชา ออกเดินทางด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
ศัตรูที่ถูกพวกเขาหมายตาไม่เคยหลุดรอดจากการไล่ล่าสังหาร รวมถึงครานี้พวกเขาจับกลิ่นอายศัตรูได้อยู่ก่อนแล้ว ใช้เวลาไม่นานคงสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้!
…
ฟ้าสว่างแล้ว เมฆหมอกยามเช้างามเพริศพราย แสงอรุณอบอวล ในป่าเขากลายเป็นสีทอง
นกปีศาจส่งเสียงร้อง อสูรมารคำราม น้ำตกราวมังกรขาวไหลร่วงจากหน้าผาสูงชันพันจั้ง ส่งเสียงสนั่นราวฟ้าคำราม
หลินสวินยืนไพล่มือบนยอดเขาลูกหนึ่ง เงาร่างสูงสง่าดุจสนขจีบนหน้าผา นัยน์ตาทอดมองภูผาธาราอันห่างไกล ก็เห็นเมฆลอยล่องแสงระยับ อรุณรุ่งเปิดม่าน หมู่เขาสูงกว้างใหญ่ไพศาล
ทว่าในสายตาหลินสวินเวลานี้กลับเป็นทัศนียภาพอีกแบบ
ในลูกตาเขาปรากฏรอยสลักลับลึกลับยากหยั่งถึง สาดประกายอัศจรรย์สองขมวด และในครรลองสายตาปรากฏกระแสลมงามตระการหลากสาย
บ้างดำสนิทดุจสีหมึก เหี้ยมโหดน่ากลัวราวหมอกผี สภาพบรรยากาศมืดทะมึน บังฟ้าคลุมตะวัน ชวนให้ใจสั่นระรัว
บ้างเจิดจรัสดั่งทองคำ แสงแผ่คลุมเสมือนมายาเพ้อฝัน สภาพบรรยากาศโอ่อ่า มีแสงวิญญาณหมอกมงคลอยู่ภายใน
แต่ที่มากกว่าคือ สีสันเทาสลัวเลือนราง คล้ายควันคล้ายหมอกที่ดูปกติธรรมดา
‘จุดดำราวหมึกเขียนคือไอพิษกลางภูเขา ต้องมีสัตว์มีพิษร้ายแรงหลบซ่อนอยู่แน่ อาจเป็นอสูรมารร้ายกาจที่จำศีล’
‘จุดสว่างดั่งทองคำคือหนึ่งในแสงสมบัติวิญญาณ สภาพบรรยากาศนี้สื่อว่ามีแร่วิญญาณฝังกลบอยู่ในภูเขา…’
หลินสวินสงบจิตตระหนักรู้
กระแสลมซึ่งสีสันแพรวพราวนั่นคือสภาพบรรยากาศแห่งแดนดิน คือพลังของฟ้าดินประการหนึ่ง แม้ผู้ฝึกปราณเองยังมีน้อยคนนักที่สามารถสัมผัสถึงและแยกแยะได้โดยละเอียด
แต่ในสายตาของหลินสวินกลับสามารถมองทะลุสสาร หยั่งรู้เนื้อแท้ของมันในชั่วพริบตา นี่ก็คือความอัศจรรย์ของ ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’
แน่นอนว่านี่เป็นแค่การใช้งานอย่างผิวเผินเรียบง่ายที่สุด
ความนัยเร้นลับของนัยน์ตาเฉาเฟิงอยู่ที่การเสาะหาชีพจรปราณ!
หืม?
นัยน์ตาหลินสวินพลันหรี่ลง มีความรู้สึกเสียดแทงประการหนึ่ง สังเกตเห็นว่าบนเขาสูงชันอันห่างไกล มีสภาพบรรยากาศทรงอานุภาพ รุ่งโรจน์ดั่งรุ้งเทพทะลวงเมฆา มีลักษณ์แห่งการผสานหยินหยาง เสือหมอบมังกรซุ่มอยู่เลือนราง ไม่ธรรมดายิ่งยวด!
‘หรือว่านั่นคือแดนสมบัติที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง’ ในใจหลินสวินพลันกระตุก เงาร่างวาบกะพริบหายลับไปทันใด
ตอนที่ 804 อมฤตแกนสุวรรณ
ProjectZyphon
เขางามทรงพลังลูกหนึ่ง!
เมื่อเข้าไปใกล้หลินสวินดวงตาเป็นประกาย ในใจตื่นตะลึงอยู่บ้าง ในพื้นที่รกร้างเช่นนี้ยังมีภูเขาวิญญาณแบบนี้ด้วย
ก็เห็นภูเขาสูงราวพันจั้งตั้งตระหง่าน โดดเด่นเขียวชอุ่ม อาบไล้แสงตะวันยามรุ่ง หมอกม่วงลอยล่อง เพริศแพร้วเจิดจรัส
บนนั้นต้นไม้เก่าแก่หยั่งรากลึก ไผ่เขียวเริงระบำ พืชมงคลเอ่อท้น บางครั้งบางคราวมีลิงขาวกวางเขียวสัญจรอยู่ภายใน ร่องรอยบางเบาเลือนราง
นอกจากนี้ยังมีเถาวัลย์โบราณพันรัด โป๊ยเซียนขาวผลิดอกเบ่งบาน กวาดตามองไป สภาพบรรยากาศงามสะกดคน ราวกับเป็นแดนมงคลแห่งเซียนสวรรค์
หลินสวินโคจร ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ สำรวจอย่างเงียบๆ
‘ไอมงคลสะสมอยู่ภายในดั่งพญามังกรจำศีล นี่มันลักษณ์พิเศษชั้นยอดแห่งแดนสมบัติ…’
หลินสวินอัศจรรย์ใจอยู่ครู่ใหญ่ จากที่เขาประเมิน หากเปิดสำนักตั้งพรรคบนเขาลูกนี้คงมากเกินพอ เพราะทั้งหมดล้วนแต่เป็นแดนมงคลบำเพ็ญเพียร!
ทว่าไม่ช้าหลินสวินพลันผวาขึ้นมา เขาสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล อาณาบริเวณอื่นที่อยู่ใกล้ภูเขานี้เห็นได้ว่าสงบและเงียบสงัดเป็นพิเศษ
กระทั่งใช้จิตรับรู้ตรวจจับยังเสาะหาสิ่งมีชีวิตไม่พบสักตัว แม้แต่มดตัวหนึ่งล้วนหาไม่เจอ!
‘อานุภาพของมันดุจมังกร ไอมงคลอยู่ภายใน ภายนอกสรรพชีวิตกลับหนีห่างไม่กล้าเข้าใกล้ หรือเขาลูกนี้ซ่อนสิ่งเร้นลับสะเทือนใต้หล้าอะไรไว้’
หลินสวินสูดหายใจลึก โคจรไอซวนหนีปกคลุมทั่วร่าง จากนั้นเงาร่างวาบไหว ลอบเข้าภูเขาลูกนี้อย่างเงียบเชียบ
ปัจจุบันเขาควบคุม ‘ไอซวนหนี’ ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม สามารถกลบกลิ่นอายร่างกายยามเคลื่อนไหว เมื่อเป็นเช่นนี้นอกเสียจากระดับราชันมาเอง ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจมองร่องรอยหลินสวินออกได้
แต่หลินสวินสามารถยืนหยัดมากสุดแค่ครึ่งเค่อ หลังผ่านไปครึ่งเค่อไอซวนหนีจะสลายไปไม่อาจควบคุม
บนภูเขาเป็นอีกทัศนียภาพ สนเก่าแก่เขียวขจี ดอกผลอัศจรรย์พบเห็นได้โดยรอบ หมอกวิญญาณปกคลุม ทอแสงทองอร่ามใต้แสงอาทิตย์
ช่วงเวลาสั้นๆ หลินสวินเจอโอสถวิญญาณล้ำค่าอย่างน้อยสิบกว่าชนิด
มีหลินจือโลหิตรากม่วงขนาดกว้างเท่าแขนเด็กขดม้วนดั่งอสรพิษ ต้นวิญญาณพุทราเพลิงซึ่งผลแดงอัคคีอวบอิ่มดุจโคมไฟเล็กๆ แขวนประดับแน่นขนัดทั่วกิ่งก้าน กระทั่งมีบัวหิมะลายทองหยั่งรากกลางสระมรกตลอยล่องเหนือผิวน้ำ!
แต่นอกจากหลินสวินจะตื่นตะลึงแล้ว ในใจกลับระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
บนภูเขาวิญญาณลูกนี้มีโอสถวิญญาณมากมาย แต่ไม่เคยมีวิญญาณอสูรมารสัตว์ปีศาจเข้าใกล้ นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว
หลินสวินไม่กล้าไปเด็ดเก็บ เขามุ่งหน้าปีนป่ายต่อเนื่องอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว มองเห็นถ้ำสถิตแห่งหนึ่งอยู่บนตัวภูเขา ปากทางตะไคร่เขียวสะสม เถาวัลย์เก่าแก่พันล้อม เห็นชัดว่าไม่เคยมีคนเข้าใกล้นานพอควร
แต่ไม่จำเป็นต้องสงสัย ถ้ำสถิตแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่เกิดตามธรรมชาติ!
‘นี่คงไม่ใช่ถ้ำสถิตที่ผู้ฝึกปราณบางคนเหลือทิ้งไว้เมื่อนานมาแล้วกระมัง…’
หลินสวินหยุดยืนอยู่ตรงนั้นอาศัย ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ พินิจพิเคราะห์ ก็เห็นสภาพในถ้ำสถิตนั่นเปล่งประกายเป็นผืนแผ่น ราวซ่อนตะวันดวงหนึ่งเอาไว้ แยงตาจนหลินสวินต้องรีบเบี่ยงสายตาหลบ
ในใจเขาสั่นสะท้านยิ่งยวด นี่บ่งชี้ว่าในถ้ำสถิตนั่นต้องซ่อนสมบัติที่สามารถสะเทือนใต้หล้าไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นแฝงความศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายเหลือคณานับ
ใคร่ครวญลังเลครู่หนึ่ง หลินสวินใจกระตุก ปลุกหนอนกินเทพตัวหนึ่งขึ้นมา
‘จะหาสมบัติพบหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว’
หลินสวินสูดหายใจลึก ฝากจิตรับรู้เสี้ยวหนึ่งบนตัวหนอนกินเทพ จากนั้นจึงควบคุมหนอนกินเทพเข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำสถิต
หากไม่ใช้ ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ ตรวจสอบ ภายในถ้ำก็มืดมิดไปทั้งผืน ลุ่มลึกเงียบสงบ วกวนซับซ้อน เงียบสงัดหาใดเปรียบ
หนอนกินเทพขนาดเพียงเมล็ดข้าว เงาร่างดั่งภาพมายาท่องเหินอย่างเงียบเชียบ ทุกอย่างระหว่างทางต่างถูกหลินสวินสัมผัสถึง เสมือนเป็นตาข้างหนึ่งของหลินสวิน
ที่ทำให้หลินสวินเกินคาดหมายคือถ้ำสถิตนี้ลึกเกินไป ทั้งมุ่งสู่ใต้ดินตลอด ไม่เหมือนแดนบำเพ็ญเพียร ตรงกันข้ามกับคล้ายช่องทางสู่ใต้พิภพ
หลังจากหนอนกินเทพเหินลอยได้พันจั้งกว่า เสียงราวฟ้าร้องกัมปนาทครั่นครื้นสะท้อนไม่สิ้น
หลินสวินพลันปลุกใจให้ฮึกเหิม ควบคุมหนอนกินเทพมุ่งหน้าต่อไป ไม่นานนักทัศนวิสัยเปลี่ยนเป็นเปิดกว้าง ปรากฏหมอกแสงศักดิ์สิทธิ์งามตระการหนาแน่นหาใดเปรียบ
ขณะเดียวกันแรงกดดันชวนประหวั่นยากอธิบายอบอวลแผ่กระจาย ทำเอาหนอนกินเทพสั่นสะท้านไปทั้งตัว ส่งความรู้สึกกระสับกระส่ายกลับมา
จากนั้นหลินสวินที่อยู่นอกถ้ำสถิตก็แข็งทื่อไปทั้งตัว สูดหายใจเย็นเยียบ
เขาฝังจิตรับรู้ผ่านตัวหนอนกินเทพจึงจับภาพฉากได้ในชั่วพริบตา ที่ส่วนลึกของหมอกแสงศักดิ์สิทธิ์งามตระการนั่นมีสระน้ำใหญ่มหึมาแห่งหนึ่ง ในสระเต็มไปด้วยของเหลววิญญาณเรืองอร่ามดั่งทอง พลังชีวิตมหาศาลไหลบ่าอย่างเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว เข้มข้นหาใดเปรียบ
หากหลินสวินเดาไม่ผิด ของเหลววิญญาณสีทองกลางสระน้ำนั่นน่าจะเป็น ‘อมฤตแกนสุวรรณ’ ที่พบพานได้แต่ไม่อาจร้องขอซึ่งแทบจะเป็นตำนาน!
นี่คือหนึ่งในสมบัติโอสถไร้เทียมทานที่ถูกขนานนามว่า ‘แปดเซียนฟ้าดิน’ เพียงหยดเดียวก็สามารถปลุกคนตายเปลี่ยนกระดูกเป็นเนื้อหนัง อีกทั้งหากใช้หลอมฝึกยังมีผลอัศจรรย์ไม่อาจประเมิน!
สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ แม้แต่ในสำนักโบราณยังเรียกได้ว่าหายาก มีเพียงบุคคลแห่งยุคที่แท้จริงจึงจะสามารถใช้สอยได้
แต่ยามนี้ในถ้ำส่วนลึกของภูเขาวิญญาณไร้นามนี่ถึงกับซ่อนอมฤตแกนสุวรรณสระหนึ่งเอาไว้ หากแพร่งพรายออกไปจะต้องทำให้ทุกขุมอำนาจตาลุกวาว หมายช่วงชิงมาไว้ในมือโดยไม่คำนึงสิ่งตอบแทนทั้งมวลแน่!
หลินสวินใจเต้นโครมคราม นี่ต้องเป็นวาสนาใหญ่แห่งยุคแน่นอน
ทว่าต่อมาหลินสวินพลันหน้าเปลี่ยนสี สะท้านไปทั้งตัว ถึงขั้นเกือบร้องเสียงหลงออกมา
เพราะเวลานี้กลางสระใหญ่มหึมาที่เต็มไปด้วยอมฤตแกนสุวรรณนั่นพลันเกิดเสียงซ่า ปรากฏศีรษะมังกรโผล่ออกมา!
นัยน์ตาดุจกระดิ่งสำริด หนวดมังกรพลิ้วไหว เกล็ดมังกรปกคลุม เขาเดียวบนศีรษะปล่อยแสงหิรัณย์เปล่งประกายเจิดจ้า โชติช่วงหาใดเปรียบ
สระน้ำนี้ถึงกับมีเจินหลงตัวหนึ่งจำศีลอยู่?
หลินสวินแทบจะอึ้งค้าง
แต่ไม่จากนั้นเขาจึงก็ตระหนักได้ว่าคิดผิดไป ด้วยเห็นสระน้ำม้วนซัด ต่อจากหัวมังกรก็ปรากฏร่างกายแข็งแรงกำยำคล้ายกวางหนอก ทองอร่ามเรืองรองราวหล่อจากทองคำ สี่เท้าเพรียวยาว เบื้องหลังโบกสะบัดหางมังกร
นี่มันสิ่งมีชีวิตอะไรกัน?
เหมือนสัตว์กิเลนในตำนาน!
ในใจหลินสวินมึนงงอีกครา ครู่ใหญ่ถึงได้ตื่นจากอาการตกตะลึง สังเกตโดยละเอียดแ สุดท้ายจึงตั้งข้อสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตซึ่งเหมือนมังกรแต่ไม่ใช่มังกร คล้ายกิเลนแต่ไม่ใช่กิเลนนี่ น่าจะเป็นสัตว์ดุร้ายสมัยบรรพกาลชนิดหนึ่ง…
อสูรเนตรทองนอเดียว!
เล่าลือกันว่าอสูรตัวนี้เกิดจากสายพันธุ์มังกรจู๋หลงและกิเลนทอง ทรงพลังไร้จำกัด สามารถเด็ดดาราชิงจันทรา เรียกลมเรียกฝน ควบทะยานเหนือจักรวาล ครองอภินิหารพรสวรรค์ไม่อาจจินตนา
ในสมัยบรรพกาลก็เคยมีข่าวลือว่า มีอริยะผู้หนึ่งหมายกำราบอสูรเนตรทองนอเดียวเป็นพาหนะ แต่สุดท้ายกลับถูกมันกินทั้งเป็น!
แน่นอนว่านี่คือคำเล่าลือที่มีความเกินจริง แต่อสูรเนตรทองนอเดียวก็ยังจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวหาใดเปรียบชนิดหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
‘ไม่แปลกที่แม้ภูเขาลูกนี้อัศจรรย์งามวิจิตร แต่ละแวกใกล้เคียงกลับไม่มีสิ่งมีชีวิตกล้าเข้าใกล้ ที่แท้เพราะมีเจ้าตัวน่ากลัวเช่นนี้ครองอาณาเขต…’
หลินสวินเข้าใจได้ในที่สุด
จากนั้นในใจเขาพลันตระหนก อสูรเนตรทองนอเดียวนั่นคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ดวงตาเจิดจ้าราวสุริยันลุกโหม พลันกวาดมองมายังตำแหน่งที่หนอนกินเทพอยู่
หนี!
หลินสวินออกคำสั่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นตัวเขาเองก็พุ่งออกไป ควบคุมยานขนส่งอวกาศ แหวกอากาศหนีห่างเต็มกำลัง
“โฮก!”
เพิ่งทำการทุกอย่างนี้เสร็จ เสียงอสูรคำรามดั่งฟ้าร้องกัมปนาทขึ้นทลายเมฆาทั่วสารทิศ โดยมีภูเขาวิญญาณไร้นามนั่นเป็นศูนย์กลาง ห้วงอากาศละแวกใกล้เคียงแตกสลายสนั่นหวั่นไหว แปรเป็นสภาพอากาศแปรปรวนแผ่กระจาย
น่ากลัวเกินไปแล้ว แค่เสียงคำรามเท่านั้นกลับประดุจคลื่นเสียงหลากกระแสแผ่ขยาย พื้นที่ในรัศมีร้อยลี้โกลาหลอลหม่าน ยอดเขาพังทลาย ก้อนหินแตกละเอียด ต้นไม้เก่าแก่กลายเป็นจุณ
ตูม!
แม้ความเร็วของยานขนส่งอวกาศว่องไวยิ่งก็ยังได้รับผลกระทบ พลันถูกปะทะกระเด็นออกไปอย่างหนักหน่วงรุนแรง ร่างหลินสวินที่อยู่ภายในซวนเซโงนเงน สีหน้าแปรเปลี่ยน
นี่แม่งดุร้ายเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!
เขางงงวย ควบคุมยานขนส่งอวกาศหนีห่างออกไปหลายสิบลี้ค่อยหยุดลง
จากนั้นหลินสวินก็มองเห็น ภูเขาวิญญาณไร้นามตั้งตระหง่านเดียวดายอยู่ตรงนั้น เอ่อท้นแสงประกายไอม่วงทะลวงนภา
แต่บริเวณโดยรอบต่างกลายเป็นเศษซาก พังทลายบอบช้ำทุกหัวระแหง ชวนประหวั่นเสมือนลมกาฬวาตพัดข้ามแดนดิน
“โฮก!”
บนท้องฟ้า เสียงอสูรคำรามสะท้อนก้องขึ้นอีกครา เงาอสูรสีทองทรงพลังดุจเทวาปรากฏ สี่เท้าย่ำฟ้า หัวมังกรเชิดเหนืออากาศ ตาทองเจิดจรัสคู่หนึ่งเมียงมอง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายชวนประหวั่นล้นฟ้า
นั่นคืออสูรเนตรทองนอเดียว เพียงแต่พลังอำนาจของมันตอนนี้กลับประหนึ่งเหวลึก ราวกับห้วงสมุทร น่าสะพรึงยิ่งกว่าราชัน ทำฟ้าดินแถบนั้นล้วนสะท้านสะเทือน
สวบ!
หลินสวินไม่ลังเลแม้แต่น้อย บังคับยานขนส่งอวกาศหนีห่างออกไปไกลอีกครา ช่วยไม่ได้ อสูรเนตรทองนอเดียวนั่นน่ากลัวเกินไป หากไล่ตามมาผลลัพธ์คงไม่อาจคาดเดา!
กระทั่งครู่ใหญ่ อสูรร้ายตัวนี้จึงจากไปเหนือเมฆา หายลับเข้าไปในภูเขาวิญญาณไร้นามลูกนั้น กลิ่นอายชวนประหวั่นทั่วผืนฟ้าจางหายไป
หลินสวินแอบเป่าปากโล่งอก ไม่ไล่ตามมาก็ดี พลังของเดรัจฉานนี่น่ากลัวยิ่งกว่าราชัน ไม่รู้ว่าศักยภาพที่แท้จริงจะน่าหวาดกลัวถึงระดับใดกันแน่
‘หากเมื่อครู่หนีช้ากว่านี้ไปอีกนิด คงจะ…’ หลินสวินไม่กล้าคิดต่อ
ที่ทำให้เขาผิดคาดคือหนอนกินเทพซึ่งเขาควบคุมตัวนั้นยังรอดชีวิต เวลานี้เหินกลับมาแล้ว แต่ท่าทางกลิ่นอายรวยริน
หลินสวินรีบหยิบหยกควบรวมจิตระดับกลางออกมาก้อนหนึ่งเป็นอาหารให้เจ้าตัวน้อย จากนั้นจึงนำมันเก็บสู่ห้วงนิมิตเพื่อพักฟื้นอย่างระวัง
‘นั่นเป็นถึงอมฤตแกนสุวรรณ… หากมีมัน ต้องทำให้ข้าสร้างหนทางแห่งมกุฎยาบรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้สำเร็จในคราเดียวแน่!’
หนึ่งขั้นหนึ่งขอบเขต เรียกว่าระดับขั้น
แม้ตอนนี้หลินสวินถือได้ว่าเป็นมกุฎราชันระดับหยั่งสัจจะ แต่ใช่ว่าเมื่อก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติแล้วยังสามารถครองหนทางแห่งมกุฎได้
สาเหตุที่เขาระงับปราณอย่างยากลำบาก ถ่วงเวลาไม่ยอมเลื่อนระดับ ทุกอย่างล้วนการก้าวสู่ขอบเขตมกุฎต่อ ยามเข้าสู่ระดับกระบวนแปรจุติ
ต่อให้เป็นเช่นนั้น หลินสวินก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้จริงๆ
แต่หากมีอมฤตแกนสุวรรณคอยช่วยยามบรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติ ทุกอย่างนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป!
หลินสวินไม่ยินยอมหากต้องจากไปเช่นนี้ นี่คือวาสนาที่หาได้ยาก หากพลาดไปคงน่าเสียดายเหลือเกิน
‘ถ้าสามารถทำให้อสูรเนตรทองนอเดียวจากไปชั่วขณะได้ก็ดีสิ…’
ทันใดนั้นหลินสวินใจกระตุก นัยน์ตาดำฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง นึกถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่กำลังติดตามร่องรอยไล่หลังตนมาตอนนี้ มุมปากปรากฏเส้นโค้งที่มีนัยยากอธิบายออกมาอย่างไม่อาจระงับ
ตอนที่ 805 ลับมีดครืดคราดใส่หมาดำ
ProjectZyphon
หลินสวินลอบกลับมายังเชิงเขาวิญญาณไร้นามอีก เขาอาศัยไอซวนหนีกลบกลิ่นอายทั่วตัว ไม่กังวลว่าจะถูกอสูรเนตรทองนอเดียวสังเกตเห็น
บุปผาโลหิตเรียกหา?
จากนั้นหลินสวินหยิบม้วนหยกดำสนิทเจือสีเลือดออกมาจากอก นี่คือทรัพย์หลังศึกที่ค้นเจอบนตัวผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬที่เขาสังหารไปก่อนหน้านี้
หลังจากพินิจพิเคราะห์เพียงครู่ หลินสวินก็เข้าใจความอัศจรรย์ของมัน นัยน์ตาฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง ก่อนใช้จิตรับรู้เข้าไปขีดเขียนในบุปผาโลหิตเรียกหาทันใด
…
“นายน้อย จากร่องรอยที่เป้าหมายหลงเหลือไว้ตลอดทาง หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัย ภายในหนึ่งวันพวกเราต้องตามทันเป้าหมายแน่ขอรับ!”
ใกล้ๆ ป่าเก่าแก่แห่งหนึ่ง โก่วตงรายงานด้วยความเคารพ
ภายในเกี้ยวสีดำยินเสียงราบเรียบมีสง่าของโก่วซวีสิง นายน้อยเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ “โก่วตง เจ้ามีเรื่องปิดบังข้า”
ประโยคเดียวทำเอาโก่วตงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ
โก่วซวีสิงเอ่ยเนิบช้า “บนตัวเจ้ามีกลิ่นกระดูกจางๆ อยู่ แปลกประหลาดมาก ทำให้ข้ารู้สึกรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก เจ้าสามารถบอกเหตุผลข้าได้ไหม”
คำพูดราบเรียบสบายๆ แต่กลับทำโก่วตงสีหน้าแปรเปลี่ยนอีกครา สุดท้ายไม่กล้าปิดบังอีก เขารู้ดีว่าทันทีที่นายน้อยบันดาลโทสะจะน่ากลัวระดับใด
เขาฝืนกล่าว “นายน้อย ก่อนหน้านี้ระหว่างสืบหาร่องรอยศัตรู หน่วยสอดแนมของเราคนหนึ่งเขา… ถูกย่างกินไปแล้ว…”
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง อากาศทั่วบริเวณเสมือนเยือกแข็ง ถูกกลิ่นอายอำมหิตเยียบเย็นชวนประหวั่นแผ่คลุม
ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทุกคนรวมโก่วตงยามนี้ในใจต่างสั่นสะท้าน ประหม่าถึงขีดสุดจนเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก
บรรยากาศเงียบเชียบและกดดัน โก่วซวีสิงซึ่งอยู่ในเกี้ยวสีดำนิ่งเงียบ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้คนอื่นร้อนอกร้อนใจอยู่ไม่สุข
พวกเขารู้ดีว่าโก่วซวีสิงซึ่งมีสมญากระหายเลือดอย่าง ‘บั่นพันเศียร’ น่ากลัวมากเพียงใด ทันทีที่โมโหขึ้นมา ไม่ใช่ว่าใคตรๆ จะรับมือไหว!
“ถูกย่างกินแล้ว… ถูกย่างกินแล้ว…” นานพอควร โก่วซวีสิงจึงส่งเสียงพึมพำคล้ายยังไม่อาจเชื่อ บนโลกนี้ยังมีคนกล้าทำเช่นนี้รึ
ตึกตัก! ตึกตัก!
ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมากมายแบกรับความหวาดหวั่นภายในใจไม่ไหว คุกเข่าทรุดลงกับพื้น แม้แต่โก่วตงเองยังสีหน้าแข็งทื่อ เกร็งไปทั้งตัว
เวลานี้ม่านเกี้ยวสีดำถูกเลิกขึ้น เงาร่างสูงโปร่งหนึ่งเดินออกมา
รูปร่างเขาสูงใหญ่เด่นสง่า คิ้วหนานัยน์ตาพยัคฆ์ องอาจผ่าเผยสง่างามยิ่งยวด ดวงตาสีเขียวมรกตแปลกประหลาด ล้ำลึกเคร่งขรึม ฉายแววยะเยือกชวนประหวั่นเป็นระลอก
ทันทีที่ปรากฏกาย แม้แต่โก่วตงยังล้วนสั่นเทาไปทั้งตัว คุกเข่าลงกับพื้นดังตูม ก่อนกล่าวเสียงสั่นเครือ “นายน้อยโปรดระงับโทสะ!”
คนผู้นี้คือโก่วซวีสิง ยอดบุคคลผู้กล้ารุ่นเยาว์เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬระดับ ‘บั่นพันเศียร’!
ซากศพชโลมเลือดและผลงานต่อสู้หล่อหลอมฐานะโก่วซวีสิงจนมาถึงวันนี้!
“ภายในหนึ่งวัน ข้าต้องการเป้าหมายแบบมีชีวิต จับมันมาต้มกินทั้งเป็น” นัยน์ตาเขียวมรกตของโก่วซวีสิงพรั่งพรูประกายประหลาดชวนประหวั่น น้ำเสียงเยียบเย็นเหลือจะเอ่ย
อิทธิพลของพวกเขาเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแผ่กว้างทั่วสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ เส้นสนกลในยิ่งใหญ่มหาศาล ทำผู้ฝึกปราณทั้งใต้หล้าหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง แม้แต่สำนักโบราณทั่วไปยังไม่กล้าแส่หาเรื่องโดยง่าย
แต่บัดนี้กลับมีคนกล้ามองพวกเขาเป็นอาหาร!
นี่ไม่เพียงแค่กำเริบเสิบสาน แต่เป็นเหมือนการยั่วยุล้ำเส้นเผ่าพวกเขา ไม่อาจอดกลั้นเด็ดขาด ยิ่งไม่อาจให้อภัย!
ท่ามกลางความมืดมิด เงาร่างชราสองร่างพุ่งออกมากะทันหัน กลิ่นอายล้วนเร้นลับและน่าหวาดกลัว
พวกเขามีนามว่าโก่วซานและโก่วไห่ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันสองคนที่ทำหน้าที่อารักขา คอยติดตามข้างกายโก่วซวีสิงตลอดทาง!
“ไม่ว่าใครที่มันกล้าล่วงเกินกันเช่นนี้ ต้องถูกลงโทษ!” พวกเขากล่าวขึ้นมาเช่นกัน สีหน้าทะมึนเคร่งขรึม เห็นชัดว่าถูกยั่วโทสะแล้ว
“วาจานี้ไม่เลว แม้แต่ราชันในปัจจุบันยังไม่กล้าดูหมิ่นอำนาจของเผ่าข้าเช่นนี้ พวกรนหาที่ตายพรรค์นี้ต้องใช้วิธีอำมหิตกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก!”
น้ำเสียงแหบพร่าหนึ่งดังขึ้นเหนือความคาดหมายอีกครา จากนั้นชายชราชุดคลุมสีโลหิต ทั่วร่างปกคลุมด้วยแสงมรรคเจิดจรัสคนหนึ่งก็ปรากฏตัว
“คารวะใต้เท้าขุ่ย!”
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างโค้งคำนับสีหน้าเคร่งขรึม
ชายชรานามโก่วขุ่ยคือราชันที่แท้จริงผู้หนึ่ง เป็นคนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง สถานะพิเศษโดดเด่น
“ท่านอาสิบสี่ ลิ่นเหวินจวินถูกฆ่าแล้วหรือ” โก่วซวีสิงสอบถาม
โก่วขุ่ยส่ายศีรษะ สีหน้ามืดมนอยู่บ้าง “เฉียดแค่นิดเดียว”
โก่วซวีสิงตกตะลึง ยากจะเชื่ออยู่บ้าง “นี่เป็นไปได้อย่างไร”
ใช่แล้ว เป็นไปได้อย่างไร
คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจสงสัย ใต้เท้าขุ่ยเป็นถึงราชันที่แท้จริง อานุภาพร้ายกาจ ทรงอิทธิพลทั่วสารทิศมาหลายปี แค่ลิ่นเหวินจวินคนเดียว ทำไมถึงหนีรอดจากการตามฆ่าของใต้เท้าขุ่ยไปได้
“นางถูกคนช่วยไว้” โก่วขุ่ยสีหน้าเยียบเย็น แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าหน้าหมองไป ออกปฏิบัติการด้วยตนเองแต่ปล่อยเป้าหมายหนีไปได้ นี่คือความอัปยศอย่างไม่ต้องสงสัย
“ใคร?” โก่วซวีสิงถาม
“ยายแก่คนหนึ่ง”
โก่วขุ่ยสีหน้าอึมครึมยิ่งกว่าเดิม “แม้ไม่รู้ฐานะแน่ชัด แต่ข้าจดจำกลิ่นอายมันไว้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่จับตัวนางมาได้!”
ใบหน้างามสง่าของโก่วซวีสิงผุดอารมณ์มืนมนวูบหนึ่ง ในใจมีความโกรธแค้นเหลือจะเอ่ย
พวกเขาออกปฏิบัติการครานี้ด้วยท่าทีเหิมเกริมน่ากลัว เดิมคิดว่าด้วยอานุภาพนี้สามารถกวาดล้างเป้าหมายได้แล้ว แต่บัดนี้กลับพลาดท่าเสียทีติดต่อกัน
นางเด็กที่ครอง ‘สายเลือดจิ้งจอกนิล’ นั่นถูกบุคคลปริศนาคล้ายราชันกึ่งระดับพาตัวไป ส่วนลิ่นเหวินจวินก็ถูกคนช่วยหนีให้พ้นเคราะห์อย่างโชคช่วยเช่นเดียวกัน
นี่จะให้โก่วซวีสิงยอมรับได้อย่างไร
หากเรื่องนี้แพร่งพรายถึงเผ่า เกรงว่าคงนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์โจมตีและเยาะหยันมากมาย นี่ไม่เพียงทำชื่อเสียงเขาเสื่อมเสีย ยังส่งผลต่อฐานะในหมู่คนรุ่นเยาว์ในเผ่าของเขาด้วย!
แม้โก่วซวีสิงถูกเทิดทูนเป็นนายน้อย แต่เขากลับเข้าใจดี อิทธิพลของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของพวกเขายิ่งใหญ่มาก แค่ในหมู่คนรุ่นเยาว์ก็มีพวกที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาสิบกว่าคน
กระทั่งในแดนชัยบูรพายังมีพวกน่ากลัวยิ่งกว่า ได้ฉายาว่า ‘โค่นหมื่นศัตรู’ ไปแล้ว ทำให้โก่วซวีสิงรู้สึกถึงความกดดันใหญ่หลวง!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ปฏิบัติการซึ่งเขาเป็นผู้นำกลับพลาดท่าเสียทีติดต่อกัน นี่ทำให้โก่วซวีสิงระงับโทสะไม่อยู่เป็นธรรมดา
ที่ทำเขาเคียดแค้นชิงชังที่สุดคือ เป้าหมายคล้ายราชันกึ่งระดับซึ่งพาซย่าเสี่ยวฉงไปนั่น ถึงกับเห็นพวกเขาเป็น ‘อาหาร’ อย่างกำเริบเสิบสาน นี่คือการสะกิดต่อมโมโหให้เผ่าพวกเขาโดยไม่ต้องสงสัย!
“ปล่อยลิ่นเหวินจวินไปก่อน ขอแค่สังหารนางเด็กนั่น ปฏิบัติการของเราครานี้ก็ถือว่าสำเร็จ”
นานพอควรโก่วซวีสิงจึงสูดหายใจลึก นัยน์ตาเขียวมรกตฉายไอสังหารชวนประหวั่น ก่อนกัดฟันกรอดกล่าวเน้นทีละคำ “ยังมีเจ้าคนที่เห็นพวกเราเป็นอาหารนั่น ต้องจับมันให้ได้ ข้าจะต้มมันกินทั้งเป็น!”
น้ำเสียงตอนสุดท้ายเจือความเหี้ยมโหดคลั่งระห่ำ
เห็นชัดว่าเขาถูกทำให้โกรธแทบบ้า
ปัง!
ทันใดนั้นบนท้องนภาอันห่างไกล ดอกไม้ไฟสีเลือดประหลาดดอกหนึ่งผลิเบ่งบาน
บุปผาโลหิตเรียกหา!
สายตาทุกคน ณ ที่นั้นล้วนถูกดึงดูดทันควัน ทว่าเมื่อเห็นเนื้อหาซึ่งถ่ายทอดผ่านบุปผาโลหิตเรียกหานั่น สีหน้าพวกเขาแต่ละคนล้วนเปลี่ยนเป็นผิดแปลก
นั่นคือภาพวาดหนึ่ง วาดเป็นรูปกระดูกขนาดใหญ่ราวไม้ตะบอง ด้านข้างยังมีข้อความระบุ ‘กล่าวถึงอาหารเลิศรสในใต้หล้า แน่นอนว่าต้องมีที่สำหรับเนื้อหมาดำ เจ้าพวกหมาเวรจงล้างรอลงหม้อ ท้องข้าหิวกระหายสุดจะทนอยู่นานแล้ว!’
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬล้วนเต้นเร่าราวกินรังแตน โกรธจนแทบพุ่งทะยาน ไอ้เวรนี่กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ยังจะกล้ายั่วยุเช่นนี้ คงอยากตายนักสินะ!
โก่วซานและโก่วไห่ราชันกึ่งระดับทั้งสองสีหน้าน่ากลัวยิ่ง
ระดับราชันโก่วขุ่ยก็โกรธจนควันออกหู นัยน์ตาเอ่อท้นไอสังหารเข้มข้น
โก่วซวีสิงยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าเยียบเย็นถมึงทึงกว่าเดิม ทั่วร่างแผ่กระจายไอชั่วร้ายชวนประหวั่นหาใดเปรียบ คำรามราวบีบคั้นออกมาจากทรวงอก “ยังมัวตะลึงทำอะไร ไป! ลงโทษไอ้สวะนั่น!”
ตูม!
พริบตานั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬออกปฏิบัติการ แต่ละคนไอชั่วร้ายทะลวงเมฆา พุ่งทะยานผ่านฟ้าดุจเทพดุผีร้ายจากขุมทมิฬ
ชั้นเวหากระเจิดกระเจิง ฟ้าดินเปลี่ยนสี สรรพชีวิตในรัศมีร้อยลี้ต่างถูกไอสังหารอันน่าหวาดกลัวทำเอาตระหนกจนหมอบคลานตัวสั่นงันงกอยู่กับพื้น
พวกเขาเดือดดาลเข้าจริงๆ แล้ว ทั้งใต้หล้าปัจจุบันยังไม่เคยมีใครกล้าลบหลู่และยั่วยุพวกเขาเช่นนี้มาก่อน!
…
‘มาแล้ว!’
เชิงภูเขาวิญญาณไร้นาม หลินสวินหลบซ่อนอย่างระวัง ไอซวนหนีอบอวลทำให้เงาร่างและกลิ่นอายเขาเลือนหายกลางคัน
แม้แต่จิตรับรู้ยังถูกเขาเก็บอย่างระวัง
ทว่าอาศัยนัยน์ตาเฉาเฟิง กลับทำให้หลินสวินสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน กลางฟ้าดินอันห่างไกลเต็มไปด้วยไอทะมึนทะลวงเมฆาโหมกระหน่ำ ซ้ำกำลังเคลื่อนมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
หลินสวินพลันยิ้มรับ ไอ้หมาพวกนี้อดกลั้นไม่ไหวจริงๆ
ไม่ทันไรเงาร่างพวกโก่วซวีสิงปรากฏตัว เคลื่อนย้ายกลางอากาศ พละกำลังดุดันไม่ปกปิดกลิ่นอายแม้แต่น้อย อาละวาดเหิมเกริมทรงอำนาจยิ่ง
นี่ถือว่าปกติ มีราชันเช่นโก่วขุ่ยออกบัญชาการ ซ้ำมีโก่วซานและโก่วไห่ราชันกึ่งระดับสองคนคอยคุ้มกัน ต่อให้พบเจอสิ่งมีชีวิตระดับราชันที่แท้จริงในพื้นที่รกร้างนอกชานเมือง ก็สามารถสพแดงอำนาจได้อย่างไร้หวาดเกรง
นี่ก็คือความมั่นใจของพวกเขา
ทว่าเมื่อเห็นภูเขาวิญญาณไร้นามนั่น พวกโก่วซวีสิงพลันรู้สึกประหลาดใจ สังเกตเห็นว่าเขาลูกนี้แตกต่างอย่างชัดเจน
“เป้าหมายหลบอยู่ที่นี่รึ” นัยน์ตาเขียวของโก่วซวีสิงส่องประกาย เขาสัมผัสได้แค่ว่าเขาลูกนี้มีไอวิญญาณข่มขู่ผู้คน เห็นได้ว่าพิเศษโดดเด่น มีท่วงทำนองปราณงามอัศจรรย์วิจิตรทรงพลังประการหนึ่ง
“กลิ่นอายและร่องรอยมันมาถึงที่นี่แล้วจางหาย คงหลบซ่อนอยู่ในเขาลูกนี้แน่” ด้านข้าง โก่วตงตอบกลับหนักแน่น การสะกดรอยคือพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพวกเขา ย่อมต้องมั่นใจมากเป็นธรรมดา
“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาลูกนี้เหมือนแดนสมบัติถ้ำสถิต แต่ละแวกใกล้เคียงไร้สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย นี่มันผิดปกตินัก” โก่วซานกล่าวคิ้วขมวด
“จริงดังว่า ก่อนหน้านี้เป้าหมายปล่อยบุปผาโลหิตเรียกหา ดูเหมือนทำการยั่วยุ อันแท้จริงอาจซ่อนแผนชั่วร้ายหมายล่อพวกเรามาที่นี่” โก่วไห่ก็วิเคราะห์อย่างสุขุมเยือกเย็น
“ไม่ว่ากลอุบายเล่ห์เหลี่ยมอะไร ต่อหน้าพลังที่แท้จริงมันก็แค่เรื่องน่าขัน”
กลับเห็นโก่วขุ่ยทั่วร่างอบอวลแสงมรรคสีเลือด มีอานุภาพผงาดผยองก้มมองใต้หล้า นี่คือท่วงท่าแห่งราชัน
“ไป พวกเราลองไปดูพร้อมกัน เขาลูกนี้สะสมความอัศจรรย์อยู่ภายใน หมอกม่วงพวยพุ่ง พวกเราอาจอาศัยโอกาสนี้ขุดพบสมบัติหายากบางอย่างก็เป็นได้”
โก่วขุ่ยมั่นใจและสบายอารมณ์นัก นำทางไปเบื้องหน้ามุ่งสู่ภูเขาวิญญาณไร้นาม
พวกโก่วซวีสิงเห็นดังนั้นต่างไม่คิดมากความอีก อาศัยกำลังระดับนี้ของพวกเขา ถึงแม้เจอเรื่องเกินคาดหมาย ยังมีอะไรรับมือไม่ได้อีก
ตอนที่ 806 ถูกหลอกแล้ว
ProjectZyphon
หลินสวินซึ่งหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางความมืดเห็นดังนั้นในใจก็รู้สึกพิกลอย่างอดไม่อยู่ เจ้าหมาแก่นั่นสมเป็นผู้มีพลังปราณระดับราชัน ช่างมั่นใจในตนเองจริงๆ!
แต่เพียงเท่านี้ก็เท่ากับตกหลุมพรางหลินสวิน เวลานี้เขาป้องกันตัวเองอย่างครบชุดเต็มกำลัง แอบเตรียมการพร้อมสรรพ
ครืน!
แม้แต่หลินสวินล้วนไม่อาจไม่ยอมรับ เจ้าพวกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนี่กร้าวแกร่งและเย่อหยิ่งเหลือเกิน ลงมาจากเมฆมาเยือนภูเขาวิญญาณไร้นามโดยตรง ซ้ำยังเคลื่อนไหวใหญ่โต ท่าทางไม่หวั่นเกรงสรรพสิ่ง หยิ่งผยองเหลือประมาณ
หลินสวินแทบหลุดขำออกมา ไอ้หมาพวกนี้ท่าทางราวข้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า รอเมื่ออสูรเนตรทองนอเดียวปรากฏกาย จะเปลี่ยนท่าทีเป็นยังไงกันนะ
“เอ๋! โอสถวิเศษเพียบเลย!”
เสียงร้องอุทานดังขึ้น เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬซึ่งเดิมกระเหี้ยนกระหือรือ แทบอยากจับตัวหลินสวินออกมาโดยเร็ว
แต่เมื่อพบว่าบนเขาลูกนี้มีโอสถวิญญาณหายากมากมายอยู่ทั่วไปหมด ความสนใจพลันถูกดึงดูดจนลูกตาเบิกโพลงทันควัน
“นี่มันต้นวิญญาณพุทราเพลิง! สวรรค์ แถมกิ่งก้านมีผลชิดถี่แน่นขนัดเต็มไปหมด พุทราเพลิงผลหนึ่งเพียงพอแลกเปลี่ยนเป็นสิบแกนวิญญาณขั้นกลางเชียว!”
ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งน้ำลายยืดน้ำลายหก แววตาร้อนระอุ
“ยังมีบัวหิมะลายทอง ดูจากเปลวเพลิงของมันอย่างน้อยคงเกิดมาราวหมื่นปี ภายในควบรวมเม็ดบัวลายทอง นี่เป็นมหาโอสถหายากแห่งยุค”
“นี่… คงไม่ใช่หลินจือโลหิตรากม่วงกระมัง ซ้ำยังมีสามสิบหกใบ รากราวน้ำตก ยากพบเห็นยิ่งนัก!”
แม้แต่พวกโก่วซวีสิง โก่วซาน โก่วไห่ล้วนไหวหวั่น สายตาสำรวจทั่วบริเวณ ค้นพบโอสถวิเศษล้ำค่าต้นแล้วต้นเล่าที่ต่างเรียกได้ว่าล้ำค่าอัศจรรย์ ทำให้สายตาพวกเขาเปลี่ยนเป็นร้อนเร่า
มีเพียงโก่วขุ่ยที่ยังสำรวมนิ่งสงบ ในฐานะราชัน โอสถวิญญาณล้ำค่าที่เรียกกันทั่วๆ ไปเขาล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ช้านัยน์ตาเขารวมก็หดเกร็ง ก่อนกล่าวอย่างตกตะลึง “ที่นี่ยังมีถ้ำสถิตหลงเหลืออยู่!”
ฟึ่บ!
ประโยคเดียวดึงดูดความสนใจทุกคนให้หันมองไปทันที จากนั้นพวกเขาต่างไม่อาจสงบใจ สายตาลุกโชนเร่าร้อน
เขาลูกนี้อัศจรรย์งามวิจิตร มีโอสถวิเศษมากมาย ภายในถ้ำสถิตนี่จะซ่อนวาสนาสะเทือนใต้หล้ายิ่งกว่าหรือไม่
โก่วตงแววตาลุ่มลึก วิเคราะห์อย่างสุขุมเยือกเย็น “บางที ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นอาจซ่อนอยู่ภายใน!”
ประโยคเดียวทำให้ไอสังหารในใจโก่วซวีสิงแผ่กระจาย เขาหาได้ลังเลอีก สะบัดมือกล่าว “พวกเจ้าเข้าไปดู จงจำว่าต้องระวังหน่อย”
เขาละเอียดรอบคอบยิ่ง ไม่ได้หลงระเริงจนเสียสติ ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปหยั่งเชิงสถานการณ์ก่อน
กลับเห็นโก่วขุ่ยยิ้มเยาะกล่าวอย่างจองหอง “ไม่ต้องทำเกินจำเป็น ข้าเข้าไปเพียงลำพังก็พอแล้ว”
อันที่จริงในใจเขาร้อนเร่า เห็นว่าเขาลูกนี้ไม่ธรรมดา ภายในถ้ำสถิตนั่นคงซ่อนสมบัติไร้เทียมทานบางอย่างไว้ เขาไม่อาจทนเห็นคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อน
ยามกล่าวโก่วขุ่ยย่างเท้าหนึ่งก้าวย่นย่อระยะทางเหลือเพียงคืบ เสื้อคลุมสีโลหิตพลิ้วไหว เงาร่างพุ่งสู่ส่วนลึกของถ้ำสถิตนั่น
นี่ทำโก่วซวีสิงแววตาวาบประกายด้วยรู้ทันความคิดของโก่วขุ่ย ในใจจึงไม่พอใจอยู่บ้างทันที เป็นถึงราชันอาวุโส แต่กลับช่วงชิงวาสนาเป็นคนแรก นี่ออกจะน่าเกลียดอยู่บ้าง!
“โก่วซาน โก่วไห่” เขาเอ่ยปาก
“นายน้อยมีสิ่งใดสั่งกำชับหรือ” ราชันกึ่งระดับทั้งสองรีบร้อนกล่าว
“พวกเจ้าเข้าไปดูพร้อมใต้เท้าขุ่ย ที่แห่งนี้ไม่ธรรมดายิ่ง ดูเหมือนอัศจรรย์งามวิจิตร แท้จริงแล้วไม่รู้ว่าแอบซ่อนอันตรายและไอสังหารอะไรไว้ ไม่สามารถให้ใต้เท้าขุ่ยเสี่ยงอันตรายคนเดียวเพื่อพวกเรา”
โก่วซวีสิงสั่งการเสียงแข็ง
โก่วซานและโก่วไห่พลันรู้ความนัย นี่คือการตรวจสอบอย่างหนึ่ง ต่อให้เจอวาสนาแห่งยุคบางอย่าง ก็ไม่สามารถให้กอบโกยเพียงคนเดียว!
เงาร่างทั้งสองไหววาบในบัดดล มุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำสถิต
ณ เชิงเขา หลินสวินที่แอบอยู่เห็นทุกอย่างกับตา สีหน้าพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าเดิม นี่มันสุนัขกล้าคับฟ้าขนานแท้ นึกไม่ถึงว่ายังแอบเล่นแง่กันเอง วางแผนแย่งชิงวาสนากันด้วย!
นี่ทำให้หลินสวินเกือบหลุดหัวเราะ สะกดกลั้นจนแทบช้ำใน เดิมทีเขายังเตรียมกลวิธีบางส่วน หมายให้พวกผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬและอสูรเนตรทองนอเดียวสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวเขาค่อยตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัวง่ายหน่อย
แต่สภาพการณ์เห็นชัดว่าเหนือความคาดหมายหลินสวิน เขาไม่จำเป็นต้องลงมือใดๆ ไอ้สุนัขพวกนั้นก็แส่หาเรื่องเสียเอง
นี่ช่างเพลิดเพลินเจริญใจซะจริง
หลินสวินแอบรวบรวมพลัง เตรียมการพร้อมสรรพ
บนภูเขา โก่วซวีสิงอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด วันนี้ไม่เพียงแต่สามารถจับเป้าหมายทั้งเป็น ซ้ำยังอาจเจอศุภโชคซึ่งหาได้ยาก นี่ทำให้เขารู้สึกปิติยินดีราวมีสวรรค์อุปถัมภ์
“นี่ก็คือเมื่อเคราะห์ร้ายถึงขีดสุดสุขสวัสดิ์จึงปรากฏ!”
โก่วซวีสิงกล่าวอย่างศรัทธาต่อโชควาสนา นึกถึงทุกอย่างที่ประสบมาจากปฏิบัติการครานี้ นี่จะไม่ใช่เคราะห์ร้ายถึงขีดสุดสุขสวัสดิ์จึงปรากฏได้อย่างไร
“เหอะๆ โชคดีมาเยือนแล้ว ต่อให้ฉุดก็หยุดไม่อยู่!” โก่วซวีสิงยิ้มอยู่นาน
คนอื่นทยอยผงกศีรษะ กล่าวประจบประแจง “นายน้อยคือผู้กล้าแห่งสวรรค์ซึ่งมาพร้อมโชควาสนา โชคลาภรุ่งเรือง เปล่งประกายชั่วกัปชั่วกัลป์!”
โก่วซวีสิงแช่มชื่นไปทั้งตัว แต่ปากกล่าวอย่างราบเรียบ “ข้ารู้ตัวเองดี โชควาสนาอาจมีบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเปล่งประกายชั่วกัปชั่วกัลป์ ทุกท่านอย่าได้ยกยอข้าเลย”
พูดถึงตรงนี้สายตาเขากวาดมองโดยรอบพลางกล่าว “ที่แห่งนี้มีโอสถวิญญาณถ้วนทั่ว พวกเจ้าไปเก็บพวกมันมา และสามารถเก็บไว้เองส่วนหนึ่ง ถือเป็นรางวัลในปฏิบัติการครานี้ของพวกเจ้าแล้วกัน”
“ขอบคุณนายน้อย!” พวกโก่วตงพลันจิตใจฮึกเหิม พวกเขาต่างรอจนทนไม่ไหวอยู่นานแล้ว
โก่วซวีสิงยิ้มเก็บอาการ จิตใจชื่นมื่นยิ่งกว่าเดิม ความกลัดกลุ้มและคับแค้นก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้ง ราศีจับเปล่งประกายไปทั้งตัว
‘ภูเขานี้สมเป็นแดนสมบัติแห่งหนึ่งจริงๆ บางทีนี่อาจเป็นวาสนาอย่างหนึ่งที่มาเยือนข้าอย่างเงียบเชียบ’
โก่วซวีสิงพึมพำอยู่ในใจ ‘หนทางบำเพ็ญเพียรต่อจากนี้ หากยังคงสามารถครองวาสนาเช่นนี้ได้ มีหรือจะไม่เด่นผงาดกลางมหาสงครามในใต้หล้า ก้าวเข้าสู่กลุ่มผู้กล้าแห่งยุค’
ตูม!
ทันใดนั้นเขาทั้งลูกพลันสั่นสะเทือน ส่ายไหวรุนแรงครู่หนึ่ง หมอกม่วงทั่วเขาโหมกระหน่ำ แสงวิญญาณม้วนซัดดั่งเกลียวคลื่นอย่างเกรียงไกรยิ่ง
โก่วซวีสิงนัยน์ตาราวอสนี กล่าวชื่นชมยินดี “นี่คือการตอบรับจากสรวงสวรรค์ต่อเสียงในใจข้างั้นรึ”
ทว่าเวลาต่อมาทั่วร่างเขาพลันแข็งทื่อ นัยน์ตาเบิกกว้าง
ก็เห็นกลางถ้ำสถิตนั่น เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาอย่างร้อนรนกระสับกระส่าย ผมเผ้ายุ่งเหยิง อาภรณ์ขาดรุ่งริ่งมอมแมม ผิวหนังมีร่องรอยไหม้เกรียม เห็นได้ว่าอเนจอนาถผิดธรรมดา
ท่าทางช่างราวกับขอทาน
เนื่องจากกะทันหันเกินไป โก่วซวีสิงตกใจจนเกือบสะดุ้งโหยง ซัดฝ่ามือหนึ่งออกไปทันที “ใคร! ถึงกับกล้าพรางเป็นเทพแสร้งเป็นผีต่อหน้าข้าผู้นี้!”
เงาร่างซึ่งผมเผ้าสยายยุ่งนั่นคล้ายคาดไม่ถึงว่าโก่วซวีสิงจะลงมือ พลันถูกฝ่ามือนี้ซัดลงบนร่างเต็มๆ
ทว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่โก่วซวีสิงกลับถูกสะท้อนกลับจนซวนเซถอยร่นไปหลายก้าว หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่อยู่ แต่เมื่อเขาจดจำฐานะผู้มาเยือนได้ทั่วร่างพลันแข็งทื่อราวเห็นผี ร้องอย่างตระหนก “ใต้เท้าขุ่ย นี่ท่านเป็นอะไร”
ผู้ที่ผมเผ้าสยายยุ่งอเนจอนาถเกินทน กลับเป็นโก่วขุ่ย!
โก่วซวีสิงออกจะตะลึงงันอยู่บ้าง เหตุไม่คาดฝันนี่เกิดขึ้นเร็วมาก โก่วขุ่ยราชันผู้หนึ่งมุ่งหน้าเข้าสู่ถ้ำสถิตเสาะหาวาสนาไร้เทียมทาน ผ่านไปครู่เดียวทำไมถึงพุ่งออกมาอย่างกับขอทาน
“นายน้อยหนีเร็ว! พวกเราถูกหลอกแล้ว!”
แต่โก่วขุ่ยไม่มีเวลาอธิบาย หิ้วตัวโก่วซวีสิงทะยานเหนือเมฆา
ส่วนผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เดิมพวกเขากำลังเตรียมเก็บโอสถวิญญาณอย่างเบิกบานชื่นมื่น ไหนเลยจะคิดว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ จึงออกจะรับมือไม่ทันไปชั่วขณะ
“อ๊าก…”
“ไม่…!”
เกือบจะเวลาเดียวกัน ส่วนลึกของถ้ำสถิตแว่วเสียงร้องโหยหวนหาใดเปรียบสองเสียง น่าหวาดกลัวเหลือประมาณ แต่ไม่ทันไรก็พลันหยุดลง
ทว่าผู้แข็งแกร่ง ณ ที่นั้นล้วนฟังออก นั่นคือเสียงราชันกึ่งระดับโก่วซานและโก่วไห่!
พริบตานั้นพวกเขารู้สึกพรั่นพรึงขนพองสยองเกล้า ตระหนักได้ว่าไม่เข้าที มีหรือจะมัวมาเก็บโอสถวิญญาณ ต่างหันหลังเผ่นแน่บอย่างรวดเร็ว ท่าทางคับแค้นที่บิดามารดาไม่ให้ขามาเพิ่มอีกสองข้าง
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
พวกเขาสังหรณ์ว่าโก่วซานและโก่วไห่คงประสบเคราะห์กรรม แม้โก่วขุ่ยหนีออกมาได้แต่กลับเห็นว่าอเนจอนาถผิดธรรมดา นี่คือข้อพิสูจน์อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนลึกในถ้ำสถิตนั่นมีวาสนาแห่งยุคซะที่ไหน ชัดแจ้งว่าซ่อนไอสังหารไร้เทียมทานไว้ต่างหาก!
ตอนนี้โก่วซวีสิงเองก็ตระหนักได้ สีหน้าพลันผิดแปลกหาใดเปรียบ สั่นไปทั้งตัวราวถูกคนฟาดกระบองเตือนสติ
ถูกหลอกแล้ว!
ที่แห่งนี้ดูเหมือนอัศจรรย์งามวิจิตรหาใดเปรียบ เป็นแดนสมบัติซึ่งหาได้ยาก แท้จริงแล้วแอบซ่อนเคราะห์สังหารอันน่าหวาดกลัว!
เสียแรงที่พวกเขามีท่าทางปิติยินดีก่อนหน้านี้ คิดว่าพบเจอวาสนายิ่งใหญ่ ไหนเลยจะคาดคิดว่าผลกลับเป็นเช่นนี้…
โก่วซวีสิงโกรธจนแทบกระอักเลือด
เมื่อครู่เขายังคิดว่าโชควาสนามาเยือน ทำให้ตนพลิกสถานการณ์จากเคราะห์ร้ายถึงขีดสุดกลายเป็นความโชคดี ถึงขั้นกระตือรือร้นพึงใจ เห็นว่าด้วยโชควาสนาเช่นนี้มีหรือจะต้องกังวลว่างานใหญ่จะไม่สำเร็จ
ไหนเลยจะคาดคิด แค่พริบตาสถานการณ์ก็พลิกผัน ความเป็นจริงตบใส่หน้าอย่างแรงจนเขาอ้าปากค้าง ในใจเปี่ยมล้นความคับแค้นอับอาย โกรธจนแทบบ้าตาย
“นี่แม่งเกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่”
โก่วซวีสิงสีหน้าอึมครึม ยามนี้เขาถูกโก่วขุ่ยพาตัวทะยานสูงเหนือห้วงอากาศ
มองลงไปจากตรงนี้ เขาก็เห็นทันทีว่าภูเขาวิญญาณไร้นามลูกนั้นกำลังสะเทือนเลือนลั่น มีแรงกดดันชวนประหวั่นไร้ขอบเขตอบอวลอยู่รางๆ
“นี่มัน…” โก่วซวีสิงตื่นตระหนก สีหน้าปรวนแปร
“อสูรเนตรทองนอเดียวซึ่งก้าวสู่ระดับราชันตัวหนึ่ง หรือสามารถเรียกมันว่าราชันอสูร!” เสียงโก่วขุ่ยทุ้มต่ำเย็นเยียบ สีหน้าอึมครึม
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามีวาสนาไร้เทียมทาน ด้วยเหตุนี้จึงเข้าไปในถ้ำสถิตนั่นเป็นคนแรก ใครเล่าจะคิดว่าต้องเจอกับอสูรเนตรทองนอเดียว!
ที่น่ากลัวที่สุดคือพลังของอสูรนั่นชวนประหวั่นไร้ขอบเขต เมื่อโก่วขุ่ยรู้ว่าท่าไม่ดี เร่งหนียังไม่ทันการ ถูกหางอสูรเนตรทองนอเดียวฟาดกระเด็น ซัดจนเขาผิวแตกเลือดอาบ ไหม้เกรียมไปทั้งตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย
ต้องรู้ว่าเขาเป็นถึงราชัน! ซ้ำโลดแล่นทั่วสารทิศมาหลายปี ราชันปกติทั่วไปล้วนไม่อยู่ในสายตาเขา
แต่บัดนี้กลับถูกหางราชันอสูรตัวหนึ่งหวดกระเด็น แค่คิดก็รู้ว่าอานุภาพของราชันอสูรนี่วิปริตและน่าพรั่นพรึงเพียงใด
ดังนั้นโก่วขุ่ยจึงหลบหนีในทันใด!
เวลานี้หวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อครู่ ถ้าสีหน้าโก่วขุ่ยยังดูดีคงประหลาด ถึงขั้นที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายด้วยซ้ำ
เพิ่งพบหน้าก็ถูกฟาดกระเด็น เขาเคยอเนจอนาถเช่นนี้มาก่อนเสียที่ไหน
นี่มันช่างอัปยศอดสูอย่างยิ่ง!
บนท้องฟ้า เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬต่างกระเจิดกระเจิงอลหม่านยิ่งนัก ทำให้หลินสวินซึ่งแอบหลบดูสถานการณ์โดยตลอดลอบทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าหมากระสับกระส่ายไร้เจ้าของอย่างแท้จริง คำโบราณไม่เคยหลอกลวง
และท่าทางอเนจอนาถของโก่วขุ่ยและโก่วซวีสิงยิ่งทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์
แต่ไม่ช้าหลินสวินก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก ภูเขากำลังส่งเสียงกัมปนาทรุนแรง อานุภาพชวนประหวั่นมาพร้อมแสงทองเจิดจรัสแสบตา ดั่งวารีโหมซัดสนั่นหวั่นไหว ทำให้ลมเมฆปั่นป่วนถล่มทลาย สะเทือนทั่วสารทิศ!
หลินสวินรู้ว่าอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นใกล้ออกมาแล้ว และโอกาสของเขาก็จวนมาเยือน…
ตอนที่ 807 ช่วงชิงวาสนา
ProjectZyphon
อสูรเนตรทองนอเดียวทะยานขึ้นเวหาท่ามกลางเสียงคำรามสะท้านฟ้า ทั่วร่างเจิดจรัสราวหล่อจากทองคำ ทั่วกายเอ่อท้นแสงสมบัติมหามรรค สาดส่องภูผาธารา
ครืน!
หลังจากอสูรตัวนี้ปรากฏกาย อสนีบาตสีทองหลากสายพลันมาเยือน ม้วนแผ่สนั่นหวั่นไหวทั่วสารทิศ
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬส่วนหนึ่งในละแวกใกล้เคียงซึ่งกำลังแตกตื่นหนีตาย พลันชักกระตุกไปทั้งตัวราวถูกสายฟ้าฟาด กลายเป็นร่างไร้วิญญาณไหม้เกรียมร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า
เห็นชัดว่ามันถูกยั่วโทสะโดยสมบูรณ์ ทรงอานุภาพร้ายกาจ แสงทองทั่วร่างโชติช่วงชัชวาล มีแสงอสนีบาตไหลหลั่งเลือนรางในนัยน์ตา
น่ากลัวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้!
ณ เชิงเขา หลินสวินใจสะท้านสัมผัสถึงพลังกดดันที่ราวกับทำให้หายใจไม่ออก นี่คือการปรากฏตัวครั้งที่สองของอสูรเนตรทองนอเดียว ขณะนี้จิตสังหารของมันทะลวงเมฆแตกต่างจากก่อนหน้า เห็นได้ว่าเหี้ยมโหดบ้าคลั่งหาใดเปรียบ
“โฮก!”
เสียงคำรามของมันทำลายชั้นเวหา ทำให้ห้วงอากาศบีบกดทรุดลง ทันทีที่ทะยานฟ้าก็กลายเป็นแสงสว่างสีทองพุ่งตามโก่วขุ่ยซึ่งอยู่ห่างออกไป
ครืน!
สี่เท้าเหยียบขยี้ภูผาธารา อ้าปากพ่นสายฟ้าสีทองเจิดจ้า ประดุจผู้ควบคุมทัณฑ์อสนีจากสรวงสวรรค์ ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต
โก่วขุ่ยแค่นเสียง เขาหัวเสียนักที่เมื่อครู่ถูกหวดกระเด็นในคราเดียว ทำเอาเขาหน้าหม่นแสง มาบัดนี้เห็นอสูรร้ายยังพุ่งทะยานตามมา ทำให้เขาบันดาลโทสะทันควัน
ชิ้ง!
เขาเรียกดาบโค้งสีโลหิตเล่มหนึ่งออกมา แสงมรรคพลันโอบล้อมลานตา โฉบพุ่งออกไปอย่างรุนแรงเข้าโรมรันกับอสูรเนตรทองนอเดียว
เพียงชั่วขณะนภากาศราวถูกระเบิด ฟ้าถล่มดินทลาย พลังมรรคราชันชวนประหวั่นแผ่กระจาย หมู่เขาใกล้เคียงต่างถูกลูกหลงดับสลายทรุดทลายดังครืนๆ
นี่คือการประลองแห่งพลังมรรคราชัน ศักดานุภาพระดับนั้นย่อมน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบเป็นธรรมดา
ที่น่าชื่นชมคือภูเขาวิญญาณไร้นามนั่นพิเศษโดดเด่นยิ่งยวด พลานุภาพดั่งพญามังกร ความอัศจรรย์งามวิจิตรแฝงซ่อนอยู่ภายใน หมอกม่วงห้อมล้อมเกาะกุม ไม่โดนผลกระทบจากการต่อสู้แม้แต่น้อย
โอกาส!
หลินสวินซึ่งหลบซ่อนอยู่ออกเคลื่อนไหว ที่เขารอคอยอย่างยากลำบาก ไม่ใช่แค่เพื่อขุดหลุมดักพวกผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ แต่เพื่ออมฤตแกนสุวรรณ!
สวบ!
ทั่วร่างเขาอบอวลไอซวนหนี โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มกำลัง ทะยานขึ้นเขาแล้วเข้าไปในถ้ำสถิตนั่นโดยพลัน
หลินสวินใจเต้นโครมคราม นั่นเป็นอมฤตแกนสุวรรณทั้งสระ หากสามารถนำไปได้ การฝึกปราณต่อจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว
ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงเบื้องหน้าสระน้ำนั่น มันดูเร้นลับเป็นปริศนา ดุจดวงตะวันหลอมละลายอยู่ภายใน แผ่หมอกแสงสีทองแสบตาหาใดเปรียบออกมา พลังชีวิตยิ่งใหญ่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นปะทะใบหน้าไม่หยุดยั้ง
พริบตานั้นหลินสวินถูกพลังชีวิตอันอบอุ่นแผ่คลุมจนสั่นไปทั้งตัว สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างต่างราวกำลังรื่นเริงยินดี มีความรู้สึกดั่งลอยล่องท่องเหินเหนือหมอกเมฆา
‘สมเป็นอมฤตแกนสุวรรณหนึ่งในแปดเซียนฟ้าดิน!’ หลินสวินในใจร้อนเร่า เขาไม่อาจสงบสติอารมณ์ นัยน์ตาที่มองสระน้ำเจือความเร่าร้อนวูบหนึ่ง
ภายในสระของเหลวหนืดสีทองแน่นขนัด เสมือนน้ำสีทองที่หลอมละลายจากสุริยัน ส่องประกายสว่างไสวเปล่งอร่ามเรืองรอง
‘ไม่แปลกที่ศักยภาพของอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นจะน่าหวาดกลัวเช่นนี้ แช่อยู่ในมหาโอสถไร้เทียมทานเช่นนี้ทุกวัน ต่อให้ไม่อยากแกร่งขึ้นก็คงยาก…’
หลินสวินทอดถอนใจ เขาหาได้ลังเลอีก หยิบขวดหยกมันแพะซึ่งตระเตรียมไว้ออกมาจากเจดีย์สมบัติไร้อักษรอย่างแคล่วคล่องว่องไวก่อนเริ่มทำการเก็บรวบรวม
ซ่า…
ของเหลวสีทองกลายเป็นสายเล็กละเอียดไหลลงขวดหยก พลังชีวิตหอมกรุ่นแผ่กระจาย ทำเอาจิตใจหลินสวินแทบลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับมัน
ตูม!
ทว่าเพียงชั่วขณะ แสงทองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากสระน้ำ ราวกระบี่คมกริบเฉือนแหวกอากาศฉับพลัน หากไม่ใช่หลินสวินหลบทันก็คงโดนโจมตีเข้าหน้าแล้ว
หลินสวินเหงื่อแตกพลั่ก ไหนเลยจะคิดว่าภายในสระยังซ่อนไอสังหารไว้อีก!
เขาเงยหน้ามองออกไปก็พลันตกตะลึง ทำไมยังมีเจ้าตัวน้อยอีกตัว
ก็เห็นอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยที่สูงราวฉื่อกว่า หัวมังกรแต่กำเนิด ร่างกายดั่งกวางหนอก สี่เท้าแข็งแกร่งทรงพลังยื่นหัวออกมา ดวงตาทองเจิดจรัสกำลังจ้องมองตนอย่างเหี้ยมเกรียม
มันแยกเขี้ยวยิงฟันแผดเสียงคำราม แต่น้ำเสียงกลับอ้อแอ้หน่อมแน้มไม่มีพลังข่มขวัญโดยสิ้นเชิง ออกจะน่ารักน่าหลงใหลเสียมากกว่า
หลินสวินพลันผ่อนคลายลงไม่น้อย สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นถึงโกรธจัดเช่นนั้น ที่แท้เพราะ ‘หวงลูก’ ถึงได้ออกไปฆ่าสังหารเช่นนั้น
“เจ้าตัวน้อย ไปเล่นตรงนั้น”
หลินสวินขยับมือก็พัดเจ้าตัวน้อยก้นโด่งร่วงลงบ่อดังตู้ม
จากนั้นเขาจึงใช้ขวดหยกเก็บอมฤตแกนสุวรรณต่อ
สวบๆๆ!
กลางสระน้ำ แสงสีทองมากมายโหมปล่อยมาทางหลินสวินอย่างหนักหน่วง
เห็นชัดว่าอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยโกรธจัด กำลังต่อต้านและขัดขวางหลินสวินที่มาขโมยน้ำสมบัติของมัน
หลินสวินเริ่มรำคาญ ยามนี้เวลามีค่ายิ่งกว่าอะไร สิ้นเปลืองแม้เพียงเสี้ยวล้วนน่าเสียดาย!
เขาพุ่งไปเบื้องหน้า จับหางเจ้าตัวน้อยแล้วรัวฝ่ามือตีก้นมันดังเพี๊ยะๆๆ ก่อนกล่าวเสียงเหี้ยม “ถ้าไม่เชื่อฟังอีกจะตุ๋นเจ้ากินซะ!”
เจ้าตัวน้อยน้ำตาคลอเบ้า โกรธจนแยกเขี้ยวยิงฟันถลึงตามองหลินสวิน ท่าทางราวอยากกัดหลินสวินให้ตาย
ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายมันคล้ายหวาดเกรงหลินสวินอยู่บ้าง ไม่รู้เพราะกลัวหลินสวินหรือกลัวถูกหลินสวินจับตุ๋นกินเข้าจริงๆ กันแน่ ถึงไม่กล้าอึกทึกตึงตังอีก
หลินสวินแอบเป่าปากโล่งอก ดีที่อสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยยังแบเบาะไร้ซึ่งแรงโจมตี มิฉะนั้นคิดนำอมฤตแกนสุวรรณจากไปคงไม่ง่ายดายนัก
แต่ที่ทำให้หลินสวินอึ้งงันคือ ยามนี้อสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยนั่นอ้าปากกว้างดูดกลืนน้ำในสระอึกใหญ่ อมฤตแกนสุวรรณโหมซัดครืนๆ ไหลลงสู่ท้องน้อยๆ ของมัน ราวกับถ้ำหลุมไร้ก้นที่ยัดอย่างไรก็ก็ยัดไม่หมด
เห็นชัดว่าเจ้าตัวน้อยกำลังแก้แค้น ใช้วิธีการเช่นนี้ขัดขวางการเก็บน้ำอมฤตของหลินสวิน
ซ้ำมันยังโบกสะบัดหางน้อยๆ เหล่มองหลินสวินอย่างโอหังและภาคภูมิราวยั่วยุ
เห็นอมฤตแกนสุวรรณไหลเข้าปากอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยดังฮูมๆ กับตา ทำให้หลินสวินค่อนข้างโมโห แอบขบฟันไม่หยุด ไอ้ตัวเล็กนี่ช่างดื้อรั้นซะจริง!
เขาเอื้อมมือจับหาง หิ้วเจ้าตัวน้อยให้กลับหัว ก่อนออกแรงเขย่า “คาย รีบคายออกมาให้หมด!”
อสูรเนตรทองนอเดียวถูกเขย่าจนตาลายร้องเสียงดัง เสียงอ่อนเยาว์เปี่ยมความคับแค้น
มันคงคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเจ้ามนุษย์ตรงหน้าจะไร้ยางอายเช่นนี้ ขโมยอมฤตแกนสุวรรณของมันยังไม่พอ ยังหวังให้มันคายอมฤตแกนสุวรรณที่กลืนลงท้องออกมาอีก…
ขุนนางทุจริตยังไม่โลภมากเช่นนี้!
หลินสวินกลับเห็นต่าง นั่นน่ะเป็นถึงอมฤตแกนสุวรรณ! หนึ่งในแปดเซียนฟ้าดิน แต่ถูกไอ้ตัวเล็กนี่ก่อกวน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจอดกลั้น!
หืม?
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศดังขึ้นตรงทางเดินแต่ไกล ทำให้หลินสวินใจสะท้าน
สีหน้าเขาปรวนแปร ทำไมยังมีคนวิ่งมาก่อกวนในเวลานี้
สุดท้ายหลินสวินยกมือทิ้งอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยลงในสระ จากนั้นเงาร่างวาบไหว โคจรไอซวนหนีหลบซ่อนอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานนักเงาร่างกำยำสูงโปร่งหนึ่งปรากฏกาย ใบหน้าเขาหล่อเหลา องอาจผ่าเผย นัยน์ตาเขียวมรกตสยบผู้คนฉายแววยะเยือก
ที่แท้เป็นโก่วซวีสิงยอดบุคคลรุ่นเยาว์เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬสมญา ‘บั่นพันเศียร’!
‘เป็นเจ้าหมอนี่!’ หลินสวินแอบโมโหอยู่ในใจ เตรียมตัวว่าอีกประเดี๋ยวจะซัดเจ้าหมอนี่หนักๆ สักตั้ง
“อมฤตแกนสุวรรณ!”
ทันทีที่โก่วซวีสิงมาถึงก็สั่นไปทั้งตัว ลูกตาเขียวมรกตจับจ้องของเหลวทองอร่ามในสระเขม็ง หวั่นไหวจนออกจะเหม่อลอยอยู่บ้าง “เหมือนที่ใต้เท้าขุ่ยพูดไม่ผิด ที่แห่งนี้ไม่เพียงมีเคราะห์สังหาร ยังแอบซ่อนวาสนาสะเทือนใต้หล้าอยู่ด้วย!”
เขารีบร้อนกระวีกระวาดสะบัดชายเสื้อคราหนึ่งโดยไม่ลังเล เรียกน้ำเต้าหยกสีครามใบหนึ่งออกมาทำการสูบของเหลวในสระน้ำอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกันอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยปรากฏตัวเหนือผิวน้ำอีกครา เมื่อเห็นว่ามีคนวิ่งมาขโมยสมบัติมันอีกครั้งก็โกรธจนหน้าเขียว แยกเขี้ยวยิงฟันตะโกนลั่น
แต่นี่ไม่ทำให้โก่วซวีสิงตื่นตระหนก กลับทำให้เขาลิงโลดดีใจจนแทบเต้น กล่าวว่า “สวรรค์! ลูกอสูรเนตรทองนอเดียว! หากนำมาไว้ข้างตัว หลังจากนี้ต้องกลายเป็นอสูรรบสะเทือนใต้หล้าตัวหนึ่งแน่!”
แววตาเขาลุกโชนเปี่ยมความโลภโมโทสัน
เจ้าตัวน้อยสังเกตเห็นท่าไม่ดี รีบผลุบดิ่งลงสระ
“เจ้าตัวเล็ก นี่ก็คือวาสนา สวรรค์ลิขิตให้เจ้ามาเป็นของข้า ทำไมถึงหนีไปซะเล่า”
โก่วซวีสิงกระหยิ่มยิ้มย่องเต็มประดา เอื้อมมือหมายจับอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อย
ในที่ลับ หลินสวินแอบโคจรดาบหักเตรียมบุกจู่โจม
เขาโมโหแล้วจริงๆ เจ้าหมอนี่มาตอนไหนไม่มา ดันมาขัดแผนเขาเวลานี้ มองดูเวลาที่ไหลผ่านตรงหน้า หากอสูรเนตรทองนอเดียวเต็มวัยนั่นหวนกลับมา ผลลัพธ์คงไม่อาจจะคิด!
ทว่าเมื่อหลินสวินเตรียมลงมือทั่วร่างพลันแข็งทื่อ สัมผัสถึงความเยียบเย็นชวนประหวั่นหาใดเปรียบ ดั่งลมกาฬวาตม้วนซัดมาเยือน
แย่แน่!
หลินสวินตระหนกจนใจสั่นสะท้าน ขนพองสยองเกล้า คิดอะไรได้อย่างนั้นจริงๆ ไม่จำเป็นต้องคาดเดาก็รู้ได้ทันที ว่าอสูรเนตรทองนอเดียวตัวเต็มวัยนั่นรู้ตัวแล้ว!
ด้วยตระหนักได้ถึงอันตราย หลินสวินหันหลังหนีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สวบ!
เขาไม่ปกปิดกลิ่นอาย โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งถึงขีดสุด ซ้ำยังไม่ทันพุ่งออกจากถ้ำสถิตก็เรียกยานขนส่งอวกาศออกมาแล้ว พุ่งออกไปราวแสงสาด
โก่วซวีสิงตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อครู่เขากำลังเตรียมจับอสูรน้อยนอเดียว ไหนเลยจะคิดว่าพื้นที่อีกฝั่งจะมีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมากะทันหัน ก่อนหายจากไปในพริบตา
นี่ทำให้เขาตะลึงงันอ้าปากค้าง เจ้าหมอนั่นเป็นใคร คงไม่ใช่บุคคลปริศนาที่คล้ายราชันกึ่งระดับซึ่งพาตัวซย่าเสี่ยวฉงไปกระมัง
หากเมื่อครู่เขาจู่โจมตนอย่างไม่ทันตั้งตัวก็คง…
นึกถึงตรงนี้โก่วซวีสิงตระหนกจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว ลอบร้องว่าอันตรายนัก เมื่อครู่มัวแต่สนใจช่วงชิงวาสนาและสมบัติจนเกือบเสียท่าเข้าซะแล้ว
เดี๋ยวนะ!
ทำไมเขาต้องหนี?
โก่วซวีสิงพลันตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล เวลานี้เองเขาก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงเยียบเย็นประหนึ่งลมกาฬวาตม้วนพัดมาเยือน…
ยามนี้ปลายนิ้วเขาห่างจากอสูรน้อยนอเดียวนั่นแค่คืบ ยังคงมีท่าทางจะจับตะครุบมัน
บางทีอาจเพราะการเคลื่อนไหวนี้ของเขาสะดุดตาเกินไป ความรู้สึกเยียบเย็นน่าหวาดกลัวนั่นพลันส่งเสียงโกรธแค้นถึงขีดสุด
“รนหาที่ตาย!”
น้ำเสียงนั่นเยียบเย็นเสียดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ เปี่ยมความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่จนโก่วซวีสิงสั่นไปทั้งตัว จิตวิญญาณแทบแหลกสลาย
หากไม่ใช่พลังปราณของเขาค่อนข้างแกร่ง แค่พลังจิตรับรู้นี่ล้วนสามารถทำจิตวิญญาณเขาพังทลายตายลงตรงนั้น!
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ร้ายแรงจนเกือบร้องไห้ออกมา เขาไหนเลยจะคาดคิด ว่าราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นจะดันมารู้ตัวเอาเวลานี้!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น