Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 792-797
ตอนที่ 792 บั้นท้ายปะทะฟู่ซี่
ProjectZyphon
ตูม!
หลินสวินกำลังต่อสู้ ทั้งแข็งแกร่งและดุดัน เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ทั่วร่างเปล่งประกาย ชั่วขณะนี้เขาเหมือนกับเทพมารขนานแท้ ระหว่างที่เคลื่อนไหวดูน่าหวาดกลัวเหลือล้น
นี่คืออานุภาพอันผงาดผยองอย่างหนึ่ง ใจต่อสู้ลุกโหม มีเพียงตัวข้าที่ยิ่งยง หมายกำราบศัตรูทั้งปวง
ดวงหน้าไร้ที่เปรียบของเด็กสาวชุดดำถูกหน้ากากสีเงินปกปิดเอาไว้ ทว่าแววประหลาดใจกลับไม่สามารถซุกซ่อนไว้ได้
แดนฐิติประจิมกว้างใหญ่นัก ครอบคลุมเขตแคว้นหลายพัน ไพศาลหาใดเปรียบ มีสำนักโบราณจำนวนมากตั้งตระหง่าน และมีผู้กล้าโดดเด่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่มากมาย
นับตั้งแต่เด็กสาวชุดดำฝึกปราณเป็นต้นมา ได้พบเจอผู้กล้าโดดเด่นมาแล้วทุกรูปแบบ และเคยประชันกับผู้มีพรสวรรค์เหนือใครอย่างแท้จริงมาบ้างแล้ว
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ในระดับหยั่งสัจจะ หนำซ้ำยังอายุน้อยขนาดนี้ ดูแล้วอายุของเขาถึงขั้นน้อยกว่าตนอยู่หลายปีทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้เด็กสาวชุดดำพิศวงยิ่งนัก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะจับพลัดจับผลูมาเจอ ‘เจินหลง’ ตัวหนึ่งซึ่งจำศีลอยู่ในแคว้นวิญญาณอัคนีเข้าเสียได้
“แม่นาง หากเจ้ามีความสามารถแค่นี้ วันนี้คงต้องร่ำไห้วอนขอความเมตตาแล้ว”
ฝั่งตรงข้าม หลินสวินส่งเสียงหัวเราะออกมา เห็นชัดว่าผยองอวดดียิ่งนัก
เด็กสาวชุดดำลอบกัดฟันกรอด นัยน์ตาสุกใสยิงแสงประหนึ่งเจตกระบี่ออกมา นางโบกมือเรียกสัญลักษณ์พิสุทธ์อันหนาแน่นปานกระแสน้ำกระบวนหนึ่งออกมา ทลายห้วงอากาศ เฉือนพิฆาตสุริยันจันทราดุจดั่งเจตกระบี่ลึกลับอันคลุมเครือกลุ่มหนึ่ง
“คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่สามารถกำราบเจ้าได้”
เรือนร่างอรชรทรงเสน่ห์ของนางยิ่งดูพิสุทธ์มากขึ้นเรื่อยๆ เรือนผมดำรายล้อมด้วยแสงแวววาวเป็นประกาย อานุภาพไพศาล เป็นเอกเทศหาที่เปรียบมิได้
โครม!
เมื่อทั้งสองปะทะกันพลันปะทุแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นแถบๆ พลังหมัดและเจตกระบี่ลอยกระเซ็นดุจดั่งเปลวเพลิง โปรยปรายลงบนท้องฟ้า ทำให้พื้นที่แห่งนี้เจิดจ้าทุกอณู
พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด ประเดี๋ยวเหมือนมังกรเทพประจันกับหงส์เพลิง ประเดี๋ยวเหมือนเทพมารและเซียนฟาดฟันกัน ต่างสำแดงวิชาน่ากลัวอันเหนือกว่าระดับเดียวกันออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เด็กสาวชุดดำชายกระโปรงพลิ้วไสว ผิวพรรณสุกปลั่งเปล่งประกาย ลอยล่องดุจเซียน ต่อสู้อย่างดุเดือดกับหลินสวิน ไม่ว่าหลินสวินจะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน ตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ไม่เคยพลาดท่าเสียทีเลย
ทว่าในใจนางกลับมีเพลิงโทสะเสี้ยวหนึ่ง ครั้งแรกในชีวิตที่นางถูกต่อต้านจนถึงขั้นนี้ ไม่อาจมีข้อได้เปรียบ เห็นได้ชัดว่ายากลำบากมาก
บริเวณใกล้ๆ นาง ห้วงอากาศพังครืนอลหม่านไม่หยุด ลุกลามแผ่ขยาย นั่นคือพลานุภาพที่แข็งแกร่งขึ้นไม่หยุดรอบตัวนาง ขวางสกัดและสลายการโจมตีแข็งแกร่งที่มาจากหลินสวินไม่หยุดหย่อน
ตูม!
ทันใดนั้นเด็กสาวชุดดำเงาร่างไหววูบ มือเรียวขาวผ่องเปลี่ยนเป็นกระบี่ ฟันเป็นร่องรอยแห่งกระบี่อันเร้นลับคลุมเครือสายหนึ่งออกมา เข้าปะทะกับพลังหมัดของหลินสวิน ลำแสงบาดตาน่ากลัวพุ่งปราด ทำให้ห้วงอากาศแถบนั้นเปี่ยมด้วยกลิ่นอายพิสุทธ์และดุดัน
ตึกๆๆ!
ร่างของหลินสวินถูกซัดถอยหลัง เขาค่อนข้างประหลาดใจ จากนั้นนัยน์ตาดำราวมีสายอสนี พุ่งยิงแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์ ซัดโจมตีออกไปอีกครั้ง เหี้ยมหาญทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ทุกๆ ครั้งที่ย่ำเท้า ชือน้ำแข็งสีขาวหิมะผงาดคำราม กู่ก้องทั่วสารทิศ สั่นสะเทือนภูผาวารี แข็งแกร่งถึงขีดสุด
นัยน์ตาของเด็กสาวชุดดำหดรัดทันใด ตระหนักถึงแรงกดดันอันน่ากลัว
นางไม่กล้าอืดอาด มือเรียวโบกสะบัด เจตกระบี่พิสุทธ์เจิดจ้าเป็นประกายสายหนึ่งปรากฏขึ้น สำแดงไอสังหารดุกร้าวไร้เทียมทานหาที่ทัดเทียมมิได้
พริบตานี้ห้วงอากาศหวีดคำราม ระหว่างฟ้าดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าหวาดกลัว ผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้จากบนพื้นต่างตัวสั่นงันงก ขนลุกขนตั้งประดุจตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
เจตกระบี่พิสุทธ์สายนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว เพียงแค่สามชุ่น กลับบางเฉียบคมกริบไร้เทียมทาน คล้ายสามารถทะลวงผ่านกาลเวลา สังหารสรรพวิญญาณจนสิ้นซาก
‘ถึงขนาดบีบให้คุณหนูใช้ ‘ประทับกระบี่ไตรภพ’ เชียว!’ หญิงชราชุดเขียวไหวหวั่นโดยสิ้นเชิง นัยน์ตาเปี่ยมด้วยแสงน่าสะพรึงกลัว
ประทับกระบี่ไตรภพ คือมรดกตกทอดไร้เทียมทานอย่างหนึ่งนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน สามารถตัดสิ้นกรรมแห่งชาติปางก่อน ชาตินี้ และชาติหน้าได้ ความหมายลึกซึ้งทั้งหมดขมวดรวมอยู่ในประทับเดียว เมื่อสำแดงออกมา มีพลังแห่งการผันผวนป่วนปั่นจักรวาล!
นี่เป็นถึงวิชาลับที่ถ่ายทอดจากอริยบุคคลบรรพกาลอย่างแท้จริง!
หลินสวินขนลุกขนพอง วิกฤตรุนแรงไหลเอ่อขึ้นในหัวใจ นัยน์ตาของเขาหรี่ลง ตระหนักถึงความน่ากลัวในการโจมตีครั้งนี้
เพียงแต่ยามนี้เขากลับไม่ถอยหนีแต่ยังพุ่งเข้าใส่ ส่งเสียงคำรามยาวคราหนึ่ง จิตวิญญาณและพลังทั้งหมดในร่างกายโคจรถึงสภาวะสูงสุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งตัวปลดปล่อยกลิ่นอายเต็มสมบูรณ์ถึงขีดสุดออกมา
ตูม!
เขาซัดหมัดหนึ่งออกไป
ท่ามกลางความเลือนราง พลังหมัดดูคล้ายแหวกว่ายข้ามกาลเวลา มีกลิ่นอายทำลายล้างยิ่งใหญ่ดุจดั่งมหากาพย์อย่างหนึ่ง คล้ายสามารถสะเทือนอุปสรรคขวางกั้นแห่งเวิ้งนภา ทลายบานประตูแห่งแดนมายา
น่าตะลึงเกินไปแล้ว!
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างมีความรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก เหมือนกับมองเห็นเทพมารผู้หนึ่งกำลังซัดหมัดใส่เวิ้งฟ้า หมายทำลายบ่วงพันธนาการทั้งปวง
หยั่งถึงแล้ว!
และชั่วขณะที่ซัดหมัดนี้ออกมา หัวใจของหลินสวินกลับสงบนิ่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปริศนาเร้นลับนานาประการของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ปรากฏขึ้นภายในใจ ท้ายที่สุดปริศนาเร้นลับเหล่านี้ผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นหนึ่งหมัดในมือ
นี่… ก็คือหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์!
ในความมึนงง ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนไหนก็ตามที่จับจ้องศึกครั้งนี้ราวกับมองเห็นว่าบนท้องฟ้า จู่ๆ มีเงาร่างกำยำหาใดเปรียบสายหนึ่งปรากฏขึ้น เท้าเหยียบบนยอดพยับเมฆ ร่างกายประดุจตีหลอมด้วยเหล็กทองแดง มีกลิ่นอายแกร่งกล้าน่ากลัวพลุ่งพล่านออกมา
เหมือนดังเทพไท้ในตำนานที่หยัดกายขึ้นมาและส่งหนึ่งหมัดทะยานฟ้า
ตูม!
เสียงกระแทกลั่นฟ้าสะเทือนดินดังก้องขึ้น ประทับกระบี่ไตรภพปะทะกับหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์ ห้วงอากาศคล้ายจะถูกซัดเป็นเสี่ยงๆ แหวกเป็นรอยแยกอันน่าตกใจนับไม่ถ้วน แผ่ขยายทั่วทิศประหนึ่งใยแมงมุม
ที่นั่นดูเหมือนจะทรุดครืน เขย่าโคลงหวีดคำราม จวนเจียนร่วงหล่นลงมา
เพียงแค่คลื่นเสียงก็ทำให้ในหัวของผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้มีเสียงหึ่งๆ เบื้องหน้าแรกฏหมู่ดาราสีทอง แทบกระอักกระอักเลือดอย่างไม่อาจทานทน
พวกที่ความสามารถอ่อนด้อยบางคนทรุดนั่งยองลงบนพื้น เหงื่อเย็นท่วมกาย
นี่ยังมีม่านแสงที่ก่อร่างจากหยกสมประสงค์ซึ่งหญิงชราชุดเขียวเป็นผู้เรียกออกมากำบังไว้อยู่ด้วย มิเช่นนั้นคลื่นควันหลงของการต่อสู้ที่แผ่ซ่านออกมาคงก่อเกิดหายนะที่ไม่อาจจินตนาการได้เป็นแน่แท้
การปะทะกันครั้งนี้น่าสยดสยองตะลึงโลกเกินไป เวิ้งฟ้าถูกซัดแหลก ทรุดครืนราวกับคันฉ่องบานหนึ่ง น่าสยดยองยิ่ง
บนท้องฟ้า เงาร่างเด็กสาวชุดดำทรุดถอยออกไปหลายก้าว เรือนผมยาวดำกระเซิงเล็กน้อย เนื่องจากดวงหน้าของนางถูกหน้ากากบดบัง ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของนางได้ชัดเจน แต่จากแสงที่พุ่งปราดออกมาจากนัยน์ตาสุกใสคู่นั้นของนางก็ทำให้เห็นว่านางตกตะลึงยิ่งนัก
และขณะเดียวกัน ถึงแม้หลินสวินไม่ได้ถอยหลังไป แต่เงาร่างกลับซวนเซหลายหน บนใบหน้าหล่อเหลาเกิดสีแดงซ่านขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ทว่าเพียงชั่วแล่นก็อันตรธานไป
แม้ในใจเขาจะรู้สึกตกใจกับความน่ากลัวของเด็กสาวชุดดำ แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความอภิรมย์
เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ วิชาลับที่ตกทอดมาจากผนึกโบราณสะเทือนสวรรค์นี้ ในที่สุดเขาก็หยั่งถึงและจัดเจนเต็มสมบูรณ์จนได้!
พลังแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
วิชาลับนี้มีทั้งสิ้นเก้ากระบวนท่า แต่ละกระบวนท่ามีความเร้นลับในตัวเอง ครั้นบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ จะสามารถซ้อนทบวิชาลับทั้งเก้ากระบวนท่าเข้าด้วยกันเป็นหมัดเดียวทั้งหมด สำแดงความเร้นลับออกมา เผยพลังน่าหวาดกลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้
แม้เป็นเพียงหมัดเดียว ทว่าเมื่อสันทัดเต็มสมบูรณ์ กลับสามารถสำแดงพลังน่าเกรงขามทั้งหมดของมันออกมาได้ โดยไม่ต้องถูกจำกัดด้วยกระบวนท่า
หลินสวินเชื่อมั่นมาก แม้เมื่อครู่จะเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ เกรงว่าก็ไม่อาจสกัดการโจมตีของหมัดนี้ได้
ทว่าเด็กสาวชุดดำคนนั้นกลับสกัดไว้ได้ สิ่งนี้ทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดา จะต้องเป็นพวกไร้เทียมทานที่มาน่าทึ่งเป็นแน่
“ขอบคุณมาก หากไม่ได้เจ้า ข้าคงไม่สามารถทะลวงขั้นในวิถียุทธ์ได้ภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้” หลินสวินคลี่ยิ้มอย่างสดใสยิ่งนัก
แต่เด็กสาวชุดดำคนนั้นกลับอึ้งงัน นัยน์ตาสุกใสเผยแสงแวววาวน่าสยดสยองเสี้ยวหนึ่ง กัดฟันกรอดกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นข้าเป็นคู่ซ้อมมือมาตลอดรึ”
หลินสวินอึ้งไป “การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ไม่ได้มีเพื่อฝึกฝนตัวเองหรอกหรือ”
เด็กสาวชุดดำดูภายนอกไม่มีการตอบสนองอะไร เห็นชัดว่าสงบเยือกเย็นยิ่งนัก แต่ภายในใจโกรธจนแทบกระอักเลือด การประลองที่จริงจังและขึงขังเช่นนี้ พอออกมาจากปากเขากลับกลายเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเสียได้ นี่มันน่ารังเกียจมากเกินไปแล้ว
“อ้อ เช่นนั้นอยากเล่นกันต่อหรือไม่”
เด็กสาวชุดดำโกรธยิ่งนัก นางยังมีวิชาก้นกรุที่ยังไม่ได้ใช้ ก่อนหน้านี้ยังมีความพะว้าพะวงอยู่ แต่ตอนนี้นางไม่อยากสนใจอะไรมาก แค่คิดอยากชกเจ้าคนที่น่ารังเกียจคนนี้สักครา
“ช่างเถิด วันนี้ก่อเรื่องเอะอะกันยกใหญ่เกินไปแล้ว ข้าก็ไม่อยากถูกคนเห็นเป็นสัตว์ประหลาด ถ้าเจ้าอยากเล่น หลังจากนี้ยังมีโอกาสอยู่”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ เขากับเด็กสาวชุดดำไม่ได้ผูกพยาบาทกัน ยิ่งกว่านั้นเมื่อผ่านการประลองครั้งนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ว่ารากฐานพลังของเด็กสาวชุดดำคงไม่ได้ด้อยไปกว่าตนแต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้หลินสวินถึงขั้นรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนแบบเดียวกันทีเดียว
ทว่าเด็กสาวชุดดำกลับไม่ตอบตกลง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าบอกแล้ว วันนี้ต่อให้เจ้านึกยอมแพ้ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากข้าก่อน!”
“เจ้าสวมหน้ากากเอาไว้ คงต้องกังวลว่าตัวตนจะถูกเปิดเผยเป็นแน่กระมัง วันนี้ทุกสายตาในนครเตโชแห่งนี้ต่างจับจ้องอยู่ที่นี่กันหมด หากสู้กันต่อไป เจ้าจะต้องเผยพิรุธมากกว่านี้ จะต้องถูกคนที่สนใจคาดเดาตัวตนได้ เจ้าคิดว่าคุ้มหรือ”
หลินสวินกล่าวพลางยิ้มบางๆ
สิ่งนี้ทำให้เด็กสาวชุดดำอึ้งไป เก็บเพลิงโทสะภายในใจ กลิ่นอายเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งและลุ่มลึก ถ้อยคำเหล่านี้ของหลินสวินพูดแทงใจดำของนางเข้าให้แล้ว
นางมั่นใจมากด้วยว่าเมื่อตัวตนของตนถูกเปิดเผย ตาเฒ่าในสำนักเหล่านั้นคงปราดเข้ามาในพริบตา แล้ว ‘เชิญ’ ตนกลับไปเป็นแน่
“เจ้าดู ตอนนี้ต่อสู้กันอีกคงไม่เหมาะสมแล้ว ทางที่ดียุติมันอย่างนี้ดีที่สุด ขอตัว”
หลินสวินแย้มยิ้ม ก่อนหมุนกายจะจากไป
สิ่งนี้ทำให้เด็กสาวชุดดำชิงชังอยู่ในใจ เจ้าหมอนี่ทำท่าเหมือนควบคุมตนได้ น่ารังเกียจเกินไปแล้วชัดๆ
“คิดหนี? หยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เด็กสาวชุดดำยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ยินยอม จ้องเงาหลังของหลินสวินสักพัก ท้ายที่สุดก็กัดฟันกรอด เงาร่างไหววูบ มือเรียวคว้าไปทางไหล่ของหลินสวินราวกับสายอสนีแล่นสายหนึ่ง
หืม?
หลินสวินอึ้งงัน คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวชุดดำคนนี้ถึงขนาดยังเซ้าซี้คิดอยากสู้กันต่อไป
ยามเขาจะหันกลับไปตอบโต้ ก็เสียโอกาสเหมาะไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ว่าหลินสวินก็ไม่ใช่พวกกินพืช ภายใต้ช่วงเวลาเช่นนี้สัญชาตญาณต่อสู้ขับเคลื่อนออกมา ทำให้แผ่นหลังของเขาโก่งนูนขึ้นราวกับมังกรตัวใหญ่ แสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน สำแดงกระบวนท่า ‘ปะทะฟู่ซี่’ ออกมา
เด็กสาวชุดดำสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจ บิดตัวตัวลงทันใด หมายจะเปลี่ยนกระบวนท่าไล่จับกุมหลินสวินต่อ
เพียงแต่แม้นางจะตอบสนองไว กลับคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าปะทะฟู่ซี่จะรวดเร็วผิดคาดเช่นนี้ ถึงขนาดเป็นวิชาลับอย่างหนึ่งที่อาศัยแผ่นหลังในการจู่โจม ขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัว ทันทีที่นางหมุนกาย ก็รู้สึกเพียงว่าบั้นท้ายอวบอิ่มดั่งจันทร์เพ็ญของตนถูกกระแทกด้วยกำลังมหาศาลเข้าอย่างจัง…
ชั่วขณะนั้นเด็กสาวชุดดำเสมือนถูกอสนีผ่าฟาด ในสมองขาวโพลน ใบหน้าไร้ที่เปรียบซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากสีเงินแข็งทื่อ การโจมตีครั้งนี้ ดันทำให้เจ้าสารเลวคนนั้นกระแทกบั้นท้ายของตนเชียว…
ความโกรธระคนอับอายรุนแรงที่ไม่อาจพรรณนาได้พุ่งทะลักภายในใจ ทำให้สภาพจิตใจเด็กสาวชุดดำเกิดความสับสนอลหม่านไปหมด โกรธจนแทบกัดฟันแตก จวนเจียนคลุ้มคลั่ง
ตอนที่ 793 บั้นท้ายแม่เสือแตะไม่ได้
ProjectZyphon
เด็กสาวชุดดำโกรธระคนอายจนจวนคลั่ง มีกระทั่งความคิดอยากฆ่าคน!
ก่อนหน้านี้นางถูกเทิดทูนราวกับเทพเซียน สถานะสูงส่งประหนึ่งไม่แปดเปื้อน ฐานะในแดนฐิติประจิมโดดเด่นหาใดเปรียบ ไม่มีใครกล้าลบหลู่และล่วงเกิน
ทว่าตอนนี้ กลับถูกแผ่นหลังของฝ่ายตรงข้ามชนกระแทกบริเวณสงวนส่วนตัวที่น่าอายมากที่สุดในการต่อสู้ สิ่งนี้ทำให้นางแทบไม่อยากเชื่อ
ที่น่าอักอ่วนมากสุดคือพลังในการชนครั้งนี้รุนแรงมาก งัดบั้นท้ายเอิบอิ่มดั่งจันทร์เพ็ญของนางจนทำเอาทั้งตัวซัดปลิวออกไป ท่าทางทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัด
บริเวณนั้นร้อนวูบวาบ รู้สึกแทบแหลกลาญ แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดเหล่านี้ ความโกรธระคนอายในใจของเด็กสาวชุดดำมีเหนือกว่า กระทั่งผิวพรรณเนียนละเอียดขาวผ่องยังเรื่อแดง เรียกได้ว่าบนรูปโฉมไร้ที่เปรียบเต็มไปด้วยความโกรธอาย ไม่กล้าจินตนาการ ทำให้นางไม่อาจยอมรับได้
เจ้าสารเลวสมควรตายคนนี้ ถึงขนาดกล้าทำหน้าด้านเช่นนี้เชียว!
ไม่ว่าจิตใจของเด็กสาวชุดดำจะสูงส่งเพียงใด ชั่วขณะนี้ก็โกรธจนควันออกเจ็ดทวารแล้วเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันในใจหลินสวินก็ผุดความกังขาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง บรรลุปราณถึงระดับเขา การรับรู้จึงว่องไวมาก เพียงชั่วขณะก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เมื่อครู่… รู้สึก… ราวกับ… นุ่มนิ่มและยืดหยุ่นมาก… คงไม่ใช่ว่า…
หลินสวินร้องโอดโอยอยู่ในใจ ตระหนักได้ว่าไม่ดีแล้ว เขารู้โดยไม่ต้องเหลียวหลังสักนิดว่ายามนี้มีดวงตาแหลมคมปานมีดกำลังจ้องตนอย่างเย็นชา ไอสังหารน่ากลัวนั้นทำให้หัวใจของเขาอดขนลุกไม่ได้
หมดกัน!
หลินสวินตระหนักได้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะต้องเข้าใจผิดแล้วแน่นอน ทว่าที่สำคัญคือไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด
สวบ!
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งอย่างแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก อันตธารหายไปกลางอากาศทันทีประหนึ่งเท้าทาน้ำมันไม่มีผิด
เขาค่อนข้างละอายใจ จึงชิงเผ่นไปก่อนอย่างเฉียบขาดด้วยความว่องไว ทำให้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นมองจนปากอ้าตาค้าง
“อา…” บนห้วงอากาศ เด็กสาวชุดดำเห็นดังนั้นก็ยิ่งโกรธและอายขึ้นเรื่อยๆ ส่งเสียงโอดครวญใสกังวาน ไม่อาจควบคุมไอสังหารและความเดือดดาลภายในใจได้เลย
ตูม!
เชือกมัดผมสีเขียวของนางขาดผึง เรือนผมดำขลับปลิวสยาย เงาร่างงดงามเพรียวบางปลดปล่อยไอสังหารสะท้านฟ้าดินออกมา กวาดม้วนทั่วสารทิศ
กลางนัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยไอสังหาร เจ้าสารเลวคนนั้นน่ารังเกียจเกินไปแล้ว หลังจากทำให้ตนอับอายยังกล้าเผ่นหนี นี่มันไม่เห็นตนอยู่ในสายตาชัดๆ!
นางในยามนี้มีกลิ่นอายน่ากลัวเหมือนกับภูเขาไฟโบราณลูกหนึ่งระเบิด ทำให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่บนพื้นต่างตกใจ กระสับกระส่าย
น่าสะพรึงเหลือเกิน!
เสมือนกับเซียนนางหนึ่งบันดาลโทสะฟ้าคำรามชัดๆ ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นสุดแสนจินตนาการ
‘บั้นท้ายเสือใครก็อย่าแตะ นับประสาอะไรกับการแตะบั้นท้ายของแม่เสือกันเล่า พี่หลินสวินนี่ทำเรื่องวอนตายครั้งใหญ่แล้วสินะ’
ใบหน้าเล็กผุดผ่องของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยอาการสะดุ้งสะเทือน ออกจะนับถือความกล้าหาญของหลินสวินเล็กน้อยด้วยซ้ำ ช่างไม่กลัวตายเลยชัดๆ
‘เอ๋… เจ้าหมอนั่นดูคุ้นตาชอบกล เหตุใดถึงมีบุคลิกคล้ายน้องหลินสวินอยู่หลายส่วน’
ในที่สุดฟางหลินหานก็มาถึง เพียงแต่กลับพลาดการประลองอันดุเดือดไปเสียแล้ว เห็นเพียงเงาที่ร่างกุมหัวเผ่นแน่บเหมือนหนูของหลินสวิน และเนื่องด้วยความเร็วที่ไวเกินไปจึงไม่กล้าระบุตัวตนของคนผู้นั้น
‘หือ ชักเริ่มจะไม่ชอบมาพากลแล้ว เหตุใดแม่นางชุดดำคนนี้ก็ดูคุ้นๆ ดูแล้วเหมือนกับ…’
ขณะที่มองเห็นเงาร่างอรชรซึ่งบันดาลโทสะอยู่บนเวิ้งฟ้าสายนั้น ฟางหลินหานก็อึ้งงันอีกครั้ง จากนั้นจึงส่ายหน้าเด็ดเดี่ยว ‘คงไม่ใช่นางแน่ๆ ตามข่าวลือ นางเป็นถึงหญิงสาวที่ราวกับเซียนสวรรค์ สันโดษเป็นเอกเทศ ไหนเลยจะบันดาลโทสะน่าตกใจเช่นหญิงสาวคนนี้ นิสัยใจคอดูแตกต่างกันเกินไป…’
ที่น่าเสียดายคือ ไม่รอให้ฟางหลินหานทำการยืนยัน เด็กสาวชุดดำบนเวิ้งฟ้าคนนั้นก็ถูกหญิงชราชุดเขียวนำตัวไป กลายร่างเป็นสายรุ้งวิเศษอันตรธานหายไปในพริบตา
สิ่งนี้กลับทำให้ฟางหลินหานตกใจ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของหญิงชราชุดเขียว แม้ว่าไม่ใช่ราชันอย่างแท้จริง แต่ก็ต่างกันไม่เท่าใดนัก!
‘น่าเสียดายที่พลาดการประลองบันลือโลกแบบนี้ไปเสียได้…’ ฟางหลินหานทอดถอนใจ ไม่ยินยอมยิ่ง เขาโหยหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับการประลอง แต่จวบจนบัดนี้ยังไม่เคยพบเจอ ภายในใจรู้สึกหดหู่อย่างเลี่ยงมิได้
……
การประลองบันลือโลกที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหันแล้วยังสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันนี้ ปิดฉากลงภายใต้สายตาจับจ้องที่ตะลึงอึ้งค้าง
แต่ไม่นานข่าวเกี่ยวกับศึกครั้งนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วนครเตโชราวกับพายุกาฬวาต สิ่งนี้ทำให้ผู้คนไม่อาจไม่สงสัย ว่าใช้เวลาไม่นานเมืองนับพันทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนีจะต้องลือข่าวที่เกี่ยวกับศึกครั้งนี้กระฉ่อนใช่หรือไม่
อย่างไรเสียศึกครั้งนี้ก็น่าทึ่งและน่าสะท้านมากเกินไปจริงๆ
เด็กหนุ่มที่ผยองและยังแข็งแกร่งประหนึ่งเทพมารคนหนึ่ง เด็กสาวชุดดำที่พิสุทธ์โดดเด่นปานเซียนแดนสรวงคนหนึ่ง ต่างเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าไร้เทียมทาน และมาประลองกันเหนือท้องฟ้านครเตโช ได้รับการจับจ้องจากมวลชน ผลกระทบที่เกิดทั้งหมดแค่จินตนาการก็รู้ว่ามากมายเพียงใด
ศึกครั้งนี้ถึงขั้นเรียกได้ว่าตระการตานับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน อย่างไรเสียในนครเตโชที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดศึกบันลือโลกเช่นนี้มาก่อน
“นี่ก็คือมาดแห่งผู้กล้าไร้ทัดเทียม พลังที่ครองครองทั้งหมดเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันไปนานแล้ว บรรลุถึงขั้นสูงสุดที่ผู้ฝึกปราณระดับเดียวกันไม่อาจเอื้อม!”
คนจำนวนมากต่างรู้สึกทอดถอนใจ ตอนนี้คนทั้งโลกต่างรู้ดี การต่อสู้แห่งมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังมาเยือน นี่จะต้องเป็นเวทีของผู้กล้าอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องสงสัย
ถึงตอนนั้นผู้กล้าทั่วหล้าต่างรวมตัวกัน วีรบุรุษแข่งประชัน สรรพมรรคาสู้รบช่วงชิง ผู้ฝึกปราณทั่วไปย่อมไม่มีโอกาสเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้น
“บางทีคงมีแต่บุคคลโดดเด่นเช่นชายหญิงคู่นี้เท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติช่วงชิงวาสนาแห่งฟ้าดินหลังจากมหาสงครามมาเยือนกระมัง”
ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางคนก็ทอดถอนใจปลงตกเช่นกัน การประลองศึกในวันนี้ทำให้พวกเขาตราตรึงอย่างสุดซึ้ง
“ช่างหายากยิ่งนัก ศึกครั้งนี้จะต้องสั่นสะเทือนทั่วทั้งนครเตโชเป็นแน่ เพียงแต่หนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นั้นเป็นใครกันแน่ แล้วมาจากขุมอำนาจใดกัน”
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากมายต่างคาดเดาตัวตนของหลินสวินและเด็กสาวชุดดำ แต่น่าเสียดาย เค้าหน้าของหลินสวินแปลกตาเกินไป ไม่สามารถระบุตัวตนของเขาได้เลยสักนิด
ส่วนเด็กสาวชุดดำก็สวมหน้ากากสีเงิน ปิดซ่อนรูปโฉมกว่าครึ่งเอาไว้ ทำให้ผู้คนไม่อาจจดจำได้เช่นเดียวกัน
สิ่งนี้กลับยิ่งทำให้ในใจผู้ฝึกปราณทั้งหมดรู้สึกลึกลับขึ้นทุกที
ที่พอคาดเดาได้คือ ยามข่าวลือเรื่องศึกในวันนี้แพร่กระจายออกไป และถูกทั่วนครเตโชรับรู้ บางทีตัวตนของชายหญิงคู่นี้อาจจะถูกล่วงรู้ และคำตอบก็จะถูกเปิดเผย!
……
ในตอนกลางคืน นครเตโชยังคึกคักคลาคล่ำเฉกเช่นที่ผ่านมา
เพียงแต่ต่างจากในอดีต เด็กผู้หญิงมากมายบนท้องถนนต่างสวมหน้ากากสีเงินดุจหิมะ ท่าทางแลดูลึกลับ
ขนาดผู้ชายบางคนก็ยังสวมใส่หน้ากากดังกล่าว
และในทุกซอกมุมบนท้องถนนต่างมีพ่อค้าแม่ขายที่มาจากเผ่าอสูรมารบุปผาเขียวกำลังเร่ขาย ‘ดอกเขียวมายา’
นี่คือดอกไม้ประหลาดชนิดหนึ่ง ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ กลีบดอกหกกลีบ สีเขียวขจีหยาดเยิ้ม ขอเพียงนำมันทาบลงบนหน้า ก็สามารถแปลงเป็นหน้ากากไม่ซ้ำแบบได้สารพัดนึก
วันนี้ในการประลองศึกสะท้านโลกนั้น ที่เด็กสาวชุดดำสวมก็คือหน้ากากซึ่งแปลงมาจากดอกเขียวมายานี้
เพียงแต่อาจเพราะวันนี้นางแสดงออกอย่างสะดุดตาเกินไป แม้ว่าผู้คนไม่อาจล่วงรู้ตัวตนของนางได้ แต่กลับทำให้หน้ากากที่นางสวมใส่เป็นที่นิยมขึ้นมาในทันใด
เด็กหนุ่มเด็กสาวบางคนที่เลื่อมใสเด็กสาวชุดดำ ถึงขั้นที่ต่างมองว่าการสวมใส่หน้ากากเช่นนี้เป็นเกียรติยศ จึงเกิดเป็นกระแสใหม่ขึ้นในนครเตโช
นี่ก็คืออิทธิพลอันเกิดจากการเทิดทูนบูชาผู้แข็งแกร่ง และเผ่าอสูรมารบุปผาเขียวซึ่งอุดมไปด้วยดอกเขียวมายาก็กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย ถือโอกาสนี้ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ
ดอกเขียวมายาหนึ่งดอกที่เมื่อก่อนใช้แกนวิญาณขั้นต่ำสามก้อนก็สามารถซื้อได้ ราคาพุ่งขึ้นภายในชั่วข้ามคืน โดยมีราคาที่แกนวิญญาณขั้นต่ำสามสิบก้อนต่อหนึ่งดอก!
“พ่อค้าหน้าเลือด!” บนถนนหลินสวินพึมพำหนึ่งประโยค เวลานี้บนหน้าเขาก็สวมหน้ากากสีเงินแบบเดียวกัน
“เฮอะ ถ้าท่านไม่เต็มใจก็ปลดมันลงมาให้ข้า” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าว แล้วยื่นมือออกไปทางหน้าของหลินสวิน บนดวงหน้าเล็กผุดผ่องของนางก็สวมหน้ากากไว้เหมือนกัน เพียงแต่เป็นสีดำเกลี้ยงเกลา ตัดกับสีเงินยวงได้พอดี
“อย่าจุ้น!” หลินสวินยื่นมือออกไปปัดมือซย่าเสี่ยวฉง จากนั้นก็กวาดตาไปรอบๆ คล้ายวัวสันหลังหวะ คราวนี้จึงกดเสียงเบากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยากใส่นักรึ ยังไม่ใช่เพราะกลัวถูกคนจำได้หรอกหรือ”
“ฮ่า ดูท่านทำท่าลับๆ ล่อๆ นั่นสิ!”
ซย่าเสี่ยวฉงหัวเราะ รู้สึกสะใจ “หากไม่ใช่เพราะวันนี้ท่านไปตีบั้นท้ายคนอื่นเข้า ไหนเลยจะต้องทำตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ กลัวถูกคนจำได้แบบนี้”
สีหน้าของหลินสวินเคร่งขรึม “เสี่ยวฉง เรื่องนี้สำคัญถึงชีวิตและความปลอดภัยของพวกเรา เจ้าเคยรับปากข้าแล้วนี่ว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด”
“วางใจเถิด ไม่ทำแน่นอน ข้าซย่าเสี่ยวฉงรักษาวาจายิ่งชีพ” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ทว่าหลินสวินก็ยังกังวลอยู่ดี จึงกล่าวเน้นย้ำกำชับกำชา “แล้วก็ กลับไปโรงเตี๊ยมและพบกับฟางหลินหานคนนั้น โรคบ้าผู้ชายอย่าได้กำเริบอีก เลี่ยงไม่ให้พลั้งปากพูดเรื่องนี้ออกไป”
ซย่าเสี่ยวฉงอึ้งค้างไป แววตาพลันจมสู่ภวังค์ขึ้นมา คล้ายกับในสมองนึกถึงดวงหน้าร้ายกาจบ้าระห่ำของฟางหลินหาน
บนหน้าผากของหลินสวินมีเส้นเลือดดำนูนขึ้นมา พูดอย่างไหนเป็นอย่างนั้น เด็กสาวทึ่มทื่อคนนี้เป็นโรคบ้าผู้ชายถึงขั้นรักษาไม่ได้แล้ว
เขาลอบตัดสินใจ หากพรุ่งนี้อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงยังไม่ปรากฏตัวอีก ตนก็จะจากไปทันที
ตอนนี้เขาหยั่งถึงและควบคุมปริศนาเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์โดยสมบูรณณ์แล้ว ก็เหลือแต่มรดกวิชาสองร่างสุดท้ายของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรแล้ว
และหากต้องการหยั่งถึงร่างที่แปด ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ ก็ต้องเข้าสู่ทุ่งร้างเขาลึก ไปสังเกตแนวโน้มของภูผาธารา เพื่อนำมาอนุมานและหยั่งรู้ความเร้นลับแห่งวิชาอัศจรรย์ส่วนนี้
ในส่วนร่างที่เก้า นั่นคงต้องรอหลังจากสันทัดในปริศนาแห่งร่างที่แปดนัยน์ตาเฉาเฟิงเสียก่อน จึงจะสามารถหยั่งรู้และฝึกฝนได้
นอกจากนี้ยังมีระดับขอบเขตการแจ้งมรรคที่จำเป็นต้องจัดการ แต่หลินสวินไม่ได้กังวลใจในข้อนี้ เขาบรรลุขั้นสมบูรณ์ของท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำแล้ว ขาดแค่โอกาสเหมาะก็สามารถทำการพัฒนา เลื่อนจากท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ บรรลุสู่ระดับเจตจำนงมรรคธาตุน้ำได้แล้ว
พลังของมหามรรค มีเพียงสันทัดถึงระดับ ‘เจตจำนงมรรค’ เท่านั้นจึงจะสามารถเผยพลังที่แท้จริงของมันออกมา
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติชั้นนำบางคนเหตุใดจึงแข็งแกร่งเช่นนั้น
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาเริ่มใช้เจตจำนงแท้จริงแห่งมหามรรคมาต่อสู้!
แน่นอนว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปก็ไม่ต่างจากหลินสวินนัก ระดับขอบเขตแจ้งมรรคค้างอยู่ที่ระดับท่วงทำนองมรรค ไม่สามารถทะลวงด่านต่อไปได้
เหตุผลนั้นง่ายดายนัก นั่นก็เป็นเพราะการหยั่งรู้และพรสวรรค์ติดตัว ถ้าพรสวรรค์ติดตัวและการหยั่งรู้ธรรมดาสามัญมาก อาจจะหยุดอยู่ที่ระดับนี้ไปตลอดชีวิต
“น้องหลิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ศึกวันนี้เจ้าได้ชมหรือไม่” เพิ่งกลับถึงโรงตี๊ยมก็เห็นฟางหลินหานรออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นแล้ว หลังจากเห็นหลินสวินก็พลันหยัดกายเอ่ยปากทันที
หลินสวินเหลือบมองซย่าเสี่ยวฉงที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่งอย่างค่อนข้างกังวล กลัวแต่ว่าโรคบ้าผู้ชายของนางจะกำเริบแล้วพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่ระวัง
ใครเลยจะคิดว่าเวลานี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับเบิกตากว้าง มองไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้างของโรงเตี๊ยม ส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจระคนดีใจ “อาจารย์!”
ตอนที่ 794 งามล่มเมือง
ProjectZyphon
อาจารย์?
หลินสวินอึ้งงัน อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ บัดนั้นนัยน์ตาพลันหรี่ลง รู้สึกตื่นตกใจนัก
นั่นคือหญิงนางหนึ่งที่เรียกได้ว่างามล่มเมือง เรือนผมดำของนางปานน้ำตก ดวงหน้างามทรงเสน่ห์ คิ้วดำขลับดุจสีหมึก ดวงตาเรียวชี้ดั่งพญาหงส์เป็นประกายวาววับ รูปโฉมชวนพิศ ทำให้ผู้คนรู้สึกไหวหวั่นอย่างหนึ่ง
นางแต่งกายเรียบง่ายนัก ปิ่นไม้หยาบเสื้อผ้าธรรมดา แต่งกายสมถะ ทว่าเรือนร่างกลับอวบอิ่มสมบูรณ์ ผิวพรรณพิสุทธิ์เกลี้ยงเกลาราวกับหยกมันแพะ แวววามสวยงาม
แม้นางจะเงียบๆ ทว่าทุกท่วงท่าอิริยาบถกลับมีมาดสง่างามและชวนมองประการหนึ่ง
อะไรที่เรียกว่างามล้ำไร้ที่เปรียบ
ก็นี่อย่างไรเล่า!
งามจนเป็นเหตุแห่งเภทภัย ทรงสง่าหาตัวจับยาก ทำให้ผู้คนนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โลกปรากฏหญิงงาม ละโลกแลสันโดษ ผู้ซึ่งงามล่มเมือง ซ้ำงามล่มแคว้น!
แม้ว่าหลินสวินฝึกปราณมาจนป่านนี้จะพบเห็นสาวงามมาทุกรูปแบบ อีกทั้งแต่ละนางต่างมีความงามและทรงเสน่ห์แตกต่างกัน
ทว่าเวลานี้กลับยังไม่อาจไม่ตื่นตกใจ คิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงถึงกับเป็นหญิงที่รูปโฉมไร้ที่เปรียบคนหนึ่งเช่นนี้
อีกทั้งหลินสวินสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในโรงเตี๊ยมแปลกประหลาดนัก สายตาของแขกละแวกใกล้เคียงต่างจับจ้องไปที่ร่างหญิงอรชรทรงเสน่ห์ผู้นั้นโดยพร้อมเพรียง สีหน้าท่าทางต่างทอแววหลงใหล และมีเสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นเป็นระยะ…
แต่หญิงผู้นั้นกลับสีหน้าแน่วนิ่ง ยกถ้วยจิบชา ริมฝีปากแดงเอิบอิ่มสัมผัสกับถ้วยกระเบื้องมันวาวสีอ่อนแผ่วเบา เม้มปากเล็กน้อย เรียวฟันผุดเผยรางๆ ภาพนั้นถึงกับชวนพิศและน่าตกตะลึงอย่างอธิบายไม่ถูก
เสมือนไม่ว่าการเคลื่อนไหวจะธรรมดามากเพียงใด เมื่ออยู่บนร่างของหญิงนางนี้ ก็พาให้เกิดเสน่ห์และความงามสง่าเป็นพิเศษอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
หลินสวินไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ ว่าซย่าเสี่ยวฉงที่ใสซื่อไร้เดียงสาเช่นนี้ อาจารย์ของนางกลับเป็นถึงหญิงงามระดับล่มเมืองล่มแคว้นคนหนึ่ง
แตกต่างมากเกินไปแล้ว!
พลันเห็นฟางหลินหานที่แต่เดิมกำลังสนทนากับหลินสวิน เวลานี้ก็ยิ้มน้อยๆ ส่งสายตาเป็นนัยคลุมเครือมาให้หลินสวินพลางกล่าว “รู้สึกว่างามจนน่าตะลึงหาที่เปรียบไม่ได้ใช่หรือไม่”
หลินสวินพยักหน้าอย่างเห็นด้วยสุดซึ้ง
“ดูข้านะ”
ฟางหลินหานที่แต่เดิมยังคิดจะคุยอะไรบางอย่างกับหลินสวิน ทว่าเวลานี้กลับเปลี่ยนใจกะทันหัน จัดแจงเสื้อผ้าแล้วสาวเท้าเดินไปที่หน้าโต๊ะของหญิงผู้นั้น
เขาไม่เกรงใจอย่างยิ่ง นั่งลงข้างๆ ตามอำเภอใจ ดวงหน้าหล่อเหล่าและร้ายกาจปรากฏรอยยิ้มน่าหลงใหล กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ดื่มชาตามลำพังไม่น่าเบื่อเกินไปหรือ ไม่สู้ให้ข้าร่วมดื่มกับแม่นางสักหนว่าอย่างไร”
แววตาของเขาจริงใจยิ่ง ไม่มีแววลวนลามแต่อย่างใด ห้าวหาญและสุขุม ท่วงท่ามีภูมิ รับกับดวงหน้าหล่อเหลาร้ายกาจนั้นของเขา มีคุณสมบัติให้ภาคภูมิโดยที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนใจร้ายปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยได้
หลินสวินมองจนปากอ้าตาค้าง ลอบนับถืออยู่ในใจ อย่างน้อยก็เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่า เจ้าคนบ้าระห่ำและดื้อด้านคนนี้ถึงกับไร้ยางอายได้ขนาดนี้!
ซย่าเสี่ยวฉงเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน ค่อนข้างไม่อยากเชื่อ นางลุ่มหลงในรูปโฉมของฟางหลินหานตลอดมา ทว่าตอนนี้เจ้าหมอนี่กลับถึงขั้นจะเรียกร้องความสนใจจากอาจารย์ของนาง!
สิ่งนี้ทำให้นางโกรธมาก ดวงหน้าน้อยไร้เดียงสาแต้มไปด้วยเดือดดาล พึมพำอย่างหัวเสียในใจ ฟางหลินหานหนอฟางหลินหาน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนพรรค์นี้เสียได้!
กลับเห็นอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงวางถ้วยชาลง เรียวปากแดงเรื่อปรากฏเส้นโค้งประหนึ่งยิ้มเยาะขึ้น ดวงตาเรียวชี้คู่นั้นปรายตามองฟางหลินหานแล้วกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม แง่อายุ ข้าเป็นแม่เจ้าก็ยังเหลือเฟือ ในแง่รูปโฉม เจ้าหน้าขาวเช่นเจ้าข้าก็เห็นมามากแล้ว ในแง่ความแข็งแกร่ง ดูแล้วเจ้าก็ไม่เท่าไร แต่เจ้ากลับมีความกล้ามาเกี้ยวข้า ช่างบ้าตัณหา ไร้ซึ่งความกริ่งเกรงเสียจริง”
น้ำสียงของนางเจือแววแหบพร่า แผ่วต่ำและเกียจคร้าน ทั้งที่กำลังยิ้มเยาะและเอ่ยเตือนอยู่แท้ๆ แต่กลับเจือความไพเราะประหนึ่งดึงดูดวิญญาณประการหนึ่ง
หลินสวินลอบเหงื่อตก ถ้อยคำอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงช่างตรงไปตรงมานัก เปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงยอมจำนนอย่างขายขี้หน้าตั้งนานแล้ว
แต่ฟางหลินหานดันไม่ไหวติง รอยยิ้มยังคงเปล่งประกายพาให้ผู้คนมัวเมา แววตามองไปยังหญิงผู้นั้นอย่างจริงใจ และกล่าวจริงจังว่า “ไม่มีอะไรเลย? ไม่สิ ข้ายังมีหัวใจรักหญิงงามหนึ่งเดียวที่ต่างจากผู้อื่น ไร้ซึ่งทัดเทียม ฟ้าดินมียอดหญิงงามมากมายไม่กล่าวถึง ในสายตาของข้า ท่านก็คือสุดยอดหญิงงามที่เจิดจรัสที่สุดในใต้หล้า”
กล่าวถึงตอนสุดท้ายเสียงของเขายิ่งทุ้มต่ำและจริงจังมากขึ้น เจือแววสุจริตใจ “นับประสาอะไรกับในใจข้ารักความงามของท่าน เหตุใดปากต้องแสร้งว่าไม่ชมชอบด้วยเล่า”
‘อย่างนี้ก็ได้ด้วยหรือ’ หลินสวินเบิกตากว้าง ‘ไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง’
‘ชิ! หน็อยแน่เจ้าคนหน้าด้าน คิดไม่ถึงว่าเจ้าฟางหลินหานถึงกับเป็นคนพรรค์นี้!’
แขกบางส่วนบริเวณใกล้ๆ ลอบดูถูก ในใจกลับอิจฉาฟางหลินหานมากที่สามารถพูดคุยกับหญิงงามคนนั้นได้อย่างเปิดเผยและจริงใจเช่นนี้
ส่วนผู้ฝึกปราณบางคนที่อ้างตัวว่าเจนสนามรักก็ได้เปิดโลกทัศน์ ถูกวิธีการของฟางหลินหานกำราบโดยสิ้นเชิง อะไรที่เรียกว่ายอดฝีมือระดับเทพนักรัก ก็นี่อย่างไรเล่า!
คำพูดที่เสแสร้งหวานเลี่ยนปานใด ก็ยังถูกพูดออกมาด้วยเสียงจริงใจและเยือกเย็นได้ แต่ดันไม่ดูเสแสร้งแกล้งทำ มีรูปแบบเป็นของตัวเอง ทำให้ผู้คนต้องร้องอุทาน
กลับเห็นหญิงงามคนนั้นยิ้มน้อยๆ เรียวปากแดงเอิบอิ่มผุดเส้นโค้งสายหนึ่งแล้วกล่าวว่า “อ้อ อย่างนั้นหรือ หัวใจของเจ้าข้ามองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าต้องควักออกมาให้ข้าดูหน่อยหรือ”
ในดวงตาเรียวชี้ที่คลื่นน้ำพราวระยับคู่นั้นของนางก็เปี่ยมแววจริงจังด้วยเช่นกัน ไม่เหมือนการล้อเล่น หมายความตามที่เอ่ย มีกลิ่นอายเหยียดหยามอยู่ในที
คล้ายกำลังบอกว่าลูกไม้เช่นนี้นางเห็นมามากแล้ว ถ้าเป็นแม่นางน้อยคงพอไหว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับยังไม่เพียงพอ
ทว่าสิ่งนี้ไม่ได้กระทบถึงฟางหลินหานแต่อย่างใด พลันเห็นเจ้าหมอนี่หัวเราะอย่างแจ่มใสกล่าวว่า “แม่นาง นี่คือเสียงหัวใจ ถ้าท่านยินดี ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน ให้ท่านได้ฟังชั่วชีวิต หากควักหัวใจออกมาคงเป็นฉากน่าขยะแขยงใหญ่หลวงแล้ว”
“เจ้าไม่กล้า?” หญิงผู้นั้นตรงไปตรงมายิ่งนัก
สีหน้าของฟางหลินหานไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวพลางยิ้มอย่างสุขุม “ไม่กล้า”
บัดนั้นผู้คนทั้งดูถูกและผิดหวัง ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะหน้าด้านแค่ไหน ท้ายที่สุดก็ยังปอดแหกอยู่ดี
อาจารย์ซย่าเสี่ยวฉงเองก็หัวเราะ “เจ้าหนูน้อย ฝีไม้ลายมือเจ้าตื้นเขินเกินไป คิดอยากเกี้ยวข้ายังละอ่อนเกินไป กลับไปฝึกฝนอีกหน่อยเถิด”
กลับเห็นฟางหลินหานทอดถอนใจกล่าว “แม่นางท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าไม่กล้าเพียงเพราะเมื่อทำเช่นนี้แล้ว ข้ายังจะเอาอะไรไปรักท่านเล่า เมื่อนึกว่าหัวใจข้าไม่อยู่แล้ว คงสูญเสียความสามารถในการรักท่าน แม้จะมีชีวิตอยู่ มันจะต่างอะไรกับซากศพเดินได้กันเล่า”
กล่าวถึงตอนสุดท้ายเขาก็ทอดถอนใจอีกครั้ง เอ่ยพึมพำ “โลกใบนี้มีสิ่งใดได้ทั้งสอง ไม่เสียทั้งพุทธองค์ ไม่เสียทั้งนาง”
น้ำคำจริงใจ ท่าทางหว่านเสน่ห์หลงใหลลึกซึ้งเป็นที่สุด
พริบตานี้แม้แต่หลินสวินก็ยังเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง ไม่พูดถึงว่าความแข็งแกร่งของหมอนี่เป็นอย่างไร ลำพังแค่ความสามารถด้านไร้ยางอายอย่างที่สุด ก็ทำให้เขาเลื่อมใสจากใจจริงแล้ว ละอายแก่ใจที่ตนด้อยกว่า
“ฟางหลินหาน! เจ้ามันหน้าด้าน!”
ซย่าเสี่ยวฉงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ตะโกนอย่างโกรธกรุ่นฉุนเฉียว จากนั้นก็หมุนกายเดินไปทางห้องชั้นสองด้วยความโมโห
ประโยคเดียวพลันทำลายบรรยากาศคลุมเครือที่สร้างขึ้นในตอนแรก ทำให้ฟางหลินหานมีท่าทางนิ่งงันไปเล็กน้อย รับมือไม่ทันอยู่บ้าง รีบร้อนยกชาขึ้นดื่มอย่างบ้าคลั่งเพื่อซุกซ่อนความอักอ่วน
หลินสวินเกือบส่งเสียงหัวเราะออกมา ซย่าเสี่ยวฉงไม่เสียแรงที่เป็นซย่าเสี่ยวฉง ประโยคเดียวกระจ้อยร้อย เรียบง่ายหยาบๆ ซัดโจมตีปางตาย สนกลเม็ดเคล็ดวิธีอะไรของท่านอยู่ไย ข้าจะทลายด้วยประโยคเดียว มีอานุภาพรุนแรงแห่ง ‘หนึ่งพลังพังสิบฝ่าย’!
“ดูเอาเถิด ศิษย์ผู้นี้ของข้าทำเอาเจ้าเสียอาการ ยังจะมาเกี้ยวข้า? พ่อหนุ่ม เจ้าออกจะมักใหญ่ใฝ่สูงไปหน่อยแล้ว”
อาจารย์ซย่าเสี่ยวฉงยิ้มบางๆ หยัดกายขึ้นอย่างนวยนาด เรือนร่างอรชรรูปโฉมชวนพิศ ย่างเท้าเดินตามซย่าเสี่ยวฉงออกไป
เพียงแต่ระหว่างทางนางเหลียวหลังมองมายังหลินสวิน ดวงตาพราวระยับงดงาม กล่าวเสียงเบา “ให้เจ้ารอตั้งหลายวัน คิดว่าคงรอจนร้อนรนแล้ว ข้าจะอยู่ในห้องรอเจ้า”
กล่าวจบพลันหมุนกายจากไป
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องแสนธรรมดายิ่งเรื่องหนึ่ง ทว่าเมื่อพูดออกจากเรียวปากเรื่อแดงของนางกลับเจือกลิ่นอายที่ดลให้จิตใจผู้คนไหวกระเพื่อม ทำให้ผู้คนคิดเตลิดเปิดเปิงไม่ขาดสาย
หลินสวินอึ้งงัน ตระหนักได้อย่างว่องไวว่าสีหน้าของผู้ฝึกปราณทั้งหมดในละแวกใกล้เคียงเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้นมา สายตาที่มองมาทางเขาเจือแวววาววับแห่งความประหลาดใจ อิจฉา ริษยา
ส่วนฟางหลินหานกลับมีท่าทางเหมือนได้รู้จักหลินสวินใหม่ จดจ้องมองสำรวจอย่างจริงจังอยู่เป็นนาน คราวนี้จึงถอนหายใจกล่าวด้วยความจริงใจว่า “น้องหลิน เมื่อครู่พี่ใหญ่ทำเรื่องขายหน้า ทำให้เจ้าชมเรื่องตลกเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าต่างหากที่เป็นมือฉมังสนามรักที่คมในฝักที่สุด พี่ชายอย่างข้าทั้งละอายทั้งเลื่อมใสแล้วจริงๆ อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”
มุมปากของหลินสวินกระตุกน้อยๆ อย่างยากสังเกตเห็น เห็นได้ชัดว่าเจ้าสารเลวคนนี้คิดมาก ซ้ำยังเกิดความเข้าใจผิดต่อตนแล้ว!
เพียงแต่ไม่รอหลินสวินอธิบาย ฟางหลินหานก็ตบบ่าเขาเบาๆ กล่าวทอดถอนใจว่า “ไม่ต้องอธิบาย พี่ใหญ่อย่างข้าเข้าใจทั้งหมด บุปผาเบ่งบานถึงเพลาย่อมควรเด็ดดอม ไปเถิด อย่าปล่อยให้สาวงามรอนาน ประเดี๋ยวจะเสียช่วงเวลาดีงามแสนยิ่งใหญ่นี้”
หลินสวินมองท่าทางเปลี่ยวเปล่าเศร้าโศกของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกอยากซัดคนขึ้นมาอย่างแรงกล้า เจ้าหมอนี่คิดไปถึงไหนแล้ว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ตัดสินใจไม่สนใจเจ้าสารเลวคนนี้ ก่อนหมุนกายจากไป
กลับได้ยินฟางหลินหานยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทอดถอนใจปลงอนิจจัง “ไม่ว่าการเกิดการตายและความไม่เที่ยง จมลึกในสิเน่หาเกินไปทำลายหนทางแห่งมรรค ฉลาดล้ำจำอวดใช้ผิดทาง เฮ้อ ข้ามัวแต่งุนงงหลงทางได้อย่างไร…”
ฝีเท้าหลินสวินโงนเงนเกือบหัวทิ่ม ข่มกลั้นแรงปรารถนาในการเหลียวหลังมอง เป็นห่วงว่าครั้นตนมองเหลียวหลังไป อาจจะอดไม่ไหวฆ่าเจ้าสารเลวจอมเสแสร้งเป็นที่สุดคนนี้
และยามที่เงาหลังของหลินสวินหายเข้าไปในห้อง ผู้ฝึกปราณในโรงเตี๊ยมพลันเหยียดกายลุกขึ้น ปรบมือกล่าวชื่นชม “วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าอะไรคือเทพนักรัก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โอบหญิงงามกลับเสียแล้ว สิ้นเรื่องก็สลัดอาภรณ์จากไป ชื่อเสียงความสำเร็จซ่อนไว้อย่างลุ่มลึก ประหนึ่งลมวสันต์ผันผ่านสู่ราตรี ยังความชุ่มชื้นแก่สรรพสิ่งโดยไร้สำเนียง”
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างเห็นด้วยสุดซึ้ง
หญิงงามเลิศล้ำไร้ที่เปรียบประหนึ่งล่มเมืองล่มแคว้นคนหนึ่ง กลับถูกเด็กหนุ่มเชื้อเชิญเข้าห้องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง สิ่งนี้ยากทำให้ผู้คนไม่คิดชื่นชม
และเมื่อเปรียบเทียบกัน พฤติกรรมเจ้าชู้ของฟางหลินหานเมื่อครู่ก็เห็นได้ชัดว่าพยายามและเสเสร้ง ร่องรอยชัดเจนเกินไป จึงตกสู่สภาพเป็นรอง
อะไรที่เรียกว่ามือฉมังนักรัก ก็นี่อย่างไรเล่า!
……
หลินสวินเดินเข้าห้อง ก็เห็นหญิงผู้นั้นนั่งอยู่หน้าโต๊ะอย่างเกียจคร้าน แขนดั่งรากบัวหิมะข้างหนึ่งเท้าใบหน้าเอาไว้ ดวงตาเรียวชี้ที่สว่างพราวและงามวิไลมองสำรวจเขา กล่าวรำพึงรำพัน “ให้ข้าเดา พ่อหนุ่ม เกรงว่าเจ้าคงเป็นเด็กอ่อนหัดในสนามรักคนหนึ่ง ไม่เคยลุ่มหลงรักใครอย่างแท้จริง”
ประโยคเดียวก็เปิดโปงรายละเอียดของหลินสวินเสียแล้ว นี่ถ้าหากผู้ฝึกปราณในโรงเตี๊ยมเหล่านั้นได้ยินเข้า กลัวว่าคงไม่พ้นต้องหลั่งน้ำตานองหน้าเป็นแน่
บุคคลระดับเทพนักรักที่ได้รับการเทิดทูนบูชาจากพวกเขา ไฉนจึงเป็นแค่เด็กอ่อนหัดคนหนึ่ง
ช่างทำให้มุมมองของผู้คนพังทลายเกินไปแล้ว!
หลินสวินรู้สึกอักอ่วนระลอกหนึ่งเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาถูกฟางหลินหานเข้าใจผิดจนคิดอยากฆ่าคน แต่ตอนนี้ถูกหญิงผู้นี้เปิดโปงตื้นลึกหนาบางซึ่งๆ หน้า จึงชักเริ่มปั้นหน้าไม่ไหว นึกอยากพุ่งชนประตูออกไปอีกครั้ง
หญิงงามเป็นเหตุแห่งเภทภัย งามล่มแคว้นล่มแดนจริงๆ ด้วย!
เพราะผู้หญิงคนนี้ ฟางหลินหานเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน แลดูตกประหม่า และก็เพราะผู้หญิงคนนี้ ทำให้ตนตกที่นั่งลำบาก!
ตอนที่ 795 ป้ายคำสั่งเซียนเหิน
ProjectZyphon
รอยยิ้มตรงมุมปากของนางหุบลง ไม่ได้ทำให้หลินสวินรู้สึกลำบากใจอีกต่อไป กล่าวว่า “พ่อหนุ่ม นั่งลงเถิด เวลาของข้ามีไม่มาก พวกเรามาใช้จังหวะนี้พูดคุยกันให้เต็มที่”
ยามสิ้นเสียง กลิ่นอายทั่วร่างนางพลันเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ยังดุจดังหญิงงามล้ำไร้ที่เปรียบผู้ล่มแคว้นล่มเมือง รูปโฉมชวนพิศพาให้ผู้คนหลงใหลอยู่เลย
ทว่ายามนี้กลับเปี่ยมด้วยกลิ่นอายพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ คิ้วตาคมขรึม สงบนิ่งสำรวม มีกลิ่นอายมองโลกอย่างปรุโปร่ง หลุดพ้นเหนือโลกีย์โดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของหลินสวินสั่นสะเทือน ตระหนักได้ว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงจะต้องเป็นคนที่น่ากลัวทรงพลังเป็นที่สุดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน!
หลินสวินไม่ได้เกรงใจ นั่งลงด้านข้างตามอัธยาศัย สายตาชำเลืองมองปราดหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ คราวนี้จึงพบว่าซย่าเสี่ยวฉงนอนแผ่กายหลับอยู่บนเตียงนานแล้ว
“ข้านามว่าลิ่นเหวินจวิน มาจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะถูกเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้า ดังนั้นจึงได้มาพบเจ้าในเวลานี้”
ลิ่นเหวินจวินแนะนำตัวเองหนึ่งหนแล้วกล่าวว่า “ได้ยินเสี่ยวฉงบอกว่าเจ้าจะไปแดนชัยบูรพาหรือ”
หลินสวินพยักหน้า
“หากจะมุ่งหน้าไปแดนชัยบูรพาจำเป็นต้องข้ามผ่านอุปสรรคกฎเกณฑ์ของโลก มีเพียงอริยบุคคลที่ควบคุมกฎแห่งห้วงอากาศเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านไปได้อย่างอิสระ”
เสียงของลิ่นเหวินจวินราบเรียบ เอ่ยวาจาเนิบนาบ “ส่วนผู้ฝึกปราณทั่วไปคิดจะมุ่งสู่แดนชัยบูรพา มีเพียงสองหนทาง”
“หนึ่ง ลงมือด้วยตัวเอง เดินทางบนถนนกั้นแดนแตกร้าวที่อยู่ระหว่างเขตแดนโลก แต่ถนนกั้นแดนอันตรายปั่นป่วนมากที่สุด แม้เป็นอริยบุคคลเดินอยู่ในนั้นก็ยังพบเจออันตรายมากมาย เรียกได้ว่าเก้ามรณาหนึ่งรอดพ้น”
หลินสวินพยักหน้า หลายวันมานี้เขาเองก็เคยสืบถามมา สิ่งที่เรียกว่า ‘ถนนกั้นแดน’ ก็คือทางผ่านระหว่างโลกสู่โลก ภยันตรายล้นเหลือ เปี่ยมด้วยภัยธรรมชาติและพิบัติเคราะห์แสนเข็ญที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยทั่วไปแล้วนอกจากพวกไม่สนเป็นตายก็ไม่มีใครเลือกข้ามแดนด้วยวิธีนี้
“วิธีที่สองก็คืออาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ก็สามารถย้ายจากแดนฐิติประจิมไปถึงแดนชัยบูรพาได้โดยสวัสดิภาพ”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวต่อว่า “เพียงแต่วิธีนี้ดูเหมือนเรียบง่าย ทว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปกลับไม่มีคุณสมบัติจะยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณได้เลย อย่างไรเสียค่ายกลโบราณระดับนี้อริยุบคคลก็เป็นผู้จัดวาง การใช้งานเพียงครั้งเดียวจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแกนวิญญาณขั้นสูงจำนวนมหาศาล”
“ไม่เพียงเท่านี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถไปแดนชัยบูรพาได้ ทั่วทั้งแดนฐิติประจิมมีเพียงสิบกว่าแห่งเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือของสำนักโบราณ ใช่ว่าใครจะสามารถยืมใช้งานได้ตามอำเภอใจ”
เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้ หัวคิ้วของหลินสวินขมวดมุ่นโดยพลัน การไปแดนชัยบูรพาไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิดขนาดนั้นจริงๆ ด้วย
“กล่าวโดยสรุป หากคิดอยากยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ อย่างแรก จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักโบราณหนึ่งแห่ง สอง จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเหลือคณา”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาเรียวชี้คู่นั้นจับจ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้ดี การชำระค่าใช้จ่ายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ปัญหายากอย่างแท้จริงมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือได้รับความยินยอมจากสำนักโบราณแห่งหนึ่ง”
หลินสวินพยักหน้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ทันใดนั้นหัวใจของเขาพลันกระตุกคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะทางสว่างแก่ผู้น้อยได้หรือไม่”
จากที่เขาดู อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงปล่อยให้เขารอตั้งหลายวันขนาดนี้ น่าจะไม่ใช่เพียงพูดเรื่องสัพเพเหระเหล่านี้
ดังคาด มุมปากลิ่นเหวินจวินผุดเส้นโค้งหนึ่งสาย กล่าวว่า “อาจเรียกไม่ได้ว่าชี้แนะ ข้าให้เจ้ารอนานหลายวันเช่นนี้ อันที่จริงก็แค่อยากดูเสียหน่อยว่าเจ้าควรค่าให้ข้าทำเช่นนี้หรือไม่ ตอนนี้ดูแล้ว เจ้าฝืนผ่านด่านไปได้แล้ว”
หลินสวินลอบเหงื่อตกอยู่ในใจ นี่ก็ต้องทำการทดสอบด้วยหรือ หญิงผู้นี้กระทำการใดผู้คนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันจริงๆ
“รับปากข้าหนึ่งเรื่อง พาเสี่ยวฉงไปเขาบรรพตเขียวของแคว้นหงส์สถิต รอเมื่อถึงที่นั่นแล้วย่อมมีคนช่วยเจ้าจัดเตรียมการเดินทางสู่แดนชัยบูรพา”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวถึงตรงนี้พลันเหยียดกายนั่งหลังตรง ท่าทางเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
แคว้นหงส์สถิต? เขาบรรพตเขียว?
หลินสวินไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นี้มาก่อน ทว่าดูจากท่าทางเคร่งขรึมของลิ่นเหวินจวิน กลับทำให้เขาตระหนักได้ว่าหากตนปฏิเสธ อีกฝ่ายจะต้องผิดหวังเป็นที่สุดแน่นอน
“แน่นอน หากเจ้าปฏิเสธก็ไม่เป็นไร เพียงแต่…”
ทันใดนั้นลิ่นเหวินจวินพลันถอนใจหนึ่งเฮือก เรียวคิ้วมุ่นขึ้น เรียกได้ว่าบนรูปโฉมงามทรงเสน่ห์ปานล่มเมืองมีความจนใจและเศร้าหมองอย่างที่สาธยายไม่ได้ ไม่ว่าชายใดได้เห็นอาการเช่นนี้ของนาง เกรงว่าทุกคนคงบังเกิดความสงสารในหัวใจทั้งสิ้น
สักพักนางจึงได้สติ กล่าวเสียงเบา “อันที่จริงข้าก็ไร้หนทาง เดิมทีคิดว่าหลายวันมานี้จะสามารถค้นพบวิธีคลี่คลาย นึกไม่ถึงเลยว่าศัตรูจะตัดทางเลือกทั้งปวงของข้า ทำให้ข้าไม่มีทางล่าถอยอีก สำหรับแผนปัจจุบัน ก็มีเพียงแผนโง่เขลานี้เท่านั้นแล้ว”
ศัตรู!
ไม่มีทางล่าถอย!
หลินสวินรับรู้ได้อย่างว่องไวว่าสถานการณ์ของลิ่นเหวินจวินอาจจะมาถึงขั้นอับจนหนทางแล้วก็เป็นได้ ภายใต้ความจนปัญญาถึงได้เลือกฝากฝังซย่าเสี่ยวฉงไว้กับคนแปลกหน้าอย่างตน
นิ่งเงียบสักพักหลินสวินก็ตกปากรับคำ “เสี่ยวฉงเป็นเพื่อนคนแรกที่ข้าได้พบในแคว้นวิญญาณอัคนี ในเมื่อผู้อาวุโสไหว้วาน ข้าย่อมเห็นเป็นหน้าที่ไม่อาจบอกปัด”
ไม่เพียงทำเพราะได้รับความช่วยเหลือในการเดินทางไปแดนชัยบูรพา ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงซย่าเสี่ยวฉง ทำให้หลินสวินไม่สามารถนั่งนิ่งดูดายได้
เห็นหลินสวินรับปากอย่างเต็มใจเช่นนี้ ทำให้ลิ่นเหวินจวินอดรู้สึกผิดคาดไม่ได้ นัยน์ตาฉายแววโล่งอก ทว่าจากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “เจ้าฟังข้าให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจดีกว่า ในนี้มีภยันตรายมากมาย ย่อมไม่อาจปกปิดเจ้า”
ตั้งแต่ยุคบรรพาล เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวก็มีศัตรูเก่าเผ่าหนึ่ง… เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
จิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว สุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สองเผ่าพันธุ์ใหญ่ดุจดั่งน้ำกับไฟ ต่างฝ่ายต่างเข่นฆ่ากันไม่สิ้น ความบาดหมางฝังลึกสะสมมาหลายชั่วอายุ ไม่สามารถสลายได้สักนิด
เพียงแต่จนถึงปัจจุบัน เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวได้ล่มสลายแล้ว คนในเผ่าเบาบางประปราย อิทธิพลไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน มิได้รุ่งเรืองดั่งสมัยบรรพกาลแล้ว
กระทั่งเพื่อความอยู่รอด เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวไม่อาจไม่หลบซ่อน ใช้ชีวิตตรากตรำเสี่ยงภัยอย่างที่คนนอกไม่สามารถจิตนาการได้
ย้อนมองเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ กลับต่างจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาหยัดยืนมาจนถึงทุกวันนี้ อิทธิพลยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รากฐานมั่นคงแข็งแกร่ง ผู้มีพรสวรรค์มากมาย ยอดฝีมือดั่งเมฆินทร์ เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ในฐานะศัตรูเก่าคู่อาฆาต สถานการณ์เอาตัวรอดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวที่แต่เดิมก็ล่มสลายและโรยราอยู่แล้ว แค่คิดก็รู้ว่าจะตรากตำเพียงใด
ลิ่นเหวินจวินก็มาจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว เดิมทีนางยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าสำนักแห่งสำนักยุทธ์กลุ่มดาว แต่ไม่ทราบว่าข่าวรั่วไหลได้อย่างไร ทำให้ตัวตนของนางถูกเปิดเผย เรียกความสนใจของศัตรูเก่าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ
เมื่อสิบกว่าวันก่อน ลิ่นเหวินจวินก็เคยถูกยอดฝีมือที่เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬส่งมาปิดล้อมเอาไว้ จนเกือบถูกจับตัวไป
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง ศัตรูของข้าคือเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ นี่เป็นอิทธิพลยิ่งใหญ่น่ากลัว ปกคลุมทั่วสารทิศในดินแดนรกร้างโบราณ หากเจ้ารับปากเรื่องนี้ก็อาจจะพลอยติดร่างแห ถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬล้างแค้นเอาได้”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวเสร็จก็มองหลินสวินเงียบๆ นางตัดสินใจไว้แล้ว แม้ว่าหลินสวินไม่รับปาก นางก็จะช่วยเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้สักแรง
การทดสอบของซย่าเสี่ยวฉงที่ภูเขาโคม่วงนางได้ยินมาก่อนแล้ว รู้ดีว่าหากไม่ได้หลินสวิน ซย่าเสี่ยวฉงอาจจะประสบอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้มากมาย
สายตาของหลินสวินมองไปทางซย่าเสี่ยวฉงที่นอนหลับอยู่บนเตียง นึกถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาได้พบระหว่างทางกับซย่าเสี่ยวฉงตั้งแต่มาถึงดินแดนรกร้างโบราณ มุมปากผุดรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งขึ้นมา
นี่คือเด็กสาวที่ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ ซุกซนและน่ารักคนหนึ่ง ขาวสะอาดจนเหมือนกับกระจกแก้วกระดาษขาว
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ซย่าเสี่ยวฉงเป็นเพื่อนคนแรกที่เขาได้พบหลังจากเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ!
นี่มันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์อะไร หลินสวินก็ไม่อาจกอดอกชมดูอยู่เฉยๆ เป็นแน่
ดังนั้นยามเขาเก็บสายตากลับมา ก็ตกลงรับหน้าที่เรื่องนี้อย่างสงบนิ่ง เขาเข้าใจภัยอันตรายในนั้น แต่ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ
ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ เขาคือเด็กกำพร้าตัวคนเดียว ย่อมไม่กริ่งเกรงผู้ใด ยิ่งกว่านั้นในบรรดาศัตรูคู่อาฆาตของเขามีสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ และอื่นๆ อีกมากมาย
ดังคำกล่าวที่ว่ามีเหามากแล้วไม่กลัวคัน คนเปลือยเท้าไม่กลัวผู้สวมรองเท้า หลินสวินไม่สนใจด้วยซ้ำว่าด้วยเหตุนี้จะไปล่วงเกินขุมอำนาจอีกหนึ่งเผ่า
“เจ้าแน่ใจหรือ”
ลิ่นเหวินจวินทำใจแล้วว่าจะถูกหลินสวินปฏิเสธ ทว่าคิดไม่ถึงจริงๆ หลังจากหลินสวินรู้เหตุผลทั้งหมดนี้แล้วยังคงตกปากรับคำอย่างเยือกเย็นเช่นนี้อยู่ดี
หลินสวินยิ้มแล้ว “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้าเหมือนกำลังล้อเล่นอยู่หรือ”
“เพราะอะไร” ลิ่นเหวินจวินอึ้งงัน ดูเหมือนได้รู้จักหลินสวินใหม่อีกครั้งไม่มีผิด
“ข้ามีน้องสาวคนหนึ่งชื่อซย่าจื้อ”
หลินสวินเอ่ยเหตุผลประหลาดอย่างหนึ่งออกมา ทั้งยังกล่าวอย่างจริงจังมากว่า “เสี่ยวฉงก็แซ่ซย่า นี่ก็คือโชคชะตา สวรรค์ลิขิตไว้แต่แรกแล้วว่าควรมีเหตุและผลเช่นนี้ หากข้าปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าจะผิดประสงค์ของสวรรค์หรอกหรือ”
ดวงตาเรียวชี้ของลิ่นเหวินจวินทอประกายแวววาว ดุจดั่งคลื่นวสันต์ว่ายเวียน งามพิลาศเหนือสรรพสิ่ง นางคล้ายซาบซึ้งยิ่ง สักพักกว่าจะกล่าวคำเนิบช้าออกมา “โชคของเสี่ยวฉงดีกว่าข้า อย่างน้อยนางก็ได้พบชายที่ควรค่าแก่การฝากฝัง ส่วนข้า… อย่าเอ่ยถึงดีกว่า”
นางคล้ายนึกถึงอดีตอันสุดแสนจะทานทนบางอย่างขึ้นมา
ส่วนหลินสวินก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ อะไรคือควรค่าแก่การฝากฝัง?
แต่ว่าลองคิดดูแล้ว หลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดซย่าเสี่ยวฉงมักชอบเอาคำพูดของอาจารย์นางมาหักล้างโต้แย้งตน
ก่อนหน้านี้ลิ่นเหวินจวินจะต้องเคยถูกทำร้ายจิตใจมามากเป็นแน่!
“รับป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นนี้ไป”
จู่ๆ ลิ่นเหวินจวินก็ล้วงป้ายคำสั่งหนึ่งอันออกมาหลังจากลังเลเล็กน้อย ก่อนยื่นให้หลินสวิน “อย่าปฏิเสธเลย เจ้ายึดมั่นเที่ยงธรรม ข้าเองก็ไม่อาจไม่ตอบแทน ถือเสียว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นน้ำใจส่วนหนึ่งจากข้าแล้วกัน”
ป้ายคำสั่งนี้ประดุจตีหลอมมาจากหยกมันแพะ ขนาดเท่าฝ่ามือ รัศมีสีเขียวอ่อนหลายสายอาบไล้ แสงแวววาวดั่งหยกมรกต
มองเห็นได้รำไรว่าในป้ายคำสั่งนั้นรายล้อมด้วยไอเซียน ละอองแสงดุจเหาะเหิน ถึงขนาดมีกลิ่นอายประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าลึกลับและไม่ธรรมดา
ป้ายคำสั่งเซียนเหิน?
หัวใจของหลินสวินสั่นสะเทือน ป้ายคำสั่งหยกชิ้นนี้ถึงขั้นกล้านำคำว่า ‘เซียนเหิน’ มาตั้งชื่อ นี่มันผิดธรรมดามากเกินไปแล้ว!
พริบตานั้นเขาก็สรุปได้ว่าป้ายคำสั่งนี้จะต้องประเมินมูลค่าไม่ได้ มีที่มาน่าทึ่งเป็นที่สุดอย่างแน่นอน!
ดังคาด ครู่ต่อมาลิ่นเหวินจวินก็สื่อจิตกล่าวว่า ‘เจ้าจะต้องดูแลรักษาของสิ่งนี้ให้ดี อย่าเผยออกไปง่ายๆ เด็ดขาด มันเป็นถึงสมบัติลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้า และเกี่ยวข้องกับความลับยิ่งใหญ่ของ ‘แหล่งสถานคุนหลุน’ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล แม้แต่อริยะได้พบเห็น ก็จะต้องบังเกิดความละโมบอยากฆ่าคนเพื่อชิงสมบัติ!’
ตอนที่ 796 คลื่นใต้น้ำซัดโถม
ProjectZyphon
ป้ายคำสั่งเซียนเหินเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน!
หัวใจของหลินสวินสั่นไหว ไม่อาจสงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง ชั่วขณะในสมองพลันหวนนึกถึงมรรคคาถาที่ได้รับมาจากคีรีแห่งดวงกมลบทนั้นขึ้นมา
ยาตรานภสินธุ์ ย่ำแดนดินคุนหลุนผา เกี่ยวตะวันแลจันทรา กอบกุมไว้ทั่วอัมพร ข้าจากมรรตยะ เคาะประตูสู่อมร ทางเร้นเห็นสันดร มรรคประทานผู้มีบุญ
ตามคำบอกกล่าวของเจ้าคางคก มรรคคาถาลึกลับบทนี้ต้องซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่สะเทือนสวรรค์เอาไว้เป็นแน่ อีกอย่างเจ้าคางคกเคยวิเคราะห์ว่าประโยคแรกของมรรคคาถาบทนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน!
แหล่งสถานคุนหลุน หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาลอันลึกลับที่สุด ทั้งยังถูกขนานนามว่าแดนเทพ ตามตำนานหากคิดปีนป่ายคุนหลุน จะต้องผ่าน ‘เส้นทางโบราณนภสินธุ์’ ที่ทอดข้ามความว่างเปล่าโดยรอบ
แต่เจ้าของมรรคคาถาบทนั้น กลับมองเส้นทางโบราณนภสินธุ์เป็นเพียงรองเท้าข้างหนึ่งที่ใช้เยื้องย่างเข้าคุนหลุน ลำพังแค่กลิ่นอายความยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็เห็นได้ว่าพลังปราณของเจ้าของมรรคคาถาบทนี้น่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
หลินสวินยังจำได้ดีถึงอาการถอนหายใจปลงตกในตอนนั้นของเจ้าคางคก กล่าวว่าแหล่งสถานคุนหลุนลึกลับยิ่งกว่าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ลือกันว่ามีความเกี่ยวข้องกับมรรคาเซียนที่แท้จริง แม้จะเป็นอริยบุคคลบรรพกาล ก็แทบไม่มีใครได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของคุนหลุนเลยสักแวบ!
ทำให้แหล่งสถานคุนหลุนยิ่งลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจมองเห็นได้ดุจดั่งปาฏิหาริย์
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่า ป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นนี้ที่ลิ่นเหวินจวินนำออกมาถึงขนาดเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว
แม้จะเป็นหลินสวิน ชั่วขณะนี้ก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้
หากเป็นจริงตามที่ลิ่นเหวินจวินบอก ว่าป้ายคำสั่งเซียนเหินนี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว เช่นนั้นของสิ่งนี้ย่อมเป็นสมบัติล้ำ ประเมินมูลค่าไม่ได้ชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
ก็ไม่แปลกที่ลิ่นเหวินจวินพูดว่าอริยะเห็นแล้วต้องตาร้อน พุ่งเข้ามาฆ่าคนชิงสมบัติ นี่เป็นถึงสมบัติที่เกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน กลัวว่าแม้แต่เทพไท้ตัวจริงเมื่อเห็นเข้าคงใจระส่ำเช่นกันแน่!
“เท่าที่ข้ารู้ บนโลกใบนี้น่าจะมีป้ายคำสั่งเซียนเหินอยู่เก้าชิ้น นอกจากชิ้นนี้แล้ว ในเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก็มีหนึ่งชิ้น ที่แดนชัยบูรพามีสำนักโบราณนาม ‘แดนพิสุทธ์บงกช’ เรียกได้ว่าเป็นสุขาวดีน้อยก็มีหนึ่งชิ้น ส่วนชิ้นที่เหลือจนป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าตกไปอยู่ในมือใคร”
ท่าทางลิ่นเหวินจวินเจือความซับซ้อนเสี้ยวหนึ่ง “สมัยบรรพกาล ความแค้นระหว่างเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้ากับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ก็ปะทุขึ้นเพราะของสิ่งนี้!”
หลินสวินอึ้ง กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไป หากมอบให้ข้าเกรงว่าจะไม่ใคร่เหมาะกระมัง”
เขาไหวหวั่นมากจริงๆ ควรรู้ว่าในเจดีย์สมบัติไร้อักษรของเขายังซ่อน ‘มรรคคาถา’ ลึกลับบทหนึ่งซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน!
หากได้ป้ายคำสั่งเซียนเหิน จากนี้ไปขอเพียงมีโอกาสเข้าใกล้แหล่งสถานคุนหลุน จะต้องสามารถมองเห็นโฉมหน้าแท้จริงได้แน่!
แต่ว่าเขารู้ดีเช่นกัน ป้ายคำสั่งลึกลับชิ้นนี้ร้อนลวกมือมาก ล้ำค่าและไม่ธรรมดาเกินไป หากรับเอาไว้ น้ำใจที่ติดค้างก็มากเกินไปแล้ว
ลิ่นเหวินจวินยิ้มหยัน “กาลเวลาอันไร้สิ้นสุดผ่านไปมากมายแล้ว จนบัดนี้เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้าเกือบดับสูญ ก็ยังไม่เคยค้นพบความลับแท้จริงของป้ายคำสั่งเซียนเหินนี้ได้เลย แม้มันจะอยู่ในมือข้าก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักนิด กระทั่งอาจจะถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬชิงไป แทนที่จะให้พวกเขาเอาเปรียบ ไม่สู้ยกให้เจ้ายังดีเสียกว่า”
กล่าวเสร็จนางหยัดกายขึ้น ทอดสายตามองสีรัตติกาลนอกหน้าต่าง คิ้วดำขลับคู่นั้นพลันมุ่นขึ้นพลางกล่าวว่า “หลินสวิน อย่ามัวโอ้เอ้ เจ้าพาเสี่ยงฉงไปเดี๋ยวนี้เลยเถิด ข้าเป็นห่วงว่า… อีกไม่นานพวกเศษสวะหมาทมิฬที่จมูกไวพวกนั้นก็จะไล่ตามมาแล้ว”
หัวใจของหลินสวินเย็นเยียบ ไม่กล้าคิดวุ่นวายอีก กล่าวว่า “ผู้อาวุโส พวกเราจากไปพร้อมกันได้”
ลิ่นเหวินจวินส่ายหน้า “ข้าต้องอยู่ต่อเท่านั้นจึงจะถ่วงเวลาหนีให้พวกเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจจากไปกันทั้งหมด”
กล่าวถึงตรงนี้นางก็หมุนกายหันมอง จับจ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ไปเถิด ยิ่งไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี เมื่อถึงเขาบรรพตเขียวที่แคว้นหงส์สถิตแล้วพวกเจ้าก็จะปลอดภัย จำเอาไว้ จะต้องคุ้มครองเสี่ยวฉงให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้นางตกสู่เงื้อมมือเศษสวะหมาทมิฬพวกนั้นได้เด็ดขาด!”
นี่เหมือนกับการฝากฝังสั่งความครั้งสุดท้ายไม่มีผิด ทำให้ในใจหลินสวินหนักอึ้งอยู่บ้าง
เขาไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ หญิงที่สง่างามไร้ทัดเทียม รูปโฉมงดงามเรียกได้ว่าล่มแคว้นล่มเมืองอย่างลิ่นเหวินจวิน สถานการณ์ของนางกลับอันตรายและบีบคั้นเช่นนี้
และคิดไม่ถึงเลยว่า เพราะซย่าเสี่ยวฉง นางถึงขนาดยอมเลือกอยู่ต่อ…
เห็นได้ชัดว่านางเตรียมใจเสียสละเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!
……
รัตติกาลมืดสนิท บนท้องถนนคลาคล่ำเหมือนอดีต โคมไฟดุจดั่งมังกร
ในโรงน้ำชากลิ่นอายเก่าแก่แห่งหนึ่งที่อยู่เยื้องกับโรงเตี๊ยม โม่เฟิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยอาการแน่นิ่ง น้ำชาในถ้วยเย็นชืดแล้วแต่เขากลับไม่รู้ตัว
เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยดื่มมันเลยสักคำ
สภาพจิตใจหนักอึ้ง นี่คือสภาพคร่าวๆ ของโม่เฟิงในเวลานี้
‘ใครจะไปคาดคิด ความแข็งแกร่งของเจ้านั่นถึงกับน่ากลัวได้ขนาดนี้…’
ในสมองหวนนึกถึงทุกๆ ฉากที่ได้เห็นบนลานประลองยุทธ์หมอกสนในวันนี้ และยังคงทำให้โม่เฟิงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอย่างหนึ่ง
อะไรคือผู้กล้าไร้เทียมทาน
เมื่อก่อนโม่เฟิงก็เคยได้ยินมาไม่น้อย ทว่าจนบัดนี้เขาเพิ่งได้เห็นกับตาตัวเอง ความสง่างามของผู้กล้าไร้เทียมทานที่แท้จริง!
ในโรงน้ำชา ไม่ขาดแคลนผู้ฝึกปราณ ต่างพูดคุยอย่างออกรสเกี่ยวกับศึกประลองบันลือโลกฉากนั้นในวันนี้ และคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของหลินสวินและเด็กสาวชุดดำไม่ขาดสาย
หัวใจโม่เฟิงไหววูบ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากข้าโพล่งออกไปในตอนนี้ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่พวกเขาพูดถึงกันตอนนี้ก็อยู่ในโรงเตี๊ยมตรงข้ามเยื้องออกไปนี่เอง จะสร้างความฮือฮาที่ยากจะคาดเดาฉากหนึ่งขึ้นหรือไม่
บางทีโรงเตี๊ยมนั้นอาจจะถูกกลุ่มคนผู้บ้าคลั่งเหยียบราบเลยกระมัง
ยิ่งคิดโม่เฟิงก็ยิ่งละเหี่ยใจ เดิมทีเขาก็นับว่าเป็นคนมากสามารถในหมู่คนรุ่นใหม่แห่งสำนักมุกวิญญาณ มีตำแหน่งและฐานะที่ทำให้ผู้คนอิจฉา มีเส้นทางในอนาคตที่เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
ทว่า…
ทุกอย่างที่ได้เห็นในวันนี้กลับทำให้โม่เฟิงได้สติตื่นอย่างรุนแรงว่า ตัวเองก่อนหน้านี้ก็แค่กบในกะลาที่น่าสงสารตัวหนึ่งเท่านั้น!
ทันใดนั้นเงาร่างผอมเพรียวสายหนึ่งนั่งลงฝั่งตรงข้าม ทำให้โม่เฟิงตะลึงงัน สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิดฟุ้งซ่าน
คนผู้นั้นสวมชุดดำทั้งตัว บนหน้ายังสวมหน้ากากสีเงินเอาไว้อันหนึ่ง มีท่าทางลึกลับอย่างเห็นได้ชัด นี่คือชุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วนครเตโชในคืนนี้ ทุกคนต่างเลียนแบบเด็กสาวชุดดำคนนั้นทั้งสิ้น
เพียงแต่บนร่างของคนชุดดำที่สวมหน้ากากอยู่ตรงหน้าผู้นี้ กลับทำให้โม่เฟิงรู้สึกว่าค่อนข้างตลกและบ้าบอ กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงเลียนแบบคนหนุ่มสาวพวกนั้นเสียแล้ว”
คนชุดดำที่อยู่ตรงข้ามผู้นั้นก็คือหานเหยียนเชวีย อาจารย์ของโม่เฟิงนั่นเอง!
“ก็แค่ปกปิดตัวตนเท่านั้นเอง” หานเหยียนเชวียกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
โม่เฟิงแน่นิ่ง จากนั้นในใจพลันขนพองสยองเกล้าขึ้นมา นึกรู้ว่าเพราะอะไรต้องปกปิดตัวตนไว้ ง่ายดายมาก นั่นก็เพราะจะเริ่มลงมือปฏิบัติการลับบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้เป็นแน่
และปฏิบัติการนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่อยู่ในโรงเตี๊ยมเยื้องออกไปคนนั้น!
ดังคาด โม่เฟิงทายถูกแล้ว ด้วยครู่ต่อมาหานเหยียนเชวียเอ่ยปาก “ครั้งนี้เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสทั้งเจ็ดจะร่วมกันลงมือ อีกอย่างท่านผู้ก่อตั้งจะมาบัญชาการด้วยตัวเอง กล่าวได้ว่าทุกอย่างพร้อมพรัก ขาดแต่ลมบูรพา จริงสิ สถานการณ์ทางฝั่งเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ท่านผู้ก่อตั้งก็จะลงมือด้วย!
หัวใจของโม่เฟิงสั่นสะท้าน ท่านผู้ก่อตั้งสำนักมุกวิญญาณมีเพียงคนเดียว นั่นก็คือซุนฮวน ราชันกึ่งระดับผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรทั่วแคว้นวิญญาณอัคนีนั่นเอง!
นี่คือสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้เลื่องชื่อลือชาในบรรดาสี่สำนักสามตระกูล ว่ากันว่าอีกเพียงนิดเดียวก็สามารถเข้าสู่ระดับราชันแท้จริง
ขณะเดียวกันซุนฮวนก็เป็นเสาหลักของสำนักมุกวิญญาณ มีเขาอยู่ จึงทำให้สำนักมุกวิญญาณสามารถรวมอยู่ในรายชื่อของสี่สำนักสามตระกูล
เพียงแต่โม่เฟิงคิดไม่ถึงเลยสักนิด เพื่อรับมือกับเด็กหนุ่มคนนั้น ถึงขนาดทำให้ท่านผู้ก่อตั้งซุนฮวนต้องลงมือเอง!
หากสิ่งนี้แพร่ออกไป คงไม่พ้นเกิดคลื่นลมคับฟ้าขึ้นเป็นแน่
“โม่เฟิง!” หานเหยียนเชวียมุ่นคิ้วน้อยๆ สังเกตได้ว่าโม่เฟิงเหม่อลอย จึงทำให้เขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์
โม่เฟิงสะดุ้งร้องอ๊ะคราหนึ่ง ฝืนบังคับความสั่นสะท้านในใจเอาไว้แล้วกล่าวว่า “เรียนอาจารย์ ปัจจุบันเด็กคนนี้อยู่ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลขอรับ”
ท่าทีหานเหยียนเชวียอ่อนลง พยักอย่างพึงพอใจ “เจ้าทำได้ไม่เลว”
“เพียงแต่…” โม่เฟิงลังเลเล็กน้อย
“เพียงแต่อะไร” หานเหยียนเชวียมุ่นคิ้ว ไฉนเพิ่งชมเชยไปประโยคเดียว เจ้าศิษย์ผู้นี้ของตนถึงเปลี่ยนไปจนเรรวนปรนแปรเช่นนี้ และดูไม่เข้าทีมากเหลือเกิน
โม่เฟิงกัดฟันแน่น บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับศึกในวันนี้ให้หานเหยียนเชวียฟัง
หานเหยียนเชวียไม่ใช่คนโง่ ยามย้อนกลับมานครเตโชเขาก็ได้ยินเรื่องศึกดังกล่าวแล้ว อย่างไรเสียผลกระทบของมันก็ใหญ่หลวงเกินไป ทุกหัวระแหงต่างวิจารณ์กัน จึงยากที่จะไม่รู้
ยามนั้นแม้แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกทอดถอนใจ ชายหญิงคู่นั้นจะต้องเป็นบุคคลไร้เทียมทานเป็นแน่ ถ้าหากเป็นผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณได้จะดีขนาดไหนกัน…
“เหตุใดถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา” หานเหยียนเชวียรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“เด็กหนุ่มคนนั้นก็คือเจ้าเด็กนี่แหละขอรับ!”
โม่เฟิงโพล่งความจริงออกมาแล้ว ทำให้หานเหยียนเชวียแข็งทื่อไปทั่วตัว เกือบขว้างถ้วยชาในมือออกไป ภายในใจเกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นมา
ครู่หนึ่งเขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง แรกเริ่มตอนอยู่ที่ยอดเขาดาราโรย เขาก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกันแล้ว เหตุใดข้าจึงคาดไม่ถึง…”
โม่เฟิงลังเลอยู่สักพักก่อนกล่าว “อาจารย์ ข้าคิดว่าในเมื่อเด็กนี่โดดเด่นและไม่ธรรมดาขนาดนี้ จะต้องไม่ใช่พวกคนธรรมดาสามัญเป็นแน่ กระทั่งเป็นไปได้ว่าอาจมีที่มาที่พวกเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเรา…”
คล้ายรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร ไม่รอให้พูดจบก็ถูกหานเหยียนเชวียขัด “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรที่เรียกว่าแนวโน้มและโอกาส”
แนวโน้ม?
โอกาส?
โม่เฟิงหมายจะพูดแต่ก็หยุด ท้ายที่สุดก็ทอดถอนใจ เขามองออกแล้วว่าอาจารย์แน่วแน่มาก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก
เพียงแต่เขายังคงไม่เข้าใจ การระดมยอดฝีมือและผู้อาวุโสในสำนักตั้งมากมายขนาดนี้ ขนาดแม้แต่ท่านผู้ก่อตั้งก็ยังถูกเชิญมาด้วย ก็เพื่อสิ่งที่เรียกว่าแนวโน้มและโอกาสหรือ
ส่วนหานเหยียนเชวียกลับพึมพำในใจ การฆ่าเจ้าเด็กนี่ตายบางทีอาจทำให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นบางส่วน แต่ถ้าหากสามารถครอบครองยานสมบัติที่ประหนึ่งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในมือของมันลำนั้น ต่อให้จ่ายค่าตอบแทนไปบ้างก็คุ้มค่า!
เนื่องจากนี่เป็นถึงสมบัติชิ้นหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มให้สำนัก ทำให้สำนักมุกวิญญาณแข็งแกร่งจนไปถึงจุดสูงสุดแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีได้!
มิเช่นนั้นมีหรือท่านผู้ก่อตั้งซุนฮวนจะถูกเชิญมาด้วย
โอกาสมีเพียงครั้งเดียว จะต้องคว้าไว้ให้จงได้!
สนไปไยว่าเขาจะเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานอะไร อย่างไรเสียก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งมีปราณระดับหยั่งสัจจะ บางทีอาจจะทัดทานมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้ แต่ขอเพียงราชันกึ่งระดับออกโรง ก็ย่อมประสบหายนะเป็นแน่
ตอนนั้นอีกเพียงนิดเดียวอสูรเฒ่าเครือเถาก็เกือบจะฆ่าเจ้าเด็กนี่แล้ว!
“โม่เฟิง ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยคลุกคลีกับเขาอยู่หลายครั้งหรอกหรือ คิดวิธีเรียกให้เจ้าเด็กนี่ออกจากนครเตโชสักวิธีสิ!”
หานเหยียนเชวียสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก เอ่ยกำชับเสียงเบา แทนที่จะบอกว่ากำชับ อันที่จริงไม่ได้ต่างอะไรกับคำสั่งเลย เผยกลิ่นอายที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
โม่เฟิงแข็งทื่อไปทั้งตัว ในใจเริ่มฝาดเฝื่อนขึ้นมา
ตอนที่ 797 ขบวนวิญญาณมายาทมิฬ
ProjectZyphon
“ขอรับ!”
สุดท้ายโม่เฟิงพยักหน้ารับคำอย่างยากลำบาก คำสั่งอาจารย์ยากฝ่าฝืน แม้ใจเขาคัดค้านนักแต่ไม่อาจไม่ทำตาม
บางครั้งชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ เรื่องไม่สมปรารถนาล้วนมีมากมาย!
ทว่าขณะโม่เฟิงลุกขึ้น พลันเห็นว่าทางเข้าโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่เยื้องกันมีเงาร่างคุ้นตาหนึ่งเดินออกมา เป็นเด็กหนุ่มนั่น!
ข้างกายเขามีเด็กสาวคนหนึ่งติดตามมาด้วย นั่นคือซย่าเสี่ยวฉง โม่เฟิงรู้จักเป็นอย่างดี
ดึกดื่นป่านนี้พวกเขาจะไปไหนกันอีก
โม่เฟิงมึนงง
“ดูเหมือนพวกเขาจะจากไปสินะ”
ด้านข้าง หานเหยียนเชวียเองก็หยัดกายลุกขึ้น หน้ากากสีขาวเงินเจือกลิ่นอายแปลกประหลาดภายใต้แสงตะเกียงสลัวในโรงน้ำชา
“ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว เจ้ารอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถอะ”
หานเหยียนเชวียพูดพลางก้าวออกจากโรงน้ำชา แฝงตัวตามท้องถนนอยู่หลังหนุ่มสาวคู่นั้นอย่างเงียบเชียบ
ตุ้บ!
เห็นดังนี้โม่เฟิงก็นั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น สีหน้าหดหู่ อารมณ์เขาสับสนนัก พูดไม่ออกว่าควรดีใจหรือโศกเศร้าดี
บางทีนี่อาจเป็นชีวิตที่ตนต้องเผชิญ
…
ดึกสงัด โคมไฟยาวไร้สิ้นสุด
หลินสวินรีบเร่งก้าวเดินบนท้องถนน จิตใจวิตกกังวลอยู่บ้าง นึกถึงท่าทางอมยิ้มและเงียบสงบของลิ่นเหวินจวินก่อนลาจาก เขาพลันทอดถอนใจอยู่ภายใน
“พี่หลินสวิน อย่างที่ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม อาจารย์ข้าไม่มีทางผิดนัดอยู่แล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยปากหัวเราะคิกคัก ความเจิดจ้าบนหน้าน้อยไร้เดียงสาท่ามกลางรัตติกาลเหมือนจะสะดุดตาเป็นพิเศษ
เด็กสาวยังคงมีทีท่าไร้วิตกกังวล ไม่รู้สักนิดว่าการเดินทางของนางครานี้ อาจไม่ได้พบอาจารย์ของนางอีก…
นี่ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความสงสารเหลือจะเอ่ย
ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกท่านลู่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่มากับมือ ตอนนั้นเคยผ่านประสบการณ์จากลากับท่านลู่มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจความเจ็บปวดรวดร้าวซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการอำลานิรันดร์
“เสี่ยวฉง ข้าพาเจ้าไปสถานที่น่าสนุกด้วยกันดีไหม” หลินสวินกล่าวเสียงอบอุ่น
ซย่าเสี่ยวฉงมองหลินสวินอย่างเคลือบแคลงสงสัยวูบหนึ่ง ก่อนย่นจมูกน่ารักกล่าว “พี่หลินสวิน ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านออกจะแปลกๆ คงไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรใช่ไหม หรือยังกังวลเรื่องที่แตะก้นแม่เสือสาวอยู่งั้นรึ”
หลินสวินอึ้งไป กลั้นขำไม่อยู่ ยกมือเขกหน้าผากซย่าเสี่ยวฉงคราหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ากลัวนางรึ ฮึ เจ้าน่ะดูถูกข้าไปแล้ว ครั้งหน้าหากเจอนางอีก เจ้าคอยดูแล้วกันว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร!”
พูดถึงตอนท้ายเขาทำท่าเย่อหยิ่งเสียเต็มประดา
ซย่าเสี่ยวฉงหัวเราะคิกคักกล่าว “ก็ได้ ข้าจะรอดูท่านตีก้นนางจนออกลาย ตีจนนางคำรามโฮกๆ เลย!”
หลินสวินหัวเราะลั่น
ทั้งสองก้าวเดินเคียงกันบนท้องถนนยามรัตติกาล ยิ่งเดินยิ่งห่างไกลออกไป สองข้างทางคือแสงโคมจางๆ ห่างออกไปคือหมู่ดาราบางตา สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่เรียงรายเป็นระเบียบเคี้ยวคดลดเลี้ยว ประพรมเสียงหัวเราะชัดกระจ่างราวกระดิ่งลมของเด็กสาวต่อเนื่องตลอดทาง
เด็กหนุ่มแย้มยิ้มมองยังที่ห่างไกล นัยน์ตาดำขลับกลับลุ่มลึกเงียบสงัดเฉกเช่นราตรีกาล
…
ชานเมืองนครเตโช หมู่เขากว้างใหญ่ไพศาล ยามค่ำคืนเสมือนสัตว์ปีศาจมากมายกำลังจำศีลนิทรา ทอดยาวติดต่อกันอย่างไร้สิ้นสุด
ไม่เพียงแต่นครเตโชในแคว้นวิญญาณอัคนี กระทั่งทุกเขตเมืองใหญ่ในแดนฐิติประจิมล้วนมีป่าเก่าเขาแก่แทบทั้งสิ้น ยังมีอาณาเขตดิบเถื่อนมากมายไม่เคยถูกสำรวจ
หญิงชราชุดเขียวมองคุณหนูผู้ยืนโดดเดี่ยวอึ้งงันไม่เอ่ยวาจาอยู่ตรงนั้น ในใจพลันเกิดสังหรณ์ไม่ดี คุณหนูยืนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้นมาครู่หนึ่งแล้ว
“คุณหนู เวลาล่วงมานานแล้ว พวกเราควรจากไปแล้ว” นางอดเอ่ยเตือนไม่ได้
เด็กสาวชุดดำคล้ายไม่ได้ยิน
นางรูปร่างเพรียวบาง โค้งเว้าได้รูปสมบูรณ์แบบ ผิวขาวผ่องเกลี้ยงเกลา ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ มีความโดดเด่นสันโดษประการหนึ่ง กลิ่นอายประณีตเยียบเย็น หน้ากากสีขาวเงินเพิ่มสีสันลึกลับเป็นปริศนาแก่นาง
หญิงชราชุดเขียวกังวลอยู่ในใจ หรือเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับคุณหนูระหว่างประลองวันนี้ เป็นไปได้อย่างนั้นรึ
กวาดตามองคนรุ่นเยาว์ทั่วแดนฐิติประจิม ผู้ที่สามารถเป็นคู่ต่อกรของคุณหนูมีจำนวนแค่นับนิ้วได้ และที่สามารถโจมตีนางยิ่งน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แทบไม่มีด้วยซ้ำ!
หญิงชราชุดเขียวไม่เชื่อว่าการต่อสู้วันนี้จะส่งผลกระทบต่อคุณหนูจริงๆ
หรือเป็นเพราะ… การโจมตีตอนท้ายนั่น
ในหัวหญิงชราชุดเขียวหวนนึกถึงภาพแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่โค้งขึ้นดั่งพญามังกร กระแทกบั้นท้ายคุณหนูอย่างหนักหน่วง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นผิดแปลกบ้างเล็กน้อย
ภายในใจเด็กสาวชุดดำพรั่งพรูความไม่พอใจเด่นชัด
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ส่งผลกระทบต่อนางอย่างใหญ่หลวง ทำให้ตอนนั้นนางงุนงงหัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ
สำหรับนางนี่คือความประมาทและผิดพลาดซึ่งไม่อาจให้อภัยอย่างไม่ต้องสงสัย ที่น่าโมโหที่สุดคือการโจมตีนี้… น่าอัปยศเกินไปแล้ว!
นึกถึงตรงนี้ในใจนางยิ่งเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านระงับไม่อยู่ แทบอยากหันหลังกลับไปหาตัวไอ้ระยำบัดซบนั่นต่อเสียตอนนี้
ถึงกับกล้าใช้วิธีไร้ยางอายเช่นนี้ลบหลู่ตนต่อหน้าสายตามหาชนที่จับจ้อง นี่มันคือความอัปยศใหญ่หลวงอย่างแท้จริง!
วันนี้หลังการต่อสู้เสร็จสิ้น นางก็ราวกับเป็นบ้าเสาะหาร่องรอยเด็กหนุ่มคนนั้นทั่วนครเตโชมาตลอด ท้ายที่สุดกลับคว้าน้ำเหลว และวันนี้ต้องจากไปแล้ว ในใจจึงไม่ยินยอมยิ่ง
‘อย่าให้ข้าจับเจ้าได้แล้วกัน!’ เด็กสาวชุดดำเกรี้ยวกราดในใจ กล่าวเน้นทีละคำ
จากนั้นนางสูดหายใจลึก คืนสู่ความนิ่งสงบและมั่นใจดังอดีตอีกครา เซียนสาวผู้สำรวมตนราวกลับมาอีกครั้ง
“ไปสืบดูว่าเด็กหนุ่มนั่นเป็นใครกันแน่ ไม่ว่าเขาลึกลับเพียงใดก็ไม่ต้องสนใจ นำตัวเขามาให้ข้า!”
เด็กสาวชุดดำเปล่งเสียงราบเรียบ นิ่งสงบและล่องลอยยิ่ง น้ำเสียงดุจเสียงสวรรค์สะท้อนก้องยามรัตติกาล
“เจ้าค่ะ” หญิงชราชุดเขียวไม่กล้าชักช้า
นางรู้ว่าคราวนี้คุณหนูโกรธจริงๆ แล้ว ชิงชังเด็กหนุ่มนั่น
ถึงอย่างไรแต่เล็กจนโตคุณหนูไม่เคยถูกคนดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน หากมีคนรู้เข้าต้องส่งผลกระทบไม่อาจคาดเดาต่อกิตติศัพท์ของคุณหนูแน่
“ต้องมาบอกข้าทันที” เด็กสาวชุดดำกล่าว
หญิงชราชุดเขียวในใจสั่นสะท้าน
อันที่จริงแม้คุณหนูไม่กำชับนางก็จะทำเช่นนั้น ภายในแคว้นวิญญาณอัคนีซึ่งไม่มีแม้ระดับราชันสักคน กลับปรากฏเด็กหนุ่มที่สามารถตีเสมอคุณหนูอย่างเจิดจรัสและพลิกฟ้า
แต่ก่อนหน้านี้เขากลับเงียบเชียบไร้ชื่อเสียง ไม่เคยมีคนรู้จักคุ้นเคย แม้แต่ผู้ฝึกปราณพื้นถิ่นของนครเตโชล้วนไม่แน่ใจ เห็นได้ว่าลึกลับยิ่ง อาศัยเพียงจุดนี้ก็ควรค่าแก่การสืบหาเบื้องลึกของเขาอย่างไม่สนค่าตอบแทนแล้ว!
“หืม?”
หญิงชราชุดเขียวคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เงาร่างวาบกะพริบพลันพาเด็กสาวชุดดำหายลับจากไป
ชั่วครู่เดียวบนทิวเขาไร้ขอบเขตกว้างไกลปรากฏกองกำลังขบวนหนึ่งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง มุ่งหน้ามาทางนครเตโชภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี
เมื่อมองดูโดยละเอียด ในขบวนเงาร่างมากมายอาบไล้อยู่กลางเปลวเพลิงทมิฬ แปลกประหลาดและน่าเกรงขาม พวกเขาโดยสารอาชาทมิฬขนาดมหึมาชวนประหวั่นชนิดหนึ่ง
สี่เท้าของอาชาทมิฬราวเสาเหล็ก นัยน์ตาแดงก่ำดั่งกระดิ่งสำริด ร่างกายปานเขาลูกย่อมๆ หมอกสีดำหนาแผ่กระจาย ดุจอาชาวิญญาณจากนรกอเวจี
และศูนย์กลางขบวนล้อมพิทักษ์เกี้ยวสมบัติสีดำคันหนึ่ง เกี้ยวสมบัตินั้นมีคนชุดดำแปดคนแบก เคลื่อนผ่านห้วงอากาศอย่างเงียบเชียบไร้เสียง เห็นได้ว่าโดดเด่นยิ่งนัก ราวกับบผู้ที่โดยสารอยู่คือราชันภูตผีจากอเวจี
ตั้งแต่ต้นจนจบทุกอย่างล้วนไร้สุ้มเสียง เปรียบดั่งขบวนราตรีร้อยภูตผีในตำนาน!
เหตุการณ์นี้มีแรงจู่โจมรุนแรงยิ่ง ในยามค่ำคืนเห็นได้ว่าน่ากลัวนัก ไม่ว่าใครเห็นต่างขนพองสยองเกล้า จิตใจหวาดผวา
“ขบวนวิญญาณมายาทมิฬ! นี่คือกองกำลังของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!”
นัยน์ตาหญิงชราชุดเขียวปรากฏแววอัศจรรย์ในความมืด คล้ายไหวหวั่นอยู่บ้าง “ส่วนเกี้ยวหลังนั้นดูเหมือน ‘เกี้ยวสมบัติกาฬเคราะห์’! นี่น่ะเป็นหนึ่งในอาวุธบรรพบุรุษของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ แม้อานุภาพเทียบสมบัติอริยะไม่ได้ แต่ก็เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต ผู้ที่สามารถโดยสารอาวุธบรรพบุรุษเช่นนี้ฐานะต้องไม่ธรรมดา!”
“เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬรึ…” นัยน์ตากระจ่างใสดุจดาราของเด็กสาวชุดดำฉายแววรังเกียจยากสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง
ในภาพความประทับใจของนาง เผ่าพันธุ์นี้สร้างชื่อโดยอาศัยความมืดดำ คาวเลือดและการฆ่าฟันมาตลอด เสมือนเผ่ามารอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้ฝึกปราณบนโลกหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง
ที่น่ากริ่งเกรงและหวาดกลัวที่สุดคือ กลวิธีของเผ่าพันธุ์นี้เหี้ยมโหดและนองเลือดยิ่งยวด ในดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้ว่าก่อเรื่องที่ทำให้สวรรค์พิโรธคนเคียดแค้นไปเท่าไหร่ พูดได้ว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องลือถ้วนทั่ว
แต่ที่จนปัญญาคือเผ่าพันธุ์นี้เบื้องลึกเบื้องหลังแข็งแกร่งทรงพลังเหลือประมาณ อิทธิพลยิ่งใหญ่ทั่วสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ คิดหมายกำจัดถึงรากเหง้าพวกเขาล้วนแทบเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่สำนักโบราณบางส่วนต่างไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเผ่านี้โดยง่าย
กระทั่งขบวนวิญญาณมายาทมิฬนั้นหายลับจากไป หญิงชราชุดเขียวและเด็กสาวชุดดำจึงเดินออกมาจากความมืด สายตาต่างมองไปยังนครเตโชซึ่งปกคลุมอยู่ใต้ราตรีกาลโดยพร้อมเพรียง
“เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมาอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งมีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งโดยสารเกี้ยวสมบัติกาฬเคราะห์มาด้วย เกรงว่านครเตโชคงบังเกิดคลื่นลมที่ไม่อาจคาดเดาแล้ว…”
หญิงชราชุดเขียวทอดถอนใจ “มหาสงครามใกล้มาเยือน โลกเองก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโกลาหล เกรงว่าใช้เวลาไม่นาน ทั่วแดนฐิติประจิมหรือกระทั่งทั้งดินแดนรกร้างโบราณคงเปลี่ยนเป็นอลหม่านขึ้นเรื่อยๆ ก่อเกิดหายนะและการต่อสู้ซึ่งไม่อาจคาดเดา”
“ที่ข้าสงสัยยิ่งกว่าคือ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนั่นมุ่งหน้ามานครเตโชในครั้งนี้ด้วยเหตุใด”
นัยน์ตาดาราของเด็กสาวชุดดำวาววับด้วยแสงประหลาด “แคว้นวิญญาณอัคนีเล็กๆ กลับมีตัวประหลาดบรรพกาลที่ลึกลับจำศีลอยู่ในค่ายอริยะบนยอดเขาดาราโรย ยามนี้ยังดึงดูดความสนใจของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ นี่ออกจะผิดปกติอยู่บ้าง”
ขณะเดียวกันในใจนางยังเสริมไปอีกประโยค ‘ยังมีเจ้าคนระยำต่ำช้า ไพร่สถุล ไร้ยางอาย แม้คุณธรรมน่ารังเกียจหาใดเปรียบ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายก็ยังถือเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานคนหนึ่ง’
“คุณหนู พวกเราควรไปแล้ว” หญิงชราชุดเขียวมองทะลุความคิดของเด็กสาวปรุโปร่ง รู้ว่านางคิดอยู่ต่อเพื่อตามหาและคิดบัญชีเด็กหนุ่มนั่น
เด็กสาวชุดดำชะงัก ครู่ใหญ่จึงถอนใจกล่าว “ช่างเถอะ ไปก็ไป จากนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องพบกันอีกแน่ ทว่าเมื่อถึงตอนนั้น…”
นัยน์ตากระจ่างของนางฉายแววโกรธแค้น “ข้าจะตอนเจ้าระยำนี่แน่!”
หญิงชราชุดเขียวยิ้มน้อยๆ กล่าว “หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัย คนอย่างเด็กหนุ่มนั่นคงต้องเข้าร่วม ‘เทศกาลโคมกถามรรค’ แน่ ถึงตอนนั้นคุณหนูอาจสามารถลบล้างความอัปยศได้”
เด็กสาวชุดดำกล่าวอืมคราหนึ่ง ก่อนย่างก้าวผ่านห้วงอากาศจากไป
ขณะเดียวกัน บนทิศทางออกนอกเมืองฝั่งตรงกันข้าม หลินสวินพาซย่าเสี่ยวฉงทอดสายตามองท้องทุ่งกว้างสีดำที่ห่างไกลพลางกล่าว “เสี่ยวฉง หนทางต่อจากนี้อาจไร้สงบสุขอยู่บ้าง เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี”
ซย่าเสี่ยวฉงส่งเสียงอืมพลางกล่าว “พี่หลินสวิน ข้าเชื่อฟังท่าน ขอแค่ท่านอย่าลักพาตัวข้าก็พอ”
หลินสวินแอบขบฟันกรอด ข้า… เหมือนคนล่อลวงเด็กสาวไม่รู้ประสานักรึไง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น