Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 786-791

 ตอนที่ 786 ให้ท่านทั้งสองรอนานแล้ว

ProjectZyphon

ณ โรงเตี๊ยม


ภายในห้องเสียงโครมหนึ่งดังขึ้น แกนวิญญาณแวววาวราวมายางามตระการกองหนึ่งถูกเทออกมา ส่องประกายเต็มห้อง เย้ายวนใจหาใดเปรียบ


นี่คือรางวัลที่หลินสวินได้จากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินวันนี้


ภายในนั้นมาจากการชนะติดกันก่อนหน้าสามสิบเก้าสนาม ได้รับเจ็ดพันยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ


การประลองสนามที่สี่สิบเอาชนะเฉิงลี่เสวี่ย ได้รับรางวัลสิบเท่าและหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลางต่างหาก สองรายการรวมเข้าด้วยกัน ก็คือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าแกนวิญญาณขั้นกลางและยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ!


นี่เป็นทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์ยิ่งยวดก้อนหนึ่ง ทว่าเมื่อหลินสวินนำแกนวิญญาณเหล่านี้แลกเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางกลับดีใจไม่ออก


อย่างมากที่สุดสามารถซื้อหยกควบรวมจิตระดับกลางได้สิบเจ็ดก้อนเท่านั้น


หลินสวินสงสัยนัก ด้วยความอยากอาหารของหนอนกินเทพเก้าตัว หยกควบรวมจิตแค่นี้คงอยู่ได้ไม่กี่วัน…


แกรกๆ


ซย่าเสี่ยวฉงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังแทะเมล็ดทานตะวันกินอย่างเบิกบานยิ่ง


เมล็ดทานตะวันชนิดนี้มีสีขาววับวาวอวบอิ่มดุจเม็ดหยก เป็นผลของ ‘ทานตะวันวิญญาณ’ ซึ่งนักปลูกพืชวิญญาณเพาะปลูก หลังผัดรวมกับเครื่องปรุงรสบางส่วนจะกรอบอร่อยถูกปาก แก่นเมล็ดบรรจุกลิ่นหอมกรุ่นและพลังวิญญาณราวไหมทักถอ เป็นของทานเล่นซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณยิ่งอย่างหนึ่ง


“พี่หลินสวิน พรุ่งนี้ท่านจะไปอีกไหม”


ปากน้อยๆ ของซย่าเสี่ยวฉงกินเมล็ดขมุบขมิบ กะพริบตาโตใสสะอาดปริบๆ ท่าทางไร้วิตกกังวลนัก ไม่ช้าบนโต๊ะก็พะเนินด้วยเปลือกเมล็ด


หลินสวินกล่าวง่ายๆ “พรุ่งนี้เปลี่ยนสถานที่ ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินไปไม่ได้แล้ว”


นครเตโชเจริญรุ่งเรืองงามวิจิตร แค่ในเมืองก็มีลานประลองยุทธ์กว่าร้อยแห่ง กระจายทั่วบริเวณ


หนึ่งในนั้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดไม่ต้องสงสัยว่าคือ ‘ลานประลองยุทธ์นครเตโช’


เป็นกิจการซึ่ง ‘สี่สำนักสามตระกูล’ ร่วมมือกันก่อตั้ง แน่นอนว่าคือลานประลองยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีสมชื่อ มาตรฐานและอิทธิพลเป็นสิ่งที่ลานประลองยุทธ์อื่นไม่อาจเทียบอยู่โข


เฉกเช่นฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูร หนึ่งเดือนมานี้ท้าทายวีรบุรุษแต่ละคนของแคว้นวิญญาณอัคนีบนลานประลองยุทธ์นครเตโชมาโดยตลอด


ผลการต่อสู้ของเขาเจิดจรัส กระทั่งตอนนี้ไม่เคยพ่ายสักครา เรียกได้ว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลคนหนึ่งซึ่งถูกจับตามองมากที่สุดในนครเตโช ณ ปัจจุบัน


เปรียบเทียบกันแล้ว ความอึกทึกครึกโครมที่หลินสวินก่อ ณ ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ไม่อาจเทียบฟางหลินหานได้


ไม่ได้หมายความว่าหลินสวินสู้ฟางหลินหานไม่ได้ แต่เพราะอิทธิพลของลานประลองยุทธ์นครเตโชยิ่งใหญ่เกินไป การประลองซึ่งเกิดขึ้น ณ ที่นั่นได้รับความสนใจจากทั้งแคว้นวิญญาณอัคนีโดยปริยาย


ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินกลับเห็นชัดว่าด้อยกว่ามาก ชื่อเสียงแม้จะมีแต่กลับจำกัดแค่ภายในนครเตโชเท่านั้น


และลานประลองยุทธ์ขนาดเช่นลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ในนครเตโชอย่างต่ำที่สุดสามารถหาได้มากถึงหลายสิบแห่ง!


เพราะเรื่องการรับรางวัล หลินสวินได้ผูกพยาบาทกับลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจขึ้นเวทีต่อสู้ของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินอีก


ดังนั้นหากหลินสวินหมายเคี่ยวกรำวิถียุทธ์และหาแกนวิญญาณต่อไป คงได้แค่เลือกลานประลองยุทธ์อื่นแทน


ซย่าเสี่ยวฉงเป็นคนไม่คิดอะไรมากนัก ไม่ได้สนใจเค้ามูลอะไร โห่ร้องยินดีว่า “ดีเหลือเกิน ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินไม่มีพวกต่อยตีเป็นสักคน ข้าไม่อยากไปนานแล้ว”


เห็นชัดว่านางยังหวังให้มีคนสามารถเอาชนะหลินสวิน โจมตีความหยิ่งทะนงอวดดีของหลินสวินสักหน่อย!


“เหอะๆ”


หลินสวินได้แต่หัวเราะ เห็นได้ว่านิ่งสงบนัก โดนซย่าเสี่ยวฉงจู่โจมเช่นนี้หลายครั้ง ทำเขามีภูมิต้านทานอันมั่นคงขึ้นแล้ว



เวลาพลบค่ำ เงาร่างผึ่งผายสูงใหญ่ของฟางหลินหานอาบไล้แสงอาทิตย์อัสดงหวนคืนโรงเตี๊ยมอีกครา จากนั้นจึงเคาะเปิดประตูห้องหลินสวิน


“เจ้าได้ยินหรือยัง ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินมีเด็กหนุ่มปริศนาผู้หนึ่ง ชนะประลองติดกันสี่สิบสนาม ซ้ำยังทำเฉิงลี่เสวี่ยยอมแพ้ระหว่างต่อสู้ด้วยตนเอง”


ฟางหลินหานสองแขนกอดอก ร่างเอียงพิงประตูด้านหนึ่งแต่ไม่ได้เข้ามา ให้อารมณ์เฉื่อยเนือยอย่างหนึ่ง คล้ายเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเยียนคุยเล่นกับหลินสวิน


“อืม” หลินสวินพยักหน้า


สำหรับซย่าเสี่ยวฉง หลังพบว่าฟางหลินหานปรากฏตัว แม้แต่แทะเมล็ดนางล้วนลืมสิ้น สองมือเท้าใบหน้าน้อย ดวงตาใสสะอาดจ้องมองตาค้างอย่างลุ่มหลง


อีกทั้งการแสดงออกของนางล้วนไม่ขัดเขินแสร้งทำแม้แต่น้อย มองอย่างกำเริบเสิบสาน ตรงไปตรงมายิ่งยวดไม่ปกปิดอะไรสิ้นเชิง


หลินสวินคร้านจะใส่ใจเจ้าเด็กบ้าผู้ชายนี่ เขากำลังใคร่ครวญว่าทำไมฟางหลินหานถึงวิ่งมาคุยเรื่องนี้กับตนกะทันหัน


“ช่วงนี้ข้ายากพบคู่ต่อสู้ที่น่าพึงใจ พรุ่งนี้ข้าจะไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสักหน่อย ดูว่าเด็กหนุ่มปริศนานั่นจะร้ายกาจเหมือนข่าวลือหรือไม่”


ฟางหลินหานกล่าว “เจ้าจะไปด้วยกันไหม”


“ไป!”


ซย่าเสี่ยวฉงพลันร้องตะโกน ทำหลินสวินตกใจสะดุ้งโหยง จากนั้นสีหน้าพลันมืดทะมึน เจ้าเด็กบ้าผู้ชายนี่ลืมคำที่ข้าพูดเมื่อกี้แล้วรึไง


พรุ่งนี้น่ะต้องเปลี่ยนสถานที่!


ทว่าซย่าเสี่ยวฉงมองข้ามการดำรงอยู่ของหลินสวินนานแล้ว ใบหน้าน้อยไร้เดียงสาของนางเต็มไปด้วยความหลงใหล


ในสายตานาง เงาร่างกำยำของฟางหลินหานที่เอนพิงประตู เห็นได้ว่าอิสระเฉื่อยเนือยโดดเด่นเหนือผู้อื่น ใบหน้าซึ่งเจือเสน่ห์ร้ายกาจบ้าระห่ำ ถูกแสงอาทิตย์อัสดงที่ลอดผ่านหน้าต่างเคลือบทับชั้นหนึ่ง ดูราวกับภาพมายา สะท้อนระยับพร่าเลือน หล่อเหลาถึงขั้นชวนใจสลาย…


แต่หลินสวินกลับมองเห็นอย่างชัดแจ้ง ว่ามุมปากนุ่มนวลอวบอิ่มของซย่าเสี่ยวฉงมีน้ำลายเป็นประกายสายหนึ่งไหลออกมา…


“ท่านนี้คือ?” ฟางหลินหานชะงักไป


“เจ้าคนที่โรคบ้าผู้ชายกำเริบคนหนึ่ง เวลาล่วงมามากแล้ว มีเวลาค่อยคุยกัน” หลินสวินตอบอย่างไม่สบอารมณ์หนึ่งประโยคก็ปิดประตูดังปึง ขังฟางหลินหานไว้นอกประตู


จากนั้นก็จ้องซย่าเสี่ยวฉงเขม็ง กัดฟันกล่าว “เจ้าควบคุมตัวเองหน่อยไม่เป็นรึไง มีแม่นางน้อยที่ไหนจ้องผู้ชายพลางน้ำลายไหลเยี่ยงเจ้าเช่นนี้ ช่างไม่มียางอาย ในใจยังมียางอายอยู่ไหมเนี่ย”


“หา? ข้าแค่ดูเฉยๆ มีความคิดอื่นหรือก็ไม่ อย่างนี้ผิดด้วยรึ” ซย่าเสี่ยวฉงยกมือเช็ดน้ำลาย สีหน้าไม่ใส่ใจ


หลินสวินขมับบวมปูด นางหนูนี่ช่าง… ช่างไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว!


“สหาย พรุ่งนี้เจ้าไปไหม” นอกประตู เสียงฟางหลินหานดังขึ้น


“ไม่ไป ไม่ว่าง!” หลินสวินปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


“อ้อ อันที่จริงหากเจ้ายอมต่อสู้กับข้าสักตั้ง ไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหรือไม่ก็ช่างปะไร” ฟางหลินหานพูดอยู่นอกประตู


“ข้าไม่ว่างจริงๆ” หลินสวินปวดหัวอยู่บ้าง ซย่าเสี่ยวฉงพิกลก็ช่างเถอะ สุดท้ายก็แค่พวกบ้าผู้ชายไม่คิดอะไรมาก แต่ทำไมฟางหลินหานถึงดึงดันเช่นนี้ เพื่อสู้กันสักครั้ง ก็มาพัวพันกับตนโดยตลอด?


กลับยินเสียงหัวเราะลั่นอย่างเบิกบานของฟางหลินหานดังขึ้นนอกประตู “งั้นก็ดี ข้าจะรอเจ้ามีเวลาว่างค่อยมาอีก”


หลินสวินพลันหมดคำพูด ยังไม่จบไม่สิ้นอีกหรือ


แต่ซย่าเสี่ยวฉงกลับกล่าวพึมพำหน้ามืดตามัว “แค่ฟังเสียงหัวเราะ ข้าล้วนจินตนาการถึงรอยยิ้มของเขาออกว่ามีเสน่ห์มากเพียงใด…”


ท้ายที่สุดมุมปากหลินสวินกระตุกขึ้นอีกคราอย่างอดไม่อยู่



กลางดึก นครเตโชคึกคักยิ่งกว่าเดิม แสงโคมดุจมังกรสวยงามดั่งภาพฝัน ทุกหนแห่งม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ เสียงหัวเราะเริงร่ายินดี


ซย่าเสี่ยวฉงหลับแล้ว ท่าทางดูไม่งามนัก เสมือนปลาหมึกยักษ์พาดอยู่บนเตียง ใบหน้าน้อยงดงามไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างยากพบเห็น


หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิก็เห็นฉากนี้ แอบกล่าวอยู่ในใจ นางเด็กนี่หากทุกวันสงบเช่นนี้คงดีมาก…


เขาลุกขึ้นช่วยซย่าเสี่ยวฉงเหน็บผ้าห่ม ครั้นแล้วจึงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเงียบๆ คนเดียว ตาเพ่งจมูกจมูกเพ่งจิต เสมือนภิกษุชราเข้าฌาน


นอกหน้าต่าง รัตติกาลดุจวารี บนท้องถนนอันเจริญรุ่งเรืองเสียงผู้คนดังก้องอลหม่าน


ภายในห้องกลับเงียบสงัดและขมุกขมัว มีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงสำริดดวงหนึ่งส่ายไหว ส่องเงาร่างหลินสวินที่นั่งนิ่งจนส่ายโอนไม่หยุด


เวลาพ้นผ่านเป็นกลางดึกโดยไม่รู้ตัว


เสียงอึกทึกนอกหน้าต่างแทบมิได้ยิน เปลี่ยนเป็นอ้างว้างและเดียวดาย โคมตะเกียงบนถนนลาลับ มีเพียงจันทร์เดือนเสี้ยวแขวนประดับกลางนภาประพรมแสงขาวหิมะดุจเงิน


ทว่าไม่ช้าเมฆทมิฬเคลื่อนคล้อย บดบังจันทร์เดือนเสี้ยว ปกคลุมทั้งนครเตโชให้ตกอยู่ท่ามรัตติกาล


และเวลานี้เอง หลินสวินซึ่งเสมือนเข้าฌานลืมตา แววเยียบเย็นสายหนึ่งพลันปรากฏจากส่วนลึกในนัยน์ตา ราวสายฟ้าเยียบเย็นผ่าแหวกความมืดมิด


สวบ!


เวลาต่อมา เงาร่างหลินสวินพลันหายไปจากห้อง



นอกโรงเตี๊ยม ความมืดมิดดุจผืนม่านปกคลุมท้องฟ้า แผ่กว้างและอึมครึม นั่นคือเมฆทะมึนหนาแน่นคล้ายจวนจะฝนตก


ภายใต้ชายคาเตี้ยต่ำแห่งหนึ่งไม่ไกลนักมีเงามืดสองร่างยืนอยู่ เก็บงำพลังทั่วร่าง หากไม่มองโดยละเอียดคงไม่อาจสังเกตเห็นการมีอยู่แต่แรก


พวกเขากำลังพูดคุยผ่านจิตรับรู้


“จะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่”


“รอต่ออีกหน่อย”


“กับแค่สังหารเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เหตุใดต้องระมัดระวังเช่นนี้ ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติก็ต้านการลอบสังหารเราไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


“ในโรงเตี๊ยมนี้ไม่ได้มีแค่เจ้าหนุ่มนั่น ยังมีฟางหลินหานแห่งอาศรมดาบแปดวิทูรอีกคน หากทำเจ้านี่ตกใจตื่น เกรงว่าจะนำมาซึ่งความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น”


“ฟางหลินหาน? หึ เจ้าหนุ่มที่มาจากแคว้นวารีทมิฬคนหนึ่ง ช่วงนี้กลับสร้างคลื่นลมในนครเตโช ดูแคลนผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี โอหังและหลงระเริงเหลือเกิน ไม่สู้อาศัยโอกาสนี้สังหารมันพร้อมกันซะเลย”


“ครั้งนี้คือมาสังหารเด็กหนุ่มนั่น ส่วนกับฟางหลินหานไม่ต้องทำการมากเกิน เจ้าเด็กฟางหลินหานนี่แม้บ้าระห่ำ แต่ตอนนี้มีชื่อเสียงมากเกินไป ทันทีที่เขาตายไปอย่างแปลกประหลาด จะต้องก่อให้เกิดความสนใจมากเกินไป แต่สำหรับเด็กหนุ่มปริศนานั่น… แค่คนต่างถิ่นคนหนึ่ง ไร้สำนักไร้พรรค ไร้ที่พึ่งพิง ตายไปก็ไม่ก่อเกิดคลื่นลมอะไร”


ทั้งสองต่างสวมชุดคลุมดำบดบังกาย อาศัยจิตรับรู้เจรจา ประดุจพรายวิญญาณจากขุมทมิฬ ท่ามกลางรัตติกาลมืดสนิทเห็นได้ว่าชวนขนพองสยองเกล้านัก


แต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นสักนิด ยังมีเงาร่างที่แปลกประหลาดกว่าพวกเขาอยู่อีกร่าง เดินมาจากถนนสายหลักฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง


“ให้ท่านทั้งสองรอนานแล้ว”


เสียงหลินสวินดังขึ้นกลางความเงียบกะทันหัน คนชุดดำทั้งสองทั่วร่างพลันขึงตึงตกใจจนแทบสะดุ้งโหยง


เวลานี้พวกเขาถึงได้พบว่าเป้าหมายการลอบสังหารครานี้ ถึงกับยืนห่างจากพวกเขาไม่ถึงสามจั้งโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว!


ราวปรากฏตัวกลางอากาศ ทำเอาทั้งสองตกใจจนขนพองสยองเกล้า ล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาอยู่บ้าง


“เจ้า… มาตั้งแต่เมื่อไหร่”


คนชุดดำหนึ่งในนั้นขนลุก ลนลานไม่หยุด เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว แต่พวกเขากลับไม่สังเกตเห็นสักนิด นี่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก


“อ้อ ข้าเพิ่งมา”


หลินสวินกล่าวสบายๆ นัยน์ตาดำลุ่มลึกดุจหุบเหววาบประกาย พินิจพิเคราะห์คนชุดดำทั้งสองตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ “จริงสิ บนตัวพวกเจ้าคงมีแกนวิญญาณสินะ”


นี่คือคำถามที่แปลกประหลาดนัก ทำเอาคนชุดดำทั้งสองตะลึงงันไม่สบายไปทั้งตัว รู้สึกว่าตนเหมือนเป็นเหยื่อที่ถูกจับตามอง


สถานการณ์ไม่เข้าที!


คนชุดดำทั้งสองในใจสั่นสะท้าน เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะนี่ปรากฏตัวอย่างแปลกประหลาดเกินไป ทำให้พวกเขาได้กลิ่นอันตราย


ตอนที่ 787 นัยน์ตาเฉาเฟิง

ProjectZyphon

“เจ้าหนุ่ม นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”


ชายชุดดำหนึ่งในนั้นถาม เขากำลังแสร้งใจดีสู้เสือ “อยูดีๆ เหตุใดต้องถามพวกเราว่ามีแกนวิญญาณติดตัวหรือไม่”


หลินสวินแสยะยิ้มกล่าว “อย่าเสแสร้งเลย นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังต้องแสร้งทำต่ออีกรึ”


ยามค่ำคืน รอยยิ้มหลินสวินเจิดจ้ายิ่ง แต่เมื่อเข้าสู่สายตาของชายชุดดำทั้งสองนั่น ในใจพวกเขากลับไม่อาจสงบได้ยิ่งกว่าเดิม


นี่มันแปลกประหลาดไปแล้ว พวกเขาเป็นพวกร้ายกาจระดับกระบวนแปรจุติ สองมือเปื้อนโลหิตนอง ถือเป็นมือหนึ่งของโลกมืดนครเตโช


แต่บัดนี้กลับจิตใจกระสับกระส่ายเพราะเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง นี่ทำพวกเขาตระหนักได้อย่างฉับไวว่าเป้าหมายที่ต้องจัดการครานี้ผิดปกติอย่างยิ่ง!


“ให้ข้าลองเดา พวกเจ้าหากไม่ใช่มาจากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ก็เป็นนักฆ่าที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหามา จุดประสงค์ก็เพื่อสังหารข้าถูกหรือไม่”


หลินสวินย่างก้าวเข้าประชิด


ชายชุดดำทั้งสองถูกเผยจุดประสงค์ ทั้งเห็นหลินสวินเป็นฝ่ายเข้าใกล้ นอกจากขุ่นเคืองอยู่ในใจ ยังเกิดความหวาดหวั่นรุนแรงอย่างไม่อาจเลี่ยง


ทะแม่งเกินไปแล้ว!


เจ้าเด็กนี่ทำไมถึงไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้


ฟุ่บ!


เกือบชั่วพริบตา ทั้งสองคล้ายรู้กันอยู่ในที ตัดสินใจเลือกฉับพลัน… หนี!


ทั้งยังรวดเร็วถึงที่สุด ทะยานออกไปสองทิศทางต่างกันไป


มีเพียงหลินสวินที่รู้ดีว่าว่าพวกเขากำลังหยั่งเชิง ดูเหมือนวิ่งหนี แต่จริงๆ เป็นการลองดูว่าตนจะตอบสนองอย่างไรก็เท่านั้น


หากอันตรายพวกเขาจะจากไปโดยสิ้นเชิง


แต่หากเห็นว่าตนแค่ข่มขู่ให้กลัว พวกเขาก็จะหวนกลับมาสังหารทันที!


ไม่อาจไม่พูดถึง นี่เป็นตัวร้ายกาจสองคนที่ระวังตัวและรอบคอบยิ่ง เปี่ยมประสบการณ์การต่อสู้ คนทั่วๆ ไปไม่อาจเทียบได้


ทว่าพวกเขาละเลยไปประเด็นหนึ่ง คืนนี้หลินสวินนั่งเฉยรอคอยมาตลอด ซ้ำปรากฏตัวเองเวลานี้ ไม่ใช่เลือกถอยหลบปลายดาบ มีหรือจะคิดตื้นๆ หวังแค่เขย่าขวัญพวกเขา


สวบ!


แทบจะในเวลาเดียวกับที่พวกเขาเคลื่อนไหว หลินสวินก็เคลื่อนไหวด้วย ทั้งยังไวกว่า สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งพุ่งตามหนึ่งในชายชุดดำ


ตูม!


ท่ามกลางรัตติกาล ชายชุดดำนั่นหนาวสะท้านไปทั้งร่าง เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ ก็เห็นประทับโบราณเจิดจรัสแยงตาตกลงมาจากฟากฟ้า แหวกฝ่าความมืดมิด


ประทับปี้อั้น!


เพียงแต่ต่างจากในอดีต ประทับปี้อั้นเวลานี้เสมือนมีสัตว์เทพปี้อั้นปรากฏอย่างแท้จริง ลายเส้นคมชัด ถลึงตาถมึงทึง พลานุภาพล้นฟ้า!


ชายชุดดำในใจพลันสั่นสะท้าน ไม่ทันได้ตอบสนองร่างกายก็ถูกกดทับหนักหน่วงติดพื้น กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแตกดังกร๊อบๆ เลือดออกเจ็ดทวาร


ตูม!


พื้นดินถูกทุบจนเกิดหลุมมหึมา ชายชุดดำนั่นนอนอยู่กลางหลุมใหญ่ชักกระตุกไปทั้งตัว ราวถูกทับแบนไม่อาจลุกขึ้นยืน!


นี่ทำเขาตระหนกและหวาดกลัว เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ โลดแล่นทั่วสารทิศบนโลกมาหลายปี ไหนเลยจะคิดว่าแค่การโจมตีเดียวตนก็ถูกจู่โจมคว่ำคะมำได้


บัดซบ!


เขาดิ้นรนสุดกำลัง ทั้งร่างอบอวลแสงประกาย เพิ่งหมายหยัดกายขึ้นก็ถูกเท้าข้างหนึ่งย่ำกระดูกสันหลังแตก กลั้นเสียงร้องทุรนทุรายไม่ไหวอีกต่อไป เบื้องหน้าพลันสับสนมึนงง


พลังเช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ทำเอาเขาล้วนไม่กล้าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งทำได้!


เขาถูกทำให้ขวัญเสียจนหนาวสั่นไปทั้งตัว สังหรณ์ว่าปฏิบัติการครานี้ผิดพลาด มาเจอสัตว์ประหลาดไม่อาจต่อกรตนหนึ่งเข้าแล้ว


“รออยู่นิ่งๆ ไปเถอะ!”


หลินสวินมอบบาทาแก่เขาอีกครา เตะหัวชายชุดดำแทบแตก ลูกตาพลันกลอกเหลือกหมดสติโดยสมบูรณ์


อีกทิศทางหนึ่ง พรรคพวกชายชุดดำกำลังหลบหนี พร้อมกับลอบตัดสินใจอยู่ในที ว่าประเดี๋ยวหากเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่นไม่ไล่ตามมาจะย้อนกลับไปสังหารทันที!


ทว่าเมื่อเขาเหลียวหลังเห็นพรรคพวกตนถูกการโจมตีเดียวกดอัดติดพื้นลุกไม่ขึ้น พลันตระหนกจนวิญญาณแทบลอยล่อง


ตูม!


เขาไม่กล้าลังเลอันใดอีก เริ่มหนีกระเจิดกระเจิงอย่างบ้าคลั่ง ถูกทำให้กลัวเข้าจริงๆ แล้ว


เขารู้ศักยภาพของสหายตนดีว่าทรงพลังระดับใด แต่บัดนี้กลับถูกการโจมตีเดียวสยบได้ นี่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว


แม่งเอ๊ย!


เจ้าสัตว์ประหลาดตัวจ้อยนี่โผล่มาจากไหนกันแน่


“คืนสังหารไร้จันทร์ลมแรง สถานการณ์เช่นนี้หากสหายเช่นเจ้าพลาดไปคงน่าเสียดายแย่”


ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นริมหู ชวนตระหนกจนชายชุดดำแข็งทื่อไปทั้งตัว เขาหนีมาล่วงหน้ายังสามารถตามมาได้เช่นนี้?


“สหายน้อย พวกเราแค่รับการจ้างวาน หาใช่คนของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน หวังว่าเจ้าจะเมตตาปล่อยให้ข้ารอดชีวิต”


ชายชุดดำตาลีตาลาน ร้องตะโกนลั่น


ทว่าการกระทำของเขากลับตรงกันข้าม ขณะกล่าววาจาพลันซัดแสงโลหิตบาดตาสายหนึ่งออกมา แหลมคมดุจเหล็กหมาด พุ่งเข้าใส่คอหลินสวิน!


วู้ม!


แสงโลหิตนั่นทะยานผ่านอากาศ ส่งเสียงประหลาดปานดูดจิตชิงวิญญาณ ประหลาดหาใดเปรียบ


หลินสวินเลิกคิ้ว ไม่ยอมสัมผัสมัน สำแดงผนึกป้าเซี่ยและประทับปี้อั้นในเวลาเดียวกัน


ก็เห็นแสงโลหิตนั่นถูกพันธนาการค้างกลางฟ้า จากนั้นจึงถูกประทับปี้อั้นชวนประหวั่นบดทำลายแตกละเอียด ละอองแสงโปรยปราย


ขณะเดียวกันหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งทะลวงหมัดออกไปข้างหน้านานแล้ว


เสียงดังปึงพร้อมกับที่ชายชุดดำคนนั้นถูกซัดกระเด็น หกคะเมนลงบนพื้นนอกระยะสิบกว่าจั้ง คะมำก้นชี้ฟ้า หัวแตกเลือดอาบฟันร้าวหมดปาก


เขาหวาดกลัวถึงขีดสุด นี่ยังใช่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะจริงรึ ทำไมมีพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ แม้แต่ผู้กล้าชั้นยอดแห่งยุคในปัจจุบันคงไม่ถึงขั้นนี้กระมัง


โจมตีคราเดียวบดขยี้สหายเขา ตอนนี้จู่โจมอีกคราแม้แต่เขายังถูกสยบ นี่พาให้เขามือเท้าเย็นเฉียบ พังทลายโดยสิ้นเชิง


หลินสวินหิ้วเขาขึ้นมา หันหลังย้อนกลับไปข้างชายชุดดำอีกคน เริ่มลงมือปอกลอกทรัพย์หลังศึกอย่างแคล่วคล่อง


ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าหลินสวินพลันไม่น่าดูอยู่บ้าง นี่เป็นมือฉมังระดับกระบวนแปรจุติสองคน แต่บนตัวนอกจากวัตถุดิบวิญญาณจุกจิกส่วนหนึ่งแล้ว ถึงกับไม่มีแกนวิญญาณสักก้อน!


นี่มันอัตคัดเกินไปแล้วกระมัง


วันนี้ยามหลินสวินทำลายปราณของต่งไห่ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ก็คาดการณ์อยู่ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่วางมือยุติเรื่องราวแน่


คืนนี้เขาจึงรอคอยโดยเฉพาะ นึกไม่ถึงว่าบนตัวคู่ต่อสู้ที่รอคอยกลับไม่มีทรัพย์สินแม้แต่น้อย!


นี่ทำให้หลินสวินไม่พอใจมาก สายตาเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม กล่าวว่า “ข้าไม่อยากรู้เหตุผล ข้าแค่อยากยืนยัน ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่”



หลังจากนั้นไม่นาน หลินสวินหิ้วร่างไร้วิญญาณสองศพออกไปจากถนน เงาร่างลับหายท่ามกลางรัตติกาลเวิ้งว้างอันห่างไกล


ฟุ่บ!


ขณะหลินสวินเพิ่งจากไป เงาร่างสูงโปร่งผึ่งผายหนึ่งลอยล่องมาถึง เขายืนอยู่ตรงนั้นสังเกตสนามรบสักพัก ค่อยมองไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป


“ในเวลาสั้นๆ ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติสองคนล้วนพ่ายแพ้ในเงื้อมมือเจ้า ศักยภาพเจ้าเด็กนี่แกร่งกว่าที่ข้าคาดอยู่บ้าง!”


นัยน์ตาเขาสาดแสงประกายเจิดจ้า ริมฝีปากบางดุจปลายดาบเม้มน้อยๆ จิตต่อสู้ในใจพลุ่งพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


คนผู้นี้ก็คือฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูร


“เจ้าหนูรอก่อนเถอะ ต่อให้เจ้าไม่ยอมสมัครใจทุกทาง ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องประลองกับเจ้าสักตั้งให้ได้!”



ผ่านไปครู่หนึ่ง


ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินพลันเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ แสงเพลิงทะลวงเมฆาพุ่งกระจายทั่วรัตติกาล เกิดความโกลาหลขึ้นฉับพลัน


มหาอัคคีภัยครั้งนี้สาหัสเหลือประมาณ กระทั่งหลังเที่ยงคืนจึงถูกดับ ทว่าสิ่งที่เหลือไว้ล้วนเกลื่อนกลาดระเนระนาด ทั้งลานประลองยุทธ์ถูกทำลายอย่างรุนแรง


ส่วนหลินสวินย้อนกลับโรงเตี๊ยมนานแล้ว


เพลิงอัคคีซึ่งเผาทำลายลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินแน่นอนว่ามาจากฝีมือเขา


ดังคำกล่าวที่ว่า ผู้อื่นมีเมตตาให้ก็ควรสนองตอบ ไม่เช่นนั้นจะเสียมารยาท ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้ต่งไห่ที่ถูกทำลายปราณเป็นการเอ่ยเตือนแล้ว แต่เห็นชัดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่คิดอดกลั้น ดังนั้นคืนนี้จึงส่งมือสังหารสองคนมาล้างแค้น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินมีหรือจะยอมทน


เพลิงนี้คือบทเรียนที่เขามอบแก่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน


หากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้อีกฝ่ายยังไม่คิดเก็บมือ เช่นนั้นขั้นต่อไปหลินสวินคงทำได้แค่อำมหิตยิ่งกว่า



เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินตื่นจากสมาธิเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น พาซย่าเสี่ยวฉงเดินออกไปข้างนอก


เขาต้องการแลกหยกควบรวมจิตระดับกลางส่วนหนึ่ง พร้อมกับถือโอกาสหาลานประลองยุทธ์อีกแห่งมาเคี่ยวกรำวิถียุทธ์และหาแกนวิญญาณ


‘ความเร้นลับของโทสะหยาจื้อถูกข้าทำความเข้าใจหมดแล้ว ขั้นต่อไปคือหยั่งถึงร่างที่แปดแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร… นัยน์ตาเฉาเฟิง’


ขณะเดินบนท้องถนนอันคึกคัก หลินสวินใคร่ครวญอยู่เงียบๆ


เมื่อคืนยามจัดการชายชุดดำระดับกระบวนแปรจุติสองคนนั่น เขาใช้พลังของโทสะหยาจื้อ เร่งเร้าพลังต่อสู้ให้เท่าทวีชั่วพริบตา ถึงได้กำราบอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย


มิฉะนั้นหากเปลี่ยนเป็นเขาก่อนหน้านี้ คิดทำถึงขั้นนี้ยังต้องอาศัยดาบหักหรือธนูวิญญาณไร้แก่นสารจึงจะได้


เพีงแต่ที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ จากการหยั่งถึงเมื่อคืน เขาพบว่าร่างที่แปดแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ ไม่ใช่มรดกวิชายุทธ์ แต่เป็นเคล็ดมายาหยั่งรู้ฟ้าดิน เสาะหาเส้นปราณอย่างหนึ่ง!


ก็เหมือนกับมรรคาแห่งฮวงจุ้ย ทว่าอาศัย ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ สามารถมองทะลุอสสาร ส่องสำรวจ ‘แดนสมบัติ’ ที่ซ่อนอยู่ใต้ฟ้าดินภูผาธารา!


อย่างไรจึงเรียกว่าแดนสมบัติ


ก็คือแหล่งรวบรวมชีพจรปราณวิญญาณ!


เช่นเดียวกัน สถานที่ซึ่งซุกซ่อนสมบัติวิญญาณ สิ่งอัศจรรย์ วาสนา วัตถุวิญญาณสะเทือนใต้หล้า ล้วนเรียกว่าแดนสมบัติเหมือนกัน


อย่างเช่นสายแร่ปราณล้ำค่า แหล่งวิญญาณปริศนานานัปการเป็นต้น


พวกแกนวิญญาณ หยกควบรวมจิตที่พบเห็นได้ประจำบนโลกนี้ ล้วนแต่ขุดค้นมาจากชีพจรปราณวิญญาณทั้งสิ้น


กล่าวง่ายๆ คือเคล็ดมายาอย่างนัยน์ตาเฉาเฟิงนี้ ก็คือวิชาอัศจรรย์ที่มีไว้เพื่อหาชีพจรปราณวิญญาณโดยเฉพาะ


แต่ที่ทำให้หลินสวินปวดหัวคือ การฝึกฝนและหยั่งถึงปริศนาแห่งวิชาลับนี้ต้องมุ่งหน้าไปยังป่าลึกกลางหุบเขา เช่นนี้จึงจะสามารถสัมผัสปริศนาแห่งนัยน์ตาเฉาเฟิงได้มากที่สุดว่าคืออะไร แล้วจึงจะบรรลุเป้าหมายแห่งการแสวงชีพจรปราณ


‘ดูท่า คงได้แค่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ก่อนแล้ว…’


ในนครเตโชนี้ หลินสวินคงทำได้แค่วางการฝึกมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรลงก่อนชั่วคราว


“ข่าวใหญ่ๆ เมื่อคืนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเกิดเพลิงไหม้ ถูกเผาจนแทบเหี้ยน แม้แต่คลังเก็บของยังถูกเผาเกลี้ยง ตามรายงานกล่าวว่าเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการแก้แค้นจากศัตรูของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน!”


บนถนน ชาวเผ่าวาทวาโยกำลังส่งต่อข่าว ชักนำให้เกิดเสียงฮือฮาจากผู้สัญจรเป็นระลอก


เผ่าวาทวาโย ถูกขนานนามว่าเป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งหูไวตาไวที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ


หูทั้งสองของพวกเขาเรียวแหลม นัยน์ตาเว้าเป็นโพรง ผิวปรากฏสีเขียวอ่อน ด้านหลังมีปีกสีสดงดงามคู่หนึ่งโดยกำเนิด พลังชีวิตแข็งแกร่งยิ่งยวด


พวกเขามีพรสวรรค์หยั่งรู้เหนือธรรมดา ชำนาญการค้นหารวบรวมและจัดระเบียบข่าวสาร ชื่นชอบการสืบเสาะและเผยแพร่ข่าวสารที่ลึกลับและร้อนแรงที่สุดนานัปการแต่กำเนิด


ดินแดนรกร้างโบราณมีคำพูดขำขันหนึ่งที่แพร่หลายกล่าวว่า ขอเพียงที่ไหนเกิดเรื่องใหญ่หลวง ต้องมีเงาร่างผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโย พวกเขาคิดก่อข่าวโจษขาน ฉะนั้นจึงวิ่งเร็วกว่าใคร!


ตอนที่ 788 ความแข็งแกร่งของจี้ซิงเหยา

ProjectZyphon

นี่ก็คือเผ่าวาทวาโย กลุ่มเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษ หากต้องการสืบถามข่าวคราวอะไร ไปหาเผ่าวาทวาโยต้องไม่พลาดเด็ดขาด


เช่นเดียวกัน หากคิดแพร่ข่าวอะไร เผ่าวาทวาโยสามารถรับหน้าที่อย่างสบายเช่นกัน ความปากสว่างของพวกเขาล้วนสร้างชื่อทั่วดินแดนรกร้างโบราณ


แน่นอนว่าเผ่าวาทวาโยรับผิดชอบแค่การค้นหารวบรวมและกระจายข่าวสาร สำหรับข้อเท็จจริงของข่าว พวกเขาไม่ไปคัดกรองหรอก


บางครั้งการสร้างข่าวลือเท็จเทียมส่วนหนึ่งก็นำมาซึ่งการประณามด่าทอจากผู้ฝึกปราณมากมาย มองว่าพวกเขาฟังลมเป็นฝน แพร่ข่าวลือโป้ปดหลอกลวงปวงชน


แต่โดยส่วนใหญ่ข่าวที่เผ่าวาทวาโยเผยแพร่ยังคงเชื่อถือได้มาก


“น่าแปลก เมื่อวานลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินยังมีการต่อสู้ยอดเยี่ยมหาใดเปรียบอยู่เลย ทำให้เด็กหนุ่มปริศนาคนหนึ่งผงาดกร้าว เอาชนะสถิติของเฉิงลี่เสวี่ยในคราเดียว อึกทึกครึกโครมทั้งสนาม แต่ทำไมกลางดึกเมื่อคืนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินถึงไฟไหม้ได้”


เมื่อได้ยินข่าวที่เผ่าวาทวาโยเผยแพร่ ผู้ฝึกปราณมากมายต่างประหลาดใจ


“เหอะๆ อาจเป็นเรื่องที่คู่แข่งบางส่วนของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสร้างขึ้นก็เป็นได้ ถึงอย่างไรคนร่วมอาชีพนั่นแหละคือศัตรูคู่แค้น และนครเตโชก็มีลานประลองยุทธ์หลายสิบแห่ง การประชันขันแข่งและต่อต้านล้วนยากหลีกเลี่ยง”


มีคนทำการสันนิษฐาน มีสุขบนทุกข์ของผู้อื่น


ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ หลินสวินตีหน้าซื่อ ในใจกลับรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง ไหนเลยจะคาดคิดว่าเรื่องที่เขาก่อกลับทำลานประลองยุทธ์อื่นกลายเป็นแพะรับบาป


แต่เช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยที่สุดต่อให้ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินแค้นตนเข้ากระดูก เกรงว่าคงไม่มีทางนำเรื่อง ‘อัปยศอดสูใหญ่หลวง’ เช่นนี้ป่าวประกาศออกมา


หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นคงไม่ต่างอะไรกับตบหน้าตัวเอง ที่เสียหน้าคงมีเพียงลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเท่านั้น


“ฮ่า ชะตาฟ้าลิขิต เดิมวันนี้ไม่คิดไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ที่นั่นก็บังเอิญไฟไหม้พอดี”


ซย่าเสี่ยวฉงหลุดขำ สาวน้อยไร้เดียงสาช่างไม่รู้อะไร เพลิงอัคคีครั้งนี้แท้จริงแล้วเกิดจากหลินสวินผู้อยู่ข้างกายนาง


“ชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ” หลินสวินยิ้มรับ สองมือวางไว้หลังศีรษะ เดินเล่นตามสบายบนถนนสายหลักอันครึกครื้น ยิ้มมีนัยลึกซึ้ง



ลานประลองยุทธ์พันกระเรียน


ด้วยมีประสบการณ์การต่อสู้ที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินแล้ว เมื่อมาถึงที่นี่หลินสวินทำการสมัครอย่างคุ้นเคย จากนั้นจึงขึ้นสังเวียนประลอง


การหลอมชำระวิถียุทธ์ต่างจากการสังหารศัตรูจริง ต้องการผู้แข็งแกร่งที่สามารถต่อสู้อย่างแท้จริงมาแลกเปลี่ยนความรู้และต่อกร และในระหว่างประลองก็เคี่ยวกรำหยั่งรู้ปริศนาแก่นพิสุทธิ์ของวิถียุทธ์อย่างแท้จริง


นี่ก็คือการ ‘ประลองฝีมือ’ ที่เรียกกันทั่วไป


สำนักโบราณบางส่วน ถึงขั้นมีผู้อาวุโสเยี่ยมยุทธ์เฉพาะทางมาต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กับศิษย์ ทุ่มเทชี้แนะสุดแรงใจ และสามารถทำให้ศิษย์ยึดกุมแก่นพิสุทธิ์วิชาลับบางประการได้ในเวลาอันรวดเร็ว


เห็นชัดว่าสำหรับหลินสวินนี่คงเป็นเรื่องเพ้อฝันไม่อาจเอื้อม


ลานประลองยุทธ์นครเตโชแม้มีมากและไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งชั้นยอด แต่ที่สามารถต่อกรกับหลินสวินกลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


ภายใต้ความจนปัญญา หลินสวินได้แค่ระงับพลังของตนทำการฝึกยุทธ์


อีกทั้งมีบทเรียนจากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ครั้งนี้เขาจึงเปลี่ยนวิธี หลังชนะแต่ละสนามจะพักก่อนรอบหนึ่ง


และเมื่อชนะถึงยี่สิบสนามก็จะรับรางวัลค่อยลาจาก เปลี่ยนลานประลองยุทธ์แห่งอื่นและทำการขึ้นสังเวียนประลอง


จริงดังคาด หลังทำเช่นนี้ความสนใจที่ได้รับน้อยลงมากอย่างชัดเจน ยามรับรางวัลก็ไม่เจอการเล่นแง่อีก


สองสามวันต่อมา หลินสวินผ่านลานประลองยุทธ์แต่ละแห่งในนครเตโชอย่างนับว่าไปได้ดีมาก


ระหว่างนั้นแม้เขาไม่เคยเจอคู่แข่งที่ทำให้รู้สึกถึงความกดดันอย่างแท้จริง แต่กลับเจอวิชาลับการต่อสู้สารพัดสารพัน


อีกทั้งรูปแบบความชำนาญในการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งต่างเผ่าพันธุ์ล้วนต่างกันออกไป เรียกได้ว่าหลากหลายประเภท ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์ ได้ประโยชน์ไม่น้อยโดยปริยาย


อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งเผ่าเพลิงหินหนืด ทันทีที่ประลองก็เปลี่ยนเป็นหินหนืดเชี่ยวกราก คลื่นอัคนีดุจสายธารปกคลุมฟ้าดิน เผาทำลายห้วงอากาศ เด็ดขาดดุดันเหลือประมาณ


หรืออย่างผู้แข็งแกร่งเผ่าทอฝัน ชำนาญการโจมตีจิตวิญญาณ วิชาลับที่สำแดงสามารถถักทอเขตแดนมายาจู่โจมเสมือนจริงมากมาย แท้เทียมคละผสม ดุจดั่งความฝันเสมือนภาพลวงตา สามารถสังหารคนอย่างไร้ร่องรอย


ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าฟ้าเครือพฤกษาซึ่งตามพัวพันอย่างที่สุด มีความสามารถเด่นล้ำในการฟื้นคืนตน หลั่งโลหิตคืนชีวา!


หรือพูดได้ว่าแม้สังหารจนเขาเหลือเพียงเลือดหยดเดียว แต่แค่สบโอกาสเขาก็จะรวมกายกลับมาใหม่อีกครั้ง!


นอกจากนี้ยังมีเผ่าอสูรมารบุปผาเขียวที่ชำนาญการใช้พิษ เผ่าเงาหมอกที่สามารถซ่อนเร้นกลบร่องรอย เผ่าจินตเมฆาที่ควบคุมสัตว์ปีศาจลงกรำศึกได้แต่กำเนิด… และอีกต่างๆ นานา


การต่อสู้กับพวกเขาทำให้หลินสวินได้เปิดโลก และทำให้เขามีประสบการณ์และเรียนรู้หลายสิ่ง


นี่ทำให้หลินสวินเองทอดถอนใจ ดินแดนรกร้างโบราณนี้ใหญ่โตนัก แผ่กว้างไพศาล หมื่นเผ่าพันธุ์เรียงราย แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างมีพรสวรรค์ จึงสามารถดำรงอยู่ท่ามกลางการประชันขันแข่งอันเหี้ยมโหดจวบจนปัจจุบัน



“น้องหลินสวิน ไม่คิดมาเล่นสนุกกับข้าจริงหรือ” ภายในโรงเตี๊ยม ฟางหลินหานถามยิ้มระรื่น


หลายวันนี้แค่เขากลับจากลานประลองยุทธ์นครเตโชก็จะมาเซ้าซี้หลินสวิน หมายต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กับหลินสวินสักตั้งให้ได้ ทำหลินสวินปวดหัวหาใดเปรียบ


ฟางหลินหานดูเหมือนรู้ว่าหลินสวินไม่มีทางรับคำ เขาพลันเปลี่ยนประเด็นทันที “จริงสิ วันนี้มีข่าวน่าอัศจรรย์หนึ่ง บอกว่ายอดเขาดาราโรยในส่วนลึกภูเขาโคม่วงเกิดการต่อสู้สะเทือนใต้หล้า อสูรเฒ่าเครือเถาเกือบถูกสังหาร บาดเจ็บสาหัสหนีหัวซุกหัวซุน”


พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาเขาฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง “เจ้ารู้ไหมว่าใครทำ”


หลินสวินชะงักไป “ใครหรือ”


สีหน้าฟางหลินหานผิดปกติยิ่งกว่าเดิม เจือรสเหลือจะเอ่ย คล้ายชื่นชมทั้งคล้ายฝันใฝ่


ครู่ใหญ่เขาจึงกล่าว “จี้ซิงเหยา ธิดาเทพเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนปัจจุบัน”


ใจหลินสวินพลันสั่นสะท้าน “เป็นนาง?”


ในใจเขาไม่อาจสงบ เรือนกระบี่เร้นปุจฉาถูกยกย่องว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม สำหรับจี้ซิงเหยา ในฐานะธิดาเทพคนปัจจุบันแค่คิดก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่น่าตกตะลึงไร้เทียมทานระดับใด


ถึงขั้นที่นางมีท่วงท่าของการเป็นผู้นำหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิมอยู่เลือนราง


เพียงแต่หลินสวินยังคงคาดไม่ถึง ในฐานะเป็นคนรุ่นเยาว์เหมือนกัน จี้ซิงเหยากลับสามารถโจมตีราชันกึ่งระดับจนพ่ายแพ้ได้!


ความร้ายกาจของอสูรเฒ่าเครือเถานั่น หลินสวินเคยประสบด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นในหมู่ราชันกึ่งระดับก็ยังเป็นพวกแข็งแกร่งถึงขีดสุด


แต่เขาเกือบสิ้นชีพในการประลองกับจี้ซิงเหยา สุดท้ายต้องหนีหัวซุกหัวซุน!


“พลังปราณของนางบรรลุถึงระดับใดกันแน่” หลินสวินอดถามไม่ได้


ฟางหลินหานถอนใจกล่าว “ข้ารู้แค่หนึ่งปีก่อนยังมีข่าวแพร่สะพัด ว่านางอาศัยปราณระดับหยั่งสัจจะเอาชนะศิษย์สืบทอดระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งในเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ทำทั้งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอึกทึกครึกโครม”


“ศิษย์สืบทอดระดับกระบวนแปรจุติคนนั้นหาใช่พวกธรรมดา นามอิงอวิ๋นชง มาจากเผ่าอิงหลง พรสวรรค์เป็นเลิศ ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแดนฐิติประจิม แต่กลับถูกจี้ซิงเหยาใช้ปราณระดับหยั่งสัจจะเอาชนะข้ามระดับ แค่คิดก็รู้ว่าพลังของสตรีผู้นี้ชวนประหวั่นระดับใด”


หลินสวินไหวหวั่นอย่างอดไม่อยู่ เพราะตัวเขาเองก็มีความสามารถเช่นนี้ ดังนั้นจึงเข้าใจว่าการกำจัดศัตรูข้ามระดับได้ต้องมีพลังแข็งแกร่งมากเพียงใด


‘คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้ยังมีบุคคลเช่นนี้อยู่…’


หลินสวินทอดถอนใจอยู่ภายใน ‘หากคาดเดาจากจุดนี้ บุตรเทพอวี่หลิงคงที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าจี้ซิงเหยา’


ฟางหลินหานเสริมอีกหนึ่งประโยค “แต่ข้าได้ยินว่าที่ครั้งนี้จี้ซิงเหยาสามารถเอาชนะอสูรเฒ่าเครือเถาได้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะพลังของนางแข็งแกร่งเพียงพอจริง แต่ที่สำคัญที่สุดคือนางใช้สมบัติอริยะชำรุดซึ่งสืบทอดมาช้านานชิ้นหนึ่ง”


“ที่แท้เป็นเช่นนี้”


หลินสวินพลันผ่อนคลายลงไม่น้อย


ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามในมือเขา สามารถจู่โจมสังหารราชันกึ่งระดับเช่นเดียวกัน หากจี้ซิงเหยาอาศัยสมบัติคล้ายคลึงกันชิงชัยมา เช่นนั้นก็ไม่ถึงขั้นสะเทือนใต้หล้าเกินไป


แน่นอนว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังเป็นการเคาะสัญญาณเตือนคราหนึ่งแก่หลินสวิน ให้เขาตระหนักว่าดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่ครองไพ่ไม้ตาย


ผู้กล้าแห่งยุคคนอื่นเช่นจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง เกรงว่าคงครอบครองสมบัติต้องห้ามที่ไม่มีใครล่วงรู้เหมือนกัน!


หลินสวินเอ่ยถาม “จริงสิ คนที่โดดเด่นเช่นจี้ซิงเหยานี้ เหตุใดจึงปรากฏตัวในแคว้นวิญญาณอัคนีกะทันหัน หรือมาเพื่อวาสนาบนยอดเขาดาราโรย”


ฟางหลินหานยักไหล่กล่าว “ข้าไม่ใช่คนเผ่าวาทวาโย จะรู้ข่าวเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ข้ารู้ว่าครานี้แม้จี้ซิงเหยานั่นจะซัดอสูรเฒ่าเครือเถาพ่ายแพ้ยับเยิน ท้ายที่สุดก็ไม่ได้อะไร ไร้ผลตอบแทน”


เขาหยุดพูดไปชั่วขณะแล้วจึงกล่าวต่อ “อีกทั้งบนยอดเขาดาราโรยเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ ยอดเขาทั้งลูกหายลับกะทันหัน แม้ร่องรอยเพียงเสี้ยวล้วนเสาะหาไม่พบ ราวถูกคนเคลื่อนย้ายกลางอากาศ เห็นชัดว่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก”


หลินสวินตะลึงงัน จากนั้นก็เข้าใจโดยพลัน เกรงว่านี่คงเกี่ยวกับเซ่าเฮ่าซึ่งจำศีลอยู่ใน ‘ไข่แห่งกลุ่มดาว’ นั่น!


นึกถึงเซ่าเฮ่า หลินสวินมีความรู้สึกพูดไม่ออกอย่างหนึ่ง เขามีลางสังหรณ์เด่นชัดว่า ยามเซ่าเฮ่าจากเผ่าราชันเร้นดาราคนนี้ทะยานฟ้าปรากฏตัวสู่โลกหล้า ไม่จำศีลอีก รัศมีของเขาต้องไม่ด้อยไปกว่าเอกบุคคลอย่างจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงแน่!



“เหลือเวลาตามนัดหมายแค่หนึ่งวัน หากอาจารย์เจ้ายังไม่มาอีก ข้าจะจากไปแล้ว”


เช้าตรู่วันนี้หลินสวินออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมซย่าเสี่ยวฉงตามปกติ มุ่งหน้าสู่ลานประลองยุทธ์กลางเมือง


น้ำเสียงซย่าเสี่ยวฉงชัดกระจ่าง กล่าวอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “วางใจเถอะ ที่อาจารย์ข้าเกลียดที่สุดชั่วชีวิตคือไม่ไปตามนัด ตัวนางเองต้องไม่ทำอย่างนั้นแน่”


“งั้นก็ดี”


หลินสวินพยักหน้า หลายวันนี้นอกจากลานประลองยุทธ์นครเตโชแล้ว ลานประลองยุทธ์อื่นในเมืองต่างถูกหลินสวินไปเยือนเกือบหมด


ปัจจุบันเหลือลานประลองยุทธ์ไม่กี่แห่งที่เขายังไม่ได้ฝากร่องรอย


ที่น่าเสียดายคือ จนถึงตอนนี้ยังไม่พบคู่ต่อสู้ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดัน


อีกทั้งหลินสวินไม่คิดหยุดพักอยู่ในนครเตโชต่อ เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่เขามายังดินแดนรกร้างโบราณคือมุ่งหน้าสู่แดนชัยบูรพา สืบถามข่าวคราวของอวิ๋นชิ่งไป๋ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเพื่อเตรียมการแก้แค้น!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีความคิดจะรั้งอยู่ในแคว้นวิญญาณอัคนีซึ่งไม่รู้ว่าห่างจากแดนชัยบูรพาเท่าไหร่นัก


ลานประลองยุทธ์หมอกสน


หลินสวินและซย่าเสี่ยวฉงเดินเข้าไปเคียงกัน


“เอ๋!”


แต่ขณะเงาร่างทั้งสองเพิ่งลับหาย บนท้องถนนที่ห่างออกไปกลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งส่งเสียงประหลาดใจ “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าหมอนี่!”


ตอนที่ 789 ความโลภครอบงำ

ProjectZyphon

ชายที่หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาคนนั้น ทันทีที่จำหลินสวินได้ หว่างคิ้วก็ปรากฏเงามืดวูบหนึ่ง ในใจถาโถมด้วยความรู้สึกเหลือจะเอ่ยที่ไม่รู้ว่าคับแค้นหรือหวาดกลัว


ชายผู้นี้หาใช่ใครอื่น เป็นโม่เฟิงผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณนั่นเอง


ตอนนั้นยามทดสอบบนภูเขาโคม่วง เพราะปัญหาเรื่องการขอโทษอย่างเดียว ทำพวกเขาทั้งขบวนถูกหลินสวินเล่นงานต่อเนื่อง โกรธแค้นกลัดกลุ้มเสียจนแทบกระอักเลือด


แต่ท้ายที่สุดพวกเขายังยอมจำนนไม่กล้าแก้แค้น เพราะแม้แต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงยังยกย่องหลินสวิน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไหนเลยจะกล้าล้างแค้นอีก


ทว่าโม่เฟิงกลับคาดไม่ถึงยิ่งว่าจะพบหลินสวินกลางนครเตโชอีกครา


“เจ้ารู้จักเด็กนั่นรึ”


ผู้อาวุโสด้านข้างเอ่ยปาก เขาสวมชุดนักพรตสีน้ำเงิน มวยผมเหนือศีรษะ ผิวพรรณแวววาวหมดจดเหมือนเด็กทารก ท่าทางสง่างามดุจเซียนองค์หนึ่ง


เขามีนามว่าหานเหยียนเชวีย เป็นผู้อาวุโสระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งของสำนักมุกวิญญาณ และยังเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนวิชาแก่โม่เฟิง


“อืม” โม่เฟิงผงกศีรษะ


คิดไปคิดมาเขาจึงพูดอย่างขมขื่น “อาจารย์ งานประลองใหญ่รวมสำนักเมื่อหลายวันก่อน สาเหตุที่อันดับพวกเราสำนักมุกวิญญาณรั้งท้าย เพราะระหว่างการทดสอบถูกรบกวนจากคนผู้นี้”


พูดถึงตรงนี้ในใจโม่เฟิงมีความทรมานลึกล้ำพรั่งพรูขึ้นมา กล่าวต่อ “ว่าไปแล้ว เป็นพวกเราที่ผิดก่อน เผลอล่วงเกินฝ่ายตรงข้ามจึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้”


“ที่แท้ถูกเด็กนี่รบกวน นี่ก็สมเหตุสมผล”


หานเหยียนเชวียสีหน้าเจือแววประหลาด น้ำเสียงแฝงรสยากจะเอ่ย


ทำเอาโม่เฟิงชะงัก เดิมคิดว่าหานเหยียนเชวียต้องโกรธหรือตำหนิเขา คาดไม่ถึงว่ากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้


ที่ทำโม่เฟิงงงงันที่สุดคือ ต่อมาหานเหยียนเชวียถึงกับยกมือตบบ่าเขา กล่าวปลอบใจเสียงอบอุ่น “พวกเจ้าแพ้ในมือเขาก็ไม่เสียหลาย พลังต่อสู้ของเด็กนี่ป่าเถื่อนชวนประหวั่นยิ่งยวด เขาไม่ลงมือกับพวกเจ้ารุนแรงถือว่าไม่เลวแล้ว”


โม่เฟิงตะลึงงันอยู่บ้าง นี่มันเรื่องอะไร อาจารย์ที่เข้มงวดหาใดเปรียบในอดีตที่ผ่านมา ทำไมเปลี่ยนเป็นใจดีเช่นนี้


ทั้งยังปลอบโยนตนเป็นครั้งแรก!


โม่เฟิงมีรู้สึกจวนเจียนน้ำตาคลอ ตั้งกี่ปีมาแล้ว อาจารย์เข้มงวดกับตนมาตลอด ไม่เคยปลอบประโลมตนเช่นนี้มาก่อน


ยามนี้ในใจหานเหยียนเชวียก็รู้สึกซับซ้อนเช่นกัน


เขาเคยเจอหลินสวินตอนอยู่ใต้ยอดเขาดาราโรย เคยเห็นแสนยานุภาพของหลินสวินว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนยามปีนขึ้นยอดเขาดาราโรยอย่างแกร่งกร้าวกับตาตนเอง ระหว่างทางแทบไม่มีใครกล้าขัดขวาง!


ที่คาดไม่ถึงที่สุดคือ ตอนท้ายแม้อสูรเฒ่าเครือเถาออกจัดการล้วนไม่อาจฆ่าเด็กหนุ่มนั่น ซ้ำถูกเขาใช้ยานสำเภาที่คล้ายสมบัติอริยะหนีหายไป!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อทราบว่าศิษย์ของตนเคยถูกหลินสวินแกล้ง แน่นอนว่าเขาเข้าใจดี เพราะเขารู้ชัดแจ่มแจ้งว่าโม่เฟิงไม่อาจเป็นคู่ต่อกรเด็กหนุ่มนั่นแต่แรก


“หืม?”


ทันใดนั้น หานเหยียนเชวียพลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยานสำเภาในมือเด็กหนุ่มนั่นคือสมบัติอัศจรรย์ยากหยั่งถึง คล้ายสมบัติอริยะในตำนาน กระทั่งสามารถหลีกหนีการควบคุมของค่ายอริยะโบราณบนยอดเขาดาราโรยนั่น!


นึกถึงตรงนี้ในใจหานเหยียนเชวียเกิดความละโมบขึ้นอย่างระงับไม่อยู่ กล่าวกำชับทันที “เจ้ารออยู่ตรงนี้ จับตาดูเด็กนี่ให้มั่น ข้ามีเรื่องด่วนจะกลับสำนักก่อน”


เขาคิดกลับไปเจรจากับบุคคลแนวหน้าของสำนักมุกวิญญาณ หากสามารถฉวยโอกาสนี้ชิงสมบัติอริยะเพื่อสำนัก นั่นคงไม่ด้อยไปกว่าการได้รับศุภโชคยิ่งใหญ่แน่!


สมบัติอริยะเชียวนะ มีอานุภาพปิดฟ้าคลุมดิน น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ หากสามารถมีไว้ในครอบครอง ต้องทำให้อิทธิพลของสำนักมุกวิญญาณของพวกเขาโดดเด่นเหนือบรรดา ‘สี่สำนักสามตระกูล’ กลายเป็นราชันที่แท้จริงแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี!


‘จะต้องเร่งมือ อย่าปล่อยโอกาสให้พลาด!’


หานเหยียนเชวียยิ่งคิดความโลภในใจยิ่งแรงกล้า มีสัญญาณระงับไม่อยู่อยู่บ้าง แทบอยากลงมือทันที


แต่ท้ายที่สุดเขายังคงอดกลั้น ด้วยรู้ว่าเรื่องนี้คิดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดำเนินการวางแผนอย่างรอบคอบด้วย


ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนอยู่แค่ระดับหยั่งสัจจะคนนั้น แต่กลับสามารถหนีรอดการจู่โจมสังหารของอสูรเฒ่าเครือเถาได้ หากไม่อาจจับมันในคราเดียว ผลที่ตามมาคงยากคาดเดาจริงๆ


“อาจารย์ ท่านคิดจะทำอะไร”


โม่เฟิงไม่ได้โง่ เขาสามารถกลายเป็นคนโดดเด่นรุ่นเยาว์แห่งสำนักมุกวิญญาณได้ กล่าวถึงพรสวรรค์และเชาวน์ปัญญาล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่อาจเทียบอยู่โข


เขาสังเกตเห็นตั้งแต่แรก ว่าการตัดสินใจของอาจารย์เวลานี้ เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับหลินสวินซึ่งเดินเข้าไปในลานประลองยุทธ์หมอกสนเมื่อครู่!


“เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องรู้ เจ้าแค่จับตามองเด็กหนุ่มนั่น คว้าจับร่องรอยของมันตอนนี้ก็พอแล้ว จงจำไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น!”


หานเหยียนเชวียกำชับเคร่งครัดอีกรอบก่อนรีบเร่งจากไป


เห็นดังนั้นในใจโม่เฟิงสะดุดกึก ปรากฏลางสังหรณ์ไม่ดีวูบหนึ่ง อาจารย์ดูเหมือนจะกลับไปขอความช่วยเหลือจากสำนักมาจัดการเจ้าหนุ่มนั่นรึ


เขาสูดหายใจลึก สะกดข่มความตระหนกภายในใจเต็มที่ พลันกัดฟันกรอดเบี่ยงร่างเดินเข้าลานประลองยุทธ์หมอกสนทันที



ลานประลองยุทธ์หมอกสน


ในเขตพักผ่อน เด็กสาวเงาร่างสง่างาม บุคลิกเย็นเยียบผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงมุมเงียบ นางสวมชุดกระโปรงดำ หน้ากากขาวเงินดุจหิมะบดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เผยเพียงริมฝีปากแดงโค้งงามอวบอิ่ม คางเรียวแหลมขาวดุจหิมะเปล่งประกาย


นางนั่งอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ดูเย็นชาและลึกลับชัดแจ้ง นัยน์ตากระจ่างแวววาวเป็นประกายดุจอัญมณี เงียบสงบราวน้ำในทะเลสาบ


“คุณหนู ท่านหลบอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ผู้อาวุโสทุกท่านในสำนักต่างรอท่านกลับไปตาปริบๆ” ด้านข้าง หญิงชราชุดเขียวคนหนึ่งทอดถอนใจ จนปัญญาอยู่บ้าง


“ข้าเคยบอกแล้ว ก่อนมหาสงครามมาเยือนไม่พบใครทั้งนั้น แต่พวกเขาดันไม่ฟัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้พวกเขาปวดหัวไปเถอะ”


เด็กสาวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เสียงนางเยียบเย็นดุจหิมะ ไพเราะราวเสียงสวรรค์ วาจาแม้กล่าวง่ายๆ แต่กลับมีเสน่ห์พาให้ผู้คนไม่อาจขัดขืน


สิ่งนี้เสริมบรรยากาศให้นางยิ่งดูชวนประหวั่น แม้นั่งอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ก็มีความรู้สึกหยิ่งทะนงพาให้ผู้คนไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่น


หญิงชราชุดเขียวจนปัญญายิ่งกว่าเดิม เพียงแต่นางคล้ายประคบประหงมคุณหนูเบื้องหน้าเหลือประมาณ อยากจะพูดแต่ก็หยุดอยู่หลายครา ท้ายที่สุดก็ไม่กล่าวอะไรมากความอีก


“ข้าโมโหนัก”


ทันใดนั้นเด็กสาวหยัดนั่งตัวตรง นัยน์ตาใสสะอาดเจิดจรัสดุจดวงดาวฉายแววขุ่นเคืองวูบหนึ่ง “อีกแค่นิดเดียวก็จะจับตัวยอดฝีมือซึ่งจำศีลกลางค่ายอริยะโบราณบนยอดเขาดาราโรยนั่นได้อยู่แล้ว แต่สุดท้ายดันปล่อยให้เขาหนีไปได้!”


นางเม้มปากแดงอวบอิ่ม ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นเสียดกระดูก “บำเพ็ญเพียรมาถึงป่านนี้ ข้าเพิ่งเคยพลาดเป็นครั้งแรก หากข้าสืบรู้ว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใคร ต้องซัดมันให้หมอบสักตั้ง”


หญิงชราชุดเขียวคล้ายตื่นตระหนกอยู่บ้าง รีบร้อนกล่าว “คุณหนู ยอดเขาดาราโรยนั่นหายไปแล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ท่านอย่าได้เก็บมาคิดอีกเลย”


เด็กสาวร้องอือคราหนึ่งแล้วพลันหยัดร่างขึ้น


พริบตานั้น นางเปรียบดั่งบัวเขียวโผล่พ้นน้ำ รูปร่างทรงสง่าสมบูรณ์พร้อม ขาทั้งสองเรียวยาว เอวเล็กบาง ชุดกระโปรงดำไม่อาจอำพรางเส้นสายร่างกายอันสมบูรณ์แบบ


บนใบหน้า รูปร่างหน้าตาที่เรียกได้ว่าหาใดเปรียบของนางแม้ถูกหน้ากากปิดคลุมไว้ครึ่งหนึ่ง แต่จากผิวผุดผ่องราวไขมันแพะ จมูกโด่งเป็นสัน รวมถึงริมฝีปากแดงโค้งงามอวบอิ่มก็ดูออก ว่าเด็กสาวคนนี้มีความงดงามเพียงพอสะเทือนใต้หล้า


นี่คือท่วงทำนองที่แผ่เย็นดุจหิมะ ละเอียดลออและพิเศษโดดเด่น มีเอกลักษณ์สะดุดตาเหลือประมาณ แค่มองจากที่ห่างไกลก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกต่ำต้อย ไม่กล้าดูหมิ่นหยาบคายแม้เพียงเสี้ยว


“คุณหนู ท่านจะทำอะไร” หญิงชราชุดเขียวชะงัก


“แน่นอนว่าขึ้นสังเวียนเล่นสักหน่อย” เด็กสาวกระโปรงดำกล่าวสบายๆ


“ท่านจะสู้กับผู้ฝึกปราณอื่นที่นี่รึ”


หญิงชราชุดเขียวตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดไม่ออกทันใด นางรู้ดีว่าพลังที่คุณหนูครอบครองน่าหวาดกลัวเพียงใด!


อย่าว่าแต่ลานประลองยุทธ์เล็กๆ นี่ และไม่ต้องพูดถึงแคว้นวิญญาณอัคนีอะไร แค่กวาดตามองคนรุ่นเยาว์ทั้งแดนฐิติประจิม ผู้ที่มีคุณสมบัติประมือกับคุณหนูผู้นี้ นิ้วมือข้างเดียวยังนับได้หมด!


แต่ตอนนี้นางกลับจะขึ้นลานประลองยุทธ์ที่พอนับได้ว่าดีแห่งหนึ่งกลางนครเตโช แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ฝึกปราณอื่น นี่ทำให้ผู้คนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง


“ก็แค่เล่นสนุกเท่านั้น มิฉะนั้นใจข้าคงหดหู่เกินไป ต้องระบายออกมาสักหน่อย”


เด็กสาวกระโปรงดำพูดสบายๆ ก่อนลอยล่องห่างออกไป เงาร่างสันโดษเหนือสามัญ มีความเด่นผงาดเหนือโลกาอย่างหนึ่ง


“แค่เล่นสนุกก็ดี หากสามารถระบายความกลัดกลุ้มภายในใจ อาจจะเปลี่ยนความคิดและกลับสำนักก็เป็นได้…” หญิงชราชุดเขียวกล่ามพึมพำ



ตูม!


บนสังเวียน หลินสวินซัดคู่ต่อสู้คนหนึ่งพ่ายยับอีกครา นี่เป็นการชนะติดกันครั้งที่สิบเก้าของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนชนะอย่างราบรื่น


ใช่แล้ว ราบรื่น!


ตั้งแต่ช่วงแรกที่ขึ้นสังเวียนเขาก็กดพลังไว้ ตั้งเป้ามุ่งมั่นที่การหลอมชำระวิถียุทธ์ แทบไม่ให้ความสำคัญกับผลแพ้ชนะ


ไม่สามารถพูดได้ว่ามีสีสันและดึงดูดผู้คน ขอแค่เพียงฝึกฝนวิถียุทธ์เท่านั้น


การต่อสู้ยกที่ยี่สิบใกล้เริ่มต้น หลินสวินกำลังพักผ่อนอยู่ด้านข้าง ในใจกลับใคร่ครวญว่าแกนวิญญาณที่หามาในหลายวันนี้จะแลกเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางได้เท่าไหร่


หืม?


ทันใดนั้นในใจคล้ายเกิดความรู้สึกบางอย่าง หลินสวินเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังอีกฟากของสังเวียน ที่นั่นเด็กสาวเงาร่างงามสง่า สวมหน้ากากขาวเงินกำลังเดินเข้ามา


นางสวมชุดกระโปรงดำ ร่างสูงระหง เอวราวไหมมัด บ่าประดุจคมดาบ ดวงตาใสสะอาดเงียบสงบราวดวงดาราบนท้องนภา


นางมาถึงหน้าสังเวียน หยิบเชือกรัดผมสีเขียวเส้นหนึ่งออกมา มัดผมยาวดำขลับทั้งศีรษะไว้เบื้องหลัง เผยคอระหงขาวกระจ่างเรียวบาง การเคลื่อนไหวของนางแช่มช้า แต่กลับมีท่วงทำนองและสุนทรียะดุจภาพวาด ลอยชายสบายอารมณ์ ชื่นตาเบิกบานใจ


‘นี่ก็คือคู่แข่งสนามที่ยี่สิบของข้าหรือ’ สัญชาตญาณหลินสวินแหลมคมยิ่งยวด วินิจฉัยออกแต่พริบตาแรก ว่าเด็กสาวกระโปรงดำที่บุคลิกเยียบเย็นดุจหิมะ เงียบสงบหยิ่งทะนงคนนี้ น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวคนหนึ่งทีเดียว


นี่ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความสนใจสายหนึ่ง เหมือนพบคนรู้ใจร่วมโต๊ะสุรา พบคู่มือเล่นหมาก ทำให้เขาเฝ้ารออยู่บ้าง


หลายวันนี้เขาไม่เคยพบพวกที่เรียกว่าได้ว่าเป็นคู่ประมือเลยสักคน ในใจจึงนึกเสียดาย บัดนี้การปรากฏตัวของเด็กสาวกระโปรงดำคนนี้เห็นได้ว่าต่างออกไปโดยไม่ต้องสงสัย!


‘หวังว่าจะไม่ทำข้าผิดหวัง’


หลินสวินพึมพำในใจ


“เอ๋?”


ยามเด็กสาวกระโปรงดำขึ้นสังเวียน มัดผูกเชือกรัดผม เงาร่างพิเศษโดดเด่น มีบุคลิกกล้าหาญปลีกโลกาประการหนึ่ง


นางสังเกตเห็นหลินสวินแล้ว แรกเริ่มหาได้สนใจนัก แต่ไม่นานก็รู้สึกได้ว่านี่เป็นพวกที่ต่างออกไปคนหนึ่ง


บรรยากาศทั่วร่างเขาแม้เรียบง่ายแต่กลับสมบูรณ์กลมกล่อม มีท่วงทำนองกลับคืนสู่สามัญอย่างหนึ่ง สง่างามไร้มลทิน นับว่าหายากในบรรดาคนรุ่นเยาว์ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลผู้กล้า


นี่ทำให้เด็กสาวกระโปรงดำประหลาดใจอยู่บ้าง เดิมนางแค่อยากระบายความอัดอั้นในใจ จึงขึ้นสังเวียนมาเล่นสนุก นึกไม่ถึงว่าเหมือนจะพบคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวคนหนึ่งเข้าแล้ว


‘หวังว่าเจ้าคงไม่เลวนัก…’


มุมปากเย้ายวนอวบอิ่มของเด็กสาวกระโปรงดำปรากฏรัศมีโค้งที่คล้ายมีแต่ไม่มีสายหนึ่ง


ตอนที่ 790 ประลองกับเด็กสาวชุดดำ

ProjectZyphon

หลินสวินและเด็กสาวชุดดำต่างไม่รู้ว่าความคิดในใจอีกฝ่ายสอดคล้องกับตน


ไม่นานนักการต่อสู้ได้เริ่มต้น


ทว่าที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ ฝ่ายตรงข้ามยืนตระหง่านไม่ไหวติงท่าทางมั่นใจนัก คล้ายรอตนบุกโจมตีเข้าไปก่อน


‘ช่างหยิ่งทะนงเสียจริง’ หลินสวินแสยะยิ้มอยู่ในใจ


ขณะเดียวกันเด็กสาวชุดดำฝั่งตรงข้ามก็มุ่นคิ้ว เจ้าหมอนี่ดูไม่เกรงกลัวสิ่งใด นี่จะรอให้ตนจู่โจมก่อนรึ


แต่ที่สำคัญคือเขาแน่ใจหรือว่าจะต้านการโจมตีของตนได้จริง


‘ช่างหลงตัวเองเสียจริง…’


เด็กสาวชุดดำมุมปากเผยแววสนใจวูบหนึ่ง นางเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้เป็นครั้งแรก


ก่อนหน้านี้ยามนางต่อสู้ เหล่าคู่แข่งนั้นแต่ละคนต่างเหมือนเจอศัตรูผู้แข็งแกร่ง ระวังตัวหาใดเปรียบ แต่ไม่มีพวกเย่อหยิ่งอวดดีอย่างคนตรงข้ามนั่นโดยสิ้นเชิง


ดังนั้นบนสังเวียนจึงปรากฏฉากพิลึกพิลั่น เสียงระฆังเริ่มประลองดังขึ้นแล้ว หากแต่ชายหนึ่งหญิงหนึ่งกลับยืนนิ่งอยู่จุดเดิม ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันไม่ขยับแม้แต่น้อย


ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งที่ให้ความสนใจมาทางนี้พลันไม่พอใจ นี่มันเวลาไหนแล้วยังจะใช้อุบายลวงคน คนหนุ่มสาวสมัยนี้นับวันยิ่งไม่ได้เรื่องขึ้นเรื่อยๆ!


“พี่หลินสวิน อัดนางสิ อย่าเห็นว่านางเป็นผู้หญิงเลยรักษามารยาท!”


ซย่าเสี่ยวฉงที่อยู่ใต้สังเวียนโหวกเหวกเสียงกังวาน “อาจารย์ข้าเคยบอก นี่ไม่เรียกว่ามารยาท แต่เป็นการสบประมาทเกียรติภูมิของหญิงสาว สตรีที่แท้จริงไม่ต้องการการออมมือเช่นนี้!”


บนสังเวียนหลินสวินหน้าผากเส้นเลือดปูดโปน ส่วนฝั่งตรงข้าม บนหน้างดงามของเด็กสาวชุดดำที่ถูกปิดบังด้วยหน้ากากเงินเผยความงงงันวูบหนึ่ง


“ยังมีพี่สาวตัวน้อยท่านนั้น ท่านเองก็ลงมือสิ พี่หลินสวินอยากให้มีคนเอาชนะเขาจะตาย!”


ซย่าเสี่ยวฉงตะโกนอีกครั้ง ท่าทางกลัวฟ้าดินไม่วุ่นวาย


“หุบปาก!”


หลินสวินโมโหอยู่บ้าง อะไรที่เรียกว่าตนหวังโดนคนอื่นเอาชนะ มีวิธีพูดอย่างนี้ด้วยรึ หากทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจะทำอย่างไร


แต่ในใจเด็กสาวชุดดำกลับมีโทสะ นางหนูน้อยนี่แน่นอนว่ากำลังพูดกลับกัน คิดว่าไม่มีคนสามารถเอาชนะ ‘พี่หลินสวิน’ ของนาง!


“สหายท่านนี้ หากเจ้าไม่ลงมืออีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”


เด็กสาวชุดดำเอ่ยปากเย็นชา น้ำเสียงใสเย็นดุจน้ำแร่ ไพเราะปานเสียงสวรรค์ มีรสเยียบเย็นหยิ่งทะนงประการหนึ่ง


นางออกจะหมดคำพูด แอบตัดสินใจว่าประเดี๋ยวต้องมอบความทุกข์ระทมแก่เจ้าหนุ่มนี่สักหน่อย ดูสิว่าเขายังกล้าอวดดีอีกหรือไม่


“ไม่เกรงใจยิ่งดี”


ไม่ง่ายเลยกว่าหลินสวินจะพบคู่ต่อสู้ที่ดูไม่เลวนักคนหนึ่ง ต้องอยากให้อีกฝ่ายลงมือเต็มกำลังเป็นธรรมดา


“เจ้า…”


เด็กสาวชุดดำลอบขบฟันกรอด นัยน์ตากระจ่างถลึงมองหลินสวินวูบหนึ่ง “เยี่ยม อีกเดี๋ยวเจ้าอย่ามาร้องขอความเมตตา!”


จากนั้นบรรยากาศรอบตัวนางพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นชวนประหวั่น มีพลานุภาพไร้รูปแผ่ออกมาจากร่าง


สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเด็กสาวชุดดำ นัยน์ตาหลินสวินวาววาบ ยอดฝีมือ! ต้องเป็นยอดบุคคลในรุ่นแน่!


นี่ทำให้ในใจเขาปิติและรอคอยยิ่งกว่าเดิม ยิ้มกล่าว “ร้องขอความเมตตา? เหอะๆ คำพูดนี้เก็บไว้ให้ตัวเจ้าเถอะ”


เขตพักผ่อนที่ห่างออกไป สีหน้าหญิงชราชุดเขียวเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่นเจือความเวทนาวูบหนึ่ง เจ้าหนุ่มนั่นช่างกล้าเสียจริง ถึงกับกล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นกับคุณหนู…


ก็เห็นพลังทั่วร่างของเด็กสาวชุดดำเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตากระจ่างเปล่งแสงชวนประหวั่น เห็นชัดว่าถูกกระตุ้นจนโมโห


“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”


นางแค่นเสียงก่อนเริ่มโจมตี พริบตาที่มือกระจ่างตบออกไป บนสังเวียนพลันมีหมอกหนาปกคลุมลงมา พร่าเลือนดุจมายาทั่วสังเวียน


“สังเวียนนี้ถูก ‘หมอกวิญญาณเร้นจิต’ ปกคลุม หากเจ้าคิดยอมแพ้ก็ผ่านด่านนี้ของข้าไปก่อน!”


เด็กสาวชุดดำน้ำเสียงเยียบเย็น ชัดแจ้งว่านางตัดสินใจมอบบทเรียนหนักหน่วงแก่หลินสวิน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลินสวินยอมพ่ายลงกลางคันจึงใช้วิชาลับเช่นนี้


แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้หลินสวินชื่นชมยินดี กล่าวว่า “ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ข้ายังกลุ้มอยู่ว่าหากเจ้าผลุนผลันหนีไปจะทำเช่นไร”


วาจานี้แม้มาจากเสียงหัวใจ แต่สำหรับเด็กสาวชุดดำนั่นไม่ต่างอะไรกับการยั่วยุอย่างแจ่มแจ้ง


เดิมนางไม่คิดทำร้ายคน อย่างไรเสียด้วยฐานะนาง การไปรังแกเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งอย่างไรก็ดูไม่มีมาดเกินไป


แต่บัดนี้นางทิ้งเรื่องพวกนี้ไว้เบื้องหลัง ความคิดเพียงหนึ่งเดียวคือซัดเจ้าหนุ่มนั่นให้หนักสักตั้ง!


ตูม!


เด็กสาวชุดดำก้าวออกมาโดยไม่ลังเล มือหยกเรียวบางปัดเบาๆ ผ่านอากาศ ปรากฏแสงดุดันบริสุทธิ์เจิดจรัสดุจกระบี่เทพพังทลายห้วงอากาศทันใด


เมื่อจู่โจมออกมา พาให้จิตต่อสู้ภายในใจหลินสวินพวยพุ่ง นัยน์ตาเขาสาดแสงชวนประหวั่นวาดฝ่ามือยกซัดออก


เสียงฝ่ามือราวสายฟ้า ประดุจเทพมารกู่ก้อง ตามมาด้วยแสงน่าพรั่นพรึงเป็นผืนแผ่น


ในใจเด็กสาวชุดดำปรากฏคลื่นไหวหวั่นเสี้ยวหนึ่ง เพิ่งลงมือเพียงครา นางก็รู้ว่าเจอคู่ต่อสู้ทรงพลังยิ่งยวด ในระดับหยั่งสัจจะนึกไม่ถึงว่ายังมีคนเช่นนี้ ทำให้นางเกินคาดหมายอยู่บ้างจริงๆ


ฉึบ!


เงาร่างนางงามสง่า ย่างก้าวท่ามหมอกควัน นิ้วมือวาดผ่านแผ่วเบาแต่ราวกับทำลายล้าง ทุกสิ่งแตกเป็นเสี่ยงในหมอกแสงเจิดจรัส สลายการจู่โจมของหลินสวินอย่างง่ายดาย ลบล้างอย่างไร้รูป


นัยน์ตาดำหลินสวินลุ่มลึกดุจเหวลึก ตื่นตะลึงในใจ หญิงสาวผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากดังคาด


เขาไม่สะกดข่มและเก็บงำพลังอีก พลังทั่วร่างไหวเคลื่อนกึกก้อง ทั้งตัวอบอวลแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียว เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งทะยานไปเบื้องหน้า


การเปลี่ยนแปลงของเขาน่าตะลึง ก่อนหน้านี้ยังเหมือนราบเรียบสันโดษไม่แสดงตัวชัดเจน บัดนี้อานุภาพกลับแตกต่าง ดุจเทพมารคนหนึ่ง


ตูม!


เขาปล่อยพลังหมัด สะท้านฟ้าสะเทือนดินทลายห้วงอากาศ มีพลานุภาพไม่อาจทัดเทียม วาดกวาดฟ้าดิน กร้าวแกร่งยิ่งยวด


เด็กสาวชุดดำไหวหวั่น เพลิงโกรธในใจพลันเลือนหาย นางรู้ว่าคู่ต่อสู้คนนี้แข็งแกร่งกว่าที่ตนจินตนาอยู่บ้าง


แคว้นวิญญาณอัคนีมีอัจฉริยะเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


แม้เด็กสาวชุดดำจะคิดฟุ้งซ่าน แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่เชื่องช้า เงาร่างพลิ้วไหวดุจบัวเขียว รอบกายปรากฏมายากระบี่วิญญาณมากมายเราวกับเป็นของจริง เจิดจ้าแสบตา อวลเจตกระบี่เฉียบคมทะลวงฟ้า พาให้เมฆลมเปลี่ยนสี


ซ่าๆ…


กระบี่วิญญาณมากมายดั่งแสงพิรุณลอยล่อง พลิ้วไหวกลางอากาศ คล้ายสามารถบดขยี้หยินหยาง สลายสิ้นปัญจธาตุ ไอสังหารคลุ้งทั่วบริเวณ


พลังหมัดของหลินสวินถูกบดขยี้อย่างง่ายดาย แตกสลายขจรขจาย


สังเวียนนี้กำลังปั่นป่วนสั่นสะเทือนไม่หยุด


สุดท้ายหลินสวินก็ไหวหวั่นแล้ว ตั้งแต่ประมือถึงตอนนี้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แต่เด็กสาวชุดดำกลับสำแดงพลานุภาพและวิชายุทธ์ที่ทำเอาเขาตกตะลึงและผิดคาดหลายครั้ง เหนือความคาดหมายเขา


นี่ต้องเป็นคนรุ่นเดียวกันซึ่งแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่หลินสวินเคยพบนับตั้งแต่ฝึกปราณมาแน่ ทำให้เขาสัมผัสถึงพลังกดดันที่ปะทะเข้ามา!


ต้องรู้ว่าเขาก้าวสู่มกุฎมรรคาระดับหยั่งสัจจะแล้ว ประดุจราชันผู้สามารถก้มมองคู่ต่อสู้ระดับเดียวกัน เรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน


แต่บัดนี้เด็กสาวชุดดำคนหนึ่งกลับสามารถประลองกับเขา นี่ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายก็ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎหรือ


ครืน!


บนสังเวียนศึกใหญ่ปะทุ แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสโชติช่วง คนหนึ่งประดุจเทพมาร อีกคนเสมือนเซียนจากสวรรค์ ระหว่างทั้งคู่เกิดการต่อสู้สะเทือนใต้หล้า


ก็เห็นแสงพิรุณราวลอยล่อง เสียงธรรมสนั่นอึกทึก ห้วงอากาศทรุดลง สะท้อนลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นนานัปการ เรียกได้ว่าดุจหนึ่งเดียวในโลกา


สังเวียนแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือน แม้แต่ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ที่วางไว้ยังโคจรถึงขีดจำกัด ได้แค่ฝืนต้านพลังจู่โจมลูกหลงที่ออกมาจากการประลองนี้อย่างเต็มกลืน


บนอัฒจันทร์ห่างออกไป ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างถูกทำให้ตระหนก สายตาต่างมองมา จากนั้นล้วนตกอยู่ในความตื่นตะลึงใหญ่หลวง อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก


สะเทือนใต้หล้าเกินไปแล้ว การประลองเช่นนี้ทำฟ้าดินตรงนั้นเกิดสัญญาณอลหม่าน เมฆลมเปลี่ยนสี อานุภาพสั่นสะเทือนเหนือเก้าชั้นฟ้า


เปรียบเทียบกันแล้วการต่อสู้บนสังเวียนอื่นพลันเหมือนสู้ไม่ได้ ราวแสงหิ่งห้อยมิอาจสู้แสงเจิดจ้าแห่งตะวันจันทรา!


กระทั่งต่อมา บนสังเวียนอื่นในลานประลองยุทธ์หมอกสน การต่อสู้ทั้งมวลล้วนหยุดชะงัก ผู้ฝึกปราณที่กำลังประมือกันต่างพากันหันมองมาโดยพร้อมเพรียง


คนชั้นแนวหน้าของลานประลองยุทธ์หมอกสนเองก็ถูกทำให้ตระหนก ทยอยปรากฏกาย


การประลองครั้งนี้ช่างเจิดจรัสเป็นประวัติการณ์ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งชิงชัย ทุกการเคลื่อนไหวปลดปล่อยพลานุภาพราวผลาญภูผาต้มมหาสมุทร ท่วงท่าอหังการเช่นนั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสบางส่วนยังสู้ไม่ได้ สั่นสะท้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ไม่ต้องสงสัย นี่คือการประลองชั้นยอดในประวัติการณ์ พบเห็นได้น้อยนัก ในนครเตโช การต่อสู้ไร้เทียมทานคล้ายคลึงกันนี้ล้วนแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!


ขณะนี้หลินสวินและเด็กสาวชุดดำกลายเป็นศูนย์รวมสายตามหาชน ทั้งลานประลองยุทธ์หมอกสนต่างตกอยู่ในบรรยากาศตื่นตะลึง


ใครต่างไม่อาจจินตนาการ ว่าเหตุใดวันนี้จึงเกิดศึกใหญ่แห่งยุคเช่นนี้กะทันหัน และไม่อาจทราบว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่นเป็นอริยเทพจากที่ใด เหตุใดจึงไร้เทียมทานและแข็งแกร่งเช่นนี้


แต่ทุกคนต่างรู้ชัด การประลองนี้ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ เมื่อปิดฉากลงต้องปั่นป่วนใต้หล้าแน่!



ห่างออกไปหญิงชราชุดเขียวสีหน้าจริงจังคร่ำเคร่ง ดวงตาฉายแววตระหนก จ้องทั้งสองซึ่งประมือกันบนสังเวียนเขม็ง


ยามนี้นางไม่เวทนาหลินสวินอีก ถึงขั้นรู้ว่าความคิดตนเมื่อครู่ผิดไปแล้ว ประเมินเด็กหนุ่มนั่นต่ำไป


‘แคว้นวิญญาณอัคนีปรากฏเด็กหนุ่มที่สามารถประมือกับคุณหนูได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเป็นทายาทตระกูลไหนกัน’


หญิงชราชุดเขียวจิตใจไหวกระเพื่อม มีเพียงตัวนางที่รู้ชัด หากเรื่องวันนี้แพร่ออกไปจะเกิดผลกระทบน่าหวาดกลัวมากเพียงใด ทั่วแดนฐิติประจิมต้องโกลาหลแน่


‘ยังดีที่ฐานะคุณหนูไม่ถูกเปิดโปง ต่อให้มีผลกระทบยิ่งใหญ่ก็คงไม่ถึงขั้นส่งผลต่อคุณหนู…’


หญิงชราชุดเขียวสูดหายใจลึก ความสนใจทั้งหมดจดจ่อที่หลินสวิน นางมีความสงสัยอย่างแรงกล้าประการหนึ่ง นั่นคือเด็กนี่เป็นใครกันแน่



ซย่าเสี่ยวฉงเองก็ตะลึงอึ้งราวห่านไร้สมอง ครู่ใหญ่จึงกล่าวพึมพำ “คราวนี้พี่หลินสวินจะแพ้หรือไม่”



ตูม!


บนสังเวียนหลินสวินกำลังกรำศึก ท่วงท่ายามเคลื่อนไหวงามสง่ามีราศี แม้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่กลับมีพลังอาจหาญผงาดผยอง มั่นคงและแกร่งกร้าวดุจดั่งราชัน


เด็กสาวชุดดำสัมผัสถึงแรงกดดันขนานใหญ่ แต่กลับไม่ลุกลน รับมืออย่างใจเย็น


มีเพียงนัยน์ตากระจ่างคู่นั้นของนางที่เจิดจ้ากว่าเดิม ทั่วร่างมีแสงบริสุทธิ์ปริศนาไหลหลั่ง ไม่เก็บงำอีกเช่นกัน


เพราะนางรู้ว่าคราวนี้ตนเจอศัตรูผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงคนหนึ่งโดยบังเอิญเข้าแล้ว!


ตอนที่ 791 การต่อสู้สะเทือนใต้หล้า

ProjectZyphon

หลินสวินสะใจนัก!


นับแต่เขาก้าวสู่มกุฎมรรคา เพิ่งเคยพบคนรุ่นเดียวกันที่แข็งแกร่งเช่นนี้เป็นครั้งแรก ซ้ำยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง


เมื่อเขาเปลี่ยนการเก็บงำพลังก่อนหน้านี้ โคจรพลังทั้งมวลเข้าปะทะ จิตต่อสู้ภายในใจดุจภูเขาไฟลุกโหมร้อนระอุ


ตูม!


พลังหมัดของเขาเปิดเผยยิ่งใหญ่ อานุภาพแหวกภูเขาแยกสมุทร ทลายฟ้าตัดดิน มาพร้อมเสียงหงส์ขับมังกรขาน ปั่นป่วนที่ราบโดยรอบ สั่นสะเทือนโลกาพิภพ


นี่คือเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์!


หลินสวินเวลานี้เสมือนราชันผู้มิอาจทัดเทียม ยืนตระหง่านเหนือยอดระดับ หยิ่งผยองห้าวหาญดั่งมีเพียงข้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


ดวงตาเด็กสาวชุดมีแสงวาบไหว นางคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าในแคว้นวิญญาณอัคนีจะมีคนที่เรียกได้ว่าเป็นราชันในระดับหยั่งสัจจะ ท่วงท่าไร้เทียมทานเช่นนั้นเรียกได้ว่าเหนือพิภพอย่างแท้จริง


อีกทั้งอายุยังน้อยเช่นนี้ ช่างยากพบเห็นยิ่งแล้ว!


“ฮึ มีฝีมือแค่นี้รึ หากเป็นเช่นนั้น วันนี้เจ้าต้องถูกข้าซัดจนโงหัวไม่ขึ้นแน่!”


เด็กสาวชุดดำแค่นเสียงคราหนึ่ง เจตนากระตุ้นหลินสวิน หมายลองดูขีดจำกัดและศักยภาพแฝงที่แท้จริงของเขาว่าอยู่ระดับใด


ขณะเดียวกันร่างสูงโปร่งทรงสง่าของนางเปล่งประกาย ท้ายหลังศีรษะปรากฏจักระเทพวงหนึ่ง ดุจโลกศักดิ์สิทธิ์ใบเล็ก อวลแสงอัศจรรย์เจิดจรัสโชติช่วง น่าตื่นตาหาใดเปรียบ


นี่คือมรดกวิชาลับอันน่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง มีอานุภาพกำราบฟ้าดิน หลอมละลายสรรพวิญญาณ


ก็เห็นกลางจักระเทพนั่นมีมังกรเจินหลงท่องเหินห้วงอากาศ หงส์เพลิงเริงระบำเหนือเก้าชั้นฟ้า เต่าดำสยบทะเลคราม วิหคชาดผลาญห้วงนภากาศ ลักษณ์ประหลาดทยอยปรากฏ ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต


ยิ่งมีเสียงธรรมปริศนารางๆ ดังออกมา คลุมเครือแผ่กว้าง ดุจอริยเจ้าแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ทำให้ทั่วฟ้าดินแถบนี้บริสุทธิ์ผุดผ่องหาใดเปรียบ มีอานุภาพเกรียงไกรไร้สิ้นสุดปกคลุม และทั้งหมดล้วนพุ่งกำราบไปยังหลินสวินเพียงคนเดียว


แข็งแกร่งยิ่ง!


หลินสวินสั่นสะท้านใจ สัมผัสถึงพลังกดดันหาใดเปรียบ ถึงกับทำให้เขามีเค้าลางว่าจะถูกพันธนาการและกดกำราบ


ทว่าเขาไม่ตระหนกแต่กลับยินดี ใจต่อสู้เปี่ยมท้นยิ่งกว่าเดิม โลหิตเดือดพล่านดุจเพลิงผลาญ มีอานุภาพกลืนกินภูผาธารา มาดมั่นไร้คู่ต่อกร


ตูม!


ผมสีดำของเขาแผ่สยาย นัยน์ตาดำดุจเหวลึกเจิดจ้า แสงศักดิ์สิทธิ์รอบกายยิ่งเหมือนห้วงมายา ท่วงท่าไร้มลทินยิ่งกว่าเดิม


กระบวนท่าทลายภูผา ทลายสมุทร ทลายวิญญาณ ทลายอากาศ ทลายมังกร ทลายปักษาเพลิง ทลายสวรรค์ ทลายอเวจี ทลายจักรวาล…


ปริศนาแห่งเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ถูกเขาใช้อย่างชำนาญ โหมปล่อยตามสะดวก เพียงชั่วขณะบนสังเวียนเปี่ยมพลังทำลายล้างน่าสะพรึง เสมือนวันสิ้นโลกมาเยือน


สามารถพบเจอคู่ต่อสู้ระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เวลานี้หลินสวินดื่มด่ำอยู่ในการต่อสู้โดยสมบูรณ์ ลืมสิ้นโลกภายนอก


ในสายตาเขามีเพียงการต่อสู้


จิตวิญญาณเขาเปี่ยมใจต่อสู้ พลุ่งพล่านร้อนเดือดดุจหินหนืด!


‘ร้ายกาจนัก ท่วงท่าแห่งการไร้คู่ต่อกรในระดับเดียวกันรึ หรือว่าเขาสัมผัสถึงธรณีประตูแห่งมกุฎมรรคา เข้าใจแก่นแท้แห่งราชันเสี้ยวหนึ่งแล้ว’


เด็กสาวชุดดำนัยน์ตาดุจสายฟ้า ในใจเองก็สั่นสะท้านไม่หยุด ควรรู้ว่านางบำเพ็ญเพียรมาจนถึงปัจจุบัน แต่นานมากแล้วที่ไม่เคยต่อสู้เช่นนี้มาก่อน


ผ่านผู้แข็งแกร่งที่ประลองกับนางในอดีต ไม่เคยมีใครเหมือนเจ้าหมอนี่ที่สามารถยืนหยัดได้ถึงขั้นนี้ ซ้ำยังไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!


นี่ทำให้ใจต่อสู้ของเด็กสาวชุดดำถูกกระตุ้น กำหนดเวลาของมหาสงครามขยับใกล้เข้ามาทีละก้าว ก่อนหน้านั้นสามารถพบเจอคู่ต่อกรเช่นนี้ได้ เป็นเรื่องโชคดีโดยไม่ต้องสงสัย


ทั่วร่างนางถูกกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม เจิดจ้าดั่งเซียนลงจากสวรรค์มาเยือนโลกา รูปร่างท่าทางทรงสง่า ผิวพรรณกระจ่างเป็นประกายไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี


ตูม!


ไม่นานนักค่ายกลป้องกันบนสังเวียนแห่งนี้ก็แบกรับต่อไม่ไหว ระเบิดแตกเสียงดังสนั่น คลื่นพลังน่าสะพรึงดุจเขาถล่มสมุทรคำรามแผ่กระจาย


ในลานประลองเต็มไปด้วยเสียงร้องแตกตื่น ผู้ฝึกปราณซึ่งเดิมถูกการประลองชิ้นเอกทำเอาสะท้านสะเทือน บัดนี้ต่างลนลานหนีหัวซุกหัวซุน ถอยห่างไปยังพื้นที่ห่างไกล


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ต้องรู้ว่าค่ายกลป้องกันบนสังเวียนนั้น สามารถต้านทานคลื่นพลังของผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติได้ แต่ยามนี้กลับถูกทำลายเละ…


นี่ไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้ระหว่างชายหญิงคู่นี้ มีพลังพอจะกำราบผู้ที่อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติหรอกรึ


“สวรรค์! หนุ่มสาวคู่นี้ดุดันเกินไปแล้วกระมัง” ผู้ฝึกปราณมากมายตกตะลึงอ้าปากค้าง ล้วนสั่นสะท้านจนจิตวิญญาณสูญเสียการควบคุม


‘ท่าทางเช่นนี้ อาจมีเพียงผู้กล้าแห่งยุคชั้นยอดที่สุดในปัจจุบันจึงจะสามารถครอบครองได้!’ ผู้ฝึกปราณอาวุโสส่วนหนึ่งในใจต่างสะท้านขวัญ แม้แต่พวกเขายังตระหนกและไหวหวั่นอย่างลึกซึ้ง


การต่อสู้แห่งยุคเช่นนี้ ต้องเรียกว่าเป็นประวัติการณ์เหนือกาลเวลา ยากพบเห็นและพิเศษโดดเด่นเกินไป


“พี่หลินสวิน อัดนาง!” ซย่าเสี่ยวฉงกวัดแกว่งกำปั้นเล็กนุ่มพลางตะโกนลั่น นางตื่นเต้นยิ่งนัก ดวงตาเปล่งประกายวาววาม


ฟุ่บ!


ในสังเวียนเงาร่างเด็กสาวชุดดำวาบไหวแล้วขึ้นมาอยู่บนชั้นเวหา ดวงตากระจ่างราวอสนีก้มมองหลินสวิน “กล้าขึ้นมาสู้ให้หนำใจสักตั้งไหม”


บริเวณลานประลองยุทธ์แม้ใหญ่โต แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับนางกลับเห็นได้ว่าจำกัดมือเท้าอยู่บ้าง ทันทีที่ต่อสู้ตามอำเภอใจอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติมิอาจจินตนา


“ดั่งเจ้าปรารถนา!”


หลินสวินยิ้มร่า เขามีความคิดเช่นนี้นานแล้ว เงาร่างวูบไหวทะลวงขึ้นเหนือเมฆโดยพลัน


ครืน!


บนท้องฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจาย เปล่งแสงแรงกล้าเจิดจรัส ตามมาด้วยเสียงกึกก้องน่าสะพรึง ราวฟ้าคะนองสั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้า พลานุภาพน่าหวาดกลัว


ทั้งสองโรมรันดุเดือดอีกครา


ในลานประลองยุทธ์หมอกสน ผู้ฝึกปราณทั้งหมดอึ้งงัน พวกเขาแหงนมองขึ้นไปกลับเห็นแค่สัญญาณการต่อสู้เลือนรางบางส่วน เพราะที่นั่นช่างเจิดจรัสพาให้ตาพร่าเกินไป เสมือนการต่อสู้ระหว่างเทพไท้ที่ไม่อาจมองจ้องโดยตรง


ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสส่วนหนึ่งที่ใช้พลังจิตรับรู้ได้ยังไม่กล้าสาดส่ายโดยง่าย กลิ่นอายสังหารทะลวงฟ้า ณ ที่นั้น หากไม่ระวังให้ดีอาจส่งผลต่อพวกเขา


และเวลานี้ไม่ใช่แค่ลานประลองยุทธ์หมอกสน ในอาณาบริเวณอื่นของนครเตโชต่างถูกทำให้ตระหนก


อย่างไรเสียอานุภาพแห่งการต่อสู้นี้ก็เกรียงไกรเกินไป ปัจจุบันกลายเป็นศึกเหนือท้องฟ้า ต่อให้ไม่อยากดึงดูดสายตาก็ยังยากลำบาก


“นั่นมันอะไร”


“สวรรค์! คงไม่ใช่เทพเซียนกำลังเข่นฆ่าโรมรันกันกระมัง”


ผู้ฝึกปราณและสิ่งมีชีวิตสารพัดเผ่าที่สัญจรบนท้องถนนอันคึกคักในนครเตโชต่างสะท้านขวัญทันใด เกิดเสียงอึกทึกครึกโครม


ปรากฏการณ์นั้นน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ก็เห็นว่าบนท้องฟ้าชั้นเมฆป่วนทลาย แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง เสียงปะทะน่าพรั่นพรึงดุจฟ้าร้องระเบิดลั่น สั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน


ท่ามกลางความเลือนรางยังมีเสียงพยัคฆ์คำรนมังกรคำราม เทพมารกู่ก้องดุดันสะท้อนไปมา พาให้ใจไหวหวั่น สัมผัสได้ถึงแรงกดดันหาใดเปรียบ


นีเหมือนกันการประชันแห่งทวยเทพเหนือสวรรค์ เกรียงไกรและไร้ขีดจำกัด!


“เร็วเข้า! ลานประลองยุทธ์หมอกสนเกิดศึกแห่งยุค สะท้านฟ้าสะเทือนดิน อย่าพลาดเชียว!”


“ตรงนั้นไง!”


นครเตโชเป็นเมืองเก่าแก่ซึ่งคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของแคว้นวิญญาณอัคนี ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่เหลือประมาณ


แต่เมื่อการต่อสู้นี้เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้า ยังคงดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณในแต่ละบริเวณ


หากมองจากเบื้องสูงจะพบว่า เวลานี้มีเงาร่างชิดถี่แน่นขนัดนับไม่ถ้วนจากทั่วสารทิศกำลังเข้าใกล้ลานประลองยุทธ์หมอกสน ดูเกรียงไกรยิ่งยวด



“เฮ้ย ทำไมไม่สู้แล้วล่ะ”


ลานประลองยุทธ์นครเตโช ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งเพิ่งปลุกความกล้าขึ้นสังเวียน กลับเห็นฟางหลินหานกระโดดลงจากสังเวียน ราวกับมองข้ามการมีอยู่ของเขาโดยสิ้นเชิง ทำเอาผู้ฝึกปราณคนนั้นคับแค้นอับอายยิ่ง


“เหอะๆ เจ้ายังยอมแพ้?”


ฟางหลินหานเยาะหยัน ตบฝ่ามือหนึ่งออกไป ก็เห็นผู้ฝึกปราณบนสังเวียนถูกซัดกระเด็นราวแมลงวันโดยไม่ทันได้ตอบสนอง


“น่าชังนัก ทำไมข้าไม่เจอคู่ต่อสู้ที่พอประลองกันได้บ้าง”


นัยน์ตาฟางหลินหานมองท้องฟ้าอันห่างไกล ที่นั่นกำลังมีการต่อสู้สะเทือนใต้หล้าเปิดฉากดุเดือด นี่ทำให้เขานอกจากประหลาดใจแล้วยังอดอิจฉาไม่ได้ ยอดฝีมือระดับนี้ หากหนึ่งในนั้นประมือกับตนก็คงมาไม่เสียเที่ยวแล้ว!


ฟุ่บ!


เขาพุ่งไปทางลานประลองยุทธ์หมอกสนโดยไม่ลังเล อยากรู้นักว่าสองคนที่กำลังประลองกันอยู่เป็นอริยเทพจากที่ใด


“หืม? จริงสิ แวะโรงเตี๊ยมบอกน้องหลินสวินให้ไปดูเรื่องสนุกด้วยกันดีกว่า”


ระหว่างทางฟางหลินหานฉุกคิดขึ้นมาได้ การต่อสู้เช่นนี้หาดูได้ยาก ต้องเป็นการต่อสู้ระหว่างสองผู้เยี่ยมยอดแน่นอน หากพลาดไปคงน่าเสียดายนัก


“เอ้อ จากความสามารถของหมอนั่น น่ากลัวว่าคงรู้และรุดหน้าไปก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”


ฟางหลินหานนึกถึงเรื่องคืนวันนั้นที่หลินสวินสังหารคนชุดดำระดับกระบวนแปรจุติสองคน ก่อนส่ายศีรษะเคลื่อนตัวห่างออกไป



ลานประลองยุทธ์หมอกสน


โม่เฟิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กำสองหมัดแน่น ดวงตาจับจ้องบนท้องฟ้าเขม็ง มองเห็นเด็กหนุ่มท่าทางราวเทพมารอยู่เลือนราง ผงาดกร้าวและหยิ่งผยอง เผยอานุภาพชวนพรั่นพรึงไร้ขอบเขต


ทว่าในใจโม่เฟิงกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและงุนงง


‘ที่แท้เขาแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิด เกรงว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงลงมือเองก็ยังไม่ถึงขั้นนี้กระมัง…’


‘อาจารย์คงตระหนักถึงความน่ากลัวของเด็กนี่ จึงกลับสำนักไปเชิญคนมา… รับมือเขางั้นรึ’


ในใจโม่เฟิงมีความรู้สึกพูดไม่ออกอย่างหนึ่ง เป็นศัตรูกับคนเช่นนี้คือทางเลือกที่ถูกต้องจริงหรือ


เขาไม่อาจรู้



ฮูม


อีกด้านหนึ่งหญิงชราชุดเขียวลงมือทันใด นางเรียกคทาหยกสมปรารถนาอันหนึ่งออกมา ละอองแสงหมื่นพันสายแผ่พลิ้ว ลอยคว้างทะยานขึ้นเหนือฟ้า และแปรเป็นม่านแสงสายหนึ่งปกคลุมห้วงอากาศ


จากนั้นห้วงอากาศบริเวณนั้นก็ไม่โกลาหลอีก คลื่นกระทบซึ่งแผ่กระจายออกมาจากการต่อสู้ราวถูกพลังไร้รูปสลายไป


เห็นดังนั้นหญิงชราชุดเขียวก็เป่าปากโล่งอก การต่อสู้นี้รุนแรงเกินไป หากพลังที่หลงเหลือจากการประลองแผ่กระจายต่อเนื่อง คงทำลายอาณาบริเวณนี้แน่!


ที่นี่คือนครเตโช มีผู้คนมากมายอยู่อาศัยแน่นขนัด หากเกิดเรื่องเช่นนั้นจะต้องนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างไม่อาจคาดเดา


“ในที่สุดครานี้คุณหนูก็เจอคู่ต่อสู้ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มนั่นสุดท้ายแล้วจะยืนหยัดได้นานเท่าไหร่…”


หญิงชราชุดเขียวดูสงบนิ่งยิ่ง นางรู้ชัดถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของเด็กสาวชุดดำ ด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจมาก


บนท้องฟ้า พลังของหลินสวินแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ทุกการเคลื่อนไหวมีมาดแห่งราชัน พลังต่อสู้เหินทะยาน เลือดลมพลุ่งพล่านดุจมหาสมุทร ทรงอานุภาพยิ่งกว่าเดิม


ปราณของเขาหยุดอยู่ที่ระดับหยั่งสัจจะนานแล้ว สาเหตุที่หลายวันนี้เคี่ยวกรำวิถียุทธ์ไม่หยุดหย่อน เพราะคิดเติมเต็มจุดบกพร่องโดยเร็ว ทำให้ตนอยู่ในขั้นสมบูรณ์เพื่อก้าวสู่หนทางแห่งมกุฎระดับกระบวนแปรจุติ!


และการประลองกับเด็กสาวชุดดำเวลานี้ สำหรับหลินสวินถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากในการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์โดยไม่ต้องสงสัย เขาไม่อยากพลาดไปโดยง่าย


ขณะเดียวกันเด็กสาวชุดดำก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในพลังต่อสู้ของหลินสวินอย่างแจ่มแจ้ง นี่ทำให้จิตใจของนางกระเพื่อมไหว ไม่อาจนิ่งสงบอย่างเลี่ยงไม่ได้


เจ้าคนที่เก่งกาจเช่นนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)