Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 780-785

 ตอนที่ 780 ยอมหรือยัง

ProjectZyphon

ตูม!


ร่างสง่าผ่าเผยของหนิวเปินเปล่งประกาย เบื้องหลังปรากฏภาพมายาวัวกระทิงตัวหนึ่ง เชิดศีรษะขึ้นฟ้า เท้าย่ำภูผาธารา ราวสามารถคำรามบดขยี้ฟ้าดิน


เขามาจากเผ่าวัวกระทิง ทรงพลังโดยกำเนิด ใช้วิชาลับพรสวรรค์ มีพละกำลังดุดันเด็ดขาดอย่างหนึ่ง น่าตระหนกเหลือประมาณ


‘เจ้าเด็กนี่จบเห่แน่!’ สายตาเด็กรับใช้เปี่ยมความเวทนา


หนิวเปินเองถือเป็น ‘คนคุ้นเคย’ ของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน เคยถล่มผู้แข็งแกร่งที่นี่คนแล้วคนเล่า พลังต่อสู้โหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งยวด


สำหรับคู่แข่งเขาถือว่าโชคร้ายโดยไม่ต้องสงสัย เพราะไม่เพียงถูกตีพ่าย ยังถูกอัดจนบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย แขนขาดขาแหว่ง ฉากจบช่างอเนจอนาถ


เด็กรับใช้แน่ใจนัก ว่าหากไม่ใช่สังเวียนประลองระดับเดียวกันไม่อนุญาตให้สังหารคน คู่ต่อสู้ของหนิวเปินเหล่านั้นเกรงว่าคงดับสิ้นนานแล้ว


และบัดนี้เด็กหนุ่มที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวคนนั้น จะต้องกลายเป็นผู้แพ้อีกคนในเงื้อมมือหนิวเปิน ประสบการทำลายล้างผลาญ…


ที่ทำให้เด็กรับใช้แปลกใจอยู่บ้างคือ สาวน้อยไร้เดียงสาที่อยู่ข้างกายเขากลับเหมือนตน มีความรู้สึกเวทนาสายหนึ่ง คล้ายไม่อาจทนดูต่อไป


ทว่าความเวทนาเช่นนี้กลับมุ่งเป้าไปทางหนิวเปินบนสังเวียน…


‘แม่นางน้อยคนนี้ดูไปแล้วสวยสดงดงาม คงจะไม่ไร้สมองกระมัง’


เด็กรับใช้เคลือบแคลงสงสัยยิ่ง


ตูม!


ขณะเดียวกันเสียงปะทะสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น กระเทือนจนหูเด็กรับใช้เสียงมีวิ้งๆ เบื้องหน้าพร่าเลือน เท้าเซเดินเอียงเกือบหกคะเมนลงกับพื้น


‘แม่งเอ๊ย หนิวเปินนั่นทำไมเพิ่งขึ้นมาก็เคลื่อนไหวซะใหญ่โต เขาคงไม่คิดเล่นเด็กหนุ่มนั่นยับในคราเดียวกระมัง’


เด็กรับใช้ตำหนิอยู่ในใจ แต่เขาหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่ จิตใจเจือความตื่นเต้นและรอคอยประการหนึ่ง สายตามองไปบนสังเวียนทันใด


เขาอยากเห็นภาพน่าเวทนาเกินทนของเด็กหนุ่มนั่นนัก


“เอ่อ นี่มัน… นี่…”


เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์บนสังเวียนชัดเจน แค่ชั่วพริบตาลูกตาเด็กรับใช้แทบถลน สะกดกลั้นจนหน้าดำหน้าแดงคล้ายเป็ดถูกหนีบคอ ท่าทางตกตะลึงอ้าปากค้าง


บนสังเวียน ร่างกายแข็งแรงกำยำดุจหอเหล็กของหนิวเปิน บัดนี้กลับกลิ้งเกลือกอเนจอนาถติดขอบสังเวียน ส่งเสียงหอบหายใจอย่างเจ็บปวด


และตรงหน้าอกเขาถูกรอยฝ่ามือหนึ่งนาบประทับ เสื้อผ้าอาภรณ์ขาดกระจุย ผิวหนังบวมเป่ง รอยนิ้วทั้งห้าเห็นชัดแจ้ง ราวเหล็กนาบร้อนแดงประทับอย่างหนักหน่วง


ทุกคนตรงนั้นต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน


ก่อนหน้าพวกเขายังหัวเราะเกรียวกราว สีหน้าสัพยอก คิดว่าหลินสวินต้องถูกถล่มแน่ ไหนเลยจะคิดว่าเวลานี้กลับเป็นหนิวเปินที่ถูกโจมตีลอยละลิ่ว


ซ้ำถูกฝ่ามือเดียวเบาๆ ของเจ้าหนุ่มนั่นเหวี่ยงกระเด็น!


นี่เห็นได้ว่าชวนตระหนกเกินไปแล้ว เมื่อครู่หนิวเปินดุดันเหี้ยมหาญระดับใด พลานุภาพดุจย้ายเขาคว่ำสมุทร กดดันใจคน


แต่ตอนนี้กลับกลิ้งอนาถอยู่บนพื้น ตะโกนร้องเจ็บเป็นเด็กทารก ทำให้ผู้คนต่างแทบไม่กล้าเชื่อตาตนเอง


“เฮ้อ เดิมคิดโจมตีความหยิ่งทะนงอวดดีนั่นของพี่หลินสวิน แต่ตอนนี้ดูท่าเขาคงลำพองตนยิ่งกว่าเดิม จะทำอย่างไรดีเนี่ย…”


ซย่าเสี่ยวฉงทอดถอนใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด “คงต้องโทษเจ้ากระทิงนั่น ก่อนหน้านี้ยังบ้าระห่ำ ตอนนี้ดูท่าคงอ่อนปวกเปียก”


เด็กรับใช้ได้ยินดังนั้นแทบเกือบกระอักเลือด


ที่แท้… หน้าตาเวทนาที่นางหนูนี่เผยเมื่อครู่ เพราะรู้ว่าหนิวเปินสู้ไม่ได้อยู่ก่อนแล้ว!


“สะใจโว้ย! ในที่สุดก็หาคู่แข่งแกร่งปึ๋งปั๋งให้ข้าได้สักที อย่างนี้สิถึงเต็มเหนี่ยว! สาแก่ใจ!”


บนสังเวียนหนิวเปินพลิกตัวขึ้นนั่ง ไม่เห็นความท้อแท้สิ้นหวังหรือโทสะ กลับมีท่าทางปิติยินดีและตื่นเต้นดีใจ หัวเราะลั่นไม่หยุด


แกร่งปึ๋งปั๋ง…


ไอ้วัวปากไม่มีหูรูดนี่ถึงกับบรรยายตนเช่นนี้…


หลินสวินมุมปากกระตุกโดยไม่รู้ตัวอีกครา นัยน์ตาดำล้ำลึกดุจหุบเหวอบอวลแสงเย็นเยียบอันตรายเป็นสายๆ


ตูม!


หนิวเปินพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ราวเขาลูกเล็กลื่นไถล พละกำลังดุดันยิ่งกว่าเดิม ทั่วร่างมีแสงทมิฬไหลบ่า แผ่ไอคลื่นอันน่าหวาดกลัว


ห้วงนภาแตกละเอียด บนสังเวียนปั่นป่วนโกลาหล หากไม่ใช่ว่ามีค่ายกลใหญ่ป้องกัน บริเวณนี้คงถูกทำลายล้างอย่างสาหัส


แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้น ก็ยังคงทำผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปกลัวจนใจสั่นระรัว แข็งแกร่งเกินไปแล้ว เจ้าหนิวเปินเผ่าวัวกระทิงนี่ทรงพลังแต่กำเนิด แข็งกร้าวดุดันถึงที่สุด!


ปึง!


ทว่าทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันฝ้าฟาง ตามหลังเสียงปะทะอึกทึกดับโสตประสาท คือหนิวเปินซึ่งท่าทีเหิมเกริมน่ากลัว ถูกฝ่ามืออันแผ่วเบาเดียวของหลินสวินซัดกระเด็นอีกครา


ช่องอกเขาถูกซัดจนเกือบยุบ ทั้งตัวราวคางคกนอนแหมะอยู่กับพื้น เลือดกบจมูกปาก ทั้งสังเวียนต่างถูกกระเทือนจนสั่นระรัว


แค่มองก็ทำผู้คนรู้สึกเจ็บจนหวั่นหวาด


ในใจทุกคนตื่นตระหนก ในที่สุดก็รู้ว่าเด็กหนุ่มที่หนิวเปินสู้ด้วยนั้นเป็นยอดฝีมือคมในฝัก!


อานุภาพหนิวเปินยิ่งใหญ่ระดับใด ทั้งใช้มรดกวิชาลับเก่าแก่ของเผ่าวัวกระทิง เปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะคนอื่น น่ากลัวว่าคงคุกเข่านานแล้ว


แต่ต่อหน้าเด็กหนุ่มนั่น หนิวเปินกลับดูประหนึ่งไม่เอาไหน


ถูกฝ่ามือเดียวเบาๆ ซัดกระเด็นติดกันสองครา ไม่ว่าหนิวเปินกร้าวแกร่งมากเพียงไร ล้วนถูกเด็กหนุ่มนั่นซัดทีเดียวจอด นี่ชวนหวาดหวั่นน่าตระหนกเกินไปแล้ว!


สายตาที่ทุกคนมองหลินสวินพลันเปลี่ยนไปทันที เจือความประหลาดใจวูบหนึ่ง


“เต็มเหนี่ยวไหม”


หลินสวินรูปร่างสูงสง่ายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่ก้าวขึ้นสังเวียนจนถึงตอนนี้ล้วนไม่ขยับแม้เพียงก้าว


หนิวเปินเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก กล่าวยิงฟัน “ยังไม่พอ มาอีก!”


ตูม!


เขาบุกจู่โจมอีกครั้ง ใช้สมบัติเป็นง่ามยักษ์สำริดที่แวววาวแสบตา กวาดทะยานห้วงอากาศ สาดแสงศักดิ์สิทธิ์นับหมื่นพันออกมา ดุจน้ำตกกดอัดห้วงอากาศครืนๆ


หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะคนอื่น หลังเจอการโจมตีสองครั้งนี้คงต้องบาดเจ็บหนักลุกไม่ขึ้น แต่หนิวเปินกลับยังดุจมังกรหาญพยัคฆ์เหิม เห็นได้ว่าดุดันไม่ธรรมดายิ่งนัก


หลินสวินสูดหายใจลึก ใช้พลังที่แท้จริงส่วนหนึ่ง ครั้งนี้หากไม่ตีเจ้าวัวกระทิงนี่จนหนำใจ เกรงว่าคงถูกซย่าเสี่ยวฉงเยาะหยันแน่


ปึง! ปึง! ปึง!


เวลาถัดมาหนิวเปินบุกจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกคราล้วนถูกหลินสวินใช้วิธีแข็งชนแข็งซัดกระเด็นโดยตรง ทำเอาผู้ฝึกปราณโดยรอบต่างตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก


การปะทะอันแข็งกร้าวในด้านพลังเช่นนี้ มีผลกระทบหนักหน่วงอย่างไม่ต้องสงสัย ทำเอาพวกเขาไม่อาจนิ่งสงบ


หนิวเปินกระหืดกระหอบ เสื้อผ้ากลายเป็นเศษซาก กล้ามเนื้อและกระดูกหลายแห่งได้รับบาดเจ็บ อเนจอนาถคับขันเหลือประมาณ แต่นัยน์ตาทั้งคู่ของเขากลับส่องประกายยิ่งกว่าเดิม ใจต่อสู้ลุกโหมร้อนเร่าดุจเตาหลอม


เขาบุกจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง พละกำลังป่าเถื่อนเดือดปะทุ เสมือนกระทิงบรรพกาลถูกยั่วโทสะ ง่ามยักษ์สำริดซัดสาดทั่วบริเวณ


ครั้งหันมองหลินสวิน ชายเสื้อพลิ้วไหว หมดจดไร้ความเสียหาย ท่าทางลอยชายและนิ่งสงบ มีกลิ่นอายไร้มลทินยากจับต้องอย่างหนึ่ง


บนสังเวียนประลองของทั้งคู่ เกิดการเปรียบเทียบอย่างเด่นชัด


“ยอมหรือยัง”


บนสังเวียนหนิวเปินถูกโจมตีล้มคว่ำอีกครา ทั่วร่างกำลังเกร็งกระตุก ทำให้ผู้คนไม่อาจฝืนมองดู ท่าทางเขาตอนนี้ช่างน่าอนาถเหลือเกิน


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขายังยิงฟันหัวเราะร่า “ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะได้เจอคู่ต่อสู้เช่นเจ้า มีหรือจะยอมแพ้ง่ายๆ มาอีก!”


นี่ทำให้ภายในใจหลินสวินไม่อาจไม่เกิดความนับถือขึ้นเสี้ยวหนึ่ง พลังต่อสู้ของหมอนี่อาจไม่ใช่ชั้นยอดที่สุดในระดับหยั่งสัจจะ แต่ความสามารถในการเป็นกระสอบทรายกลับเรียกได้ว่าเป็นเลิศ!


แต่ท้ายที่สุดหนิวเปินยังคงพ่ายแพ้ ถูกโจมตีจนไม่อาจตะกายขึ้นมาอีก ทั่วร่างล้วนไม่มีตรงไหนที่สมบูรณ์ดี ได้รับบาดเจ็บสาหัสนัก


“วันนี้ไม่สู้แล้ว รอแผลข้าหายดีค่อยมาอีก”


หนิวเปินเอ่ยปากพะงาบหายใจ ใจต่อสู้ในนัยน์ตายังคงฮึกเหิม แน่ใจได้เลยว่าหากพลังต่อสู้เขายังไม่หมด จะต้องประลองต่อไปแน่


“ยอมหรือยัง” หลินสวินถาม


หนิวเปินตะกายขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก ส่ายศีรษะยิงฟัน “ไม่ยอม”


ขณะพูดเขาเดินกะโผลกกะเผลกลงจากสังเวียน เหตุการณ์นี้ถูกผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งโดยรอบมองเห็นในสายตา ทำให้ในใจพวกเขามีความนับถือชื่นชมขึ้นมา


ไม่ว่าจะพูดอย่างไร การต่อสู้อย่างสุดกำลังของหนิวเปิน ปณิธานมุ่งมั่นไม่ยอมพ่ายนี้ช่างพบเห็นได้น้อยนัก พาให้คนรู้สึกไหวหวั่น


“จริงสิ”


ทันใดนั้นหนิวเปินซึ่งเดินลงจากสังเวียนหันกลับมา มองหลินสวินด้วยแววตาเร่าร้อน “แม้ข้าจะไม่ยอมแพ้ แต่ไม่อาจไม่พูดถึง เจ้ามันแข็งพอจริงๆ!”


หลินสวินสีหน้ามืดทะมึนโดยพลัน แทบอยากพุ่งเข้าไปฉีกปากเจ้าวัวนี่อย่างอดไม่อยู่ พูดจาดีๆ มันจะตายรึไง!?


ด้านข้างสังเวียน เด็กรับใช้ตะลึงอึ้งโดยสิ้นเชิง สีหน้าปรวนแปร การต่อสู้ปิดฉากลงแล้ว ผลกลับอยู่นอกเหนือการคาดหมายของเขาโดยสมบูรณ์


นั่นน่ะคือหนิวเปินซึ่งดุดันที่สุดแห่งเผ่าวัวกระทิงเชียวนะ!


กลับแพ้เสียอย่างนั้น


‘จบเห่ ครานี้มองผิดไปแล้ว…’


เด็กรับใช้นึกถึงท่าทีขอไปทีที่ตนปฏิบัติต่อหลินสวินก่อนหน้า พลันเสียใจภายหลังจนแทบอยากตบปากตัวเอง อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก


นี่ใช่เด็กหนุ่มยากไร้ไม่เป็นที่นิยมที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง!


เทียบกับผู้สืบทอดในสี่สำนักสามตระกูล ล้วนไม่ด้อยไปกว่าแม้แต่น้อย!


ใกล้ๆ สังเวียน ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งกำลังกระซิบกระซาบ การต่อสู้นี้ทำให้พวกเขาพลันค้นพบว่า เด็กหนุ่มที่ท่าทางไม่คุ้นตานี้ถึงกับเป็นบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง ในใจต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะสงสัยและสั่นสะท้าน


“คุณชาย เมื่อครู่ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ละเลยท่าน หวังว่าท่านผู้เป็นใหญ่จะไม่ถือผู้น้อย” เด็กรับใช้พุ่งไปหน้าสังเวียน รอยยิ้มเจิดจ้ากว่าดอกเบญจมาศเบ่งบาน เจือรสประจบสอพลอเข้มข้น เขากำลังกอบกู้ความผิดที่ก่อ หวังได้รับการอภัยของหลินสวิน


“ถุย! เจ้าหมอนี่ช่างไร้ปณิธาน เมื่อครู่เขาไม่เห็นพูดแบบนี้เลย” ซย่าเสี่ยวฉงสบประมาทยิ่ง ถ่มน้ำลายออกมาคำหนึ่ง


“ข้ากำลังขึ้นเวทีประลอง เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” หลินสวินเหลือบมองเด็กรับใช้วูบหนึ่ง ท่าทีไม่เกรงใจยิ่ง


รอยยิ้มเด็กรับใช้แข็งทื่อ ในใจเลือดหลั่งริน รับรู้ว่าคุณชายเบื้องหน้าคนนี้ เห็นชัดว่าไม่คิดให้อภัยเขาง่ายๆ


เขาสูดหายใจลึก ท่าทีเปลี่ยนเป็นนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม ตัดสินใจใช้ทุกวิถีทางทำความดีชดเชยความผิด “คุณชาย ตามกฎหากท่านจะอยู่บนสังเวียนต่อ จะมีผู้ฝึกปราณอื่นมาท้าสู้ท่าน ก่อนหน้านั้นท่านมีเวลาพักผ่อนครู่หนึ่ง…”


ไม่รอพูดจบก็ถูกหลินสวินตัดบท “ไม่จำเป็นต้องพักผ่อน เตรียมคู่ต่อสู้เถอะ ข้ารีบทำเวลา”


รีบทำเวลา?


เด็กรับใช้อึ้งงันไปครู่หนึ่ง เขาเพิ่งเคยได้ยินเหตุผลการต่อสู้ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครเช่นนี้เป็นครั้งแรก


ทว่าเขาไม่กล้าตั้งคำถามอีก ผงกหัวเป็นลูกไก่จิกข้าว กระวีกระวาดไปเตรียมผู้แข่งขันคนต่อไปแก่หลินสวิน


แน่นอนว่าหลินสวินหาได้เร่งทำเวลา เขาแค่อยากหาแกนวิญญาณบางส่วนภายในเวลาจำกัดเท่านั้น


‘สู้ชนะหนิวเปิน เท่ากับข้าได้รางวัลสองเท่า หรือก็คือสองร้อยแกนวิญญาณขั้นต่ำ ถูกลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหักค่าดำเนินการไปหนึ่งส่วน เหลือหนึ่งร้อยแปดสิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ’


‘หากเร่งทำเวลา คู่ต่อสู้ที่เจอศักยภาพไม่ต่างจากหนิวเปินมาก หนึ่งชั่วยามข้าสามารถสู้สิบยกติดกัน หากว่าราบรื่น สุดท้ายจะได้รับแกนวิญญาณขั้นต่ำประมาณหนึ่งพันแปดร้อยก้อน…’


หลินสวินลอบคิดคำนวณ ข้อสรุปที่ได้ทำให้เขาพอใจมาก ดวงตาเปลี่ยนเป็นส่องประกาย


ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินนี่เป็นสถานที่ดีดังคาด ไม่เพียงสามารถเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ ยังสามารถรับเงินรางวัลอุดมสมบูรณ์ก้อนหนึ่ง!


สิ่งเดียวที่ทำหลินสวินไม่พอใจ บางทีคงเป็นค่าดำเนินการที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหักไปอย่างไร้ปรานี ค้าขายสิบโกงไปเก้าจริงดังว่า!


ตอนที่ 781 ซย่าเสี่ยวฉงผู้ไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง

ProjectZyphon

ในเวลาต่อมา ท่าทีเด็กรับใช้นั่นเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นหาใดเปรียบ


“คุณชาย คนผู้นั้นคือผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์เผ่าถงเมฆา ฝึก ‘เคล็ดวิชายอดยุทธ์จรัสเลิศ’ พลังต่อสู้โดดเด่นยอดเยี่ยม ช่วงนี้ชนะบนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเราติดต่อกันสิบเก้าสนาม”


“คุณชาย ท่านต้องระวัง คนที่จะมาประลองกับท่านคือยอดฝีมือเผ่าสิงห์เขียว มีผลงานการต่อสู้เจิดจรัส ชนะติดกันยี่สิบสามสนาม”


“คุณชาย…”


ทุกครั้งที่มีคู่ต่อสู้คนใหม่ขึ้นสังเวียน เด็กรับใช้จะเตือนหลินสวินทีหนึ่ง ท่าทีกระตือรือร้นนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม ดูแลปรนนิบัติรอบคอบทั่วถึง


สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเด็กรับใช้ถูกทำให้กลัวโดยสมบูรณ์แล้ว


นับจากหลินสวินก้าวขึ้นสังเวียนจนถึงตอนนี้ ผ่านการประลองยี่สิบเจ็ดสนาม ได้รับชัยชนะยี่สิบเจ็ดยก ไร้พ่ายแม้คราเดียว!


ที่เด็กรับใช้รู้สึกใจสั่นสะท้านที่สุดคือ หลินสวินหาได้หยุดพักสักครั้ง แต่ละครั้งต่างชนะอย่างหมดจดชัดเจน ช่างมีพละกำลังไม่อาจต้าน ไม่อาจหยุดยั้งได้!


ต้องรู้ว่าบรรดาผู้แข็งแกร่งที่ประมือกับหลินสวิน ไม่ขาดแคลนพวกร้ายกาจผ่านศึกโชกโชน แต่ล้วนถูกหลินสวินคว่ำกำราบราบคาบไม่มีข้อยกเว้น!


‘ทรงพลังเกินไปแล้ว คุณชายผู้นี้เป็นอริยเทพจากที่ใดกันแน่ เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน’


เด็กรับใช้หัวสมองเบลอไปหมด ถูกสะเทือนจนมึนงง ต่อให้เขาผ่าสมองออกก็นึกไม่ออก ในแคว้นวิญญาณอัคนีอันใหญ่โตนี้ ปรากฏผู้กล้าหนุ่มเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


“ยอดผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์เผ่ามังกรหัสดีรุ่ยเจิ้นก็แพ้แล้ว! นี่เป็นชัยชนะยกที่ยี่สิบแปดของเจ้าหนุ่มนั่น!”


บนอัฒจันทร์อันห่างไกล เสียงร้องอุทานดังขึ้นเป็นระลอก


ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกปราณสนใจการต่อสู้ที่เกิดบนสังเวียนประลองระดับเดียวกันน้อยนัก แต่หลังจากหลินสวินแหวกทะลวงด่านอย่างราบรื่น ซัดถล่มคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าอย่างแกร่งกร้าว ไม่ช้าก็ดึงดูดสายตา เป็นจุดสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ


กระทั่งตอนนี้สังเวียนหมายเลขสิบเก้ากลายเป็นหนึ่งในสังเวียนซึ่งถูกจับตามองที่สุด ณ ที่นั้น ชักนำความอึกทึกครึกโครมใหญ่หลวง


“เด็กนี่เป็นใคร”


“เขามาจากไหน หรือจะเป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจสำนักใหญ่บางแห่ง”


“ดูอายุเขาสิ ไม่น่าเกินยี่สิบแน่ แต่กลับมีพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ในระดับหยั่งสัจจะ นี่ต้องเป็นผู้กล้าหนุ่มคนหนึ่งแน่นอน!”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นโดยรอบ ต่างถูกพลังของหลินสวินทำเอาตกตะลึง ทยอยคาดเดาความเป็นมาของเขา


กระทั่งแม้แต่คนระดับสูงของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินล้วนถูกทำให้ตื่นตระหนก เริ่มติดตามการต่อสู้ของหลินสวิน และเริ่มส่งคนสืบข่าวทุกอย่างที่เกี่ยวกับหลินสวิน


บรรยากาศ ณ ที่นั้นร้อนระอุยิ่ง ทำให้หลินสวินซึ่งอยู่บนสังเวียนหมายเลขสิบเก้ากลายเป็นพวกม้ามืด บุกทะลวงเข้าสู่สายตาของผู้คนทั้งหมดอย่างแข็งกร้าว


เห็นจะมีเพียงซย่าเสี่ยวฉงที่ซึมเซาไม่มีความสุข ยิ่งหลินสวินชนะมากนางยิ่งกลัดกลุ้ม


‘น้ำทะเลไม่อาจตวงวัด แมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง… นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่านางเป็น ‘แมลงฤดูร้อน’ นั่นหรอกรึ’


ที่ทำให้ซย่าเสี่ยวฉงขุ่นเคืองที่สุดคือ ชื่อของนางดันเป็นซย่าเสี่ยวฉง (夏小虫) ขาดไปคำเดียวก็จะเปลี่ยนเป็น ‘แมลงฤดูร้อน’ (夏虫) ตัวจริงแล้ว!


บรรยากาศกลางที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดอยู่บ้าง เสียงสูดหายใจดังขึ้นเป็นระลอก ผู้ฝึกปราณมากมายต่างท่าทางสั่นสะท้านพูดไม่ออก


เพราะเวลานี้บนสังเวียนหมายเลขสิบเก้า หลินสวินได้รับชัยชนะครั้งที่ยี่สิบเก้า


และชายหนุ่มซึ่งแพ้ย่อยยับในเงื้อมมือเขา กลับเป็นผู้โดดเด่นรุ่นเยาว์คนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงยิ่งในนครเตโช!


คนผู้นี้นามว่าหยางคู ชนะบนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินต่อเนื่องสามสิบสนาม ถูกยกย่องว่าเป็นรองแค่เด็กหนุ่มเจิดจรัสเผ่ามนุษย์เฉิงลี่เสวี่ย


เด้กหนุ่มเฉิงลี่เสวี่ย เป็เหมือนตัวแทนของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ปัจจุบันรักษาสถิติผลงานสูงที่สุด ชนะประลองติดต่อกันสามสิบเก้าสนาม ไร้พ่ายแม้เพียงครั้ง


ลือว่าเฉิงลี่เสวี่ยถูกสำนักกระบี่สนขจีหนึ่งในสี่สำนักสามตระกูลหมายตา ใกล้จะได้กลายเป็นผู้สืบทอดสำนัก!


สำหรับเด็กหนุ่มที่ออกมาจากเมืองเล็กห่างไกลแล้ว ช่างประดุจมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร ฐานะพลันเปลี่ยนแปลงต่างจากเดิมสิ้นเชิง


และบัดนี้หยางคูแพ้แล้ว ส่วนหลินสวินขาดเพียงการต่อสู้อีกเก้าสนาม ก็จะสามารถท้าทายสถิติที่เฉิงลี่เสวี่ยสร้างไว้!


นี่จะไม่ให้ผู้คนสั่นสะท้านได้อย่างไร


อันคำว่าชนะติดต่อกัน หมายถึงบนสังเวียนหนึ่งได้รับชัยชนะต่อเนื่อง ไม่เคยแพ้พ่าย ไม่ล้มเลิกไปกลางคัน ด้วยเหตุนี้ระดับความยากย่อมไม่ใช่ธรรมดา


บัดนี้หลินสวินได้ชัยชนะต่อเนื่องยี่สิบเก้าสนาม ซ้ำยังโจมตีผู้เจิดจรัสอย่างหยางคูจนพ่าย ความสั่นสะเทือนที่มอบแก่ผู้แข็งแกร่งบนอัฒจันทร์แค่คิดก็รู้ว่ามากเพียงใด


บรรยากาศตอนนี้พลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด เป็นการยืนยันอย่างไร้เสียงอย่างหนึ่ง


“แกร่งไปแล้ว! แกร่งไปแล้ว!”


เด็กรับใช้กำหมัดแน่น ทั่วร่างล้วนสั่นเทาเพราะตื่นเต้น วงหน้าแดงระเรื่อ


แต่ซย่าเสี่ยวฉงกลับห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม กล่าวเสียงชัดแจ้งอย่างอดไม่อยู่ “ลานประลองยุทธ์ใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีสักคนที่สามารถต่อกรพี่หลินสวินเชียวรึ”


เสียงนางแม้ไม่ดัง แต่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดกลับเห็นได้ว่าดังชัดเจนยิ่งนัก ทำเอาสีหน้าผู้ฝึกปราณทั้งหมดบนอัฒจันทร์เปลี่ยนเป็นพิกลในชั่วขณะ


แม่นางน้อยนี่หมายความว่าอะไร


กำลังช่วยเจ้าหนุ่มนั่นยั่วยุและประกาศสงครามรึ


แต่ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งซึ่งเข้าร่วมการประลองบนสังเวียนได้ยินดังนั้น แต่ละคนกลับสีหน้าอึมครึม จิตใต้สำนึกคิดว่านี่เป็นการมองข้ามและยั่วยุพวกเขาประการหนึ่ง ซ้ำยังตรงไปตรงมายิ่ง!


เพียงชั่วขณะ สายตาที่มองหลินสวินของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนเปลี่ยนเป็นไม่เป็นมิตร เต็ไปด้วยกลิ่นพุ่งปะทะ


บนสังเวียน เดิมหลินสวินกำลังคำนวณอยู่ในใจอย่างเบิกบาน ว่าหลังรับชัยชนะในการประลองสามสิบสนามตนจะได้รางวัลมากเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทั่วร่างพลันแข็งทื่อชั่วขณะ มุมปากกระตุก


“ซย่าเสี่ยวฉง!”


หลินสวินหันขวับ ส่งเสียงกรุ่นโกรธ นางเด็กนี่ช่างเป็นตัวดึงความเกลียดชังมือดี ประโยคเดียวก็ทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตี!


ต้องรู้ว่าสาเหตุที่เขาเข้าร่วมการต่อสู้ก็แค่เคี่ยวกรำวิถียุทธ์และถือโอกาสหาแกนวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้มาหาโอกาสก่อเรื่อง ดูแคลนและยั่วยุเหล่าผู้กล้าทั้งใต้หล้า!


“อ้าว พี่หลินสวิน หรือที่ข้าพูดมันผิดหรือ”


ซย่าเสี่ยวฉงทำหน้าตาใสซื่อไม่รู้เรื่อง


หลินสวินเอามือกุมหน้าผาก อัดอั้นจนอยากกระอักเลือด กับเด็กสาวทึ่มทื่อแบบนี้อธิบายไม่รู้เรื่องแน่!


เขาพลันกระโดดลงจากสังเวียน ลากแขนซย่าเสี่ยวฉงจะไปข้างนอก


ขณะเดียวกันหลินสวินสั่งกำชับเด็กรับใช้ “เจ้านั่นน่ะ วันนี้พอแค่นี้ เจ้าไปรับรางวัลมาให้ข้าหน่อย ให้ไว!”


“คุณชาย ข้าน้อยไม่ได้ชื่อ ‘เจ้านั่นน่ะ’ ข้าน้อยชื่อต่งปา” เด็กรับใช้เร่งรุดไปเบื้องหน้าอธิบายอย่างอดทน


“อย่าพูดมาก รีบไป!”


หลินสวินกลัดกลุ้มนัก เดิมเขายังคิดคว้าชัยเอาแกนวิญญาณอีกหน่อย แต่ตอนนี้ทำได้แค่จากไปก่อน มิฉะนั้นคงกลายเป็นศัตรูของทุกคนแน่!


“ขอรับ คุณชายรอสักครู่” ต่งปากระวีกระวาดรับปาก วิ่งหายไปดำเนินการ


“สหาย ไม่สู้ต่ออีกหน่อยเล่า สถานการณ์เบื้องหน้าประเสริฐนัก เจ้าเกือบทำลายสถิติเฉิงลี่เสวี่ยนั่นแล้ว หากจากไปเวลานี้ช่างน่าเสียดาย!”


บนอัฒจันทร์ เมื่อเห็นหลินสวินหมายจากไป ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งพลันอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเหนี่ยวรั้ง


“คุณชาย ทำลายสถิติจะได้รางวัลสิบเท่า ซ้ำยังได้หนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลางแยกอีกต่างหาก! คุณชายแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการ”


เมื่อได้ยินดังนั้นเบื้องหน้าหลินสวินมืดทะมึน รางวัลสิบเท่า? หนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลาง? นึกไม่ถึงว่าตนจะพลาดพลั้งเช่นนี้


“เพิ่งยั่วยุเสร็จเจ้าก็คิดหนีรึ ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม”


แต่ผู้แข่งขันส่วนหนึ่งที่นึกว่าถูกหลินสวินดูแคลนต่างโกรธแค้นมาก ส่งเสียงถากถางและเย้ยหยัน


“ปากเก่งขนาดนี้ ข้านึกว่าจะร้ายกาจขนาดไหน ที่แท้ก็เท่านี้ ได้แค่พูดจาอวดดี!”


“ถ้าเจ้ากล้าอยู่ต่อ วันนี้คุณชายอย่างข้าจะมอบบทเรียนยากลืมเลือนชั่วชีวิตแก่เจ้าแน่!”


หลินสวินในใจกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม หน้ามืดทะมึนไม่เอ่ยวาจา แอบกัดฟันกรอด เจ้าพวกนี้ช่างบังอาจนัก คิดว่าตนหวาดกลัวจึงเดินจากไปรึไง


น่าขันนัก!


ที่ซย่าเสี่ยวฉงพูดเมื่อครู่แม้ตรงไปตรงมาเกินไปอยู่บ้าง แต่จากมุมมองหลินสวิน บนสังเวียนต่อสู้ระดับเดียวกันของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน นอกเสียจากมีผู้แข็งแกร่งซึ่งก้าวสู่มกุฎมรรคาแบบเดียวกันมาเยือน คนอื่นๆ คงไม่อาจทำให้หลินสวินรู้สึกถึงแรงคุกคามอันใดได้!


นี่ก็คือความมั่นใจของหลินสวิน ที่น่าเสียดายคือ หากเขากล้าพูดคำเหล่านี้ออกไป เกรงว่าคงนำมาซึ่งการวิจารณ์โจมตีและคับแค้นมากกว่าเดิม และไม่อาจทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณนั้นนับถือเชื่อมั่น


นี่คือความจริง มีแต่ลมปากไร้หลักฐาน ใครจะเชื่อเล่า


นอกเสียจากคว่ำพวกเขาทุกคน บางทีอาจพิสูจน์ทุกอย่างนี้ได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นคงสะดุดตาเกินไป เคลื่อนไหวก่อเรื่องใหญ่โตเกินไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินต้องการ


ท้ายที่สุดหลินสวินยังคงสะกดกลั้นความกลัดกลุ้มสุมอก ตัดสินใจจากไปเลี่ยงปัญหา


“คุณชาย พรุ่งนี้ยังมาไหมขอรับ”


ก่อนจากไปเด็กรับใช้ต่งปาส่งมอบรางวัลทั้งหมดแก่หลินสวิน นี่ทำให้หลินสวินอารมณ์ดีไม่น้อย


“ดูสถานการณ์” หลินสวินกล่าวเรียบง่าย


“หึ พรุ่งนี้มาก็ไม่สนุก ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินนี่ไม่มีใครสู้พี่หลินสวินได้ มันช่าง…”


ซย่าเสี่ยวฉงเบะปากน้อยอวบอิ่ม ไม่พอใจนัก


ทว่ายังไม่ทันพูดจบก็ถูกหลินสวินผู้มีสีหน้าแทบดำทะมึนปิดปากทันใด จากนั้นรีบลากนางจากไป


“คุณชาย เถ้าแก่เราบอกว่า หากพรุ่งนี้ท่านขึ้นสังเวียนประลองต่อ ค่าดำเนินการที่เก็บจะลดให้ครึ่งหนึ่ง!”


ต่งปาตะโกนบอกอยู่เบื้องหลัง



ในโรงเตี๊ยม


หลังกลับมาแล้วหลินสวินถึงแอบเป่าปากโล่งอก จากนั้นมองตัวการอย่างซย่าเสี่ยวฉงด้วยสีหน้าไม่ดีนัก กล่าวว่า “เสี่ยวฉง เจ้าอยากให้มีคนชนะข้ารึ”


ซย่าเสี่ยวฉงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ใช้สองมือยันใบหน้าเล็กไร้เดียงสา กล่าวซึมเซาไม่ยินดี “ข้าแค่ไม่อยากเป็นแมลงฤดูร้อน”


“แมลงฤดูร้อน?” หลินสวินชะงัก นี่มันเหตุผลบ้าอะไรกัน


“ก่อนหน้านี้ท่านพูดไว้นี่ ว่าแมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง!”


ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวอย่างโมโห “ข้าชื่อซย่าเสี่ยวฉง ไม่ใช่แมลงฤดูร้อน!”


หลินสวินตะลึงงันก่อน จากนั้นก็เป็นสุขอย่างยิ่ง กุมท้องหัวเราะลั่น แมลงฤดูร้อน? ซย่าเสี่ยวฉง? ช่างเป็นคู่แท้หนุนส่งเด่นชัดซะจริง!


“มีอะไรน่าขันรึไง” ซย่าเสี่ยวฉงขึ้งโกรธ ดวงตาโตใสสะอาดจ้องหลินสวินอย่างเหี้ยมเกรียม ฟันทั้งปากเป็นประกายขาวดุจหิมะหมายกัดหลินสวินสักที


“เอ่อ ข้าแค่รู้สึกว่าชื่อเจ้าตั้งได้ไม่เลว” หลินสวินพูดพลางหัวเราะอีกคราอย่างอดไม่อยู่


นางหนูนี่จิตใจบริสุทธิ์ดุจผ้าขาว สำหรับบางด้านก็เหมาะกับคำว่าแมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็งจริงๆ


แน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงการจุดไฟเผาตนเอง หลินสวินย่อมไม่กล่าวถึงประเด็นนี้อีกอย่างมีสมอง


“สหาย วันนี้เจ้าเห็นบุตรเทพคนปัจจุบันที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะอวี่หลิงคงหรือไม่”


ทันใดนั้นน้ำเสียงอิสระและสบายๆ ดังขึ้นนอกประตูโรงเตี๊ยม เงาร่างฟางหลินหานซึ่งสูงโปร่งผึ่งผ่ายก้าวสวบๆ เข้ามา สายตามองมายังหลินสวิน


ตอนที่ 782 เวลาก็คือแกนวิญญาณ

ProjectZyphon

หลินสวินชะงักงัน ไม่ช้าก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ


ที่ฟางหลินหานกล่าวถึง น่าจะเป็นผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะที่มาเยือนวันนี้ โดยใช้เจียวทองเก้าหัวเป็นพาหนะ ใช้ตำหนักอมตะสมบัติอริยะเป็นที่พัก


ทว่าตอนนั้นหลินสวินเห็นแค่หนุ่มสาวส่วนหนึ่งซึ่งดูประดุจเทพเซียน ไม่รู้ว่าในนั้นใครคือบุตรเทพคนปัจจุบันของแดนพิสุทธิ์อมตะ


อวี่หลิงคง?


เป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์และชวนให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง


“อวี่หลิงคงนี่ร้ายกาจมากหรือ” หลินสวินถาม


ฟางหลินหานนั่งลงอีกฟากของหลินสวินอย่างสบายอารมณ์ มุมปากบางดุจปลายดาบปรากฏรัศมีโค้งสายหนึ่งพลางกล่าว “นี่น่ะเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานมือหนึ่งแห่งแดนกาฬทักษิณ ชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่พวกธรรมดา”


ชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่ง!


หลินสวินรู้สึกประหลาดใจทันใด นี่ออกจะน่าทึ่งอยู่บ้าง


ในแดนฐิติประจิมเป็นที่รู้กันว่ามีเขตแคว้นหลายพัน หนึ่งแคว้นเสมือนโลกขนาดย่อมแห่งหนึ่ง


เปรียบเทียบกันแล้ว ความยิ่งใหญ่ของอาณาเขตแดนกาฬทักษิณ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าแม้แต่น้อย


แต่อวี่หลิงคงบุตรเทพคนปัจจุบันแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะนี่ กลับชื่อเสียงสั่นสะเทือนทั้งแดนกาฬทักษิณ แค่คิดก็รู้ว่าคนผู้นี้เจิดจรัสและไร้เทียมทานระดับใด!


“ตระกูลอวี่ เมื่อครั้งบรรพกาลก็เป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง สามารถผ่านกาลเวลาเปลี่ยนผันไร้สิ้นสุดและดำรงอยู่จวบจนปัจจุบัน แค่คิดก็รู้ว่ารากฐานในตระกูลนี้น่าหวาดกลัวเช่นไร”


“และอวี่หลิงคงก็มาจากตระกูลอวี่ ทั้งเป็นทายาทสายตรง บรรพบุรุษเขาเป็นอริยะที่แท้จริงผู้หนึ่ง!”


ฟางหลินหานกล่าวทอดถอนใจอย่างยากพบเห็น “เดิมทียามอวี่หลิงคงเกิดก็มีพรสวรรค์เป็นเลิศติดตัวมาแล้ว ค่อนข้างลึกลับและสะเทือนใต้หล้าทีเดียว และหลังจากกราบอาจารย์เข้าสู่แดนพิสุทธิ์อมตะ ยิ่งเผยพลังแฝงและศักยภาพที่สามารถสะเทือนอดีตสาดส่องปัจจุบันออกมา”


“กระทั่งจนตอนนี้ เขาไม่เพียงเป็นบุตรเทพคนปัจจุบันของแดนพิสุทธิ์อมตะ ยังเป็นยอดบุคคลในหมู่ผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งแดนกาฬทักษิณ พอฟัดพอเหวี่ยงกับจี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาแห่งแดนฐิติประจิมของพวกเรา!”


กล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาฟางหลินหานฉายประกายเจิดจรัส “บุคคลเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคที่แท้จริง ประดุจสุริยันแรกปรากฏ เปล่งประกายโดดเด่นเหนือโลกหล้า ต่อให้กวาดตามองทั่วดินแดนรกร้างโบราณ บุคคลแห่งยุคเช่นนี้ก็มีแค่หนึ่งหยิบมือเท่านั้น”


หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจออกจะตกใจอยู่บ้าง


ฟางหลินหานนับเป็นบุคคลชวนตกตะลึงรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง แต่เขากลับชื่นชมอวี่หลิงคงแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะไม่หยุดปาก ไม่ตระหนี่วาจาสวยหรู จากจุดนี้ก็มองออกว่าฐานะของอวี่หลิงคงนั่นเด่นผงาดระดับใด


ฟางหลินหานพลันกล่าวเปลี่ยนประเด็น “แน่นอนว่าดินแดนรกร้างโบราณนี่กว้างใหญ่ไพศาล ใครต่างไม่อาจยืนยันว่ามีผู้กล้าที่น่าตกตะลึงอีกเท่าไหร่กันแน่ แต่ที่สามารถยืนยันได้คือ อย่างน้อยที่สุดบนโลกปัจจุบัน ในบรรดาผู้กล้าแห่งยุคที่ผู้คนต่างรู้จักต้องมีอวี่หลิงคงด้วยแน่”


หลินสวินเห็นด้วยกับจุดนี้อย่างสุดซึ้ง อย่างเช่นเซ่าเฮ่าแห่งเผ่าราชันเร้นดาราที่เขาพบบนยอดเขาดาราโรย ณ ภูเขาโคม่วงเมื่อหลายวันก่อน ต้องเป็นพวกฝีมือล้ำเลิศปลีกวิเวกทางโลกผู้หนึ่ง


แต่บนโลกนี้นอกจากตนแล้ว ปัจจุบันแทบไม่มีคนรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นี่ก็คือเบื้องลึกเบื้องหลังในดินแดนรกร้างโบราณ


ใครต่างไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อว่าบนโลกนี้มีอัจฉริยบุคคลพลิกฟ้า แต่ปัจจุบันกลับจำศีลเงียบๆ อยู่เท่าไหร่กันแน่


แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยัน นั่นก็คือหลังจากมหาสงครามมาเยือน ดินแดนรกร้างโบราณนี้ต้องมีเหล่าผู้พลิกฟ้าปรากฏตัวขึ้นบนโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แน่!


“จี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉานั่น เทียบกับอวี่หลิงคงแล้วเป็นอย่างไร”


หลินสวินอดถามไม่ได้


ใช่ว่าเขาสอดรู้สอดเห็น แต่เขารู้ดีว่าหากตนต้องการเด่นผงาดท่ามกลางมหาสงคราม ก้าวสู่มรรคา ‘ขอบเขตมกุฎราชัน’ ในตำนาน ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะกับคู่ต่อสู้อย่างอวี่หลิงคงหรือจี้ซิงเหยา!


ฟางหลินหานกล่าวขรึมเคร่ง “ผู้หญิงคนนี้ลึกลับน่าดู จนตอนนี้ก็ไม่เคยมีใครรู้ว่าพลังปราณของนางลึกซึ้งถึงระดับใด ทว่าไม่เพียงแต่ข้า ผู้ฝึกปราณมากมายแห่งแดนฐิติประจิมต่างสันนิษฐานว่า ความแข็งแกร่งแห่งรากฐานและพลานุภาพในพลังของผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ด้อยไปกว่าอวี่หลิงคงนั่นแน่!”


กล่าวถึงตรงนี้เขาเผยรอยยิ้มเยาะอย่างอดไม่อยู่ “รู้ไหม ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่แห่งแดนฐิติประจิมตอนนี้ต่างคิดว่า จี้ซิงเหยามีคุณสมบัติเพียงพอกลายเป็นผู้นำรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม บางทีนี่อาจเป็นการสรรเสริญยกยออย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นข้อพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยว่าจี้ซิงเหยาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง”


หลินสวินพยักหน้า ในใจกลับทอดถอนใจ เบื้องลึกเบื้องหลังของดินแดนรกร้างโบราณช่างวิปริตเกินไปแล้ว พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน แหล่งชุมนุมผู้กล้า ยิ่งรู้จักก็ยิ่งชวนประหวั่น


ไม่แปลกที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าเคยกล่าวว่า ดินแดนรกร้างโบราณคือเวทีของผู้กล้ารุ่นเยาว์ มีเพียงบุคคลไร้เทียมทานที่แท้จริงจึงจะสามารถนำพากระแสโลกา โดดเด่นเป็นสง่า!


“จริงสิ อวี่หลิงคงปรากฏตัวในแดนฐิติประจิมครั้งนี้ เกรงว่าคงไปเรือนกระบี่เร้นปุจฉาเยี่ยมเยียนจี้ซิงเหยา หากเป็นเช่นนั้นจริง เทศกาลโคมกถามรรคครึ่งปีหลังจากนี้ อวี่หลิงคงอาจปรากฏตัวพร้อมจี้ซิงเหยา เวลานั้นเกรงว่าคงมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว…”


ฟางหลินหานพลันกล่าว นัยน์ตาแฝงความหวังวูบหนึ่ง


หลินสวินชะงักงัน จากนั้นจึงกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าก็จะเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคหรือ”


ฟางหลินหานถามกลับ “เจ้าไม่ไปรึ”


หลินสวินคิดไปคิดมา ก่อนส่ายศีรษะกล่าว “หากเป็นไปได้ ข้ายินดีไปดูความสง่างามของเทศกาลโคมกถามรรคยิ่ง แต่ถึงตอนนั้นจะมีเวลาเข้าร่วมหรือไม่กลับไม่อาจแน่ใจ”


ฟางหลินหานยิ้ม หยัดร่างสูงขึ้นพลางกล่าว “ระยะเวลาก่อนเริ่มเทศกาลโคมกถามรรคยังมีอีกมาก เจ้าแค่อย่าลืมว่า ข้ายังรอเจ้ามาประลองกับข้าสักตั้งก็พอ”


กล่าวจบเขาหันหลังกลับเดินไปห้องตนเอง


หลินสวินจนปัญญาไปพักหนึ่ง เจ้าหมอนี่ทำไมยังยึดติดอยากสู้กับตนนัก ช่างเป็นพวกบ้าต่อสู้จริง


“เจ้าหมอนี่เป็นใคร หล่อชะมัด เทียบกับศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงแล้วไม่ด้อยไปกว่าแม้แต่น้อย” ซย่าเสี่ยวฉงทำหน้าหลงใหล ดวงตาโตใสสะอาดเป็นประกายดาราวิบวับ


ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินสนทนากับฟางหลินหาน สายตานางก็จับจ้องฟางหลินหานตลอด เห็นได้ว่าบ้าผู้ชายยิ่ง ท่าทางราวหลงใหลได้ปลื้ม


ตอนนี้ถึงกับยกย่องชื่นชมฟางหลินหานต่อหน้าหลินสวิน โดยเฉพาะยังเจาะจงอธิบายเป็นพิเศษว่าสูสีกับเยวี่ยเจี้ยนหมิง นี่ทำให้หลินสวินแทบอยากจะซัดนางหนูนี่สักตั้ง


หมายความว่าอย่างไร


ก่อนหน้าบอกว่าข้าสู้เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่ได้ ตอนนี้ยังพูดว่าฟางหลินหานไม่ด้อยไปกว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิง นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าสู้ฟางหลินหานไม่ได้ด้วยหรอกรึ


หลินสวินสีหน้าไม่เป็นมิตร แค่นเสียงก่อนยกขาก้าวออกนอกโรงเตี๊ยม


“พี่หลินสวิน ท่านจะไปไหน”


ซย่าเสี่ยวฉงกุลีกุจอตามมา


“ไปแก้เซ็ง!”


หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์


“ข้าไปด้วย”


ซย่าเสี่ยวฉงส่งเสียงโห่ร้องยินดี


‘นางหนูนี่ช่าง… ตาไร้แวว!’


หลินสวินพลันถอนหายใจ ตนอัดอั้นจนเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ใส่ใจความรู้สึกตนหน่อยเถอะ แต่นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ยังโห่ร้องยินดีเช่นนี้ ช่างหมดคำจะพูดจริงๆ



แน่นอนว่าหลินสวินไม่ได้ไปแก้เซ็ง วันนี้เขาชนะบนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินติดกันยี่สิบเก้าสนาม รวมแล้วได้มาห้าพันสองร้อยยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ


แลกเปลี่ยนเป็นแกนวิญญาณขั้นกลาง สามารถแลกได้ประมาณห้าสิบสองก้อน!


สำหรับผู้ฝึกปราณคนใดคนหนึ่ง นี่นับว่าเป็นรางวัลอันเหลือเฟือยิ่งยวด


แต่สำหรับหลินสวิน…


กลับเห็นได้ว่าห่างไกลจากคำว่าพอ!


เมื่อเขาเดินออกมาจากร้านค้าขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง แกนวิญญาณที่หามาได้วันนี้ ได้เปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางบางตาห้าก้อน เหลือแค่แกนวิญญาณขั้นกลางสองก้อนและแกนวิญญาณขั้นต่ำยี่สิบก้อน…


หยกควบรวมจิตระดับกลางห้าก้อน เกรงว่าไม่ถึงชั่วเวลาหนึ่งก็ถูกหนอนกินเทพเขมือบกร๊วบๆจนเกลี้ยง!


นี่ทำให้หลินสวินพลันทอดถอนใจอีกครา ไม่ดูแลบ้านไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้แพง คำโบราณไม่เคยหลอกลวง!


หนอนกินเทพขนาดเท่าเมล็ดข้าวกลุ่มหนึ่งบีบจนตนยากแค้นเช่นนี้ หากไม่มีทรัพย์สินแล้ว จากนี้จะให้เขาอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณอย่างไร


‘หาเงิน!’


หลินสวินแอบกัดฟัดกรอด กำหมัดแน่นตัดสินใจเด็ดขาด พรุ่งนี้จะไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินอีกครั้ง ‘หาเงินก้อน’ ให้หนัก!


มีแรงกดดันจึงมีแรงขับ ทุกสิ่งล้วนถูกเค้นออกมา อย่างน้อยที่สุดตอนนี้หลินสวินก็รู้สึกว่าใจต่อสู้ของตนสูงส่งขึ้นเป็นพิเศษ


หากถูกเหล่าผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิจื่อเย่ารู้เข้า ว่าหลินสวินที่ ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ ในใจพวกเขา บัดนี้กลับตกต่ำถึงขั้นกลัดกลุ้มเรื่องทรัพย์สิน ถูกบีบจนไม่อาจไม่ขึ้นสังเวียนประลองหาเงิน ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร



เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่สางหลินสวินก็ออกเดินทาง


เขาต้องทำเวลาหาเงิน เวลาก็คือแกนวิญญาณ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์คือสูญเสียแกนวิญญาณอันยั่วยวนเจิดจรัสมากมาย!


“พี่หลินสวิน วันนี้ท่านดูแปลกพิกล”


ซย่าเสี่ยวฉงสงสัยอยู่บ้าง นางรู้สึกว่าหลินสวินเหมือนหมาป่าหิวโหยหมายมุ่งล่าอาหารตัวหนึ่ง ดวงตาน่ากลัว


“งั้นหรือ”


หลินสวินกระฉับกระเฉง ใจต่อสู้ฮึกเหิม ปากกลับกล่าวทอดถอนใจ “ช่วยไม่ได้ ล้วนถูกบีบบังคับ อืม ถูกบีบบังคับ…”


เมื่อมาถึงหน้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน สายตาหลินสวินถูกธงสีฉูดฉาดที่แขวนใหม่มากมายดึงดูดอย่างรวดเร็ว บนนั้นเขียนอักษรพาให้โลหิตพลุ่งพล่าน…


‘เด็กหนุ่มปริศนาทะยานฟ้าปรากฏตัว ดุจม้ามืดขึ้นสังเวียนอย่างกร้าวแกร่ง ชนะการประลองติดกันยี่สิบเก้าสนาม สั่นสะเทือนสายตาเหล่าผู้ชม!’


‘เด็กหนุ่มปริศนาคือใคร เขาจะสามารถทำลายสถิติที่เฉิงลี่เสวี่ยสร้างไว้ได้หรือไม่ เหล่าสหาย หากอยากรู้รายละเอียดรีบมาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเถิด อย่าพลาดเรื่องยอดเยี่ยม!’


“เด็กหนุ่มปริศนา? ฮ่าๆๆ พี่หลินสวิน พวกเขาตั้งฉายาให้ท่านได้เห่ยจริง” ซย่าเสี่ยวฉงเปรมปรีดิ์ อดหัวเราะไม่ได้ ดูสดใสหาใดเปรียบ


หลินสวินกลับมุมปากกระตุก ไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิง นึกไม่ถึงว่าตนจะกลายเป็นจุดขาย กลายเป็นช่องทางใช้ดึงดูดลูกค้าของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน


‘ได้รับความยินยอมจากข้าแล้วหรือ เอาข้ามาเชิญชวนเรียกแขก เถ้าแก่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!’ หลินสวินแอบด่าในใจ


ทว่าเพื่อการหาเงินอันยิ่งใหญ่ของตน หลินสวินตัดสินใจอดกลั้น ไม่คิดเล็กคิดน้อยชั่วคราว


ถึงขั้นที่เขายังเกิดความคิดหนึ่ง


หากจุดขายนี้สามารถดึงดูดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบางส่วนมา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง สามารถทำให้ตนเคี่ยวกรำพลังยุทธ์มากขึ้น


ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอเกินไปก็เหมือนซี่โครงไก่ พาให้คนเบื่อหน่ายเกินไป


“คุณชาย ท่านมาเร็วขนาดนี้เลยหรือขอรับ”


ประตูทางเข้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน เด็กรับใช้นามว่าต่งปาหน้าตาประหลาดใจ วิ่งเหยาะๆ เข้ามาต้อนรับ ใบหน้ายิ้มแย้มราวดอกทานตะวันผลิบาน


“อย่าพูดมาก อย่าถ่วงเวลา จริงสิ เตรียมแกนวิญญาณที่มากพอให้ข้าด้วย!”


หลินสวินไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่าช้า เวลาน่ะคือแกนวิญญาณ! เขากำชับอย่างดุดันก่อนก้าวเข้าไป ใจต่อสู้ฮึกเหิม เลือดในร่างประดุจเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ


เด็กรับใช้ต่งปาตกตะลึงอ้าปากค้าง กล่าวพึมพำ “คุณชายคนนี้ ทำไมวันนี้เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน? ได้รับแรงกระตุ้นอะไรมาหรือ”


ตอนที่ 783 เด็กหนุ่มที่แกร่งและคงทนดุจสนเขียว

ProjectZyphon

ตูม!


ยังคงเป็นสังเวียนหมายเลขสิบเก้า การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น ผู้แข่งขันคนหนึ่งซึ่งประลองกับหลินสวินถูกซัดลอยละลิ่วออกสังเวียน ทั่วร่างชักกระตุกแทบลุกไม่ขึ้น ยอมแพ้โดยทันที


เนื่องเพราะหลินสวินต้องการใช้เวลาให้คุ้มค่า จึงไม่ออมมือดังเช่นเมื่อวานอีก ใช้พลังยุทธ์ที่แท้จริง


อย่างผู้แข่งขันคนนี้ก็ถูกประทับปี้อั้นซัดกระเด็นในกระบวนท่าเดียว


“คนต่อไป”


หลินสวินกล่าวตรงไปตรงมา ไม่พูดไร้สาระแม้แต่น้อย และไม่คิดพักผ่อนฟื้นฟู


ขณะเดียวกันในใจเขาคิดถึงตัวเลขหนึ่งเงียบๆ ‘หนึ่ง ยี่สิบ สามพันหก’


หนึ่ง หมายถึงหนึ่งชั่วยาม


ยี่สิบ คือจำนวนคู่ต่อสู้ที่พ่ายแพ้ และสามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงยี่สิบสนามที่ชนะติดกัน


สามพันหก ก็คือจำนวนแกนวิญญาณขั้นต่ำที่ได้รับเป็นรางวัล


หรือกล่าวได้ว่า ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามที่ขึ้นสังเวียนประลอง หลินสวินชนะติดกันยี่สิบสนาม เอาชนะคู่ต่อสู้ยี่สิบคน สะสมรางวัลได้สามพันหกร้อยแกนวิญญาณขั้นต่ำ!


บนอัฒจันทร์ ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน


แรกเริ่มเดิมที พวกเขาหอบความสงสัยใหญ่หลวงมาดูหลินสวินผู้ถูกเรียกว่า ‘เด็กหนุ่มปริศนา’ ว่าเป็นม้ามืดอย่างไรกันแน่ เหมือนดังคำโอ้อวดที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินพรรณนาไว้หรือไม่


แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้แต่ละคนราวเด็ดหญ้าหักไม้ผุของหลินสวินทำเอาพวกเขาไหวหวั่นอย่างสิ้นเชิง จิตใจสั่นสะท้าน ส่งเสียงอึกทึกพลุ่งพล่านไม่หยุด


การโจมตีเดียว!


ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งซึ่งขึ้นมาประลองบนสังเวียนกับ ‘เด็กหนุ่มปริศนา’ นั่น ไม่มีสักคนสามารถต้านทานการโจมตีเดียวของเขา!


ท่าทางกร้าวแกร่งผงาดผยองนั่นเสมือนดั่งเทพเซียน


กระทั่งตอนนี้เสียงฮือฮาและเสียงอุทานบนอัฒจันทร์เงียบสงัด เพราะต่างถูกสั่นสะเทือนจนบื้อใบ้ ตกอยู่ในความอึ้งงัน


การต่อสู้เช่นนี้แม้ชวนตื่นตระหนก แต่จำนวนครั้งยิ่งมากกลับเห็นได้ว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง ล้วนถูกกระบวนท่าเดียวตีพ่าย ตื่นตระหนกก็ส่วนตื่นตระหนก ทว่าไม่อาจพูดถึงความมีสีสันแต่อย่างใด


เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินกลับดีอกดีใจยิ่ง เสมือนขุดพบอัญมณีเลอค่าไร้เทียมทาน ทยอยส่งข้ารับใช้มากมายออกไปส่งข่าวยังโลกภายนอกอย่างต่อเนื่อง ทำการป่าวร้องชวนเชื่อแบบวางระเบิด


“เด็กหนุ่มปริศนาเปิดตัวอย่างกร้าวแกร่งอีกครา กรำศึกจนตอนนี้ไร้ศัตรูต่อกร!”


“เด็กหนุ่มปริศนากับเฉิงลี่เสวี่ยใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอกันแน่ วันนี้จะเผยคำตอบ!”


“มีใครไม่พอใจหรือ เช่นนั้นก็มาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสิ เด็กหนุ่มปริศนาต้องการเพียงความพ่ายแพ้สักครา!”


การป่าวประกาศชวนเชื่อเจือปลุกระดมเด่นชัดสารพัดรูปแบบแพร่กระจายทั่วนครเตโชวันนี้ ถล่มผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าอย่างบ้าคลั่ง


ชั่วขณะเดียวก็ก่อให้เกิดความครึกโครมและปฏิกิริยาตอบกลับใหญ่หลวง ผู้ฝึกปราณมากมายล้วนถูกดึงดูด พากันมุ่งหน้ามาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน


มีคนอยากรู้อยากเห็น ว่าเด็กหนุ่มปริศนาซึ่งถูกลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินคุยโวจนเหนือธรรมชาติคนนั้น ความสามารถเป็นจริงดังคำโอ้อวดหรือไม่


และมีคนโมโห เห็นว่าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินบังอาจเหลือเกิน เพื่อป่าวประกาศชวนเชื่อถึงกับใช้คำว่า ‘ต้องการเพียงความพ่ายแพ้สักครา’ นี่คิดประกาศศึกกับผู้แข็งแกร่งทั่วนครเตโชหรือ


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เป้าหมายของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินก็สำเร็จแล้ว ผู้ฝึกปราณที่มาดูดุจดั่งน้ำหลากสาดซัด แต่ละคนล้วนต้องจ่ายค่าผ่านประตูก้อนหนึ่ง นี่ก็หมายความว่าวันนี้พวกเขาหาเงินได้เต็มกระบุงโกยแน่!


ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินยิ้มจนหน้าบาน สายตาที่มองหลินสวินราวมองดูสมบัติล้ำค่าสุดที่รัก


เขากำลังวางแผนภายในใจ ควรทำอย่างไรจึงจะสามารถรั้งม้ามืดผู้นี้ไว้ได้ สร้างเป็นป้ายป่าวประกาศอันใหม่ดึงดูดผู้แข็งแกร่งให้มากขึ้น


ทว่าไม่ทันไรอารมณ์เขาก็แย่ลง คิ้วขมวดอยู่บ้าง กล่าวพึมพำ “ยุ่งแล้ว…”


ในสังเวียน หลินสวินชนะติดกันสามสิบเก้ายก ผู้ฝึกปราณบนอัฒจันทร์ต่างส่งเสียงโหวกเหวก หมายให้เฉิงลี่เสวี่ยปรากฏตัวตัดสินแพ้ชนะกับหลินสวิน


“แม่งเอ๊ย เฉิงลี่เสวี่ยทำไมยังไม่โผล่มาอีก หรือว่าเขาจะกลัว”


“คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปแล้ว การประลองเช่นนี้ดำเนินต่อไปยังมีอะไรน่าดู พวกเจ้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเลือกผู้แข็งแกร่งที่ต่อยตีเป็นมาหน่อยไม่ได้รึ”


“เฮ้อ แม้ข้าจะรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ไม่ได้เรื่อง เป็นพลังต่อสู้ของเด็กหนุ่มปริศนานั่นดุดันป่าเถื่อนเกินไป แต่… การประลองที่กระบวนท่าเดียวตัดสินแพ้ชนะเช่นนี้มันน่าเบื่อซะจริง”


เสียงบ่นจุกจิก เสียงตำหนิต่อว่า เสียงด่าไม่พอใจเริ่มดังขึ้น และยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ มีสัญญาณว่าจะควบคุมไม่อยู่


ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหน้าพลันเปลี่ยนสี แม้ในคำชวนเชื่อบอกว่าวันนี้จะให้หลินสวินและเฉิงลี่เสวี่ยตัดสินแพ้ชนะ แต่เขาไหนเลยจะทำเช่นนี้ได้จริง


ต้องรู้ว่าก่อนหลินสวินปรากฏตัว เฉิงลี่เสวี่ยเป็นตัวเรียกแขกอันเด่นดังที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสร้างขึ้นมา!


เพราะมีเฉิงลี่เสวี่ยอยู่จึงทำให้พวกเขามีจุดขายมาป่าวร้องชวนเชื่อ ดึงดูดผู้ฝึกปราณมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย


ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเฉิงลี่เสวี่ยแพ้หรือหลินสวินพ่าย สำหรับพวกเขาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินก็ไม่ต่างอะไรกับการทำลายป้ายประกาศชวนเชื่อทองคำ


ทำอย่างไรดี


ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินอึ้งงัน เขาสนใจแค่การป่าวประกาศชวนเชื่อและหาเงิน ไหนเลยจะคิดถึงผลลัพท์เลวร้ายที่ตามมาเช่นนี้


ในลานประลองฝูงชนล้วนโมโหเกรี้ยวกราด ต่างแสดงออกถึงความไม่พอใจ เอะอะโวยวายหมายให้เฉิงลี่เสวี่ยขึ้นสังเวียน


หลินสวินก็ไม่พอใจกับสิ่งนี้มาก เพราะเขากำลังพยายามเก็บแกนวิญญาณ แต่บัดนี้กลับได้รับผลกระทบ ไม่มีผู้แข่งขันยอมขึ้นสังเวียนเลย!


ต่างเอะอะโวยวายให้เฉิงลี่เสวี่ยมาประลองกับตน นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกเสียเวลาและเสียแกนวิญญาณโดยเปล่าประโยชน์!


ขณะเดียวกันหลินสวินก็สงสัยอยู่บ้าง เสียงเรียกหาเฉิงลี่เสวี่ยนั่นดังขนาดนี้ ต้องเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งแน่ หากสามารถประลองกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ หลินสวินก็อยากให้มันกลายเป็นจริงเช่นกัน


ว่ากันตามตรง ตั้งแต่ต่อสู้จนถึงตอนนี้เขาล้วนไม่ทันได้เคี่ยวกรำวิชายุทธ์ คู่แข่งก็ล้มคว่ำคนเล่าคนเล่า นี่ทำให้ตัวเขารู้สึกเบื่ออยู่บ้าง


‘บนโลกนี้แม้มีผู้กล้ามากมาย แต่เทียบกันแล้วส่วนมากกลับเป็นพวกคุณสมบัติธรรมดา…’


หลินสวินเข้าใจแจ่มแจ้ง เทียบกับสิ่งมีชีวิตมากมายในแดนรกร้างโบราณ ผู้กล้าที่โชติช่วงเจิดจรัสศักยภาพโดดเด่นอย่างแท้จริงท้ายที่สุดก็มีจำนวนน้อย ซ้ำยังกระจายอยู่ต่างพื้นที่ในใต้หล้า


คิดอยากเจอคนร้ายกาจโดดเด่นยิ่งยวดในนครเตโช ที่สุดแล้วก็อาจเป็นไปไม่ได้


นี่ไม่ใช่ว่าชนรุ่นเยาว์นครเตโชไร้ยอดฝีมือชั้นเลิศ แต่เป็นหลินสวินที่ในระดับหยั่งสัจจะตอนนี้เรียกได้ว่าไร้ผู้เทียบเทียม สามารถข้ามระดับไปต่อสู้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติโดยสมบูรณ์!


แต่หลินสวินดันเลือกสังเวียนประลองระดับเดียวกัน นี่ก็หมายความว่าผู้ที่สามารถขึ้นสังเวียนต่อสู้กับเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั้งสิ้น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่ายิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว หลินสวินทอดถอนใจที่หาคู่ต่อสู้ได้ยาก เขาพลันเข้าใจความรู้สึกที่ฟางหลินหานหมายประลองกับตน


แน่นอนว่าไม่ใช่การดูถูกผู้แข็งแกร่งทั้งใต้หล้า เพียงแต่เป็นการทอดถอนใจอย่างหนึ่งภายใต้ความกลัดกลุ้มของหลินสวิน


มุมลับตาคนแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้น ชายหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งสีหน้านิ่งสงบยิ่ง มีเพียงนัยน์ตาที่เจือความมุ่งหวังวูบหนึ่ง จับจ้องหลินสวินซึ่งอยู่บนสังเวียนหมายเลขสิบเก้าที่ห่างออกไป


“ข้าอยากไปประลอง”


ชายหนุ่มชุดเขียวร่างผอมบางหน้าตาธรรมดา กลับมีบุคลิกแข็งแกร่งและคงทนดุจสนเขียวอย่างหนึ่ง


“ไม่ได้ ทันทีที่แพ้จะทำลายชื่อเสียงเจ้า ทั้งยังจู่โจมสภาวะจิตอันเด่นผงาดของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังไม่เคยขุดค้นพลังแฝงอย่างสมบูรณ์ กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงและเติบโต”


“ตรงกันข้าม เด็กหนุ่มนั่นฮึกเหิมเต็มเปี่ยม คมกริบไม่อาจต้าน มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งยวด หาใช่พวกอัจฉริยะทั่วๆ ไปแน่”


“ดังนั้นเวลานี้เจ้าไม่เหมาะไปร่วมประลอง”


ด้านข้าง ผู้อาวุโสชุดคลุมนิลคนหนึ่งเกลี้ยกล่อมเสียงอบอุ่น


เขาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่สนขจีนามเลี่ยวเจิน เขามีสายตาแหลมคม เล็งเห็นพลังแฝงอันน่าทึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเฉิงลี่เสวี่ย จึงทำลายกฎเกณฑ์รับเขาเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่สนขจี


“แต่ว่า… หากไม่ไปประลอง สภาพจิตใจของข้ากลับจะมีพันธนาการและอึดอัด จากนี้ต่อให้บำเพ็ญเพียรก็ยากตั้งปณิธาน ไม่อาจประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่อะไร”


เฉิงลี่เสวี่ยสูดหายใจลึก กล่าวแน่วแน่จริงจัง “การต่อสู้แห่งมหาสงคราม สิ่งที่สู้ก็คือใจที่กล้าหาญมองไปเบื้องหน้า ไร้หวาดหวั่น หากไร้ซึ่งสภาวะจิตเช่นนี้ ต่อไปข้าจะเอาอะไรมาก้าวสู่ยอดมรรคาเล่า”


“อาจารย์ อภัยที่ศิษย์ยากทำตามคำสั่ง!”


พูดจบเขาหาได้ลังเลอีก ก้าวเดินไปยังสังเวียนหมายเลขสิบเก้าที่ห่างออกไป สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นในทุกย่างก้าว


เลี่ยวเจินอึ้งไป จากนั้นสีหน้าพลันซับซ้อน สุดท้ายจึงเผยความรู้สึกพอใจสายหนึ่ง “ลูกนกอินทรีท้ายที่สุดต้องเคี่ยวกรำผ่านลมฝนจึงจะบินได้ไกล อาศัยสภาวะจิตเช่นนี้ อนาคตอันผงาดง้ำของเด็กคนนี้ต้องไม่อาจขวางกั้นแน่!”



เฉิงลี่เสวี่ยในชุดคลุมเขียวขึ้นสังเวียนหมายเลขสิบเก้า ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและโห่ร้องยินดีทั่วบริเวณ ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างตื่นเต้นดีใจหาใดเปรียบ


ก่อนหน้านี้การประลองที่เกิดขึ้นบนสังเวียนหมายเลขสิบเก้าน่าเบื่อเกินไป เรียบง่ายและหยาบกระด้าง ถึงแม้สะเทือนใจผู้คนยิ่งยวด แต่กลับไม่น่าหลงใหลและน่าจดจ่อ


ทว่าตอนนี้กลับแตกต่าง เพราะเฉิงลี่เสวี่ยมาแล้ว!


เทียบกับหลินสวิน เฉิงลี่เสวี่ยถูกผู้ฝึกปราณจับตามองกว่าโดยไม่ต้องสงสัย แทบทุกคนต่างรู้ดี ว่าเด็กหนุ่มคนนี้แต่ก่อนเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเสียงในเมืองห่างไกลคนหนึ่ง


แต่หลังจากเข้าสู่นครเตโชก็สำแดงพลังน่าอัศจรรย์ ประดุจมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร ถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก กลายเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่ง


นี่ไม่ใช่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินปั้นแต่งออกมา แต่เป็นความสามารถโดยแท้จริง ถึงได้ทำให้เฉิงลี่เสวี่ยมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้


“เย้ ในที่สุดก็มียอดฝีมือมาแล้ว!”


ซย่าเสี่ยวฉงโห่ร้องยินดี ก่อนหน้านี้นางรู้สึกเบื่อหน่ายไร้รสชาติ ในใจรู้สึกเหงาแทนหลินสวินแล้ว การปรากฏตัวของเฉิงลี่เสวี่ยจึงทำให้นางรู้สึกถึงความน่าสนใจจนได้


“พี่ชายคนนั้นพยายามเข้านะ เอาชนะเขาให้ได้!” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวพูดเสียงกังวาน


หลินสวินมุมปากกระตุกขึ้นอีกคราอย่างอดไม่อยู่ หลังพบซย่าเสี่ยวฉง เขาก็พบว่าจำนวนครั้งที่มุมปากเขากระตุกเปลี่ยนเป็นไม่ว่างเว้นอย่างเด่นชัด…


แต่จากนั้นหลินสวินก็เอาความสนใจไปไว้ที่เฉิงลี่เสวี่ยซึ่งอยู่บนพื้น


นี่คือเด็กหนุ่มที่ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่กลับมีบุคลิกคงทนหนักแน่น มั่นคงดุจหินผา กร้าวแกร่งราวสนเขียว


แค่เพียงบุคลิกก็ทำให้หลินสวินรู้ว่า เฉิงลี่เสวี่ยต้องเป็นคนที่มีสภาวะจิตและเจตจำนงแข็งแกร่งยิ่งยวดคนหนึ่ง


คนประเภทนี้ต่อให้ปัจจุบันยังไม่โดดเด่นขึ้นมาอย่างแท้จริง แต่ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่สร้างความแตกตื่นให้ทุกผู้คน แค่กางปีกก็บินทะยานเหนือฟากฟ้าอย่างไม่ผิดจากที่คาดแน่!


“เฉิงลี่เสวี่ย ขอสหายยุทธ์ชี้แนะ”


สายตาเฉิงลี่เสวี่ยจับจ้องมองหลินสวินอย่างนิ่งสงบ มีบรรยากาศแน่วแน่อย่างหนึ่ง


“หลินสวิน”


หลินสวินกล่าวสั้นกระชับ แม้รู้ว่าเฉิงลี่เสวี่ยไม่ธรรมดา แต่นี่กลับไม่สามารถนำมาซึ่งภัยคุกคามและแรงกดดันที่แท้จริงให้กับหลินสวิน


ทว่าเทียบกับการต่อสู้ก่อนหน้าแล้ว ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาก


ตอนที่ 784 โทสะหยาจื้อ

ProjectZyphon

บนสังเวียน การต่อสู้ปะทุขึ้น


ชิ้ง!


เฉิงลี่เสวี่ยรูปร่างผอมบาง มือกระชับกระบี่เขียวสามฉื่อ ก้าวย่างมาเบื้องหน้า ชั่วพริบตาทั้งร่างพลันมีพลังดุดันทะลวงเมฆา ปลายกระบี่สยบผู้คน


ทุกคน ณ ที่นั้นต่างตื่นเต้น กลั้นหายใจจดจ้องการต่อสู้เขม็ง เกรงแต่จะพลาดรายละเอียดอะไรไป


จากมุมมองผู้ฝึกปราณทุกคน นี่คือการประลองชั้นยอดครั้งหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ ถึงอย่างไรความทรงพลังของเฉิงลี่เสวี่ยก็ประทับลึกในใจผู้คนอยู่ก่อนแล้ว


ส่วนหลินสวินซึ่งประดุจม้ามืดเด่นผงาด ก็ไม่ใช่พวกธรรมดาคนหนึ่งเช่นกัน


ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์สองคนนี้เปิดฉากชิงชัยชนะ แน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจของมวลชน


ฉัวะ!


ห้วงอากาศถูกปลายกระบี่สีเขียวแหวกผ่า ดุดันน่าหวาดกลัว คดเคี้ยวดุจแสงสายฟ้าเขียว นี่คือกระบี่ของเฉิงลี่เสวี่ย บัดนี้ตัวเขาราวกระบี่ออกจากฝักเล่มหนึ่ง


นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายประกายวาบ หาได้ลังเลไม่ เงาร่างพลิ้วไหวดุจแสงแห่งห้วงมายา กำปั้นเปล่งประกายซัดกลับหนักหน่วง


ความสามารถที่เฉิงลี่เสวี่ยสำแดงทำหลินสวินยินดียิ่ง


ตูม!


การแข่งขันระหว่างทั้งสองรุนแรงดุเดือด บนสังเวียนปั่นป่วน


เฉิงลี่เสวี่ยแข็งแกร่งนัก ปลายกระบี่เขาดุจรุ้งศักดิ์สิทธิ์ สุกสกาวพราวแพรว ตัดสลับไขว้ขนานทลายนภากาศ ไอดุดันรุนแรงทำฟ้าดินเปลี่ยนสี แฝงท่วงท่าสง่างามแห่งเซียนกระบี่โบราณอย่างหนึ่ง


ด้านหลินสวินกลับใช้มือเปล่า อานุภาพล่องลอยไร้มลทิน เงาร่างพลิ้วไหวท่องเหินบนสังเวียน ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น การเคลื่อนไหวสบายอารมณ์ ไม่แปดเปื้อนกลิ่นอายธุลี


บนอัฒจันทร์ฮือฮาไปทั้งแถบ ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างร้องตะโกนสมใจอยาก กู่ร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงผู้คนดังก้องสะท้อนทั่วบริเวณ


เทียบกับการประลองน่าเบื่อไร้ความน่าสนใจก่อนหน้า การต่อสู้ชั้นยอดเวลานี้เห็นได้ว่ามีสีสันและสะท้านใจมากโดยไม่ต้องสงสัย


“สมกับเป็นเฉิงลี่เสวี่ยผู้ถูกสำนักกระบี่สนขจีหมายตา แค่เพียงปราณวิถีกระบี่นี้ ในหมู่คนรุ่นเยาว์ก็เรียกได้ว่าน่าตกตะลึง!”


“เด็กหนุ่มปริศนานั่นก็ใช่ย่อย ใช้มือเปล่าประมือกับเฉิงลี่เสวี่ย ช่างยากจะพบเห็น”


“การประลองนี้ท้ายที่สุดใครจะชนะกันแน่”


“ไม่เห็นต้องสงสัย แน่นอนว่าเป็นเฉิงลี่เสวี่ย!”


“ไม่ อาจเป็นเด็กหนุ่มปริศนานั่น!”


“ไม่ต้องเถียงกัน พูดถึงเรื่องพวกนี้ตอนนี้ไม่ใช่ว่ากล่าวเร็วไปหรอกรึ ตั้งตาดูก็พอแล้ว!”


บนอัฒจันทร์มีเสียงฮือฮาไม่หยุดหย่อน


ตูม!


อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยดุดันยิ่งกว่าเดิม ชุดเขียวเริงระบำ กระบี่เขียวพวยพุ่ง สาดไอกระบี่ซึ่งเพียงพอให้แหวกภูเขาตัดแม่น้ำ


ท่วงท่าแห่งวิถีกระบี่นั้น ทำเอาผู้ฝึกปราณมากมายต่างอัศจรรย์ใจ ตกตะลึงอ้าปากค้างไม่อาจจินตนา เด็กหนุ่มคนหนึ่งเช่นนี้ ไยจึงมีความรู้ลึกซึ้งบนวิถีกระบี่อย่างลึกล้ำขนาดนี้


เปรียบเทียบกันแล้ว อานุภาพของหลินสวินกลับเหมือนราบเรียบนัก หรือพูดได้ว่าเอ้อระเหยยิ่ง ทุกการเคลื่อนไหวมีท่วงทำนองแห่งธรรมชาติอันเรียบง่าย ดูไปแล้วไม่สะดุดตา แต่กลับไม่เคยถูกเฉิงลี่เสวี่ยสะกดข่มตั้งแต่ต้นจนจบ


“คนหนึ่งเผยกระบี่คม อีกคนซ่อนแฝงอยู่ภายใน ทำให้ผู้คนไม่อาจแยกแยะว่าใครแกร่งกว่ากันแน่”


ผู้ฝึกปราณอาวุโสส่วนหนึ่งทอดถอนใจ หวนนึกถึงปีนั้นที่พวกเขายังอายุเท่านี้ ก็ยังไม่มีศักยภาพเช่นนี้


นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่สะท้อนใจ ในแต่ละยุคสมัยมักปรากฏอัจฉริยะจริงดังว่า!


“ผ่า!”


หว่างคิ้วเฉิงลี่เสวี่ยเจือความเฉียบขาด เงาร่างเปล่งประกายแสงรุ่งโรจน์ กระบี่เขียวกลางฝ่ามือพร่างพราวด้วยไอกระบี่สะเทือนพิภพ เกริกก้องฟ้าดิน กลิ่นอายสังหารมืดฟ้ามัวดิน!


แต่ไม่ว่าอานุภาพกระบี่ของเขาดุดันและรุนแรงมากเพียงใด ล้วนถูกหลินสวินสลายอย่างง่ายดายแล้วยังโจมตีโต้กลับ


ปัง!


หนึ่งหมัดของหลินสวินทะยานฟ้า ดุจเมฆกระจ่างกลางหุบเขา ไม่แปดเปื้อนธุลี ดูแล้วสบายอารมณ์ยิ่ง แต่กลับทำเอาเฉิงลี่เสวี่ยสั่นสะท้านไปทั้งตัว


“แข็งแกร่งยิ่ง!”


สีหน้าเขาจริงจังและเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาเปี่ยมแสงเจิดจรัส คมปลาบดุจปลายกระบี่ที่พร่างพราว


การต่อสู้กับหลินสวินทำให้ในใจเฉิงลี่เสวี่ยแช่มชื่นหาใดเปรียบ นี่คือความรู้สึกของการเจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสี ทำให้เขามีใจต่อสู้ฮึกเหิมต่างจากอดีต โลหิตเดือดพล่านดุจเพลิงผลาญ


“ต่อสู้เช่นนี้สิถึงจะสะใจ!”


อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยดุดันยิ่งกว่าเดิม กระบี่ของเขากำลังครวญคร่ำ เลือดลมพลุ่งพล่าน ผมดำทั้งศีรษะแผ่สยาย ทั้งตัวแผ่จิตต่อสู้ชวนประหวั่นออกมา


“ดี!”


ห่างออกไปผู้อาวุโสเลี่ยวเจินแห่งสำนักกระบี่สนขจีอดชื่นชมไม่ได้


เขามองออกว่าสำหรับเฉิงลี่เสวี่ย หลินสวินอาจเป็นศัตรูที่เข้มแข็งทรงพลังยิ่งยวด


แต่ขณะเดียวกันการต่อสู้กับคู่แข่งเช่นนี้ก็ช่วยกระตุ้นศักยภาพแฝงของเฉิงลี่เสวี่ยได้ ให้เขาได้เคี่ยวกรำในการต่อสู้


เปรียบดั่งหยกหมองมัวก้อนหนึ่ง เมื่อผ่านการขัดเกลาและเจียระไน ความงดงามและเนื้อแท้ของมันก็จะเผยออกมาทีละน้อย สุดท้ายจึงเปล่งแสงแวววาวเพริศพรายชวนให้ผู้คนในใต้หล้าชำเลืองมอง!


เห็นชัดว่าเลี่ยวเจินมองหลินสวินว่าเป็นเสมือนหินลับมีดชั้นเลิศก้อนหนึ่ง กำลังหล่อหลอมและขัดเกลาปลายกระบี่ของเฉิงลี่เสวี่ย!


“อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!”


แม้แต่ผู้ฝึกปราณบนอัฒจันทร์ต่างสังเกตเห็น หลังจากการประลองดำเนินไป อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยก็ดุจสายรุ้ง เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ชวนให้คนไหวหวั่นและตะลึงงัน


นี่มีความนัยโดยไม่ต้องสงสัย ว่าภายในร่างเฉิงลี่เสวี่ยมีศักยภาพแฝงอันน่าหวาดกลัวยิ่งยวด อีกทั้งพรสวรรค์เลิศล้ำ ปรากฏการยกระดับด้วยตนเองขณะต่อสู้


ตรงกันข้ามหลินสวินยังคงเอ้อระเหยดุจเมฆาเคลื่อนดังเดิม ท่าทางราบเรียบไม่สะทกสะท้าน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเผยความเลิศล้ำสะดุดตาเป็นพิเศษ


“ดูท่าแล้วเด็กหนุ่มนั่นคงแพ้แน่…”


ผู้ฝึกปราณมากมายทำการวิเคราะห์เช่นนี้


“หา พี่หลินสวินจะแพ้จริงหรือ”


ซย่าเสี่ยวฉงเบิกตาใสสะอาดจ้องสังเวียน เดิมนางมีความสุขที่จะเห็นหลินสวินประสบความพ่ายแพ้อยู่บ้าง จะได้โจมตีความหยิ่งทะนงอวดดีนั่นของเขาสักหน่อย


ทว่าเหตุการณ์นี้อาจมาเยือนจริง นางกลับทนไม่ไหวอยู่บ้าง ในใจยุ่งเหยิงนัก แอบกล่าวกับตัวเอง ‘ชนะก็ไม่ดี แพ้ก็ไม่ดี ข้านี่ช่างน้ำใจงามจริงเชียว…’


หากเสียงในใจนางถูกหลินสวินได้ยินเข้า เกรงว่ามุมปากคงกระตุกยกอย่างอดไม่อยู่อีกครา


ทว่าหลินสวินเวลานี้ไม่มีสมาธิมาใส่ใจซย่าเสี่ยวฉง


บัดนี้จิตใจเขาดื่มด่ำกับการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์โดยสมบูรณ์ พลังขับเคลื่อนในร่างปรากฏสภาพต่างจากอดีตประการหนึ่ง


เลือดลมดุจพวยพุ่ง!


สารพลังดุจคลั่งโทสะ!


ทั่วสรรพางค์กายมีพลังประหลาดสั่นสะเทือน โหมกระหน่ำใส่แขนขาทั้งสี่ประดุจม้าป่าสลัดบังเหียน นี่ทำให้ผิวหนังเขาสั่นเทารางๆ คล้ายพยายามกำราบอะไรบางอย่าง


ลมหายใจของเขาปรากฏจังหวะพิกล ราวกับวาฬมังกรกลืนวารี คล้ายกระทิงเคี้ยวเอื้อง มีจังหวะจะโคนเฉพาะตัวและทรงพลังอย่างหนึ่ง


นี่ก็คือมรดกวิชาลับร่างที่เจ็ดแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร… โทสะหยาจื้อ!


วิชาลับนี้หาใช่วิธีต่อสู้ แต่เป็นเคล็ดวิชาที่กระตุ้นศักยภาพแฝงประเภทหนึ่ง


การฝึกวิชานี้ทำให้ผู้ฝึกปราณตกอยู่ในสภาวะ ‘คลั่งโทสะ’ จากนั้นปลดปล่อยอานุภาพซึ่งแกร่งกว่าศักยภาพแห่งตนเท่าหนึ่งออกมาระหว่างต่อสู้!


หยาจื้อคือหนึ่งในสัตว์ปีศาจบรรพกาล นิสัยดุดันโกรธง่าย เด็ดขาดป่าเถื่อน บ้าเลือดคลั่งสงคราม


รูปร่างมันคล้ายราชสีห์ แต่กลับมีหัวมังกรโดยกำเนิด ปากคาบกระบี่วิเศษ เท้าทั้งสี่ราวเสาค้ำสวรรค์ สามารถย่ำภูผาธาราสุริยันจันทรา!


สมัยบรรพกาลมีคำพูดว่า ‘หยาจื้อจะล้างแค้น’ หมายถึงทันทีที่ล่วงเกินหยาจื้อ จะต้องเจอการล้างแค้นอันเหี้ยมโหดของมัน (หมายเหตุจากนักเขียน จริงๆ แล้วสำนวนหยาจื้อจะล้างแค้นไม่ได้มีคำอธิบายแบบนี้ เป็นการประยุกต์ใช้เท่านั้น


แค่คิดก็รู้ว่าสัตว์ปีศาจเช่นนี้เจ้าอารมณ์ระดับใด


วิชาลับส่วนนี้เอา ‘โทสะหยาจื้อ’ มาตั้งเป็นนาม ว่ากันตามจริงคือเคล็ดวิชาที่ทำให้ผู้ฝึกปราณกระตุ้นร่างกาย เค้นศักยภาพแฝงและปะทุพลังออกมา!


ครืน…


ระหว่างการต่อสู้เลือดในร่างหลินสวินดุจคลั่งโทสะ ศักยภาพแฝงทั่วร่างถูกกระตุ้นปลุกเร้า เกิดสภาพกึกก้องกัมปนาทชวนประหวั่น


เพียงแต่เขาสะกดข่มมันไว้ตลอด ไม่ได้ใช้วิชาลับนี้ แต่ตั้งสมาธิหยั่งรู้จังหวะยามที่โคจรวิชาลับนี้ ใช้มันหยั่งถึงความเร้นลับที่อยู่ภายใน


มองจากภายนอกคงดูอะไรไม่ออกแต่แรก


แต่สิ่งที่ทุกคนล้วนไม่รู้คือ ขณะที่เฉิงลี่เสวี่ยขัดเกลาตนเองไม่หยุดระหว่างการต่อสู้ อานุภาพยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แท้จริงแล้วหลินสวินก็กำลังอาศัยการโจมตีของเฉิงลี่เสวี่ย มาจดจ่อกับการหยั่งรู้และอนุมานความเร้นลับของ ‘โทสะหยาจื้อ’ ระหว่างการต่อสู้เช่นเดียวกัน!


‘คนโบราณเคยกล่าวว่า ผู้กร้าวแกร่งสองคนเดือดดาล โลหิตไหลหลากห้าก้าว จักรพรรดิเดือดดาล โลหิตหลั่งดั่งชลธาร แต่เมื่อหยาจื้อเดือดดาล นั่นคือเขาถล่มดินทลาย สรรพสิ่งพินาศย่อยยับ!’


‘มรดกวิชาลับส่วนนี้น่าประหวั่นเกินไปแล้ว หากฝึกฝนถึงขีดสุด สามารถทำให้ข้าสำแดงพลังต่อสู้ทวีคูณ!’


‘หากนำมาต่อสู้ เกรงว่าไม่ต้องใช้ดาบหักก็สามารถจู่โจมสังหารยอดบุคคลระดับกระบวนแปรจุติได้!’


‘ทว่าวิชาลับเช่นนี้กลับมีจุดบกพร่อง ทำลายเลือดลมตนเอง ผลาญพลังมากเกินไป ได้แค่นำมาฝ่าวงล้อมและโต้กลับยามเข้าตาจน ไม่อาจนำมาต่อสู้เป็นเวลานาน’


การหยั่งถึงนานัปการผุดขึ้นในใจดั่งกระแสวารี ทำให้ความเข้าใจของหลินสวินต่อ ‘โทสะหยาจื้อ’ ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม


ทว่าไม่นานสภาวะหยั่งถึงวิถียุทธ์เช่นนี้ก็ถูกขัดกลางคัน ทำให้หลินสวินคืนสติทันใด


ก็เห็นตรงหน้าเฉิงลี่เสวี่ยเก็บกระบี่เขียวยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ทำการต่อสู้อีก นี่ทำให้หลินสวินอึ้งงันอย่างอดไม่ได้


แม้แต่ผู้ฝึกปราณทั้งหมดซึ่งกำลังดูการประลองต่างตะลึงงัน สับสนมึนงง พวกเขากำลังดูอย่างสะใจตื่นเต้นหาใดเปรียบ ไหนเลยจะคาดคิดว่าการต่อสู้กลับหยุดลงกลางคันอย่างกะทันหันเวลานี้!


นี่มันอะไรกัน


สายตาทั้งหมดต่างมองไปยังเฉิงลี่เสวี่ย


“ไม่ต้องสู้อีกแล้ว ข้ายอมแพ้”


เฉิงลี่เสวี่ยสีหน้านิ่งสงบ อานุภาพเฉียบขาดดุจกระบี่ทั่วร่างก็เก็บงำสำรวมดั่งกระแสวารี ทั้งตัวคืนสู่บุคลิกหนักแน่นคงทนราวสนเขียวอีกครั้ง


ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทั้งลานประลองพลันงงงันแทบไม่กล้าเชื่อ


การต่อสู้ก่อนหน้านี้เฉิงลี่เสวี่ยได้เปรียบกว่าชัดๆ อานุภาพเพิ่มระดับอย่างต่อเนื่อง เหตุใดจู่ๆ กลับยอมแพ้เช่นนี้


นี่ทำให้ผู้คนยากเข้าใจ รู้สึกคาดไม่ถึง


“ข้าในตอนนี้สู้เจ้าไม่ได้ แต่เมื่อมหาสงครามมาเยือนก็ไม่แน่แล้ว”


เฉิงลี่เสวี่ยมองหลินสวินอย่างจริงจัง หาได้เผยอารมณ์แม้เพียงเสี้ยว เห็นได้ว่านิ่งสงบยิ่ง และไม่มีความรู้สึกเชิงลบหลังยอมแพ้อย่างที่ควรจะเป็น


กล่าวจบเขาก็ไม่ใส่ใจสายตามึนงง ณ ที่นั้นโดยสิ้นเชิง หันหลังและจากไป


ประหนึ่งผลแพ้ชนะสำหรับเขา ไม่สลักสำคัญอะไรนานแล้ว


เพราะเขาหยั่งถึงแล้ว!


เมื่อครู่ขณะต่อสู้ ความเข้าใจในวิถีกระบี่ของเขาทะลวงเข้าขอบเขตใหม่อีกคราแล้ว ต่อสู้ต่อไปอีกก็ไม่มีความหมาย


ทว่าที่ทำให้เฉิงลี่เสวี่ยสับสนในใจคือ การต่อสู้เมื่อครู่ทำให้เขารับรู้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเทียบกับหลินสวินแล้ว เขายังมีระยะห่างส่วนหนึ่ง…


เพราะไม่ว่าเขาเปลี่ยนเป็นแกร่งขึ้นเพียงใด อานุภาพเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่อาจสั่นคลอนหลินสวินได้โดยสิ้นเชิง!


บางทีคนอื่นอาจไม่รู้ถึงความน่ากลัวของหลินสวิน แต่ในฐานะคู่ต่อสู้ เฉิงลี่เสวี่ยกลับตระหนักถึงจุดนี้อย่างลึกซึ้ง


นี่คือศัตรูผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เกรงว่ายามมหาสงครามมาเยือน คิดจะเอาชนะเขาต้องยากมากแน่!


แต่เฉิงลี่เสวี่ยหาได้หวาดกลัวไม่ เขามีพลังและความมั่นใจในตัวเองอยู่


‘เมื่อมหาสงครามมาเยือน ข้าจะตัดสินแพ้ชนะที่แท้จริงกับเจ้า…’


เฉิงลี่เสวี่ยพึมพำอยู่ในใจ เขาจากไปเพียงลำพังภายใต้สายตาคลางแคลง ตื่นตะลึง ยากเข้าใจนับไม่ถ้วน


ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้านิ่งสงบดุจทะเลสาบ


ตอนที่ 785 เบี้ยวหนี้และข่มขู่

ProjectZyphon

หลังเฉิงลี่เสวี่ยยอมแพ้ก็เดินจากไป ทำเอาผู้ฝึกปราณทั้งสนามไม่เข้าใจ จากนั้นคนมากมายต่างไม่พอใจ


การต่อสู้กำลังดุเดือด จู่ๆ กลับขัดจังหวะลงกลางคัน เดิมก็ทำให้คนอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ที่ยิ่งไม่พอใจคือ เฉิงลี่เสวี่ยซึ่งพวกเขาฝากความหวังอย่างสูงยอมแพ้ออกไปด้วยตนเอง!


นี่ทำให้ผู้คนรับไม่ได้


“แม่งเอ๊ย ข้ามันตาบอดเอง มองเฉิงลี่เสวี่ยไว้ดีมาตลอด ใครจะคิดว่าแม้แต่ความกล้าสู้ให้จบของเขายังไม่มี”


“เฮ้อ น่าผิดหวังจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนพรรค์นี้!”


เสียงตำหนิขัดเคืองดังขึ้นเป็นระลอก


แต่สายตาของพวกเจนจัดส่วนหนึ่งกลับสังเกตเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ว่าแม้การต่อสู้ดำเนินต่อไป เกรงว่าเฉิงลี่เสวี่ยคงไม่มีหวังจะชนะ


เพราะตั้งแต่ต้นจนจบแม้หลินสวินไม่แสดงทักษะเด่นชัดโดยตลอด แต่กลับไม่เผยสัญญาณถอยร่นอันใดออกมา


ตรงกันข้าม ภายใต้สถานการณ์ที่เฉิงลี่เสวี่ยมีอานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงไม่อาจทำอะไรหลินสวิน นี่กลับเน้นให้เห็นว่าความสามารถแท้จริงของหลินสวินน่าหวาดกลัวยิ่งยวดโดยปริยาย!


จากการสันนิษฐานเช่นนี้ เฉิงลี่เสวี่ยซึ่งเลือกยอมแพ้จากไปโดยไม่ลังเลในตอนนี้ อาจเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด อย่างน้อยความเสียหายต่อชื่อเสียงของตนก็ไม่มาก


แต่หากถูกหลินสวินเอาชนะ ไม่จำเป็นต้องคิดเลย ชื่อเสียงของเฉิงลี่เสวี่ยจะต้องเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ในสายตามหาชน ผลที่ตามมาคงร้ายแรงแล้ว


“น่าเสียดาย…”


บนสังเวียน หลินสวินจนปัญญาอยู่บ้าง ไม่ง่ายเลยกว่าจะพบคู่ต่อสู้ที่พอประลองกันได้คนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยยอมแพ้กลางคัน นี่ทำให้ในใจหลินสวินหดหู่อย่างยากจะเลี่ยง


ต้องรู้ว่าการประลองก่อนหน้าเขากดพลังมาตลอด กังวลว่าจะสำแดงพลังอย่างแกร่งกร้าวเกินไป ทำฝ่ายตรงข้ามตกใจหนีหาย


แต่เห็นชัดว่าถึงแม้เขาสะกดข่มพลัง เฉิงลี่เสวี่ยก็สังเกตเห็นช่องว่างระหว่างเขากับตน ด้วยเหตุนี้จึงปลีกตัวถอยจากโดยไม่ลังเล


‘ยังดี ปริศนาแห่งโทสะหยาจื้อถูกข้าหยั่งถึงโดยส่วนใหญ่แล้ว ที่เหลือแค่ใช้ศึกที่แท้จริงมาฝึกฝนความชำนาญ’


หลินสวินใคร่ครวญพลางเดินลงจากสังเวียน


“ฮึ!”


ซย่าเสี่ยวฉงแค่นเสียงฮึ่มจากจมูก ทำให้หลินสวินพลันแปลกใจ “จมูกเจ้ามีปัญหารึ ให้เชิญผู้ฝึกปราณสายแพทย์มาช่วยเจ้าดูหน่อยไหม”


“ฮึ!”


ซย่าเสี่ยวฉงถลึงตาโตใสสะอาด กล่าวอย่างขึ้งโกรธ “พี่หลินสวิน ท่านน่ะโง่จริงๆ ดูไม่ออกหรือว่าข้ากำลังโกรธ เฉิงลี่เสวี่ยนั่นช่างทำคนผิดหวัง ข้ายังรอเขาเอาชนะท่าน ใครจะคิดว่า…”


ไม่รอให้พูดจบ หน้าผากขาวสะอาดหมดจดของนางก็ถูกหลินสวินเคาะไปหนึ่งที


“ตามข้ามา”


หลินสวินก้าวเท้ายาวเดินห่างออกไป หลังเอาชนะเฉิงลี่เสวี่ย เขาไม่คิดรั้งอยู่อีก ตั้งใจว่าจะรับรางวัลแล้วจากไป


ในใจเขาพลันร้อนระอุ ครานี้เขาชนะประลองติดกันสี่สิบสนาม ซ้ำโจมตีเฉิงลี่เสวี่ยจนพ่ายแพ้ ยังสามารถรับรางวัลสิบเท่าและหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลางแยกต่างหาก นี่น่ะเป็นรางวัลก้อนใหญ่ยิ่ง!


“คุณชาย ท่านไม่เล่นต่ออีกหน่อยหรือขอรับ” เด็กรับใช้ต่งปาเอ่ยปากลังเล


นี่คือเรือนแห่งหนึ่งในลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน เป็นสถานที่รับรางวัล ทว่าเมื่อหลินสวินคิดรับรางวัลกลับปรากฏอุปสรรคบางส่วน


“ไม่ล่ะ ประลองต่อก็น่าเบื่อ”


ที่หลินสวินพูดคือความจริง แม้เขาต้องการแกนวิญญาณอย่างมาก แต่หากไม่มีคู่ต่อสู้พอจะประลอง สุดท้ายแล้วคงน่าเบื่อเต็มประดา ทั้งคงไม่มีส่วนช่วยอะไรต่อการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์เขา


“คุณชาย นี่ออกจะจัดการยากอยู่บ้างขอรับ” ต่งปาหน้าตากระอักกระอ่วน


“ทำไมล่ะ”


หลินสวินพลันเลิกคิ้ว ตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง “พวกเจ้าคงไม่คิดเบี้ยวหนี้กระมัง”


ต่งปาสีหน้าลำบากใจ อักอ่วนยิ่งกว่าเดิม “คุณชาย ตอนนี้ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งซึ่งเจิดจรัสที่สุดของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเรา หากจากไปเช่นนี้ไม่ใช่ว่าน่าเสียดายยิ่งหรือขอรับ”


“พูดจาส่งเดชให้น้อยหน่อย” นัยน์ตาดำหลินสวินพลันเย็นชา “ว่ามา หากวันนี้ข้าจากไป พวกเจ้าคิดเบี้ยวหนี้ใช่ไหม”


ต่งปาสั่นไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด แรงกดดันชวนประหวั่นที่แผ่จากตัวหลินสวิน แม้เพียงแค่เสี้ยวหนึ่งกลับทำเขาขนพองสยองเกล้า ขวัญหนีดีฝ่อ


“คุณชายโปรดระงับโทสะ อย่างไรให้ข้าอธิบายแทนเถอะ ต่งปา เจ้าถอยไปก่อน ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว”


เวลานี้ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมคนหนึ่ง สองมือไพล่หลังก้าวเนิบช้าเข้ามา เห็นได้ว่าเขาอู้ฟู่นัก ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่น


เมื่อผ่านการแนะนำตัว หลินสวินจึงรู้ว่าชายวัยกลางคนชุดผ้าไหมคนนี้คือผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน มาจากเผ่าไก่ฟ้าสีเงินเช่นกัน นามว่าต่งไห่


“คุณชาย ผลงานบนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินของท่านวันนี้ทำพวกข้าทึ่งจริงๆ เป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์สมชื่อ!”


ต่งไห่หน้าตาชื่นชม หมายทักทายปราศรัยกับหลินสวิน


แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้หัวคิ้วหลินสวินขมวดหนักขึ้น กล่าวด้วยหน้าตาไร้อารมณ์ “คำพูดตามพิธีรีตองพวกนี้ไม่จำเป็นต้องพูด ข้าแค่ถามเจ้าว่า หากวันนี้ข้าจะรับรางวัลแล้วจากไป พวกเจ้าคิดจะเบี้ยวหนี้หรือ”


“เบี้ยวหนี้?”


ต่งไห่กล่าวประหลาดใจ “คุณชายอย่าเข้าใจผิด ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินของพวกเราไม่เคยเบี้ยวเงินมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จากนี้จะให้ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินของเรามีที่ยืนในนครเตโชได้อย่างไร”


แววตาหลินสวินเย็นเยียบ มองต่งไห่อย่างเงียบเชียบ “ขอคำพูดดีๆ หน่อย”


เขาดูออกว่าเจ้าต่งไห่นี่เป็นพวกยากรับมือ เจตนาพูดอ้อมค้อมกับตน ผ่อนหนักเป็นเบา ไม่ยอมอธิบายอย่างตรงไปตรงมา


ถูกหลินสวินจ้องเขม็ง รอยยิ้มบนหน้าต่งไห่ก็เก็บลงโดยพลัน เขารู้ว่าหากพูดเหลวไหลต่อมีแต่จะกระตุ้นโทสะเจ้าหนุ่มตรงหน้า


“คุณชาย ท่านต้องการรับรางวัลก็ย่อมได้ ทว่าก่อนหน้านั้นสามารถรับปากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินของเราเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”


ต่งไห่สูดหายใจลึก สีหน้าเคร่งขรึม


หลินสวินยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับเย็นชานัก “รางวัลที่ข้าขึ้นสังเวียนประลองชนะ เดิมก็เป็นของข้า เหตุใดยังต้องรับปากพวกเจ้าเรื่องหนึ่งด้วย”


เห็นท่าทีหลินสวินแข็งกร้าวเช่นนี้ ต่งไห่เองก็โมโหแล้ว แสร้งยิ้มกล่าว “เจ้าหนุ่ม พลังของเจ้าอาจไม่ธรรมดา แต่เรื่องราวบนโลกนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนที่เจ้าพูด หากเจ้าฟังคำเตือนข้าก็ร่วมมือกับพวกเราดีๆ”


“หากไม่ร่วมมือล่ะ” ส่วนลึกในนัยน์ตาหลินสวินพรั่งพรูไปด้วยแววเย็นยะเยือก


“เหอะๆ เจ้าน่าจะรู้ผลของมันอย่างชัดเจน”


เห็นได้ว่าต่งไห่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด แววตาเจือความเพลิดเพลินสายหนึ่ง “ข้าแค่อยากบอกเจ้า เจ้าในวันนี้อาจเปล่งประกายเจิดจรัส รัศมีโชติช่วงชัชวาล ทำผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนอัศจรรย์และสั่นสะท้าน แต่หากราตรีนี้เจ้าเลือนหายจากโลกโดยสิ้นเชิง ไม่อาจเห็นดวงตะวันวันพรุ่งอีก เจ้าคิดว่าบนโลกนี้ใครจะสนความเป็นตายของเจ้าจริงๆ”


วาจาสบายอารมณ์ แฝงการข่มขู่ชัดแจ้งโดยไม่ต้องสงสัย


เขาหยุดไปชั่วขณะ มุมปากปรากฏรัศมีอำมหิตวูบหนึ่ง กล่าวพลางจ้องมองหลินสวิน “พวกข้าสืบข่าวเบื้องลึกเจ้ามาหมดแล้ว เป็น ‘คนต่างถิ่น’ เหมือนเฉิงลี่เสวี่ย เจ้าน่าจะรู้ว่านครเตโชนี้มี ‘คนต่างถิ่น’ เช่นเจ้ามากมายหายไปอย่างแปลกประหลาดไม่ใช่หรือ”


ต่งไห่พูดพลางยิ้มเล็กน้อย ท่าทางเหมือนจับหลินสวินไว้ได้อยู่หมัดแล้ว เงื้อมือหมายตบบ่าหลินสวิน


ทว่าเวลาต่อมา การเคลื่อนไหวเขากลับแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เสมือนถูกตรึงแน่นิ่งไม่ไหวติง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนยกใหญ่ อ้าปากจะร้องตกใจ


แต่เขากลับร้องไม่ออก เพราะลำคอเขาถูกมือข้างหนึ่งบีบรัดแน่นหนา


ก่อนหน้าหลินสวินเงียบงันปิดวาจามาตลอด เวลานี้กลับเผยรอยยิ้มบางๆ ฟันขาวดุจหิมะเรียงราย มองต่งไห่ที่หน้าแดงก่ำ สีหน้าโกรธและตกใจผสมหวาดหวั่นพรั่นพรึง แล้วกล่าวว่า “คิดจะเบี้ยวก็พูดมาตามตรง เหตุใดยังต้องข่มขู่ข้า”


ต่งไห่หนาวสั่นไปทั้งตัว เขารู้สึกทั่วร่างถูกพลังไร้รูปหนึ่งพันธนาการ ไม่อาจขยับเขยื้อนโดยสิ้นเชิง นี่ทำให้เขาหวาดกลัวหาใดเปรียบ


ควรรู้ว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง แต่บัดนี้ไม่ทันแม้แต่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งใช้กำลังปราบให้ยอมจำนน!


“ไม่ร่วมมือกับพวกเจ้าก็หมายฆ่าคนปิดปาก นี่คือรูปแบบของพวกเจ้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินรึ” หลินสวินยิ้มถาม


แท้จริงแล้วในใจเขามีไอสังหารเกาะกุม!


เขาแค่คิดหาแกนวิญญาณนิดหน่อยเท่านั้น กลับถูกฝ่ายตรงข้ามชักดาบ ยังข่มขู่หมายให้เขารับปากเรื่องหนึ่ง วิธีนี้ช่างไม่น่าเชื่อถือสิ้นดี


ที่ทำหลินสวินไม่อาจอดกลั้นที่สุดคือ เห็นชัดว่าต่งไห่วางอุบายไว้นานแล้ว มิฉะนั้นเหตุใดเขาต้องสืบข่าวที่มาและเบื้องลึกของตน


เห็นว่าตนเป็น ‘คนต่างถิ่น’ เบื้องหลังไร้คนหนุนและไร้อิทธิพลอำนาจ รังแกได้โดยง่ายก็แค่นั้น!


ต่งไห่ลูกตาปูดโปนชัด เส้นเลือดดำตรงหน้าผากโป่งออกมา จวนเจียนจะหายใจไม่ออก เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร อย่าว่าแต่ขยับเขยื้อนเลย แม้แต่หายใจล้วนเปลี่ยนเป็นยากลำบากผิดปกติ


“ทางที่ดีเจ้าอย่าร้องออกมาดีกว่า มิฉะนั้นข้าไม่กล้ารับรองว่าจะฆ่าเจ้าหรือไม่” หลินสวินพูดพลางสะบัดมือ


โครม!


ร่างกายต่งไห่ถูกทิ้งลงบนพื้น หอบหายใจเฮือกใหญ่ราวคนจมน้ำได้รับการช่วยเหลือ คล้ายไปเยือนประตูนรกมารอบหนึ่ง


“นำรางวัลมาให้ข้า” หลินสวินหลุบตาลงมองเขา


“ได้!” ต่งไห่ราวเปลี่ยนเป็นคนละคน รับปากเต็มคำ คว้าถุงเก็บของใบหนึ่งจากตัวส่งมอบให้หลินสวิน


เขาถูกขู่จนกลัวอย่างแท้จริง เมื่อครู่เขาถึงขั้นสงสัยว่าตนจะตายแล้ว!


หลินสวินหยิบถุงเก็บของมาตรวจสอบครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าจำนวนแกนวิญญาณไม่ผิดจึงเก็บลงไป


จากนั้นสายตาหลินสวินมองไปยังต่งไห่พลางกล่าว “โทษตายอาจละเว้น โทษเป็นยากหลบหลีก ในเมื่อกล้าข่มขู่ข้า ต้องจ่ายค่าตอบแทนหน่อยจึงจะถูก”


ต่งไห่หน้าพลันเปลี่ยนสี ร้องเสียงหลง “เจ้าจะทำอะไร เจ้าน่าจะรู้ว่าเจ้ากำลังเล่นกับไฟ ข้าน่ะเป็นเผ่าไก่ฟ้าสีเงิน… อ๊าก!”


ยังพูดม่จบเขาก็ส่งเสียงร้องทุรนทุราย ร่างถูกเตะกระเด็น กล้ามเนื้อและกระดูกทั้งตัวพังทลาย ปราณยิ่งถูกทำลายทิ้งโดยตรง


“เจ้า… เจ้ากล้าทำลายมหามรรคของข้า!?” ต่งไห่สีหน้าคั่งแค้นเสมือนบ้าคลั่ง ทั่วร่างกำลังสั่นระรัว


หลินสวินกล่าวยิ้มระรื่น “ไม่ว่าจะฆ่าเจ้าหรือไม่ หลังข้าจากไป พวกเจ้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินต้องมาทำการล้างแค้นแน่ ตอนนี้ทำลายปราณเจ้าทิ้งซะ ถือเป็นการเตือนคนอื่นๆ ในลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินล่วงหน้า ว่าหากคิดเป็นศัตรูกับข้าก็ชั่งน้ำหนักดีๆ ว่ารับผลที่ตามมาไหวหรือไม่!”


พูดจบเท้าข้างหนึ่งของเขาก็ถีบต่งไห่สลบ จากนั้นจึงก้าวออกจากเรือนหลังนี้ เรียกซย่าเสี่ยวฉงซึ่งรออยู่นอกเรือนแล้วเดินออกไปจากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน


ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินสีหน้านิ่งสงบ คล้ายไม่มีเรื่องใด


ส่วนผู้คุ้มกันและข้ารับใช้ของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินก็ไม่สังเกตเห็นโดยสิ้นเชิง ว่าภายในเรือนใหญ่หลังนั้น ผู้ดูแลของพวกเขาถูกทำลายปราณและหมดสติไปนานแล้ว


กระทั่งผ่านไปหนึ่งเค่อ ภายในตำหนักจึงแว่วเสียงหวีดร้องของเด็กรับใช้ต่งปา “แย่แล้ว! แย่แล้ว! ใครก็ได้มานี่เร็ว!”


จากนั้นต่งไห่ที่หมดสติจึงถูกพบตัวในที่สุด พาให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายในลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินโดยพลัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)