Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 774-779

 ตอนที่ 774 ประทับลับควบคุมหนอน

ProjectZyphon

เวลาเดียวกันบนยานขนส่งอวกาศ หลินสวินไม่ดีใจสักนิด กลับค่อนข้างเสียดายและไม่พอใจ


เดิมเขาวางแผนล่อเสือออกจากถ้ำ ชักนำอสูรเฒ่าเครือเถาไปยังสถานที่ลับตาคน จากนั้นค่อยอาศัยธนูวิญญาณไร้แก่นสารจู่โจมสังหารมัน


แต่เขากลับคาดไม่ถึง อสูรเฒ่าเครือเถาซึ่งอยู่ภายใต้ความเดือดดาลถึงกับวางวาสนาบนยอดเขาดาราโรยไม่ลง ไม่ได้ไล่ตามมาสังหาร


“คุณชายเก่งกล้าสามารถฝีมือเทียมฟ้า วันนี้ข้าเหล่าจูเปิดโลกทัศน์จริงๆ นับถืออย่างยิ่ง โปรดรับการคารวะจากข้าเหล่าจู!”


ด้านข้าง หมูอสูรมารท่าทางเคร่งขรึมจริงจังโค้งคำนับ สีหน้าเปี่ยมด้วยความเลื่อมใส


เพี๊ยะ!


หลินสวินฟาดฝ่ามือหนึ่งลงบนท้ายทอยเขา ก่อนกล่าวเย็นชา “ประจบสอพลอให้น้อยหน่อย อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ คราวนี้หากข้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าเจ้าคงดีใจกว่าใครเพื่อน”


หมูอสูรมารแยกเขี้ยวยิงฟันลูบท้ายทอยบวมเป่ง กล่าวหน้าตาน้อยใจ “คุณชาย ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเหล่าจูจะเป็นพวกอกตัญญูได้อย่างไร”


“หน้าไม่อาย!”


แม้แต่ซย่าเสี่ยวฉงยังทนดูไม่ไหว กลอกตาใส่หมูอสูรมารคราหนึ่ง เจ้าหมอนี่ไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว ก่อนหน้ามัวแต่คิดว่าจะเผ่นอย่างไรมาตลอดแท้ๆ


หมูอสูรมารไม่กระดากละอายแม้แต่น้อย ยังคงมีท่าทางโศกเศร้ากล่าวทอดถอนใจ “เฮ้อ ดูท่าแม่นางน้อยก็เข้าใจผิด ไม่สู้พวกเราไปพูดคุยตามลำพังเล่า”


พูดพลางมองซย่าเสี่ยวฉงด้วยหน้าตาคาดหวัง


ซย่าเสี่ยวฉงตกใจสะดุ้งโหยง “ข้าไม่อยากพูดคุยกับหมูตัวหนึ่งเพียงลำพัง น่ากลัวเกินไปแล้ว”


หมูอสูรมารตัวนี้พิกลซะจริง ไม่มีศีลธรรมซ้ำยังหน้าด้าน ทำให้หลินสวินยังอดเลื่อมใสไม่ได้


“เสี่ยวฉง เหลือเวลาทดสอบแค่สามวัน เจ้าต้องเร่งมือหน่อย”


หลินสวินพลันกล่าว


ซย่าเสี่ยวฉงชะงักกึก ใบหน้าเล็กไร้เดียงสาย่นยู่ขึ้นทันที กล่าวโอดครวญ “โอ๊ย ข้าน่ะไม่อยากเข่นฆ่าล่าสัตว์อีกแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน ข้าเองก็ไม่ชอบกลิ่นคาวเลือด…”


หมูอสูรมารที่อยู่ด้านข้างพลันเอาอกเอาใจทันที ตบหน้าอกกล่าว “แม่นางน้อย ข้าเหล่าจูไปเป็นเพื่อนเจ้า ยกชารินน้ำนวดบ่าทุบขา ข้าเชี่ยวชาญทุกอย่าง รับรองว่าเจ้าต้องพอใจ!”


นี่ยังเป็นพญาอสูรมารระดับกระบวนแปรจุติอยู่ไหมเนี่ย


หลินสวินแทบหมดคำพูด


แต่ซย่าเสี่ยวฉงยิ่งกล่าวดูถูก “เสียแรงที่เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของอสูรมารบำเพ็ญ รู้ว่าข้าจะล่าสังหารพวกเจ้าสัตว์ปีศาจอสูรมาร เจ้าไม่เพียงไม่ขัดขวาง กลับยังเสนอตัวมาช่วย ช่างไร้ยางอายซะจริง!”


หมูอสูรมารท่าทางครัดเคร่งคุณธรรม คิดจะพูดอะไรก็ถูกเท้าข้างหนึ่งของหลินสวินถีบเข้าจังๆ ด้วยเขาออกจะรับเจ้าหมอนี่ไม่ได้อยู่บ้าง ช่าง… หน้าด้านเกินไปแล้ว!



รัตติกาลลาลับ รุ่งอรุณทอแสงเบิกฟ้า วันใหม่มาเยือน


ภูเขาโคม่วงกว้างขวาง หมู่เขาซ้อนสลับยอดทิวร่วมแนว ย้อมแสงทองอร่ามแห่งอาทิตย์ยามเช้า สาดประกายพลังชีวิตอันแตกต่าง


ในลำธารกลางหุบเขา ซย่าเสี่ยวฉงกำลังถือทวนเงินเล่มหนึ่งเข่นฆ่าปลาอสูรมารเกศเขียวสิบกว่าตัวซึ่งครองอาณาเขตในลำธาร


บริเวณที่ไม่ห่างเท่าไหร่หมูอสูรมารกำลังง่วนอยู่กับการก่อไฟต้มน้ำ คิดว่าอีกประเดี๋ยวจะนำปลาอสูรมารซึ่งถูกฆ่าบางตัวลงหม้อ ต้มสุกแล้วเติมเต็มท้อง


ยอดเขาเตี้ยต่ำลูกหนึ่งริมลำธารกลางหุบเขา หลินสวินนั่งหันหน้าเผชิญดวงตะวัน เงาร่างสูงสง่าอาบไล้ท่ามหมอกแสงรุ่งอรุณ ดูโดดเด่นละโลกีย์


ไม่นานนักเขาตื่นจากสมาธิ หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างอดไม่อยู่


พลังปราณของเขาบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดของระดับหยั่งสัจจะนานแล้ว ระยะนี้แทบสะกดข่มแรงกระตุ้นของการเลื่อนสู่ระดับกระบวนแปรจุติไม่อยู่


นี่คือสิ่งที่หลินสวินไม่หวังจะเห็น


เพราะที่เขาดำเนินคือมรรคาแห่งมกุฎราชัน แม้พลังปราณปัจจุบันบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ แต่ด้านการฝึกยุทธ์และลำดับขั้นแจ้งมรรคยังมีข้อบกพร่องบางส่วน


อย่างเช่น ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ ‘เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์’ มรดกวิชาลับสองส่วนนี้ก็ไม่เคยบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ไร้บกพร่อง


หรืออย่างท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำที่เขาควบคุม แม้สมบูรณ์แบบแล้ว แต่กลับยังไม่อาจทลายปราการก้าวสู่ระดับ ‘เจตจำนงแห่งมรรค’ ที่สูงขั้นกว่าได้


‘จำเป็นต้องทำเวลาหลอมชำระวิชายุทธ์และพลังท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำ…’


หลินสวินเข้าใจกระจ่างนานมากแล้ว พลังแห่งมหามรรค มีเพียงถึงระดับกระบวนแปรจุติจึงจะสามารถสะท้อนอานุภาพของมันออกมาอย่างแท้จริง


ถึงเวลานั้นในการต่อสู้ของผู้ฝึกปราณ พลังมหามรรคที่ควบคุมได้ยิ่งแกร่ง ยิ่งสามารถเผยศักยภาพของตนอย่างทรงพลัง!


หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งค่อยนำม้วนคัมภีร์สีขาวเงินเรียบง่ายม้วนหนึ่งออกมา นี่คือ ‘เคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอน’ ที่ได้มาจากเซ่าเฮ่า เป็นวิชาลับซึ่งใช้เลี้ยงและควบคุมหนอนกินเทพโดยเฉพาะ


พอนึกถึงเซ่าเฮ่า หลินสวินก็อดนึกถึงยอดเขาดาราโรยปริศนาลูกนั้นไม่ได้


ค่ายกลใหญ่ซึ่งอบอวลด้วยไอศักดิ์สิทธิ์อันเก่าแก่ ไข่แห่งกลุ่มดาว รวมถึงนายน้อยเผ่าราชันเร้นดาราผู้หนึ่งซึ่งจำศีลอยู่ภายใน…


ทุกอย่างนี้ล้วนเห็นได้ว่าวิเศษอัศจรรย์เหลือเกิน ทำให้ผู้คนยากจะเข้าใจ


หลินสวินสูดหายใจลึก ไม่คิดมากความอีก เริ่มศึกษาเคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอน


สองสามชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว


เมื่อถึงยามเที่ยง หลินสวินปิดม้วนคัมภีร์ในมือ นัยน์ตาดำยังเต็มไปด้วยความรู้สึกตระหนกและอัศจรรย์


จากที่บันทึกไว้ ที่มาของหนอนกินเทพน่าอัศจรรย์ยิ่งยวด ถูกจัดอยู่ในอันดับเจ็ดแห่ง ‘กระดานหนอนประหลาดบรรพกาล’!


ทันทีที่มันเปลี่ยนแปลงถึงระดับราชัน ถึงขั้นสามารถดูดซึมไอใต้พิภพ เขมือบกลืนจิตวิญญาณแห่งราชัน เหี้ยมโหดป่าเถื่อนหาใดเปรียบอย่างแท้จริง!


สมัยบรรพกาล เคยมีราชันหนอนกินเทพตัวหนึ่งเย้ยคำรามทั่วฟ้าดิน ท่องทะยานทั่วทุกทิศ กลืนกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดกลัวไปไม่รู้เท่าไหร่ ทำเอาผู้แข็งแกร่งทั้งปวงหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง ตื่นตระหนกแม้เสียงลม


ทว่าหนอนกินเทพหายากยิ่ง เดิมเป็นหนอนเทพพิทักษ์เผ่าของเผ่าราชันเร้นดารา แต่กลับประสบมหาเคราะห์ แทบสาบสูญไปหมดสิ้น ทำให้ข่าวลือเกี่ยวกับมันค่อยๆ สูญหายไปในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด


หนอนกินเทพเก้าตัวในมือหลินสวิน ก็ถูกพบตอนที่เขาอยู่ในพื้นที่น่ากลัวเร้นลับอย่าง ‘แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น’ ในแดนวิญญาณโบราณ


เพียงแต่ความเป็นมาของหนอนกินเทพ เขากลับไม่ค่อยรู้นัก ถึงขั้นไม่รู้ว่าควรหล่อเลี้ยงและควบคุมอย่างไร


ทว่าหนอนกินเทพน่ากลัวเหลือประมาณอย่างไม่ต้องสงสัย!


หลายปีนี้ช่วยหลินสวินสังหารศัตรูแข็งแกร่งมาไม่น้อย อย่างเช่นยามอยู่ใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ อวี่เซียวเซิงและพวกบุตรเทพส่วนหนึ่งก็ถูกหนอนกินเทพกลืนกินจิตวิญญาณ ได้รับบาดเจ็บสาหัสและสิ้นชีพไป


เพียงแต่นี่ไม่ใช่การสั่งการของหลินสวิน ทั้งหมดล้วนเป็นหนอนกินเทพสำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง เขาถึงขั้นไม่รู้ว่าควรควบคุมหนอนกินเทพอย่างไร จึงได้แต่ผนึกพวกมันไว้ในห้วงนิมิตตลอดมา


แต่ตอนนี้มีเคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอนแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป


‘หนอนกินเทพอาศัยจิตวิญญาณเป็นอาหาร ต้องผ่านการแปรสภาพโดยสมบูรณ์ห้าครั้งจึงจะสามารถก้าวสู่ขั้นราชันหนอน และการแปรสภาพแต่ละครั้ง พลังของหนอนกินเทพจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด…’


หลินสวินขบคิดและทบทวนความเร้นลับของเคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอนเงียบๆ ‘ที่แท้การผนึกพวกมันมาตลอดนั้นไม่ถูก จำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณหล่อเลี้ยงพวกมัน เช่นนี้จึงจะกระตุ้นการแปรสภาพและเติบโต’


หลังผ่านไปครู่ใหญ่ หลินสวินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วนำหนอนกินเทพเก้าตัวซึ่งผนึกไว้ออกมา จากนั้นสองมือทำมุทรา ควบรวมเป็นประทับเลือดพิสุทธิ์แปลกประหลาดปกคลุมพวกมันเอาไว้


นี่คือ ‘ประทับลับควบคุมหนอน’ มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถควบคุมหนอนกินเทพได้ตามประสงค์!


วู้มๆๆ…


ประทับลับซึ่งแฝงเลือดพิสุทธิ์ของหลินสวิน ถูกหนอนกินเทพเก้าตัวดูดซึมอย่างโลภโมโทสัน


ขณะเดียวกันระลอกคลื่นเร้นลับก็เกิดขึ้นระหว่างหลินสวินและหนอนกินเทพ กลายเป็นสายสัมพันธ์อัศจรรย์หนึ่ง


เวลานี้หลินสวินพลันมีความรู้สึกประหลาดทันที เสมือนหนอนกินเทพกลายเป็นบุตรแห่งตน ความรักโศกโกรธสุขของพวกมัน รวมถึงทุกคลื่นความผันผวนในอารมณ์แม้เพียงเสี้ยว ล้วนสามารถสะท้อนอยู่ภายในใจ


นี่ก็คือความเร้นลับที่แฝงอยู่ในประทับลับควบคุมหนอน ระหว่างหนอนกินเทพและเจ้าของจะเกิดสายสัมพันธ์อย่างหนึ่ง มีเพียงเป็นเช่นนี้จึงจะเรียกใช้หนอนกินเทพได้อย่างคล่องมือ ทำให้พวกมันสร้างประโยชน์แก่ตน


‘พวกมันหิวมาก…’


ไม่ทันไรหลินสวินก็จับคลื่นความรู้สึกเยียบเย็นหนึ่งได้ ทำให้คิ้วเขาพลันเลิกขึ้น นำหยกควบรวมจิตระดับกลางก้อนหนึ่งออกมา


หยกควบรวมจิตก้อนนี้เดิมเป็นของซย่าเสี่ยวฉง แต่ถูกหลินสวินนำมาใช้ก่อน ภายในเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของสัตว์ปีศาจ


นำมาเป็นอาหารแก่หนอนกินเทพ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้แล้ว


ครึ่กๆ!


ไม่นานนักหยกควบรวมจิตระดับกลางก็ถูกหนอนควบรวมจิตเก้าตัวเขมือบกลืนจนเกลี้ยง สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าบนร่างกายสีดำขนาดเท่าเม็ดข้าวของพวกมันเพิ่มแสงแวววาวเป็นประกาย ราวสาดส่องพลังชีวิตสายหนึ่งก็ไม่ปาน


‘หลับ…’


เมื่อคว้าจับคลื่นจิตคลื่นหนึ่งได้ หลินสวินชะงักงันอย่างอดไม่อยู่ จากนั้นก็แย้มยิ้มเล็กน้อย กินอิ่มก็นอนหลับ ความต้องการของหนอนกินเทพนี่ดูไปแล้วก็ง่ายดายยิ่งนัก


ทว่าหลินสวินเองก็รู้ว่าการแปรสภาพของหนอนกินเทพแปลกพิกลยิ่ง การนอนก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งในการทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นด้วย


‘พวกมันยังเป็นแค่ตัวอ่อน อยู่ในขั้นแรกของการแปรสภาพ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลายเป็นราชันหนอนที่แท้จริง…’


หลินสวินเก็บหนอนกินเทพเก้าตัวขึ้นมา ในใจเฝ้ารอยิ่ง หากมีสักวันที่ตนสามารถบ่มเพาะราชันหนอนกินเทพที่แท้จริงออกมาได้ นั่นต้องเป็นมหาอาวุธสังหารชิ้นหนึ่งที่สามารถสยบสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้อย่างแน่นอน!


‘ทว่าภารกิจหนักหน่วงหนทางยาวไกล’


ไม่นานหลินสวินก็ส่ายศีรษะ หนอนกินเทพต้องการจิตวิญญาณต่างอาหารและทำการแปรสภาพ นึกภาพออกเลยว่าการแปรสภาพแต่ละครั้งของพวกมัน ปริมาณจิตวิญญาณที่ต้องกลืนกินจะต้องยิ่งใหญ่มหาศาลถึงขีดสุด


นี่ทำให้หลินสวินคลางแคลงอยู่บ้าง วันหน้าอาศัยเพียงความสามารถของตน จะสามารถเติมเต็มความต้องการของหนอนกินเทพได้หรือไม่


ยังดีที่ในตอนนี้หลินสวินยังไม่ต้องกังวลจุดนี้



หลังจากนั้นสองวัน


หลังผ่านการล่าสัตว์อย่างต่อเนื่อง ซย่าเสี่ยวฉงก็สะสมมุกควบรวมจิตระดับกลางเม็ดหนึ่งจนเต็ม แปรสภาพเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลาง


สองวันนี้หลินสวินเองก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ พาซย่าเสี่ยวฉงลัดเลาะละแวกภูเขาโคม่วง เสาะหาร่องรอยสัตว์ปีศาจอสูรมาร จากนั้นจึงทำการล่า


อาศัยโอกาสนี้หลินสวินเองก็สะสมมุกควบรวมจิตระดับกลางได้สองเม็ดเต็ม นำมาเป็นอาหารของหนอนกินเทพได้พอดี


อีกทั้งหลินสวินไปสอบถามมา และรู้ว่าทุกพื้นที่ในแดนฐิติประจิมสามารถหาซื้อหยกควบรวมจิตได้ เพียงแต่ราคาแพงอย่างยิ่ง ทั้งยังมีจำนวนน้อย ไม่อาจซื้อกักตุนในปริมาณมากก็เท่านั้น


ระยะเวลาก่อนการทดสอบสิ้นสุดเหลือแค่หนึ่งวัน ซย่าเสี่ยวฉงดีใจมาก ร่ำร้องอยากกลับไปพบอาจารย์ล่วงหน้า


แน่นอนว่าหลินสวินตกปากรับคำอย่างยินดี เขาต้องการสืบข้อมูลการเดินทางไปแดนชัยบูรพา และอยากลองดูว่าแคว้นวิญญาณอัคนีเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่


อย่างไรเสียแม้เขามาถึงดินแดนรกร้างโบราณแล้ว แต่หลายวันนี้ล้วนอยู่ในป่าลึกกลางหุบเขามาตลอด ยังไม่เคยเห็นกำแพงเมืองซึ่งเป็นของผู้ฝึกปราณเลย


นานมาแล้วเขาเคยได้ยินว่าดินแดนรกร้างโบราณต่างจากโลกชั้นล่าง สำนักเรียงราย หมื่นเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ เจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งยวด มีขนบธรรมเนียมและบรรยากาศแบบสมัยบรรพกาล


นี่ทำให้หลินสวินใจลอยไปล่วงหน้าอย่างอดไม่อยู่


ยามนี้พวกเขาหาได้ล่าช้าอีก ออกเดินทางจากภูเขาโคม่วง มุ่งหน้าสู่แคว้นวิญญาณอัคนี!


ตอนที่ 775 นครเตโช

ProjectZyphon

จวนออกจากภูเขาโคม่วง หมูอสูรมารอาลัยอาวรณ์ ท่าทางเต็มไปด้วยความปวดร้าวโดดเดี่ยว หมายมอบอ้อมกอดใหญ่ๆ แก่ซย่าเสี่ยวฉงเป็นการอำลา


ผลคือขณะเขากางสองแขน ก็ถูกเท้าข้างหนึ่งของหลินสวินถีบกระเด็นจนแผดเสียงร้องโหยหวน แยกเขี้ยวยิงฟันลูบก้น ไม่เห็นท่าทางโศกเศร้าขณะจากลาอีกแม้แต่น้อย


“หากยังไม่ไป ข้าจะตุ๋นเจ้าซะตอนนี้!”


หลินสวินเหลือบมองหมูอสูรมารตัวนี้วูบหนึ่ง


“คุณชาย หัวใจคนเราคือก้อนเนื้อ จะแยกจากกันอยู่แล้ว ไยต้องไร้เยื่อใยเช่นนี้เล่า”


หมูอสูรมารโศกเศร้าถอนใจยาว


หลินสวินยิ้มเย็นกล่าวสั่งการ “เสี่ยวฉง เจ้าไปก่อไฟ ก่อนจากไปพวกเรามากินให้อิ่มสักมื้อ”


สวบ!


คำพูดเพิ่งจบ ก็เห็นหมูอสูรมารประหนึ่งฝ่าเท้าลูบน้ำมัน ผลุบหนีหายไปไร้ร่องรอยดั่งหมอกควัน ความเร็วอันว่องไวทำเอาหลินสวินและซย่าเสี่ยวฉงต่างตะลึงงันอยู่บ้าง


ซย่าเสี่ยวฉงย่นจมูกกล่าววิจารณ์ “เจ้าหมูนี่ช่างต่ำทรามทั้งยังหน้าไม่อาย อีกทั้งยังเจ้าชู้ตัณหาจัด ศีลธรรมเพียงนิดล้วนไม่มี หากถูกอาจารย์ข้าพบเข้าต้องจับมันเจื๋อนแน่ เพราะที่อาจารย์ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกตัณหากลับเยี่ยงนี้”


คำวิจารณ์ที่มีต่อหมูอสูรมารทำให้หลินสวินรู้สึกเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อฟังถึงตอนท้าย หลินสวินอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นเยียบ ลังเลอยู่บ้างว่าจะไปคารวะอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงดีหรือไม่



แคว้นวิญญาณอัคนี


กว้างขวางหาใดเปรียบ ใหญ่ราวโลกแห่งหนึ่ง ภายในพรมแดนขุนเขาสูงชันมากมี รอบรั้วคูเมืองกว่าพัน รวบรวมสรรพชีวิตหลายหมื่นพัน


นอกจากเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ ‘สี่สำนักสามตระกูล’ ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด ภายในแคว้นวิญญาณอัคนียังมีขุมอำนาจและกลุ่มเผ่าพันธุ์อื่นมากมายหลายหลาก


แค่เพียงอาณาเขตแคว้นหนึ่ง ก็ใหญ่กว่าอาณาเขตของจักรวรรดิจื่อเย่าบนโลกชั้นล่างอยู่มาก!


และทั่วแดนฐิติประจิมมีเขตแคว้นมากกว่าพัน สถานที่ซึ่งใหญ่กว่าแคว้นวิญญาณอัคนี รุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งกว่า ยิ่งมีมากมายเหลือคณานับ!


เปรียบเทียบเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าดินแดนรกร้างโบราณซึ่งครอบคลุมจตุแดนวิภูอย่างแดนชัยบูรพา แดนฐิติประจิม แดนกาฬทักษิณและแดนดาราอุดรกว้างใหญ่ไพศาลระดับใด แทบสามารถใช้คำว่าไร้สิ้นสุดไร้ขอบเขตมาพรรณนา


อันที่จริงจวบจนปัจจุบัน แม้บุคคลเทียมฟ้าผู้ก้าวสู่อริยมรรค ก็ล้วนไม่อาจอนุมานได้ว่าเส้นขอบเขตของดินแดนรกร้างโบราณอยู่ที่ไหนกันแน่…


เมื่อทราบสิ่งเหล่านี้หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเหล่าผู้สืบทอดของสำนักต่างๆ อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้า เมื่อมาถึงโลกชั้นล่างล้วนแต่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเช่นนั้น


เทียบทั้งดินแดนรกร้างโบราณ จักรวรรดิจื่อเย่าเห็นได้ว่าเล็กกระจิดริดและยากไร้เหลือเกิน


ทว่าหลินสวินรู้ดีว่า ถึงแม้อาณาเขตของแคว้นวิญญาณอัคนีใหญ่กว่าจักรวรรดิจื่อเย่าอยู่มาก แต่หากกล่าวถึงยอดพลังที่แท้จริง จักรวรรดิจื่อเย่ากลับมีหลายจุดที่แคว้นวิญญาณอัคนีไม่อาจเทียบได้


ยกตัวอย่างเช่น ภายในเจ็ดขุมอำนาจใหญ่สี่สำนักสามตระกูลแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี ไม่มีราชันที่แท้จริงคอยบัญชาการ


แต่ในจักรวรรดิ จักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ราชครูแห่งหอดูดาวหลวง เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต ล้วนแต่เป็นบุคคลน่าสะพรึงซึ่งครอบครองพลังพลิกฟ้าดินทั้งสิ้น


ต่อให้ไม่พูดถึงบุคคลเหล่านี้ แค่ในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงก็ล้วนไม่ขาดแคลนราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริง!


จากจุดนี้ก็สามารถมองออกว่า แม้จักรวรรดิจื่อเย่าตั้งอยู่ในโลกชั้นล่าง เป็นดินแดนยากไร้ในสายตาแวดวงผู้ฝึกปราณ


แต่ภายในจักรวรรดินี้ กลับมีเส้นสนกลในชวนประหวั่นที่คนภายนอกไม่อาจรับรู้



นครเตโช


ศูนย์กลางแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เป็นแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ในเขตแคว้นวิญญาณอัคนีซึ่งผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันมากที่สุด แต่ละวันล้วนมีผู้ฝึกปราณเหลือคณานับจากอาณาเขตอื่นๆ ในแคว้นมุ่งหน้ามาเยือน


เหตุผลนั้นง่ายมาก สี่สำนักใหญ่แห่งแคว้นวิญญาณอัคนีอย่างสำนักยุทธ์พันเวท สำนักกระบี่สนขจี สำนักมุกวิญญาณ สำนักเร้นปรัชญา รวมถึงสามตระกูลใหญ่หลิ่ว เวิน เซียวต่างลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่


ประจวบเหมาะเที่ยงวัน ภายในนครเตโชคึกคักหาใดเปรียบ ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ ผู้คนสัญจรคลาคล่ำ


หลินสวินและซย่าเสี่ยวฉงกำลังเดินเล่นบนท้องถนนอันกว้างขวางรุ่งเรือง


สิ่งปลูกสร้างในนครเตโชปรากฏสีแดงเพลิงสะดุดตา มองจากเบื้องบนลงมา ทั้งเมืองประดุจผลึกอัคคีก้อนใหญ่มหึมาหาใดเปรียบก้อนหนึ่ง สดใสสว่างกระจ่างตายิ่ง


ลือกันว่าเมื่อนานมาแล้ว ใต้พิภพนครเตโชฝัง ‘ชีพจรเพลิงแรกกำเนิด’ สายหนึ่งเอาไว้ ก่อเกิดเป็นเจินหลงเพลิงแดงตัวหนึ่ง ด้วยบรรลุมรรคได้ในวันเดียวจึงพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ถูกมนุษย์โลกเรียกขานอย่างยกย่องว่า ‘สัจจเทพมังกรเพลิง’


แน่นอนว่าเป็นแค่ตำนานอย่างหนึ่ง ใครต่างไม่อาจตัดสินได้ว่าจริงหรือเท็จ ทว่าเพราะตำนานเล่าขานนี้ ทำให้นครเตโชมีสีสันบำเพ็ญเพียรอันเร้นลับไร้รูปขึ้นอีก


“ลดกระหน่ำถ้ำสถิตบำเพ็ญเพียรชั้นสูงแห่งหนึ่งบนภูเขาเซียนหิมะ ภายในมีตาน้ำพุวิญญาณ ทุ่งวิญญาณห้าหมู่ นอกจากนี้ยังมีสวนโอสถผืนหนึ่ง แค่เพียงแปดพันแกนวิญญาณขั้นกลางเท่านั้น!”


“ข่าวดีครั้งใหญ่! ภายในสิบวันนี้สำนักยุทธ์ตะวันเมฆาจ้างวานผู้สืบทอดสำนักเร้นปรัชญารุ่นที่สามสิบเจ็ดมาชี้แนะสอนสั่งโดยเฉพาะ ค่าสมัครแค่หนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นต่ำ!”


“ลองมาดูลองมาชม นี่คือ ‘ลูกกลอนจินดาสมประสงค์’ หลอมตามตำรับลับมรดกเผ่ากระจิบเขียวของข้า แค่เก้าร้อยเก้าสิบแปดแกนวิญญาณขั้นต่ำ! อะไรนะ สหายยุทธ์ท่านนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนรึ งั้นท่านก็อยู่ในกะลาแล้ว เมื่อครั้งบรรพกาลลูกกลอนจินดาสมประสงค์ของเผ่าข้าน่ะ เป็นลูกกลอนวิญญาณที่ได้ผลชะงัด เป็นที่นิยมในใต้หล้า แค่เพียงเม็ดเดียวก็สามารถทำให้ท่านคงความหนุ่มสาว ไม่แก่เฒ่าชั่วนิรันดร์! เอ๋สหายยุทธ์ ท่านอย่าเพิ่งรีบไป ถ้าท่านไม่ต้องการก็สามารถซื้อไปเอาอกเอาใจคนรู้ใจ อีกทั้งราคายังไม่ใช่ปัญหา ล้วนสามารถเจรจากันได้…”


เสียงร้องตะเบ็ง เสียงเรียกขายของดังต่อเนื่องเป็นระลอก ก้องสะท้อนเหนือฟ้าบนท้องถนน คึกคักอึกทึก ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์


เขาพบว่าบรรดาพ่อค้าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์!


ทายาทเผ่าอสูรนอสมุทรซึ่งเกิดมาพร้อมนอเดียว มีเส้นผมเขียวสาหร่ายทั้งศีรษะ กลับทำตัวเป็นพ่อค้ารายย่อย เร่ขายโอสถวิญญาณนานัปการแก่ผู้ฝึกปราณที่ผ่านไปมาอย่างยิ้มแย้ม


สาวน้อยเผ่าผีเสื้อฟ้าซึ่งขนาดแค่ฝ่ามือ เกิดมาพร้อมปีกหลากสีสันคู่หนึ่ง งดงามกระจิดริด กลับหิ้วตะกร้าดอกไม้จิ๋วประณีตขนาดเท่าเหรียญทองแดง เริงระบำเกาะกลุ่มเป็นขบวนบนท้องถนน กำลังขาย ‘น้ำผึ้งเสาวรสวิญญาณ’ ซึ่งเป็นของเฉพาะถิ่นเผ่าผีเสื้อฟ้าของพวกนาง


ห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียงเครื่องดนตรีทุ้มต่ำเสนาะหูดังขึ้นเป็นระลอก ยังตามมาด้วยเสียงขับร้องแผ่เก่าแก่โบราณ


ที่นั่นมีนักดนตรีเผ่าคีตลายกลุ่มหนึ่ง พวกเขาสวมชุดหนังสัตว์ปักลายบุปผาปักษามัจฉาแมลง ผิวสีทองแดง รูปร่างอัปลักษณ์ แต่สีหน้าต่างน่าเลื่อมใสและสุภาพนุ่มนวล


พวกเขาคือ ‘วณิพกพเนจร’ แห่งโลกการบำเพ็ญเพียร อาศัยศาสตร์ดนตรีเข้าสู่มรรคา ฝากร่องรอยทั่วใต้หล้า นี่คือหนทางสู่มรรคอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา


นอกเหนือจากนี้ยังมีชนเผ่ากระจิบเขียวซึ่งชำนาญการหลอมยา ชนเผ่าจินตเมฆาซึ่งถนัดเย็บปักถักร้อยเป็นต้น รูปร่างหน้าตามีสารพัดแบบ ทำให้หลินสวินได้เปิดหูเปิดตา


ดินแดนรกร้างโบราณมีชื่อเสียงว่าหมื่นเผ่าพันธุ์เรียงราย นี่หาใช่การโอ้อวดเกินจริงแน่นอน


“พี่ชาย หลายวันก่อนข้าเพิ่งพบสมบัติชั้นดีสะท้านฟ้าสะเทือนดินชิ้นหนึ่ง เป็น ‘รากชีวิต’ ท่อนหนึ่งซึ่งผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติเผ่ามังกรหัสดีเหลือทิ้งไว้! ของเล่นชิ้นนี้น่ะเป็นของบำรุงอย่างดี ใช้ร่วมกับ ‘วิธีบำเพ็ญคู่’ จะต้องเกิดผลอัศจรรย์ไม่อาจจินตนา! หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะขายให้เจ้าถูกๆ”


ชายตัวเล็กร่างผอมหน้าตาไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งดอดเข้ามาลับๆ ล่อๆ หลังเขาแบกกระดองหนึ่ง ดวงตาเท่าเมล็ดถั่วเขียว หนวดเป็นเลขแปด (八) มีบุคลิกสับปลับลามกเฉพาะตัวประการหนึ่ง


นี่คือลูกหลานเผ่าเต่าตะกลาม สังเกตได้ง่ายนัก ด้วยเผ่าพันธุ์นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงผู้ฝึกปราณ ที่ชื่นชอบที่สุดคือขุดปล้นสุสานของผู้อื่น ถูกเรียกว่าเป็น ‘โจรปล้นสุสานแห่งโลกผู้ฝึกปราณ’


เผ่ามังกรหัสดี?


รากชีวิต?


หน้าผากหลินสวินมีเส้นเลือดดำปูดโปน


แต่ยังไม่รอให้หลินสวินกล่าวอะไร ชายเผ่าเต่าตะกลามนั่นก็ร้องเสียงประหลาด หายวับเผ่นแน่บเข้าไปในฝูงชน หลบหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ไม่นานนักผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน กลุ่มชายฉกรรจ์สูงราวสามจั้ง ห้าวหาญดั่งภูเขาลูกย่อมๆ ทั่วร่างเอ่อล้นด้วยแสงทองอร่ามก็พุ่งเข้ามา ทำให้บนถนนหลักแตกตื่นโกลาหลฉับพลัน


พวกเขาโกรธเดือดดาล คล้ายกำลังค้นหาอะไร


“แม่งเอ๊ย โจรปล้นสุสานนั่นวิ่งไปไหนแล้ว ถึงกับกล้ามาขุดสุสานปู่ข้า ทั้งยังตัดรากมรดกปู่ข้าไปด้วย สมควรตายนัก!”


ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้นำแผดคำราม ดวงตาแดงก่ำ


หลินสวินรีบหลีกหลบ แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น เขาจำกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าวหาญหาใดเปรียบนี้ได้ เป็นทายาทแห่งเผ่ามังกรหัสดีนั่นเอง!


เห็นชัดว่าคนที่พวกเขาหมายจะจับตัวคือชายเผ่าเต่าตะกลามเมื่อครู่


เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินแสยงในใจคือ ‘รากชีวิต’ ที่เผ่าเต่าตะกลามหมายขายให้ตนก่อนหน้านั้น ถึงกับขุดขโมยมาจากหลุมฝังศพของผู้แข็งแกร่งเผ่ามังกรหัสดี!


“พี่หลินสวิน ข้าจะไปพบอาจารย์แล้ว ท่านจะมาด้วยกันกับข้าไหม” ด้านข้าง ซย่าเสี่ยวฉงอ้าปากงึมงำ นางกำลังกินเนื้อแพะหิมะย่างไม้หนึ่งซึ่งซื้อมาจากมือพ่อค้าเร่เผ่าจิ้งจอกแดง กระพุ้งแก้มป่องบวม ปากน้อยมันเยิ้ม


“ข้ารอข่าวจากเจ้าที่นี่แล้วกัน” หลินสวินกล่าวพึมพำ


เขารู้ดีกว่า ‘งานประลองใหญ่รวมสำนัก’ ซึ่งจัดโดยสี่สำนักสามตระกูลแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีครานี้จะปิดฉากลงวันนี้


ยามนี้อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงอยู่กับเหล่าคนใหญ่คนโตแห่งสี่สำนักสามตระกูล ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่อยากบุ่มบ่ามไปคารวะ


อย่างไรเสียขณะอยู่บนภูเขาโคม่วง กลุ่มของโม่เฟิงแห่งสำนักมุกวิญญาณก็ถูกเขาจัดการอย่างหนักไปยกหนึ่ง หากไปกับซย่าเสี่ยวฉง ทันทีที่เจอพวกเขาจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็นบางอย่างแน่


“อืม ก็ได้” ซย่าเสี่ยวฉงพยักหน้า


ทั้งสองกำหนดสถานที่นัดพบกันดีแล้วซย่าเสี่ยวฉงจึงจากไป ส่วนหลินสวินเดินเที่ยวเตร่ในนครเตโชเพียงลำพัง


เขามาดินแดนรกร้างโบราณเป็นครั้งแรก ต้องการคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่โดยเร็ว ผสานรวมเป็นส่วนหนึ่งกับโลกนี้ เรียนรู้ทุกเรื่องในโลกนี้ก็เท่านั้น


“ได้ข่าวหรือยัง แดนแห่งวาสนาในส่วนลึกของภูเขาโคม่วง นับวันยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินว่าบุคคลเก่งกาจมากมายล้วนกำลังรีบเร่งมาจากเขตแคว้นอื่น”


“ครึ่งปีจากนี้ เทศกาลโคมกถามรรคบนเขาพยับครามจะเริ่มแล้ว ว่ากันว่าเทศกาลโคมครั้งนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ดึงดูดยอดผู้กล้าทรงอิทธิพลมากมายแห่งแดนฐิติประจิมชิงกันเข้าร่วม น่าเสียดาย อย่างพวกเรายังห่างไกลจากคำว่ามีสิทธิ์เข้าร่วม”


“น่าชังนัก! เมื่อตะกี้ฟางหลินหานผู้สืบทอดจาก ‘อาศรมดาบแปดวิทูร’ ของแคว้นวารีทมิฬนั่น ได้รับชัยชนะสิบครั้งรวดในลานประลองยุทธ์นครเตโชอีกครา ทั้งยังเอะอะเอ็ดตะโรว่าพวกเราชนรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนีไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้! นี่เห็นชัดว่ามองพวกเราแคว้นวิญญาณอัคนีว่าไร้ตัวตน!”


ตลอดทางแม้หลินสวินกำลังเดินเล่น แต่กลับได้ยินข่าวคราวและข่าวลือมากมายหลายหลาก เกือบทั้งหมดคือเรื่องใหญ่ที่ฮือฮาที่สุดในแคว้นวิญญาณอัคนีช่วงนี้


หลินสวินกลับฟังอย่างออกรสออกชาติ กระทั่งผ่านไปสองสามชั่วยามเขาจึงย้อนกลับทางเดิม เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง


นี่คือสถานที่ซึ่งเขาและซย่าเสี่ยวฉงนัดหมายเจอกัน


ทว่าขณะหลินสวินเพิ่งเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม พลันได้ยินเสียงตวาดอึกทึก


“ผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรอะไรกัน ถึงกับกล้าดูถูกผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนีของข้า ฟางหลินหาน ถ้าตอนนี้เจ้ากล้าก็จงออกมาสู้กับคุณชายเช่นข้าคนนี้!”


ตอนที่ 776 คำเชิญประลองกะทันหัน

ProjectZyphon

หลินสวินเงยหน้ามองออกไป ก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่หลังพาดกระบี่วิญญาณสีชาด รูปร่างกำยำล่ำสันยืนอยู่กลางโถงชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม


ใกล้ๆ ชายหนุ่มยังมีผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง


เสียงตะโกนหนวกหูมาจากกลุ่มผู้ติดตามนั่น


สายตาพวกเขามองไปยังประตูห้องซึ่งปิดสนิทห้องหนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม เห็นชัดว่าฟางหลินหานจากอาศรมดาบแปดวิทูรน่าจะอยู่ในนั้น


“ยอดฝีมือรุ่นเยาว์หลิ่วไจ้เหวินแห่งตระกูลหลิ่ว! เขามาท้ารบฟางหลินหานด้วยตัวเองแล้ว!”


เสียงอึกทึกพลันดังขึ้นกลางโรงเตี๊ยม เผยฐานะชายหนุ่มพาดกระบี่วิญญาณสีชาดนั่น


ตระกูลหลิ่วเป็นหนึ่งใน ‘สี่สำนักสามตระกูล’ แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เส้นสนกลในเก่าแก่ยาวนาน มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแคว้นวิญญาณอัคนี


ภายในตระกูลมียอดฝีมือปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นแหล่งรวมผู้แข็งแกร่ง เฉกเช่นหลิ่วไจ้เหวินก็เป็นพวกชั้นยอดในรุ่นเยาว์ตระกูลหลิ่ว ในนครเตโชนับได้ว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลในบรรดาคลื่นลูกใหม่


“คราวนี้มีเรื่องสนุกดูแล้ว”


ผู้ฝึกปราณซึ่งมุงล้อมมากมายตื่นเต้นยิ่ง


ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินเดินเล่นบนถนน ตลอดทางได้ยินข่าวเกี่ยวกับฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรนั่นไม่น้อย


คนผู้นี้มาจากแคว้นวารีทมิฬ อายุน้อยแต่พลังต่อสู้เป็นเลิศ พรสวรรค์และหน่วยก้านล้วนเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง


ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ฟางหลินหานปรากฏตัวกลางลานประลองยุทธ์นครเตโช ขึ้นเวทีเข้าร่วมการต่อสู้ท้าประลอง


เขาอาศัยท่าทางแกร่งกร้าวทะลวงด่านอย่างราบรื่น พบเจอการต่อสู้น้อยใหญ่นับร้อยสนาม ซัดยอดฝีมือรุ่นเยาว์นับร้อยคนซึ่งมาจากขุมอำนาจต่างๆ ในแคว้นวิญญาณอัคนีจนพินาศ กระทั่งปัจจุบันยังไม่เคยพ่ายแม้เพียงครา!


เรื่องนี้ไม่ช้าก็ฮือฮาทั่วนครเตโชจนอึกทึกครึกโครม ทำให้ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนีเกือบทั้งหมดต่างรู้จักนามฟางหลินหานนี้


อาศรมดาบแปดวิทูร สำนักซึ่งชื่อเสียงไม่โด่งดังแห่งหนึ่งในแคว้นวารีทมิฬ แต่กลับกลายเป็นที่รู้จักของทุกคนอย่างรวดเร็วเพราะฟางหลินหานที่ผงาดอย่างแกร่งกร้าว


ทว่าสำหรับผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนี ท้ายที่สุดฟางหลินหานก็ยังเป็น ‘คนต่างถิ่น’ คนหนึ่ง


ผลงานซึ่งฟางหลินหานได้รับยิ่งเจิดจรัส ยิ่งทำให้เห็นว่าพวกเขาผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนีไร้น้ำยาโดยไม่ต้องสงสัย


กระทั่งเรื่องนี้ยังถูกมองเป็นความอัปยศอดสูของคนรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนี!


ก็เหมือนกับข่าวสารที่หลินสวินได้ยินเกี่ยวกับฟางหลินหาน แทบจะแฝงอคติและมองเป็นศัตรูทั้งสิ้น


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้กลับทำให้หลินสวินรู้สึกยิ่งกว่าเดิมว่าฟางหลินหานคนนี้ไม่ธรรมดา กล้ามาแคว้นวิญญาณอัคนีตัวคนเดียว ขึ้นเวทีท้าประลองในนครเตโชอันเจริญเฟื่องฟูที่สุด ซึ่งเป็นของยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เพียงแค่ความห้าวหาญนี้ก็หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถมีได้


“ฟางหลินหาน เจ้ากลัวรึไง รีบออกมา!”


“ทำไม รู้ว่าคุณชายตระกูลข้ามาเยือน เจ้าจึงไม่กล้ารับคำท้ารึ”


“เจ้าบ้าคลั่งนักไม่ใช่รึไง เอ็ดตะโรว่าพวกข้าคนรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนีไม่มีใครสามารถต่อกรเจ้าได้ ทำไมตอนนี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะออกจากห้องเล่า”


บรรดาผู้ติดตามตระกูลหลิ่วพวกนั้นยังคงเอะอะ น้ำเสียงแฝงรสยั่วยุเต็มเปี่ยม


นานพอควร ประตูห้องซึ่งปิดสนิทนั้นก็มีเสียงเหนื่อยหน่ายดังออกมา “พวกหมาแมวที่ไหนมาโวยวายใส่ข้า รีบไสหัวไป อย่ามารบกวนการทำสมาธิของข้า”


ทุกคนส่งเสียงอื้ออึง ฉุนเฉียวไม่หยุด


แต่หลินสวินอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน แค่ฟังน้ำเสียงฟางหลินหานคนนี้คงระห่ำจริงดังว่า มีความกำเริบเสิบสานประการหนึ่ง


“เจ้าถึงกับกล้าด่าพวกเราเป็นหมาแมวรึ” ผู้ติดตามตระกูลหลิ่วพวกนั้นโกรธจนร้องตะโกน


แม้แต่หลิ่วไจ้เหวินซึ่งรอคอยอย่างเงียบๆ มาตลอด ขณะนี้ยังคิ้วขมวดมุ่นอย่างอดไม่อยู่ สีหน้าฉายแววเย็นเยียบ


เขาโบกมือหยุดเสียงเอ็ดตะโรของบรรดาผู้ติดตาม เงยหน้ามองไปทางบานประตูซึ่งปิดสนิทนั่น ก่อนกล่าวเย็นชา “ฟางหลินหาน หากเจ้ากลัวข้าจะไปตอนนี้ หากเจ้ากล้ารับคำท้าก็ออกมาหาข้า อย่ามาเสียเวลาทุกคนโดยเปล่าประโยชน์อีก”


“กลัว?”


ภายในห้องเสียงหัวเราะลั่นของฟางหลินหานดังออกมา น้ำเสียงอาจหาญเจือความหยิ่งผยอง “พรุ่งนี้เจ้ามาลานประลองยุทธ์นครเตโช ภายในสามดาบหากล้มเจ้าไม่ได้ ข้าผู้แซ่ฟางจะทำลายปราณทิ้งด้วยตัวเอง!”


เฮือก!


กลางที่นั้นเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังขึ้นฉับพลัน เจ้าฟางหลินหานนี่ไม่เพียงแต่หยิ่งผยอง ยังไม่เห็นใครในสายตาโดยสิ้นเชิง มองหลิ่วไจ้เหวินราวกับไร้ตัวตน!


นี่ไม่ใช่การกล่าวา ด้วยฝีมือของหลิ่วไจ้เหวิน เดิมทีก็สกัดสามดาบของเขาไม่อยู่หรอกรึ


ระห่ำเกินไปแล้ว!


ผู้ฝึกปราณมากมายซึ่งเฝ้าดูล้วนทนต่อไปไม่ไหว คนต่างถิ่นคนหนึ่ง แม้อาศัยความสามารถได้รับชัยชนะมาอย่างเจิดจรัสอยู่บ้าง แต่กลับหลงระเริงเช่นนี้ พาให้ผู้คนรู้สึกโมโหซะจริง


สีหน้าหลิ่วไจ้เหวินเองก็อึมครึม นัยน์ตาสาดแววเยียบเย็น เห็นชัดว่ามีโทสะ


ชิ้ง!


เบื้องหลังเขา กระบี่วิญญาณสีชาดเล่มหนึ่งพุ่งทะยานแหวกอากาศ เพลิงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองแสบตา ดุจดั่งมังกรเพลิงก็ไม่ปาน น่าตระหนกชวนประหวั่นหาใดเปรียบ


“ไม่ต้องรอแล้ว ตอนนี้แหละที่ข้าจะให้เจ้าทำลายปราณตนเอง!”


ท่ามกลางน้ำเสียงเยียบเย็น หลิ่วไจ้เหวินยื่นมือจับกระบี่วิญญาณสีชาดมั่น เงาร่างวาบกะพริบ พลันพุ่งไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม ปลายกระบี่สาดแสงส่องสว่างลานตาสายหนึ่ง ฟันผ่าไปทางบานประตูซึ่งปิดสนิทนั่น


เขาหมายบีบบังคับฟางหลินหานออกมาสู้!


ผู้คนกลางที่นั้นกู่ร้องกันเซ็งแซ่ คิดว่าการกระทำนี้ของหลิ่วไจ้เหวินช่วยเชิดหน้าชูตาพวกเขา ไม่ให้ความน่ายำเกรงของพวกเขาเหล่าผู้ฝึกปราณแคว้นวิญญาณอัคนีต้องตกต่ำ


“มดเขย่าไม้ใหญ่ น่าขันที่ไม่เจียมตน”


แต่ไม่รอให้ผู้คนดีใจเร็วเกินไป ที่ตามน้ำเสียงปรามาสและหยิ่งผยองมาคือบานประตูซึ่งปิดสนิทพลันเปิดออก


แทบจะในเวลาเดียวกัน ปลายดาบสายหนึ่งพลันปรากฏ ดุจฟ้าร้องกัมปนาทกลางพื้นราบ ตามมาด้วยแสงสายฟ้าชวนประหวั่นควบทะยาน


พริบตานั้นดวงตามากมายแสบแปลบ จิตใจสั่นตระหนก ล้วนไม่อาจมองเห็นโดยกระจ่าง


ตูม!


เสียงปะทะอึกทึกดับโสตประสาทดังก้องขึ้น เศษไม้ลอยล่อง ราวระเบียงพังทลายแหลกละเอียด แสงสายฟ้าน่าพรั่นพรึงปรวนแปรแผ่กระจาย ทำเอาของประดับบางส่วนในโรงเตี๊ยมกลายเป็นจุณ


ในโรงเตี๊ยมนี้วางค่ายกลป้องกัน แต่กลับไม่อาจต้านทานและสลายพลังทำลายล้างนี้ นี่ทำให้ผู้คนตกตะลึง


จากนั้นคนทั้งหมดก็มองเห็น เงาร่างของหลิ่วไจ้เหวินที่ทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็ว ถูกการโจมตีซัดสะเทือนปลิวกระเด็นกลับมาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า กระแทกพื้นเสียงดังจนพื้นแตกทลาย ผิวดินเกิดหลุมมหึมา


ทันใดนั้นทั้งที่นั้นต่างตระหนก เงียบกริบไร้เสียง


บรรดาผู้ติดตามตระกูลหลิ่วยิ่งนิ่งอึ้งตะลึงงัน


พรวด!


หลิ่วไจ้เหวินกระอักเลือดกบปาก ทั่วร่างสั่นเทา หน้าอกยุบลง กล้ามเนื้อและกระดูกครึ่งหนึ่งแตกหัก เสื้อผ้าเครื่องประดับบนตัวเกินครึ่งถูกอสนีบาตจู่โจมกระจุย ไหม้เกรียมเป็นแถบ ดูอเนจอนาถเหลือประมาณ


เสียงเคล้งหนึ่งดังขึ้น กระบี่วิญญาณสีชาดของเขาร่วงกลับมา ปักเอียงอยู่หน้าเขา คร่ำครวญสั่นระรัวไม่หยุด


ทุกคนตรงนั้นตะลึงงัน นี่น่ะคือหลิ่วไจ้เหวิน ยอดบุคคลรุ่นเยาว์ตระกูลหลิ่วหนึ่งในสี่สำนักสามตระกูล!


แต่กลับพ่ายแพ้ในคราเดียวเช่นนี้?


คนมากมายไม่อาจรับความจริงนี้


กระทั่งแต่ต้นจนจบพวกเขาต่างเห็นไม่ชัดว่าหลิ่วไจ้เหวินพ่ายแพ้ได้อย่างไร!


‘แพ้ขาดลอย ความต่างของพลังมากเกินไป…’


หลินสวินสังเกตอยู่ด้านข้างโดยตลอด เห็นทุกรายละเอียดการต่อสู้อย่างชัดเจน แอบส่ายศีรษะอย่างอดไม่อยู่


ไม่จำเป็นต้องสงสัย ฟางหลินหานมีคุณสมบัติและความสามารถเพียงพอให้หยิ่งผยอง แต่หลิ่วไจ้เหวินกลับไม่รู้จักประมาณตัว ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าเขาไม่รู้ชัดถึงพลังของฟางหลินหานก็บุ่มบ่ามวิ่งมาท้าทาย จนกระทั่งเกิดความพ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนี้


แน่นอน หลินสวินแค่รับบทคนผ่านทาง เขาไม่รู้สึกอะไรกับหลิ่วไจ้เหวิน


ที่ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ คือ ความสามารถของฟางหลินหานนั่นเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นเยาว์อย่างแท้จริง


พลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับมีพลังยุทธ์น่าหวาดกลัวยิ่งยวด โดยเฉพาะวิชาดาบของเขาอานุภาพยิ่งใหญ่อัศจรรย์ เผด็จการเต็มเปี่ยม จะต้องเป็นมรดกวิชาลับอหังการบางอย่างแน่


“กระบวนท่าเดียวยังรับไม่ไหว แล้วยังกล้าพูดเหลวไหลท้าทายข้า พวกเจ้าหาว่าข้าหลงระเริง ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำที่แท้จริง!”


พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น เงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากห้องชั้นสองนั่น สองมือไพล่หลัง พิงราวระเบียงมองจากเบื้องสูง นัยน์ตาฉายแววชวนตระหนก


รูปร่างเขาสูงโปร่งทรงพลัง ผมยาวหนาแผ่สยาย เผยใบหน้าเจือกลิ่นอายบ้าระห่ำหล่อเหลา


ขณะพูดริมฝีปากเขายกขึ้นเล็กน้อยเป็นเส้นโค้งงดงาม ทั่วร่างแผ่พลานุภาพระห่ำและหยิ่งผยอง


นี่หาใช่หลงระเริงไม่ แต่เป็นพลานุภาพซึ่งแผ่จากภายในสู่ภายนอกประการหนึ่ง มีเพียงความมั่นใจเต็มขั้น พวกมั่นใจในความสามารถของตนอย่างแน่วแน่เท่านั้น จึงจะมีท่วงท่าชวนจับตามองเช่นนี้ได้


‘คนผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่ง’


นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง แอบทอดถอนใจ เยวี่ยเจี้ยนหมิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทที่พบเจอหลายวันก่อนก็ทำเขารู้สึกตกตะลึง


และบัดนี้ ท่วงท่าของฟางหลินหานถึงกับไม่ด้อยไปกว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงนั่นแม้แต่น้อย!


เพียงแคว้นวิญญาณอัคนีแคว้นเดียว ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็พบเจอคนที่มีบุคลิกและพลานุภาพสมบูรณ์ต่างกันสองคน แต่ล้วนเรียกได้ว่าเป็นเหล่าอัจฉริยบุคคลแห่งยุค จะไม่ให้หลินสวินทอดถอนใจได้อย่างไร


ดินแดนรกร้างโบราณเป็นถิ่นที่ผู้กล้าปรากฏตัวต่อเนื่อง พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนจริงดังคาด!


“ดาบนี้ถือเป็นการเตือนพวกเจ้า ตัวข้าเป็นพวกบ้าระห่ำโดยกำเนิด แต่ก็รู้จักประมาณตน ไม่เหมือนพวกเจ้าที่ใจแคบและไม่ประมาณตัว!”


น้ำเสียงฟางหลินหานสบายอารมณ์ แฝงความโอหังอวดดีเป็นเอกลักษณ์


ภายในโรงเตี๊ยมเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง สีหน้าผู้ฝึกปราณแคว้นวิญญาณอัคนีทั้งหมดต่างเหยเก ถูกฟางหลินหานซึ่งเป็นคนต่างถิ่นตำหนิ ทำให้พวกเขาอับอายเดือดดาลไม่หยุด


“หืม?”


ทันใดนั้น เมื่อสายตาฟางหลินหานเหลือบเห็นหลินสวินกลางฝูงชนก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง มุมปากบางดุจปลายดาบฉายรัศมีประหลาดใจวูบหนึ่ง


จากนั้นเขามองหลินสวินอย่างสนอกสนใจพลางกล่าว “สหาย พรุ่งนี้สนใจมาลานประลองยุทธ์นครเตโชสู้กับข้าสักตั้งหรือไม่”


นัยน์ตาเขาฉายแววเปล่งประกายฮึกเหิมวูบหนึ่ง นั่นคือท่าทางดีอกดีใจที่ค้นพบคู่ต่อสู้ ไม่มีปกปิดแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าตรงไปตรงมายิ่ง


ผู้คน ณ ที่นั้นต่างตะลึงงัน ต่างหันสายตามองไปหลินสวิน และอดสงสัยไม่ได้ รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเวลานี้ฟางหลินหานกลับส่งคำเชิญประลองด้วยตัวเอง!


นี่ช่างยากพบเห็นเหลือเกิน


ถึงอย่างไรเมื่อครู่ยามหลิ่วไจ้เหวินส่งเสียงท้าประลองล้วนไม่เคยถูกฟางหลินหานใส่ใจ ไม่ยอมปรากฏตัวมาต่อสู้


แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับสลับกัน!


หรือเด็กหนุ่มหล่อเหลานั่นเป็นพวกชั้นยอดคนหนึ่ง? แต่ดูไปแล้วท่าทางไม่คุ้นหน้า เขาเป็นลูกหลานขุมอำนาจอิทธิพลไหนกัน


ทุกคนอยากรู้อยากเห็น พินิจพิเคราะห์หลินสวินอย่างต่อเนื่อง


แม้แต่ตัวหลินสวินเองยังคาดไม่ถึงว่าฟางหลินหานจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงอดชะงักไปเล็กน้อยไม่ได้


แต่จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ “มีโอกาสค่อยว่ากันเถอะ”


เขาจองห้องเรียบร้อยแล้ว ขณะพูดจึงเริ่มก้าวเท้าไปทางห้องตนเอง เขาเพิ่งมาถึงนครเตโช สถานการณ์อะไรล้วนไม่รู้ชัด มีหรือจะสนใจการต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กับ ‘คนบ้าระห่ำโดยกำเนิด’ คนหนึ่ง


นี่เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณตรงนั้นต่างตะลึงงันไม่หยุด เจ้าหมอนี่… ถึงกับปฏิเสธอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้? ไม่เกรงกลัวสิ่งใดหรือเพราะหวาดกลัวในใจกันแน่


“ไม่เป็นไร ข้ารอเจ้า”


ฟางหลินหานยิ้มบางๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รวมกับบุคลิกบ้าระห่ำและอิสระนั่นของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนปีศาจหลงระเริงแปลกประหลาดประการหนึ่ง


หากอาศัยแค่ใบหน้าและบุคลิก ฟางหลินหานถือเป็นชายที่โดดเด่นอย่างยิ่ง


ต่อให้เอาเขาไปทิ้งกลางฝูงชน ก็ยังไม่อาจปิดบังรัศมีของเขา ต้องเป็นคนที่ถูกจับตามองที่สุดแน่


ทว่าทั้งที่เขาถูกปฏิเสธและไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย กลับไม่มีท่าทางหยิ่งผยองบ้าระห่ำดังก่อนหน้า การตอบสนองเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นงงงันยิ่งกว่าเดิม


ตอนที่ 777 เจียวทองเก้าหัว

ProjectZyphon

เด็กหนุ่มนั่นเป็นใคร


ผู้ฝึกปราณทั้งหมดในโรงเตี๊ยมรับรู้ได้อย่างว่องไวว่า การที่สามารถถูกฟางหลินหานเชิญประลองด้วยตนเอง เด็กหนุ่มนั่นไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่นอน!


นึกถึงท่าทีนิ่งสงบของหลินสวินเมื่อครู่ยามเผชิญหน้าฟางหลินหาน ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างคาดเดาอย่างลุ่มลึกทันที


“ตรวจสอบดูซิ เจ้าหมอนี่เป็นเทพสวรรค์จากที่ใดกันแน่!”


ไม่ช้าเหล่าผู้ฝึกปราณในโรงเตี๊ยมต่างรีบเร่งออกไป หนึ่งคือมุ่งหมายสืบข่าวถามที่มาของหลินสวินโดยเร็ว


สองคือ ความจริงแล้วพวกเขาไม่อยากรั้งอยู่ต่อ ฟางหลินหานหยิ่งผยองเกินไป เมื่อครู่ด่าจนพวกเขาเดือดพล่านหาใดเปรียบ หากอยู่ต่อไปคงไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องให้ถูกด่า


ฟางหลินหานหาได้ใส่ใจเหล่าผู้ฝึกปราณที่เผ่นแน่บจากไป แต่ทอดสายตามองยังห้องที่หลินสวินอยู่


‘น่าสนใจ แคว้นวิญญาณอัคนีนอกจากเยวี่ยเจี้ยนหมิงนั่นแล้ว ในที่สุดก็ปรากฏคู่ต่อสู้ที่พอเข้าตาอีกคน…’


แววตาเขาเต็มไปด้วยประกายวาววาม ครู่ใหญ่จึงถอนสายตากลับ เผยรอยยิ้มโดยไร้สุ้มเสียงก่อนหันหลังเดินกลับเข้าห้องตน



เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


ภายในห้องหลินสวิน เสียงแตกละเอียดดังขึ้น หนอนกินเทพขนาดเท่าเมล็ดข้าวตัวดำสนิทเก้าตัวกำลังกินอาหารอย่างปิติกระฉับกระเฉง


เพียงไม่นาน หยกควบรวมจิตระดับกลางที่เหลือแค่สองก้อนในมือหลินสวินก็ถูกเขมือบจนเกลี้ยง


‘หิว…’


หนอนกินเทพเก้าตัวเห็นชัดว่ากินไม่อิ่ม แผ่คลื่นจิตสายหนึ่งออกมา


หลินสวินพลันปวดหัว เจ้าพวกตัวน้อยนี่อย่าเห็นว่าขนาดแค่เมล็ดข้าว แต่กินเก่งยิ่ง นี่เพิ่งแค่ไม่กี่วันก็กินหยกควบรวมจิตระดับกลางหมดไปสามก้อนแล้ว


ต้องรู้ว่าหยกควบรวมจิตระดับกลางก้อนหนึ่งสะสมจิตวิญญาณสามร้อยถึงห้าดวง!


นี่ก็หมายความว่า ต้องล่าสัตว์ปีศาจพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณจำนวนสามร้อยถึงห้าร้อยตัวขึ้นไป จึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางก้อนหนึ่ง!


แต่สำหรับหนอนกินเทพ สามารถกินหยกควบรวมจิตระดับกลางก้อนหนึ่งจนหมดในเวลาไม่นาน ซ้ำยังกินไม่อิ่ม…


นี่จะไม่ให้หลินสวินปวดหัวได้อย่างไร


วันนี้ขณะเขาเดินเล่นในนครเตโช ก็รู้สอบถามมาจนรู้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนของที่นี่แตกต่างจากโลกชั้นล่าง ผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณจะใช้แกนวิญญาณแทนสกุลเงิน


ผลึกวิญญาณระดับสูงสิบก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งก้อน


แกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งร้อยก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นกลางหนึ่งก้อน


แกนวิญญาณขั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นสูงหนึ่งก้อน


และมูลค่าทางตลาด หยกควบรวมจิตระดับต่ำซึ่งสะสมจิตวิญญาณจนเต็มหนึ่งก้อน ต้องการแกนวิญญาณขั้นต่ำประมาณหนึ่งร้อยก้อน หรือก็คือเท่ากับแกนวิญญาณขั้นกลางหนึ่งก้อน


ดูไปแล้วราคาอาจไม่สูง แต่หากคำนวณเป็นผลึกวิญญาณระดับสูง หยกควบรวมจิตระดับต่ำหนึ่งก้อนจะเท่ากับผลึกวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อนเต็ม!


ผลึกวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อน เพียงพอให้หลินสวินใช้ฝึกปราณครึ่งเดือน แต่ที่ดินแดนรกร้างโบราณกลับแลกเปลี่ยนได้แค่แกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งร้อยก้อน หรือแลกเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับต่ำหนึ่งก้อน…


เปรียบเทียบเช่นนี้ก็รู้แล้วว่า ภายในแดนรกร้างโบราณ มูลค่าของหยกควบรวมจิตแพงและน่าทึ่งระดับใด


นี่ยังเป็นแค่มูลค่าของหยกควบรวมจิตระดับต่ำ


ส่วนหยกควบรวมจิตระดับกลางหนึ่งก้อน กลับต้องการแกนวิญญาณขั้นกลางสิบก้อนเต็ม!


นี่เท่ากับแกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งพันก้อน!


เมื่อนึกถึงว่าหนอนกินเทพเก้าตัวนี้ แค่เวลาไม่กี่วันก็กินหยกควบรวมจิตระดับกลางสามก้อนจนเกลี้ยง หรือก็คือแกนวิญญาณขั้นต่ำสามพันก้อน หลินสวินล้วนหน้ามืดอยู่บ้าง


การลงทุนนี้ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปพอดู!


‘มิน่าล่ะสมัยบรรพกาลจำนวนหนอนกินเทพถึงมีน้อยอย่างยิ่ง แค่ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับเลี้ยงพวกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถแบกรับไหว…’


หลินสวินทอดถอนใจ


เขามายังดินแดนรกร้างโบราณครานี้ ภายในเจดีย์สมบัติไร้อักษรพกผลึกวิญญาณระดับสูงจำนวนมากมาด้วย


แต่หากแลกเปลี่ยนเป็นแกนวิญญาณขั้นต่ำ เบ็ดเสร็จยังแลกเปลี่ยนได้แค่ห้าร้อยกว่าก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นกลางห้าก้อน…


ทรัพย์สินนี้ ซื้อหยกควบรวมจิตระดับกลางได้เพียงครึ่งก้อน!


ยิ่งคิดหลินสวินยิ่งกลัดกลุ้ม หนอนกินเทพที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเป็นหนอนดูดเลือดกินคนไม่คายกระดูกฝูงหนึ่ง!


‘จำเป็นต้องเร่งหาเงิน!’


นานพอควรหลินสวินจึงกัดฟัน ทำการตัดสินใจ


ไม่เพียงแต่เลี้ยงหนอนกินเทพ จากนี้ยามฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ หากไม่มีทรัพย์สินเพียงพอจะเดินหน้าได้อย่างยากลำบาก


ที่สำคัญที่สุดคือแกนวิญญาณหาใช่แค่สกุลเงิน


มันยังเป็นวัตถุวิญญาณตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง แฝงพลังวิญญาณบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมยิ่งยวด เทียบกับผลึกวิญญาณระดับสูงแล้วล้ำค่ากว่ามาก คือสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งซึ่งสามารถเติมเต็มการฝึกปราณประจำวันของมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะและระดับกระบวนแปรจุติได้โดยสมบูรณ์



เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิและมาที่ชั้นแรกของโรงเตี๊ยม สั่งน้ำชามากาหนึ่งแล้วรินดื่ม


ในใจเขาสงสัยอยู่บ้าง คำนวณตามเวลา งานประลองใหญ่รวมสำนักซึ่งจัดขึ้นโดยสี่สำนักสามตระกูลได้ปิดฉากลงเมื่อวาน


แต่จวบจนตอนนี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับยังไม่มาหาตน หรือจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น


“คุณชาย ข้าน้อยหม่าสิงคง ปัจจุบันทำงานให้ตระกูลเซียวแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี ไม่ทราบว่าคุณชายชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”


ทันใดนั้นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งประชิดเข้ามา ใบหน้าแต้มยิ้มทักทายหลินสวิน


หลินสวินยิ้มรับ กล่าวกระชับได้ใจความ “หลินสวิน”


ยามพูดหลินสวินสังเกตได้อย่างฉับไวว่าภายในชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมยังมีผู้ฝึกปราณนั่งอยู่ไม่น้อย สายตาต่างพินิจพิเคราะห์ตนอย่างทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ


“ที่แท้เป็นคุณชายหลิน”


หม่าสิงคงนั่งลงด้านข้างเสียเลย กล่าวพึมพำ “คุณชายหลิน ข้าไม่ขอปิดบัง ครานี้ข้ามาตามคำสั่งด้วยอยากถามท่านสักหน่อย คุณชายสนใจประลองกับฟางหลินหานหรือไม่”


หลินสวินชะงัก กล่าวว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงมาหาข้าเล่า”


หม่าสิงคงกวาดมองโดยรอบ กล่าวเสียงแผ่วเบา “คุณชาย เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมเมื่อวานพวกเราต่างรู้กันหมดแล้ว อีกทั้งได้ยินว่าฟางหลินหานยังเชิญท่านประลองด้วยตนเอง แต่กลับถูกท่านปฏิเสธ”


หลินสวินกระจ่างในใจทันที พยักหน้ากล่าว “มีเรื่องเช่นนี้จริง”


หม่าสิงคงถือโอกาสตีเหล็กตอนร้อน “คุณชาย หากท่านสนใจต่อสู้กับฟางหลินหานครั้งหนึ่ง ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ตระกูลเซียวของข้ายินดีมอบแกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งพันก้อนเป็นของกำนัล หากท่านสามารถเอาชนะฟางหลินหาน…”


พูดถึงตรงนี้เขาชูนิ้วขึ้น “ตระกูลเซียวของข้าจะมอบหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลางเพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ท่าน!”


หลินสวินลอบตะลึง ตอนนี้เขารู้ถึงมูลค่าของแกนวิญญาณแล้ว หนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลาง นี่เป็นค่าตอบแทนที่เฟื่องฟูยิ่งยวด!


“แน่นอน”


หม่าสิงคงเปลี่ยนประเด็นทันที ยิ้มกล่าว “ตระกูลเซียวเรามีแค่ข้อเรียกร้องเล็กๆ ข้อหนึ่ง นั่นคือหากท่านรับปากเรื่องนี้ ขอท่านประลองกับฟางหลินหานในนามตระกูลเซียวของเรา”


หลินสวินเข้าใจแล้ว ตระกูลเซียวหมายใช้ตนเป็นเครื่องมือจัดการฟางหลินหาน!


“ขอโทษด้วย ข้ายังมีธุระ โปรดอภัยที่ไม่อาจรับปาก”


หลินสวินปฏิเสธโดยตรง แม้ตอนนี้เขาขาดเงินมาก แต่ไม่อยากเป็นดาบในมือผู้อื่น


หม่าสิงคงตะลึงไป เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงอยู่บ้างว่าหลินสวินจะปฏิเสธตรงๆ เช่นนี้


เขาอดกล่าวไม่ได้ “ไม่อย่างนั้นท่านลองใคร่ครวญอีกครั้งดีหรือไม่ หากเพราะรังเกียจที่ค่าตอบแทนน้อยไป สามารถเจรจากันต่อได้ คิดว่าคุณชายน่าจะรู้ดีว่าตระกูลเซียวของพวกเราเป็นหนึ่งใน ‘สี่สำนักสามตระกูล’ แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เส้นสนกลในแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ทางด้านค่าตอบแทนไม่มีทางทำให้คุณชายผิดหวังแน่”


หลินสวินยิ้มพลางส่ายศีรษะ “หากเงินทองสามารถซื้อโอกาสแห่งชัยชนะ เกรงว่าไม่เพียงแต่พวกเจ้าตระกูลเซียว ขุมอำนาจอื่นคงต่างทำเช่นนี้แล้ว”


หม่าสิงคงเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ยืนขึ้นกล่าวลาแล้วจากไป


ทว่าที่ทำให้หลินสวินมุ่นคิ้วคือ หม่าสิงคงเพิ่งเดินจาก ฉับพลันก็มีผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งทยอยมาพูดคุยด้วยไม่ขาดสาย


พวกเขาต่างเหมือนหม่าสิงคง ล้วนเป็นตัวแทนของแต่ละขุมอำนาจในแคว้นวิญญาณอัคนี หมายจะเชิญเขาไปประลองกับฟางหลินหาน อีกทั้งล้วนยื่นเงื่อนไขยั่วยวนยิ่ง


หลินสวินไม่แม้แต่จะคิด ต่างบอกปัดทั้งหมด


“ดื่มสักจอกไหม” ทันใดนั้นเงาร่างสูงผึ่งผายหนึ่งปรากฏตัว ถือกาสุราและจอกนั่งลงตรงตำแหน่งด้านข้างหลินสวินอย่างสบายอารมณ์


เขาสวมชุดคลุมดำ ผมดำทึบหนาแผ่สยาย ริมฝีปากบางดุจปลายดาบเม้มน้อยๆ ดวงหน้าเจือกลิ่นอายบ้าระห่ำร้ายกาจเฉพาะตัว เป็นฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรนี่เอง


“ขอบคุณมาก” หลินสวินยกจอกดื่มรวดเดียวหมด ไม่สะทกสะท้านหรือเก้อเขินแม้แต่น้อย


นี่ทำให้ฟางหลินหานยิ้มเล็กน้อย รินสุราแก่หลินสวินอีกจอกพลางกล่าว “ดูไปแล้วเจ้าไม่มีอะไรต่างจากคนอื่น แต่ในสายตาข้า เจ้าไม่เหมือนคนอื่น เมื่อไหร่ที่สนใจสามารถมาหาข้าที่ลานประลองยุทธ์นครเตโชเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”


พูดจบเขาหยัดร่างสูงขึ้น ถือกาสุราเดินไปนอกโรงเตี๊ยม รูปร่างกำยำผึ่งผาย เดินเหินหนักแน่นผ่าเผย มีลักษณะทำตามอำเภอใจและหยิ่งผยองประการหนึ่ง


“จริงสิ มากสุดข้าจะหยุดพักอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน” ทันใดนั้นฟางหลินหานหันกลับมา กล่าวเตือนหลินสวินหนึ่งประโยค


หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่งถือว่าตอบรับแล้ว


ฟางหลินหานยิ้ม หันกลับและเดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม เงาร่างเลือนหายกลางฝูงชน


“ไป ไปดูกัน!”


“เจ้าหมอนี่กำเริบเสิบสานเหมือนที่ผ่านมาดังคาด จะไปวางอำนาจในลานประลองยุทธ์นครเตโชอีกแล้ว!”


ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งในโรงเตี๊ยมนั่งไม่ติด ทยอยตามจากไป


จากการสนทนากับเหล่าผู้ฝึกปราณ หลินสวินจึงรู้ว่านับจากฟางหลินหานเข้าสู่นครเตโช ทุกเช้าจะมุ่งหน้าไปลานประลองยุทธ์นครเตโช ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี กระทั่งยามสายัณห์ตะวันรอนจึงหวนกลับมา


‘ใช้การต่อสู้หล่อเลี้ยงตัว เคี่ยวกรำมหามรรคแห่งตนงั้นรึ ที่แท้เป็นพวกบ้าต่อสู้คนหนึ่ง…’


หลินสวินคล้ายขบคิด


รอต่ออีกสองสามชั่วยาม ยังคงไม่เห็นเงาร่างซย่าเสี่ยวฉงปรากฏตัว หลินสวินคิ้วขมวดมุ่น หากรอต่อไปเช่นนี้คงไม่ใช่หนทาง


เขาตัดสินใจลองไปดูด้วยตัวเอง


ทว่าขณะก้าวออกจากประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังมาตามถนนสายหลัก สายตาผู้สัญจรบนถนนเกือบทั้งหมดมองไปเหนือท้องฟ้ากันทันใด


ก็เห็นกลางห้วงอากาศพลันมีเงาทมิฬผืนใหญ่ประดุจพยับเมฆ แท้จริงแล้วนั่นคือร่างสัตว์ที่ตัวใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง ถึงขั้นบดบังแสงจากฟากฟ้า!


มันเกิดมามีหัวเป็นเจียวเก้าหัว ร่างกายมหึมาดุจสันเขาคดเคี้ยว ปกคลุมด้วยแสงทองเรืองอร่ามราวหล่อจากทองคำ


เจียวทองเก้าหัว!


นี่คือสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์อันน่าหวาดกลัวตัวหนึ่ง สมัยบรรพกาลมีชื่อเสียงเหี้ยมโหดโจษจัน


เล่าลือว่าหัวทั้งเก้าต่างครอบครองวิชาลับพรสวรรค์อย่างหนึ่ง สามารถควบคุมดินฟ้าอากาศ ทั้งสามารถเหินฟ้าดำดิน อภินิหารเหนือพิภพ พลานุภาพล้นฟ้า!


แต่ปัจจุบันเจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งเช่นนี้กลับเป็นแค่ยานพาหนะ เพราะบนหลังมันแบกตำหนักหลังหนึ่งซึ่งราวกับสร้างจากเหล็กเทพหยกเซียน!


ตำหนักนั้นเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ สูงประมาณร้อยจั้ง เห็นชัดว่าโอ่อ่าศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ


เวลานี้มีหนุ่มสาวรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งยืนตระหง่านเบื้องหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ พิงรั้วมองลงมาจากเบื้องสูง พูดคุยสนุกสนาน แต่ละคนล้วนเป็นชายหล่อหญิงงาม บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา เสมือนดั่งเหล่าเทพเซียนกลุ่มหนึ่ง!


ตอนที่ 778 ตำหนักอมตะ

ProjectZyphon

เจียวทองเก้าหัวสายพันธุ์บรรพกาลบรรทุกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลังหนึ่งลอยเหนือฟ้าลงมา!


ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแห่งนครเตโชต่างถูกดึงดูด จากนั้นสีหน้าสั่นสะท้าน ภาพเช่นนี้ช่างยากพบเห็นเหลือเกิน


“นั่นคือเจียวทองเก้าหัว สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวโดยกำเนิด แค่พลานุภาพมันเกรงว่าเทียบกับราชันกึ่งระดับแล้วไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้กลับทำหน้าที่เป็นแค่ยานพาหนะ…”


ผู้ฝึกปราณไม่น้อยร้องตกใจ รู้สึกคาดไม่ถึง เสมือนเห็นฉากปาฏิหาริย์กับตา


“หนุ่มสาวเยาว์วัยพวกนั้นเป็นใคร แต่ละคนดั่งเทพเซียนเยือนโลกโลกีย์ ท่วงท่าสง่างามเลิศล้ำ ดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่พวกธรรมดา”


และมีคนสังเกตเห็นว่าหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลังนั้นมีหนุ่มสาวรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ แต่ละคนท่าทางไม่ธรรมดา ประดุจดวงดาราสุกสกาว


“สามารถควบคุมเจียวทองเก้าหัวให้มันยอมบรรทุกตำหนักด้วยความสมัครใจ นี่หาใช่สิ่งที่ขุมอำนาจทั่วไปสามารถทำได้ พวกเขามาจากสำนักโบราณไหนกัน เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน แดนฐิติประจิมยังมีขุมอำนาจเช่นนี้อยู่ด้วยรึ”


ผู้ฝึกปราณเกือบทั้งหมดสงสัยและงุนงงนัก


ก่อนหน้าพวกเขาไม่เคยพบภาพเหตุการณ์เช่นนี้ กระทั่งล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน เจียวทองเก้าหัวสายพันธุ์พิเศษบรรพกาลอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ ถึงกับยอมเป็นยานพาหนะแก่ผู้คน


นี่เห็นได้ว่าน่าตระหนกเกินไปแล้ว!


“ไม่จำเป็นต้องเดาแล้ว พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกปราณแห่งแดนฐิติประจิม หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะมาจากสำนักโบราณซึ่งสืบทอดมานานเป็นหมื่นปีจากแดนกาฬทักษิณ… แดนพิสุทธิ์อมตะ!”


ผู้ชราคนหนึ่งทอดถอนใจ ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาของผู้คนละแวกใกล้เคียง


แม้แต่หลินสวินยังหรี่ตาลง สำนักนี้ถึงกับกล้าเอาคำว่า ‘อมตะ’ สองคำนี้มาเป็นชื่อสำนัก เห็นได้ว่าไม่ธรรมดา


“เจียวทองเก้าหัวเป็นสิ่งมีชีวิตชวนประหวั่นซึ่งมีพลังแฝงบรรลุอริยะ จะกำราบมันได้ ทั่วแดนกาฬทักษิณมีเพียงไม่กี่สำนักที่สามารถทำได้ แดนพิสุทธิ์อมตะนี่เป็นหนึ่งในนั้น”


สายตาผู้ชราคนนั้นเจือความรู้สึกหวนถึงความหลัง กล่าวทอดถอนใจ “พวกเจ้าดูตำหนักที่มันบรรทุกบนหลัง เรียกว่าตำหนักอมตะ สูงเก้าสิบเก้าจั้ง สร้างจากเหล็กเทพนิลกาฬทั้งหลัง อบอวลไอมหามรรคศักดิ์สิทธิ์ นี่น่ะเป็นสมบัติอริยมรรค ทั้งโลกหล้ามีเพียงชิ้นเดียว!”


ตำหนักอมตะ!


สมบัติอริยะ!


บริเวณใกล้เคียงอึกทึกครึกโครม แต่ละคนต่างเบิกตาโพลงด้วยตื่นเต้นและตื่นตระหนก


ที่ดินแดนรกร้างโบราณ เหล่าอริยะเสมือนดั่งสุริยันจันทรา อานุภาพเด่นผงาด มีพลังเทียมฟ้า เวลาปกติไม่อาจพบเห็นร่องรอยโดยสิ้นเชิง


ส่วนสมบัติอริยะยิ่งหายาก สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ถูกเรียกว่ายอดอาวุธอริยะ มีสติปัญญาและจิตวิญญาณ ความแกร่งแห่งอานุภาพอยู่เหนือจินตนาการ สามารถจู่โจมสังหารราชันอย่างง่ายดาย!


บัดนี้เจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งบรรทุกหนึ่งสมบัติอริยะ เบื้องหน้าสมบัติอริยะหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งยืนตระหง่าน บรรยากาศเช่นนั้นเกรงว่าหากราชันที่แท้จริงพบเข้ายังไม่อาจรักษาความสุขุมได้


ที่น่าเสียดายคือ เจียวทองเก้าหัวนี้ไม่ช้าก็หายไปในท้องฟ้าอันห่างไกล ไม่อาจมองเห็นอีก กระทั่งถึงเวลานี้คนสัญจรบนท้องถนนจึงได้สติขึ้นจากความตื่นตระหนก


“ข้านึกออกแล้ว หลายวันก่อนสหายเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งส่งข่าวมา บอกว่าบุคคลไร้เทียมทานผู้หนึ่งแห่งแดนกาฬทักษิณจะมาเยี่ยมเยียนธิดาเทพแห่ง ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ในแดนฐิติประจิมของพวกเรา สันนิษฐานจากตรงนี้ บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นไม่ใช่ว่ามาจากแดนพิสุทธิ์อมตะหรอกรึ”


มีคนร้องตกใจออกมา พาให้เกิดเสียงอึกทึกเซ็งแซ่


นี่มีความเป็นไปได้สูง อย่างไรเสียแม้แต่การเดินทางยังใช้เจียวทองเก้าหัวเป็นพาหนะ ใช้สมบัติอริยะเป็นตำหนัก แค่จุดนี้ก็เพียงพอแสดงให้เห็น ว่าผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะซึ่งมาเยือนแดนฐิติประจิมครานี้จะต้องมีฐานะพิเศษโดดเด่นยิ่งยวด!


‘แดนพิสุทธิ์อมตะ เรือนกระบี่เร้นปุจฉา…’


ในใจหลินสวินไม่อาจนิ่งสงบ ในโลกชั้นล่างไม่มีทางพบเจอภาพเหตุการณ์เช่นนี้แน่


ที่ทำให้เขายิ่งทอดถอนใจคือ เส้นสนกลในของดินแดนรกร้างโบราณสั่นสะเทือนใต้หล้าเกินไปแล้ว สามารถพบเจอบุคคลและสิ่งของซึ่งอุดมด้วยสีสันแห่งอริยะได้อย่างง่ายดาย นี่คือสิ่งที่โลกชั้นล่างไม่อาจเทียบเทียม


ทว่าหลังทอดถอนใจ หลินสวินกลับคิ้วขมวดเล็กน้อย สีหน้าเจือความคลางแคลงเสี้ยวหนึ่ง


เมื่อครู่ยามมองตำหนักอมตะที่เจียวทองเก้าหัวนั่นแบกอยู่ ในความรางเลือนเขาคล้ายมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยคนหนึ่งในบรรดาหนุ่มสาวซึ่งพิงรั้วราวเหล่านั้น


น่าเสียดาย เนื่องด้วยระยะห่างเกินไป ทำให้หลินสวินไม่กล้ายืนยัน


‘หากเป็นนางจริง ไม่ใช่หมายความว่าหลังนางออกจากจักรวรรดิ ก็เข้าร่วมในแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณเพื่อฝึกปราณอย่างนั้นรึ’


‘แต่ว่าด้วยพรสวรรค์ที่นางแสดงให้เห็นในค่ายกระหายเลือดเมื่อตอนนั้น ก็มีคุณสมบัติเข้าร่วมฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จริง’


ระหว่างคิดใคร่ครวญ ในห้วงความคิดของหลินสวินปรากฏภาพเด็กสาวหน้าตาดุจภาพวาด งามสง่าสันโดษ


“พี่หลินสวิน!”


ทันใดนั้นเสียงเรียกชัดกระจ่างดังขึ้น


หลินสวินเงยหน้าก็เห็นซย่าเสี่ยวฉงกำลังวิ่งมาจากที่ห่างไกล ฝีเท้าแผ่วเบา รูปร่างบางอรชร ประดุจผีเสื้อน้อยแสนร่าเริงตัวหนึ่ง


เดิมหลินสวินยังคิดไปตามหานางหนูนี่ด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งออกจากประตูโรงเตี๊ยมนางก็วิ่งมาแล้ว


“พี่หลินสวิน เจียตัวใหญ่ยักษ์เมื่อครู่ท่านก็เห็นใช่ไหม แปลกประหลาดมากเลยเนอะ ถึงกับเกิดมามีเก้าหัว ยังมีตำหนักหลังนั้นอีก งดงามจนเหมือนที่พำนักเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ หากข้าได้ลองนั่งในนั้นชีวิตนี้ก็อยู่มาคุ้มแล้ว”


ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยปากชื่นชม บนใบหน้าเล็กไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ


โป๊ก!


หลินสวินเคาะหน้าผากนางคราหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าให้ข้ารอจนป่านนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ละอายสักนิด กลับสนใจของไร้สาระพวกนั้น ก็ไร้หัวใจเกินไปหน่อยกระมัง”


ซย่าเสี่ยวฉงคล้องแขนหลินสวินด้วยท่าทีออดอ้อน ดวงตาโตใสกระจ่างกะพริบปริบๆ กล่าวหัวเราะแก้เก้อ “โธ่เอ๊ย นี่ข้าก็มาแล้วไม่ใช่รึ จริงสิ อาจารย์ข้าบอกว่าจากนี้สิบวันจะมาพบท่าน ให้ท่านรอก่อน”


ในใจหลินสวินพลันไม่พอใจอยู่บ้าง อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงเล่นตัวมากไปแล้ว ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนก็ให้ตนรอถึงสิบวัน


ก่อนหน้านี้ที่เขาอยากพบอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉง อันที่จริงหาได้มีจุดประสงค์อื่น แค่อยากรู้ว่าจะไปแดนชัยบูรพาอย่างไร


ทว่าบัดนี้เขามาถึงนครเตโช สามารถสืบข่าวสอบถามเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง การไปพบอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงจึงไม่มีความจำเป็นอะไรแล้ว


สาเหตุที่เขารออยู่ตรงนี้ก็แค่เพราะรับปากซย่าเสี่ยวฉงไว้ ไม่อาจไม่ไปตามนัด นี่เป็นเรื่องการรักษาคำมั่นสัญญา


“หากอาจารย์เจ้ามีเรื่องด่วนต้องจัดการ ไม่ได้พบกันก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดต้องทำเช่นนี้” หลินสวินถาม


“เอ่อ อาจารย์ข้าบอกว่า หากท่านคิดเดินทางไปแดนชัยบูรพาจริงก็ให้สงบใจรออยู่ที่นี่” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวง่ายๆ


หลินสวินพลันเลิกคิ้ว “หรืออาจารย์เจ้าคิดว่าถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากนาง ข้าจะไปแดนชัยบูรพานั่นไม่ได้”


แน่นอนว่าซย่าเสี่ยวฉงเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา ฟังความไม่พอใจในวาจาหลินสวินไม่ออกแต่แรก กล่าวพยักหน้าตามเหตุตามผล “โห นึกไม่ถึงว่าท่านจะเดาถูก อาจารย์ข้าคิดว่าอย่างนั้นแหละ ซ้ำยังบอกว่าการข้ามเขตแดนหนึ่งไม่ใช่เรื่อง”


หลินสวินมุ่นคิ้ว หรือจากแดนฐิติประจิมมุ่งหน้าสู่แดนชัยบูรพายังมีรายละเอียดอื่นอีก


ท้ายที่สุดหลินสวินตัดสินใจอดทนรอสิบวัน


เขารู้สึกว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงน่าจะไม่มีเจตนาล้อเล่นกับตน ทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง


“พี่หลินสวิน ข้าพาท่านเดินเล่นเอาไหม ข้าก็ไม่ได้มาเที่ยวนครเตโชนานแล้ว อาศัยช่วงอาจารย์ไม่อยู่ต้องเล่นสนุกให้สุดเหวี่ยง มิฉะนั้นหากกลับสำนักแล้วไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ออกมาเที่ยวอีก”


ซย่าเสี่ยวฉงมองหลินสวินด้วยดวงตาระยิบระยับ หน้าตาคาดหวัง


หลินสวินเองก็ว่างไม่มีธุระจึงตกปากรับคำ ซย่าเสี่ยวฉงพลันโห่ร้องอย่างยินดี กระโดดโหยงเหยงเหมือนเด็กไม่รู้จักโต


หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เด็กสาวคนนี้ช่างไร้เดียงสาไม่สมวัยซะจริง บริสุทธิ์ราวผ้าขาว ความรู้สึกอะไรล้วนซ่อนไม่อยู่


แต่เขากลับชอบอุปนิสัยไม่คิดอะไรมากเช่นนี้ของซย่าเสี่ยวฉงยิ่งนัก อยู่กับนางให้ความรู้สึกผ่อนคลายไร้วิตกกังวลอย่างหนึ่ง


“จริงสิ งานทดสอบรวมสำนักคราวนี้ อันดับสุดท้ายของพวกเจ้าเป็นยังไงบ้าง”


หลินสวินกล่าวถามเรียบง่าย


“แน่นอนว่าศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงแห่งสำนักยุทธ์พันเวทเป็นอันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขา ศิษย์พี่สุ่ยซิ่วแห่งสำนักกระบี่สนขจีอยู่ในอันดับสอง ศิษย์พี่เวินหรูอวี้แห่งตระกูลเวินจัดอยู่ในอันดับสาม…”


ซย่าเสี่ยวฉงชูนิ้วนับ น้ำเสียงกระจ่างชัดบอกเล่ากับหลินสวิน “ที่ตลกที่สุดคือผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณ ก่อนหน้านี้อันดับของพวกเขาอยู่ในสามอันดับแรกตลอด แต่การทดสอบครานี้ พวกเขาแทบอยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายทั้งสิ้น”


“ตอนนั้นผู้อาวุโสสำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งโกรธจนตัวสั่น ราวลมบ้าหมูกำเริบก็ไม่ปาน พวกโม่เฟิงแต่ละคนต่างก้มหัวงุดๆ หมดอาลัยตายอยาก ข้าขำจนปวดท้องไปหมด”


พูดถึงตอนท้ายนางก็อารมณ์ดีอีก ใบหน้าเล็กไร้เดียงสาเปี่ยมรอยยิ้มสดใส


หลินสวินก็ยิ้มอย่างอดไม่อยู่เช่นกัน สมน้ำหน้าพวกโม่เฟิง ดันกล้ามาหาเรื่องตน ถูกจัดอยู่ในอันดับรั้งท้ายก็เป็นบทลงโทษที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา


“เจ้าล่ะ” หลินสวินถาม


“อันดับห้าสิบเก้า” ซย่าเสี่ยวฉงภาคภูมินัก เชิดใบหน้าน้อยอย่างภูมิใจยิ่ง


“นี่ควรทะนงตัวหรือ” หลินสวินประหลาดใจ


“ไม่ควรทะนงตัวรึ” ซย่าเสี่ยวฉงถามกลับ


“สมควรจริงหรือ” หลินสวินหมดคำจะพูดอยู่บ้าง


“ไม่สมควรจริงรึ” ซย่าเสี่ยวฉงขมวดคิ้ว ถามกลับอย่างจริงจังยิ่ง


เห็นเด็กสาวนางนี้ท่าทางไม่ยอมแพ้ หน้าผากหลินสวินพลันมีเส้นเลือดปูดออกมา งานประลองใหญ่รวมสำนักซึ่งมีผู้เข้าร่วมแค่ร้อยกว่าคน กลับได้อันดับห้าสิบเก้า นี่… ควรทะนงตนเช่นนั้นจริงรึ


หลินสวินตัดสินใจทำให้เด็กสาวผู้หยิ่งทะนงลำพองตนตาสว่างสักหน่อย จึงกล่าวว่า “หากข้าเป็นอาจารย์เจ้า คงไล่เจ้าออกจากสำนักทันทีแน่ อันดับค่อนไปทางท้ายเช่นนี้ไม่คิดว่าน่าอาย กลับคิดว่าเป็นเกียรติยศ ข้าว่าเจ้าไม่ต่างอะไรกับหมูอสูรมารไร้ยางอายไม่มีคุณธรรมตัวนั้นเลย”


ซย่าเสี่ยวฉงพลันโมโห กล่าวแยกเขี้ยวยิงฟัน “ถ้าท่านแน่จริงก็มาลองเองสิ!”


“โอ๊ะ เจ้ายังไม่ยอมแพ้รึ”


หลินสวินยิ้ม แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา “จะบอกเจ้าให้ การทดสอบเช่นนี้ หากข้าเรียกว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าเรียกว่าเป็นที่หนึ่งหรอก!”


“ขี้โม้ คุยโวโอ้อวด!”


ซย่าเสี่ยวฉงดูถูกยิ่ง ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง “ท่านคิดว่าศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่เก่งรึ ท่านเห็นว่าศิษย์พี่สุ่ยซิ่วไม่เก่งรึ ท่านคิดว่าศิษย์พี่เวินหรูอวี้ไม่เก่งรึ ยังมาว่าข้าไร้ยางอายไม่มีคุณธรรมเหมือนหมูอสูรมาร ข้าหาว่าท่านนั่นแหละ!”


ถูกคนอื่นสบประมาท บางทีหลินสวินอาจคร้านจะใส่ใจ


อย่างไรเสียบนโลกนี้พวกที่สายตาตื้นเขินก็มากมายเหลือเกิน เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกสมองทึบไม่มีตา


แต่การถูกเด็กสาวใสซื่อไร้เดียงสาเช่นนี้สบประมาท หลินสวินออกจะทนรับไม่ได้อยู่บ้าง โดยเฉพาะนางถึงกับเอาเยวี่ยเจี้ยนหมิงมาเปรียบกับเขา!


นึกถึงเมื่อหลายวันก่อนยามอยู่ในภูเขาโคม่วง ซย่าเสี่ยวฉงมีท่าทางคลั่งไคล้เลื่อมใสเยวี่ยเจี้ยนหมิง อีกทั้งยังเอาเยวี่ยเจี้ยนหมิงมาโจมตีตน หลินสวินยิ่งหดหู่กว่าเดิม


“ไป ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าเปิดหูเปิดตา ให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าแมลงหน้าร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง น้ำทะเลไม่อาจตวงวัด!”


ทันใดนั้นดวงตาหลินสวินพลันฉายแวววาบ คว้าแขนซย่าเสี่ยวฉงเดินห่างออกไป


ตอนที่ 779 แข็งให้สุด

ProjectZyphon

ผู้คนสัญจรคลาคล่ำ บนท้องถนนเจริญรุ่งเรือง


ภายในบริเวณไม่ไกลนักมีสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าโอ่โถงแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าอาคารแขวนธงห้าสีมากมาย


หลินสวินถูกอักษรบนธงดึงดูด


‘ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน! เงินรางวัลเท่าทวี กฎการต่อสู้แตกต่าง สังเวียนนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจึงยืนหยัดมั่นคง!’


‘สหาย มหาสงครามจวนมาเยือน เจ้าอยากเด่นผงาดโดยเร็ว กลายเป็นผู้กล้าชื่อเสียงขจรขจายมหาชนจับจ้องหรือไม่ รีบมาเถอะ ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินมอบเวทีสร้างชื่อประกาศศักดาแก่เจ้า!’


‘ข่าวชวนตะหนก เจ้าหนุ่มเฉิงลี่เสวี่ยจากเมืองเล็กชายแดนแคว้นวิญญาณอัคนี สู้ชนะบนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสามสิบเก้ายกรวด สะสมแกนวิญญาณขั้นต่ำได้สามพันเก้าร้อยก้อน!’


‘ว่ากันว่าผลงานชวนตะลึงของเฉิงลี่เสวี่ยถูกผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งสำนักกระบี่สนขจีหมายตา! ไม่ช้าเฉิงลี่เสวี่ยก็กลายเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่สนขจีอย่างไม่ผิดจากคาดหมาย! เด็กหนุ่มผู้ก่อนหน้าไม่มีใครรู้จักผงาดกร้าวขึ้นแล้วโดยไม่ต้องสงสัย!’


‘สหาย ใจคิดไม่สู้ลงมือทำ ไม่ว่าแสวงชื่อหรือแสวงโชค ขอแค่เจ้ามา พวกเราลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินล้วนสามารถทำให้เจ้าพึงใจ!’



สีสันถ้อยคำแต่ละบรรทัดบนธงเปี่ยมแรงจูงใจและปลุกระดม ดึงดูดหนุ่มสาวรุ่นเยาว์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าห้อมล้อมสิ่งปลูกสร้างนาม ‘ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน’ นั่น เห็นได้ว่าคึกคักอย่างยิ่ง


หลินสวินก็ลากแขนซย่าเสี่ยวฉงมาเช่นกัน


ลานประลองยุทธ์คือสถานที่คล้ายสังเวียนประลองประเภทหนึ่ง สามารถขึ้นเวทีท้ารบหรือถูกท้าประลอง


สำหรับผู้ฝึกปราณ การเข้าร่วมการต่อสู้เช่นนี้ ไม่เพียงแต่สามารถศึกษาแลกเปลี่ยนวิถียุทธ์กับผู้แข็งแกร่งอื่น ขัดเกลาตนเอง ถ้าชนะยังสามารถได้รับรางวัลเป็นแกนวิญญาณด้วย


กระทั่งยังสามารถอาศัยสิ่งนี้สร้างชื่อ!


และหากมีผลงานน่าตะลึงเพียงพอ ยังมีความเป็นไปได้ยิ่งที่จะถูกขุมอำนาจสำนักใหญ่หมายตา รับเป็นศิษย์สืบทอด


นี่สำหรับคนรุ่นเยาว์บางส่วนที่มีฐานะธรรมดาและมุ่งหวังเปลี่ยนแปลงโชคชะตาแล้ว ช่างมีแรงจูงใจอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย


ถึงอย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปฝึกปราณในขุมอำนาจสำนักใหญ่เหล่านั้นตามสะดวก


ทว่าจุดประสงค์ที่หลินสวินมานั้นง่ายมาก โจมตีความหยิ่งทะนงอวดดีของซย่าเสี่ยวฉงเสียหน่อย ให้นางเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าโลกทัศน์คับแคบ น้ำทะเลไม่อาจตวงวัด


แต่ที่สำคัญกว่าคือหาเงิน!


หลังรับรู้ว่าตนยากไร้จนแทบจะเลี้ยงหนอนกินเทพไม่รอด ลำดับความสำคัญในใจหลินสวินก็ไม่อาจไม่ถ่ายโอนมายังเรื่องหาเงิน


และการมีอยู่ของลานประลองยุทธ์สร้างความยินดีแก่หลินสวินโดยไม่ต้องสงสัย


ที่นี่ไม่เพียงสามารถเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ ยังสามารถสร้างรายได้หาเงิน เป็นสถานที่ซึ่งเตรียมมาเพื่อเขาโดยแท้!


“คุณชาย ขอเรียนถามว่าท่านมาชมการประลองหรือขึ้นเวทีต่อสู้”


เพิ่งเข้าใกล้ประตูใหญ่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน เด็กรับใช้คนหนึ่งก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น สันจมูกเขาแหลมราวเหล็กหมาด โหนกแก้มบุ๋มลึก ก้าวย่างเนิบช้า บนก้นยังมีขนหางสีเงินฉูดฉาดโผล่ออกมา


เห็นชัดว่าเป็นลูกหลานเผ่าไก่ฟ้าสีเงิน


ไก่ฟ้าสีเงินถือเป็นสายพันธุ์ประหลาดบรรพกาลประเภทหนึ่ง รูปร่างดุจไก่ยักษ์ตัวผู้สีเงินยวง พลังต่อสู้ของเผ่าพันธุ์นี้ธรรมดาสามัญยิ่ง แต่บนวิถีการค้ากลับมีพรสวรรค์ล้ำเลิศติดตัวแต่กำเนิด


“ขึ้นเวทีต่อสู้”


หลินสวินตอบเรียบง่าย เด็กรับใช้นั่นดวงตาสว่างวาบทันที กระตือรือร้นนำทางพวกหลินสวินเดินเข้าไปในลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน


ในลานประลองยังมีถ้ำสถิต กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบ ภายในจัดตั้งสังเวียนขนาดใหญ่มากมาย สังเวียนแต่ละแห่งวางกระบวนรอยสลักวิญญาณซึ่งมีพลังป้องกันชั้นยอด


รอบทิศสี่ด้านคืออัฒจันทร์


ยามหลินสวินและซย่าเสี่ยวฉงเดินเข้ามา คลื่นเสียงอึกทึกดุจฟ้าคำรามพลันปะทะใบหน้า เห็นได้ว่าคึกคักหาใดเปรียบ


ก็เห็นกลางลานประลองยุทธ์ ในสังเวียนมากมายกำลังเปิดฉากต่อสู้ดุเดือด แสงสมบัติพวยพุ่ง วิชาลับดุจกระแสวารีหลายหลากแปลกตา


บนอัฒจันทร์เป็นผู้คนมืดฟ้ามัวดิน เต็มไปด้วยหัวคนดำทะมึน สิ่งมีชีวิตและผู้ฝึกปราณแต่ละเผ่าไม่ว่าชายหญิงต่างกำลังตะโกนโห่ร้องตื่นเต้น บ้างกู่ร้องยินดีให้ผู้แข่งขันที่ตนสนับสนุน บ้างเสียดายต่อการพ่ายแพ้ของผู้แข่งขันบางคน


ไม่ขาดแคลนพวกมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น อ้าปากด่าคำโตเมื่อไม่พอใจ มากมายหลากสีสัน


“ครึกครื้นมาก” ซย่าเสี่ยวฉงอัศจรรย์ใจ


“แน่นอน ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินของเราสามารถจุผู้ชมมากกว่าหมื่นคน กล่าวถึงขนาด ในนครเตโชเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน”


เด็กรับใช้ภาคภูมิยิ่ง ขณะพูดก็พาพวกหลินสวินมาถึงจุดลงทะเบียนลานประลองยุทธ์


“คุณชาย สังเวียนต่อสู้ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินของเราแบ่งออกเป็นสามประเภท”


“หนึ่งคือการต่อสู้ระดับเดียวกัน ผู้ชนะจะได้รางวัลสองเท่า”


“สองคือสังเวียนต่อสู้ข้ามระดับ ทั้งสองฝ่ายประมือกัน ผู้ที่ปราณต่ำกว่าแต่ชนะจะได้รางวัลสี่เท่า หากผู้ที่ปราณสูงกว่าชนะรางวัลจะไม่ทวีคูณ”


“สามคือสังเวียนต่อสู้ไร้กฎเกณฑ์ ไม่แบ่งอายุ ไม่แบ่งระดับปราณ ไม่แบ่งกลวิธี ไม่แบ่งเป็นตาย… สรุปก็คือไม่มีกฎ”


“ทำการต่อสู้ประเภทนี้ ผู้ชนะจะได้รางวัลห้าเท่า แต่ต้องลงนามข้อผูกพันเป็นตายกับลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินของเราล่วงหน้า หากถึงแก่ชีวิต พวกเราลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินจะไม่รับผิดชอบ”


พูดถึงตรงนี้เด็กรับใช้จึงถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการเลือกรูปแบบการต่อสู้ประเภทไหนขอรับ”


“ประเภทแรก” หลินสวินไม่แม้แต่จะคิดก็กล่าวตอบ


การต่อสู้ข้ามระดับสะดุดตาเกินไป หลินสวินไม่ได้มาอวดศักดา ดังคำกล่าวที่ว่าคนกลัวชื่อเสียงหมูกลัวอ้วนพี ยังคงเก็บงำตนเองหน่อยจะดีกว่า


ส่วนการต่อสู้ไร้กฎเกณฑ์ต้องมีความเสี่ยงแน่ หากเจอกับสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ไม่ปฏิบัติตัวเหมือนคนอื่นๆ เข้า เช่นนั้นการต่อสู้คงไร้หนทางชนะแต่แรก


หลินสวินมาเพื่อเคี่ยวกรำวิถียุทธ์และหาแกนวิญญาณ ย่อมไม่อยากเสี่ยงอันตราย


เด็กรับใช้คนนั้นเผยความผิดหวังวูบหนึ่ง นี่เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ปลอดภัยที่สุด และมีความนัยว่ากำไรซึ่งพวกเขาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินจะได้รับนั้นมีไม่มาก


ทว่าเด็กรับใช้ยังคงช่วยหลินสวินลงทะเบียนอย่างสุดกำลัง จากนั้นจึงมอบป้ายชื่อหนึ่งแก่เขา


จากป้ายชื่อนี้ หลังต่อสู้สามารถนำมารับค่าตอบแทนได้


“คุณชาย ท่านต้องการขึ้นเวทีต่อสู้ตอนนี้หรือไม่” เด็กรับใช้ถาม


หลินสวินพยักหน้า


เด็กรับใช้กระตือรือร้นเอ่ยปาก “เช่นนั้นก็ดี โปรดชำระหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นต่ำหรือหนึ่งแกนวิญญาณขั้นกลางขอรับ”


“ยังต้องจ่ายเงินด้วย?” หลินสวินประหลาดใจ


เด็กรับใช้แทบกลอกตาใส่ พริบตาเดียวเขาก็ตัดสินได้ว่า เด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้เข้าร่วมลานประลองยุทธ์เป็นครั้งแรกแน่นอน ทั้งยังเป็นไก่อ่อนไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง


ไม่แน่ว่าเจ้าหมอนี่อาจมานครเตโชเป็นครั้งแรก!


อย่างไรเสียธรรมเนียมในการต่อสู้ขึ้นเวทีลานประลองยุทธ์ก็เป็นความรู้ทั่วไปนานแล้ว เด็กเมื่อวานซืนในนครเตโชยังรู้ดี


“คุณชาย แกนวิญญาณก้อนนี้ถือเป็นมัดจำ หากท่านสู้แพ้ แกนวิญญาณนี้จะกลายเป็นรางวัลของคู่แข่งท่าน และพวกเราลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินก็จะดึงค่าตอบแทนหนึ่งส่วนจากจุดนี้เช่นกัน หากท่านยังไม่เข้าใจ สามารถลองสังเกตการณ์ในสนามด้วยตนเองดูก่อน ค่อยตัดสินใจว่าจะขึ้นเวทีต่อสู้หรือไม่”


เด็กรับใช้ในใจผิดหวังนัก รู้สึกว่าคงไม่อาจหากำไรจากตัวหลินสวินได้เท่าไหร่ ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นละเลยอยู่บ้าง


“ยังหักกำไรด้วย?” หลินสวินกล่าว


เด็กรับใช้ได้ยินดังนั้นท่าทีก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม พยักหน้าง่ายๆ


หลินสวินไหนเลยจะดูจุดนี้ไม่ออก แต่เขาคร้านจะคิดเล็กคิดน้อย นำแกนวิญญาณขั้นกลางก้อนหนึ่งซึ่งแลกเปลี่ยนมาแล้วมอบให้อีกฝ่าย


จากนั้นจึงหยิบป้ายชื่อจากไปพร้อมซย่าเสี่ยวฉง เดินไปบริเวณสังเวียนประลอง


ทว่าเพิ่งเดินไปไม่ไกล เบื้องหลังก็ยินเสียงเปี่ยมความปรามาสและบ่นจุกจิกของเด็กรับใช้นั่น “หึ พวกที่ไม่รู้ว่ามาจากชนบทห่างไกลความเจริญที่ไหนวิ่งมาอีกแล้ว ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างก็กล้ามาขึ้นเวทีประลอง รอตอนถูกอัดแพ้ต้องมีช่วงที่เขาร้องไห้แน่!”


สีหน้าหลินสวินพลันมืดทะมึน ยังไม่เริ่มต่อสู้กลับถูกเด็กรับใช้นั่นดูถูกก่อนซะแล้ว!


“ฮ่าๆ พี่หลินสวิน เจ้าหมอนั่นดูถูกท่านน่ะ” ซย่าเสี่ยวฉงหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดอะไรมาก


หลินสวินใบหน้าไร้อารมณ์ “วางใจเถอะ ต้องมีช่วงที่เขาเสียใจภายหลัง!”



สังเวียนประลองระดับเดียวกันหมายเลขสิบเก้า


หลินสวินรอคอยเงียบๆ ไม่นานก็จะถึงตาเขา


บรรยากาศในสังเวียนประลองระดับเดียวกันเห็นได้ว่าอ้างว้างนัก เทียบกันแล้วบรรยากาศฝั่งสังเวียนประลองข้ามระดับและสังเวียนประลองไร้กฎเกณฑ์กลับคึกคักหาใดเปรียบ ได้รับความนิยมล้นหลาม


สายตาบนอัฒจันทร์ส่วนใหญ่ต่างจับจ้องไปทางนั้น


ถึงอย่างไรผู้ชมซึ่งมาจากหลากเผ่าเหล่านี้ก็จ่ายเงินมาดูเรื่องสนุก การต่อสู้ระดับเดียวกันเห็นได้ว่าดาษดื่นธรรมดายิ่ง ไม่มีแรงกระตุ้นมากเหมือนการต่อสู้อีกสองประเภท


ไม่นานนักถึงตาหลินสวินขึ้นประลองแล้ว


เด็กรับใช้คนนั้นก็มา เขาเป็นคนต้อนรับหลินสวิน ตามกฎต้องอยู่ด้วยถึงที่สุด ทว่าท่าทีเขากลับมีปัญหายิ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเบื่อหน่าย ท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


เขาไม่คาดหวังหากำไรจากตัวหลินสวินแล้ว ในใจถึงขั้นแทบอยากให้หลินสวินรีบพ่ายแพ้ เขาจะได้เอาเวลาไปต้อนรับแขกคนอื่น


“เอ๋!”


ทันใดนั้นเด็กรับใช้นัยน์ตาหดรัด เห็นรูปร่างลักษณะคู่ต่อสู้ที่จะประลองกับหลินสวินชัดก็จดจำฐานะฝ่ายตรงข้ามได้


เขาพลันมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นทันที ฮ่า จอมฉุนเฉียวเผ่าวัวกระทิงนี่มาอีกแล้ว คราวนี้เด็กนั่นอนาถแน่!


“แม่นางน้อย สถานการณ์ท่าไม่ดีอยู่บ้างนะขอรับ คู่ต่อสู้ของคุณชายท่านนั้นมาจากเผ่าวัวกระทิงนามว่าหนิวเปิน นิสัยป่าเถื่อนหยาบคาย รูปแบบการต่อสู้เหี้ยมโหดนองเลือดเหลือประมาณ ผู้แข็งแกร่งที่สู้กับเขาไม่บาดเจ็บหนักก็เจียนตาย แขนขาดขาแหว่งยิ่งเห็นบ่อยจนชินตา”


เด็กรับใช้ลูกตากลอกหมุนติ้ว พูดเสียงเบากับซย่าเสี่ยวฉงที่อยู่ด้านข้าง “หากท่านให้ประโยชน์แก่ข้าเล็กน้อย บางทีข้าอาจช่วยพูดกับหนิวเปินสักหน่อย ให้เขาเบามือลงนิด ถึงอย่างไรลักษณะคุณชายท่านนั้นก็ถือว่าหล่อเหลา หากถูกทำเสียโฉมหรือถูกตีจนพิกลพิการ ผลที่ตามมาคงร้ายแรงนัก”


นี่แหละคือโอกาสหาประโยชน์


น่าเสียดาย ซย่าเสี่ยวฉงแม้ไร้เดียงสาไปบ้างแต่ก็ไม่โง่ กะพริบดวงตาโตใสสะอาดปริบๆ กล่าวเสียงชัด “จริงรึ เช่นนั้นก็ดีมาก พี่หลินสวินอวดดีเกินไป ยังบอกว่าข้าเป็นแมลงหน้าร้อนไม่รู้จักน้ำแข็ง มีตาหามีแววไม่ อาศัยโอกาสนี้ทำให้เขาตาสว่างดูบ้าง”


เด็กรับใช้ตะลึงงันทันใด ในใจเกิดเห็นอกเห็นใจหลินสวินขึ้นมาบ้าง ดูท่าเจ้าหมอนี่ไม่เพียงแต่ยากไร้ไม่มีประสบการณ์ ยังไม่เป็นที่นิยมของผู้หญิงอีกด้วย


“หนิวเปิน ปล่อยหมัดปล่อยเท้าเล่นกับคุณชายท่านนี้ดีๆ!”


เด็กรับใช้ตะโกน เจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าไม่มีเจตนาดี ไม่อยากเสียเวลาอีก แทบอยากให้หลินสวินรีบพ่ายแพ้แล้วไสหัวไปซะ


บนสังเวียน ชายร่างใหญ่ปานหอคอยเหล็กยิ้มเผยฟันขาวดุจหิมะทั้งปาก นัยน์ตาเคร่งขรึมจับจ้องหลินสวิน เปล่งเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียม “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำหน้าไอ้ละอ่อนนี่จนเละ วันนี้ก็ไม่ลงสังเวียน!”


เขาคือหนิวเปินจากเผ่าวัวกระทิง มีปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ไม่เพียงทรงพลังแต่กำเนิด เสียงยังดังมาก ท่าทางดั่งพวกอันธพาล สังเกตหลินสวินอย่างกำเริบเสิบสานดูรุกรานเต็มที่


หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “งั้นพวกเราก็มาเล่นกันหรือ”


“ฮ่าๆๆ ข้าล่ะชอบพวกกระดูกแข็งอย่างเจ้า เล่นด้วยแล้วมันสะใจ หวังว่าเจ้าจะแข็งให้สุด อย่าทำให้ข้ายังไม่สาแก่ใจก็เหี่ยวซะก่อน!”


หนิวเปินหัวเราะลั่น เสียงดั่งฟ้าคำราม


หลินสวินมุมปากกระตุก หน้าผากปรากฏเส้นเลือดดำเต้นตุบๆ อะไรเรียกว่าแข็งให้สุด อะไรเรียกว่าไม่สาแก่ใจก็เหี่ยวซะก่อน


มีวิธีพูดเช่นนี้ด้วยรึ!


ผู้ฝึกปราณรอบๆ บางส่วนรอบได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะเกรียวกราวอย่างอดไม่อยู่ แววตาสัพยอกและพิลึกพิลั่น นี่ทำให้หลินสวินพลันอึดอัดไปทั้งตัว


แม่งเอ๊ย ถูกเข้าใจผิดดังคาด!


ที่ทำให้หลินสวินแทบพังทลายคือ เวลานี้ซย่าเสี่ยวฉงถึงกับโบกกำปั้นนุ่มนวลน้อยๆ กล่าวเสียงชัดกระจ่าง “พี่หลินสวิน ท่านต้องแข็งให้สุดนะ!”


นางเด็กเวรนี่มาคึกอะไรตอนนี้!


หลินสวินกลัดกลุ้มยิ่ง สีหน้าที่มองยังหนิวเปินเปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นมา ลอบตัดสินใจจะมอบบทเรียนยากลืมเลือนชั่วชีวิตแก่ตัวการ


“มาสู้กัน!”


เขาหาได้ลังเลอีก เอ่ยปากตรงไปตรงมา


“เฮ้ ไอ้ละอ่อนรอถูกย่ำยีไม่ไหวรึไง ก็ดี ข้าเองก็ครั่นเนื้อครั่นตัว อยากเอาให้สาแก่ใจนานแล้ว!”


หนิวเปินพลันหัวเราะเสียงดัง ก้าวเท้าขึ้นลานสังเวียน เสียงตูมหนึ่งดังขึ้น ร่างกำยำปานหอคอยเหล็กก็เปลี่ยนเป็นเงาอสนีสายหนึ่ง พุ่งทะยานไปทางหลินสวิน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)