Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 764-773

 ตอนที่ 764 งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬ

โดย

ProjectZyphon

ศิษย์สำนักมุกวิญญาณอึ้งเข้าจริงๆ แล้ว พวกเขาถึงกับเก็บกลั้นความขุ่นเคืองและอับอายใหญ่หลวงไว้ในใจ ตัดสินใจมา ‘พูดคุย’ กับหลินสวิน


ในสายตาพวกเขาเห็นว่าพวกตนยอมถอยให้มากพอแล้ว และยัง ‘จริงใจ’ อย่างยิ่ง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธตรงๆ!?


ไม่ทันไรแม้แต่โม่เฟิงยังดาลเดือด โกรธจนหน้าเขียว


รังแกกันมากไปแล้ว!


ด้วยฐานะผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณ ร่วมกันก้มหัวให้เด็กหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งก็อับอายมากพอแล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับไม่รับน้ำใจแม้แต่นิดเดียว!


“ข้าจะฆ่าเจ้า!”


ชายหนุ่มมุทะลุคนหนึ่งคำรามออกมา โกรธจนคลุ้มคลั่งโดยสิ้นเชิงแล้ว


“คิดว่าสำนักมุกวิญญาณของพวกเราทำอะไรเขาไม่ได้จริงหรือ”


คนอื่นก็มีโทสะยากรับได้เช่นกัน


“แต่พวกเจ้าคิดว่า พวกเราจะต่อกรกับเขาได้หรือ”


เหวินเฟยหรันทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ ถอนใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เขาตัดหน้าพวกเราโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทุกครั้ง แต่ละครั้งสามารถแย่งเหยื่อแล้วจากไปทั้งที่อยู่ใต้จมูกเราแท้ๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีใครขวางเขาได้สักครั้ง พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกปราณธรรมดาๆ จะทำได้หรือ”


วาจาเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นต่างสีหน้าบิดเบี้ยว ฉงนสนเท่ห์


พวกเขาไม่ได้โง่เขลา เพียงแต่ก่อนหน้านี้ถูกไฟโทสะจู่โจมจิตใจ ไม่ได้สงบใจใคร่ครวญ และตอนนี้เมื่อไตร่ตรองโดยละเอียดก็พลันรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง


บรรยากาศออกจะห่อเหี่ยวใจในทันใด


“ในภูเขาโคม่วงนี้ คิดจะฆ่าเขาให้ตาย…” โม่เฟิงสูดหายใจลึก ริมฝีปากโพล่งเบาๆ ออกมาสองคำว่า “ยากนัก!”


นี่เท่ากับยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัยว่าแม้แต่ตัวเขาลงมือเอง ก็ยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ได้!


คนอื่นพากับหนาวเยือกในใจ โม่เฟิงเป็นบุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์ของสำนักมุกวิญญาณของพวกเขา ขนาดเจ้าตัวยังทำไม่ได้ แค่คิดก็รู้ว่าพลังของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งขนาดไหน


“ข้าจำได้ว่าห่างจากที่นี่ไปเกือบหกร้อยลี้มีทะเลสาบลึกแห่งหนึ่ง ในทะเลสาบมีอสูรมารงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬตัวหนึ่งยึดครองอยู่ พลังไม่ด้อยกว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ น่ากลัวถึงที่สุด”


ฉับพลันมีบางคนแววตาไหววูบ เสนอความคิดขึ้นมาว่า “ถ้าพวกเราเข้าไปใกล้ อาจจะสามารถ ‘ยืมแรงฆ่าคน’ ได้!”


ทุกคนอึ้งไปเป็นอย่างแรก แต่ไม่ช้าก็แจ้งแก่ใจ ล้วนตื่นเต้นขึ้นมา


“เยี่ยม เจ้าเด็กนั่นชิงเหยื่อของพวกเราไปก่อนก้าวหนึ่งอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็แสร้งทำเป็นไปต่อกรงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬนั่น ดูซิว่าเขาจะกล้าท้าทายสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่มีพลังเทียบได้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหรือไม่!”


มีคนตบเข่าฉาด เอ่ยปากชม


“แต่ถ้าเขาเห็นท่าไม่ดีแล้วไม่กล้าปรากฏตัวอีกล่ะ”


มีคนเอ่ยถาม “อย่างไรเสียเจ้าเด็กนั่นก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อสังเกตได้ถึงการมีอยู่ของงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬ ยังจะปรากฏตัวอีกหรือ”


กลับเห็นดวงตาโม่เฟิงวาวโรจน์ กัดฟันเอ่ยว่า “นั่นก็เป็นการพิสูจน์ว่าเขากลัว! เขาไม่ปรากฏตัวยิ่งดี พวกเราจะได้ถือโอกาสนี้ร่วมกันสังหารงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬนั่น!”


“อะไรนะ”


คนอื่นๆ ล้วนตกใจ พวกเขาไม่คิดจะทำเช่นนี้มาก่อน


“สองสามวันมานี้พวกเรายังไม่ได้จิตวิญญาณสัตว์ปีศาจเลยสักตัว แม้ในการเคลื่อนไหวต่อมาไม่มีเด็กนั่นมาขัดขวางพวกเรา เกรงว่ายามการทดสอบจบลง พวกเราคงไม่มีทางได้อันดับสูงใดๆ”


โม่เฟิงสายตาสุขุม “ดังนั้นพวกเราต้องเปลี่ยนแปลง และถ้าสามารถฆ่างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬแล้วชิงเอาจิตวิญญาณมันมาได้ เช่นนั้นมูลค่าที่ได้จะมากกว่าพวกเราฆ่าสัตว์ปีศาจระดับหยั่งสัจจะหลายสิบตัวเสียอีก!”


“นอกจากนี้พวกเราร่วมมือกัน แม้อาจประสบอันตรายอยู่บ้าง แต่ข้าเชื่อมั่นว่าสามารถทำได้”


โม่เฟิงพูดถึงตอนท้าย หว่างคิ้วก็ปรากฏความเชื่อมั่นในตนเอง ดูอวดดีนัก


“เช่นนั้นก็เอาตามนี้!”


คนอื่นเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็กัดฟันตอบรับ ลาภยศมั่งมีต้องเสี่ยงภัยถึงได้มา นับประสาอะไรกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ที่เกี่ยวโยงกับอันดับในการทดสอบ จะไม่สู้ได้อย่างไร


…….


ทะเลสาบที่งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬยึดครองเข้าใกล้ส่วนลึกของภูเขาโคม่วงแล้ว ที่นี่ไม่เหมือนรอบนอก มีกลิ่นอายน่าอึดอัดอบอวลอยู่


เมื่อพวกโม่เฟิงมาถึงก็ตึงเครียดไม่ว่างเว้น


ทะเลสาบมีขอบเขตถึงร้อยจั้ง น้ำทะเลสาบสีดำสนิทราวหมึก ผิวน้ำปกคลุมไปด้วยหมอกขาวเย็นเยียบเสียดกระดูกเป็นชั้นๆ


ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ทำให้หนาวยะเยือกไปทั้งตัว


พวกโม่เฟิงล้วนเตรียมตัวตั้งรับ เรียกสมบัติก้นกรุออกมา ไม่กล้าชะล่าใจราวเผชิญหน้ากับมหาศัตรู


ที่ก้นทะเลสาบแห่งนี้มีงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬที่มีพลังเทียบเท่ากับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติตัวหนึ่งยึดครองอยู่เชียวนะ! ผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้สักนิด


แม้แต่ผู้สืบทอดเจ็ดขุมอำนาจ ‘สี่สำนักสามตระกูล’ นี้ หากไม่จำเป็นก็จะไม่เสี่ยงมาที่นี่อย่างง่ายดายแน่


“เหอะๆ เจ้าเด็กนั่นต้องกลัวแน่แล้ว ครั้งนี้ไม่กล้าปรากฏตัวอีก” บางคนยิ้มหยัน ใบหน้าแสดงความดูถูก


คนอื่นก็ยิ้มตามไปด้วย


มีเพียงเหวินเฟยหรันที่ลอบถอนใจไม่หยุดหย่อน ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณทั้งกลุ่ม ตอนนี้กลับต้องพึ่งพิงอสูรมารตัวหนึ่งมากู้หน้า เช่นนี้จะไม่น่าสลดใจได้อย่างไร


“ทุกคนระวังตัว อีกเดี๋ยวต้องมีการต่อสู้ดุเดือดแน่!”


โม่เฟิงสายตาระแวดระวัง เตือนทุกคนให้เตรียมพร้อมต่อสู้ จากนั้นเขาก็เดินนำหน้าเข้าไปใกล้ทะเลสาบลึกแห่งนั้น


ตู้ม!


ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเข้าใกล้ ในทะเลสาบเงียบเชียบนั้นพลันพลุ่งพล่านขึ้นมา ผิวน้ำซัดสาดซู่ซ่า


เงาร่างอสูรมารมหึมาตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมา ยาวประมาณร้อยจั้ง ร่างกายดำสนิทราวหมึก คดเคี้ยวดุจน้ำตกสีนิล แค่หัวก็ใหญ่โตเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ แล้ว!


นัยน์ตาของมันเหมือนโคมไฟยักษ์สีแดงสดราวโลหิตคู่หนึ่ง เขี้ยวขาวราวหิมะประหนึ่งดาบคมคู่หนึ่ง ส่องแสงเยียบเย็นวูบวาบน่าหวาดหวั่น


ร่างยาวเฟื้อยมหึมาของมันยึดครองห้วงอากาศ แสงวารีล้อมรอบกาย กลิ่นอายดุร้ายบดบังฟ้าดินในบริเวณนี้


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬ!


มันถึงกับชิงปรากฏตัวก่อน!


ทันใดนั้นพวกโม่เฟิงก็หน้าเปลี่ยนสียิ่ง เดิมทีพวกเขาคิดจะซุ่มโจมตี แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน


“ไอ้พวกสวะ ตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ ก็เลยมาหาที่ตายกับข้ารึ” มันเอ่ยเสียงแหบแห้งเย็นชา นัยน์ตาสีโลหิตมีแต่ความดูถูก


ความหมายในวาจานี้เหตุใดจึงแปลกพิกล…


พวกโม่เฟิงต่างนิ่งอึ้ง พวกเขากล้าสาบานว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยพบอสูรมารตัวนี้มาก่อน แต่ว่า… มันรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาสู้คนอื่นไม่ได้


หรือเจ้าเด็กนั่นผ่านมาแล้ว หนำซ้ำยังพูดถึงพวกเขาอย่างเสียๆ หายๆ ต่อหน้างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬตัวใหญ่ตัวนี้?


เมื่อคิดถึงตรงนี้พวกเขาก็โกรธจนควันออกหู สีหน้าหลากอารมณ์นัก


“ทำไม จะบอกว่าสวะอย่างพวกเจ้าไม่พอใจหรือ อาศัยอำนาจสำนักมาทำตัวหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้ใด คนอย่างพวกเจ้าขนาดสวะยังดีกว่าเลย!”


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬส่งเสียงกึกก้องราวอสนีบาตดังไปทั่วฟ้าดินบริเวณนี้ กระจายไปไกล ราวหมายจะให้ทั้งใต้หล้าได้ยิน


“หุบปาก! เจ้าเดรัจฉานรนหาที่ตาย!”


โม่เฟิงเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง โกรธจนอกแทบระเบิดออก เขามั่นใจได้ว่าต้องเป็นหลินสวินมาถึงก่อน แล้วได้สนทนากับงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬตัวนี้แน่


“หึ วันนี้ข้าไม่สบอารมณ์อยู่พอดี เอาพวกเจ้ามาช่วยระบายก็ดีเหมือนกัน!”


ระหว่างที่งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬพูด เสียงโครมก็ดังขึ้น ร่างกายอวบหนาเท่าถังน้ำก็ทำลายห้วงอากาศ กดทับลงมาดุจแส้เหล็กทรงพลังสายหนึ่ง


ทันใดนั้นภูเขาที่อยู่ใกล้กันก็พังทลาย หินผาซัดสาด ห้วงอากาศสลายเป็นกระแสน้ำยุ่งเหยิงบ้าคลั่ง สภาพอากาศแปรเปลี่ยน ฟ้าดินมืดครึ้ม


แย่แล้ว!


โม่เฟิงขนหัวลุก รับรู้ได้ว่าไม่เข้าที การตัดสินใจของพวกเขาคลาดเคลื่อน พลังของงูเหลือมยักษ์ตัวนี้น่าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว ไม่อาจเทียบกับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปได้เลย แม้กระทั่งในหมู่ผู้มีปราณระดับกระบวนแปรจุติ ก็ยังถือเป็นยอดฝีมือที่ดุดัน


“หนี!”


โม่เฟิงคำรามกราดเกรี้ยว เขาคับแค้นใจจนแทบจะระเบิดแล้ว เดิมคิดว่าครั้งนี้ในที่สุดก็ไม่มีหลินสวินคอยขัดขวาง สามารถถือโอกาสนี้ฆ่า ‘เหยื่อตัวใหญ่’ สักตัวหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์การทดสอบของพวกเขา


จะคิดได้อย่างไรว่าสถานการณ์จะพลิกผันต่อเนื่อง งูเหลือมยักษ์ตัวนี้ไม่เพียงแต่ปรากฏกายขึ้นล่วงหน้า ทั้งยังเหมือนเคยพูดคุยกับหลินสวิน พลันเข้าเล่นงานพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัว


โดยเฉพาะที่ทำให้พวกเขาแทบหมดอาลัยตายอยากที่สุดก็คือ พลังของงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!


หนี!


ในใจโม่เฟิงขัดเคืองหาใดเทียบ รู้สึกว่าช่างโชคร้ายนัก


เพียงแต่งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬตัวนั้นกลับหัวเราะประหลาดอย่างดูถูก “วันนี้ถ้าพวกเจ้าไปแล้ว ใครจะเป็นที่ระบายอารมณ์ให้ข้าเล่า”


โครม!


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬอ้าปากพ่นแสงวารีออกมาราวธารดารา แปรสภาพบริเวณนี้ให้เป็นมหาสมุทรในพริบตา พร้อมกับเสียงหัวเราะประหลาดสะท้านฟ้าดิน!


ส่วนพวกโม่เฟิงล้วนหนีไม่ทัน ร่างจมอยู่ภายในนั้น


หลังจากนั้นก็เห็นเงาร่างของงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬหายวับ แปลงกายเป็นชายกักขฬะที่สูงแปดฉื่อคนหนึ่ง หนวดเคราเผ้าผมยุ่งเหยิง มีดวงตาโตราวระฆังคู่หนึ่ง พุ่งเข้าไปในคลื่นน้ำไหลเชี่ยว


เพี๊ยะ!


เขายกมือขึ้นตบศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งจนกระเด็นออกไป ฝ่ายหลังร้องโหยหวน ฟันร่วงหล่น กระอักเลือดออกทางจมูกและปาก


“มีฝีมือแค่นี้ยังกล้ารังแกผู้อื่นรึ ถุย! หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน จะเอาชนะคนอย่างพวกเจ้าไม่เปลืองแรงเลยสักนิด!”


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬถ่มน้ำลายดุดัน เต็มไปด้วยความดูถูก


จากนั้นเงาร่างเขาก็ไหววูบ ทั้งเตะทั้งต่อย สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นกลางคลื่นน้ำ เล่นงานผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณเหล่านั้นทีละคนจนปลิวว่อนกระจัดกระจายไปในอากาศ พากันร้องโหยหวนเรียกหาบิดามารดา


ในชั่วครู่เดียว เสียงโหยหวนน่าหดหู่กับเสียงหัวเราะประหลาดที่ดูแคลนและหยิ่งผยองของงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬก็ระงมไปทั่วฟ้าดินบริเวณนี้ น่าพรั่นพรึงจนขนลุก


โม่เฟิงมีฝีมือจริง แต่ครั้งนี้เขาตัดสินใจผิดพลาด ไม่คิดเลยว่างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬจะเป็นตัวร้ายในระดับกระบวนแปรจุติตัวหนึ่ง ชั่วครู่เดียวก็ถูกเล่นงานจนหมดสติ


ที่ทำให้เขาคลั่งที่สุดก็คือ งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬตัวนี้ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ ถึงตบหน้าเขาโดยเฉพาะ เสียงตบหน้าเผียะๆๆ ดังขึ้นไม่ขาดสาย


เหล่าศิษย์สำนักมุกวิญญาณเหล่านั้นล้วนถูกตบหน้าจนบวมแดงเหมือนหัวหมู น้ำหูน้ำตาไหลเป็นสาย ศีรษะบวมขึ้นมาก


รวมถึงโม่เฟิงก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้


ตัวเขาก่อนหน้านี้ท่าทางสง่างาม รูปลักษณ์โดดเด่น และถือเป็นคนที่มีบุคลิกงดงาม แต่ตอนนี้กลับหน้าบวมจมูกเขียว ผมเผ้ายุ่งเหยิง เกรงว่าแม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเขามาแล้วก็คงจำเขาไม่ได้


นี่เป็นความอัปยศอย่างไม่ต้องสงสัย!


ใช้พลังอันดุดันลบหลู่และทรมานพวกเขา เหยียบย่ำศักดิ์ศรีและหน้าตาของพวกเขา


พวกโม่เฟิงทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย โกรธจนคลุ้มคลั่ง แต่ตอนนี้กลับไม่มีแรงพลิกสถานการณ์ ถูกย่ำยีจนจะร้องไห้แล้ว


เมื่อเทียบกับบาดแผลบนร่าง ความอับอายในใจพวกเขารุนแรงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ความรู้สึกอัปยศอดสูที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้พวกเขาแทบอยากปาดคอตาย


ขายหน้าเกินไปแล้ว!


เดิมทีมาทดสอบที่ภูเขาโคม่วง ออกล่าสัตว์ปีศาจ แต่ตอนนี้กลับถูกงูเหลือมยักษ์วิปริตตัวหนึ่งตะบันหน้า ทำให้อับอายและย่ำยียิ่งขึ้นไปอีก ความรู้สึกนี้ คนที่ก่อนหน้านี้มีฐานะเป็นผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณอย่างพวกเขาไม่เคยได้ประสบมาก่อน!


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเหมือนตบตีจนเหนื่อยแล้ว มันสะบัดแขนลูบนิ้วมือแล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ให้ตายสิ หนังหน้าพวกเจ้าหนาเสียจริง ข้าตบจนเจ็บมือไปหมดแล้ว พวกเจ้าไสหัวไปเถอะ จำไว้ ทีหลังก็ถ่อมตัวหน่อย เห็นหัวชาวบ้านเสียบ้าง หาไม่แล้วขนาดตายยังไม่รู้ว่าจะตายอย่างไรเลย!”


ตอนที่ 765 ค่ายกลโบราณลี้ลับ

โดย

ProjectZyphon

ชายร่างใหญ่ที่จำแลงกายมาจากงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬยกสองมือเท้าสะเอว ดูหยิ่งผยองคับฟ้า


พวกโม่เฟิงแม้ทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย เคียดแค้นจนคลุ้มคลั่ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงหนีไปอย่างเศร้าสลด เพียงแต่ในใจพวกเขากลับสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง


เหตุใดงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ถึงไม่ฆ่าพวกเขา


แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าถาม แทบอยากให้พ่อแม่งอกขาดมาให้เพิ่มจะแย่ รีบหนีจากไป


ซ่า!


ในทะเลสาบ เกลียวคลื่นม้วนตลบระลอกหนึ่ง ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง เป็นหลินสวินจริงๆ


“คุณชาย ท่านพอใจหรือไม่ขอรับ”


กลับเห็นว่างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬที่น่าเกรงขามก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับแสดงสีหน้าประจบประแจง เข้าประชิดอย่างว่านอนสอนง่าย เออออห่อหมก ท่าทางเชื่องเชื่ออย่างถึงที่สุด


หากพวกโม่เฟิงเห็นเข้าต้องโกรธจนกระอักเลือดแน่


“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าไม่สบอารมณ์ จะเอาพวกเขาเป็นที่ระบาย นี่คือโกรธข้างั้นหรือ”


สองมือของหลินสวินไพล่หลัง ดวงตาสีดำชำเลืองมองอสูรมารตัวนี้อย่างเรียบเฉยครั้งหนึ่ง


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬแข็งทื่อไปทั้งตัว รอยยิ้มชะงักค้าง รีบร้อนส่ายหน้า “จะกล้าได้อย่างไรๆ คุณชายท่านเข้าใจผิดแล้ว”


เพียงแต่ในใจเขาทุกข์ระทมยิ่งนัก


เขาเป็นถึงงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬ พญาอสูรมารตนหนึ่งที่เรียกลมเรียกฝนได้ในภูเขาโคม่วง แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา


แต่ก่อนที่พวกโม่เฟิงจะมา กลับถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเล่นงานเสียอ่วมไปยกหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ ขนาดพลังจะประลองกระบวนท่ายังไม่มี


ถึงขั้นยังถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ข่มขู่ให้ช่วยไปจัดการเจ้าพวกเมื่อกี้สักยกหนึ่ง นี่ทำให้งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬรู้สึกคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูก


“พี่หลินสวิน ท่านร้ายกาจจริงๆ ขนาดพญาอสูรมารยังเชื่อฟังท่าน” ข้างกัน ซย่าเสี่ยวฉงดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าใสซื่อเต็มไปด้วยความชื่นชม


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬน้ำตาแทบไหล ให้ตายสิ เขาเป็นถึงพญาอสูรมารระดับกระบวนแปรจุติ กลับกลายเป็นตัวเสริมไปเสียได้ บนโลกนี้จะมีพญาอสูรมารตัวไหนโชคร้ายกว่าเขาหรือไม่


หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ยังจะให้เขาเป็นอสูรมารผู้ยิ่งใหญ่ในภูเขาโคม่วงได้อย่างไร


“ครั้งนี้เจ้าทำได้ดี จะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน”


เมื่อหลินสวินเอ่ยคำนี้ออกมา ก็ทำให้งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬลอบถอนหายใจราวยกภูเขาออกจากอกในทันใด เขากังวลจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มจะฆ่าเขาเมื่อเสร็จกิจ


“พี่หลินสวิน มุกควบรวมจิตของข้าเต็มแล้ว พวกเรายังจะไปชิงเหยื่อของพวกเขาไหม” ซย่าเสี่ยวฉงถาม


“เต็มแล้วหรือ”


หลินสวินอึ้งไป ตอนนี้ถึงเพิ่งว่า เหยื่อที่แย่งมาจากพวกโม่เฟิงในหลายวันมานี้ กลับช่วยซย่าเสี่ยวฉงสะสมพลังจนเต็มมุกควบรวมจิตโดยไม่รู้ตัวแล้ว


“เช่นนั้นสามารถจบบททดสอบได้แล้วใช่ไหม” หลินสวินถาม


“ไม่ได้สิ” ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยอย่างทุกข์ใจ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าทำสำเร็จด้วยตัวเอง หากอาจารย์รู้เข้าต้องด่าข้าแน่”


“เช่นนั้นเจ้ายังมีมุกควบรวมจิตไหม” หลินสวินชื่นชมความแน่วแน่ของซย่าเสี่ยวฉงนัก นี่เป็นพฤติกรรมที่ดีอย่างหนึ่ง ต้องแน่วแน่ตั้งใจ ถึงจะทำให้ตนเดินบนวิถีของตัวเองได้ไกลยิ่งขึ้น


“เอ้อ ไม่มี” ซย่าเสี่ยวฉงยิ่งทุกข์ใจขึ้นไปอีก ใบหน้าใสซื่อยู่ยี่เป็นก้อน หม่นหมองไม่รื่นเริง


“ข้ามี!”


กลับเห็นว่างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬที่อยู่ข้างๆ ส่งมุกควบรวมจิตสีฟ้าเป็นประกายกองหนึ่งออกมาอย่างกระตือรือร้นราวมอบสมบัติให้ “ขอคุณชายกับคุณหนูรับไว้เถิด”


มุกควบรวมจิตเหล่านี้มีราวสิบกว่าก้อน แต่ละก้อนมีขนาดเท่าไข่ไก่ โปร่งแสงแวววาว อบอวลไปด้วยรังสีคลุมเครือเยียบเย็น งดงามนัก


“เจ้าไปเอามุกควบรวมจิตมากมายขนาดนี้มาจากไหน”


หลินสวินประหลาดใจ


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเอ่ยอย่างขวยเขินว่า “ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกปราณไม่น้อยมาผจญภัยที่ภูเขาโคม่วง ไข่มุกเหล่านี้ล้วนชิงมาจากพวกเขาขอรับ”


เด็กหนุ่มเข้าใจในทันที ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต้องถูกงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ฆ่าตายแน่


แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควร ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้มีเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่มากมายนับไม่ถ้วน สัตว์ปีศาจและอสูรมารบำเพ็ญก็เป็นกลุ่มหนึ่งในนั้น การปะทะและสังหารกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ


หรือจะอนุญาตให้เพียงผู้ฝึกปราณไปล่า แต่ไม่อนุญาตให้ให้สัตว์ปีศาจและอสูรมารโจมตีกลับเล่า


หลินสวินขบคิดเล็กน้อยค่อยกล่าวว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่ได้จะเอาของของเจ้าไปเปล่าๆ วิชาลับนี้ก็ถือเป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน”


เขาพูดพลางหยิบคัมภีร์กระดูกที่มีแสงม่วงไหลเวียนออกมาเล่มหนึ่ง แล้วส่งให้งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬ


“วิชาเจียวดำกลืนสวรรค์หรือขอรับ”


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพียงมองปราดเดียวเขาก็ดูออกว่าวิชาลับนี้ไม่ธรรมดา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นคัมภีร์โบราณที่ตกทอดมายาวนานเล่มหนึ่ง!


“ข้าต้องเตือนเจ้าก่อนว่านี่เป็นวิชาลับที่สืบทอดในเผ่าเจียวดำ หากแพร่งพรายออกไป อาจจะนำพาเภทภัยที่ไม่อาจคาดคิดได้มาให้เจ้า หากเจ้าไม่อยากรับไป ข้าเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นให้เจ้าแทนได้”


หลินสวินอธิบายรอบหนึ่ง


เขายังมีวิชาลับเช่นนี้อยู่ในครอบครองไม่น้อย เช่น คัมภีร์ยุทธจักรของเผ่าสิงห์โลหิต วิชาสำรอกรู้ตนของเผ่าวาฬมังกร วิชาสมบัติร่างค้อนอสนีแกร่งของเผ่าวัวมารทรงพลัง คัมภีร์หกเกราะผนึกมารของเผ่าโห่วเมฆาเป็นอาทิ


ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากบุคคลระดับบุตรเทพแต่ละเผ่า สมัยเขาท่องอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ


วิชาลับทุกวิชาล้วนถือเป็นวิชาลับตกทอดของแต่ละเผ่า ภายในซ่อนแฝงไว้ซึ่งแก่นอัศจรรย์มหามรรค ไม่อาจประเมินราคาได้ หากแพร่ออกไป ย่อมต้องก่อให้เกิดเภทภัยที่ไม่อาจคาดคิดได้


“ไม่ต้องเปลี่ยนๆ” งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬดีใจจนเนื้อเต้น สองตาเปล่งประกาย


วิชาลับตกทอดของเผ่าเจียวดำ เกี่ยวโยงกับความลับของ ‘แปลงมังกร’ และมหามรรคที่งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬไขว่คว้าก็เกี่ยวข้องกับแปลงมังกรเช่นกัน!


พูดได้ว่า มีวิชาเจียวดำกลืนสวรรค์นี้ งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬก็ไม่ต้องกังวลว่าในภายภาคหน้าจะไม่พบด่านประตูของการแปลงมังกรแล้ว!


นี่ไม่ต่างอะไรกับได้วาสนายิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง


“ขอบคุณคุณชาย! ขอบคุณคุณชาย!”


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬซาบซึ้งไม่ว่างเว้น ยอมจำนนโดยสมบูรณ์แล้ว เพียงช่วยเหลือเล็กน้อยๆ ครั้งหนึ่งก็ได้รับวิชาตกทอดลับวิชาหนึ่ง การตอบแทนเช่นนี้ช่างอู้ฟู่จนไม่อาจจินตนาการได้!


เขาถึงกับสงสัยว่า เป็นไปได้สูงมากที่คุณชายผู้หล่อเหล่าตรงหน้าเขาผู้นี้จะมาจากสำนักที่ภูมิหลังน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งสักแห่งหนึ่ง หาไม่แล้วจะใช้พลังปราณระดับหยั่งสัจจะมากำราบตนอย่างง่ายดายได้อย่างไร


ทั้งสามารถนำวิชาลับตกทอดน่าตื่นตะลึงยิ่งเช่นนี้ออกมาส่งๆ ได้อย่างไร


คิดถึงตรงนี้ใจเขาก็พลันเต้นแรง พูดว่า “คุณชาย ท่านก็มาที่ภูเขาโคม่วงเพื่อหาวาสนาใช่หรือไม่”


หลินสวินอึ้งไป “วาสนาอะไรหรือ”


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬอธิบายว่า “สองสามวันมานี้ในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตะลึง มีแสงมงคลงดงามทอลงมาจากฟ้า ข้าได้ยินสหายอสูรมารบำเพ็ญผู้หนึ่งพูดว่า ที่นั่นมีค่ายกลใหญ่ที่หลงเหลือจากยุคบรรพกาลโผล่ออกมาค่ายหนึ่ง ค่ายกลนี้ใช้หยกควบคุมจิตตามธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เชื่อมพลังแห่งสุริยันจันทรา ซึมซับกลิ่นอายมหามรรคแห่งฟ้าดิน อบอวลไปด้วยพลังแห่งอริยเทพที่แท้จริง”


“ตามที่สหายผู้นั้นของข้าพูด เป็นไปได้สูงที่ภายในค่ายกลใหญ่ลี้ลับนั้นจะมีมหาวาสนาบางอย่างซ่อนอยู่!”


“หืม”


นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง ค่ายกลใหญ่ค่ายหนึ่งกลับสามารถเชื่อมต่อพลังแห่งสุริยันจันทรา อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งอริยเทพ นี่ช่างไม่ธรรมดา!


“น่าเสียดาย ค่ายกลใหญ่ที่นั่นลึกลับยากหยั่งถึง จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่อาจถูกเปิดออกได้ อีกทั้งที่นั่นถูก ‘อสูรเฒ่าเครือเถา’ ยึดครองอยู่ก่อนแล้ว”


“อสูรเฒ่าเครือเถาก็คือราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งในภูเขาโคม่วงแห่งนี้ ศักยภาพน่ากลัวคับฟ้า ไม่กี่วันก่อนผู้อาวุโสระดับกระบวนแปรจุติสำนักเร้นปรัชญาคนหนึ่งมาสำรวจ ก็ถูกอสูรเฒ่าเครือเถาตัวนั้นสังหารไม่เหลือซาก”


ยามพูดถึงอสูรเฒ่าเครือเถา งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเผยความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างลึกซึ้งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นตัวตนที่น่ากลัวยิ่ง


“เท่าที่ข้ารู้ อีกไม่นานเจ็ดขุมอำนาจของแคว้นวิญญาณอัคนีเหล่านี้ก็จะส่งมือดีมาร่วมชิงวาสนาจากอสูรเฒ่าเครือเถา หากคุณชายไม่ได้มาเพื่อวาสนานี้ก็รีบจากไปแต่เนิ่นๆ ดีกว่า จะได้ไม่เข้าไปพัวพันกับหายนะครั้งนี้”


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเตือนด้วยความหวังดี


“ดูท่าวาสนาครั้งนี้จะยอดเยี่ยมจริงๆ”


หลินสวินครุ่นคิด


“ใช่แล้ว ว่ากันว่าทุกอย่างนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพิบัติมหามรรคที่กำลังจะมาถึง ฟ้าดินแห่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ วาสนาที่ถูกฝังกลบและหลงลืมบางอย่างจะปรากฏขึ้น เคราะห์สังหารและภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้จะพลอยบังเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่แคว้นวิญญาณอัคนีหรือแดนฐิติประจิม แต่เป็นทั้งดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้จะต้อนรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน”


งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬถอนหายใจ เขาวิตกกังวลนัก คิดว่าก่อนพิบัติมหามรรคมาเยือน โชคเคราะห์ล้วนบรรจบ หนทางข้างหน้ายากจะคาดเดา


หลินสวินก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง


ยามอยู่ในโลกชั้นล่างเขาก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพิบัติมหามรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และสุสานสมุทรฝังมรรคที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ หรือป่าต้นหม่อนที่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด ล้วนเกิดความผันแปรที่ไม่อาจหมุนกลับบางอย่าง


อย่างเช่นใต้เกาะอริยะปัญจธาตุในแดนลับอสูรมารอริยะ ซึ่งอยู่ภายในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็มีคุณชายน้อยที่ถูกผนึกไว้ผู้หนึ่งฟื้นคืนพลังอย่างเงียบๆ ระหว่างหลับใหล


คุณชายน้อยคนนี้ถูกวานรเฒ่าที่เหยียบย่างอยู่ในอริยมรรคตัวหนึ่งคุ้มครองอยู่ เพียงรอยามพิบัติมหามรรคมาถึง มหาสงครามเปิดฉาก ก็จะถือกำเนิดขึ้นอย่างโดดเด่น!


ที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเค้าลางว่าพิบัติมหามรรคกำลังจะมาเยือน


……


ไม่นานนักหลินสวินก็บอกลา แล้วพาซย่าเสี่ยวฉงจากมาอย่างว่องไว


เขาสนใจ ‘วาสนา’ ที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงมาก หากทำได้เขาก็อยากไปดูให้เห็นกับตา


แต่ก่อนจะทำเช่นนี้ เขาต้องช่วยซย่าเสี่ยวฉงทำบททดสอบครั้งนี้ให้เสร็จเสียก่อน


ส่วนพวกโม่เฟิงก็ทรมานมากพอแล้ว เขาคร้านจะไปหาความกับพวกเขาอีก


สวบ!


ผ่านไปหลายชั่วยาม หลินสวินกับซย่าเสี่ยวฉงก็เริ่มสำรวจตลอดทาง แต่กลับหาร่องรอยของสัตว์ปีศาจได้ยาก


ตามทางพบแต่ร่องรอยการต่อสู้ รวมถึงซากศพและรอยเลือดของสัตว์ปีศาจ


นี่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า น่ากลัวว่าสัตว์ปีศาจที่อยู่รอบนอกภูเขาโคม่วงคงจะถูกศิษย์สี่สำนักสามตระกูลเหล่านั้นฆ่าไปเกือบหมดแล้ว


‘ดูท่าคงทำได้แค่เข้าไปในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงดูเสียแล้ว’ หลินสวินนิ่งคิดแล้วจึงตัดสินใจ


เพียงแต่พวกเขาเคลื่อนไหวได้ไม่นาน ก็เห็นบุรุษสวมชุดขาวใบหน้าซูบตอบ ดวงตามีรังสีเฉียบคมผู้หนึ่งขวางทางไว้


“สหาย ศิษย์พี่เยวี่ยของพวกเราอยากพบเจ้าหน่อย ไปกับข้าเถอะ”


บุรุษชุดขาวแสดงสีหน้าอวดดี น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนออกคำสั่ง


หลายวันนี้แม้หลินสวินจดจ่อกับการเอาคืนพวกโม่เฟิงอยู่ตลอด แต่ระหว่างทางกลับพบผู้สืบทอดจากขุมอำนาจอื่นไม่น้อย


ถ้าเขาจำไม่ผิด ชายชุดขาวผู้นี้น่าจะมาจากสำนักยุทธ์พันเวท ติดตามข้างกายชายหนุ่มที่ชื่อเยวี่ยเจี้ยนหมิง


หลินสวินกับพวกเขาเคยมีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นซย่าเสี่ยวฉงยังสรรเสริญเยินยอ ว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนั้นเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นวิญญาณอัคนี เป็นคนสง่างามตระการตาโดดเด่น ยอดเยี่ยมยิ่งนักผู้หนึ่ง


ขนาดอาจารย์ของนางยังเคยยกย่องว่า ด้วยพรสวรรค์ของเยวี่ยเจี้ยนหมิง เพียงพอให้เข้าร่วมกับหมื่นผู้กล้า ช่วงชิงมหามรรคที่กำลังจะมาเยือนได้!


“ขออภัย พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องทำ”


หลินสวินพูดพลางพาซย่าเสี่ยวฉงออกมา เขาไม่ได้สนใจ ‘ศิษย์พี่เยวี่ย’ ที่ถูกเชิญไปพบอะไรนั่นแล้ว


ตอนที่ 766 ละครเด็ดฉากหนึ่ง

โดย

ProjectZyphon

พวกโม่เฟิงสีหน้าอึมครึมหม่นหมอง


พวกเขาทะยานไปในพื้นที่ห่างไกล กลัวแต่จะถูกศิษย์จากขุมอำนาจอื่นพบเข้า เวลานี้พวกเขาต่างหมดสภาพ หน้าบวมแดงเหมือนหัวหมู


“ไอ้เดรัจฉานตัวนั้นรังแกกันเกินไปแล้ว! ถึงกับกล้าย่ำยีลบหลู่พวกเรา เมื่อกลับไปจะต้องขอให้ผู้อาวุโสของสำนักลงมือแล่เนื้อเถือหนัง บดกระดูกมันให้เป็นผุยผง!”


บางคนเอ่ยขึ้นอย่างอับอายและขุ่นเคือง


“เดรัจฉานตัวนั้นแม้เลวนัก แต่กลับไม่ได้ลงมือฆ่า นี่ดูพิกลอยู่นะ ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนนั้นสั่งการอยู่เบื้องหลัง”


เหวินเฟยหรันเอ่ยวิเคราะห์ นางไม่ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าพริ้งเพรางามเด่น ดูสะดุดตาในหมู่ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณที่ใบหน้ายับเยิน


“เป็นลูกไม้ของเด็กหนุ่มนั่นหรือ”


คนอื่นล้วนฉงนใจไม่อาจสงบได้ เมื่อใคร่ครวญโดยละเอียด สภาพการณ์ตอนพวกเขาพบกับงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬก็ดูน่าสงสัยชอบกลจริงๆ


เดรัจฉานนั่นปากพร่ำเรียกพวกเขาว่าสวะ ดูถูกดูแคลน ลบหลู่และข่มเหงถึงที่สุด ทั้งยังเตือนพวกเขาว่าภายหลังให้เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาบ้าง


“หึ! ศิษย์น้องเหวินตาแหลมดังคาดนะ”


โม่เฟิงแค่นหัวเราะหยัน “พวกเราล้วนถูกลบหลู่ มีเพียงเจ้าที่ปลอดภัยดี เกรงว่าจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มนั่นรู้ว่าเจ้าใส่ใจเขาอยู่ตลอด จึงสั่งให้เจ้างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬออมมือให้เจ้ากระมัง”


เมื่อพูดคำนี้ออกมา คนอื่นก็ล้วนสีหน้าประหลาด สายตาที่มองไปยังเหวินเฟยหรันต่างเปลี่ยนไปแล้ว


เป็นจริงที่ว่าหลายวันนี้เหวินเฟยหรันบอกพวกเขาว่าอย่าต่อต้านเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ตลอด และตอนนี้พวกเขาล้วนโดนเล่นงาน มีเพียงนางเท่านั้นที่ปลอดภัย นี่ดูไม่ชอบมาพากลอย่างชัดเจน


“ข้า…” ใบหน้างามของเหวินเฟยหรันเปลี่ยนไป กำลังปริปากจะอธิบาย กลับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในใจโกรธเคืองโดยพลัน


“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน”


โม่เฟิงก็ไม่คิดจะหาเรื่องมากไปกว่านี้ เขาสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้จะรามือเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าเจ้าเดรัจฉานนั่นจะถูกเด็กหนุ่มคนนั้นล่อลวงหรือไม่ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเพราะเรื่องนี้!”


คนอื่นพากันพยักหน้า


เมื่อคิดว่าพวกเขาที่เป็นถึงผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณ กลับถูกอสูรมารตัวหนึ่งย่ำยีจนจำหน้าไม่ได้ พวกเขาก็ทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย


หากเรื่องนี้กระจายออกไป พวกเขาคงได้กลายเป็นตัวตลกของทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!


“หืม”


ฉับพลัน โม่เฟิงก็หน้าเปลี่ยนสี ในสัมผัสจิตวิญญาณของเขา เห็นว่าในที่ไกลลิบมีเงาร่างที่คุ้นเคยถึงที่สุดร่างหนึ่ง


เป็นเจ้าเด็กหนุ่มนั่น!


นี่ทำให้เขาใจเต้นตึกตัก หรือเจ้าหมอนั่นจะมาเอาคืนพวกเขาอีกแล้ว


ความจริงโม่เฟิงหวาดหวั่นอยู่บ้าง ถูกเอาคืนจนกลัวเสียแล้ว รู้สึกว่าหลินสวินช่างตามหลอกหลอนเหมือนผีร้าย พาให้ผู้อื่นเจ็บปวดใจและพรั่นพรึง


เพียงแต่ไม่นานนักเขาก็สังเกตได้ว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดคิด


“ที่แท้เขาก็ถูกหยางอวิ๋นตู้แห่งสำนักยุทธ์พันเวทขวางทางอยู่ คราวนี้มีละครฉากเด็ดให้ดูแล้ว เหอะๆ…”


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าบวมตุ่ยเขียวช้ำนั่น ดูมุ่งร้ายและน่าขัน เพียงแต่ตัวเขาไม่รับรู้ มือใหญ่โบกขึ้นหนึ่งครั้ง “ทุกคน มีละครฉากเด็ดให้ดูแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไร ตามข้ามา!”


ไม่นานนักคนอื่นก็สังเกตเห็นหลินสวินที่ถูกขวางทางอยู่ แต่ละคนล้วนยินดีปรีดา มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างที่สุด


สำนักยุทธ์พันเวทมีบุคคลไร้เทียมทานอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิงสั่งการ ในที่สุดครั้งนี้เจ้าเด็กนั่นก็โชคร้ายแล้ว!


พวกเขาเข้าไปใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ หมายจะดูละครฉากเด็กฉากหนึ่ง


……


กลางป่า เมื่อเห็นว่าหลินสวินปฏิเสธตนทันควัน ทำให้ชายชุดขาวประหลาดใจ ออกจะงงงวย จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม “เจ้าถึงกับกล้าปฏิเสธข้าหรือ”


หลินสวินหัวเราะ อดไม่ได้เอ่ยว่า “เหตุใดข้าจะปฏิเสธไม่ได้เล่า เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากใคร ถึงได้กล้าชี้นิ้วสั่งข้าตามใจชอบ”


ชายชุดขาว หรือก็คือหยางอวิ๋นตู้แห่งสำนักยุทธ์พันเวทกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไว้หน้าให้ก็ไม่เอาใช่ไหม เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้า…”


เพี๊ยะ!


ไม่ทันขาดคำ หลินสวินก็ตวัดฝ่ามือข้างหนึ่งแหวกอากาศไปตบหน้าหยางอวิ๋นตู้เสียงดังกังวานจนใบหน้าบวมแดง ร้องโหยหวนกระเด็นออกไปทันควัน ภาพตรงหน้าพร่ามัวเลือนราง


“อย่างเจ้าก็กล้าสบประมาทข้าหรือ”


ดวงตาสีดำของหลินสวินเยียบเย็น ยามแรกเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ เดิมคิดเขาคิดจะเคลื่อนไหวอย่างไม่หวือหวา แต่กลับพบว่ายิ่งเรียบง่ายเท่าไรก็ยิ่งถูกผู้อื่นดูเบาเท่านั้น


อย่างพวกโม่เฟิงก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้


ชายชุดขาวที่มาจากสำนักยุทธ์พันเวทตรงหน้าคนนี้ก็เช่นกัน ล้วนมีท่าทีชูคอหยิ่งผยอง ทำให้หลินสวินคิดจะทำตัวเรียบง่ายยังทำไม่ได้


จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำหนึ่งที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าบอกเขา ‘สู้!’


ต้องสู้ เดินหน้าไปอย่างองอาจ ไม่หวั่นความยากลำบากนานัปการ!


หากไม่เตรียมตัวเช่นนี้ ยังจะพูดว่าจะไปช่วงชิงมหามรรคกับหมื่นผู้กล้าเมื่อมหาสงครามอุบัติขึ้นได้อย่างไร


“เจ้า… ถึงกับกล้าตบข้าหรือ”


ชายชุดขาวคนนั้นกราดเกรี้ยว มือกุมใบหน้าที่บวมแดง ท่าทางไม่อาจทำใจเชื่อได้


ไกลออกไปพวกโม่เฟิงก็ตาเบิกกว้าง สูดหายใจเยียบเย็น เด็กหนุ่มคนนี้ป่าเถื่อนถึงเพียงนี้ พูดไม่เข้าหูหน่อยก็ตบหยางอวิ๋นตู้เลยหรือ


ที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นที่สุดก็คือ หยางอวิ๋นตู้นับเป็นคนโดดเด่นในระดับหยั่งสัจจะที่ทรงพลังกล้าหาญถึงที่สุดคนหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถตั้งรับฝ่ามือเดียวได้ นี่ช่างน่าสะท้านขวัญนัก


“ถ้ากล้าสบประมาทข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้ายังกล้าฆ่าเจ้า”


หลินสวินพูดอย่างรายเรียบ ดวงตากลับแผ่ไอสังหารเย็นชาเหี้ยมเกรียม กลิ่นอายน่าหวาดกลัวไร้รูปแผ่ขยายออกมาจากร่างของเขา


หยางอวิ๋นตู้ตกใจกลัวตัวสั่นเทา รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อนจนแทบหายใจไม่ออก


ในสายตาของเขา เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่อยู่ไกลออกไปผู้นั้นเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ไอสังหารไหลทะลักราวกระแสน้ำ เหมือนราชันที่เดินออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด น่าสยดสยองยิ่ง


ชายชุดขาวสั่นระริกไปทั้งตัว กัดฟันเสียงกึกกัก ขวัญหนีดีฝ่อขนหัวลุกเกรียว รู้สึกหวาดผวายิ่งนัก


แม้เขาจะอวดดีอยู่บ้างแต่ตาก็ยังมีแวว ชั่วพริบตาก็ชี้ชัดได้ว่าครั้งนี้เตะถูกแผ่นเหล็กเสียแล้ว


เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นคนธรรมดาเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนร้ายกาจที่เคยก่อพายุฝนคาวเลือดไม่รู้ตั้งเท่าไร!


และครั้งนี้พวกโม่เฟิงก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของหลินสวินในที่สุด แม้ห่างไปไกลลิบ แต่เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารน่าครั่นคร้ามที่อบอวลไปทั้งร่างของหลินสวินในตอนนี้ ก็ทำให้พวกเขาขนลุกขนพอง สติไม่อยู่กับตัว


แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!


ตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งรู้ว่า การกระทำของหลินสวินก่อนหน้านี้ แทนที่จะพูดว่ากำลังคิดบัญชีพวกเขาอยู่ ให้พูดว่าตั้งใจเย้าแหย่เสียดีกว่า!


เพราะแค่ไอสังหารและพลานุภาพเช่นนี้ หากคิดจะเอาคืนพวกเขาก็ไม่เห็นต้องมากความขนาดนี้เลย สู้ตรงๆ ก็สามารถกำราบพวกเขาได้แล้ว!


ต่อให้เป็นโม่เฟิงที่เย่อหยิ่งจองหอง อวดดีหาใดเทียบ ตอนนี้ก็ต้องยอมรับจุดนี้


นี่ทำให้พวกเขาหนาวเยือกในใจ เดิมทีพวกเขายังคิดว่าจะเอาคืนหลินสวินอย่างไรดีอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่แน่ใจเสียแล้ว


“ต่อให้เขาป่าเถื่อนแค่ไหน ครั้งนี้ก็ก่อปัญหาใหญ่โตแล้ว หยางอวิ๋นตู้เป็นหนึ่งในคนที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเชื่อใจที่สุด มีหรือจะตบตีเขาได้ง่ายๆ”


โม่เฟิงกัดฟัน “รอดูเถอะ เด็กนี่ทำเช่นนี้ ต้องเจอการเอาคืนของเยวี่ยเจี้ยนหมิงแน่!”


คล้ายเป็นการตอบรับการคาดเดาของเขา ไม่ทันไรบริเวณที่ห่างออกไปก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น


รุ้งเทพสีทองเจิดจ้าสายหนึ่งพาดผ่านอากาศมาราวสะพานโค้ง โปรยปรายละอองแสงดุจภาพนิมิต ก็เห็นว่ามีเงาร่างของชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนตระหง่านอยู่เหนือรุ้งเทพ


ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายหนุ่มที่ผมยาวระไหล่ สวมอาภรณ์สีม่วง เอวคาดเข็มขัดหยก โครงร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าปราดเปรียวผู้หนึ่ง


เขามีคิ้วตรงแน่วดังกระบี่ ดวงตาเป็นประกายดั่งดารา รูปลักษณ์หล่อเหล่ายิ่งนัก ผิวพรรณเปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกมันแพะ เวลานี้ขี่รุ้งเทพมาเยือน ช่างเหมือนเทพจากสวรรค์ลงมาเยือนโลกา อิริยาบถเหนือธรรมดาถึงที่สุด


เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ชายหญิงคนอื่นที่อยู่ข้างกายล้วนดูหมองลงทันตา ด้วยถูกรัศมีของเขาบดบังจนสิ้น ยิ่งขับเน้นให้เขาโดดเด่นขึ้นไปอีก


เยวี่ยเจี้ยนหมิง!


พวกโม่เฟิงจิตใจสั่นไหว ความรู้สึกสับสนปนเป นี่เป็นผู้กล้าไร้เทียมทานที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนีของพวกเขา พรรสวรรค์ล้ำเลิศหาใดเทียบ เปรียบเสมือนผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของสี่สำนักสามตระกูล


ขณะเดียวกัน คนผู้นี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่พวกโม่เฟิงกริ่งเกรงที่สุดคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งทางศักยภาพของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ในหมู่คนรุ่นเยาว์บรรยายได้ด้วยคำว่า ‘ล้ำลึกไม่อาจคาดเดา’ เท่านั้น!


ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าสู่เส้นทาง ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันแทบไม่มีผู้ใดสามารถบดบังรัศมีเขาได้


“เยวี่ยเจี้ยนหมิงมาแล้ว ครั้งนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นป่าเถื่อนแค่ไหน เกรงว่าก็ต้องถูกเยวี่ยเจี้ยนหมิงกำราบ”


ความรู้สึกของพวกโม่เฟิงซับซ้อนนัก พวกเขาหวาดกลัวและไม่พอใจเยวี่ยเจี้ยนหมิง แต่ก็หมายให้เขาสำแดงฤทธาสังหารหลินสวิน


“ศิษย์พี่เยวี่ย!”


ไกลออกไป หยางอวิ๋นตู้ร้องโอดครวญแต่สีหน้ากลับปรีดา ใบหน้าแจ่มใส สายตาที่มองไปยังหลินสวินมีความเคียดแค้น


เยวี่ยเจี้ยนหมิงมาพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ แล้ว นี่ย่อมทำให้หยางอวิ๋นตู้ใจชื้น จิตใจมั่นคงมากอย่างไม่ต้องสงสัย


หลินสวินก็ชำเลืองมองเยวี่ยเจี้ยนหมิงเช่นกัน แต่สีหน้ากลับเรียบเฉยไม่หวั่นไหวดังเดิม เขาถึงขั้นรู้อยู่ก่อนแล้วว่าห่างออกไปพวกโม่เฟิงกำลังรอดูเรื่องตลกจากตนอย่างลับๆ


สำหรับหลินสวินแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร


ในกาลก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันกลุ่มหนึ่งตามฆ่า ทั้งยังเคยประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติชั้นยอด ขนาดราชันกึ่งระดับยังเคยปลิดชีพไปไม่น้อย มีหรือจะสนใจการเพ่งเล็งและข่มขู่ของคนรุ่นเยาว์เหล่านี้


พูดได้ว่าหลินสวินในตอนนี้ในแง่พลังปราณกับอายุอาจจะไม่ต่างกับคนรุ่นเดียวกัน ถือเป็นผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ แต่ในแง่ประสบการณ์และการต่อสู้ เขายืนอยู่ในจุดที่สูงชั้นกว่านานแล้ว ยืนมองทุกสิ่งที่แปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยจากมุมสูง!


นี่ก็คือมกุฎมรรคา ประหนึ่งราชันแห่งระดับผู้หนึ่ง ยืนตระหง่านเหนือหมู่เมฆา เบื้องบนสามารถเย้ยฟ้าโค่นล้ม เบื้องล่างสามารถโอหังเหนือทุกสิ่ง!


ทว่าแม้ในใจจะราบเรียบไม่หวั่นไหว แต่เมื่อได้เห็นเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ยังคงทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้อยู่บ้าง


แค่จากบุคลิกของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาตัดสินได้ว่า เยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้เป็นผู้โดดเด่นที่พบเห็นได้ยากผู้หนึ่ง


สมัยหลินสวินอยู่ในโลกชั้นล่าง ได้เห็นอัจฉริยะ ผู้มีพรสวรรค์ ผู้มีความสามารถโดดเด่นและบุตรเทพต่างๆ มามาก ย่อมสามารถดูสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็นออก


ก็เหมือนกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้ ตามการสันนิษฐานของเขา เมื่อเทียบกับชิงเจ๋อผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าแล้วก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร


แม้ว่าชิงเจ๋อจะแพ้คามือเขา แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นศิษย์สืบทอดคนหนึ่งในสำนักกระบี่เทียมฟ้า พรสวรรค์ล้ำเลิศ รากฐานหนาแน่น


และในสถานที่อย่างแคว้นวิญญาณอัคนีแห่งแดนฐิติประจิม ในสำนักยุทธ์พันเวทที่เป็นได้แค่เจ้าถิ่นในแคว้นหนึ่งนี้ กลับสามารถอบรมบ่มเพาะผู้โดดเด่นอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิงออกมาได้ ย่อมต้องทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง


นี่ก็เหมือนพบมัจฉาทองตัวหนึ่งในสระน้ำที่ไม่ได้ใหญ่อะไร เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอยู่ในสระ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องแปลงกายเป็นมังกรและจากไป


ระหว่างที่หลินสวินกำลังขบคิดอยู่ พวกเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว


“ศิษย์พี่เยวี่ย เมื่อกี้นี้เจ้าเด็กนั่น…” หยางอวิ๋นตู้รีบร้อนก้าวมาข้างหน้าแล้วบอกเล่าอย่างใส่สีตีไข่ หมายจะให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงลงมือกำราบหลินสวินทันที


เพียงแต่ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงดังเพี๊ยะ หยางอวิ๋นตู้ถูกตบหน้าจนโซซัดโซเซเกือบล้มลงไปกับพื้น


ตอนที่ 767 เทศกาลโคมกถามรรค

โดย

ProjectZyphon

เพี๊ยะ!


เสียงตบนี้ดังกังวานนัก ขนาดพวกโม่เฟิงที่ซุ่มอยู่ไกลออกไปยังได้ยินชัดเจน ต่างรู้สึกเจ็บแก้มแทนหยางอวิ๋นตู้


ทุกคนพากันงงงวย ทำใจเชื่อได้ยาก


เพราะผู้ที่ลงมือตบหน้าหยางอวิ๋นตู้ก็คือเยวี่ยเจี้ยนหมิงซึ่งถูกเขามองเป็นที่พึ่ง!


นี่ก็ดูผิดปกติยิ่ง ที่ต้องรู้ก็คือ แต่ก่อนหยางอวิ๋นตู้เป็นถึงคนที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเชื่อถือที่สุดคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาถูกรังแก เดิมทีเยวี่ยเจี้ยนหมิงควรออกหน้าแทนเขา เหตุใดถึงตบหน้าหยางอวิ๋นตู้ได้เล่า


นอกจากนี้นี่ยังเป็นการตบจริงๆ เสียงตบดังกังวานกอปรกับท่าทางโซซัดโซเซแทบล้มลงของหยางอวิ๋นตู้ แสดงให้เห็นว่าแรงตบของเยวี่ยเจี้ยนหมิงคราวนี้มากนัก!


ขนาดหลินสวินยังประหลาดใจ อดมองเยวี่ยเจี้ยนหมิงอย่างใคร่ครวญไม่ได้


“ศิษย์พี่เยวี่ย นี่ท่าน…”


ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทเหล่านั้นเอ่ยอย่างฉงน


ส่วนหยางอวิ๋นตู้ถูกตบจนมึนงงไปหมดแล้ว แก้มบวมแดง ยืนทื่ออยู่เช่นนั้น ยังคงไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่


“นี่ข้ากำลังช่วยเขาอยู่”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงถอนใจเบาๆ ร่างเขาสูงใหญ่ คิ้วตรงแน่วดั่งกระบี่ ดวงตาเปล่งประกายราวดารา สง่างามน่าดึงดูด แม้จะยืนง่ายๆ อยู่เช่นนั้น แต่กลับมีท่วงท่าน่าเชื่อถือ


ยามพูดจาดวงตาเขามองมายังหลินสวินแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสหายยุทธ์ที่เมื่อกี้นี้มีเมตตา ข้าขออภัยแทนศิษย์น้องของข้าด้วย”


เมื่อพูดจบเขาก็ค้อมตัวเล็กน้อย ใบหน้าแสดงความขอโทษ ดูจริงใจนัก


ทุกคนล้วนตื่นตะลึง ยิ่งสับสนงงงวยขึ้นไปอีก ในใจพวกเขาเยวี่ยเจี้ยนหมิงประหนึ่งเป็นเทพไท้ รัศมีเปล่งประกายหมื่นจั้ง มีชื่อสะเทือนแคว้นวิญญาณอัคนี


นี่ออกจะทำให้พวกเขายอมรับได้ยากเสียแล้ว


และพวกโม่เฟิงที่ซ่อนอยู่ไกลออกไปก็ล้วนอึ้งงัน ความรู้สึกอัดอั้นที่เก็บกลั้นไว้ในอกแทบระบายออกมาไม่ได้ พวกเขามาดูละครฉากเด็ดกันนะ!


เหตุใดละครฉากเด็ดยังไม่ทันโหมโรง เยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ออกตัวขอโทษเสียแล้วเล่า


“พี่หลินสวิน ศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงกำลังขอโทษท่านอยู่ล่ะ”


ข้างกายหลินสวิน ใบหน้าน้อยใสซื่อของซย่าเสี่ยวฉงเปล่งประกาย ท่าทางประหลาดใจยิ่งยวด นางเคยบอกว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานที่นางเทิดทูนบูชาผู้หนึ่ง


“ข้าได้ยินแล้ว”


หลินสวินจนใจอยู่บ้าง เขาไม่คิดว่าหลังจากได้พบกับเยวี่ยเจี้ยนหมิง ซย่าเสี่ยวฉงจะตื่นเต้นปานนี้ ท่าทางเหมือนสาวน้อยเสียสติ


“ศิษย์พี่เยวี่ย เหตุใดท่าน… เหตุใดถึงขอโทษเขา”


หยางอวิ๋นตู้งงไปหมดแล้ว ดูสถานการณ์ไม่ออก ไม่อาจยอมรับภาพตรงหน้าได้


“ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดกับเจ้าไว้นานแล้ว ว่าบนโลกนี้มีคนประเภทหนึ่งที่ไม่อาจสบประมาทได้ และสหายยุทธ์ตรงหน้าคนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยกิริยาหยาบคายของเจ้าก่อนหน้านี้ ต่อให้ฆ่าเจ้าก็สมควรโดน”


แม้วาจาของเยวี่ยเจี้ยนหมิงจะกล่าวกับหยางอวิ๋นตู้ สายตากลับมองดูหลินสวิน สีหน้ายังคงแสดงความขอโทษ


ผู้กล้าโดดเด่นที่ลือชื่อไปทั่วแคว้นวิญญาณอัคนีผู้หนึ่ง ตอนนี้กลับแสดงท่าทีอ่อนน้อมเช่นนี้ ทำให้หลินสวินออกจะเหลือเชื่อ


เขาพอจะรู้สึกรางๆ ว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้บางทีอาจจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้จากร่างตน ถึงได้ปฏิบัติกับตนเช่นนี้


ใบหน้าหยางอวิ๋นตู้ปนเปไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ถูกสั่งสอนจนอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ในใจรู้สึกคับข้องและผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก


เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงไม่อาจสบประมาทได้เล่า


เขาเดาไม่ออก และไม่เข้าใจ


ไม่เพียงแต่หยางอวิ๋นตู้ ผู้สืบทอดจากสำนักยุทธ์พันเวทเหล่านั้นก็ล้วนตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงจะให้ความสำคัญกับหลินสวินเช่นนี้


ไม่อาจสบประมาทได้หรือ


หรือว่าที่มาที่ไปของเจ้าหมอนี่จะไม่ธรรมดา


ไกลออกไปพวกโม่เฟิงก็หวาดผวา ท่าทีที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงปฏิบัติต่อหลินสวินทำให้พวกเขาแปลกใจอย่างยิ่ง พอจะรับรู้ได้ว่า หากไม่ใช่ที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มคนนั้นน่าตกใจ ก็ต้องเป็นเพราะศักยภาพเย้ยฟ้า ถึงทำให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงปฏิบัติเช่นนี้ได้


นอกจากสาเหตุพวกนี้ก็หาเหตุผลอื่นไม่พบ!


เมื่อคิดถึงจุดนี้พวกเขาก็อดท้อใจไม่ได้ ในใจยอมแพ้ หากเด็กหนุ่มนั่นมีที่มาที่ไปน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด พวกเขาจะเอาอะไรไปล้างแค้นได้


“สหายยุทธ์ ขอคุยกับเจ้าตามลำพังได้หรือไม่”


จู่ๆ เยวี่ยเจี้ยนหมิงก็เอ่ยปาก


ดวงตาหลินสวินหรี่ลงอย่างยากสังเกตเห็น จากนั้นก็พยักหน้า “ก็ดี”


เขาเดาไว้ก่อนแล้วว่าที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงมาหา ไม่ได้มาเพื่อขอโทษตนแน่ ทั้งยังไม่ได้เรียบง่ายอย่างมาเพื่อสั่งสอนหยางอวิ๋นตู้คนนั้นต่อหน้าตนด้วย


“ข้าน้อยเยวี่ยเจี้ยนหมิง ศิษย์สืบทอดแห่งสำนักยุทธ์พันเวท ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์มีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”


ทั้งสองคนมาที่หน้าเขาเขียวเตี้ยลูกหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป เยวี่ยเจี้ยนหมิงเอ่ยแนะนำตนเอง


“หลินสวิน”


หลินสวินเอ่ยตอบ


“อ้อ ที่แท้ก็คือสหายยุทธ์หลิน ไม่ทราบว่าครั้งนี้สหายยุทธ์มาที่นี่เพราะวาสนาที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงแห่งนี้หรือ”


สายตาของเยวี่ยเจี้ยนหมิงลุ่มลึก กิริยามารยาทงดงามเหมาะสม มีบุคลิกอย่างสัตบุรุษ


“ไม่ใช่”


คำตอบของหลินสวินทำให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงชะงักไปเล็กน้อย ไม่นานก็ยิ้มพลางพูดว่า “ดูท่าสหายยุทธ์ก็คงรู้ว่า แม้วาสนาในภูเขาโคม่วงจะยิ่งใหญ่ แต่กลับซุกซ่อนไอสังหารคับฟ้าเอาไว้ คราวนี้อาจจะเป็นเคราะห์ไม่ใช่ลาภ”


หลินสวินรู้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องเข้าใจผิดไป คิดว่าตนกำลังโกหก เขาเองก็คร้านจะแจกแจงจึงพูดว่า “สหายยุทธ์เยวี่ยเรียกข้ามาก็เพื่อพูดเรื่องนี้หรือ”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิ้มน้อยๆ ดูออกว่าหลินสวินออกจะทนไม่ไหวแล้ว จึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อมทันทีว่า “หลังจากนี้ครึ่งปี ‘เทศกาลโคมกถามรรค’ ที่สิบปีจะมีครั้งหนึ่งจะเปิดฉากขึ้นบน ‘เขาพยับคราม’ แดนฐิติประจิม”


“เทศกาลโคมครั้งนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ผู้กล้าโดดเด่นรุ่นเยาว์มากมายของแดนฐิติประจิมต่างล้วนมาเข้าร่วม ได้ยินว่าครั้งนี้แม่นางอู่หลิงชง ธิดาเทพแห่ง ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมจะมาตามด้วย”


“ที่สามารถคาดการณ์ได้ก็คือ ในช่วงที่มหาสงครามกำลังจะมาเยือน นี่ถือเป็นงานรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเราเหล่าคนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิมครั้งหนึ่งแน่!”


พูดถึงตรงนี้ดวงตาเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็จับจ้องหลินสวิน “ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์หลินสนใจจะเข้าร่วมหรือไม่”


เขาพยับคราม เทศกาลโคมกถามรรค!


ในใจหลินสวินรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง หากเป็นจริงตามที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงพูด เหล่าผู้กล้ามากอิทธิพลของแดนฐิติประจิมจะมาร่วมงาน เช่นนั้นเทศกาลโคมครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างเหลือเชื่อ!


ทว่าหลินสวินมาดินแดนรกร้างโบราณจากโลกชั้นล่าง เขาไม่รู้ว่าเทศกาลโคมกถามรรคนี้มีไว้ทำอะไรกันแน่ แม้กระทั่งเขาพยับครามยังไม่เคยได้ยิน ย่อมไม่อาจบุ่มบ่ามตอบรับ


จึงกล่าวว่า “ขอบังอาจถามประโยคหนึ่งว่า ข้าไม่รู้จักกับสหายยุทธ์เยวี่ย เหตุใดถึงเชิญข้าให้เข้าร่วมงานครั้งใหญ่นี้เล่า”


เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป เยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ยิ้มผ่าเผย ในดวงตาปรากฏประกายร้อนเร่า จ้องหลินสวินพลางเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าสหายยุทธ์หลินเชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่ข้าพบเจ้าครั้งแรก ข้าก็รู้ว่าเจ้าต้องไม่ธรรมดา!”


พูดถึงตรงนี้หว่างคิ้วของเขาก็แสดงสีหน้าเชื่อมั่นในตัวเอง “ข้ามั่นใจว่าด้วยศักยภาพที่สหายยุทธ์มี เกรงว่าต้องไม่ด้อยไปกว่าข้าแน่ ถึงกับ… ก้าวล้ำข้าไปด้วยซ้ำ!”


หลินสวินหรี่ตา แล้วพูดอย่างผ่าเผยเช่นกันว่า “สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “เป็นเจ้าที่ถ่อมตัวเกินไปต่างหาก”


เขานำป้ายหยกสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือที่ประทับรอยสลักลับไว้ออกมา แล้วใช้สองมือส่งให้หลินสวิน “นี่เป็นป้ายชื่อเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ไม่ว่าเจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ขอให้รับไว้ นี่ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้า”


นิ่งไปครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อว่า “แน่นอนว่าที่ข้าทำเช่นนี้ก็ย่อมมีความคิดเห็นแก่ตัว หวังว่าจะสามารถเข้าออกงานเทศกาลโคมกถามรรคด้วยกันกับสหายยุทธ์ ร่วมเผชิญหน้ากับบุคคลระดับผู้กล้าจากที่อื่น”


“พูดง่ายๆ ก็คือ เพื่อหาพรรคพวกร่วมทางสักคน” เยวี่ยเจี้ยนหมิงพูดจบก็ยิ้มล้อตัวเอง ดูใจกว้างนัก


หลินสวินเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงเตรียมตัวมาดี ท่าทีก็จริงใจ ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ทำให้หลินสวินแปลกใจอยู่บ้าง


“ข้าตั้งตารอให้วันนั้นมาถึงนัก”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงท่าทางยินดี พูดจบก็ออกตัวกล่าวลา พาเหล่าผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทหันกายจากไป


หลินสวินมองพวกเขาจากไปพลางเล่นป้ายหยกสีเขียวที่อยู่ในมือ ตกอยู่ในภวังค์ความคิด


‘เยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้มาเชิญข้าอย่างเป็นมิตรขนาดนี้ จะมาเพื่อหา ‘พรรคพวก’ ร่วมทางสักคนเท่านั้นจริงๆ หรือ’


‘เขาพยับคราม เทศกาลโคมกถามรรค… ถ้ามีเวลาว่างก็ลองไปดูได้ ไปดูความสง่างามของผู้กล้าแห่งแดนฐิติประจิมเหล่านี้เสียหน่อย!’


‘แล้วยังเรือนกระบี่เร้นปุจฉานั่นอีก ถึงกับขนานนามว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม ดูท่าที่นั่นต้องมียอดฝีมืออริยมรรคที่แท้จริงควบคุมดูแลอยู่แน่ ส่วนอู่หลิงชงที่ถูกเรียกว่าเป็นธิดาเทพแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนนั้น จะเป็นบุคคลไร้เทียมทานแห่งยุคเช่นไรกัน’


หลินสวินสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่ยามเยวี่ยเจี้ยนหมิงเอ่ยถึงชื่ออู่หลิงชง ดวงตาฉายแววชื่นชมอย่างยากสังเกตเห็น


สามารถทำให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงชื่นชมเช่นนี้ได้ ทั้งยังอยู่ในเรือนกระบี่เร้นปุจฉาที่เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนแดนฐิติประจิม เกรงว่าอู่หลิงชงคนนี้จะเป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่คนรุ่นเยาว์ของแดนวิภูนี้ ถึงขั้นเรียกได้ว่าโดดเด่นตระการตาเสียกระมัง


หลินสวินไม่ร่ำไร เก็บป้ายหยกสีเขียวแล้วพาซย่าเสี่ยวฉงเคลื่อนไหวเดินทางต่อ


เพียงแต่ก่อนหน้านั้น เขากลับหายตัวในทันใดแล้วมาปรากฏตัวใกล้กับจุดที่พวกโม่เฟิงซุ่มอยู่ไกลออกไป ทำให้พวกเขาตกใจจนตัวสั่นเทา แทบร้องด้วยความตื่นตระหนก


“ทุกท่าน ชมดูสนุกดีหรือไม่” หลินสวินถามพร้อมยิ้มละไม


พวกโม่เฟิงสีหน้าปนเปด้วยความรู้สึกมากมาย สายตาที่มองมายังหลินสวินทั้งหวาดกลัวทั้งชิงชัง ดูซับซ้อนนัก


“เจ้าจะเอาอย่างไร” มีคนหนึ่งทำใจกล้ากัดฟันถาม


หลินสวินนิ่งคิด แล้วเพียงโพล่งคำพูดหนึ่งออกมาว่า “ทำตัวดีๆ” จากนั้นก็หันกายจากไป


กระทั่งร่างของหลินสวินกับซย่าเสี่ยวฉงหายลับไป เวลานี้ถึงมีคนถามอย่างขัดเคืองว่า “กำเริบเกินไปแล้ว เจ้าหมอนี่มันหมายความว่าอย่างไร เห็นพวกเราสำนักมุกวิญญาณไร้ซึ่งผู้คนหรืออย่างไร”


“นี่เขากำลังเตือนพวกเราว่าการเอาคืนก่อนหน้านี้ เขาแค่อยากมอบบทเรียนให้เราครั้งหนึ่ง หาพวกเราไม่รู้ต่ำรู้สูง เขาอาจจะลงมืออย่างร้ายกาจ!”


โม่เฟิงสีหน้าอึมครึม ในใจท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก


หลังจากเห็นท่าทีที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงปฏิบัติต่อหลินสวิน เขาก็หมดหวังโดยสิ้นเชิง ไม่มีแก่ใจจะไปแก้แค้นอีกฝ่ายต่ออีก


ทุกคนล้วนเงียบงัน ความรู้สึกผันผวน


“ที่จริงแล้วนี่ก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเรามีชนักติดหลัง และแม้อีกฝ่ายจะกลั่นแกล้งเราอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่เคยมีเจตนาฆ่า ข้าว่าปล่อยให้เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ก็ได้”


เหวินเฟยหรันที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางดูออกว่าทุกคนรู้สึกหดหู่เศร้าซึม


“ปล่อยไว้เช่นนี้หรือ…”


โม่เฟิงลอบถอนใจ เมื่อเทียบกับความแค้นเหล่านี้ เขาไม่มีใจจะเอาคืนแล้ว แต่หลังผ่านเรื่องนี้ไป กลับทำให้เขารับรู้ว่าอย่างไรเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน


และตัวเองก่อนหน้านี้น่าขันขนาดไหน!


——


ตอนที่ 768 อาจารย์ว่าไว้

โดย

ProjectZyphon

“ศิษย์พี่เยวี่ย เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านต้องเกรงใจเด็กหนุ่มนั่นขนาดนี้ด้วย”


ขณะเดียวกับที่พวกโม่เฟิงกำลังจิตใจว้าวุ่น เหล่าผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทก็สับสนงงงวย ไม่เข้าใจการกระทำของเยวี่ยเจี้ยนหมิง


เยวี่ยเจี้ยนหมิงสองมือไพล่หลัง แขนเสื้อปลิวไปตามลม เท้าเหยียบอยู่บนรุ้งทอง ดูสง่างามอย่างบอกไม่ถูก


เมื่อได้ยินวาจา เขาก็ถอนใจเบาๆ อย่างจนใจอยู่บ้างแล้วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าบนโลกนี้ผู้มีความสามารถปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าผู้กล้ามากมายราวดวงดารา ก็เหมือนเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหลินสวินผู้นั้น เขาก็คือคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดคนหนึ่ง”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาด “พวกเจ้าก็รู้ว่าข้ามีพรสวรรค์ ‘วิญญาณอภิญญา’ มาแต่กำเนิด อีกทั้งวิชาที่ฝึกก็คือ ‘เคล็ดวิชาแสงปักษาทรงวิญญาณ’ คัมภีร์ลับโบราณของสำนักเรา วิชานี้เข้ากับพรสวรรค์ของข้า สามารถรับรู้สิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจล่วงรู้ได้”


ทุกคนล้วนพยักหน้า พวกเขาย่อมรู้เรื่องนี้ดี


“และจากตัวหลินสวินคนนั้น ข้าก็เห็นศักยภาพน่าหวาดหวั่นกับพลังน่าตื่นตะลึงบางอย่าง แม้ไม่อาจมองทะลุถึงตื้นลึกหนาบางของเขาได้ แต่ที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ ถ้าพูดถึงพลังการต่อสู้แล้ว แม้แต่ข้ายังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้”


เมื่อเยวี่ยเจี้ยนหมิงพูดเช่นนี้ออกมา คนอื่นล้วนสั่นสะท้าน สูดลมหายใจเย็นไม่ว่างเว้น ในที่สุดก็รับรู้ว่าเหตุใดเขาถึงปฏิบัติต่อหลินสวินอย่างเกรงใจเช่นนั้น


ที่แท้เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นตัวร้ายกาจที่ซ่อนคมในฝักผู้หนึ่ง!


ก็ไม่รู้ว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยทอดถอนใจว่า “นี่ก็เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป ครอบคลุมสี่แดนวิภูและแคว้นอีกนับหมื่น มีอัจฉริยะและผู้กล้าที่โดดเด่นสะดุดตา เรียกได้ว่าไร้เทียมทานมากมายนัก หากพวกเจ้าคิดว่าแคว้นวิญญาณอัคนีแคว้นเดียวแทนทั้งใต้หล้าแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับกบในกะลาจริงๆ”


ถ้าโม่เฟิงได้ยินการทอดถอนใจนี้ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันแน่ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ทอดถอนใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเช่นกัน


“ศิษย์พี่ ขอพูดอะไรระคายหูท่านหน่อย แม้หลินสวินคนนั้นจะมีพลังต่อสู้โดดเด่นแล้วอย่างไรเล่า ที่นี่คือแคว้นวิญญาณอัคนี เป็นอาณาเขตของพวกเราสำนักยุทธ์พันเวท มีหรือจะยอมให้เขากำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้”


หยางอวิ๋นตู้เอ่ยปาก แก้มเขาบวมแดงไม่หาย ยังคงเหลือรอยฝ่ามือ ในใจก็ไม่พอใจและหงุดหงิด


“ถ้าเจ้ายังพูดแบบนี้ ก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเสียเดี๋ยวนี้เลย”


ดวงตาเยวี่ยเจี้ยนหมิงกวาดมองหยางอวิ๋นตู้อย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ทำให้ฝ่ายหลังสั่นระริกไปทั้งตัว สีหน้าเหยเก ไม่กล้าปริปากอีก


“ข้าเชิญเขาให้เข้าร่วมงานเทศกาลโคมกถามรรคที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นบนเขาพยับครามอีกครึ่งปีต่อจากนี้ด้วยกัน ก่อนงานนี้ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ อย่างน้อยในแคว้นวิญญาณอัคนีแห่งนี้ สำนักยุทธ์พันเวทของพวกเรา ห้ามมีใครไปพุ่งเป้าโจมตีหลินสวินอีก!”


เยวี่ยเจี้ยนหมิงสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาแผ่รังสีน่าหวาดหวั่นออกมากวาดมองทุกคน นี่เป็นการเตือนและแจ้งให้ระวังอย่างหนึ่ง


ทุกคนจิตใจสั่นระรัว ไม่อาจสงบใจได้อย่างยิ่ง


เทศกาลโคมกถามรรค!


นั่นเป็นถึงงานชุมนุมใหญอันเป็นที่จับตามองครั้งหนึ่งของแคว้นวิญญาณอัคนี!


คิดจะเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ย่อมมีเงื่อนไขเข้มงวดถึงที่สุด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย ขนาดอัจฉริยะที่ยังไม่เข้าขั้นบางคนยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานนี้ด้วยซ้ำ!


เดิมทีภายในสำนักยุทธ์พันเวท ศิษย์รุ่นเยาว์มากมายก็ล้วนวาดหวังว่าจะได้เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่นี้กับเยวี่ยเจี้ยนหมิง


แต่ดูตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว


เยวี่ยเจี้ยนหมิงเลือกเพื่อนร่วมทางเรียบร้อยแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่ขนาดที่มาที่ไปยังคลุมเครือผู้หนึ่ง!


ความจริงข้อนี้ทำให้ผู้สืบทอดสำนักพันเวทเหล่านั้นอดอิจฉาอย่างลับๆ ไม่ได้ ไม่มีทางคาดคิดได้ว่าเพิ่งเจอกันครั้งแรกเท่านั้น หลินสวินผู้นี้ก็ได้รับความสำคัญจากศิษย์พี่เยวี่ยปานนี้


เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่ได้อธิบายว่าแท้จริงแล้วหลินสวินยังไม่ได้ตอบรับว่าจะเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคหรือไม่


แต่นี่ก็ไม่สำคัญ


เยวี่ยเจี้ยนหมิงมั่นใจว่าหากเขาปรารถนาจะผงาดในมหาสงครามที่กำลังจะมาถึง เขาต้องไม่พลาดเทศกาลโคมกถามรรคแน่!


ดังนั้นงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ ต่างจากแต่ก่อนมากจริงๆ


……


สายัณห์ตะวันรอน เทือกเขาสีเขียวครึ้มฉาบไปด้วยสีแดงงดงาม


“ที่แท้ศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่เพียงหล่อเหลา นิสัยก็ดีอีกต่างหาก เทียบกับรูปลักษณ์เปล่งประกายเจิดจรัสในข่าวลือแล้ว ข้าชอบเขาแบบเมื่อกี้นี้มากกว่า”


ระหว่างทางไปยังส่วนลึกของภูเขาโคม่วง ซย่าเสี่ยวฉงดูมีชีวิตชีวา พูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้เสียสติ


“อ๊ะ ข้าคิดออกแล้ว เขาก็เหมือน… เหมือนผลไม้สดใหม่เลิศรส พาให้คนอื่นห้ามใจไม่ไหวต้องกินให้หมด”


ซย่าเสี่ยวฉงถ้าไม่ประพันธ์บทกวีโลกตะลึงก็คงตายตาไม่หลับ การเปรียบเปรยเช่นนี้ทำให้หลินสวินผงะไป เท้าสะดุดแทบล้ม


เยวี่ยเจี้ยนหมิงหรือ


ผลไม้สดใหม่เลิศรสหรือ


นี่ถ้าอีกฝ่ายรู้เข้า เกรงว่าจะรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัวกระมัง


หลินสวินคิดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็สงสัย “เจ้าคิดว่า ข้าเทียบกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงแล้วเป็นอย่างไร”


เขารู้สึกว่าความคิดความอ่านของนางใสซื่อบริสุทธิ์ไม่เหมือนกับคนอื่น จึงอยากฟังความคิดและความรู้สึกที่มีต่อตน


“ท่านหรือ”


ดวงตาโตเปล่งประกายของซย่าเสี่ยวฉงกะพริบ จากนั้นก็มุ่นคิ้วน่ารัก พูดอย่างอวดดีว่า “ที่อาจารย์ว่าไว้ถูกต้องดังคาด ผู้ชายอย่างพวกท่านชอบเปรียบเทียบสูงต่ำอยู่เสมอ ตื้นเขินถึงที่สุด น่าเบื่อชะมัด”


หลินสวินหน้าเจื่อน มุมปากกระตุกไม่หยุด เขาแน่ใจได้ในที่สุดว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงต้องเป็นผู้หญิงแน่ หาไม่แล้วจะพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร


โป๊ก!


เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเขกหัวซย่าเสี่ยวฉง “รีบไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย ถ้าทำการทดสอบนี้ให้เสร็จไม่ได้ มาดูกันว่าใครจะร้องไห้ตอนจบ!”


ซย่าเสี่ยวฉงแยกเขี้ยวแล้วเอ่ยอย่างขัดเคืองว่า “พี่หลินสวิน อาจารย์ข้ายังเคยพูดอีกว่า ตอนผู้ชายอับอายจนโกรธมีอยู่แค่สองอย่าง อย่างแรกคือถูกเปิดโปงเรื่องโกหก อย่างที่สองก็คือรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ สู้คนอื่นไม่ได้ ข้าว่าท่านต้องเข้าข่ายหลังแน่เลย”


หลินสวินโกรธจนแทบขาดใจตาย สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เขาสันนิษฐานและสงสัยอย่างมุ่งร้ายว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงไม่เพียงเป็นผู้หญิง หนำซ้ำยังเป็นหญิงหม้ายระทมที่เคยถูกผู้ชายทำร้ายด้วย!


……


ยอดเขาอันตรายสูงลิ่ว ก้อนหินประหลาดเรียงราย


นี่เป็นยอดเขาเดี่ยวสูงชันยอดหนึ่งในส่วนลึกของภูเขาโคม่วง ที่ด้านล่างของยอดเขากองหินเกลื่อนกลาด หญ้าขึ้นรกชัฏ อินทรีปีกหิมะตัวแล้วตัวเล่าบินล่องอยู่ในอากาศ


พวกมันมีปีกแหลมคมสีขาวหิมะ เสียงร้องแหลมสามารถแทงทะลุหินผา อีกทั้งกงเล็บแหลมคมคู่หนึ่งสามารถฉีกทึ้งพยัคฆาทั้งเป็น!


และตอนนี้ นัยน์ตาสีทองเจิดจ้าของพวกมันจับจ้องสาวน้อยใสซื่อน่ารักคนหนึ่ง ลงมืออุกอาจ โจมตีรุนแรงโหดเหี้ยมที่สุด


ฉัวะๆๆ!


ยามอินทรีปีกหิมะบินทะยานไป ปีกทั้งสองรวบเข้าราวดาบ ร่างกายดุจรุ้งเทพสีขาวหิมะสายแล้วสายเล่า ว่องไวและดุดัน ตีหินผาจนแหลก ฉีกห้วงอากาศ พลังร้ายกาจพวยพุ่งทะลุเมฆา


เด็กสาวหลบหนีอย่างทุลักทุเล ร้องไห้โฮ ถูกรายล้อมไปด้วยภยันตราย


“พี่หลินสวิน ท่านกำลังเอาคืนข้านี่!”


เด็กสาวย่อมเป็นซย่าเสี่ยวฉง


นางกราดเกรี้ยวนัก เพราะเอ่ยถึงคำพูดบางคำที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ ก็ถูกหลินสวินพามายังพื้นที่นี้แล้วทิ้งนางไว้คนเดียวไม่เหลียวแล บอกว่าการทดสอบของนางเริ่มต้นแล้ว…


“อาจารย์ว่าไว้ไม่ผิด ผู้ชายเมื่ออายจนโกรธก็จะเปลี่ยนเป็นคนใจคับแคบนิสัยเสีย พอเอาคืนขึ้นมาร้ายกาจกว่าผู้หญิงอีก!”


ซย่าเสี่ยวฉงหลบการโจมตีไปพลางร้องเอะอะโวยวายไปด้วย เสียงใสกังวานดังก้องพื้นที่นี้


บนจุดสูงสุดของยอดเขาที่ไกลออกไป หลินสวินซึ่งกำลังร่ำสุราอยู่แทบสำลักออกมา เขาถูกคนอื่นต่อว่าเช่นนี้เป็นครั้งแรก


“เด็กบ้านี่ ทำไมจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นโมโหเสียแล้วล่ะ”


หลินสวินพูดไม่ออก คิดว่าเหตุแห่งเคราะห์ก็คืออาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงอย่างแน่นอน!


เด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งอย่างซย่าเสี่ยวฉง กลับถูกอาจารย์ของนางยัดเยียดวาจาชังมนุษย์ ขบถตำราเย้ยวิถีและเคียดแค้นบุรุษเช่นนี้ ช่างเป็นบาปเสียจริงเชียว!


เขาคิดว่าต้องเปลี่ยนความคิดของนาง ดังนั้นจึงตัดสินใจสังเกตการณ์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น


เดิมทีซย่าเสี่ยวฉงก็พูดเองว่านางอยากทำการทดสอบนี้ให้สำเร็จด้วยตัวเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นทำตามที่นางต้องการก็ดีแล้ว


ประจวบเหมาะกับสามารถถือโอกาสนี้ทำให้นางได้ตื่นรู้เสียหน่อยว่า เมื่อเทียบกับตนแล้วเจ้าผลไม้สดน่าลิ้มลองนั่นต่างหากที่ดูได้อย่างเดียวแต่ไร้ประโยชน์!


เมื่อคิดเช่นนี้เขาพลันรู้สึกพึงพอใจ ปลอดโปร่ง และได้รับความเป็นธรรม เพียงแต่ไม่นานเขาก็รู้สึกแปลกชอบกล ตนเป็นอะไรกันนี่ จะไปถือสาความคิดของเด็กน้อยคนหนึ่งทำไม หรือว่าตนจะอายจนโกรธอย่างที่นางว่าไว้จริงๆ


ไม่น่านะ…


แต่ก่อนข้าไม่ได้ใจแคบนิสัยเสียสักหน่อย…


หลินสวินตกอยู่ในภวังค์อย่างลึกล้ำ


แต่ที่เบื้องล่างของยอดเขาอันตราย ซย่าเสี่ยวฉงไม่อาจวอกแวกมาบ่นได้อีกแล้ว นางถูกอินทรีปีกหิมะล้อมโจมตี สถานการณ์ย่ำแย่และอันตราย ต้องจดจ่อสมาธิทั้งหมดมาต้านทาน


ไม่กี่ชั่วยามผ่านไป


อินทรีปีกหิมะสิบกว่าตัวถูกซย่าเสี่ยวฉงสังหาร ที่เหลือบางตัวก็ท่าทางยับเยิน ตกใจจนตีปีกหนีไปแล้ว


คราบเลือดกระเซ็นไปทั่วพื้นดิน กลิ่นคาวเลือดเตะจมูก


หลังจากซย่าเสี่ยวฉงใช้มุกควบรวมจิตดึงเอาจิตวิญญาณของอินทรีปีกหิมะที่ตนต้องการมาแล้ว ก็นั่งลงไปกับพื้นอย่างหมดรูป หอบหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยหมดแรง


แต่ปากนางก็ยังคงบ่นพึมพำ “เอาคืน นี่ก็คือการเอาคืนของผู้ชาย เหมือนที่ท่านอาจารย์ว่าไว้จริงๆ ผู้ชายไม่มีดีสักคน เมื่ออายจนโกรธแล้ว ขนาดคนอย่างพี่หลินสวินยังบ้าบอเสียสติ ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าถ้าตอนนั้นข้าบอกว่าเขาไม่หล่อเท่าศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิง เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง…”


เมื่อพูดจบนางก็ยังสั่นสะท้านด้วยความตระหนก ท่าทางตกใจนัก เหมือนในสมองจินตนาการภาพที่โหดเหี้ยมเลวร้ายถึงที่สุดของหลินสวิน


ไกลออกไปหลินสวินเห็นภาพทั้งหมดนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างประหลาด


“เอ๊ะ พี่หลินสวินมาตั้งแต่เมื่อไร”


ซย่าเสี่ยวฉงเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าบูดเบี้ยวมืดทะมึนราวก้นหม้อของหลินสวิน


“ถ้าข้าไม่มาก็ไม่รู้ว่าเจ้าวางตำแหน่งข้าอย่างไรน่ะสิ!” หลินสวินพูดอย่างโมโห “พักพอแล้วกระมัง เช่นนั้นก็เปลี่ยนที่ทำการทดสอบต่อ!”


ซย่าเสี่ยวฉงพลันร้องโอดครวญ สองมือกอดขาหลินสวินไว้ น้ำตารื้นขึ้นที่ดวงตา พูดอย่างน่าสงสารนักว่า “พี่หลินสวิน เสี่ยวฉงผิดไปแล้ว ท่านยกโทษให้ข้าเถอะ เสี่ยวฉงไม่กล้าแล้ว”


หลินสวินเห็นว่านางหนูนี่ยอมแพ้แล้วก็พอจะระบายอารมณ์แค้นออกมาได้บ้าง แต่ปากกลับพูดเสียงแข็งว่า “อ๋อ เจ้าผิดไปแล้วหรือ ผิดตรงไหนล่ะ พูดให้ข้าฟังหน่อยสิ”


ดวงตาโตเปล่งประกายของซย่าเสี่ยวฉงน้ำตาคลอเบ้า “เสี่ยวฉงผิดที่ไม่ควรพูดความจริง อาจารย์เคยว่าไว้ ผู้ชายล้วนจอมปลอม ชอบฟังคำโกหกของหญิงไม่ได้ความ…”


พูดถึงตรงนี้นางพลันนิ่วหน้า หยุดร้องไห้แล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ไม่ใช่สิ ถ้าเป็นอย่างนี้เสี่ยวฉงก็ไม่ใช่กลายเป็นหญิงไม่ได้ความหรอกหรือ ไม่ได้ ข้าไม่อาจรับความผิดได้แล้ว อาจารย์เคยว่าไว้ หญิงที่ดีจะไม่ยอมรับผิด ที่ผิดก็คือโลกนี้กับผู้ชายในโลกนี้ต่างหาก!”


“…”


มุมปากของหลินสวินกระตุกครู่หนึ่ง ร่างกายชาหนึบ รู้สึกว่าตัวเขาแย่แล้ว


ก็ในตอนนี้เอง เสียงตะคอกที่เต็มไปด้วยความดูถูกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ถุย! เป็นถึงชายอกสามศอก กลับรังแกแม่นางน้อยอ่อนแอคนหนึ่ง หน้าไม่อายเลยสักนิด! ตั้งแต่ข้าฝึกปราณมา ไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายอย่างเจ้ามาก่อน!”


ตอนที่ 769 ยอดเขาดาราโรย

โดย

ProjectZyphon

หน้าไม่อายหรือ


หลินสวินมองไปด้วยสีหน้าอึมครึมถึงที่สุด


ก็เห็นว่าบนยอดเขาไกลลิบมีชายตัวล่ำหนาสูงแปดจั้งร่างบึกบึน ปากกว้างมีงายาวน่ากลัวคนหนึ่งกำลังมองตนอย่างดูถูกดูแคลน


“ถุย!”


เมื่อเห็นว่าหลินสวินมองมา ชายร่างใหญ่ผู้นี้ก็ถ่มน้ำลายกระแทกจนหินผาแตกเป็นหลุม พละกำลังมากมายนัก


“เหอะๆ ที่แท้ก็หมูอสูรมารตัวหนึ่ง”


หลินสวินเพียงกวาดจิตรับรู้ไปก็รู้ตื้นลึกหนาบางของชายร่างใหญ่คนนั้น นี่เป็นพญาอสูรมารหมูป่าเพลิงคะนองที่ฝึกปราณจนได้มรรคตัวหนึ่ง มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง กลิ่นอายอหังการ์ถึงที่สุด


“หมูหรือ”


ซย่าเสี่ยวฉงก็เงยหัวเล็กๆ ขึ้นมา มองไปยังชายร่างใหญ่ผู้นั้น


ชายร่างใหญ่ชำเลืองมองหลินสวินอย่างดูแคลนคราหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ “แม่หนู สรรพสัตว์ล้วนถือกำเนิดขึ้นในฟ้าดิน ไม่แบ่งฐานะรูปลักษณ์ อย่างข้าหน้าตาดูดุร้ายอยู่บ้าง แต่นิสัยกลับอ่อนโยนเอาใจใส่ ไม่ไร้ยางอาย จิตใจคับแคบเหมือนเจ้าเด็กที่เอาแต่รังแกแม่หนูน่ารักเช่นเจ้าแน่ ช่างน่าขายหน้าพวกเราเหล่าผู้ฝึกปราณชายนัก!”


‘ถึงกับถูกหมูอสูรมารตัวหนึ่งเพ่งเล็ง…’


สีหน้าของหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งร้าย เจ้าเดรัจฉานนี่ไม่รู้สถานการณ์ ยังกล้ามาพร่ำโจมตีด่าทอตนอีก ไม่อยากอยู่แล้วล่ะสิ!


“เอ่อ พี่หลินสวิน หมูตัวนั้นเห็นด้วยกับคำที่ข้าพูดล่ะ” สายตาซย่าเสี่ยวฉงมองไปยังหลินสวิน


หลินสวินร้องอ้อ มองไปยังหมูอสูรมารที่อยู่ไกลลิบอย่างน่าสะพรึง แล้วเอ่ยว่า “ทิ้งขาเจ้าไว้ข้างหนึ่ง แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า”


การข่มขู่นี้ออกจะประหลาด ซย่าเสี่ยวฉงอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมต้องให้เขาทิ้งขาไว้ข้างหนึ่งล่ะ”


หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าหิวแล้ว อยากกินขาหมูย่าง”


เมื่อพูดเหตุผลนี้ออกมา หมูอสรมารพลันเบิกตากว้าง โกรธจนเลือดขึ้นหน้า หัวเราะเดือดดาลว่า “เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเจ้า กลับกล้ามองข้าเป็นอาหาร ไม่กลัวว่าจะอยากอาหารมากไปจนทำให้ตัวเองท้องอืดตายหรือ!”


หลินสวินเผยฟันขาวราวหิมะ สีหน้ายิ่งชั่วร้ายขึ้นไปอีก “ดูท่า เจ้ากำลังบีบให้ข้ากินหมูหันทั้งตัวแล้วใช่ไหม”


หมูหัน!


ซย่าเสี่ยวฉงหลุดขำออกมา ใบหน้าน้อยใสซื่อโดดเด่นราวกลีบผกาหลังฝน งดงามเจิดจรัส


“ข้าจะฟันชายไม่รู้ดีชั่ว ไร้เมตตาธรรมเช่นเจ้า!”


ส่วนหมูอสูรมารโกรธงุ่นง่าน ส่งเสียงคำรามออกมาแล้วกระโจนลงมาจากยอดเขา เงื้อมือสำแดงประทับฝ่ามือสีแดงใหญ่ยักษ์พุ่งเข้ากำราบหลินสวิน ราวดาราร่วงหล่นจากฟ้า


โครม!


ห้วงอากาศปั่นป่วน ส่งเสียงระเบิดก้อง


หมูอสูรมารตัวนี้ก็ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภูเขาโคม่วง ทันทีที่สำแดงพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ พลังอันโหดเหี้ยมอหังการ์ปกคลุมฟ้าดิน น่าหวาดหวั่นยิ่ง


เพียงแต่ครั้งนี้เขาพบเข้ากับหลินสวิน ถูกกำหนดว่าต้องโชคร้ายแล้ว


หลินสวินถูกซย่าเสี่ยวฉงโจมตีจิตใจจนไฟโทสะอัดอั้นเต็มอกไม่มีที่ระบายอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้เมื่อเห็นเป้านิ่งเช่นนี้เข้ามาหาเสียเอง ก็เหมือนหาทางระบายออกได้อย่างรวดเร็ว


สวบ!


แขนเสื้อของเขาปลิวไปตามลม เรียกดาบหักออกมาในทันใด แสงสีเงินโบยบิน ขาวโพลนโปร่งแสงราวเงาแสงนิรมิตปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ


โครม!


ศึกใหญ่ปะทุขึ้น ฟ้าดินบริเวณนี้สั่นสะเทือน เทือกเขาไหวเอน ผืนปฐพีแตกระแหง แสงเทพโชติช่วงป่าเถื่อนราวน้ำเชี่ยว ทำให้หินผาและต้นไม้ใบหญ้าสลายเป็นจุณ


เดิมทีหมูอสูรมารยังอหังการ์และหยาบคายถึงที่สุด ไม่สนใจหลินสวินสักนิด แต่ไม่นานนักเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป รับรู้ได้ถึงอันตราย เริ่มรอบคอบและให้ความสำคัญ


กระทั่งต่อมาเขาก็ยิ่งตกใจระคนโกรธมากขึ้น แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เพราะหลินสวินอาศัยเพียงดาบหักเล่มหนึ่งก็บีบให้เขาตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต สถานการณ์คับขันยิ่งนัก!


“เจ้าๆๆ…”


หมูอสูรมารร้องลั่น น้ำเสียเจือไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง พูดอะไรไม่ออก


เขาย่อมคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกลับร้ายการเช่นนี้ หากรู้อยู่ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อกี้เขาจะกล้าคุยโวได้อย่างไร


หลินสวินไม่สนใจเขา ใช้มรดกวิชาลับ อักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรคที่ซ่อนอยู่ในดาบหักจู่โจม พลังโจมตีดุดันและน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด


ปึ้กๆๆ!


ไม่นานนักร่างของหมูอสูรมารก็โชกเลือด มีรอยเลือดไหลรินรอยแล้วรอยเล่าเพิ่มขึ้นมา เจ็บปวดจนร้องคำรามสะท้านฟ้า สภาพน่าหดหู่สะบักสะบอม


เขากลัวเข้าจริงๆ แล้ว ขอชีวิตอย่างบ้าคลั่ง


เพียงแต่หลินสวินสะสมไฟโทสะอยู่เต็มอก จะปล่อยหมูอสูรมารตัวนี้ไปง่ายๆ ได้ที่ไหน คว้าโอกาสไว้ได้ก็ต้องเล่นงานอย่างโหดเหี้ยมเสียรอบหนึ่ง


“พี่หลินสวิน ท่านคิดจะกินหมูหันทั้งตัวจริงๆ หรือ” ซย่าเสี่ยวฉงตาเบิกกว้าง ใบหน้าน้อยเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก


หลินสวินร้องหึหยันแล้วเอ่ยว่า “ข้าดูเหมือนพูดเล่นหรือ”


ซย่าเสี่ยวฉงจินตนาการภาพหมูหันขึ้นในหัว อดกลืนน้ำลายไม่ได้ หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “ข้ากินกับท่านด้วยได้ไหม ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เคยกินเนื้อหมูอสูรมารที่ร้ายกาจขนาดนี้มาก่อนเลยน่ะ”


“…”


หมูอสูรมารได้ยินเข้าก็แทบร้องไห้น้ำตานองหน้า


เมื่อกี้นี้เขาถึงกับออกหน้าเรียกร้องความยุติธรรม ปกป้องผู้อ่อนแอแทนแม่หนูคนนี้ แต่ชั่วพริบตาเดียวแม่หนูนี่กลับอยากกินเนื้อเขา!


“คุณชาย ข้าผิดไปแล้ว ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่น่าชิงชังที่สุดคือจิตใจของผู้หญิง!”


หมูอสูรมารร้อนรนแล้ว อาการบาดเจ็บบนร่างเขายิ่งรุนแรงขึ้นจนแทบรับไม่ไหว ร้องโอดโอยขอชีวิต


หลินสวินเอ่ยไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ถ้าข้าปล่อยเจ้าไปแบบนี้ จะไม่เท่ากับยอมรับว่าถ้อยคำที่เจ้าพูดเป็นจริงหรือ อย่างนี้ไม่ได้หรอก”


หมูอสูรมารอยากจะหยิกปากตัวเองนัก จะบ้าตายอยู่แล้ว คิดจะทำร้ายอีกฝ่าย แต่ดันถูกทำร้ายเสียเอง!


ในที่สุดหลินสวินก็ไว้ชีวิตหมูอสูรมาร เหตุผลก็ง่ายดายมาก หมูอสูรมารบอกเขาว่าสามารถพาหลินสวินไปเสาะหามหาวาสนาครั้งหนึ่งได้


หลินสวินย่อมรู้ว่า ‘มหาวาสนา’ ที่ว่านี้คืออะไร จึงไม่ได้กังวลว่าหมูอสูรมารตัวนี้จะกล้าหลอกเขา


“ตำแหน่งที่ค่ายกลโบราณลี้ลับนั้นตั้งอยู่อยู่ที่ไหน” หลินสวินเก็บดาบหัก แล้วถามออกไปตรงๆ


“ที่แท้คุณชายก็ได้ยินเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ทีนี้ค่อยง่ายหน่อย”


เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้หมูอสูรมารรับรู้ได้ว่า หลินสวินคงรู้ข่าวเกี่ยวกับ ‘วาสนา’ ครั้งนี้แล้ว


ต่อมา หมูอสูรมารก็บอกทุกเรื่องที่ตนรู้ออกมาอย่างหมดเปลือก


เมื่อฟังทุกอย่างนี้จบ สายตาหลินสวินก็แปลกพิกลไปบ้าง เอ่ยว่า “ เจ้ากับงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเป็นเพื่อนกันหรือ”


“ใช่แล้ว” หมูอสูรมารพยักหน้า ไม่ช้าก็ผงะไป เด็กหนุ่มคนนี้รู้ได้อย่างไร


“มิน่าล่ะ” หลินสวินรู้ชัดทันที ตอนแรกที่งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬบอกข่าวนี้ ก็เคยพูดว่าเขาก็ได้ยินเพื่อนคนหนึ่งเล่ามา


เห็นได้ชัดว่า ‘เพื่อน’ ของงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬก็คือหมูอสูรมารที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้


“นำทางไป” หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาสงสัยใคร่รู้ค่ายกลโบราณนี้นัก อยากจะไปเห็นกับตาตัวเอง


“คุณชาย ที่นั่นอันตรายนัก อสูรเฒ่าเครือเถาควบคุมดูแลที่แห่งนั้นมาตลอด ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ หลายวันนี้สิ่งมีชีวิตในภูเขาโคม่วงไม่รู้เท่าไรล้วนถูกอสูรเฒ่าเครือเถาสังหาร เพียงเพราะคิดจะเข้าไปใกล้ ถ้าพวกเราไปตอนนี้…”


หมูอสูรมารลังเล เขาไม่อยากเสี่ยงภัย


หลินสวินเอ่ยเสียงเย็น “ให้เจ้าเลือกอย่างหนึ่ง อย่างแรกข้าจะกินหมูหันเสียตอนนี้ หรือสอง พาข้าไป เจ้าตัดสินใจเองเถิด”


หมูอสูรมารพลันไม่ลังเลแล้ว เลือกอย่างหลังดังคาด ล้อเล่นอะไรกัน เขาไม่ได้อยากถูกเด็กหนุ่มโหดเหี้ยมเช่นนี้กิน ถ้าเป็นแบบนี้จริงก็ตายอย่างน่าอนาถไปแล้ว


……


ยอดเขาดาราโรยตั้งอยู่ในส่วนลึกของภูเขาโคม่วง


ลือกันว่านานมาแล้วเคยมีศิลาเทพจากฟ้าตกลงมาที่นี่ ปักลงไปในผืนดินกลายเป็นยอดเขา ภายหลังผ่านการเปลี่ยนแปลงผ่านกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด จึงก่อรูปเป็นยอดเขาดาราโรยอย่างในปัจจุบัน


ยอดเขานี้แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งภูเขามีสีเงินยวงราวกับหิมะกองใหญ่ปกคลุม ทุกค่ำคืนจะอบอวลไปด้วยรัศมีแสงราวดารา


ก่อนหน้านี้ก็มีอสูรมารบำเพ็ญที่ยึดครองพื้นที่นี้ไม่น้อยมาสำรวจ ด้วยคิดว่ายอดเขาดาราโรยมีวาสนาบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้อะไรเลย


และในย่ำค่ำหนึ่งไม่นานมานี้ แสงเทพงดงามทอดลงมาจากฟ้ากะทันหัน อาบชโลมยอดเขาดาราโรยไว้ จากนั้นค่ายกลโบราณค่ายหนึ่งก็ปรากฏพ้นพื้นดินของยอดเขานี้ ด้านบนเชื่อมต่อกับแก่นแท้แห่งสุริยันจันทรา ด้านล่างควบรวมพลังแห่งฟ้าดิน แสงพวยพุ่งช่วงโชติ ยิ่งใหญ่ไพศาล สั่นสะท้านสิ่งมีชีวิตทุกตัวที่ยึดครองพื้นที่ใกล้เคียงโดยพลัน


ต่อมาอสูรเฒ่าเครือเถาลงมือฆ่าอสูรมารบำเพ็ญจำนวนหนึ่งอย่างอุกอาจ เลือดย้อมผืนดินนี้ ในที่สุดก็ครอบครองที่นี่ไว้ได้ในคราวเดียว


เพียงแต่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับ ‘วาสนา’ ที่ถือกำเนิดขึ้นที่นี่กลับปิดไว้ไม่มิด ในช่วงนี้บริเวณใกล้ๆ กับยอดเขาดาราโรยแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาท หลั่งเลือดไม่ว่างเว้น


พวกหลินสวินมาแล้ว เดินทางอย่างยากลำบาก ระแวดระวังและรอบคอบตลอดทาง


“เจ้าหมู ทำไมเจ้าถึงเคลื่อนไหวกับผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เล่า ข้าขอเตือนว่าพวกเจ้าอย่าไปเลย เมื่อวานนี้ราชันกึ่งระดับของสำนักกระบี่สนขจีคนหนึ่งถูกอสูรเฒ่าเครือเถาโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ลุกลี้ลุกลนถอยร่นไป”


ระหว่างทางอสูรมารบำเพ็ญผู้หนึ่งเผยข้อมูล บอกพวกหลินสวินว่าใกล้กับยอดเขาดาราโรยกลายเป็นสถานที่สังหารหมู่นองเลือดไปแล้ว ถ้าไปต้องเอาชีวิตรอดได้ยากแน่


หมูอสูรมารกระวนกระวายใจ หลินสวินกลับไม่ต้องการยอมแพ้กลางทางเช่นนี้ ทั้งคณะจึงเดินทางต่อไป


ยามรัตติกาลปกคลุม พวกเขาก็เห็นยอดเขาดาราโรยจากที่ไกลๆ ได้แล้ว


ท่ามกลางราตรี ยอดเขาดาราโรยสีเงินดุจมังกรขาวที่ตั้งตระหง่านแข็งแกร่งตัวหนึ่ง ภูเขาทั้งลูกอบอวลไปด้วยรัศมีดาราบริสุทธิ์ มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เลือนราง


อีกทั้งเมื่อเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจน ว่าในยอดเขาดาราโรยมีคลื่นคลุมเครือพิเศษอย่างหนึ่ง


แววตาของหลินสวินแปลกไป เขารู้สึกว่ายอดเขานั้นราวมีชีวิต กำลังหายใจเข้าออกท่ามกลางรัตติกาล ดูดซับพลังแห่งนภากาศและดารา ทำให้มันยิ่งดูศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอีก


“ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงด้วย…”


เขาพึมพำ พวกเขาเข้าใกล้ไปด้วยกัน เพียงแต่ยิ่งระมัดระวังและรอบคอบขึ้น รอบทิศเงียบเชียบไร้เสียง ขนาดเสียงแมลงยังไม่ได้ยิน บรรยากาศกดดันนัก


ยอดเขาดาราโรยมีภูมิลักษณ์อันตราย หินประหลาดตะปุ่มตะป่ำ ไกลออกไปไอพลังยิ่งใหญ่เกรียงไกรพัดเข้ามา


“เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว”


หมูอสูรมารหน้าซีดเผือด สั่นเทาไปทั้งตัว เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตอันไร้รูปร่าง ทำให้เขาอยากจะถอยหลังกลับ


“อันตรายจริงๆ”


หลินสวินนิ่วหน้า จิตรับรู้เขากว้างใหญ่ปานไหน ชั่วพริบตาก็รับรู้ได้ว่าในความมืดบริเวณใกล้เคียงยอดเขาดาราโรย อย่างน้อยก็มีกลิ่นอายแข็งแกร่งถึงที่สุดสิบกว่าสายซ่อนอยู่


‘ดูท่าแม้แต่อานุภาพของอสูรเฒ่าเครือเถาก็ไม่อาจทำให้ผู้แข็งแกร่งหวาดกลัวจนไม่กล้าเสี่ยงภัย… ว่าแต่ค่ายกลโบราณนั่นอยู่ที่ไหนกัน’


จิตรับรู้ของเขาแผ่กว้างออกไป ครอบคลุมยอดเขาดาราโรย


พริบตานั้นกลิ่นอายอันตรายก็ถาโถมขึ้นในจิตใจ ทำให้หลินสวินหวาดหวั่น หนาวยะเยือกไปทั้งร่าง เขาสัมผัสได้ว่าจุดสูงสุดของยอดเขาดาราโรยมีพลังต้องห้ามรางเลือนผนึกไว้ น่าพรั่งพรึงไร้ที่สิ้นสุด


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ค่ายกลโบราณลี้ลับที่โผล่ออกมาและก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินต้องอยู่ที่นั่นแน่!


ตอนที่ 770 โอสถสมบัติไร้เทียมทานมหัศจรรย์

โดย

ProjectZyphon

ราตรีดึกสงัด รอบทิศเงียบเชียบ มีเพียงยอดเขาดาราโรยที่ทั้งยอดเขามีสีเงินยวงราวหิมะ เชื่อมต่อท้องฟ้าดารา อวลไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์


หลังจากหลินสวินแน่ใจในตำแหน่งของค่ายกลโบราณลี้ลับนั้นแล้วก็ใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วให้หมูอสูรมารพาซย่าเสี่ยวฉงไปซ่อนตัว


เขาคิดจะปีนเขาโดยลำพังไปดูค่ายกลโบราณนั้นเสียหน่อย


ส่วนความปลอดภัยของซย่าเสี่ยวฉง หลินสวินก็ไม่ได้เป็นห่วงเลย ก่อนหน้านี้เขาประทับจิตวิญญาณบนร่างหมูอสูรมารไว้แล้ว ในขอบเขตหนึ่งร้อยลี้จากยอดเขาดาราโรยนี้ ขอเพียงหมูอสูรมารทำอะไรชอบกล เขาก็จะรับรู้ได้ทันที


ในราตรีสีนิล หลินสวินสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ


‘ไอสังหารคาวเลือดหนาแน่นยิ่ง!’


เมื่อมาถึงใต้เขาดาราโรย ทั้งร่างของหลินสวินก็เกร็งขึ้นมา บรรยากาศที่นี่กดดันเกินไปแล้ว กลิ่นคาวเลือดเตะจมูก


ซากศพกองแล้วกองเล่าที่หลงเหลืออยู่บนพื้น มีทั้งสัตว์ปีศาจ อสูรมาร ผู้ฝึกปราณ สภาพการตายหลากหลาย แต่ต่างน่าหดหู่อย่างยิ่งทั้งนั้น


เมื่อเงยมองขึ้นไปสังเกตการณ์ก็พบว่า เริ่มตั้งแต่ตีนเขาดาราโรย บนทางภูเขาสีเงินยวงราวหิมะมีร่องรอยศึกใหญ่ดุเดือดให้เห็นอยู่ทั่วไป


เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลานี้ที่นี่มีการปะทะและศึกนองเลือดมากมายปะทุขึ้น ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนต้องกล้ำกลืนความคับข้องใจอยู่ที่นี่ พูดได้ว่าทางภูเขาเปรอะเปื้อนเลือดไปทุกส่วน


ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็สังเกตได้อย่างเฉียบแหลมว่า ยามเขาเข้าใกล้ใต้ยอดเขาดาราโรย ในที่ลับมีจิตรับรู้ไม่รู้เท่าไรเคลื่อนมาทางตนราวกระแสน้ำ


“หึ!”


ดวงตาสีดำของหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบ โคจรลักษณ์แห่งตะวันจรัสแสงในเคล็ดเวทบริกรรม พลังจิตวิญญาณปะทุคลื่นทำลายล้างน่ากลัวราวทินกรเจิดจ้าดวงหนึ่งแผ่กระจายออกไป


ชั่วพริบตาจิตรับรู้ที่เคลื่อนมาท่ามจากในที่มืดเหล่านั้นก็เหมือนรับรู้อันตราย จึงพากันถอยหนีราวกับนกที่ถูกธนูทำให้แตกตื่น ไม่กล้ามาสำรวจอีก


‘เอ๊ะ!’


‘เป็นเด็กหนุ่มที่ดุดันนัก!’


ในที่ลับ ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่มากมายตื่นตระหนกไม่ว่างเว้น


‘พลังจิตแข็งแกร่งยิ่ง ที่แท้เขาไม่ได้มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ…’


และมีผู้แข็งแกร่งที่คิดว่าการที่หลินสวินมีพลังจิต พลังปราณจะต้องไม่ได้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะอย่างเปลือกนอก แต่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดผิดแล้ว


หรือกล่าวว่า ในจิตใต้สำนึกพวกเขาแทบไม่เคยคิดว่าบนโลกนี้จะมีสัตว์ประหลาดที่สามารถควบรวม ‘พลังจิต’ ได้ทั้งที่อยู่ระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินสวิน


หลินสวินเริ่มปีนเขาแล้ว ร่างกายสงบนิ่งมั่นคงราวเดินเล่นในสวน แต่ความจริงแล้วตัวเขาพร้อมจะลงมือทุกเมื่อราวคันธนูที่ง้างจนตึง เตรียมพลังรอไว้แล้ว


ยอดเขามีสีเงินยวง อาบไล้รัศมีดาราดูศักดิ์สิทธิ์ แต่แท้จริงแล้วมีซากศพกระจัดกระจายตลอดทาง คราบเลือดมีให้เห็นทั่วไปหมด สภาพการณ์น่าหดหู่


อีกทั้งมีพลังต้องห้ามน่าหวาดหวั่นอันไร้รูปอบอวล มากด้วยแรงกดดัน ทำให้หลินสวินรู้สึกขนลุก


“สหายน้อย วาสนาครั้งนี้แม้มาเยือนนานแล้ว แต่กลับยังไม่ถึงเวลาเปิด ขอเตือนให้เจ้ากลับไปเถอะ อย่าปีนขึ้นไปอีกเลย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงชะตาขาด”


ระหว่างทางหลินสวินก็รับรู้ได้ว่ามีผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่ ไม่ได้ว่างเปล่าไร้คน มีบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติเผ่ามนุษย์ไม่น้อย


ที่เอ่ยปากเตือนหลินสวินก็คือชายชราคนหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดนักพรต ศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก เขานั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง ทุกครั้งที่กะพริบตา ราวกับมีสายฟ้าฟาดบังเกิดขึ้นในดวงตา น่าหวาดหวั่นยิ่ง


“ขอบคุณมาก”


หลินสวินพยักหน้าขอบคุณ แต่จากนั้นก็ปีนเขาต่อไป


“เฮอะ คนรุ่นหลังเหนือล้ำกว่ารุ่นก่อน เพียงแต่มุทะลุเกินไปแล้ว…”


ชายชราชุดนักพรตประชดประชัน ชักสายตากลับมาไม่สนใจหลินสวินอีก


หลายวันนี้เขาเห็นบุคคลร้ายกาจในหมู่ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์และอสูรมารขึ้นเขามามากมาย แต่ส่วนมากล้วนประสบเคราะห์และสิ้นชีพไปในการปะทะและศึกดุเดือด


ชายชราในชุดนักพรตมีนามว่าซ่งฉี เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักยุทธ์พันเวทใน ‘สี่สำนักสามตระกูล’ มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูง มีชื่อเสียงยิ่งในแคว้นวิญญาณอัคนี


แต่ขนาดเขายังทำได้เพียงเร้นกายบริเวณไหล่เขานี้ ไม่กล้าขึ้นไปด้านบน


เพราะตามที่เขารู้ บนยอดเขาดาราโรยตอนนี้ยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งอันตราย มีพวกร้ายกาจที่พลังแข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าซ่อนตัวอยู่ ทั้งบุคคลชั้นยอดจากขุมอำนาจสี่สำนักสามตระกูล ทั้งผู้แข็งแกร่งภายนอกบางคนที่ได้ข่าวจึงมาที่นี่จากทั่วทุกสารทิศ


ขนาดพญาอสูรมารที่น่ากริ่งเกรงบางตัวในภูเขาโคม่วงก็ยึดครองอาณาเขตบนยอดเขาดาราโรย ย่อมมีอันตรายหนักหนา ไอสังหารทุกย่างก้าว!


ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นมีเพียงพลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับมุ่งหมายจะปีนเขา ในความคิดของซ่งฉีก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย


“เจ้าเด็กน้อย นี่เป็นที่ที่เจ้าไม่ควรมานะ รีบไสหัวไป!”


ทันใดนั้นบนทางขึ้นเขาสูง เสียงคำรามราวฟ้าคำรนก็ดังขึ้น อินทรีหัวผีตัวหนึ่งก็กระโจนออกมา ตีปีกเจิดจ้าที่ประหนึ่งคมดาบจะซัดอีกฝ่ายให้กระเด็น


สัตว์ดุร้ายตัวนี้ท่าทางโอหังหยิ่งผยองถึงที่สุด ปีกของมันซัดลมหอบใหญ่ขึ้น กวาดให้หินผาตกลงลงมา น่ากลัวอย่างยิ่ง


กรรมตามทันแล้ว!


ซ่งฉีลอบถอนใจ อินทรีหัวผีนั่นพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก ฆ่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปได้ราหั่นผัก ทั้งนิสัยใจคอยังป่าเถื่อนดุร้าย ปลิดชีพผู้แข็งแกร่งไปไม่รู้เท่าไร


และในความคิดของซ่งฉี เด็กหนุ่มนั่นก็กำลังประสบเคราะห์ยากหลีกหนีแล้ว!


“นี่ก็เป็นจุดจบของคนที่ไม่ฟังคำเตือนของคนอื่นสินะ…” ซ่งฉีไม่อยากทนดูภาพนองเลือด กำลังจะชักสายตากลับมา


และก็เป็นตอนนี้เองที่นัยน์ตาของเขาแข็งทื่อในทันใด


สวบ!


มองเห็นคมดาบสีขาวเจิดจ้าโปร่งแสงแทบเหมือนนิมิตพุ่งออกมาจากตัวเด็กหนุ่มผู้นั้น ไหววูบแผ่วเบา เสียงฟึ่บดังขึ้นคราหนึ่งก็ฟันปีกข้างหนึ่งของอินทรีหัวผีตกลงมา แสงเลือดพุ่งขึ้นไปสูงนัก


“นี่…”


ซ่งฉีตกตะลึงอ้าปากค้าง


อินทรีหัวผีร้องโหยหวน เสียงชวนหดหู่กระจายไปไกลในความมืด ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้กันล้วนตื่นตระหนก พากันจับตามองมาทางนี้


ส่วนไกลออกไป อินทรีหัวผีกลับกำลังร้องโหยหวน หลบหนีหัวซุกหัวซุน ท่าทางประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อเทียบสองภาพนี้แล้วยิ่งขับเน้นให้เด็กหนุ่มคนนั้นดูไม่ธรรมดา


“นี่เป็นศิษย์สำนักไหนกัน”


ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์หลายคนล้วนสะท้านขวัญ ใช้พลังปราณระดับหยั่งสัจจะ กลับสามารถฟันปีกข้างหนึ่งของอินทรีหัวผีให้ตกลงมา ทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ นี่ดูเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย


ส่วนพวกพญาอสูรมารหลากสายพันธุ์ล้วนสีหน้าหนักอึ้ง รับรู้ได้ว่าบนยอดเขาดาราโรยคืนนี้มีพวกร้ายกาจที่ไม่ธรรมดามาถึงอีกคนหนึ่งแล้ว


หลินสวินไม่ได้ตามฆ่าอินทรีหัวผี และไม่ได้ใส่ใจสายตาที่ทอดมองมาในความมืดเหล่านั้น ตรงดิ่งขึ้นเขาไป


แต่เห็นได้ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้ของเขาสร้างความหวาดหวั่นให้ผู้แข็งแกร่งมากมาย พาให้พวกเขาล้วนไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ตั้งใจสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ


“เด็กหนุ่มคนนี้หรือจะเป็นศิษย์สืบทอดสำนักเก่าแก่สักสำนักในแดนฐิติประจิม ฝีมือช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”


ใต้ต้นไม้โบราณ ซ่งฉีจิตใจไม่สงบนัก ก่อนหน้านี้เขายังเย้ยหยันอยู่เลย คิดว่าอีกฝ่ายไปหาที่ตาย ใครจะคิดว่าแค่เพียงชั่วพริบตากลับเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวอยู่บ้าง


เขาถามใจตัวเอง หากเปลี่ยนเป็นเขา ยังไม่กล้าต้านทานอินทรีหัวผีตัวนั้นเลย!


“คนรุ่นหลังเหนือล้ำกว่าคนรุ่นก่อนอย่างแท้จริงสินะ!”


ซ่งฉีทอดถอนใจ มหาสงครามกำลังจะมาเยือน ผู้กล้าที่โดดเด่นสะดุดตาบางคนเริ่มแสดงความเหนือชั้นอย่างต่อเนื่อง เหนี่ยวนำกระแส ใต้หล้าในภายภาคหน้าคล้ายกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นเวทีให้ผู้กล้ารุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ช่วงชิงความเป็นใหญ่


ซ่งฉีพลันนึกถึงเยวี่ยเจี้ยนหมิง ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทของพวกเขาขึ้นมา หากเทียบกับเด็กหนุ่มคนนี้ พวกเขาสองคนใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน


…….


‘ที่นี่มหัศจรรย์ดังคาด’


ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็ไม่อยู่ไม่ห่างจากจุดสูงสุดของยอดเขาแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าที่โตในบริเวณนี้มีสีเงินเจิดจ้าทั้งต้น ราวกับสร้างขึ้นจากหมอกหิมะ อบอวลไปด้วยละอองแสง กลืนกินแสงดาราท่ามกลางราตรี ดูอัศจรรย์ยิ่ง


จู่ๆ หลินสวินก็รู้สึกเหมือนต้นไม้เหล่านี้มีชีวิต บางทีใช้เวลาไม่นานก็จะแปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาได้!


กลิ่นสุคนธ์บริสุทธิ์ลอยมาตามลม ทำให้เขาหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็มองเห็นว่า ห่างออกไปหลายสิบจั้งในรอยแยกระหว่างหินโบราณที่ซ้อนกันอยู่ มีต้นไม้สีเงินเล็กๆ ต้นหนึ่งหยั่งรากเติบโตอยู่


มันสูงราวๆ หนึ่งฉื่อเท่านัน เปลือกไม้ดุจเกล็ดมังกรที่แยกเป็นแผ่นๆ ลำต้นดูเก่าแก่แต่สามัญ บนยอดกิ่งของมันมีผลขนาดเท่าท้องนิ้วโป้งเจ็ดแปดผล มีแสงเงินไหลออกมารำไร กลมเกลี้ยงโปร่งใส


กลิ่นหอมบริสุทธิ์เมื่อกี้มาจากที่นี่นี่เอง


‘นี่ต้องเป็นโอสถสมบัติไร้เทียมทานต้นหนึ่งแน่!’ นัยน์ตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย


ขณะเดียวกันในใจเขาก็รอบคอบเต็มที หลายวันนี้ไม่รู้ว่าผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดเคยปีนเขาลูกนี้ ขนาดตอนนี้ในบริเวณใกล้เคียงยังมีพวกร้ายกาจซ่อนอยู่ไม่น้อย


แต่ต้นไม้น้อยสีเงินนี้กลับไม่บุบสลาย แม้แต่ผลยังไม่เคยถูกเด็ดไป นี่ดูผิดปกติอย่างมาก


‘เป็นกับดักอย่างที่คิด!’


จิตรับรู้ของเขาสัมผัสได้อย่างละเอียด ไม่นานก็พบว่าส่วนรากของต้นไม้น้อยสีเงินนี้ประทับพลังต้องห้ามคลุมเครือรางเลือนอยู่ชั้นหนึ่ง


แม้มีเพียงชั้นเดียว แต่กลับทำให้หลินสวินหวาดกลัวหาใดเทียบ ศีรษะชาหนึบ นั่นเป็นกลิ่นอายที่ถึงแก่ชีวิตได้เลย!


อีกทั้งกลิ่นอายสายนี้หลินสวินยังคุ้นเคยนัก มาจากแหล่งเดียวกับพลังต้องห้ามคลุมเครือที่ปกคลุมจุดสูงสุดของยอดเขาดาราโรย


‘นี่เป็นโอสถสมบัติที่หล่อเลี้ยงด้วยพลังของค่ายกลโบราณนั่นหรือ วิธีนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เชื่อมโยงพลังแห่งดวงดาราเป็นตัวหล่อเลี้ยง รดน้ำให้กับโอสถสมบัติ เสริมให้มันเติบโต แค่คิดก็รู้ว่าเมื่อโอสถนี้โตเต็มวัย ฤทธิ์โอสถของมันจะน่าตื่นตะลึงแค่ไหน…’


หลินสวินมองจนตาร้อนผ่าว แต่สุดท้ายยังยั้งใจไว้ ไม่ลงมือแล้วเดินต่อไป


‘เจ้าหนูนี่ก็ฉลาด ไม่ถูกล่อให้ติดกับ…’


ในความมืด ผู้แข็งแกร่งที่จับตาดูทุกการกระทำของหลินสวินบางคนลอบตกใจ และมีไม่น้อยที่ถอนหายใจ พวกเขาปรารถนาให้หลินสวินประสบเคราะห์ เช่นนี้ก็เท่ากับตัดคู่แข่งไปได้คนหนึ่ง


“หือ”


ไม่นานนักหลินสวินก็พบโอสถสมบัติอีกต้นหนึ่ง ห่างจากตำแหน่งสูงสุดของยอดเขาไม่ไกล รูปลักษณ์ของมันเหมือนหงส์เพลิงสยายปีกจะโผบินตัวหนึ่ง แสงอัคนีงดงามไหลหลั่งออกมา เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนหงส์เพลิงที่เกิดใหม่จากนิพพานตัวหนึ่ง!


ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือ มันกลับหยั่งรากลงในห้วงอากาศ อาบชโลมแสงดาว แผ่แสงอัคนีราวภาพนิมิต เหมือนหงส์เพลิงเทพตัวหนึ่งเริงระบำกลางอากาศ ดูไม่เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นจริง


ยังไม่ทันเข้าใกล้ กลิ่นโอสถหอมเข้มข้นก็ตลบอบอวลออกมา เพียงได้สูดดมครั้งเดียวก็ทำให้เขาปลอดโปร่งไปทั้งร่าง จิตใจโล่งสบาย พลังชีวิตกระปรี้กระเปร่า!


‘นี่เป็นโอสถสมบัติหายากระดับไหนอีก คงไม่ใช่… โอสถเทพต้นหนึ่งกระมัง’


หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิง จิตใจสั่นสะท้านไม่อาจสงบลงได้


เขาแน่ใจว่าโอสถสมบัติที่มีรูปร่างเหมือนหงส์เหินอาบเพลิงต้นนี้ ต้องมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่เกินจินตนาแน่!


แต่ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า ห้วงอากาศรอบๆ โอสถสมบัติต้นนี้ปกคลุมไปด้วยคลื่นต้องห้ามคลุมเครือหาใดเปรียบ พาให้หวาดหวั่นกระวนกระวาย


“พ่อหนุ่ม ได้พบกันก็ถือว่ามีวาสนา ขอเพียงเจ้าฟังคำสั่งข้า ศุภโชคตรงหน้านี้ก็จะเป็นของเจ้าแล้ว!”


ฉับพลัน เสียงแหบแห้งหยาบกระด้างเสียงหนึ่งดังขึ้น


ตอนที่ 771 ส่งต่อเคราะห์ร้ายให้ผู้อื่น

โดย

ProjectZyphon

แซ่ก!


พร้อมกับเสียงนี้ บนต้นไม้โบราณสีเงินที่ตระหง่านทรงพลังต้นหนึ่งใกล้จุดสูงสุดของยอดเขา พลันปรากฏเถาวัลย์ประหลาดหาใดเทียบเส้นหนึ่ง


มันมีความหนาเท่าถังน้ำ ยาวราวร้อยจั้ง ครึ่งหนึ่งของลำต้นเขียวชอุ่ม ราวกับเจียระไนจากหยกสีเขียวเข้ม เปล่งพลังชีวิตมหาศาลไร้เทียมทาน


ส่วนลำต้นอีกครึ่งหนึ่งกลับเหี่ยวเฉาราวถ่านไม้ ดุจไม้ที่ถูกสายฟ้าฟาด เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายทึบทึม


สองสิ่งนี้ขับเน้นตรงข้ามกัน ครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิต อีกครึ่งหนึ่งตายซากไร้ชีวา ดั่งความโรยราและรุ่งเรืองดำรงอยู่ด้วยกัน เวียนว่ายเป็นสังสารวัฏ พาให้ผู้คนกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง


มันแผ่ออกลงมาจากบนต้นไม้เก่าแก่สีเงิน กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบก็อบอวลตามมาด้วย ทำให้ฟ้าดินบริเวณนี้เกิดเสียงครวญด้วยไม่อาจแบกรับไหว


แต่มันระมัดระวังนัก พลานุภาพที่แผ่ออกมาไม่กล้าเข้าใกล้จุดสูงสุดของยอดเขา ประหนึ่งกลัวรบกวนอะไรบางอย่าง


อสูรเฒ่าเครือเถา!


เพียงมองปราดเดียวหลินสวินก็บอกที่มาที่ไปของอีกฝ่ายได้


ตามคำพูดของงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬกับหมูอสูรมาร นี่ต้องเป็นพญาอสูรมารอันดับหนึ่งของภูเขาโคม่วง ครอบครองพลังระดับราชันกึ่งระดับ น่าพรั่นพรึงถึงที่สุดอย่างแน่นอน


ตั้งแต่ค่ายกลโบราณที่ยอดเขาดาราโรยปรากฏออกมา อสูรเฒ่าเครือเถาก็ยึดครองพื้นที่แห่งนี้ ช่วงนี้สังหารผู้แข็งแกร่งที่มาสำรวจไปไม่รู้เท่าไร ต้องเป็นพวกร้ายกาจที่สังหารหมู่จนเกิดเป็นวิบัติภัยตนหนึ่งแน่


เมื่อรับรู้ได้ว่าอสูรเฒ่าเครือเถาเคลื่อนไหว ผู้ฝึกปราณมากมายที่ซ่อนอยู่ในความมืดเหล่านั้นก็พากันหันเหความสนใจมาทางนี้


“ดังคาด เจ้าอสูรมารเฒ่าตนนี้ไม่มีทางยอมให้ใครเข้าใกล้จุดสูงสุดของยอดเขาได้เลย ที่นั่นเป็นอาณาเขตที่มันยึดครอง ใครเข้าไปใกล้ต้องตายแน่”


“เจ้าหนุ่มนั่นต้องเจอเภทภัยเข้าแล้ว!”


“เจ้าหนุ่มนั่นบ้าระห่ำเหมือนกันนะนี่ เขาก็ไม่คิดเสียหน่อยว่าที่นี่มีผู้แข็งแกร่งเฝ้ารออยู่มากขนาดนั้น ทำไมจนถึงตอนนี้ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้ตำแหน่งสูงสุดของยอดเขา”


“ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ขอเพียงเป็นอัจฉริยะเหนือโลกามักจะตายก่อนวัยอันควรได้ง่าย ดูท่าตอนนี้ กลัวแต่เจ้าเด็กนี่จะพ้นเคราะห์นี้ได้ยากแล้ว”


ในความมืดมิด บางคนทอดถอนใจ บางคนมีความสุขที่ได้เห็นคนอื่นพบเคราะห์ บางคนเสียดาย รู้สึกว่าที่หลินสวินทำไม่คุ้ม


นั่นเป็นถึงอสูรเฒ่าเครือเถา ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งเชียวนะ!


อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ ต่อให้เป็นมหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติยังไม่กล้า!


“สหายน้อย เจ้าคิดเห็นอย่างไร”


อสูรเฒ่าเครือเถาเข้ามาใกล้ จำแลงเป็นใบหน้าแปลกพิกลใบหน้าหนึ่ง ครึ่งหนึ่งผิวพรรณอ่อนนุ่มราวทารก เปล่งปลั่งกระจ่างใส อีกครึ่งหนึ่งกลับเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น โอบล้อมไปด้วยกลิ่นอายความตาย ขนาดดวงตาทั้งคู่ยังปรากฏสภาพที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง รูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดพาให้คนอื่นกลัวจนขนหัวลุก


“ศุภโชคครั้งนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นจากฟ้าดิน ทั้งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าครอบครอง หากเจ้าต้องการก็ไปแย่งชิงมาเอง คิดจะสั่งให้ข้าช่วยเป็นธุระ เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอ”


หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย กิริยาท่าทางสงบนิ่งมั่นคง


ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในความมืดล้วนประหลาดใจและตื่นตระหนก ไม่คิดว่าในเวลาเช่นนี้เด็กหนุ่มจะยังคงสงบนิ่งและแข็งกร้าวปานนี้ พาให้คนหวั่นเกรง


อสูรเฒ่าเครือเถาก็ผงะไปอย่างเห็นได้ชัดครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งจะมีจิตใจกล้าหาญแบบนี้


ทันใดนั้นเขาก็สีหน้าถมึงทึง กล่าวว่า “เปิ่นหวังมอบโอกาสให้เจ้า แต่เจ้าไม่รู้บุญคุณ กลับไร้มารยาทเช่นนี้ หรืออยากตายจริงๆ”


หลินสวินยิ้มแล้ว ดวงตาสีดำปรากฏรังสีเย็นเยียบ “วิญญาณเถาวัลย์เถาหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ก้าวเข้าสู่ระดับราชันที่แท้จริง ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเปิ่นหวัง (ข้าผู้เป็นราชัน) มาข่มขู่ข้าหรือ”


เฮือก!


ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยที่ซ่อนอยู่ในความมืดสูดหายใจหนาวเยือก ต่างสงสัยอยู่บ้างว่าหลินสวินเสียสติไปแล้วหรือ แม้ราชันกึ่งระดับไม่ใช่ราชันที่แท้จริง แต่ก็สามารถโอหังเหนือผู้ฝึกปราณที่ต่ำกว่าระดับราชันได้แล้ว


แต่ในสายตาของเด็กหนุ่ม ประหนึ่งคิดว่าราชันกึ่งระดับไม่ได้พิเศษอะไร… นี่ช่างน่าตกใจเกินไปแล้ว


อสูรเฒ่าเครือเถาหรี่ตา ไอสังหารน่ากลัวพลุ่งพล่านไปทั้งตัว พลานุภาพราวน้ำป่าทลายเขื่อนม้วนกลืนไปทั้งที่นั้น


“เจ้าหนู เปิ่นหวังชื่นชมความกล้าของเจ้านัก ให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ไปเด็ดโอสถสมบัติต้นนั้นมา เปิ่นหวังจะให้เจ้าตายอย่างมีเกียรติอยู่บ้าง”


เขาเอ่ยปาก ทอดสายตามองโอสถสมบัติมหัศจรรย์ดุจหงส์เพลิงเริงระบำต้นนั้นที่อยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของยอดเขา


เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้หลินสวินเสี่ยงชีวิต!


ใครก็รู้ว่าใกล้ๆ กับโอสถสมบัติมหัศจรรย์ต้นนั้นมีความน่ากลัวใหญ่หลวงซ่อนอยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผนึกค่ายกลโบราณที่จุดสูงสุดของยอดเขา หากเข้าไปเด็ดสุ่มสี่สุ่มห้า ผลลัพธ์ต้องน่าอนาถแน่


“ได้สิ”


เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินกลับตอบรับอย่างยินดี


ชั่วขณะนี้ผู้ฝึกปราณที่ซ่อนอยู่ในความมืดเหล่านั้นล้วนนึกว่าตนหูฝาดไป เมื่อกี้เจ้าเด็กนี่ยังแข็งกร้าวปานนั้น เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนความคิดเสียล่ะ


หรือว่าเขาก็หวาดหวั่นอานุภาพร้ายกาจของอสูรเฒ่าเครือเถาแล้ว


“หึ ที่แท้เจ้าก็กลัวตายสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รีบไปจัดการเสียเถิด!”


อสูรเฒ่าเครือเถาแสดงสีหน้าดูถูก ท่าทีมั่นคงก่อนหน้านี้ของเด็กหนุ่มถูกเขามองว่าเป็นการแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง ทว่าภายในอ่อนแอ


“ก็ได้ ในเมื่อเจ้ารีบร้อนขนาดนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมใจ” หลินสวินพยักหน้า พุ่งตัวออกไปยังโอสถสมบัติมหัศจรรย์ต้นนั้น


“รีบร้อนหรือ ทำให้ข้าสมใจหรือ” นัยน์ตาอสูรเฒ่าเครือเถาหรี่ลง รู้สึกว่าคำพูดนี้ประหลาดชอบกล


ครู่ต่อมาเขาก็หน้าเปลี่ยนสี คำรามอย่างกราดเกรี้ยว “หยุดนะ…!”


ด้วยเห็นว่าหลินสวินพลันหยิบคมดาบขาวเจิดจ้าราวหิมะเล่มหนึ่งออกมา ฟันใส่โอสถสมบัติมหัศจรรย์ที่อยู่ไม่ไกลทันทีด้วยความเร็วเหลือเชื่อ


เร็วเกินไปแล้ว!


ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินที่เดิมทีรับปากไปเด็ดสมุนไพรจะทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้ได้ ถึงกับจะทำลายโอสถสมบัติต้นนั้นทิ้ง!


นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ล้วนตาเบิกกว้าง


ส่วนอสูรเฒ่าเครือเถายิ่งรับมือไม่ทัน ยามคิดจะขวางก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว


ตู้ม!


ได้ยินเสียงกึกก้องสะท้านฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้น ทันใดนั้นก็มีพลังต้องห้ามน่าหวาดหวั่นทะลักออกมาใกล้ๆ โอสถสมบัติมหัศจรรย์ต้นนั้น และแปรเป็นอักษรสัญลักษณ์ที่ลึกลับคลุมเครือเต็มฟ้า ซัดดาบหักที่ฟาดฟันลงมาให้กระเด็น


หลินสวินก็ได้รับแรงสะเทือน เลือดลมทั้งร่างปั่นป่วนแทบกระอักเลือด


แต่เขาเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ยามสำแดงการโจมตีนี้เขาก็หายตัวออกมา ขับเคลื่อนยานขนส่งอวกาศพุ่งออกมานอกยอดเขาดาราโรยเต็มกำลังอยู่ก่อนแล้ว


หลินสวินคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าด้วยความสามารถของตน การทำลายโอสถสมบัตินั้นทิ้งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างชัดเจน เขาทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อส่งต่อเคราะห์ร้ายให้อสูรเฒ่าเครือเถาเท่านั้น


ตูม!


ดังคาด พลังต้องห้ามที่อยู่ใกล้กับโอสถสมบัติมหัศจรรย์ต้นนั้นถูกกระตุ้น สาดส่องสัญลักษณ์ลี้ลับนับหมื่นนับพัน สัญลักษณ์ทุกอันล้วนเจิดจ้าราวสร้างจากเงิน ส่องสว่างท่ามกลางรัตติกาล สำแดงอานุภาพน่าหวาดหวั่นคับฟ้า


พลานุภาพเช่นนั้นทำให้ทั้งยอดเขาดาราโรยสั่นคลอน สะท้านสะเทือนไม่หยุดหย่อน


อสูรเฒ่าเครือเถาสั่นเทาไปทั้งร่าง สีหน้าย่ำแย่หาใดเทียบ เดือดดาลถึงที่สุด เขาส่งเสียงคำรามแล้วหันกายหนีไป


พลังต้องห้ามนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว ทันทีที่ปะทุขึ้นก็สามารถทลายฟ้าดิน ช่วงนี้อสูรเฒ่าเครือเถายึดครองพื้นที่นี้มาโดยตลอด และเคยเห็นอานุภาพที่พลังต้องห้ามปะทุขึ้นเช่นนี้ ทำให้เขากลัวสันหลังวาบ พรั่นพรึงไม่ว่างเว้น


ดังนั้นในเวลานี้เขาจะกล้าลังเลได้อย่างไร รีบหนีออกมาทันที


“บ้าเอ๊ย รีบหนีเร็ว!”


“ให้ตายสิ เจ้าหนูนั่นชั่วช้านัก ถึงขั้นทำร้ายพวกเราไปด้วย!”


“นี่เขาจะอาศัยพลังต้องห้ามของค่ายกลโบราณมาต่อกรกับอสูรเฒ่าเครือเถา ถือเป็นการเดินหมากอันตรายตาหนึ่ง น่าเสียดาย เขาไม่รู้เลยว่าพลังต้องห้ามของค่ายกลโบราณนี้น่ากริ่งเกรงแค่ไหน!”


บนยอดเขาดาราโรย ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวในความมืดต่างลนลานเหมือนกระต่ายที่ถูกทำให้ตกใจเกินเหตุ พากันเคลื่อนไหวออกมาจากยอดเขาเสียงดังสวบๆๆ


บางคนยังด่าทอไม่หยุดปาก เดือดดาลกราดเกรี้ยวราวสายฟ้า คิดว่าการเคลื่อนไหวนี้ของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับการให้ร้ายพวกเขา


อย่างไรเสียพวกเขาต้องลำบากลำบนกว่าจะได้มายึดครองพื้นที่บริเวณหนึ่งบนยอดเขาดาราโรย เพียงรอยามวาสนาเปิดฉาก ก็จะได้เปรียบยามช่วงชิง


แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็เท่ากับทำลายข้อได้เปรียบที่พวกเขายึดถือไว้จนสิ้นแล้ว!


ครืน!


พลังต้องห้ามปะทุออก แสงเงินเจิดจรัสศักดิ์สิทธิ์แปรสภาพเป็นสัญลักษณ์คลุมเครือ ไหลลงมาจากจุดสูงสุดของยอดเขาราวกับภูเขาไฟที่สงบลงนับหมื่นปีระเบิดออก มีพลังน่าพรั่นพรึงที่สามารถผลาญฟ้าทลายดินได้


นี่ก็เหมือนแหย่รังแตน สภาพการณ์น่ากลัวนัก


ปัง!


แม้อสูรเฒ่าเครือเถาหนีออกมาอย่างว่องไวมากแล้ว ก็ยังถูกสัญลักษณ์สีเงินรางเลือนสายหนึ่งกระแทกตัว จนร่างที่หนาราวถังไม้เกิดเป็นโพรงเลือด


เขาส่งเสียงร้องเจ็บปวด เลือดแดงก่ำไปทั้งตา ชิงชังจนแทบคลั่ง ถูกเด็กเผ่ามนุษย์คนหนึ่งคิดบัญชี ทั้งยังเอาเปรียบหนักหน่วงเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกอับอายผิดธรรมดา


ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็ยิ่งหนีเร็วขึ้น ขนาดผู้แข็งแกร่งอย่างอสูรเฒ่าเครือเถายังรับพลังต้องห้ามที่ปะทุออกมานั้นไม่ได้ นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว


สถานการณ์โกลาหลไปหมด หมูอสูรมารและซย่าเสี่ยวฉงที่หลบซ่อนอยู่ไกลออกไปมองดูด้วยความตกตะลึง อ้าปากค้างอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเหตุสะท้านโลกาเช่นนี้ได้


“คงไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันกับพี่หลินสวินใช่ไหม” บนใบหน้าน้อยใสซื่อของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความกังวลใจ


“เขาตายสิยิ่งดี!” ก่อนหน้านี้หมูอสูรมารถูกหลินสวินเล่นงานอย่างร้ายกาจ ความเดือดดาลเต็มอก แทบอยากจะให้หลินสวินเกิดเรื่องเร็วขึ้นเสียหน่อย


ทันใดนั้นดวงตาเขาก็หมุนกลิ้ง ปลอบซย่าเสี่ยวฉงอย่างนุ่มนวลว่า “แม่นางน้อย เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ต่อให้เจ้าหนูนั่นตายข้าก็ยังอยู่นะ ต้องทำดีต่อเจ้าอย่างยิ่ง จะไม่ให้เจ้าคับข้องใจเลย”


ซย่าเสี่ยวฉงถลึงตาใส่เขาแรงๆ ครั้งหนึ่ง “เจ้ากล้าแช่งพี่หลินสวิน ถ้าเขากลับมาจะต้องเอาเจ้าเป็นวัตถุดิบทำอาหารจากหมูยกโต๊ะแน่!”


หมูอสูรมารหนาวสั่นด้วยความกลัว สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น เขาย่อมกังวลใจไม่กล้าเพ้อเจ้ออีก ประโยคที่ว่าเคราะห์มาจากปาก ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ลิ้มรสอย่างลึกซึ้งจากหลินสวินมาแล้ว


ด้านหลินสวินในตอนนี้ก็มีทุกข์ยากจะกล่าว แม้เขาขับยานขนส่งอวกาศออกมาอย่างรวดเร็วปานเหาะเหิน แต่ทันทีที่มาถึงกลางอากาศก็ถูกพลังต้องห้ามคลุมเครือกดทับราวตกลงไปในบ่อโคลน ทำให้ไม่สามารถสำแดงความเร็วของยานขนส่งอวกาศได้อย่างเต็มที่


ที่ทำให้เขาหมดคำพูดที่สุดก็คือ พลังต้องห้ามที่ปะทุขึ้นเหนือยอดเขาดาราโรยยังพุ่งขึ้นสู่ห้วงอากาศ ไล่โจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งราวมีชีวิต


เขาเพียงจะส่งต่อเคราะร้ายให้อสูรเฒ่าเครือเถาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าตนจะตกกระไดพลอยโจนไปด้วย


ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ เขาใช้คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรแห่งนภาครามเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว จะมีเคราะเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร


“มาดูเร็ว ยานสมบัติของเจ้าหนูนั่นถูกกำราบแล้ว ฮ่าๆๆ กรรมตามสนองสินะ!”


ที่ตีนเขา ผู้แข็งแกร่งที่หนีจากอันตรายออกมาได้บางคนหัวเราะร่า มีความสุขที่ได้เห็นเคราะห์ของผู้อื่น ในใจเต็มไปด้วยเจตนาร้าย


“ไอ้เด็กเวร เจ้าตายแน่แล้ว เปิ่นหวังจะหลอมซากศพเจ้าให้ป่นปี้เลย!”


อสูรเฒ่าเครือเถาเต็มไปด้วยความแค้น ชิงชังจนกัดฟันกรอด


ครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยไม่คาดฝัน หากมีศัตรูที่แข็งแกร่งมารุกล้ำ เป็นไปได้สูงว่าอาจไม่สามารถยึดครองตำแหน่งบนสุดของยอดเขาดาราโรยไว้ได้เหมือนแต่ก่อน


ส่วนซย่าเสี่ยวฉงกับหมูอสูรมารก็มีปฏิกิริยาในที่สุด รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของหลินสวินไม่สู้ดี ล้วนหน้าเปลี่ยนสี กังวลใจอย่างยิ่ง


ตอนที่ 772 เคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอน

ProjectZyphon

ยานขนส่งอวกาศเป็นสมบัติอริยะที่ไม่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่ง แม้พลานุภาพไม่เท่าในอดีต แต่เมื่อขับเคลื่อนกลับสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีระดับราชันได้ มหัศจรรย์หาใดเทียบโดยแท้


สมัยอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ หลินสวินก็พึ่งพาสมบัติชิ้นนี้หนีการตามสังหารของราชันกลุ่มหนึ่ง เข้าไปในสุสานสมุทรฝังมรรคกับเด็กสาวลึกลับนามอาหูอย่างปลอดภัย


แต่ตอนนี้พลังต้องห้ามที่ปะทุขึ้นที่ยอดเขาดาราโรยกลับสามารถกำราบยานขนส่งอวกาศได้ นี่ทำให้เขาอดตื่นตระหนกไม่ได้ รับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว


ถ้าเขาคาดเดาไม่ผิด ค่ายกลลี้ลับที่ปรากฏบนยอดเขาดาราโรยนั้น น่าจะเป็นค่ายกลใหญ่น่าครั่นคร้ามที่อริยะที่แท้จริงวางไว้ค่ายหนึ่ง


หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมีพลังน่ากลัวปานนี้!


ครืน!


พลังต้องห้ามที่ระเบิดขึ้นบนยอดเขาดาราโรยยิ่งน่ากริ่งเกรงขึ้นไปอีก สัญลักษณ์คลุมเครือสีเงินช่วงโชติโบยบินเต็มฟ้า กระจัดกระจายไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล ส่องสว่างภูผานที


สิ่งมีชีวิตในขอบเขตพันลี้ล้วนตกใจ คลานกับพื้นตัวสั่นระริก รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นกดทับยากบรรยาย


ที่ตีนเขา ผู้แข็งแกร่งที่หนีออกมาจากยอดเขาดาราโรยก็พากันหน้าเปลี่ยนสี ต้องหลบหนีออกมาไกล นี่ทำให้พวกเขายิ่งชิงชังหลินสวิน


ถ้าไม่ใช่เพราะเภทภัยที่เขาก่อทั้งหมดนี้ จะทำให้ยอดเขาดาราโรยเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ได้อย่างไร ส่งผลให้พวกเขาต้องถอยออกมาอย่างยากลำบาก


โดยเฉพาะอสูรเฒ่าเครือเถายิ่งคับแค้นใจจนเข่นเขี้ยว โกรธจนควันออกหู สีหน้าคล้ำเขียวหาใดเทียบ หากไม่ใช่เพราะห้วงอากาศอันตรายนัก เขาก็อยากกระโจนขึ้นไปฉีกหลินสวินทั้งเป็น


น่าโมโหเกินไปแล้ว!


ให้เขาเด็ดโอสถ แต่เขากลับเล่นลูกไม้เช่นนี้ ช่างสมควรตายนัก!


บนจุดสูงสุดของยอดเขาดาราโรย สถานการณ์แปรผันยิ่ง บนผืนดินสีเงินยวงดุจหิมะปรากฏค่ายกลโบราณค่ายหนึ่ง ด้านบนเชื่อต่อพลังแห่งดารานภากาศ ด้านล่างซึมซับแก่นแท้แห่งฟ้าดิน ขับเน้นลวดลายเร้นลับของค่ายกลที่หนาแน่นให้งดงามและศักดิ์สิทธิ์


สามารถเห็นได้รางๆ ว่าส่วนลึกของค่ายกลโบราณนั้นมีไข่ยักษ์ขนาดเท่าหินโม่ ทั้งใบแวววาวกลมเกลี้ยง เปล่งรัศมีดาราบริสุทธิ์ฟองหนึ่ง


เหมือนกับสัตว์ปีศาจบรรพกาลฟักออกมา เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏให้เห็นอย่างรางเลือนในค่ายกล ดูลึกลับถึงที่สุด


พลังแห่งดาราและแก่นแท้แห่งฟ้าดินที่ค่ายกลโบราณซึมซับพรั่งพรูลงบนไข่ฟองนี้ราวกระแสธาร และถูกไข่ดูดซับไว้


‘ไข่ฟองหนึ่งหรือ’


บนฟ้าสูงขึ้นไป หลินสวินเบิกตากว้าง แทบไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าค่ายกลเทพค่ายหนึ่ง ครอบครองยอดเขาแห่งหนึ่ง เชื่อมโยงพลังดาราฟ้าดิน ทั้งหมดนี้เพื่อให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตในไข่ฟองนี้หรือ


นี่ช่างน่าตื่นตะลึงเกินธรรมดานัก!


เพียงแต่ไม่นานนักเขาก็ไม่อาจคิดต่อได้ ด้วยยานขนส่งอวกาศที่เขาขับเคลื่อนอยู่ถูกกดทับอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พลังต้องห้ามราวกระแสน้ำกำลังจะท่วมมิดแล้ว


“เจ้าเด็กนั่นจะจบเห่แล้ว!”


ไกลออกไปจากยอดเขาดาราโรย ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์หรืออสูรมารบำเพ็ญก็รับรู้ว่ายานสมบัติที่หลินสวินขับอยู่กำลังจะรับไม่ไหวแล้ว


นี่ทำให้พวกเขามีความสุข รู้สึกสะใจ หมายให้หลินสวินประสบเคราะห์


อสูรเฒ่าเครือเถาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว รอเมื่อหลินสวินสิ้นชีพก็จะเก็บรวบรวมซากศพและบดให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง


ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็จะไม่สามารถระบายความแค้นที่อยู่ในใจเขาได้!


“หาเรื่องใส่ตัวเสียจริงเรา จะต้องสู้กับเจ้าเสียแล้ว!”


ในยานขนส่งอวกาศหลินสวินรับรู้ได้ถึงอันตราย กัดฟันแล้วนำคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรแห่งนภาครามออกมา คิดจะประจันหน้ากับค่ายกลโบราณนั้นตรงๆ


เพียงแต่ในตอนที่เขาเตรียมเสี่ยงตายอยู่นี้เอง จู่ๆ เสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาท


‘ขอสหายยั้งมือแล้วฟังข้าพูดเสียหน่อย’


‘ใครน่ะ’


นัยน์ตาดำของเขาหดรัดลงในทันใด ในขณะเดียวกันเขาก็พบว่าสัญลักษณ์ต้องห้ามที่ปกคลุมจากทั่วทุกสารทิศพลันหยุดนิ่งกลางอากาศไม่ไหวติง


นี่เท่ากับคลี่คลายวิกฤตของหลินสวิน ณ ตอนนี้ เพียงแต่เวลานี้เขากลับฉงนใจไม่ว่างเว้น เขาไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นมาจากที่ใด


‘ข้ามีนามว่าเซ่าเฮ่า เป็นนายน้อยเผ่าราชันเร้นดารา ตั้งแต่นานมาแล้วก็หลับใหลอยู่ภายใน ‘ไข่แห่งกลุ่มดาว’ พลังยังไม่ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ จึงไม่อาจปรากฏกายมาพบกันได้ในตอนนี้’


เสียงเยียบเย็นนั้นราวน้ำพุสายหนึ่ง มีจังหวะจะโคน ทั้งพุ่งตรงไปถึงก้นบึ้งของจิตใจราวเสียงธรรม


หลินสวินจิตใจสั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เจ้าหมอนี่เป็นถึงสิ่งมีชีวิตที่เติบโตในไข่ซึ่งอยู่ในค่ายกลโบราณ!


เผ่าราชันเร้นดาราหรือ


นี่เป็นเผ่าพันธุ์ใดกัน


แม้ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้จะมีเผ่าพันธุ์นับหมื่น แต่เขาไม่เคยได้ยินชื่อเผ่าพันธุ์นี้มาก่อน!


‘ก่อนหน้านี้เจ้าทำลาย ‘ดอกหงส์เพลิงนิพพาน’ ถึงได้ปลุกให้ข้าตื่นขึ้น ทว่าข้าไม่ได้เห็นว่าเจ้าเป็นศัตรู การโจมตีก่อนหน้านี้เป็นการโต้กลับเองของ ‘ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์หมู่ดารา’ เท่านั้น’


เซ่าเฮ่าอธิบายเสียงเบา น้ำเสียงไม่ร้อนรน มีพลังน่าเชื่อถือ


‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’


สีหน้าของหลินสวินฉายแววอักอ่วน ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้คิดจะทำลายโอสถสมบัติมหัศจรรย์นามว่าดอกหงส์เพลิงนิพพานนั่นทิ้ง


เพียงแต่คิดจะอาศัยพลังต้องห้ามของค่ายกลโบราณนั้นส่งมอบเคราะห์ร้ายให้กับอสูรเฒ่าเครือเถาเท่านั้น


แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็สร้างความขัดแย้งขึ้นก่อนอยู่ดี แต่เซ่าเฮ่าผู้นี้กลับไม่หาความ ดูใจกว้างนัก


แม้ไม่เคยพบหน้า แต่กลับทำให้หลินสวินเกิดความรู้สึกดีด้วย


‘เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก สาเหตุที่เอ่ยปากรั้งเจ้าไว้ ก็เพียงแต่ต้องการแน่ใจเรื่องหนึ่ง’ เสียงของเซ่าเฮ่าดังขึ้นอีกครั้ง


‘พูดมาเถอะ’


หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก เซ่าเฮ่าผู้นี้ที่มาลึกลับยิ่งนัก ทำให้เขานึกถึงคุณชายน้อยผู้นั้นที่เก็บตัวเงียบในเกาะอริยะปัญจธาตุ


ล้วนเก็บตัวเงียบอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ข้างกายคุณชายน้อยผู้นั้นมีวานรเฒ่าที่ก้าวเข้าสู่อริยมรรคดูแล


แต่เซ่าเฮ่าผู้นี้กลับดำรงอยู่ใน ‘ไข่แห่งกลุ่มดาว’ ถูกค่ายกลโบราณลี้ลับค่ายหนึ่งปกป้องไว้!


หลินสวินถึงกับสงสัยว่า ยามมหาสงครามอุบัติขึ้น เกรงว่าเซ่าเฮ่าที่เก็บตัวเงียบบนยอดเขาดาราโรยนี้จะโดดเด่นเกินใครในโลกา และเข้าร่วมการต่อสู้มหามรรคด้วย!


‘นี่มันดินแดนแห่งศุภโชคที่ไหนกัน เป็นที่จำศีลของสัตว์ประหลาดที่เก็บตัวเงียบซึ่งไม่รู้ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานเพียงไหนชัดๆ!’ หลินสวินยิ้มขื่นในใจ


เขาพอจะมั่นใจแล้วว่า อย่าว่าแต่ราชันกึ่งระดับอย่างอสูรเฒ่าเครือเถาเลย ต่อให้ราชันที่แท้จริงมา เกรงว่าจะต้องกลับไปมือเปล่า!


ระหว่างที่หลินสวินว้าวุ่นใจอยู่ เซ่าเฮ่าผู้นั้นก็เอ่ยปากว่า ‘สหาย เจ้าพกหนอนกินเทพไว้กับตัวใช่หรือไม่’


เมื่อคำพูดนี้ออกมาทำให้หลินสวินประหลาดใจทันใด เดิมทีเขานึกว่าอีกฝ่ายมองความไม่ธรรมดาของคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรแห่งนภาครามออก ถึงได้ออกตัวมาพูดคุยกับเขา ที่ไหนได้ กลับเป็นเพราะหนอนกินเทพ!


‘ใช่แล้ว’


หลินสวินไม่มีอะไรให้ปิดบัง ในห้วงนิมิตของเขาผนึกหนอนกินเทพเก้าตัวไว้ตลอด


เซ่าเฮ่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า ‘หนอนกินเทพ เป็นหนอนเทพอารักขาแห่งเผ่าราชันเร้นดารา น่าเสียดายที่ตอนนั้นเพราะต้องปกป้องยามเผ่าข้าอพยพ หนอนกินเทพที่เผ่าข้าเลี้ยงล้วนพบเคราะห์และสิ้นชีพไป ไม่เหลือทายาท ไม่คิดเลยว่าในโลกยุคปัจจุบันกลับสามารถทำให้ข้ารับรู้ถึงร่องรอยที่มันดำรงอยู่ ช่างพาให้ข้ายินดีนัก’


เขาเหมือนทอดถอนใจ น้ำเสียงปนเปไปด้วยความรู้สึกมากมาย


ครู่ใหญ่เซ่าเฮ่าถึงพูดต่อว่า ‘ช่างเถอะ นี่อาจจะเป็นวาสนา ในมือข้ามีวิชาลับม้วนหนึ่งสำหรับควบคุมหนอนกินเทพ ยินดีมอบให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะสามารถดูแลพวกมันอย่างเต็มใจ อย่าให้เสียกิตติศัพท์ของพวกมัน ทั้งอย่าให้พวกมันสูญพันธุ์ไปจากโลก มิเช่นนั้นก็คงน่าเสียดายยิ่งแล้ว…’


ซ่า!


ระหว่างที่พูดก็มีสัญลักษณ์สีเงินเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา ควบรวมเป็นม้วนคัมภีร์ม้วนหนึ่ง ปรากฏขึ้นหน้ายานขนส่งอวกาศ


หลินสวินรับม้วนคัมภีร์นั้นไว้ในมือ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คืออักษรบรรพกาลที่แปลกประหลาดราวไส้เดือน… ‘เคล็ดวิชาเร้นดาราควบคุมหนอน’!


เมื่อเปิดดูผ่านๆ หลินสวินก็รู้วาวิชาลับที่เซ่าเฮ่ามอบให้นี้ต้องอัศจรรย์เกินบรรยาย เก็บซ่อนปริศนามากมาย ล้วนเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูและควบคุมหนอนกินเทพ!


‘สหายยุทธ์ ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้ายินดีมอบหนอนนี้ให้เจ้าคู่หนึ่ง’ หลินสวินกล่าว การกระทำของเซ่าเฮ่าทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่งนัก ออกจะซาบซึ้งใจอยู่บ้าง


‘ไม่ต้องหรอก โลกปัจจุบันกับอดีตต่างกันโดยสิ้นเชิง กาลเวลาผันผ่าน หมื่นยุควิวัฒน์ จวบจนตอนนี้เผ่าราชันเร้นดาราก็เหลือข้าเพียงผู้เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าตัดหนทางแห่งวันวาน ละทิ้งผลกรรมแห่งอดีต เช่นนี้เมื่อมหาสงครามมาถึง จึงจะสามารถป่ายปีนสู่วิถีแห่งมหามรรคที่บรรพชนเผ่าข้าไม่เคยเหยียบย่างได้!’


เซ่าเฮ่าน้ำเสียงเรียบสงบ แต่กลับแฝงความแน่วแน่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นเป็นจิตวิญญาณยิ่งใหญ่พาให้ผู้คนไหวหวั่น!


หลินสวินได้ยินดังนี้ก็ทอดถอนใจ หมื่นผู้กล้าธรรมบาล อัจฉริยะจากทุกแห่งหน บ้างกำลังจำศีลสะสมพลัง หรือเข้าสู่โลกเพื่อเคี่ยวกรำตัวเอง แต่สิ่งที่พวกเขาหมายใจกลับเหมือนกันจนน่าตกใจ ล้วนเกี่ยวข้องกับมหาสงคราม!


อย่างเซ่าเฮ่า ก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของคนเหล่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย


ถึงขั้นว่าที่มาที่ไปของเขาลึกลับยิ่งกว่าเหล่าผู้กล้าในโลกปัจจุบัน เก็บตัวเงียบผ่านกาลเวลาไม่รู้นานเท่าไรอยู่ก่อนแล้ว รอมหาสงครามมาถึง!


หลินสวินสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า ‘ข้ามีนามว่าหลินสวิน หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบกับเจ้าอีกครั้งเมื่อมหาสงครามอุบัติขึ้น’


‘ข้าก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยให้วันนั้นมาถึงเช่นกัน’


เมื่อพูดจบเสียงของเซ่าเฮ่าก็เงียบไป สัญลักษณ์สีเงินยวงเต็มฟ้าร่นเข้าไปเหนือยอดเขาดาราโรย ไหลเข้าไปในค่ายกลโบราณนั้นราวกระแสน้ำถอยกลับ ทำให้ที่นั่นส่องสว่างโชติช่วงงดงาม มองไม่เห็นทิวทัศน์อื่นใดอีก


ไข่แห่งกลุ่มดาวที่เซ่าเฮ่าเก็บตัวเงียบอยู่ฟองนั้นก็หายไปก่อนแล้ว


‘นี่เป็นผู้โดดเด่นที่มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ จิตใจกว้างขวาง อุดมการณ์เกรียงไกร เมื่อถือกำเนิดขึ้นในสักวันหนึ่ง ไม่มีทางไร้ชื่อเสียงแน่…’


หลินสวินเกิดสัญชาตญาณแรงกล้าขึ้นในใจว่า แม้เวลาที่เขาได้สนทนากับเซ่าเฮ่าแสนสั้น แต่วาทศิลป์และจิตใจของอีกฝ่ายทำให้เขาเชื่อถืออยู่กลายๆ


คาดการณ์ได้ว่านายน้อยเผ่าราชันเร้นดาราที่ลี้ลับเช่นนี้ เมื่อถือกำเนิดขึ้นจะต้องมีอิทธิพลในโลกแน่!


ขณะเดียวกันหลินสวินก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้ง


เพื่อมหาสงครามครั้งหนึ่ง ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้าไม่รู้เท่าไรกำลังสั่งสมพลังอยู่ลับๆ ยามการต่อสู้มหามรรคที่แท้จริงเปิดฉาก แค่คิดก็รู้ว่าการต่อสู้จะดุเดือดและไร้สิ่งใดเสมอเหมือนเพียงใด!


ความเคลื่อนไหวบนยอดเขาดาราโรยเริ่มกลับคืนสู่ความสงบ


เพียงแต่เหล่าผู้แข็งแกร่งที่สังเกตการณ์อยู่ไกลออกไปกลับค้นพบอย่างน่าตะลึงว่า ยานสมบัติที่หลินสวินขับอยู่กลับยังไม่ประสบเคราะห์เสียที กระทั่งตอนนี้ยังสมบูรณ์ไม่สึกหรอ นี่ทำให้พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง


“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”


“ให้ตายสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ประสบเคราะห์หรือนี่”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนไม่พอใจ เอ่ยปากอย่างขุ่นเคือง


ก่อนหน้านี้บทสนทนาของหลินสวินกับเซ่าเฮ่าล้วนแลกเปลี่ยนกันผ่านจิตรับรู้ เกิดขึ้นในเวลาเพียงครู่เดียว ทำให้ใครก็ไม่อาจสังเกต


และก็เป็นตอนนี้ที่คลื่นต้องห้ามค่ายกลโบราณถูกเก็บเข้าไปในยอดเขาดาราโรย พวกเขาถึงเห็นภาพหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ นี่ทำให้พวกเขาโกรธแทบคลั่ง


พลังต้องห้ามของค่ายกลโบราณนั้นน่ากลัวปานใด เหตุไฉนถึงละเว้นเจ้าเด็กนั่น


นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


ตอนที่ 773 ใจกล้ามากเล่ห์

ProjectZyphon

หลินสวินปลอดภัยดี ทำให้อสูรเฒ่าเครือเถายิ่งโกรธจนควันออกหู กัดฟันกรอดจนจะแตก เมื่อหยัดกายขึ้นก็พุ่งขึ้นไปในห้วงอากาศ


“ไอ้เด็กเวร พลังต้องห้ามค่ายกลโบราณไม่ได้ฆ่าเจ้า ก็ให้เปิ่นหวังส่งเจ้าไปตายด้วยมือตัวเอง!”


เสียงของเขาเย็นชาน่ากลัว ลำตัวอวบหนาเท่าถังน้ำกระหวัดตัวราวมังกร อบอวลไปด้วยพลังน่าหวาดหวั่นสองอย่างคือเหี่ยวแห้งและเปล่งปลั่ง


ห้วงอากาศถล่มลงเกิดเสียงโครมคราม นี่เป็นพลังราชันกึ่งระดับ เมื่อสำแดงออกมาครั้งหนึ่งพาให้สภาพอากาศแปดทิศผันแปร กลิ่นอายทำลายล้างมืดฟ้ามัวดิน


“เจ้าอสูรเฒ่านี่ดูท่าจะเคียดแค้นเจ้าหนูนั่นเต็มแก่แล้ว จะปลิดชีพเขาอย่างแข็งกร้าว!


ผู้แข็งแกร่งหลายคนตื่นตะลึง พากันหลบหนี ไม่ต้องการโดนลูกหลงไปด้วย


“พี่หลินสวินตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”


ซย่าเสี่ยวฉงมือเท่าเย็นเฉียบ ใบหน้าน้อยพริ้งเพราะใสซื่อเต็มไปด้วยความกังวลใจ


“แย่ล่ะ อสูรเฒ่าเครือเถาโมโหแล้ว คราวนี้ใครก็ช่วยเจ้าหนูนั่นไม่ได้ แม่นางน้อย พวกเรารีบหนีไปด้วยกันเถอะ!”


หมูอสูรมารไม่ยึดถือคุณธรรม จะวิ่งหนีทันที อีกทั้งเจ้าหมอนี่ยังไร้ยางอาย ไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย ยังจะพาตัวซย่าเสี่ยวฉงไป


แต่ในตอนนี้เอง ในโสตประสาทของหมูอสูรมารก็มีเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น ‘ได้ เจ้าหนีไปเถอะ อย่าให้ถูกข้าไล่ตามได้เป็นดีที่สุด’


หมูอสูรมารชาหนึบไปทั้งตัว เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ก็เห็นว่าใต้เวิ้งฟ้ายามราตรี ยานสมบัติที่หลินสวินขับเคลื่อนวูบไหวเบาๆ คราหนึ่ง ก็หลบพ้นการโจมตีน่ากริ่งเกรงครั้งหนึ่งของอสูรเฒ่าเครือเถาได้ ดูสุขุมเยือกเย็นนัก ไม่ได้จนมุมแต่อย่างใด


ที่ทำให้หมูอสูรมารชาไปทั้งศีรษะก็คือ พลังจิตรับรู้ที่สมจริงระลอกหนึ่งเคลื่อนออกมาจากยานสมบัติ จับจ้องเขาไว้มั่น ไม่มีทางหนีพ้นได้เลย


เห็นได้ชัดว่าทันทีที่เขากล้าหนี ผลลัพธ์ต้องไม่อาจคาดเดาได้แน่!


‘คุณชาย เมื่อกี้ข้าแค่ล้อเล่น ข้าจะกล้าทำเรื่องไร้คุณธรรมน่าดูแคลนเช่นนั้นได้ที่ไหน คุณชายท่านอย่าแบ่งสมาธิอีกเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ถูกอสูรเฒ่าเครือเถานั่นทำร้ายได้!’


หมูอสูรมารตบหน้าอก สื่อจิตด้วยท่าทางแน่วแน่


‘หึ!’


หลินสวินขี้คร้านจะไปถือสาหมูอสูรมารที่ไร้คุณธรรมตนนี้ จดจ่อกับการต่อสู้


ตู้ม!


ห้วงอากาศพังทลายลง อสูรเฒ่าเครือเถาไม่ออมมือสักนิด ร่างของมันเคลื่อนฉวัดเฉวียนเหนือห้วงอากาศเข้าสังหารหลินสวิน


การโจมตีของมันอหังการ์และป่าเถื่อน ลำตัวอวบหนาราวถังน้ำเคลื่อนกวาดราวกับมังกรเทพสะบัดหาง ห้วงอากาศทุกที่ที่มันผ่านล้วนทลายลง รัศมีเทพบ้าคลั่งม้วนกลืน ทลายชั้นเมฆให้แยกออก น่าพรั่นพรึงไร้ที่สิ้นสุด


เหล่าผู้แข็งแกร่งล้วนมองดูอย่างอกสั่นขวัญแขวน อสูรเฒ่าเครือเถาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้แต่ในหมู่ราชันกึ่งระดับก็เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือ


พวกเขาต่างสงสัยว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าตัวนี้อาจจะใกล้ได้สัมผัสประตูแห่งระดับราชันแล้ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะมาถึงประตู และบรรลุระดับเป็นราชันที่แท้จริง!


ยานขนส่งอวกาศที่หลินสวินขับเคลื่อนกำลังหลบหนี ประหนึ่งห้อตะบึงกลางคลื่นแรงน่าครั่นคร้าม ดูอันตรายหาใดเทียบ แต่เขาก็รอดพ้นภัยมาได้ทุกครั้ง


นี่ก็เป็นความวิเศษของยานขนส่งอวกาศ เมื่อไม่มีการกดทับจากพลังต้องห้ามค่ายกลโบราณนั้น อย่าว่าแต่อสูรเฒ่าเครือเถาเลย ต่อให้เป็นการโจมตีของราชันที่แท้จริงก็หลบพ้นได้!


“นี่ต้องเป็นสมบัติประหลาดที่มีพลานุภาพมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งแน่!”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล อดร้องอย่างประหลาดใจไม่ได้ หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าเด็กนั่นจะอาศัยยานสมบัติลำนี้ถึงได้สลายการโจมตีที่มาจากพลังต้องห้ามของค่ายกลโบราณได้


คิดถึงตรงนี้ ผู้แข็งแกร่งหลายคนก็ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมา


เหนือห้วงอากาศ อสูรเฒ่าเครือเถากลับยิ่งเดือดดาล เขาสีหน้าคล้ำเขียว ไอสังหารพวยพุ่งทะลุเมฆา


ด้วยการโจมตีอย่างสุดกำลังก่อนหน้านี้ กลับไม่สามารถสังหารหลินสวินได้ในคราวเดียว แล้วยังถูกเด็กหนุ่มหลบการโจมตีได้ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ทำให้เขาพลันรู้สึกเสียหน้า


มันเป็นใครกัน


พญาอสูรมารอันดับหนึ่งของภูเขาโคม่วง ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง มีชื่อเสียงสะเทือนโลกมานานปี ขนาดราชันกึ่งระดับทั่วไปยังไม่อยู่ในสายตาของเขา


แต่ตอนนี้เขาลงมืออย่างเต็มที่ กลับทำอะไรเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งไม่ได้สักที นี่หากแพร่กระจายออกไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน


“ตายซะ!”


อสูรเฒ่าเครือเถาคำราม ไอพลังขาวดำสองสายปรากฏขึ้นบนลำตัวอวบหนา หนึ่งแทนพลังแห่งชีวี อีกหนึ่งแทนกลิ่นอายแห่งอาสัญ ทั้งสองหลอมรวมกัน ในที่สุดก็ก่อตัวเป็นรุ้งเทพสีขาวดำพิสดารยิงพุ่งสู่หมู่ดารา กวาดไปทั่วท้องนภา!


นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว


ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปล้วนชาไปทั้งศีรษะ ต้องถอยหนีไปไกลอีกครั้งหนึ่ง ในขอบเขตราวร้อยลี้จากที่นี่ นอกจากยอดเขาดาราโรยที่ไม่เสียหายเลยสักนิดแล้ว เทือกเขาในบริเวณอื่นล้วนถูกบดขยี้จนทรุดลง ต้นไม้โบราณถูกดึงขึ้นมาพร้อมกับดินติดราก จากนั้นก็พากันแหลกสลายกลายเป็นผุยผง


พลานุภาพคับฟ้าของราชันกึ่งระดับสำแดงออกมาอย่างหมดจดในเวลานี้ ส่งผลให้ฟ้าดินแปรเปลี่ยน!


เพียงแต่…


แม้เป็นพลานุภาพสะท้านโลกาเช่นนี้ กลับยังไม่อาจสังหารหลินสวินได้ดังเดิม ถูกยานขนส่งอวกาศที่เขาขับเคลื่อนหลบพ้นได้อย่างรวดเร็ว


“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”


เหล่าผู้แข็งแกร่งตกตะลึงอ้าปากค้าง สิ่งนี้พลิกความเข้าใจของพวกเขาอย่างยิ่งยวด เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง กลับทำเพียงอาศัยพลังของยานสมบัติลำหนึ่งก็หลบการโจมตีหลายครั้งของราชันกึ่งระดับได้อย่างชำนาญ นี่ก็ดูเหลือเชื่อเกินไปแล้ว


“ยานสมบัตินั่น หรือว่าจะเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำเกินขอบเขตพลังระดับราชันชิ้นหนึ่ง”


ผู้ฝึกปราณบางคนลอบคาดเดา ใจเต้นไม่ว่างเว้น หากไม่เป็นเช่นนี้ก็อธิบายภาพตรงหน้าให้กระจ่างไม่ได้เลย


“เจ้าสวะตัวจ้อย เปิ่นหวังไม่เชื่อว่าจะฆ่าเจ้าไม่ได้!”


เสียงคำรามราวอัสนีบาตรของอสูรเฒ่าเครือเถาสั่นสะเทือนไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนี้หน้าเปลี่ยนสีตัวสั่นเทา


เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธถึงที่สุดแล้ว สังหารจนดวงตาวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะ ในชั่วครู่เดียวทุกที่ล้วนบังเกิดภาพทำลายล้างอย่างฟ้าถล่มดินทลาย หินทรายปลิวว่อน


ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็ส่งเสียงตะโกนดังไปทั่วฟ้าดินว่า “สหายยุทธ์ทุกท่าน พลังต้องห้ามจากค่ายกลโบราณที่ถูกกระตุ้นก่อนหน้านี้ รวมถึงที่ทำให้ทุกท่านพลอยโดนลูกหลงไปด้วย ข้าน้อยรู้สึกผิดยิ่งนัก ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าเวลานี้จะนำตาแก่นี่ออกไป เพื่อให้คว้าโอกาสทุกท่านได้ขึ้นเขาไปชิงวาสนา ก็ถือเสียว่าเป็นการชดเชยของข้าน้อยแล้วกัน!”


เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้นล้วนอึ้งไป สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด เจ้าหนูเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ถึงกับมีเจตนาดีเช่นนี้เลยหรือ


ทันใดนั้นพวกเขาก็ล้วนไตร่ตรอง หากอสูรเฒ่าเครือเถาถูกพาออกไป สำหรับพวกเขาแล้วย่อมเป็นโอกาสขึ้นเขาที่หายากครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะสามารถถือโอกาสนี้ช่วงชิงศุภโชคบางอย่างได้!


“ทุกท่าน นี่มันหลอกกันชัดๆ เจ้าเด็กนั่นใจกล้ามากเล่ห์ วาจาเช่นนี้ดูเหมือนสวยหรู แต่แท้จริงแล้วก็พูดให้อสูรเฒ่าเครือเถาฟัง!”


บางคนเอ่ยพลางหัวเราะเหี้ยมเกรียม


ดังคาด เหนือห้วงอากาศอสูรเฒ่าเครือเถาสีหน้ายิ่งอึมครึม ถูกคำพูดนี้ของหลินสวินยั่วโมโหจนหน้าเขียวแล้ว


“เจ้ายังคิดจะนำเปิ่นหวังออกไป ให้เจ้าพวกนั้นได้ประโยชน์ไปหรือ ใจหมาๆ ของเจ้ากล้าคับฟ้าเสียจริง เพ้อเจ้อถึงที่สุด!”


อสูรเฒ่าเครือเถาคำราม พ่นลมหายใจออกทางปาก ปรากฏเป็นทวนยาวสีขาวดำแหวกอากาศยิงพุ่งไปทางยานขนส่งอวกาศ


ชิ้ง!


ห้วงอากาศฉีกขาดออกอย่างง่ายดาย ทวนยาวเล่มนั้นเปล่งรัศมีเทพสีขาวดำ พิสดารและน่ากริ่งเกรง มีพลังเจาะทะลวงน่าประหวั่นพรั่นพรึงหาใดเทียบ


เพียงแต่หลินสวินไม่คิดจะพัวพันต่อแล้ว ขับยานขนส่งอวกาศตะบึงออกไปไกลโดยทันที


“จะหนีไปไหน!”


อสูรเฒ่าเครือเถาเดือดดาลจนแทบคลั่ง ภายใต้สายตามากมายที่จับจ้อง หากให้เจ้าเด็กนี่หนีไปได้ เช่นนั้นเขาผู้เป็นราชันกึ่งระดับคนนี้ต้องกลายเป็นตัวตลกในใต้หล้าแน่


ในขณะเดียวกันหลินสวินก็กล่าวเตือนเหล่าผู้แข็งแกร่งในที่นั้นว่า “ทุกท่าน โอกาสมีเพียงครั้งเดียว พวกท่านต้องรีบลงมือ!”


เหล่าผู้ฝึกปราณที่ตีนเขาดาราโรยล้วนดวงตาเป็นประกาย สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่อยู่สุข พวกเขาจับตาดูอสูรเฒ่าเครือเถาอย่างใกล้ชิด ดูว่าเขาจะทิ้งยอดเขาดาราโรยไปตามสังหารหลินสวินหรือไม่


อสูรเฒ่าเครือเถาที่โกรธเกรี้ยวก็สังเกตเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน เขาโกรธจนปอดแทบระเบิดออก แต่กลับต้องไตร่ตรองว่าการตามฆ่าหลินสวินจะคุ้มหรือไม่


หากไปตามสังหาร ย่อมส่งผลให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นถือโอกาสขึ้นยอดเขาดาราโรย


หากไม่ไป ใจเขาก็ไม่ยินยอมและเคียดแค้นอีก


ทำอย่างไรดี


อสูรเฒ่าเครือเถาออกจะสับสนบ้างแล้ว กราดเกรี้ยวจนคลุ้มคลั่ง เจ้าเด็กนี่เลวทรามและไร้ยางอายเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ใช้ประโยชน์จากพลังต้องห้ามของค่ายกลโบราณ หมายจะส่งต่อเคราะห์ร้ายให้เขา


มาตอนนี้ยังใช้ประโยชน์จากจิตใจมุ่งมั่นต่อยอดเขาดาราโรย ไปหลอกล่อผู้ฝึกปราณคนอื่น ทำให้เขาลำบากไปทุกทาง!


“ตาแก่ เจ้าไม่ได้ทรงพลังมากหรอกหรือ มาๆๆ พวกเรามาเปลี่ยนที่แลกเปลี่ยนความรู้ดีๆ กันเถอะ”


หลินสวินตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงชวนวิวาทเต็มที


เหล่าผู้ฝึกปราณมองดูพลางสูดหายใจเย็นเยียบ เจ้าเด็กนี่บ้าระห่ำเสียจริง ถึงกับกล้าไปท้าทายราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง หรือเขาไม่กังวลว่าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย


อสูรเฒ่าเครือเถาบันดาลโทสะเหมือนเสียสติ ตวัดลำตัวใหญ่หนายาวยืดพุ่งเข้าหาหลินสวินที่อยู่ไกลออกไปดังโครมคราม


“เหอะๆ เชื่องเสียจริง ไม่เลวๆ อีกเดี๋ยวตอนฆ่าเจ้า จะให้เจ้าตายอย่างมีเกียรติเสียหน่อย”


หลินสวินพูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ลอยละล่องไปรอบทิศ ยามพูดจาเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเชื่องช้า ยังคงขับยานขนส่งอวกาศออกไปไกลอย่างเต็มกำลัง


“รนหาที่ตาย!”


อสูรเฒ่าเครือเถาส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดสะท้านฟ้า ลงมือสุดความสามารถแล้ว


เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจก็คือ อสูรเฒ่าเครือเถาไม่ได้เพ่งเป้ามาที่ตน แต่เป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่อยู่บนพื้นดิน


นั่นคือสัตว์ปีศาจต่างเผ่าพันธุ์ตัวหนึ่งที่กำลังแอบเข้าใกล้ยอดเขาดาราโรย หมายถือโอกาสนี้ขึ้นเขาไปก่อน เห็นได้ชัดว่าเขาหวั่นไหวกับข้อเสนอของหลินสวินมาก


แต่เขากลับคาดไม่ถึงว่า อสูรเฒ่าเครือเถากลับละทิ้งเด็กหนุ่มกลับมาฆ่าเขาทันควัน!


โครม!


ชั่วพริบตา รัศมีเทพสีขาวดำในบริเวณนั้นเกี่ยวกระหวัดกัน สัตว์ปีศาจต่างเผ่าพันธุ์ตัวนั้นไม่ทันได้โต้กลับก็ถูกสังหารคาที่


ไกลออกไปเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เดิมทีคิดจะแอบขึ้นเขาเช่นกัน เห็นดังนี้ก็พลันตกใจสะดุ้งโหยง สีหน้าบิดเบี้ยว พากันถอยหนี


“คิดว่าเปิ่นหวังโง่เขลา จะละทิ้งศุภโชคใหญ่ที่อยู่บนยอดเขาดาราโรยเพื่อไอ้สวะตัวจ้อยคนหนึ่งหรือ คนสติทึบอย่างพวกเจ้าถูกเจ้าสวะตัวจ้อยนั่นหลอกใช้ยังไม่รู้ตัวอีก โง่งมยิ่งนัก!”


อสูรเฒ่าเครือเถาสีหน้าคล้ำเขียว ตะคอกอย่างเย็นชา


ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปเหล่านั้นตอนนี้ถึงได้รับรู้ว่า สูงขึ้นไปในห้วงอากาศไม่มีเงาของหลินสวินมานานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาถือโอกาสนี้หนีไปไกลก่อนแล้ว!


ครู่ต่อมาผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ก็สีหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ดังคาด เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นั่นไม่ได้มีเจตนาดีอะไรเลย แต่กำลังหลอกใช้พวกเขา ใช้สิ่งนี้รั้งอสูรเฒ่าเครือเถาไว้ ทำให้ฝ่ายหลังไม่กล้าบุ่มบ่ามออกไปจากยอดเขาดาราโรย!


“น่าชังนัก!”


ผู้แข็งแกร่งบางคนโกรธจนหน้าแดงก่ำ ถูกเด็กคนหนึ่งจูงจมูก ทั้งถูกหลอกใช้ก็ยังไม่รู้ตัว ทำให้พวกเขาขายหน้า


“หึ!”


อสูรเฒ่าเครือเถาเดิมทีเดือดดาลหาใดเทียบ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ที่ถูกทำให้โมโหจนอับอายหาใดเทียบ เขากลับสะใจอย่างไม่มีสาเหตุ


ความรู้สึกเช่นนี้ก็คงเหมือนตอนที่ตนจมน้ำแล้วดึงพวกโชคร้ายฝูงหนึ่งให้พลอยซวยไปด้วย ทุกคนล้วนน่าสังเวชและเสียหน้า ใครก็ย่อมหัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว


เพียงแต่…


เมื่อนึกถึงหลินสวิน อสูรเฒ่าเครือเถาก็โกรธจัด ในที่สุดก็หันกายออกกลับไปที่ยอดเขาดาราโรยอย่างขัดเคือง


ช่วยไม่ได้ หลินสวินก็หนีไปแล้ว จะไปตามเขาอีกก็ตามไม่ทันแน่ ส่งผลให้แม้ว่าอสูรเฒ่าเครือเถาจะเคียดแค้น แต่ก็ไม่มีที่ระบาย


อสูรเฒ่าเครือเถาจดบัญชีแค้นนี้ไว้ในใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)