Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 758-763
ตอนที่ 758 หนทางเบื้องหน้าราวห้วงสมุทร อนาคตไพศาลกว้างไกล
โดย
ProjectZyphon
ส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ลึกลับและอันตราย มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล และมีสุสานสมุทรฝังมรรคที่แปลกประหลาดและไม่เป็นมงคล
หลินสวินเคยท่องแดนลับอสูรมารอริยะในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เคยเห็นวานรเฒ่าที่จำศีลอยู่ในเกาะอริยะปัญจธาตุ นี่เป็นถึงอริยะที่แท้จริงผู้หนึ่งเชียว
และเคยเข้าไปใน ‘ดินแดนแห่งดวงกมลในแท่นบูชา’ ได้รับมรรคคาถาเร้นลับเกินคาดเดาบทหนึ่ง และได้รับวิชาอริยมรรคที่แท้จริงเล่มหนึ่ง… วิชาอริยะยุทธ์!
เช่นเดียวกัน หลินสวินก็เคยเจอเรื่องอัปมงคลและแปลกประหลาดมากมายในสุสานสมุทรฝังมรรค อย่างเช่นศพเทพบรรพกาลที่ลอยอยู่กลางทะเลยาวหลายพันจั้ง ใหญ่เท่าผืนดิน
และเคยเห็นภิกษุตาบอดที่กลิ่นอายน่าสะพรึงไร้ที่เปรียบ รวมทั้งเงาร่างอันพร่าเบลอและผู้หญิงที่อยู่ภายใต้หมอกสีเทา
หากการคาดเดาของหลินสวินไม่ผิด ทั้งสองน่าจะเป็นบุคคลน่าหวาดหวั่นที่ก้าวสู่ระดับอริยเทพแล้วอย่างแน่นอน
ถึงขั้นที่หลินสวินยังนึกถึงอาหูเด็กสาวชุดเหลืองผู้ลึกลับ ตอนที่กลับจากทะเลกลืนวิญญาณ เขาถูกกลุ่มราชันตามฆ่า เป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากอาหูจึงพ้นเคราะห์ครั้งนั้นมาได้!
ยามนี้คิดดูแล้ว หลินสวินกลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แดนลับอสูรมารอริยะ หรือสุสานสมุทรฝังมรรค ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในล้วนเหนือจินตนาการอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ตนเข้าใจและค้นพบเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
และป่าต้นหม่อนในสมรภูมิกระหายเลือดยิ่งไม่ธรรมดา ภายในหมอกโลหิตฟุ้ง กว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนั้น สิ่งมีชีวิตระดับอริยเทพที่น่าหวาดหวั่นมากมายซ่อนตัวอยู่ภายใน ถึงขั้นที่มีตำหนักมรรคที่แสงอริยะทะลวงฟ้า ทำให้อริยมรรคต่างไม่ลังเลที่จะต่อสู้เพื่อช่วงชิง!
“จริงดังว่า โลกชั้นล่างนี้มีดินแดนที่เหลือเชื่อมากมาย ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คนในดินแดนรกร้างโบราณกล่าว”
หลินสวินเงียบไปนานค่อยกล่าวทอดถอนใจ
เพราะเคยเห็น เขาจึงยิ่งแน่ใจในความลึกลับและไม่ธรรมดาของโลกชั้นล่าง!
และตามที่จักรพรรดิบอก ความลับอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในโลกชั้นล่างนี้ มีเพียงตอนที่หลินสวินก้าวสู่ขอบเขตระดับมกุฎราชันแล้ว จึงจะมีโอกาสไปทำความเข้าใจและค้นหา นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งเกินไปแล้ว
“ราชครูบนหอดูดาวหลวง เจ้าสำนักของสำนักศึกษามฤคมรกต เฒ่าโดดเดี่ยวในเรือนโอบดารานิทราบุหลัน รวมทั้งเจียวที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลตะวันออกของจักรวรรดิตัวนั้น… หากโลกชั้นล่างแห้งแล้งอย่างที่เล่าลือ พวกเขาจะยอมจำศีลอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
แววตาจักรพรรดิลุ่มลึก มาถึงระดับเช่นเขา ย่อมมองความลึกลับมากมายบนโลกนี้ออกแล้ว ก็เพราะยืนอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองได้ไกล
“ยังมีราชันเถื่อนมากมายที่อยู่ในเผ่าพ่อมดเถื่อนเก้าสาย ขุมอำนาจสิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่ยึดครองส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ… พวกเขาก็ล้วนรอคอยมหวาสนาที่ซ่อนอยู่ในโลกชั้นล่างมิใช่หรือ”
พูดถึงตรงนี้จักรพรรดิพลันส่ายหน้ากล่าว “ความเร้นลับเหล่านี้ยังห่างไกลเกินไปสำหรับเจ้าในตอนนี้ เจ้าจำไว้เพียงว่า ถ้าอยากผงาดขึ้นในมหาสงคราม ก้าวสู่มรรคามกุฎราชันในตำนาน ดินแดนรกร้างโบราณคือสถานที่เดียวที่สามารถมอบโอกาสเช่นนี้ให้เจ้าได้”
“และพอถึงตอนที่เจ้าก้าวสู่มกุฎราชัน โลกชั้นล่างนี้ก็สามารถให้โอกาสเจ้าในการก้าวไปอีกขั้นบนเส้นทางมหามรรค!”
ความหมายเรียบง่ายมาก นั่นคือถ้าอยากกลายเป็นมกุฎราชัน ก็ต้องไปดินแดนรกร้างโบราณ และหลังจากกลายเป็นมกุฎราชันแล้ว หากต้องการก้าวขึ้นไปอีกขั้น ก็ต้องหวนกลับมายังโลกชั้นล่าง!
หลินสวินเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
จักรพรรดิกำลังชี้ทางให้ตน!
“องค์ชายเก้าถูกกู้ตงถิงแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าพาตัวไปแล้ว ต่อไปหากพวกเจ้าได้พบกัน ถ้าเป็นไปได้อยากให้เจ้าไว้ชีวิตเขา” จู่ๆ จักรพรรดิก็พูดขึ้น ท่าทางดูลังเลเล็กน้อย
เขาในตอนนี้ความเย่อหยิ่งน่าเกรงขามถดถอยลงไปหลายส่วน และมีความรู้สึกสับสนของผู้อาวุโสในตระกูลเพิ่มเข้ามา
ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา แต่ระหว่างหลินสวินและสำนักกระบี่เทียมฟ้ามีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน จักรพรรดิรู้ดีว่าถ้าหลินสวินเจอลูกชายไม่เอาไหนคนนี้ของตน จะต้องเกิดความขัดแย้งอย่างแน่นอน
“ได้”
หลินสวินเงียบไปครู่จึงรับปาก “แต่ถ้าเขาดึงดันจะเป็นศัตรูกับข้า…”
“เช่นนั้นก็ฆ่าซะ!” จักรพรรดิพูดออกมาทีละคำ สีหน้าเรียบเฉย
“เจ้าไปดินแดนรกร้างโบราณคราวนี้ หากพบเรื่องเดือดร้อนใดสามารถไปหาจิ่งเซวียนได้ นางโตที่นั่น อีกทั้งข้างกายยังมีบุคคลชั้นยอดคอยดูแล เชื่อว่านางจะยินดีที่ไปหานางมาก”
ตอนที่จักรพรรดิพูดเช่นนี้ แววตากลับแฝงแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง มองจนหลินสวินอึดอัดไปทั้งตัว นี่กำลังเสี้ยมตนให้ไปปฏิสัมพันธ์กับจ้าวจิ่งเซวียนให้มากขึ้นงั้นหรือ
นี่ก็…
หลินสวินพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
วู้ม!
จักรพรรดิไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น พลันสะบัดแขนเสื้อ แท่นบูชาห้าสีที่อยู่ตรงหน้าก็เกิดเสียงคำรามราวกับตื่นจากการหลับใหล แผ่แสงอริยะศักดิ์สิทธิ์หลากสีพุ่งทะลวงฟ้ากะทันหัน แปรเป็นทางเดินมายาที่งดงามเส้นหนึ่ง พาดขวางระหว่างฟ้าดิน
พริบตานี้สัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายในนครต้องห้ามต่างตกใจ ส่งจิตรับรู้เข้ามาในส่วนลึกของพระราชวังโดยพร้อมเพรียง
ที่ตรงนั้นแสงรุ้งงดงามทะลวงฟ้า ราวกับความฝัน
“หลินสวินจะไปแล้ว!”
ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้ต่างตระหนักได้ ว่าช่องทางสู่ดินแดนรกร้างโบราณเปิดออกแล้ว
“กลับมาคราวหน้า หากสามารถต้องตาข้าได้ ข้าจะเลี้ยงเจ้ามื้อใหญ่!”
เรือนโอบดารานิทราบุหลัน ร่างอันผอมแห้งของเฒ่าโดดเดี่ยวยืดตรง นัยน์ตาขุ่นมัวเผยประกายประหลาด
“เส้นทางการเปลี่ยนชะตา ฝืนฟ้าตัดวิถี พิบัติเคราะห์กฎกรรม ตอนนั้นลู่ป๋อหยาแบกรับแทนเจ้า ตอนนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว…”
บนหอดูดาวหลวง ราชครูพิงราวกั้นทอดสายตามองไปไกล พึมพำเสียงเบา
“ศิษย์พี่ เขาไปแล้ว”
สำนักศึกษามฤคมรกต ภายในกระท่อมเชิงเขาภูผาบันไดสวรรค์ ชายชราที่เคยเห็นหลินสวินไต่ภูผาบันไดสวรรค์กับตาตื่นจากอาการเมาค้าง
“สำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ความแค้นของลู่ป๋อหยา… ยังไม่ถึงดินแดนรกร้างโบราณ เขาก็เกิดความขัดแย้งกับที่นั่นมากมายแล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่เงียบเหงาแน่”
เจ้าสำนักยิ้มพูดเนิบๆ
“ในที่สุดดาวอสูรน้อยนี่ก็ไปแล้ว!”
“เจ้าตัวซวย ไปซะที!”
ในเวลาเดียวกัน ขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลจั่ว ฉินและฉือ เหล่าคนใหญ่คนโตที่เกลียดหลินสวินเข้ากระดูกต่างโล่งอกอย่างสิ้นเชิง ราวกับยกภูเขาออกจากอก
ณ หอสรวลทรัพย์
ภายในเรือนหลังหนึ่ง จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงอันฮึกเหิมทรงพลังดังขึ้น จังหวะดนตรียิ่งใหญ่เกรียงไกร
ทันใดนั้นแขกทั้งหอต่างหยุดการกระทำในมือโดยพร้อมเพรียง เผยท่าทางสดับตรับฟัง เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับลำนำนี้เป็นอย่างดี
“ธาราธารโคจรคล่อง ไหลเวียนว่องมโหฬาร
มังกรซ่อนทะยานห้อ กรงเล็บล้อระบำหาญ
พยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวิน
อินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอย…”
เสียงเพลงที่ชัดเจนและไพเราะดังขึ้นพร้อมดนตรีที่ปลุกพลัง แต่ละคำแต่ละประโยคราวกับลมพายุสะเทือนไหว ทำให้จิตใจคนฮึกเหิม อารมณ์ราวกับถูกจุดให้ลุกโหมขึ้นมา
“อนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอย…”
หอสรวลทรัพย์ทั้งหอ ผู้ฝึกปราณมากมายต่างอดไม่ได้ต้องยกตะเกียบของตนขึ้นมาเคาะถ้วยที่อยู่ตรงหน้า ร้องตามไปด้วย
เสียงอันฮึกเหิมห้าวหาญนั่น เมื่อรวมกันแล้วมีพลังที่สะเทือนใจคน สั่นไหวอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ทำให้ทุกคนเลือดร้อนพลุ่งพล่าน
นี่คือลำนำผู้กล้า
เมื่อครั้งงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี หลิ่วชิงเยียนผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ฝึกปราณสายศิลป์อันดับหนึ่งสร้างความตะลึงให้ผู้คนด้วยลำนำบทนี้ ได้รับคำชมจากจักรพรรดินี รวมทั้งประทานชื่อว่าลำนำผู้กล้าด้วยตัวเอง
และคนทั่วหล้าต่างรู้โดยทั่วกันว่า ท่านอาจารย์ซูซานสือผู้แต่งเนื้อเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากชื่อเสียงของหลินสวินโดยบังเอิญ จึงประพันธ์บทเพลงที่ฮึกเหิมเกรียงไกร ทรงพลังมีพลานุภาพเช่นนี้ออกมาได้ และนับแต่นั้นก็แพร่กระจายไปทั่วหล้า เป็นที่จับจ้องของทุกคน
‘อนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอย…’ ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างนึกถึงหลินสวินที่กำลังจะจากไปโดยไม่ได้นัดหมาย ทอดถอนใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
“แต่น่าเสียดายที่ผู้ขับร้องลำนำนี้ไม่ใช่คุณหนูหลิ่วชิงเยียน ว่ากันว่านางไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณเงียบๆ ตั้งนานแล้ว เสียงอันไพเราะของนาง ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ยินอีกแล้ว”
มีคนถอนหายใจอย่างเสียดาย นึกถึงผู้ฝึกปราณสายศิลป์อันดับหนึ่งซึ่งเป็นดั่งตำนาน
……
ฟึ่บ!
บนแท่นบูชาห้าสี เงาร่างของหลินสวินหายไปกลางอากาศ ก้าวขึ้นไปในทางเดินอันลึกลับ
ทางเดินนี้ราวกับทะลุผ่านพื้นที่และกาลเวลา รอบๆ มีสีสันงดงาม ละอองแสงเป็นประกายแพรวพราว เดินอยู่บนนั้นราวกับเดินอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลา
ท่ามกลางความพร่าเบลอ มีรุ้งเหินปานสายฝนกะพริบอยู่เป็นระยะ มีดวงดาวเป็นประกายโคจรไปมา มีหมอกเมฆสีดำราวกับภาพมายาพรั่งพรู ลึกลับพร่ามัว งดงามโอ่อ่าอย่างที่สุด
สวบ!
หลินสวินก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างราวกับสายรุ้ง
‘พิบัติมหามรรคใกล้มาเยือน กำแพงโลกไม่มั่นคง จำไว้ ห้ามหันหลังกลับ รีบทำเวลาพุ่งไปข้างหน้า!’ นี่เป็นคำเตือนของจักรพรรดิก่อนมา
หลินสวินไม่กล้าชักช้าสักนิด
เพียงแต่มุ่งหน้าไปได้ไม่นาน เสียงแตกเปรี๊ยะๆ ระลอกหนึ่งก็ดังแว่วขึ้น ภายในทางเดินนี้ปรากฏรอยร้าวราวกับใยแมงมุมหนาแน่น แผ่กระจายออกเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่องรวดเร็วยิ่ง
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ สีหน้าคร่ำเคร่ง มุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง รอบตัวปรากฏเงามายาชือน้ำแข็งสีขาวดั่งหิมะ ทำให้ความเร็วของเขาเร็วจนถึงขีดสุดแล้ว
ตู้ม!
ด้านหลัง เสียงระเบิดอันน่าหวาดหวั่นดังขึ้นราวกับฟ้าดินถล่ม
หลินสวินไม่กล้าหันกลับไป ในใจเริ่มกังวล นี่เป็นทางเดินสู่ดินแดนรกร้างโบราณเชียวนะ ขวางกั้นอยู่ระหว่างฟ้าดิน หากพังทลายขึ้นมา พลังทำลายล้างนั่นเพียงพอที่จะฆ่าเขาได้ในชั่วพริบตา ไม่มีโอกาสให้ดิ้นรนอย่างแน่นอน
ฉัวะ!
รุ้งทะยานสายหนึ่งพุ่งออกมากะทันหัน แฝงไอมรณะอันคลุมเครือ เฉียดผ่านไหล่หลินสวินไปราวกับคมดาบ
ชั่วขณะนั้นหลินสวินหนังหัวชาวาบ รู้สึกผวาราวกับเฉียดผ่านเทพเจ้าแห่งความตายมา น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว
นั่นอะไร
หลินสวินตระหนก เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง แต่มั่นใจว่าสายรุ้งเมื่อครู่นี้ออกมาจากทางเดินที่ถล่มอยู่ข้างหลัง!
ตู้ม!
ความเร็วที่ทางเดินมายาถล่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงระเบิดดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ฝนแสงและลมพายุปั่นป่วนอันน่าหวาดหวั่นกำลังโหมคลั่งแผ่กระจาย
หลินสวินพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง จนสุดท้ายถึงขั้นเรียกยานขนส่งอวกาศ มุ่งหน้าไปราวกับแสงประกาย หลบเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่นานหลินสวินพลันหรี่ตาลง ห่างออกไปอีกด้านของทางเดิน สัตว์ปีศาจเร้นลับที่ใหญ่มหึมาตัวหนึ่งห่อหุ้มดวงดาวนับหมื่นพัน ทะยานผ่านความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตมาทางนี้
เพียงแค่ดวงตาคู่นั้นก็แดงก่ำน่าหวาดหวั่นราวกับอาทิตย์ดวงโต ยิงแสงศักดิ์สิทธิ์น่าพรึงอันเลือดเย็นไร้ปรานีออกมา!
เมื่อเทียบกับร่างใหญ่โตนั่น ดวงดาวก็เหมือนลูกปัดที่ไม่สะดุดตาเม็ดแล้วเม็ดเล่า…
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ นี่มันตัวบ้าอะไร!
สิ่งที่ทำให้หลินสวินมือเท้าเย็นเฉียบมากที่สุดคือ สัตว์ปีศาจที่เร้นลับนั่นดันพุ่งเข้ามาในทางเดินมายา!
หากให้มันเข้าใกล้ จุดจบนั้นคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิดอย่างแน่นอน!
หนี!
หลินสวินบังคับยานขนส่งอวกาศ แทบจะใช้พลังทั้งหมดมุ่งหน้าอย่างบ้าคลั่ง
เขาไม่คิดเลยว่าเพียงก้าวขึ้นทางเดินสู่ดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันและยังอันตรายถึงเพียงนี้
ตู้ม!
ทางเดินมายาเริ่มปรากฏแนวโน้มที่จะพังทลายอย่างเต็มรูปแบบ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยสัญญาณพังทลาย ฝนแสงโหมกระหน่ำราวกับพายุ ซัดโครมครามปั่นป่วน
และไกลออกไปในความว่างเปล่า สัตว์ปีศาจเร้นลับตัวนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ…
ถึงขั้นที่หลินสวินสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ในส่วนลึกของดวงตามันเหมือนมีลายลักษณ์รอยเทพ คลุมเครือและเยียบเย็น ราวกับสามารถกลืนจิตวิญญาณของคนได้ น่าหวั่นหวาดอย่างที่สุด
ตู้ม!
ทันใดนั้นหลินสวินเพียงรู้สึกสั่นไหวอย่างรุนแรงไปทั้งตัว ยานขนส่งอวกาศสั่นขึ้นมากะทันหัน บินออกจากทางเดิน พุ่งเข้าไปในความวุ่นวายโกลาหล
จากนั้นฟ้าสะเทือนแผ่นดินไหว เกิดเสียงกระแทกจากการร่วงหล่นอันน่ากลัว พลังยิ่งใหญ่ม้วนตลบไปทั่ว บดขยี้ก้อนหินและต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ จนแหลก
บนพื้นดินเกิดหลุมขนาดใหญ่ รอยแตกร้าวมากมายแผ่กระจายออกจากหลุมยักษ์นั่น ปกคลุมในระยะร้อยจั้ง ราวกับเป็นความเสียหายที่เกิดจากอุกกาบาตตกจากฟ้า
และก้นหลุม ยานขนส่งอวกาศสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่นานกว่าจะกลับสู่ความสงบ แต่หลินสวินที่อยู่ในยานขนส่งอวกาศกลับมีเลือดไหลตรงมุมปาก ใบหน้าซีดเซียว ตัวอ่อนปวกเปียกลงไปกองอยู่บนพื้นยานขนส่ง หายใจหอบถี่ หน้าผากมีเหงื่อเม็ดใหญ่ซึมออกมา
‘รอดแล้วหรือ’
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงได้สติจากความหวาดกลัวและหวาดผวา ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
ยามนี้เขาจึงพบว่าตนได้รับบาดเจ็บจากการหนีเอาตัวรอดเมื่อครู่นี้ พลังกายก็กำลังจะหมดลง!
‘โชคดี นี่ยังนับได้ว่าหนีพ้นความตายมาแล้ว’ หลินสวินกัดฟัน นั่งขัดสมาธิลงตรงนั้นเพื่อทำการรักษาบาดแผล
ในเวลาเดียวกันเขาก็รับสัมผัสอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นทิวทัศน์ภายนอกสะท้อนเข้ามาในหัวเขา นี่เป็นฟ้าดินที่ไม่คุ้นเคย ไอวิญญาณคละคลุ้ง พืชพรรณเบ่งบานสดใหม่ ห่างออกไปยิ่งมีเทือกเขาที่งามสง่า หมอกศักดิ์สิทธิ์ลอยคว้าง งดงามน่าดึงดูด
นี่…
หลินสวินเบิกตาโพลง นี่คือดินแดนรกร้างโบราณกระมัง เพราะในจักรวรรดิจื่อเย่าไม่เคยมีไอวิญญาณที่เข้มข้นและอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้
อย่างภูเขาชำระจิตที่ถูกเรียกว่าสถานที่แห่งเส้นปราณวิญญาณ เมื่อเทียบกับไอวิญญาณของฟ้าดินผืนนี้แล้ว กลับประหนึ่งแห้งแล้งราวกับเป็นดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง
‘น่าจะสำเร็จแล้ว!’
ในดวงตาดำของหลินสวินทอประกาย เขารับรู้ได้รางๆ ว่ามีพลังประหลาดกระจายอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ไร้รูปไร้ตัวตน แต่กลับเต็มไปทั่วทุกแห่งหน
นั่นคือระเบียบมหามรรคที่สมบูรณ์แบบ และในจักรวรรดิจื่อเย่ามหามรรคบกพร่อง จึงแตกต่างจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง
หลินสวินเคยเข้าสู่แดนวิญญาณโบราณระหว่างการทดสอบในห้องโถงมรรคาสวรรค์ จึงรู้ชัดในความแตกต่างของระเบียบฟ้าดินนี้เป็นอย่างดี!
——
(จบภาค อำนาจทั่วนครหลวง)
[ภาค สายลมเริ่มปรากฏในดินแดนรกร้างโบราณ] ตอนที่ 759 ซย่าเสี่ยวฉง
โดย
ProjectZyphon
ดินแดนรกร้างโบราณ ในที่สุดข้าหลินสวินก็มาแล้ว!
นอกจากตื่นเต้น ในใจหลินสวินก็มีความรู้สึกหวาดผวาหลังจากรอดพ้นพิบัติเคราะห์ เมื่อครู่นี้อันตรายเกินไปแล้ว อีกเพียงนิดดวงจิตก็เกือบจะสลายแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังบาดเจ็บ สูญเสียพลังกายอย่างหนัก
‘สัตว์ปีศาจเร้นลับที่ห่อหุ้มดวงดาวนับหมื่นพัน ทะยานข้ามความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุดเข้ามาตัวนั้นก็ไม่รู้ว่าอยู่ในระดับใด น่ากลัวเกินไปแล้ว…’
หลินสวินนึกถึงตอนที่ข้ามทางเดินมายาอีกครั้งก็ยังคงหวาดหวั่น
เขารู้มานานแล้วว่าในห้วงอากาศว่างเปล่ามีความน่าสะพรึงซ่อนอยู่ มีเพียงไปถึงระดับอริยะเท่านั้น จึงจะสามารถหยั่งรู้และควบคุมปริศนาของมันได้ เคลื่อนย้ายข้ามผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าที่กีดขวางอยู่ได้
ตอนนี้หลังจากผ่านอันตรายเมื่อครู่นี้ หลินสวินก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของการเคลื่อนย้ายห้วงอากาศ
บริเวณรอบๆ เงียบมาก คงจะเป็นถิ่นทุรกันดารแห่งหนึ่ง ร่องรอยผู้คนบางตา
ห่างออกไปเทือกเขายักษ์ใหญ่ทอดตัวในแนวราบคดเคี้ยว ต้นไม้โบราณผงาดจากพื้นดินทะลวงฟ้า เปรียบเสมือนเสาค้ำจุนสวรรค์ เป็นภาพดึกดำบรรพ์ไร้ที่สิ้นสุด
บนเวิ้งฟ้า อาทิตย์ดวงโตลอยสูง ร้อนแรงเจิดจ้า อานุภาพราวหลอมสรรพสิ่ง ทว่ากลับมีสารพลังแห่งสุริยาที่บางเบายิ่งล่องลอยออกมา!
นี่กับจักรวรรดิจื่อเย่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้จิตรับรู้ของหลินสวินยังสามารถรับรู้ได้อย่างว่องไวว่า ฟ้าดินผืนนี้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างมาก ในอากาศสั่งสมไอวิญญาณเข้มข้น เพียงแค่หายใจเท่านั้นก็ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง
‘มิน่าผู้ฝึกปราณของดินแดนรกร้างโบราณถึงมองว่าโลกชั้นล่างเป็นดินแดนแห้งแล้ง เมื่อเทียบกันแล้ว ดินแดนรกร้างโบราณวิเศษมากจริงๆ’
หลินสวินแอบทอดถอนใจ ตามการคาดเดาของเขา แม้เป็นเพียงคนธรรมดา หากได้ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ได้สูบไอวิญญาณในระยะยาว จะต้องอายุยืนนาน ร่างกายแข็งแกร่ง กำลังวังชาเต็มเปี่ยมอย่างแน่นอน ต่อให้ก้าวสู่หนทางมหามรรคก็เป็นเรื่องที่ง่ายดาย
แต่โลกชั้นล่างกลับแตกต่าง ไอวิญญาณในฟ้าดินแห้งเหือด ทำให้คนธรรมดาส่วนใหญ่ทั้งชีวิตก็ไม่สามารถก้าวสู่เส้นทางการฝึกปราณ
นอกจากนี้ความแตกต่างที่สุดของดินแดนรกร้างโบราณกับโลกชั้นล่างคือ มหามรรคแห่งฟ้าดินสมบูรณ์ไร้จุดบกพร่อง!
ข้อดีนี้ยอดเยี่ยมมากเกินไปแล้ว
การฝึกปราณในโลกชั้นล่างที่มหามรรคบกพร่อง ท่องทำนองแห่งมรรคที่หยั่งถึงย่อมไม่สมบูรณ์ นี่จะส่งผลกระทบต่อการฝึกปราณของผู้ฝึกปราณ ทำให้พวกเขาไม่มีความหวังจะไต่สู่ระดับการฝึกปราณที่สูงยิ่งกว่าไปชั่วชีวิต
แต่ถ้าฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ ก็จะไม่ประสบปัญหานี้
‘ชิงเจ๋อนั่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่เหตุผลที่เขาสามารถสยบเหล่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติของจักรวรรดิได้อย่างง่ายดาย คงไม่ได้อยู่ที่พลังที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่อยู่ที่เส้นทางฝึกปราณของเขาไม่เคยบกพร่อง!’
‘ส่วนเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิแม้ระดับปราณอาจจะสูงกว่าเขา แต่มรรคาที่หยั่งรู้จากการฝึกปราณกลับบกพร่อง ทำให้พลังของพวกเขามีจุดที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้อานุภาพที่สำแดงออกมาตอนต่อสู้ สู้ผู้ฝึกปราณที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณอย่างชิงเจ๋อไม่ได้’
‘โชดดีที่ตอนอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ข้าได้ซ่อมเสริมข้อบกพร่องของการฝึกปราณแล้ว ฝึกปราณทั้งสี่ระดับอย่างระดับกำลังภายใน จิตผสานวิญญาณ มหาสมุทรวิญญาณและหยั่งสัจจะใหม่รอบหนึ่ง มิฉะนั้นคงแพ้ผู้ฝึกปราณจากดินแดนรกร้างโบราณไปขั้นหนึ่ง…’
ในใจหลินสวินพลันตระหนักได้หลายอย่าง
สวบ!
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นหลินสวินลุกจากท่านั่งขัดสมาธิแล้วเก็บยานขนส่งอวกาศ
‘ต้องรีบไปจากที่นี่ก่อน เมื่อครู่นี้เกิดเสียงดังมากเกินไป ยากจะรับประกันว่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของสิ่งมีชีวิตใกล้ๆ…’
ผ่านการปรับพลัง หลินสวินก็ฟื้นคืนพลังปราณส่วนหนึ่งแล้ว จึงตัดสินใจออกจากที่นี่ก่อน
‘พลังกดข่มฟ้าดินรุนแรงมาก!’
เพียงแต่ทันทีที่หลินสวินเคลื่อนไหวก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ระหว่างที่ทะยานอยู่กลับรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ราวกับถูกสยบกดดัน
นี่ทำให้หลินสวินตกใจ มิน่าตอนที่ผู้ฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณปรากฏตัวในโลกชั้นล่าง พลังจึงแข็งแกร่งขึ้น เพราะพวกเขาไม่ถูก ‘จำกัด’ และ ‘กดข่ม’ อีกต่อไป สามารถปลดปล่อยพลังได้มากกว่าที่ผ่านมา สัมผัสถึงความรู้สึกที่ว่าสามารถกระทำได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร
ทันใดนั้นหลินสวินพลันหรี่ตา ในจิตรับรู้พลันสัมผัสได้ว่า ในจุดที่ห่างไปไกลโพ้นมีเงาร่างหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ
นั่นเป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบกว่าปี สวมชุดกระโปรงเรียบๆ ผมยาวสีฟ้าอ่อนมัดเป็นมวยสองข้าง คิ้วโค้งงอ ตาโตดำสนิท ท่าทางดูบริสุทธิ์น่าเอ็นดู มีกลิ่นอายไร้เดียงสาอย่างหนึ่ง
เพียงแต่ตอนนี้ท่าทางของนางกลับดูลับๆ ล่อๆ เดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง มือขาวเนียนถือทวนยาวสีเงินยวง
“อา เจอแล้ว อยู่ตรงนั้น!”
ไม่นานดวงตาสีดำของเด็กสาวพลันทอประกาย เห็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้นไกลๆ ก็อดกำหมัดเล็กสีชมพูขึ้นมาไม่ได้
“แฮะๆๆ เมื่อครู่นี้เสียงดังขนาดนั้น ต้องมีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้นแน่ๆ ฮู้ว นี่อาจจะเป็นมหาศุภโชคของข้าซย่าเสี่ยวฉง!”
เด็กสาวยังไม่ทันเข้ามาใกล้ก็พึมพำเอาเอง ท่าทางดูมุ่งมั่นและดีใจ มุมปากฉ่ำวาวมีน้ำลายไหลออกมาแล้ว เมื่อบวกกับท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาน่ารักของนาง ก็เพิ่มความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาสามส่วน ดูน่าเอ็นดูนัก
“อะแฮ่มๆ”
หลินสวินกระแอมแห้งๆ สองทีพร้อมปรากฏตัว เขาเห็นแล้วว่าสาวน้อยคนนี้ไม่มีอันตราย
“อ๊าก!”
ซย่าเสี่ยวฉงเบิกตาโต ปากเล็กอ้าออกเล็กน้อย จ้องแขกไม่ได้รับเชิญที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวไม่วางตา ท่าทางเหมือนจะตาค้างไปแล้ว
จากนั้นนางถึงเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง ตะโกนว่า “อย่าฆ่าข้า ท่านเอาวาสนาไป ข้าไม่เอาแล้ว ลาก่อน!”
พูดจบนางก็พุ่งหนีไปตามทางเดิมเหมือนกระต่ายน้อยที่ตระหนกตกใจ
หลินสวินอึ้งเล็กน้อย ลูบแก้มตัวเองตามโดยไม่รู้ตัว แอบพูดว่าเมื่อครู่นี้ตนไม่ได้แสดงตัวเป็นศัตรูเลยแท้ๆ ก็น่าตกใจขนาดนี้แล้วหรือ
“นี่ อย่าวิ่งสิ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”
หลินสวินพยายามทำให้ตัวเองดูเป็นมิตรที่สุดแล้วไล่ตามไป
“อาจารย์ของข้าบอกว่าไม่ให้ข้าคุยกับคนแปลกหน้า ท่านอย่าเข้ามา ไม่อย่างนั้นข้าเอาจริงขึ้นมาก็ฆ่าคนได้เลยนะ!”
ห่างออกไปซย่าเสี่ยวฉงกรีดร้อง นางเหมือนยิ่งตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
“ข้าบอกแล้วว่ามาดี เพียงแค่หลงทางอยากถามทางเจ้า”
หลินสวินจนปัญญา
“ท่านโตขนาดนี้แล้วยังหลงทาง ข้าไม่เชื่อหรอก ต้องหลอกข้าแน่ ท่านๆๆ… หยุดตามได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!”
ซย่าเสี่ยวฉงหันกลับมา กัดฟันแสร้งทำท่าดุร้าย ทว่าท่าทางของนางใสซื่อเกินไป ทำเช่นนี้กลับเหมือนกำลังทำหน้าทะเล้น ไม่สามารถข่มขวัญได้เลยสักนิด
โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าเงาร่างของหลินสวินใกล้เข้ามาแล้ว นางพลันตกใจจนร้องเสียงดังหันหลังหนีทันที
หลินสวินดูออกอย่างสิ้นเชิงแล้ว ว่านี่คือเด็กสาวที่ยังอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง
สวบ!
เงาร่างหลินสวินไหววูบ เข้าไปขวางซย่าเสี่ยวฉงแล้วพลันพูด “แม่นางน้อย ข้า…”
ไม่รอให้เขาพูดจบก็เห็นซย่าเสี่ยวฉงชนเข้ามาราวกับหยุดร่างกายไม่ทัน หลินสวินยื่นมือข้างหนึ่งออกไปหยุดศีรษะของซย่าเสี่ยวฉงไว้ทันควัน มือซ้ายโอบตรงเอว แล้วค่อย ‘วาง’ นางไว้ตรงหน้า
ซย่าเสี่ยวฉงคล้ายมึนงงเล็กน้อย พูดซื่อๆ ออกมา “เหตุใดจู่ๆ ท่านจึงมาอยู่ข้างหน้าข้าเล่า”
ทันใดนั้นนางน้ำตาคลอ มองหลินสวินอย่างน่าสงสารพร้อมเอ่ย “ขอร้องท่านล่ะ อย่าฆ่าข้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าออกมาฝึกข้างนอก หากตายไปอาจารย์ข้าต้องเสียใจมากแน่”
หลินสวินกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกันและไม่รู้จักกันมาก่อน เหตุใดข้าต้องฆ่าเจ้า”
“หา?”
ซย่าเสี่ยวฉงอึ้ง เกาหัวแกรกๆ พลันพูด “ที่ท่านพูดเหมือนจะมีเหตุผลมาก”
นางสวมชุดกระโปรงเรียบๆ ผมยาวสีฟ้าอ่อนม้วนมวยสองข้าง ท่าทางใสซื่อน่ามอง เพียงแต่เห็นได้ชัดว่านางเลอะเลือนเล็กน้อย เหมือนเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่รู้ความอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นท่านหลงทางจริงๆ หรือ”
ซย่าเสี่ยวฉงมองหลินสวิน ดวงตาสีดำอ่อนเยาว์บริสุทธิ์ ท่าทางเหมือนแปลกใจอย่างมาก
เหตุผลที่ว่าหลงทางแม้แต่หลินสวินเองยังรู้สึกไม่เข้าท่า แต่เขาก็ยังพยักหน้าอย่างจริงจัง ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนที่ตนอยู่เลย จึงต้องการทำความเข้าใจทุกอย่างโดยเร็วที่สุด
“เช่นนั้นมีอะไรที่ข้าช่วยท่านได้หรือ” ซย่าเสี่ยวฉงถาม เหมือนไม่ได้ระแวงและหวาดกลัวแล้ว ท่าทางดูห่วงใยมาก
นี่ทำให้หลินสวินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทำให้เด็กสาวไม่รู้ความคนหนึ่งมาปฏิบัติกับตนเหมือนสงสารคนเสียสติเช่นนี้ เป็นความรู้สึกที่แปลกมากจริงๆ
“แน่นอนว่าเจ้าช่วยข้าได้”
จากนั้นหลินสวินก็ถามคำถามที่สนใจที่สุด “ที่นี่คือที่ไหน”
ซย่าเสี่ยวฉงกะพริบตาปริบ พูดเสียงกังวาน “ภูเขาโคม่วงไง ท่านไม่รู้หรือ แล้วท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ตนเพิ่งถามไปคำถามเดียว ยัยหนูนี่ก็ตอบเสียหลายประโยค นี่ทำให้หน้าผากหลินสวินปรากฏเส้นเลือดนูนขึ้นมา พูดอย่างใจเย็นว่า “ข้าถาม เจ้าตอบก็พอ”
ซย่าเสี่ยวฉงว่าง่ายมากจริงๆ พลันตอบรับทันที “ได้ ท่านถามเถอะ”
“เมืองที่ใกล้ภูเขาโคม่วงที่สุดอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้”
“ไม่รู้หรือ”
หลินสวินพูดไม่ออก เด็กสาวคนนี้เลอะเลือนเกินไปแล้วหรือเปล่า
“ใช่ เพราะภูเขาโคม่วงกินพื้นที่หลายหมื่นลี้ ไม่มีเมือง แค่นี้ท่านก็ไม่รู้หรือ”
คำพูดนี้ของซย่าเสี่ยวฉงทำให้หลินสวินอักอ่วนขึ้นมาทันที ใบหน้าแทบจะแขวนไว้ไม่อยู่ ที่แท้ไม่ใช่เพราะเด็กสาวคนนี้เลอะเลือน แต่เป็นเพราะตนถามคำถามที่เหมือนคนโง่
“เฮ้อ ท่านน่าสงสารเกินไปแล้ว ไม่เพียงแค่หลงทาง ดูเหมือนว่าสมองก็มีปัญหาด้วย” ในดวงตาคู่โตใสของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความสงสาร “ไม่งั้นท่านไปกับข้าเถอะ ข้าพาท่านไปหาอาจารย์ของข้า ให้อาจารย์ข้าดูอาการ”
สมองมีปัญหา?
ดูอาการ?
หลินสวินค้นพบอย่างกะทันหันว่ายามที่ตนอยู่ต่อหน้ายัยหนูคนนี้ มักรู้สึกเหมือนอยากจะบ้า
“ข้าถาม เจ้าตอบ!” หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เน้นเสียงให้หนักขึ้น
ซย่าเสี่ยวฉงขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง ดวงตาเล็กใสบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความจริงใจ “เอาเถอะ ดูท่าท่านคงยังไม่ตายใจ ไม่ยอมรับว่าสมองตนมีปัญหา แต่ไม่เป็นไร ท่านน่าสงสารขนาดนี้แล้ว ข้าจะไม่หัวเราะเยาะท่านหรอก”
“…”
หลินสวินพูดอะไรไม่ออกจริงๆ แล้ว
หากผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิจื่อเย่ารู้ว่าเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ ในใจพวกเขา เพิ่งมาถึงดินแดนรกร้างโบราณก็ถูกเด็กสาวที่บริสุทธิ์น่าเอ็นดูและไร้เดียงสาเลอะเลือนคนหนึ่งบีบจนแทบจะพูดไม่ออก เสียการควบคุมและบ้าคลั่ง ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
สุดท้ายหลินสวินยอมประนีประนอมแล้ว ตัดสินใจจะไปกับซย่าเสี่ยวฉงโดยไม่ถามอะไรอีก เพราะคำตอบของยัยหนูคนนี้มักจะ ‘ทำร้ายจิตใจ’ ขนาดนั้น
“นี่ พวกเราไปกันเถอะ รอมุกควบรวมจิตในมือข้าสะสมพลังจิตวิญญาณเต็มก่อน ก็จะพาท่านไปพบอาจารย์ของข้าด้วยกัน!”
เด็กสาวในชุดกระโปรงเรียบๆ นำทางอยู่ข้างหน้าด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เส้นผมสีฟ้าอ่อนพลิ้วไปตามสายลมราวกับผีเสื้อตัวน้อยที่ไร้ความกังวล บริสุทธิ์ไร้เสียงสา
นี่ก็คือซย่าเสี่ยวฉง
ผู้ฝึกปราณคนแรกที่หลินสวินเจอหลังจากมาถึงดินแดนรกร้างโบราณ เด็กสาวใสซื่อที่เลอะเลือนไร้เดียงสา จิตใจบริสุทธิ์เมตตา
ตอนที่ 760 สี่แดนวิภู
โดย
ProjectZyphon
บนแผ่นดินคดเคี้ยว เขาเขียวกว้างใหญ่ ล้อมด้วยเมฆอันงดงาม
ต้นไม้เก่าแก่รวมตัวเป็นผืนป่า สูงตระหง่านเสียดฟ้า แม้แต่ใบหญ้าบนพื้นดินยังอุดมสมบูรณ์ แผ่พลังชีวิตเปี่ยมล้น ทอดสายตามองไปทุกที่ล้วนปรากฏกลิ่นอายโบราณดั้งเดิม
ซย่าเสี่ยวฉงถือทวนเงิน ก้าวเท้าแผ่วเบาทะลุผ่านพุ่มหญ้า สดใสและมีชีวิตชีวา ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู
“มุกควบรวมจิตหรือ”
ระหว่างทางหลินสวินอดสงสัยไม่ได้
“อืม ก็คืออันนี้”
ซย่าเสี่ยวฉงพลิกฝ่ามือ มุกสีฟ้าเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้น ขนาดประมาณไข่ไก่ แวววาวโปร่งแสง อบอวลด้วยแสงประกายเย็นเยียบ
“เวลาล่าสัตว์ปีศาจ สามารถใช้สิ่งนี้ดูดกลืนจิตวิญญาณของสัตว์ปีศาจได้ เมื่อจิตวิญญาณที่สะสมถึงระดับใดระดับหนึ่ง มุกควบรวมจิตก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง แปรเป็นหยกควบรวมจิต สามารถนำมาทำยาและสร้างเป็นสมบัติได้”
เสียงของซย่าเสี่ยวฉงใสกระจ่าง “มุกควบรวมจิตในมือข้ามีมาตรฐานระดับกลางเท่านั้น ดูดกลืนได้เพียงจิตวิญญาณของสัตว์ปีศาจระดับมหาสมุทรวิญญาณ และภารกิจของข้าในครั้งนี้ก็คือรวบรวมจิตวิญญาณในมุกควบรวมจิตให้เต็ม ทำให้มันกลายเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลาง หลังจากนั้นก็จะสามารถกลับสำนักไปส่งมอบให้อาจารย์ได้”
“อ้อ”
หลินสวินสนใจมาก ยืมมุกควบรวมจิตมาดู และใช้จิตรับรู้สอดส่องภายใน พลันมองเห็นจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจมากมายปรากฏอยู่ภายใน มีงูนอแผงเขียว จิ้งจอกดำดินสลาย นกกระจอกเพลิงเหินเมฆา นกกระทานัยน์เนตร และอื่นๆ อีกหลายสิบตัว
“สะสมจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจ แปรเป็นหยกเทพ สามารถทำยาและหลอมอาวุธ… สมบัติชิ้นนี้มีคุณสมบัติที่สุดยอดเพียงนี้เชียวหรือ”
หลินสวินแปลกใจมาก เขาเพิ่งเคยเห็นสมบัติที่วิเศษขนาดนี้เป็นครั้งแรก
“ใช่แล้ว ได้ยินอาจารย์ของข้าบอกว่า บนโลกนี้ยังมีมุกควบรวมจิตชั้นดีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีกด้วย ไม่เพียงสามารถดูดกลืนจิตวิญญาณของสัตว์ปีศาจระดับกระบวนแปรจุติได้ ยังสามารถควบรวมไอแห่งมหามรรค มีประโยชน์ต่อการหยั่งรู้ปริศนามหามรรคอย่างเหลือเชื่อ”
ใบหน้าของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความมุ่งหวังและหมายปอง
“นี่ น้ำลายจะไหลลงมาแล้ว”
หลินสวินเตือน
ซย่าเสี่ยวฉงเช็ดมุมปากแวววาว หัวเราะแฮะๆ แล้วพูด “ทำให้ท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว”
แม้จะพูดเช่นนี้นางกลับไม่รู้สึกเคอะเขินเลยสักนิด ท่าทางดูใสซื่อบริสุทธิ์
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็อดหมดคำพูดไม่ได้ ในใจกลับค่อนข้างชอบนิสัยของเด็กสาวคนนี้ ไร้เดียงสาเป็นอิสระ สดใสน่าเอ็นดู
“เจ้าต้องการจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจอีกเท่าไหร่”
หลินสวินถาม
ซย่าเสี่ยวฉงหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที พูดอย่างมีใจแต่ไร้แรง “เยอะมากๆ”
“เท่าไหร่กันแน่”
“อย่างน้อย… ต้องเป็นพันมั้ง”
“มากขนาดนี้เชียว”
“ใช่ หากต้องการเปลี่ยนมุกควบรวมจิตระดับกลางเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลาง เป็นเรื่องที่ยากมาก อาจารย์บอกว่านี่เป็นบททดสอบของข้า หากไม่สามารถทำได้ก็ไม่อนุญาตให้กลับสำนัก”
“เจ้ามาจากสำนักไหน”
“เอ้อ ลืมบอกท่านไปเลย ข้ามาจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาว”
“สำนักยุทธ์กลุ่มดาวหรือ เล่ารายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“ท่านไม่เคยได้ยินหรือ สำนักยุทธ์กลุ่มดาวของเรามีชื่อเสียงอย่างมากในแคว้นวิญญาณอัคนี”
“หืม?”
“แฮะๆ ส่วนเหตุผลที่มีชื่อเสียงท่านเดาไม่ออกแน่ เพราะในสำนักยุทธ์กลุ่มดาวของเรามีอยู่เพียงสองคนเท่านั้น”
“สองคน?”
“ใช่ ข้ากับอาจารย์ของข้า”
“สุดยอด… จริงๆ!”
หลินสวินไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ สำนักหนึ่ง กลับพึ่งการที่มีจำนวนคนน้อยในการสร้างชื่อเสียง ช่างเป็นเรื่องประหลาดจริงๆ
“ข้าเองก็รู้สึกว่าสุดยอด”
กลับเห็นซย่าเสี่ยวฉงท่าทางภาคภูมิใจ เชยคางขึ้นสูง ดวงตาโตคู่ใสกำลังทอประกาย
‘บางที ความไม่รู้ก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง…’ หลินสวินแอบทอดถอนใจ
ทั้งสองคุยกันมาตลอดทาง แต่ก็ทำให้หลินสวินเข้าใจหลายๆ อย่าง
ดินแดนรกร้างโบราณ
นี่เป็นโลกที่กว้างใหญ่งดงาม เก่าแก่และโอ่อ่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสำนักมากมายถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้
ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน หมื่นเผ่าหยัดยืน วีรชนเปี่ยมล้น ผู้กล้าหนาแน่น มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่และรุ่งโรจน์เรืองรองอันยากจะจินตนาการ
ในทำนองเดียวกัน ดินแดนรกร้างโบราณก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘หนึ่งดินแดนสี่แดนวิภู หนึ่งแดนวิภูสามพันแคว้น’
สี่แดนวิภู หมายถึงแดนชัยบูรพา แดนฐิติประจิม แดนกาฬทักษิณ แดนดาราอุดร
ในทุกๆ แดนวิภู ล้วนเรียกได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมอาณาเขตไม่มีที่สิ้นสุด ที่เรียกว่าหนึ่งแดนวิภูสามพันแคว้นก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ในสี่แดนวิภูยังมีโลกเล็กๆ จำนวนหนึ่งกระจายอยู่ ความกว้างใหญ่ไพศาลนั่นเหนือจินตนาการ
ในทุกๆ แดนวิภูโลกล้วนมีประวัติศาสตร์การฝึกปราณและสำนักฝึกปราณที่เป็นเอกลักษณ์ โดยในนี้หมายรวมถึงขุมกำลัง เผ่าพันธุ์ และสำนักที่แตกต่างกัน… เรียกได้ว่ามากมายราวกับดวงดาว สีสันเจิดจรัส!
เมื่อครั้งอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า ตอนที่หลินสวินได้ยินคำอธิบายเกี่ยวกับดินแดนรกร้างโบราณก็อดตะลึงไม่ได้
ภายหลังเขาจึงเข้าใจ บางทีอาจจะเพราะดินแดนรกร้างโบราณกว้างใหญ่ไพศาล ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบันจึงได้ให้กำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานนับไม่ถ้วน และปรากฏผู้กล้ามากมาย
ตอนนี้หลินสวินเข้าใจแล้วว่า ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้คือแคว้นวิญญาณอัคนี ตั้งอยู่ในแดนฐิติประจิมของดินแดนรกร้างโบราณ
แดนฐิติประจิม
โลกที่แปลกใหม่มากสำหรับหลินสวิน
ก่อนจะมาดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินเคยรู้เพียงคร่าวๆ เกี่ยวกับแดนชัยบูรพา
เพราะแดนชัยบูรพาถูกเรียกว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงในดินแดนรกร้างโบราณ!
ที่นั่นมีสำนักที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก รุ่งเรืองและเฟื่องฟู ถือเป็น ‘หัวใจสำคัญ’ ของดินแดนรกร้างโบราณ
พูดอย่างไม่เกินจริง หากพูดถึงรากฐานอันเก่าแก่ในดินแดนรกร้างโบราณ สำนักที่สามารถย้อนไปถึงสมัยบรรพกาลได้ เกือบครึ่งล้วนอยู่ในแดนชัยบูรพา
เท่าที่หลินสวินรู้ สำนักกระบี่เทียมฟ้าที่อวิ๋นชิ่งไป๋อยู่ ก็อยู่ในแดนชัยบูรพา!
“เสี่ยวฉง เจ้าเคยได้ยินชื่อแดนชัยบูรพาหรือไม่”
หลินสวินถาม
“แน่นอนว่าเคยได้ยิน ที่นั่นก็เหมือนแดนฐิติประจิม ล้วนเป็น ‘สถานที่ศักดิ์สิทธิ์’ ที่มีชื่อเสียงของดินแดนรกร้างโบราณ เจริญรุ่งเรืองยิ่ง มีอริยะที่แท้จริงควบคุมดูแล เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้ฝึกปราณทั่วหล้าหมายปองที่สุด”
ซย่าเสี่ยวฉงตอบโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
หลินสวินอึ้ง “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าจากแดนฐิติประจิมจะไปแดนชัยบูรพาได้อย่างไร”
“ไม่รู้”
ซย่าเสี่ยวฉงส่ายหน้า “ไกลเกินไป ตอนข้าเด็กๆ เคยได้ยินอาจารย์บอกว่า แดนชัยบูรพาไม่ใช่ที่ที่ใครจะไปได้ง่ายๆ ไปที่นั่นต้องผ่านแคว้นใหญ่และเขตแดนมากมาย ระยะทางห่างไกล ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาขึ้นสวรรค์”
หลินสวินหนักใจ ไกลมากเลยหรือ
เขาตระหนักได้ถึงปัญหา ตอนที่เขาจากจักรวรรดิมา ปลายทางของทางเดินมายาควรจะเป็นแดนชัยบูรพาถึงจะถูก
แต่ระหว่างทางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้ทางเดินมายาระเบิดจนตนต้องลำบากไปด้วย ภายใต้ความผิดพลาดทั้งปวงจึงมาที่แดนฐิติประจิมซึ่งไม่คุ้นเคยแห่งนี้
“ท่านจะไปแดนชัยบูรพาหรือ” ซย่าเสี่ยวฉงถามอย่างสงสัย
หลินสวินพยักหน้า ไม่ได้ปิดบัง ที่เขามาดินแดนรกร้างโบราณ เหตุผลแรกก็เพื่อแก้แค้น และถ้าต้องการแก้แค้นก็ต้องไปที่แดนชัยบูรพา
เพราะสำนักกระบี่เทียมฟ้าอยู่ที่นั่น อวิ๋นชิ่งไป๋ก็อยู่ที่นั่น!
“ท่านมีความมุ่งมั่นมาก” ซย่าเสี่ยวฉงชื่นชม ดวงหน้าเล็กไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความนับถือ
หลินสวินพูดไม่ออก แค่ไปแดนชัยบูรพาเท่านั้น เกี่ยวกับความมุ่งมั่นได้อย่างไร
“จริงสิ อาจารย์เจ้าคงรู้ว่าจะไปแดนชัยบูรพาอย่างไรใช่หรือไม่” หลินสวินอดถามไม่ได้
“อาจจะ”
ซย่าเสี่ยวฉงลังเลเล็กน้อย “รอข้ากลับสำนักจะถามให้ท่านแล้วกัน”
“งั้นรบกวนเจ้าด้วย”
ตอนหลินสวินพูดถึงตรงนี้ ห่างไปไกลพลันมีเสียงเคลื่อนทะยาน ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งเคลื่อนเข้ามาพร้อมเสียงกึกก้อง
นั่นเป็นกลุ่มผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ ชายหล่อหญิงงาม สวมใส่ชุดตระการตา บุคลิกแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ดูก็รู้ว่ามาจากขุมอำนาจใหญ่
ทว่าไม่นานหลินสวินก็เก็บสายตากลับมา ชายหญิงเหล่านี้ส่วนมากเป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ พลังปราณที่สูงที่สุดก็มีเพียงระดับหยั่งสัจจะ สำหรับหลินสวินในตอนนี้ ย่อมไม่สามารถข่มขวัญได้เลยสักนิด
“เอ๋ นี่เสี่ยวฉงจื่อ (เจ้าหนอนน้อย) สำนักยุทธ์กลุ่มดาวไม่ใช่หรือ”
จู่ๆ ก็มีคนตะโกน น้ำเสียงแฝงความเย้ยหยัน หลังจากคนกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ก็หยุดอยู่กลางอากาศ สายตาจ้องมองมา
“หึ! ข้าชื่อซย่าเสี่ยวฉง ไม่ใช่เสี่ยวฉงจื่อ”
ซย่าเสี่ยวฉงจ้องเขม็ง โต้อย่างหัวเสีย
“ฮ่าๆๆ”
ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นหัวเราะครื้นเครง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับซย่าเสี่ยวฉง รู้จักนิสัยของนางเป็นอย่างดี ท่าทีจึงหยิ่งผยองไม่เกรงกลัว
ท่ามกลางผู้ฝึกปราณกลุ่มนั้นมีผู้หญิงหลายคนยิ่งเผยสีหน้าดูถูก ราวกับไม่พอใจซย่าเสี่ยวฉงอย่างมาก
“เสี่ยวฉงจื่อ การฝึกในภูเขาโคม่วงเหลือเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น เจ้ารวบรวมจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจครบหรือยัง”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ายิ้มร่าถาม
“ยัง” ซย่าเสี่ยวฉงส่ายหน้า
หลินสวินเลิกคิ้ว ต้องยอมรับว่าซย่าเสี่ยวฉงเป็นแม่นางที่ไร้เดียงสาไม่มีพิษสงจริงๆ ฟังความเยาะเย้ยในคำพูดของชายหนุ่มคนนี้ไม่ออกสักนิด คำตอบยังซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาอย่างมาก
“ดูท่านใน ‘งานประลองใหญ่รวมสำนัก’ ของแคว้นวิญญาณอัคนี สำนักยุทธ์กลุ่มดาวของพวกเจ้าจะต้องขายหน้าเสียแล้ว ถึงตอนนั้นอาจารย์ของเจ้าจะต้องเสียหน้าเพราะเจ้าแน่”
คำพูดของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“ศิษย์พี่โม่เฟิง กับคนโง่อย่างนางมีอะไรน่าคุย พวกเรารีบลงมือกันเถอะ งานประลองใหญ่รวมสำนักครั้งนี้ สำนักวิญญาณอิงเมฆาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะหงุดหงิดไม่น้อย ส่งเสียงเตือน
“ก็จริง!”
โม่เฟิงพยักหน้า แล้วพาชายหญิงกลุ่มนี้เคลื่อนตัวไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวเหยียดห่างออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมองหลินสวินแม้แต่เสี้ยวสายตาเดียว
หลินสวินไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับดูผิดปกติเล็กน้อย ขอบตาของนางแดงเรื่อขึ้นมา ดวงตาโตใสน้ำตาคลอคล้ายจะร้องไห้ ดูเหมือนเสียใจมาก
“ท่าทีของเจ้าพวกนั้นร้ายกาจจริงๆ ให้ข้าสั่งสอนพวกเขาให้เจ้าหรือไม่” หลินสวินถาม ท่าทางน่าสงสารของเด็กสาวทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกสงสารไม่น้อย
ซย่าเสี่ยวฉงส่ายหน้า จิตใจหดหู่มาก “ข้าไม่สนใจที่พวกเขาหัวเราะเยาะ เพียงแต่กังวลว่าการฝึกครั้งนี้จะทำให้อาจารย์ขายหน้า อาจารย์ดีกับข้ามาโดยตลอด ข้าไม่อยากให้ท่านผิดหวัง”
หลินสวินคิดๆ แล้วพูดว่า “เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่างานประลองใหญ่รวมสำนักเป็นอย่างไร”
ในใจเขาได้แอบตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ถือสาที่จะช่วยเด็กสาวคนนี้สักครั้ง
ซย่าเสี่ยวฉงสูดหายใจเข้า ใช้มือขยี้ตา พยายามทำให้ตัวเองสงบ แล้วจึงเล่าเรื่องงานประลองใหญ่รวมสำนักออกมา
ตอนที่ 761 เจอความขัดแย้งระหว่างทาง
โดย
ProjectZyphon
คำว่างานประลองใหญ่รวมสำนักนี้ ความจริงนั้นเรียบง่ายมาก นั่นคือการประลองครั้งใหญ่ของขุมอำนาจ ‘สี่สำนักสามตระกูล’ แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี
สี่สำนักหมายถึงสำนักยุทธ์พันเวท สำนักกระบี่สนขจี สำนักมุกวิญญาณ และสำนักเร้นปรัชญา
นี่คือสี่สำนักที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นวิญญาณอัคนีแห่งแดนฐิติประจิม ในสำนักมีราชันกึ่งระดับควบคุมดูแล ลูกศิษย์นับไม่ถ้วน มีชื่อเสียงอย่างมากในแคว้นวิญญาณอัคนี
ส่วนสามตระกูลก็คือ สามตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหลิ่ว เซียวและเวิน
พูดถึงรากฐาน อิทธิพลของสามตระกูลใหญ่ด้อยกว่าสี่สำนักใหญ่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังคงเป็นขุมอำนาจทรงอิทธิพลของแคว้นวิญญาณอัคนี
งานประลองใหญ่รวมสำนักครั้งนี้เริ่มขึ้นโดยสี่สำนักสามตระกูล เป็นการฝึกฝนและแข่งขันที่ให้ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์เข้าร่วม
สถานที่ก็คือภูเขาโคม่วง
ระยะเวลาคือหนึ่งเดือน
เนื้อหาเรียบง่ายมาก นั่นคือล่าสังหารสัตว์ปีศาจในภูเขาเพื่อช่วงชิงจิตวิญญาณ!
เมื่อผลการทดสอบออกมา ก็จะจัดอันดับตามจำนวนของจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจที่ลูกศิษย์แต่ละฝ่ายได้มา
อันดับของลูกศิษย์ยิ่งสูง รางวัลที่จะได้ก็ยิ่งมาก
สำหรับบรรดาลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ อับดับสูงต่ำไม่เพียงจะได้รับรางวัล ยังเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่งด้วย เพียงพอจะทำให้ชื่อเสียงของตนดังไปทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!
เมื่อได้รู้เรื่องพวกนี้หลินสวินก็พอจะเข้าใจแล้ว เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่า นี่เป็นการทดสอบของผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์จากสี่สำนักสามตระกูล
แล้วซย่าเสี่ยวฉงที่มาจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาว ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจนี้ เช่นนั้นจะร่วมการทดสอบได้อย่างไร
“อาจารย์ของข้าให้ข้ามาเข้าร่วม ข้าจึงมา” ซย่าเสี่ยวฉงท่าทางดูเลอะเลือนมาก นางเองก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้นัก
หลินสวินพูดไม่ออก ในใจกลับเดาได้เป็นส่วนใหญ่ว่า อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงคงใช้วิธีอะไรสักอย่าง ทำให้ซย่าเสี่ยวฉงได้สิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้
และการที่อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นตัวแทนเพียงคนเดียวของสำนักยุทธ์กลุ่มดาว ไปประลองกับอีกเจ็ดขุมอำนาจงั้นหรือ”
สีหน้าของหลินสวินดูแปลกพิกลอยู่บ้าง
“อื้ม” ซย่าเสี่ยวฉงพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร
‘เด็กนี่เป็นหนอนน้อยเลอะเลือนโดยแท้’ หลินสวินยิ้มน้อยๆ
ใครๆ ก็ดูออกว่าในการทดสอบครั้งนี้ ซย่าเสี่ยวฉงไม่มีทางได้ผลลัพธ์ที่ดี ถึงอย่างไรนางก็หัวเดียวกระเทียมลีบ และพลังปราณก็อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น
ส่วนลูกศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจที่เข้าร่วมการทดสอบรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และคนที่พลังปราณสูงกว่าซย่าเสี่ยวฉงก็มีไม่น้อย เมื่อเทียบกันแล้วซย่าเสี่ยวฉงเสียเปรียบในการประลองครั้งนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
“อาจารย์บอกว่า ขอเพียงแค่ข้าสามารถรวบรวมจิตวิญญาณให้เต็มมุกควบรวมจิตระดับกลางในมือก่อนการทดสอบจะสิ้นสุดลงก็พอแล้ว ตอนแรกข้าคิดว่าง่ายมาก ไม่คิดว่า… ไม่คิดว่า…”
ซย่าเสี่ยวฉงเศร้าใจมาก
‘ดูเหมือนอาจารย์ของนางก็รู้ว่าการประลองในครั้งนี้สร้างความลำบากให้นาง จึงเสนอข้อเรียกร้องต่ำเช่นนี้’
หลินสวินคิดถึงตรงนี้พลันพูดว่า “อีกตั้งสิบวันกว่าการทดสอบจะสิ้นสุด ข้าช่วยเจ้าเอง”
เหนือความคาดหมาย ซย่าเสี่ยวฉงกลับส่ายหน้า “อาจารย์ของข้าบอกว่า เรื่องของตัวเองก็ต้องทำเองเท่านั้น”
หลินสวินอึ้งไป แล้วยิ้มพูด “ได้ งั้นเจ้าตามข้าคงได้นะ”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงเงยดวงหน้าเล็กใสซื่อขึ้น เผยรอยยิ้มอย่างเบิกบาน สุกสว่างไร้พิษสง
ภูเขาโคม่วงทอดยาวเหยียดติดต่อกันเป็นพันลี้ เก่าแก่และกว้างใหญ่
จากที่ซย่าเสี่ยวฉงพูด ภูเขาโคม่วงนี่ก็นับว่าเป็นแดนสมบัติที่สมบูรณ์แห่งหนึ่ง เพียงแต่ในป่ามีสัตว์ปีศาจมากมาย และไม่ขาดพวกสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่ดุร้าย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยถูกขุมอำนาจมนุษย์ยึดครอง
ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ได้รับคำเตือนตั้งแต่ตอนมาแล้ว ว่าอนุญาตให้ล่าสัตว์ได้เพียงรอบนอกเท่านั้น ห้ามเข้าไปลึก
เพราะในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงมีราชันอสูรมารที่แท้จริงยึดครองอยู่ เป็นระดับที่สูงว่าราชันกึ่งระดับ พลังน่าหวาดหวั่นยิ่ง
‘มิน่าตลอดทางจึงไม่เจอสัตว์ปีศาจเลย ต้องถูกพวกลูกศิษย์สำนักอื่นที่เข้าร่วมการทดสอบฆ่าไปหมดแล้วแน่…’
หลินสวินเพิ่งจะฉุกคิดขึ้นได้ อีกทั้งระหว่างทางเขาเห็นร่องรอยการต่อสู้อยู่บ้าง มีคราบเลือดของสัตว์ปีศาจอสูรมารและซากศพระเกะระกะ
“เจ้าเดินหน้าต่อไปเช่นนี้ไม่มีทางล่าเหยื่อได้หรอก”
หลินสวินอดเตือนไม่ได้
“หา?”
ซย่าเสี่ยวฉงอึ้ง ดวงหน้าเล็กงามเต็มไปด้วยความงงงวย
“เลอะเลือนจริงๆ เลย…”
หลินสวินกุมหน้าผากถอนหายใจเบาๆ ยัยหนูคนนี้ช่างเป็นพวกมองโลกในแง่ดี ไร้ความกังวล ไม่มีอุบายอย่างแท้จริง
“ไป ข้าจะพาเจ้าไปหาสัตว์ปีศาจ”
หลินสวินตัดสินใจนำทาง
“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าล่าสัตว์ไม่ได้” ซย่าเสี่ยวฉงรีบตามขึ้นมา ถามเหมือนเป็นเจ้าหนูขี้สงสัย
“เหตุผลง่ายมาก ระหว่างทางเจ้าก็เห็นว่ามีซากศพและคราบเลือดของสัตว์ปีศาจไม่น้อย นี่เป็นการยืนยันว่ามีคนมากมายลงมือก่อนหน้าเราแล้ว ตามหลังพวกเขาไป เจ้าคิดว่าจะยังล่าสัตว์ปีศาจได้อีกหรือ” หลินสวินอธิบายอย่างใจเย็น
“ที่ท่านพูดมีเหตุผลมากเลย สุดยอดจริงๆ!” ดวงตาคู่โตสดใสของซย่าเสี่ยวฉงทอประกาย ชื่นชมอย่างมาก
หลินสวินร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก แค่นี้สุดยอดที่ไหนกัน ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีประสบการณ์หน่อย แวบเดียวก็ดูออกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าซย่าเสี่ยวฉงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาไม่รู้ความ และที่ผ่านมาคงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้
ระหว่างพูด หลินสวินก็เร่งความเร็วมุ่งหน้าไป
ไม่นานตรงหน้าเทือกเขาสูงชันที่อยู่เบื้องหน้าก็มีเสียงต่อสู้ดังออกมา ฟังดูดุเดือดอย่างมาก แสงสมบัติเป็นประกายเปี่ยมล้น
หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งกำลังกระตุ้นสมบัติ ปิดล้อมโจมตีแรดทองทลายเกราะสามตัวอย่างดุเดือดมาก
แรดทองทลายเกราะรูปร่างคล้ายช้างยักษ์ รอบกายปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองอร่าม ระหว่างที่ทะยานตัว หินภูเขาสั่นสะเทือนต้นไม้ถล่ม ดุร้ายยิ่ง หากพูดถึงพลัง ย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ
“ที่แท้ก็เป็นพวกเขา”
หลินสวินจำได้ทันที หนุ่มสาวกลุ่มนั้นคือกลุ่มที่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ มาจากสำนักมุกวิญญาณ หนึ่งในสี่สำนักใหญ่แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าชื่อโม่เฟิง เป็นคนโดดเด่นที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง
“ทางนี้”
หลินสวินคิดๆ แล้วเปลี่ยนเส้นทาง พาซย่าเสี่ยวฉงออกไปหมายจะอ้อมบริเวณนี้
โฮก!
เพียงแต่ในสนามรบที่ห่างออกไปเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นฉับพลัน จู่ๆ แรดทองทลายเกราะตัวหนึ่งก็คำรามอย่างเดือดดาล พุ่งตัวออกจากการปิดล้อมแล้ววิ่งมาทางพวกหลินสวิน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ในลานมีเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธ ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณหลายคนตามมาลงมืออย่างเต็มกำลัง หมายจะหยุดแรดทองทลายเกราะนั่น
ตู้ม!
แสงสมบัติหลากสีพรั่งพรู โหมกระหน่ำราวกับกระแสน้ำ
หลินสวินหรี่ตา ความเย็นเยียบแวบผ่านหว่างคิ้ว เขากับซย่าเสี่ยวฉงยืนอยู่ในทิศทางนี้พอดี เดิมทีคิดว่าจะหลบหลีกไป
แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถหลบได้แล้ว ยามลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณลงมือนั้น หยิ่งผยองไร้ความกลัว ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้ จะหลบได้อย่างไร
หากไม่ได้ตั้งใจก็ช่างเถอะ สิ่งที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ เห็นได้ชัดว่าบรรดาลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณเองก็เห็นเขากับซย่าเสี่ยวฉง แต่กลับดื้อดึงเลือกจะลงมือ ท่าทีนี้มีปัญหามาก!
“อ๊าก…”
ซย่าเสี่ยวฉงกรีดร้อง เห็นได้ชัดว่าการตอบสนองของนางช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่พบความผิดปกติ พลันเห็นแรดทองทลายเกราะตัวนั้นกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง พละกำลังดุดันน่าหวาดหวั่น
และด้านหลังก็มีการโจมตีที่มืดฟ้ามัวดินปกคลุมราวกับกระแสน้ำกระหน่ำ…
สวบ!
สุดท้ายหลินสวินก็อดกลั้น ลงมืออย่างรวดเร็ว คว้าแขนซย่าเสี่ยวฉงแล้วใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งหายไปจุดเดิม ไปอยู่ด้านหลังทันที
ตู้ม!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ภายใต้การโจมตีที่ปกคลุมฟ้า ท้ายที่สุดแรดทองทลายเกราะนั่นก็หนีไม่พ้น ถูกสังหารคาที่ สุดท้ายศีรษะล้มลงในตำแหน่งที่ห่างจากหลินสวินไม่ถึงจั้ง ร่างอันใหญ่ยักษ์ทรุดล้มลงพื้น เลือดสดไหลพรู
ฟิ้ว!
พร้อมกันนั้นลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา งัดมุกควบรวมจิตสีฟ้าอ่อนเม็ดหนึ่งออกมากวาดเบาๆ รุ้งศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าจางม้วนตัวออกมา
พลันเห็นในศพแรดทองทลายเกราะ ภาพมายาจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งถูกสูบออกมา ม้วนตัวเข้าไปในมุกควบรวมจิตเม็ดนั้น
“โอ้ เสี่ยวฉงจื่อจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาวอีกแล้ว ฮ่าๆๆ ดูหน้าเล็กๆ ของเจ้าสิ ตกใจจนซีดเซียวหมดแล้ว ไม่เคยเห็นภาพนองเลือดเช่นนี้มาก่อนล่ะสิ”
ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนนั้นเก็บมุกควบรวมจิต พอเห็นซย่าเสี่ยวฉงก็พลันส่งเสียงหัวเราะเกรียว สีหน้ายั่วโทสะเต็มประดา
“ข้าไม่กลัวเสียหน่อย” ซย่าเสี่ยวฉงเงยหน้าขึ้นพูดเสียงดัง
แต่หลินสวินกลับขมวดคิ้วพูด “สหาย เจ้าไม่รู้สึกว่าควรขอโทษพวกเราหรือ”
“ขอโทษหรือ”
ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนนั้นใช้มือแคะหู ท่าทางดูประหลาดใจ “แล้วเจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าขอโทษ”
ตอนนี้แรดทองทลายเกราะอีกสองตัวก็ถูกฆ่าแล้ว จิตวิญญาณถูกสูบออกมา โม่เฟิงนำบรรดาลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณเข้ามาใกล้
“มีอะไรรึ” โม่เฟิงถาม
“เจ้าหมอนี่บอกให้พวกเราขอโทษ ข้ากำลังสงสัยว่าสมองเขาเพี้ยนหรืออย่างไร ถึงได้พูดจาตลกเช่นนี้” ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณยิ้มพูด
“ขอโทษงั้นหรือ” โม่เฟิงเลิกคิ้ว “ฮ่าๆ สหายคนนี้เข้าใจผิดหรือเปล่า เราล่าสังหารสัตว์ปีศาจอยู่ที่นี่ แต่ไม่เคยล่วงเกินเจ้าเลยนะ”
“พูดเช่นนี้ พวกเจ้ากล้าทำไม่กล้ารับงั้นหรือ”
หลินสวินถามนิ่งๆ เมื่อครู่นี้หากเขาไม่อยู่ข้างๆ แม้ซย่าเสี่ยวฉงจะหลบการจู่โจมของแรดทองทลายเกราะพ้น ก็ไม่รอดการโจมตีของลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณเหล่านั้น
แต่ตอนนี้แค่ให้ขอโทษเท่านั้น เจ้าหมอนี่กลับไม่ยอมรับ!
“เหอะๆ สหาย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีปัญหากับพวกเรามาก” ประกายเย็นเยียบแวบผ่านในตาของโม่เฟิง
สีหน้าของลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ ก็ดูไม่เป็นมิตรขึ้นมา
เด็กหนุ่มที่ดูไม่คุ้นหน้ามากๆ คนหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าพูดจาเช่นนี้กับพวกเขา หรืออยากรนหาที่ตาย
กลับเห็นหลินสวินพูดสบายๆ “คงไม่ถึงกับมีปัญหา เพียงต้องการคำอธิบายก็เท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมขอโทษงั้นก็ไม่เป็นไร เสี่ยวฉง พวกเราไปกันเถอะ”
พูดถึงตรงนี้เขาก็พาซย่าเสี่ยวฉงหมุนตัวเดินไป
นี่เหนือความคาดหมายของพวกโม่เฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าหลินสวินที่มีท่าทีแข็งกระด้างขนาดนั้น ทำไมตอนนี้จู่ๆ กลับ ‘ขี้ขลาด’ ซะแล้ว
“ฮ่าๆๆ ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ภายนอกดูเข็มแข็ง แต่ภายในจิตใจกลับขี้ขลาดตาขาว ที่แท้เจ้าหมอนี่เพียงฝืนขู่ขวัญตบตา อ่อนหัดเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้นเหล่าศิษย์สำนักมุกวิญญาณต่างหัวเราะเกรียวกราวขึ้นมา คิดว่าหลินสวินถอยเพราะกลัว
ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งยิ่งส่ายหน้าพูดอย่างผิดหวัง “คิดไม่ถึงเลย ภายนอกของเขาดูไม่ธรรมดา ที่แท้กลับเป็นแค่คนขี้ขลาด หากเมื่อครู่นี้เขาสู้สักหน่อย บางทีข้าอาจจะนับถือเขาสักสามส่วน แต่ตอนนี้ดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็เหมือนเสี่ยวฉงจื่อ ขี้ขลาดใจปลาซิว น่ามองแต่ไร้ประโยชน์”
“คนแบบนั้นไม่มีค่าให้สนใจ เรารีบลงมือกันเถอะ”
โม่เฟิงยิ้มเยาะส่ายหน้า ก่อนหน้านี้เขาดูตื้นลึกหนาบางของหลินสวินไม่ออกนัก ในใจจึงระแวงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นหลินสวินอดทนอดกลั้นพาซย่าเสี่ยวฉงออกไป เขาก็ตระหนักได้ว่าตนคิดมากไป
เด็กหนุ่มที่มั่วสุมอยู่กับซย่าเสี่ยวฉง จะเป็นคนที่เก่งกาจอะไรได้
ตอนที่ 762 ขอโทษและแก้แค้น
โดย
ProjectZyphon
“ศิษย์พี่โม่เฟิง เด็กหนุ่มคนนั้นดูผิดปกติ”
ระหว่างทางศิษย์หญิงสำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าจริงจังอยู่บ้าง นางชื่อเหวินเฟยหรัน หน้าตางดงามโดดเด่น สติปัญญาเลิศล้ำ
“ทำไมหรือ” โม่เฟิงมุ่นคิ้ว
“เด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่บนร่างกลับมีกลิ่นอายที่พาให้น่าหวาดหวั่น และสามารถมั่นใจได้ว่า เขาเองก็มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ”
ดวงตาคู่ใสของเหวินเฟยหรันเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด “การทดสอบในครั้งนี้ ข้าจำไม่ได้ว่าในขุมอำนาจอื่นมีบุคคลเช่นนี้”
โม่เฟิงขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย “เจ้าคิดว่าคนชั้นยอดที่แท้จริงคนหนึ่งจะไปเกลือกกลั้วกับยัยโง่อย่างซย่าเสี่ยวฉงหรือ”
เหวินเฟยหรันเตือน “อาจจะมีความลับอื่นซ่อนอยู่”
โม่เฟิงเริ่มหมดความอดทนแล้ว กล่าวว่า “ศิษย์น้องเหวิน ข้าถามเจ้าหน่อย หากเขามีความสามารถที่แข็งแกร่งจริง เมื่อครู่นี้เหตุใดต้องยอมถอย ถึงขั้นที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเราด้วยซ้ำ”
เหวินเฟยหรันกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง กลับเห็นโม่เฟิงโบกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดแล้ว การเคลื่อนไหวเร่งด่วนกว่า ในการทดสอบครั้งนี้ คู่ต่อสู้เดียวที่พวกเราต้องหวาดหวั่นคือเยวี่ยเจี้ยนหมิงแห่งสำนักยุทธ์พันเวทเท่านั้น เจ้าหมอนั่นถูกเรียกว่าผู้กล้าอันดับหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนี ศักยภาพแข็งแกร่งยิ่ง ครั้งนี้เขาเป็นผู้นำขบวนศิษย์สำนักยุทธ์พันเวท จะต้องมุ่งเป้าที่อันดับหนึ่งของการทดสอบอย่างแน่นอน”
พูดถึงตอนท้ายหว่างคิ้วของเขาก็อึมครึมแล้ว
“เยวี่ยเจี้ยนหมิง…”
เหวินเฟยหรันถอนหายใจในใจ ตอนที่พูดถึงชื่อนี้ก็ทำให้นางมีความรู้สึกกดดันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เช่นกัน
นี่เป็นอัจฉริยะที่ความสามารถน่าทึ่งคนหนึ่ง พรสวรรค์เกินมนุษย์ ฝึกปราณตั้งแต่อายุสามปี ทะลวงระดับกำลังภายในและก้าวสู่ระดับจิตผสานวิญญาณตอนอายุห้าปี!
และตอนอายุเก้าปี เยวี่ยเจี้ยนหมิงได้กลายเป็นบุคคลระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์แล้ว ตอนนั้นด้วยเหตุผลนี้ทำให้ชื่อของเยวี่ยเจี้ยนหมิงสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!
แต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงในตอนนี้พลังปราณยิ่งลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ว่ากันว่ามีรากฐานและหน่วยก้านที่สามารถก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขากลับกดระดับพลังของตน สิ่งที่หวังก็คือการช่วงชิงมกุฎมรรคาอันสัมบูรณ์ในพิบัติมหามรรคที่กำลังจะมาเยือน!
เผชิญกับคู่แข่งที่สะดุดตาไร้ที่เปรียบเช่นนี้ ใครจะไม่รู้สึกกดดัน
“ว่ากันว่า ไม่นานมานี้อริยะคนหนึ่งใน ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ขุมอำนาจอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมเคยกล่าวว่า สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแห่งมหามรรคได้เริ่มมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณแล้ว!”
โม่เฟิงสายตาวูบไหว “ตอนนี้ ในทุกๆ พื้นที่ทั่วหล้า ล้วนเกิดปรากฏการณ์ประหลาดและการเปลี่ยนแปลงอันเหลือเชื่อขึ้นไม่มากก็น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณว่า ม่านแห่งมหาสงครามจะเปิดออกในอีกไม่นานแล้ว”
เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดต่อว่า “ก่อนที่เหตุการณ์นี้มาเยือน พวกเราต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ คว้าทุกโอกาสพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่ง จึงจะสามารถมีที่ยืนในมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่มีอีกในอนาคตครั้งนี้!”
เหวินเฟยหรันฟังเงียบๆ ในใจกลับรู้ว่า พูดง่าย แต่ความเป็นจริงกลับยากลำบากยิ่ง
ใต้หล้านี้มีผู้กล้ามากมายนับไม่ถ้วน เจิดจ้าจรัสแสง เมื่อมหาสงครามมาเยือน กลัวก็แต่ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วยซ้ำ!
ถึงอย่างไรแคว้นวิญญาณอัคนีก็เป็นเพียงแคว้นหนึ่งในบรรดาแคว้นมากมายของแดนฐิติประจิมเท่านั้น และสำนักมุกวิญญาณของพวกเขาก็เป็นเพียงขุมอำนาจหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนี
แต่ในดินแดนรกร้างโบราณ มีถึงสี่แดนวิภูและแคว้นอีกนับไม่ถ้วน!
ยิ่งมีโลกเล็กๆ และแดนเร้นอริยะที่ลึกลับไม่อาจรู้อีกมากมาย
จากคาดการณ์เช่นนี้ พวกเขาในฐานะศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักมุกวิญญาณแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เมื่อเทียบกับอัจฉริยะนับไม่ถ้วนใต้หล้าแล้วก็สู้อะไรไม่ได้เลย
นี่ไม่ใช่เพราะเหวินเฟยหรันมองโลกในแง่ร้าย แต่นางรู้ดีว่านี่คือความจริง หากแม้แต่ความเป็นจริงยังอ่านไม่ขาด ก็อย่าคิดว่าจะเข้าร่วมในมหาสงครามเลย นั่นย่อมเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดาย เหวินเฟยหรันรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นโม่เฟิงหรือผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ ต่างไม่ฟังเรื่องพวกนี้
จู่ๆ เหวินเฟยหรันก็ชะงัก เมื่อครู่นี้พูดถึงเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่มิใช่หรือ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…
จากนั้นนางก็อดลอบยิ้มขื่นไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าโม่เฟิงไม่ฟังสิ่งที่ตนเตือน หวังเพียงว่า… ตนคงคิดมากไปเอง
……
“พวกเขาน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”
ในภูเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล ดวงหน้าเล็กใสซื่อของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แม้จะโกรธ แต่ท่าทางของนางก็ยังดูน่ารักมาก ทำให้หลินสวินยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“จริงสิ ท่านเองก็โกรธใช่หรือไม่” ซย่าเสี่ยวฉงถาม
หลินสวินขานรับว่าอืม
ใบหน้าของซย่าเสี่ยวฉงเผยความรู้สึกผิดเต็มประดา มือเล็กกำชายเสื้อพูด “ขอโทษนะ เป็นเพราะข้าคนเดียวจึงทำให้ท่านถูกพวกเขารังแก ไม่งั้น ท่านไม่ต้องไปกับข้าแล้วก็ได้”
ป๊อก!
หลินสวินอดยกมือขึ้นเขกหัวซย่าเสี่ยวฉงไม่ได้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้หากข้าไม่อยู่ เจ้าต้องประสบเคราะห์ไปแล้ว”
“เอ้อ…” ซย่าเสี่ยวฉงสีหน้างงงวย “เหมือนจะเป็นเช่นนี้จริง งั้นข้าควรจะโกรธมากกว่านี้ใช่หรือไม่”
นี่ยังต้องถามอีกหรือ
หลินสวินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที ยัยหนูคนนี้ใสซื่อเกินไปแล้ว
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี หรือเราจะกลับไปคิดบัญชีกับพวกเขา”
ซย่าเสี่ยวฉงพูดพร้อมใบหน้าทุกข์ใจ “แต่เราสู้พวกเขาไม่ได้ ถ้าถูกรังแกขึ้นมาจะทำอย่างไร ยุ่งยากจริง ถ้าอาจารย์อยู่จะต้องมีวิธีแน่…”
ฟังเสียงนางบ่นพึมพำ ดวงหน้าเล็กทุกข์ระทมยู่ย่น หลินสวินก็อดถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้
เอาเถอะ หวังให้เจ้าหนอนเลอะเลือนนี่ให้คำตอบที่แน่ชัด เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาจะเป็นคนดีให้ถึงที่สุดแล้วกัน!
“เอามุกควบรวมจิตของเจ้ามาให้ข้า”
หลินสวินพูดตรงๆ
“หา เจ้าจะทำอะไร”
ซย่าเสี่ยวฉงแปลกใจ
“ฟังคำข้า”
หลินสวินดูเผด็จการมาก
ซย่าเสี่ยวฉงขานรับว่าอ้อคำหนึ่งแล้วหยิบออกมาโดยดี
“แล้วก็ ระหว่างทางหลังจากนี้เจ้าเพียงดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว รู้ไหม”
ซย่าเสี่ยวฉงอดถามอีกไม่ได้ “เพราะอะไร”
หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีเพราะอะไร!”
ซย่าเสี่ยวฉงพยักหน้าอย่างน่าสงสาร “อือ”
“ตามข้ามา”
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ พาซย่าเสี่ยวฉงกลับไปทางเดิม เงาร่างวูบไหวด้วยความเร็วผิดปกติที่ไม่มีใครเทียบ
……
“ศิษย์พี่โม่เฟิง พบฝูงวานรเนตรเพลิงในป่าลึกข้างหน้า”
ในผืนป่า ศิษย์คนหนึ่งของสำนักมุกวิญญาณกลับมาอย่างเร่งรีบ รายงานข่าวดีอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้นพวกของโม่เฟิงก็ชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
การทดสอบในภูเขาโคม่วงครั้งนี้ ศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจต่างทุ่มสุดตัวเพื่ออันดับในตอนท้าย
และตัวกำหนดอันดับสูงต่ำก็คือจำนวนของจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจที่ล่ามาได้!
ที่น่าเสียดายคือ รอบนอกภูเขาโคม่วงแม้สัตว์ปีศาจที่เหมาะจะล่ามีมาก แต่ก็สู้จำนวนศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจไม่ได้ จึงเกิดสถานการณ์ที่ ‘ผู้ล่ามากกว่าเหยื่อ’
โดยเฉพาะเมื่อการทดสอบดำเนินถึงช่วงท้าย เหลือเวลาอีกเพียงสิบวัน สัตว์ปีศาจที่เจอระหว่างยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
นี่ทำให้พวกโม่เฟิงแอบร้อนรน ดังนั้นตอนนี้ได้เจอฝูงวานรเนตรเพลิง ย่อมเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ไป!”
โม่เฟิงโบกมือ นำทุกคนลงมือพร้อมกัน
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงป่าลึกส่วนหนึ่ง พลันเห็นก้อนหินแปลกประหลาดมากมายทับซ้อนกัน แห้งแล้งไม่มีพืชพรรณแม้แต่ต้นเดียว พื้นดินดูมืดสลัวแปลกๆ
และปลายทางของป่าลึกมีถ้ำยักษ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตอนนี้มีวานรเนตรเพลิงสี่ห้าตัวกำลังลาดตระเวนอยู่รอบๆ
วานรเนตรเพลิงเป็นสัตว์ปีศาจที่โหดเหี้ยมมากชนิดหนึ่ง ร่างกายสูงจั้งเศษ กระดูกเหล็กหนังทองแดง ปากกว้างเขี้ยวคม ขนหนาแน่นราวกับเข็มเหล็ก
“ดียิ่งนัก นี่อาจจะเป็นรังเก่าของวานรเนตรเพลิง! หากจับจังหวะได้ดี ไม่แน่ว่าอาจสามารถต้มพวกมันได้ในหม้อเดียว!”
โม่เฟิงที่เป็นหัวหน้าดีใจยกใหญ่
ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลังของวานรเนตรเพลิงอย่างมากก็แค่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ถูกปากพวกเขาพอดี
“โฮก!”
วานรเนตรเพลิงไม่กี่ตัวหน้าถ้ำห่างออกไปสังเกตเห็นอันตราย พลันส่งเสียงคำรามราวกับฟ้าร้อง โหยหวนราวกับเสียงผีสางร่ำไห้ เสียดหูไม่ชวนฟัง
“ฆ่า!”
โม่เฟิงตะโกน ความฮึมเหิมพลุ่งพล่าน มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม เขาเรียกดาบศึกสีทองอร่ามด้ามหนึ่งออกมา เตรียมนำทุกคนพุ่งไป
เพียงแต่เขาเพิ่งจะยกเท้าขึ้นเท่านั้น ก็เห็นว่าหน้าถ้ำที่อยู่ห่างไปนั่น จู่ๆ ร่างของวานรเนตรเพลิงสี่ห้าตัวนั้นก็แข็งค้างโดยพร้อมเพรียง จากนั้นล้มระเนระนาดลงพื้น ตรงลำคอมีเลือดไหลออกมาปานสายน้ำ ย้อมพื้นดินเป็นสีแดง
“นี่…”
พวกของโม่เฟิงต่างหรี่ตา ถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันซัดสะเทือนจนทำอะไรไม่ถูก อึ้งค้างอยู่กับที่
ไม่นานก็มีเงาร่างสง่างามเดินออกจากถ้ำนั้นอย่างเชื่องช้า
“เจ้า!”
โม่เฟิงร้องอย่างตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองก็จำได้ นี่คือไอ้ขี้ขลาดที่เมื่อครู่นี้ถูกพวกเขาข่มขวัญจน ‘วิ่งหนี’ มิใช่หรือ ทำไมจู่ๆ เขาถึงโผล่มาอยู่ที่นี่ได้
ส่วนเหวินเฟยหรันหัวใจกระตุกวูบทันที พลันตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี
แน่นอนว่าคนผู้นั้นคือหลินสวิน หลังจากเขาปรากฏตัว ก็หยิบมุกควบรวมจิตออกมากวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง บนศพของวานรเนตรเพลิงที่ตายไปแล้วมีจิตวิญญาณมากมายถูกสูบขึ้นมา ม้วนตัวเข้าไปในมุกควบรวมจิต
จากนั้นเขาก็ไม่แม้แต่จะมองพวกโม่เฟิง หันตัวเดินออกไปทันที
“หยุดนะ!”
โม่เฟิงตะโกนอย่างดุดัน สีหน้าอึมครึม กว่าพวกเขาจะเจอถ้ำวานรเนตรเพลิงนั้นไม่ง่ายเลย กลับถูกหลินสวินชิงไปก่อน จะให้พวกเขาทนได้อย่างไร
โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้หลินสวินยังถูกพวกเขาข่มจนวิ่งหนี ถูกพวกเขามองว่าเป็นคนขี้ขลาดไร้ประโยชน์
แต่คนขี้ขลาดคนนี้กลับแย่งเหยื่อที่พวกเขาหมายปองไว้คาตา จะให้พวกเขาทนได้อย่างไร
“ไอ้หนู เจ้ากล้าแย่งเหยื่อของพวกเรา อยากตายหรือไง”
“รีบไสหัวมานี่ ทิ้งมุกควบรวมจิตเอาไว้!”
“วันนี้หากเจ้ากล้าไป เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหักขาเจ้า”
ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองก็คาดโทษ ท่าทางไม่เป็นมิตร คำพูดยิ่งไร้มารยาทและยโสโอหังอย่างที่สุด
พวกเขาหัวเสียมากจริงๆ เหยื่อที่หมายปองไว้ในตอนแรก สุดท้ายกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า นี่ทำให้พวกเขาเดือดดาล
สวบ!
กลับเห็นเงาร่างหลินสวินวูบไหว เคลื่อนไหวราวกับไม่ได้ยิน ยังคงเคลื่อนตัวออกไปอย่างว่องไวและหายไปในชั่วพริบตา
ตอนที่โม่เฟิงไล่ตามไป เงาร่างของหลินสวินก็หายไปนานแล้ว
“แม่งเอ๊ย! เจ้าหมอนี่วิ่งไวกว่ากระต่ายเสียอีก!” โม่เฟิงโกรธจนใบหน้ามืดทะมึน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดือดดาลถึงขีดสุด
“รอคราวหน้าจับเขาได้ ข้าจะถลกหนังเขาออกมาให้ได้!”
ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองก็อัดอั้นโกรธเกรี้ยว ต่างส่งเสียงด่าคำโต แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งกลับกล้าแย่งเหยื่อของพวกเขา นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการท้าทาย
มีเพียงเหวินเฟยหรันเท่านั้นที่มุ่นคิ้วแน่น นางตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่า สถานการณ์ยิ่งผิดปกติแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนจงใจแก้แค้นพวกเขา!
ตอนที่ 763 ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณที่แทบทรุดทลาย
โดย
ProjectZyphon
คนหนีไปแล้ว ด่าไปก็ไม่มีประโยชน์
นี่ทำให้พวกโม่เฟิงแค้นจนกัดฟันกรอด ลอบเคืองใจ หากเจอตัวเด็กหนุ่มคนนั้นครั้งหน้า จะต้องให้บทเรียนที่ยากจะลืมไปทั้งชีวิตกับเขาแน่
เห็นเช่นนี้เหวินเฟยหรันอดเตือนไม่ได้ “ศิษย์พี่โม่เฟิง นี่อาจเป็นการแก้แค้นของเด็กหนุ่มคนนั้น และมันเพิ่งจะเริ่มต้น!”
“แก้แค้นหรือ ไอ้ขยะที่กล้าแต่แอบตัดหน้าพวกเรา ก็กล้าอวดอ้างว่าจะแก้แค้นพวกเราหรือ”
โม่เฟิงรู้สึกว่าเหลวไหลมาก พลันพูดเสียงเย็น “ศิษย์น้อง ต่อไปอย่าพูดอะไรไร้ประโยชน์พวกนี้อีก ในแคว้นวิญญาณอัคนี นอกจากพวกเยวี่ยเจี้ยนหมิง ข้าไม่รู้มาเลยว่าจะมีใครใจกล้าคับฟ้าถึงขนาดมาล่วงเกินพวกเรา!”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เหวินเฟยหรันเห็นเช่นนี้ก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้
……
ไม่กี่ชั่วยามหลังจากนั้น
พวกโม่เฟิงปรากฏตัวตรงตีนเขาลูกหนึ่ง บนหน้าผาของที่นี่มีรังยักษ์สีดำตั้งอยู่
ฝูงอีกาเพลิงเนตรครามที่มีปีกสีแดงดั่งเปลวเพลิงฝูงหนึ่งบินว่อน ส่งเสียงร้องแปลกประหลาด
“อีกาเพลิงเนตรครามโตเต็มวัยสิบหกตัว หากสามารถจับพวกมันได้ในครั้งเดียวก็ถือว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวที่ไม่น้อย”
ศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งตื่นเต้น
“ลงมือ!”
โม่เฟิงเองก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง
“ฆ่า”
เขาไอสังหารพลุ่งพล่าน เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าใกล้ พลันเห็นว่าอีกาเพลิงเนตรครามแต่ละตัวบนหน้าผานั่นราวกับถูกยาพิษ ร่วงจากกลางอากาศลงสู่พื้น
“นี่…”
พวกโม่เฟิงนัยน์ตาหดรัด ใบหน้าเผยความตกใจ นี่คงไม่ใช่เด็กหนุ่มนั่นลงมือตัดหน้าอีกแล้วหรอกนะ
ตามคาด พวกเขาเดาถูกแล้ว
ในสายตาพลันเห็นเงาร่างของหลินสวินเดินออกจากรังยักษ์นั่นอย่างเชื่องช้า ในมือถือมุกควบรวมจิตสีฟ้าที่ส่องประกาย กวาดเบาๆ หนึ่งครา จิตวิญญาณของอีกาเพลิงเนตรครามสิบกว่าตัวก็ถูกสูบออกมา
“แม่งเอ๊ย เขาจริงๆ ด้วย!”
ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งตะโกนอย่างเดือดดาล
แต่โม่เฟิงตรงไปตรงมายิ่งกว่า เขาไม่พูดสักคำ เมื่อเห็นหลินสวินก็พุ่งออกไปอย่างเหี้ยมหาญ ชักดาบศึกทองอร่ามเล่มหนึ่งออกมาและฟาดฟันออกไป
ห้วงอากาศพังทลาย ถูกหนึ่งดาบนี้ฟันจนเกิดรอยแยก ยินเสียงหวีดร้องของอากาศ แค่คิดก็รู้ว่าการโจมตีนี้ดุดันเพียงใด
จากจุดนี้ก็มองออกว่าในใจโม่เฟิงเดือดดาลแค่ไหน
ครั้งแรกที่ถูกตัดหน้า บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาประมาทกันเกินไป แต่หากครั้งที่สองยังถูกอีกฝ่ายตัดหน้าสำเร็จอีกละก็ นั่นไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกเขาสักนิด!
ตูม!
ประกายดาบราวกับรุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองฟันรังยักษ์ที่ห่างออกไปนั่นเป็นสองซีกโดยพลัน แม้แต่หน้าผายังถูกผ่าออก โขดหินแตกกระจาย ภูเขาทรุดตัว เสียงคำรามดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ฝุ่นควันทะลวงขึ้นฟ้า
เพียงแต่…
เงาร่างของหลินสวินได้หายไปจากตรงนั้นนานแล้ว
นี่ทำให้ศิษย์สำนักมุกวิญญาณเหล่านั้นต่างงงเป็นไก่ตาแตก เด็กนั่นเกิดปีกระต่ายหรืออย่างไร วิ่งไวไม่มีใครเทียบ!
แต่โม่เฟิงกลับอัดอั้นจนแทบกระอักเลือดแล้ว เขาลงมืออย่างรวดเร็วที่สุด แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายก็ยังหนีไปได้!
นี่ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ ใบหน้าอึมครึมไม่นิ่งขึ้นมา
อีกแล้ว…
ถูกตัดหน้าอีกแล้ว!
โม่เฟิงไม่ได้โง่ ตระหนักได้ทันทีว่าที่เหวินเฟยหรันพูดไม่ผิด เด็กหนุ่มคนนั้นคงกำลังแก้แค้นพวกเขาอยู่!
คิดถึงตรงนี้โม่เฟิงไม่เพียงไม่ได้สงบ กลับยิ่งเดือดดาล เขาเป็นถึงผู้กล้ามากสามารถของสำนักมุกวิญญาณ และเป็นอัจฉริยะที่ชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นวิญญาณอัคนี เคยถูกกระทำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“รนหาที่ตายจริงๆ!” โม่เฟิงสายตาเหี้ยมโหดน่ากลัว จิตสังหารพลุ่งพล่าน
“แปลกจริง หากเขาพบอีกาเพลิงเนตรครามก่อนพวกเรา เหตุใดไม่รีบล่าเสีย กลับรอเราปรากฏตัวก่อนค่อยลงมือ นี่มันโง่ชัดๆ”
ใบหน้าของศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย
เพี๊ยะ!
เพิ่งพูดจบเขาก็โดนตบไปฝ่ามือหนึ่ง พลันเห็นโม่เฟิงคำราม “ไอ้โง่ แปลกบ้าอะไร ดูไม่ออกหรือว่าเขาจงใจแก้แค้นพวกเรา”
ศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ กุมแก้มที่บวมแดง ไม่กล้าพูดมากอีก
“ไอ้กระจอกที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน กลับกล้าเล่นเล่ห์กับพวกเรา นี่มันเกินกว่าจะทนไหวแล้ว จะต้องลงโทษเขาให้หนัก!”
มีคนเสนออย่างเดือดดาล
“ไม่ผิด ในแคว้นวิญญาณอัคนี ศิษย์สำนักมุกวิญญาณของเราเคยถูกท้าทายซะที่ไหน หากแพร่ออกไปพวกเราก็จะกลายเป็นตัวตลกของแคว้นวิญญาณอัคนีมิใช่หรือ”
“ข้าว่าเจ้าหมอนั่นคงไม่ใช่ศิษย์ของสี่สำนักสามตระกูล มิฉะนั้นเขาย่อมไม่กล้าเหิมเกริมเช่นนี้แน่ เช่นนี้ก็ดี ตอนเราฆ่าเขาจะได้ไม่มีอะไรต้องกังวล”
“ฆ่าหรือ เช่นนั้นง่ายกับเขาเกินไปแล้ว ข้าจะป่นกระดูกและกระจายเถ้าถ่าน ถลกหนังดึงเอ็นมัน เพื่อไม่ให้สำนักอื่นๆ ในแคว้นวิญญาณอัคนีเย้ยหยันว่าสำนักมุกวิญญาณของเราไม่มีความสามารถ!”
ศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองก็พูดขึ้น ล้วนต่างหัวเสีย ถูกคู่แข่งช่วงชิงเหยื่อไปถึงสองครั้งติด ทั้งยังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา นี่มันท้าทายกันชัดๆ!
“ศิษย์น้องเหวิน เจ้าคิดอย่างไร” จู่ๆ โม่เฟิงก็ถามขึ้น
“ที่คนๆ นี้แก้แค้น ก็เพราะแค้นเคืองที่ก่อนหน้านี้ตอนพวกเราสู้กับแรดทองทลายเกราะ เกือบทำให้เขากับซย่าเสี่ยวฉงโดนลูกหลงไปด้วย ที่เขาทำเช่นนี้คงต้องการเพียงคำขอโทษ ข้าคิดว่าหากพวกเรา…”
เหวินเฟยหรันเพิ่งพูดถึงตรงนี้ โม่เฟิงก็เข้าใจแล้วว่านางจะพูดอะไร พลันมุ่นคิ้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะให้พวกเราขอโทษหรือ อย่าแม้แต่จะคิด!”
พูดเป็นเล่น!
เด็กหนุ่มที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนหนึ่ง ท้าทายพวกเขาถึงสองครั้งติด แย่งเหยื่อต่อหน้าพวกเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะให้พวกเขาไปขอโทษงั้นหรือ
นี่หากแพร่ออกไป พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ศิษย์พี่เหวิน ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณของเราเคยกลัวใครซะที่ไหน ไอ้หนูนั่นท้าทายพวกเราถึงเพียงนี้ ต้องเอาคืนด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมที่สุด มิฉะนั้นไม่เพียงแค่พวกเรา เกียรติของสำนักมุกวิญญาณก็จะได้รับความอับอายไปด้วย!”
“ไม่ผิด ศิษย์พี่เหวิน ท่านคงไม่ได้กลัวหรอกกระมัง”
ศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ ไม่พอใจอย่างมาก คิดว่าเหวินเฟยหรันระวังมากเกินไป ซึ่งไม่สมควรเลย
เหวินเฟยหรันเม้มปากแน่น ในใจกลับมีความรู้สึกจนปัญญาที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ต่อให้แคว้นวิญญาณอัคนีจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็เป็นเพียงแคว้นหนึ่งในแดนฐิติประจิมเท่านั้น หากคิดว่าด้วยฐานะผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณของตน ก็จะสามารถดูถูกคนทั้งใต้หล้าได้ นั่น… ต่างอะไรกับกบในกะลา
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนั้นแม้จะมีที่มาไม่แน่ชัด แต่การที่สามารถแย่งเหยื่อไปภายใต้สายตาของพวกเขาได้สองครั้งติดแล้วลอยนวลจากไป นี่ใช่ความสามารถที่คนธรรมดาเทียบได้ที่ไหนกัน
เพียงแต่เหวินเฟยหรันหมดกำลังใจไปแล้ว คร้านจะอธิบายอีก
นางถึงขั้นมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่า ในการเดินทางหลังจากนี้ต้องไม่สงบแน่!
……
ตามคาด ความเป็นจริงถูกเหวินเฟยหรันคาดเดาได้อย่างแม่นยำ
หลายวันหลังจากนั้น พวกเขาทำทุกวิถีทางหาเหยื่อได้อย่างยากลำบาก แต่กลับถูกเด็กหนุ่มคนนั้นแย่งไปทั้งหมด
และทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นภายใต้สายตาพวกเขา!
ผลกระทบต่อเนื่องนี้ทำให้พวกโม่เฟิงต่างอารมณ์เสียถึงขีดสุด สีหน้าก็ดูแย่มาก
แก้แค้นสินะ!
สิ่งที่ทำให้พวกเขาอัดอั้นที่สุดคือ ในทุกๆ ครั้งพวกเขาล้วนไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายเอาไว้ได้เลย ได้แต่มองเขาจากไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้พวกเขาแทบคลั่งแล้ว
“เจ้าหมอนี่… เก่งมากจริงๆ อย่างน้อยในเรื่องการหนีก็เรียกได้ว่าตะลึงโลก”
มีคนพูดเสียดสี
แค่หนีเก่งเท่านั้นหรือ
โม่เฟิงว้าวุ่นใจ ถึงขนาดนี้แล้วต่อให้เขาโง่เขลาแค่ไหนก็ตระหนักได้ว่า ครั้งนี้ล่วงเกินคนที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเข้าแล้ว!
คิดถึงตรงนี้ในใจเขาก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ ตอนนั้นเพียงแค่เกือบทำให้เจ้าหมอนั่นโดนลูกหลงขณะต่อสู้โดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น ใครจะคิดว่าเรื่องจะเลวร้ายถึงขั้นนี้
“ศิษย์พี่ พวกเราล่าจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจไม่ได้มาสี่วันติดต่อกันแล้ว อีกเพียงหกวันเท่านั้นการทดสอบครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป อันดับในการทดสอบของเราในครั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะรั้งท้าย”
มีคนกังวล
โม่เฟิงได้ยินแล้วสภาพจิตใจย่ำแย่มาก ตอนแรกด้วยศักยภาพของพวกเขา แม้จะแย่เพียงใดก็ยังได้เปรียบในการแข่งขันระหว่างลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของเจ็ดขุมอำนาจ
อีกอย่างคนที่สามารถทำให้พวกเขาหวาดหวั่นและกดดันได้ ก็มีเพียงพวกของเยวี่ยเจี้ยนหมิงแห่งสำนักยุทธ์พันเวทเท่านั้น
แต่ตอนนี้เพราะการแก้แค้นของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว!
“ศิษย์พี่ สองวันมานี้ศิษย์ของสำนักยุทธ์พันเวท สำนักกระบี่สนขจี สำนักเร้นปรัชญา รวมทั้งสามตระกูลทรงอิทธิพลต่างกำลังหัวเราะเยาะเรา มีความสุขบนความทุกข์ของพวกเรา ราวกับกลัวว่าเรื่องราวจะไม่วุ่นวายพอ น่าชังเกินไปแล้ว!”
มีคนพูดอย่างเคียดแค้น
โม่เฟิงฟังแล้วปวดหัวอย่างหนัก โกรธจนแทบจะระเบิด เหตุใดข่าวร้ายจึงเยอะถึงเพียงนี้ ตั้งแต่เจอเด็กหนุ่มคนนั้นพวกเขาก็ราวกับดวงซวยขึ้นมา ดวงตกเคราะห์ซ้ำทำอะไรก็ไม่ราบรื่น!
“ศิษย์พี่…”
ยังมีคนอ้าปากจะพูดอีก แต่กลับถูกโม่เฟิงตัดบทโดยพลัน เขาไม่อาจฟังข่าวร้ายอะไรได้อีกแล้ว ทั้งร่างแทบจะระเบิดคลั่งออกมา
ครู่ใหญ่โม่เฟิงเหลือบมองเหวินเฟยหรันที่นิ่งเงียบไม่พูดจาซึ่งอยู่ห่างออกไป แล้วเอ่ยทอดถอนใจ “ดูเหมือนว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเหวินพูดไว้เมื่อหลายวันก่อนจะไม่ผิด ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เช่นนี้ เห็นจะต้องไปคุยกับเจ้านั่นให้รู้เรื่อง…”
พลบค่ำวันนั้น ในหุบเขาเขียวชอุ่ม สิงห์พยัคฆ์วิญญาณโลหิตฝูงหนึ่งลาดตระเวนอยู่ ไอสังหารดุร้ายปกคลุมทั่วบริเวณนั้น
นี่คืออาณาเขตของสิงห์พยัคฆ์วิญญาณโลหิต
พวกโม่เฟิงมาแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ตอนที่เห็นสิงห์พยัคฆ์วิญญาณโลหิตเหล่านี้ พวกเขากลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด
ตรงกันข้าม สีหน้าของพวกเขาต่างดูซับซ้อนมาก สายตาที่มองไปยังสิงห์พยัคฆ์วิญญาณโลหิตก็แฝงความรู้สึกหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
พวกเขาไม่มีความปรารถนาจะลงมือแม้แต่เสี้ยวเดียว เพราะรู้ว่าเหยื่อพวกนี้จะถูกกวาดล้างไปท่ามกลางสายตาของพวกเขา
ตามคาด ภาพอันคุ้นเคยเกิดขึ้นแล้ว ไม่นานสิงห์พยัคฆ์วิญญาณโลหิตเหล่านั้นก็ตายคาที่อย่างแปลกประหลาด จากนั้นเงาร่างอันคุ้นชินที่พวกโม่เฟิงเกลียดจนแทบคลั่งก็ค่อยๆ ปรากฏในสายตาอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้พวกโม่เฟิงไม่ด่า ไม่ลงมือ ไม่เดือดดาลอีกแล้ว มีเพียงสีหน้าที่ยิ่งดูสับสน ในใจโศกเศร้าและอัดอั้น
“สหายช้าก่อน พวกเราอยากคุยกับเจ้า” โม่เฟิงพูดอย่างขมขื่น
ตอนที่พูดประโยคนี้ ในใจเขามีความรู้สึกอับอายที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ทั้งอัดอั้นและจนปัญญามาก ทำให้เขากำหมัดสองข้างแน่นโดยไม่รู้ตัว
เขาแอบสาบานในใจว่า เมื่อการทดสอบในครั้งนี้สิ้นสุดลง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดเด็กหนุ่มที่นำพาความอับอายอย่างที่สุดมาให้พวกเขาให้ได้!
“คุยหรือ”
ครั้งนี้หลินสวินไม่ได้จากไปในทันที ยืนมองโม่เฟิงอย่างคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มอยู่ตรงนั้น
“ใช่ คุยกันหน่อย พวกเรา…”
โม่เฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดอย่างยากลำบาก แม้แต่หัวใจยังเกร็งไปหมด เพราะรู้สึกเหมือนนี่เป็นการก้มหัวขอชีวิต เต็มไปด้วยความอับอายที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
เพียงแต่ไม่รอเขาพูดจบก็ถูกหลินสวินตัดบท “ตอนนี้ตัดสินใจจะขอโทษแล้วหรือ ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด คราวหน้าเอาความจริงใจออกมาก่อนค่อยว่ากัน”
พูดจบหลินสวินก็จากไปอีกครั้ง
เหล่าศิษย์สำนักมุกวิญญาณงงเป็นไก่ตาแตกอย่างสิ้นเชิง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น