Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 756-757

 ตอนที่ 756 อำนาจทั่วนครหลวง มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินจะไปแล้ว!


หลายวันมานี้ข่าวนี้แพร่ในนครต้องห้ามอย่างดุเดือด กลายเป็นประเด็นร้อนที่เหล่าขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณสายต่างๆ ติดตามมากที่สุด


“เฮ้อ ข้ารู้อยู่นานแล้ว ว่าเด็กหนุ่มผู้กล้าอย่างคุณชายหลินไม่มีทางอยู่ในจักรวรรดินานแน่”


“คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง ถ้าคุณชายหลินจากไปแล้ว กลัวว่าฉายานี้คงไม่มีใครมีสิทธิ์ครอบครองอีกแล้ว”


“ปลากระโดดออกจากมหาสมุทรสู่โลกอันกว้างขวาง ดอกไม้จะเบ่งบานความงดงามในอีกฟากฟ้า แม้คุณชายหลินไปดินแดนรกร้างโบราณอันลึกลับและกว้างใหญ่นั่น ก็ไม่มีทางไม่มีชื่อเสียง!”


ผู้ฝึกปราณมากมายบ้างเสียดาย บ้างให้คำอวยพร


สำหรับหลินสวิน ผู้ฝึกปราณหลายคนมีจิตใจที่ชื่นชมและยกย่อง เด็กหนุ่มผู้มาจากชายแดนซีหนาน กลับพัฒนาอย่างรุ่งโรจน์ตลอดทาง ผงาดขึ้นในนครต้องห้ามอย่างแข็งกร้าว สุดท้ายกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่คนทั่วหล้าจับตามอง


ความโดดเด่นระดับนี้ใครจะเทียบได้


และตำนานเกี่ยวกับหลินสวินยิ่งนับไม่ถ้วน ถึงตอนนี้ยังคงเผยแพร่อยู่ในนคร เป็นที่พูดถึงไม่รู้เบื่อ


เด็กหนุ่มระดับนี้จะไม่ให้คนตกใจหรือตะลึงได้อย่างไร


ตอนนี้เขากำลังจะออกจากจักรวรรดิไปแสวงมรรคาในดินแดนรกร้างโบราณ แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้คนอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง หากเด็กหนุ่มผู้กล้าคนนี้จากไป ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมา เท่ากับว่าต่อไปบุคคลระดับตำนานในนครต้องห้ามจะน้อยลงไปคนหนึ่ง!


“ฮ่าๆๆ ฟ้ามีตา ในที่สุดเจ้าคนป่าเถื่อนราวกับเทพมารนั่นก็ไปเสียที!”


“ขืนเขายังไม่ไป ในใจข้าต้องปรากฏเงามืดแน่ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์มีเขาอยู่ ย่อมไม่มีวันที่เราจะได้จรัสแสงได้อย่างเต็มที่”


“ไปซะได้ก็ดี! ข้าเพียงหวังว่าชาตินี้เขาจะไม่กลับมาอีก หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เขาเข้าสู่นครต้องห้ามก็เปรียบเสมือนดาวมารไม่มีผิดเพี้ยน ก่อเรื่องฆ่าคนไปทั่ว สร้างความวุ่นวายไม่จบสิ้น น่าปวดหัวจริงๆ”


และขุมอำนาจรวมทั้งผู้ฝึกปราณบางส่วนที่เคยมีความแค้นกับหลินสวิน ตอนที่ได้ยินว่าหลินสวินกำลังจะจากไป แต่ละคนต่างดีใจจนแทบคลั่ง พากันฉลองยิ่งใหญ่ อยากจะดื่มให้เมาเพื่อปลดปล่อยความสุขในใจจนแทบรอไม่ไหวแล้ว


ในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างพวกตระกูลฉือ ตระกูลจั่วและตระกูลฉิน บรรยายในช่วงนี้ล้วนเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ เหมือนกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลอย่างไรอย่างนั้น


ช่วยไม่ได้ เมื่อก่อนมีหลินสวินอยู่ ทำให้พวกเขาแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในใจจะถูกเงามืดบดบังอยู่แล้ว


ตอนนี้หลินสวินกำลังจะจากไป พวกเขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร


นี่ก็เหมือนการส่งเทพเจ้าแห่งโรคระบาดจากไป ทำให้ขุมอำนาจที่เป็นปรปักษ์ดีใจมากจนเกือบร้องไห้


“เพียงแค่ออกเดินทางไปยังดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น ก็สร้างความฮือฮาและเป็นที่สนใจขนาดนี้แล้ว ทั่วทั้งจักรวรรดิคงมีเพียงหลินสวินคนเดียวเท่านั้นที่มีอิทธิพลเช่นนี้”


ส่วนพวกคนนอกที่ไม่มีความแค้นและไม่ถึงกับสนิทหรือชื่นชมหลินสวิน ต่างอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจเช่นนี้ออกมา


จริงอย่างว่า ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณทั่วไปอย่าว่าแต่จากไปเลย แม้ตายคงยังไม่มีใครสนใจ


แต่หลินสวินนั้นเห็นได้ชัดว่าแตกต่างโดดเด่น


เขาในตอนนี้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วฟ้า โดดเด่นในจักรวรรดิ ทุกการกระทำล้วนส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้ฝึกปราณ ไม่อยากเป็นที่สนใจยังยาก


……


ปังๆๆ!


ในหอสุรามีกลุ่มผู้ฝึกปราณกำลังทะเลาะกันเอง ทุบโต๊ะเก้าอี้จนแหลกละเอียด สถานการณ์สับสนวุ่นวาย


“มารดามันเถอะ แน่จริงพวกเจ้าก็ว่าร้ายคุณชายหลินอีกคำดูสิ”


“หนอย หลินสวินนั่นเป็นมารปีศาจป่วนโลก ตอนนี้เขากำลังจะไปแล้ว เราฉลองสักหน่อยจะเป็นไรไป ไม่อนุญาตให้ใครพูดงั้นรึ”


เห็นได้ชัดว่าฝั่งหนึ่งเป็นคนที่ยกย่องสรรเสริญหลินสวิน อีกฝั่งหนึ่งเป็นคนที่อยากรีบไล่หลินสวินออกจากนครต้องห้ามแทบรอไม่ไหวแล้ว และนี่ก็คือเหตุผลของสองฝ่ายที่ทะเลาะกัน พาให้หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้


ทีแรกหลินสวินดื่มอยู่กับกู่เหลียง เห็นเช่นนี้ก็อดลุกขึ้นอย่างจนปัญญาไม่ได้ หมุนตัวเดินออกไป


“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าอิทธิพลของเจ้าในตอนนี้ยิ่งใหญ่ถึงขั้นนี้แล้ว”


หลังเดินออกจากหอสุรา กู่เหลียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่


หลินสวินเองก็ขัดเคืองใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าจะจากไปเงียบๆ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว


ทั้งสองถือไหเหล้า ทำได้เพียงเดินเล่นไปพลางดื่มไปพลาง


เพียงแต่ระหว่างทางกลับมีความวุ่นวายเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เจอผู้ฝึกปราณที่บ้างก็โต้เถียง บ้างก็ถลกแขนเสื้อหาเรื่อง ทะเลาะกันจนพวกสถานที่อย่างหอสุรา โรงน้ำชาและหอนางโลมเกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ดูครื้นเครงอย่างมาก


และเหตุผลล้วนเหมือนกัน เป็นการประลองฝีมือระหว่างผู้ฝึกปราณที่สนับสนุนและชื่นชมหลินสวินกับที่คนไม่สนับสนุนและไม่ชื่นชมหลินสวิน


หลินสวินเองก็ปวดหัวไม่ได้ อารมณ์จะดื่มก็หายไปแล้ว


เขาถึงขั้นสงสัยว่าถ้าตนอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน ในนครต้องห้ามคงทะเลาะกันจนสับสนวุ่นวายแน่


“เสี่ยวฮวา เจ้าอย่าดูถูกข้า โตขึ้นข้าจะกลายเป็นชายที่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าเหมือนคุณชายหลิน!”


ระหว่างทางกลุ่มเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังหยอกล้อทะเลาะวิวาท เด็กน้อยขี้มูกโป่งคนหนึ่งพูดกับเด็กหญิงอีกคนอย่างจริงจัง “ตอนนี้เพียงแค่เจ้ารับปากว่าจะเล่นกันข้า ในอนาคตเมื่อข้ากลายเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานแห่งยุคแล้ว ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า”


เด็กหญิงมัดผมชี้ฟ้า สวมเสื้อลายดอก เอามือเท้าเอวอย่างมาดมั่นยิ่ง พลันกลอกตาพูด “จางเสี่ยวฝาน เจ้าตัดใจซะเถอะ ข้าได้ข่าวว่าจนตอนนี้พี่หลินสวินยังไม่แต่งงาน รอข้าโตขึ้นจะต้องแต่งให้พี่หลินสวินแน่ ส่วนเจ้า… หึ เช็ดน้ำมูกให้สะอาดก่อนแล้วค่อยมาคุยโว!”


สีหน้าของกู่เหลียงพิกลขึ้นมาทันที แม้แต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตัวเท่านี้ยังเห็นหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้งั้นหรือ


คนรุ่นหลังเหนือล้ำกว่าก่อนจริงๆ!


“เก่งจริงพี่ชายข้า เจ้ายังมีคนรู้ใจรุ่นเยาว์อีกคน” กู่เหลียงสีหน้าขบขัน ขยิบตาล้อหลินสวิน


หลินสวินตอบกลับเพียง “ไสหัวไป!”


จากนั้นเขาก็หิ้วไหเหล้ารีบหนีออกจากที่นั่น เด็กน้อยเหล่านั้นพูดอย่างไม่กลัวเกรง เขากังวลว่าจะได้ยินคำพูดไม่เข้าท่าอะไรอีก


“ในอนาคตเมื่อเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ เจ้าคบเพื่อนให้มากๆ จะได้ไม่โดดเดี่ยวเหมือนตอนนี้…”


เห็นหลินสวินที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนในระยะไกล กู่เหลียงกลับถอนหายใจทีหนึ่ง


ใต้หล้านี้คนที่รู้ชื่อเสียงของหลินสวินมีเยอะเหมือนขนวัว แต่จนถึงตอนนี้คงยังไม่มีใครที่เข้าใจหลินสวินได้อย่างแท้จริง


เขาเดินออกจากภูเขานับแสนของชายแดนซีหนานตัวคนเดียว ผจญภัยบนโลกเพียงลำพัง เหยียบย่างผ่านเมืองตงหลิน เมืองหมอกอำพราง ค่ายกระหายเลือดและนครต้องห้าม


เคยไปที่ทะเลกลืนวิญญาณ เคยเข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือด แต่ในทุกๆ ครั้งเขามักเดินทางคนเดียว


คนบนโลกล้วนตะลึงกับชื่อเสียงนี้ มองเห็นเพียงด้านที่รุ่งโรจน์และสดใส ความโดดเดี่ยวที่จารึกไว้เบื้องหลังจะมีสักกี่คนที่รู้


โดดเดี่ยว!


นี่คือภาพจำที่หลินสวินทิ้งไว้ให้กู่เหลียง


บางทีกู่เหลียงคิดว่า นี่อาจจะเรียกว่ายิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว


แม้จะเป็นเพื่อน แต่กู่เหลียงกลับไม่เคยรู้ว่าหลินสวินคิดอะไรอยู่กันแน่ และแบกความกดดันที่ไม่มีใครรู้ไว้มากเท่าไหร่


ห่างออกไป หลินสวินมุ่งหน้าไปเพียงลำพัง ชุดสีขาวพระจันทร์ ผมสีดำขลับสยายลู่ลง ในมือถือไหเหล้าสีคราม รูปร่างผ่าเผย เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วดูสง่างามอย่างมาก


เพียงแต่กู่เหลียงกลับยิ่งรู้สึกว่า หลินสวินที่เดินอยู่ห่างไปเพียงลำพังนี้ ดูแตกต่างกับทุกสิ่งที่จอแจพลุกพล่านอย่างมาก


นี่ก็คือการฝึกปราณหรือ


บางทีสิ่งที่เขาตามหา อาจจะหลุดพ้นเหนือโลกีย์ก็เป็นได้


กู่เหลียงส่ายหน้าแล้วรีบตามไป


……


เช้าตรู่สองวันหลังจากนั้น ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสว่าง


เมื่อคืนหิมะตก ทั้งนครต้องห้ามถูกปกคลุมภายใต้โลกสีขาวโพลน เป็นประกายพร่างพราว มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แบบหนึ่ง


ตอนที่หลินสวินเดินออกจากประตูภูเขาชำระจิต จ้าวไท่ไหลรออยู่ที่นั่นแล้ว


หลังจากทักทายกัน หลินสวินอดหันกลับไปมองภูเขาชำระจิตที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ สุดท้ายก็หมุนตัวกลับมาเงียบๆ ก้าวเท้าขึ้นเกี้ยวสมบัติไป


“หิมะเต็มนคร ช่างเป็นภาพที่สวยงาม!”


จ้าวไท่ไหลหัวเราะเสียงดัง แล้วบังคับเกี้ยวสมบัติพุ่งเข้ากลางพายุหิมะ


“รักษาตัว!”


หน้าประตูภูเขาชำระจิต เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ทั้งหลิงจง พญาแร้ง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซานและหลินไหวหย่วน… ต่างเฝ้ามองเกี้ยวสมบัติคันนั้นค่อยๆ ห่างออกไป สุดท้ายหายไปท่ามกลางหมอกหิมะขาวโพลน


หลังจากหลินสวินไปคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ สำหรับคนตระกูลหลินเหล่านี้แล้ว อย่างไรก็ต้องมีความอาลัยอาวรณ์และห่วงใยอยู่ไม่น้อย


“จิ๊บๆ…”


ในอ้อมอกของเสี่ยวเคอ ดวงตาของเจ้าจิ๊บจิ๊บตัวกลมน้ำตาปริ่ม ไหลพรากลงกลายเป็นหยดน้ำตาที่ราวกับเพชรเพลิง


เจ้าตัวเล็กเองก็เหมือนจะรู้ว่าจะไม่ได้เจอหลินสวินอีกนาน จึงร้องไห้เสียใจมาก


ป๊าบ!


เสี่ยวเคอตบหัวนุ่มนิ่มของเจ้าจิ๊บจิ๊บไปทีหนึ่ง “ร้องไห้อะไร ไม่ได้ตายจากกันสักหน่อย อ่อนไหวจริงๆ เลย”


ทุกคนยิ้มออกทันที ความเศร้าจากการจากลาก็จางไปไม่น้อย


“ดินแดนรกร้างโบราณ กว้างใหญ่เก่าแก่ ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมีเผ่าพันธุ์มากมาย มีสำนักโบราณไม่รู้เท่าไหร่ที่ยืนหยัดตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ยิ่งมีอริยะที่แท้จริงเริงร่ายอยู่ในนั้น…”


เสียงของพญาแร้งแฝงความภาคภูมิใจ “ด้วยคุณสมบัติและรากฐานของหลินสวิน จะต้องสามารถประสบความสำเร็จที่นั่นอย่างแน่นอน ต่อสู้กับผู้กล้ามากมาย จรัสแสงอย่างยิ่งใหญ่!”


ทุกคนได้ยินแล้วต่างเลือดลมพลุ่งพล่าน อวยพรหลินสวินอยู่ในใจ


……


พระราชวัง


พระราชวังในช่วงเช้าตรู่ปกคลุมอยู่ภายใต้หิมะสีขาว เงียบเหงาแต่น่าเกรงขาม บรรยากาศสุดแสนจะอลังการ


เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งแล่นผ่านคลื่นหิมะเข้าพระราชวังไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยถูกสิ่งใดกีดขวาง สุดท้ายมันจอดนิ่งหน้าแท่นบูชาโบราณหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวัง


แท่นบูชาสูงเก้าจั้ง สร้างจากดินห้าสี ตรงกลางประทับภาพเก้าวัง ส่วนบนเชื่อมฟ้า ส่วนล่างเชื่อมดิน มีกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์และโดดเด่น


ตอนที่หลินสวินเดินออกจากเกี้ยวสมบัติ จ้าวไท่ไหลตบไหล่เขาพร้อมเอ่ย “ไปดี ไม่ส่งล่ะ แล้วพบกันใหม่”


หลินสวินหมดคำพูด แทบจะกลอกตาใส่ จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ทำชุ่ยๆ เกินไปหรือเปล่า


พลันเห็นจ้าวไท่ไหลบังคับเกี้ยวสมบัติออกไปไกลแล้ว พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะของเขาก็ดังลั่นอยู่ในสายลม “แค่ไปดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย เศร้าเกินไปมันไม่ดี ตรงกันข้าม ข้าอยากรีบได้ยินข่าวดีที่เจ้าป่วนดินแดนรกร้างโบราณแทบไม่ไหวแล้ว! ฮ่าๆๆ”


ป่วนดินแดนรกร้างโบราณ…


หน้าผากหลินสวินพลันปรากฏเส้นเลือดนูนขึ้นมา หรือในสายตาของจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น ตนเป็นคนที่ก่อเรื่องไปทั่วมาโดยตลอด?


หิมะขาวเรืองรอง กลับไม่เคยปกคลุมแท่นบูชาอันเก่าแก่ลึกลับที่อยู่ตรงหน้า


มันพิเศษมาก มีกลิ่นอายเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ ราวกับมีร่องรอยของห้วงอากาศและกาลเวลาแผ่กระจายอยู่บนพื้นผิว ทำให้หลินสวินมีความรู้สึกงงงวยเหมือนพื้นที่เวลาปั่นป่วน


“เจ้ามาแล้ว”


เสียงอันอบอุ่นราบเรียบดังขึ้นโดยพลัน


ตอนที่ 757 ฟังคำแนะนำจากท่าน

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินหันไป ก็เห็นบุรุษหล่อเหลาราวกับหยกที่ไม่รู้มายืนอยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไหร่


คนผู้นี้สวมชุดสีเขียวเรียบง่ายสะอาดตา เท้าสวมรองเท้าสาน ผมดำปล่อยอยู่หลังศีรษะอย่างสบายๆ บุคลิกสง่าปานต้นสน


ผิวพรรณของเขาขาวกระจ่างราวกับหยก เครื่องหน้าให้ความรู้สึกคมสันชัดเจน ดูกร้าวแกร่งและหล่อเหลา


โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ของเขา สงบลึกล้ำ นิ่งประหนึ่งทะเลสาบ ราวกับสามารถสะท้อนสรรพสิ่งบนโลกได้ ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตา


ดูจากภายนอกไม่สามารถดูออกว่าชายคนนี้อายุเท่าไหร่กันแน่ แต่หลินสวินกลับรู้สึกถึงความน่าเกรงขามที่ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง


ราวกับเผชิญกับผู้เป็นใหญ่ที่ควบคุมจักรวาล มีวาจาสิทธิ์ ความน่าเกรงขามไร้รูปนั่นทำให้หลินสวินเกร็งไปทั้งตัว


ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ หลินสวินก็รู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งจักรวรรดิ!


เพียงแต่ผู้สูงส่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแผ่นดิน ควบคุมดูแลบ้านเมือง แม้ว่าจะสวมใส่ชุดธรรมดาและเรียบง่ายแค่ไหน ความน่าเกรงขามในขั้วกระดูกนั่นกลับไม่สามารถปกปิดได้


“คารวะ… ผู้อาวุโส”


หลินสวินประสานหมัด นี่เป็นมารยาทระหว่างผู้ฝึกปราณ แยกได้จากการเรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’ ไม่ใช่ ‘ฝ่าบาท’


ชายคนนั้นยิ้มน้อยๆ “ไม่ว่าอำนาจในโลกจะยิ่งใหญ่เพียงใด สำหรับผู้ฝึกปราณที่ก้าวสู่มหามรรค ท้ายที่สุดก็ไม่มีความหมาย ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจจุดนี้แล้ว”


เสียงของเขาอบอุ่นและราบเรียบ ทว่ากลับมีนัยน่าเกรงขาม


พูดจบเขาก็ชี้แท่นบูชาห้าสีที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกล่าว “ก้าวขึ้นแท่นบูชานี้ ก็จะสามารถเข้าสู่ช่องทางที่ไปยังดินแดนรกร้างโบราณ เพียงแต่ยามนี้ไม่เหมือนในอดีต พิบัติมหามรรคใกล้เข้ามาแล้ว ส่งผลให้อุโมงค์ช่องทางไม่มั่นคง เจ้าไปคราวนี้ต้องระวังให้มาก”


หลินสวินพยักหน้า แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าจักรพรรดิจะมาส่งตนด้วยตัวเอง แต่ตอนที่เวลานี้มาเยือน ในใจยังคงอดหวั่นไหวไม่ได้


ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลชั้นยอดที่ผู้คนใต้หล้าเคารพยำเกรง ทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนเลื่อมใส!


ควบคุมอำนาจบ้านเมือง ครอบครองดินแดนทั่วทุกสารทิศ ทอดสายตามองไปใต้หล้า หากพูดถึงฐานะ ใครจะสามารถทัดเทียมเสมอเหมือน


ในเวลานี้จักรพรรดิหันกลับมาพร้อมสีหน้าอบอุ่น ยิ้มน้อยๆ กล่าว “แม้เราจะพบกันครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินหลายคนพูดถึงเจ้า”


“จักรพรรดินีบอกว่าเจ้านิสัยหยิ่งผยองหายาก ทำอะไรตามอำเภอใจ จะเกิดเรื่องได้ง่าย”


“ไท่ไหลบอกว่าเจ้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย นิสัยโหดเหี้ยมเด็ดขาดอย่างที่สุด หากเป็นศัตรูของจักรวรรดิ จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค นำหายนะมาสู่ใต้หล้า”


หลินสวินฟังแล้วเหงื่อตกขึ้นมา ลอบก่นด่าในใจ จักรพรรดินีว่าตนเช่นนั้นก็ช่างเถอะ แต่จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์จ้าวไท่ไหลพูดแต่คำพูดไม่เข้าหูได้อย่างไร


พบกันคราวหน้าจะต้องขูดรีดให้หนัก!


“ส่วนจิ่งเซวียนบอกว่า…”


จักรพรรดิพูดถึงตรงนี้ แววตาลึกล้ำปรากฏแววพิกลวูบหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับทอดถอนใจอยู่บ้าง


“นาง… พูดว่าอะไร” หลินสวินอดถามไม่ได้ สงสัยมากจริงๆ ว่าจ้าวจิ่งเซวียนจะวิจารณ์ตนอย่างไร


“นางบอกว่าเจ้าก็คือเจ้า ไม่ว่าคนอื่นจะมองอย่างไรก็ตาม” จักรพรรดิพูดจบก็หัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่


หลินสวินอึ้งงันในตอนแรก หลังจากคิดตามอย่างละเอียดแล้วก็หัวเราะออกมาเช่นกัน มีความรู้สึกโปร่งโล่งเหมือนกับมีผู้รู้ใจ


จ้าวจิ่งเซวียน…


นึกถึงสาวงามที่ทั้งสดใสและเป็นอิสระคนนี้ ในใจหลินสวินก็มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนได้เจอสหายรู้ใจ ไม่ต้องอธิบายก็สามารถเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ ทำให้หลินสวินรู้สึกลึกล้ำยิ่ง


หลินสวินกลับไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าในตอนนี้ของเขาอยู่ในสายตาของจักรพรรดิที่อยู่ข้างๆ สีหน้าของฝ่ายหลังเผยแววซับซ้อนอันยากจะสังเกตเสี้ยวหนึ่ง


ความรู้สึกเช่นนี้มีบางส่วนคล้ายกับพ่อตาเจอลูกเขยเป็นครั้งแรก แต่ก็มีบางส่วนไม่เหมือนนัก ดูละเอียดอ่อนอย่างมาก


หลินสวินรู้สึกอึดอัดขึ้นมากะทันหัน พอเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของจักรพรรดิก็กลับสู่ปกตินานแล้ว ทำให้เขาไม่เห็นความผิดปกติเลยสักนิด


จักรพรรดิกล่าว “และในความคิดของข้า ที่พวกเขาพูดล้วนไม่ผิด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ คนผู้หนึ่งย่อมมีความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะบนเส้นทางมหามรรค ทุกย่างก้าวอาจจะทำให้จิตใจของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”


หลินสวินเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง เมื่อก่อนเขาชอบยิ้มมาก เพราะตอนนั้นเขาคิดว่า รอยยิ้มเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการปกปิดความรู้สึกในใจ


แต่ตอนนี้หลินสวินกลับไม่คิดเช่นนี้แล้ว


จิตใจของคนคนหนึ่ง ท้ายที่สุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่ก็คือการเติบโตและความเปลี่ยนแปลง และบนเส้นทางมหามรรคนี้ เพียงยึดมั่นในจิตใจ เดินตามเสียงหัวใจของตนก็เพียงพอแล้ว


จักรพรรดิไม่ได้พูดต่อ จบประเด็นนี้ไป วันนี้ที่เขามาส่งหลินสวินด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อมาพูดคุยเรื่อยเปื่อย


“ดินแดนรกร้างโบราณกว้างใหญ่ไพศาลราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะเป็นบุคคลที่ก้าวสู่อริยมรรค ก็ยากจะคาดเดาความยิ่งใหญ่ของมันได้ ที่แห่งนั้นผู้กล้าถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน ราวกับหมู่ดาวเป็นประกายนับไม่ถ้วน หากจะแข่งขันและช่วงชิงมหามรรค ที่นั่นเป็นเวทีที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดแล้วจริงๆ”


ดวงตาของจักรพรรดิทอดมองไปไกล น้ำเสียงราบเรียบนิ่งสงบ “ตอนนี้อย่างน้อยอีกสิบปี อย่างมากร้อยปี พิบัติมหามรรคจะมาเยือนโลกอย่างเต็มรูปแบบ เปิดม่านยุคแห่งมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงตอนนั้นเกรงว่าเหล่าสำนักที่จำศีลเก็บตัวเงียบนานปีจะปรากฏสู่โลกอีกครั้ง”


“ดินแดนรกร้างโบราณจะต้องกลายเป็นดินแดนแห่งการต่อสู้มรรคของผู้ฝึกปราณ โลกจะตกอยู่ท่ามกลางความสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งในอดีตในในอนาคต!”


พูดถึงตรงนี้จักรพรรดิพลันหันกลับมา ในดวงตาสงบลึกล้ำสาดแสงศักดิ์สิทธิ์ “เจ้าไปเยือนดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้ จำไว้เพียงคำเดียวก็พอแล้ว”


“คำใดหรือ” หลินสวินหัวใจสะท้าน


“สู้!”


จักรพรรดิพูดคำหนึ่งออกจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา บนใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกเผยความเผด็จการเย้ยหยันโลกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน น่าสะพรึงไร้เทียมทาน


“การต่อสู้มหามรรคประหนึ่งเรือนับร้อยแย่งกันวิ่งบนผิวน้ำ ช้าไปก้าวหนึ่ง ชีวิตนี้… อาจไม่มีหวังที่จะก้าวสู่ระดับสูงสุดของมหามรรคได้อีก!”


หลินสวินหัวใจสั่นไหว จำได้ขึ้นใจแล้ว เหตุผลนี้เขาเข้าใจมานานแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เมื่อได้ยินจากปากจักรพรรดิ กลับทำให้เขารู้สึกสั่นสะเทือน


“และถ้าอยากช่วงชิงมหาศุภโชคในมหาสงครามที่กำลังจะเปิดม่านขึ้นนี้ สิ่งที่ต้องใช้ก็คือพลัง”


จักรพรรดิพูดถึงตรงนี้ก็กล่าวเตือนหลินสวินเป็นพิเศษ “การเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของเจ้ามักจะใช้วิธียืมพลังผู้อื่นมาสะท้อนพลัง นี่เป็นเพียงแค่วิถีเล็กๆ เท่านั้น เจ้าต้องจำไว้ว่า เมื่อเผชิญกับพลังที่แท้จริง แม้สติปัญญาของเจ้าจะล้นฟ้า กลยุทธ์ตะลึงโลก ก็ยังจะถูกโจมตีจนร่างแหลกละเอียดอย่างแน่นอน”


“นี่ จึงจะเรียกว่ามหามรรค!”


“พลัง…” หลินสวินพึมพำ


“ใช่! การเปลี่ยนแปลงของจิตใจ การยกระดับของพลังปราณ ความยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของร่างกาย ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว ล้วนแสดงให้เห็นจากการเปลี่ยนแปลงของพลังที่คนเราครอบครอง พลังเช่นนี้สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นราชัน สามารถต้านทานอมตะเคราะห์ ยิ่งสามารถบรรลุสู่อริยะ!”


สิ่งที่จักรวรรดิพูดไม่ใช่วิธีการฝึกปราณ เป็นเพียงการตระหนักรู้ในการฝึกปราณเท่านั้น ดูเรียบง่ายยิ่ง แต่สำหรับหลินสวินกลับล้ำค่าอย่างมาก


“มหามรรคเทวานี้ก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง เพียงแต่ต้องหยั่งรู้และเข้าใจ”


“วิชานับหมื่นพันก็คือวิธีการใช้พลัง เพียงแต่ต้องฝึกฝนและควบคุม”


“แม้แต่ความรู้ ประสบการณ์ ความคิดความอ่านที่เจ้าครอบครองก็เป็นพลังภายในอย่างหนึ่ง มีสิ่งเหล่านี้จึงจะทำให้เจ้าเข้าใจแก่นแท้จริงของการฝึกปราณยิ่งขึ้นไปอีกขั้น”


“ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่าพลังไม่ใช่เพียงแค่ความรุนแรงเท่านั้น แต่เป็นการอธิบายคำว่าบำเพ็ญเพียรที่ง่ายที่สุด!”


คำพูดเหล่านี้ของจักรพรรดิทำให้ในใจหลินสวินไม่สงบอย่างมาก เขาจดจำทั้งหมดไว้เงียบๆ นี่เป็นคำสอนที่ไม่อาจร้องขอ พาให้หลินสวินซาบซึ้งอย่างที่สุด


“การต่อสู้มหามรรค สิ่งที่ตัดสินแพ้ชนะก็คือพลังที่เรามี มหาสงครามในครั้งนี้จะปรากฏมหาศุภโชคที่ไม่อาจคาดเดาได้ หนึ่งในนั้นรวมไปถึงโอกาสที่จะกลายเป็นมกุฎราชัน”


“มกุฎราชันงั้นหรือ” หลินสวินหรี่ตา


“ไม่ผิด มกุฎมรรคาถูกเรียกว่าเป็นมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แม้แต่ในสมัยบรรพกาล มรรคาเช่นนี้ก็หายากและบางเบายิ่ง ยากที่จะเป็นจริง แต่ในมหาสงครามครั้งนี้ เส้นทางมหามรรคที่แทบจะเป็นตำนานนี้ จะต้องปรากฏสู่โลกอย่างแน่นอน!”


จักรพรรดิมองหลินสวินแล้วกล่าว “ปัจจุบันแม้เจ้าสามารถเหยียบย่างในขอบเขตนี้ได้ แต่เป็นเพียงการเบิกทางขั้นต้นเท่านั้น มีเพียงการกลายเป็นมกุฎราชันที่แท้จริง จึงจะเข้าใจความเร้นลับที่แท้จริงของมรรคาสายนี้ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดแน่นอน”


ราชัน ก็คือคำเรียกผู้ฝึกปราณที่มีพลังระดับสังสารวัฏ


ส่วนมกุฎราชัน แน่นอนว่าเป็นบุคคลน่ากลัวที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาแห่งระดับสังสารวัฏ


อิงตามที่จักรพรรดิกล่าว ในอดีตไม่เคยปรากฏมกุฎราชันแม้แต่คนเดียว! ต่อให้เป็นในยุคบรรพกาล ข่าวลือเกี่ยวกับมกุฎราชันก็ดูบางเบาและไม่เป็นจริง บันทึกเกี่ยวกับขอบเขตนี้ยิ่งยากจะค้นหาและพบเจอ


แต่ขอบเขตนี้มีอยู่จริงอย่างไม่ต้องสงสัย


นี่คือข้อสรุปอันเป็นเอกฉันท์ของนักปราชญ์เมธีนับไม่ถ้วนตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน!


และเมื่อยุคแห่งมหาสงครามมาเยือน ขอบเขตในตำนานนี้ก็อาจจะปรากฏสู่โลก ต้องดูว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะสามารถ ‘สู้’ จนได้สิ่งนี้มาไว้ในมือ!


ทำความเข้าใจเงียบๆ อยู่นานกว่าหลินสวินจะได้สติ คำนับอย่างจริงจัง “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”


ความซาบซึ้งนี้มาจากใจจริง หากไม่ได้คำเตือนและชี้แนะของจักรพรรดิ เขาก็ไม่รู้เลยว่า ที่แท้สิ่งที่เรียกว่ามหาสงครามมีรายละเอียดมากเพียงนี้


จักรพรรดิเผยรอยยิ้มอันลึกลับ “รอเจ้าก้าวสู่ขอบเขตมกุฎราชันค่อยกลับมาขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย”


“กลับมาหรือ” หลินสวินสัมผัสได้อย่างว่องไวว่าคำนี้มีนัยลึกซึ้งมาก


จักรพรรดิพยักหน้า พูดสบายๆ ว่า “ใช่ รอเจ้าไปถึงขอบเขตระดับนั้น จะต้องหวนกลับมาอีกครั้งแน่ เพราะมีเพียงใน ‘โลกชั้นล่าง’ ของพวกเราเท่านั้นที่ซ่อนโอกาสในการบำเพ็ญเพียรที่เจ้าต้องการในตอนนั้น”


“โอกาสในการบำเพ็ญเพียรที่มกุฎราชันต้องการหรือ” หลินสวินชะงัก


จักรพรรดิยิ้ม พูดเนิบๆ ว่า “ส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณมีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ในสมรภูมิกระหายเลือดมีป่าต้นหม่อนที่อริยะบรรพกาลหมายปอง เจ้าคิดว่า ‘โลกชั้นล่าง’ แห่งนี้จะแห้งแล้งและธรรมดาอย่างที่ทุกคนเห็นงั้นหรือ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)