Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 754-755
ตอนที่ 754 เตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง
โดย
ProjectZyphon
ตอนอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด จ้าวซิงเย่เคยรับปากหลินสวินว่า หากไปขอ ‘คำอธิบาย’ จากตระกูลฉิน จะพาหลินสวินไปด้วย
และในคืนนี้เอง จ้าวซิงเย่และหลินสวินก็มาด้วยกัน
แต่จากปฏิกิริยาตื่นตกใจของเหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลฉินสามารถรู้ได้ว่า ราชันสังสารวัฏฉินฉู่ไม่ได้บอกเรื่องที่เคยรับปากในสมรภูมิกระหายเลือดกับคนตระกูลฉินเหล่านี้
ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนไม่สำคัญ หลินสวินมาคราวนี้เพราะจะดูว่าจ้าวซิงเย่ ‘สังหารโหด’ ตระกูลฉินอย่างไร เรื่องอื่นเขาไม่จำเป็นต้องกังวล
……
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
หลินสวินออกจากตระกูลฉินพร้อมกับจ้าวซิงเย่ด้วยรอยยิ้มพอใจ
แต่ตระกูลฉินที่อยู่ข้างหลังพวกเขากลับมีเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นเป็นระลอก แทรกด้วยเสียงแตกของถ้วยชา ได้ยินอย่างชัดเจนไม่ว่าจะใกล้หรือไกล
หลินสวินอดมีความสุขอีกครั้งไม่ได้
ในการเจรจาก่อนหน้านี้ เมื่อคนตระกูลฉินเหล่านั้นได้ยินว่าฉินฉู่จะบริจาคทรัพย์สมบัติและกำลังทั้งหมดของตระกูลให้กับจักรวรรดิ พลันหน้าเขียวกันทั้งแถบ แต่ละคนโกรธจนแทบคลั่ง
แต่ต่อหน้าจ้าวซิงเย่พวกเขากลับไม่กล้าบุ่มบ่าม ทำให้แม้พวกเขาจะโกรธถึงขีดสุด กลับทำได้เพียงอดทน ท่าทางอึมครึมและอัดอั้นเช่นนั้น หลินสวินนึกถึงทีไรก็อดขำไม่ได้
สุดท้ายภายใต้ท่าทีที่ ‘ป่าเถื่อนไร้เหตุผล’ ของจ้าวซิงเย่ ตระกูลฉินจำต้องยอมจ่ายอย่างหนักหน่วง
เพียงแค่เหรียญทองที่บริจาคก็มากถึงหลายสิบล้าน นอกจากนี้ยังมีผลึกวิญญาณระดับสูงหนึ่งแสนชิ้น และรับปากว่าจะยกทัพหมื่นคนของตระกูลฉินไปทำสงครามให้จักรวรรดิที่สมรภูมิกระหายเลือด
นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่สูงมาก!
แม้ตระกูลฉินจะเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง แต่การจ่ายมากเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับแล่เนื้อชิ้นหนึ่งออกจากตัว
“เจ้าหนู เจ้าพอใจหรือไม่” จ้าวซิงเย่คล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ฟันขาวเป็นประกาย ตาโตและเย้ายวน
“เฮ้อ สุดท้ายฉินฉู่นั่นก็ไม่สามารถทำตามสัญญาได้” หลินสวินถอนหายใจกล่าว
จ้าวซิงเย่กลอกตาใส่เขาทีหนึ่งพลันพูด “เจ้ารู้จักพอเสียบ้าง อย่างไรตระกูลฉินก็เป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง แม้แต่ข้าก็ทำเกินไปไม่ได้ อยากให้ตระกูลฉินบริจาคทรัพย์สมบัติและกำลังทั้งหมดโดยดี นอกจากว่า…”
“นอกจากอะไร”
“นอกจากมีพลังที่เหนือกว่าระดับราชัน!”
“นี่…”
หลินสวินหรี่ตาคู่ดำขลับลง ครู่ใหญ่จึงพูดว่า “ดูเหมือนว่าต้องรอข้าไปจัดการเรื่องนี้ในภายภาคหน้าด้วยตัวเอง”
“งั้นข้าจะรอข่าวดีของเจ้า”
จ้าวซิงเย่ไม่ใส่ใจนัก
พลังที่เหนือกว่าระดับราชัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องก้าวสู่หนทางการข้ามอมตะเคราะห์ ด้วยพลังปราณของหลินสวินในตอนนี้ ยังห่างจากเป้าหมายนี้ไกลมาก
จากการคาดเดาของนาง ด้วยพรสวรรค์และรากฐานที่หลินสวินมี ต่อให้ในเส้นทางฝึกปราณไม่มีความเสี่ยงและอุปสรรคใด อย่างน้อยก็ต้องหลังจากร้อยปีจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้!
หลินสวินยิ้มและไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
ความจริงพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ยังเร็วไป แต่ต่อไปหากมีพลังที่สามารถล้มล้างตระกูลจั่วและฉินได้ หลินสวินย่อมไม่เกรงใจแน่!
……
ภูเขาชำระจิต
หลังจากสู้ชนะชิงเจ๋อแล้วตามจ้าวซิงเย่ไปรีดไถ ‘ค่าชดเชย’ จากตระกูลฉินอย่างรุนแรง หลินสวินก็เก็บตัวไม่โผล่หน้าออกมาอีก
เขากำลังเตรียมพร้อมเดินทางไปดินแดนรกร้างโบราณ
“เจดีย์สมบัติไร้อักษร ดาบหัก ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ศรแห่งนภาคราม… พวกนี้เป็นสมบัติที่ต้องพกติดตัว”
หลินสวินกำลังตรวจนับสมบัติที่ตนได้รับในช่วงหลายปีมานี้
ไม่ตรวจนับก็ไม่รู้ พอนับก็ตกใจทันที คิดไม่ถึงเลยว่าหลายปีมานี้ตนสะสมสมบัติได้มากมายขนาดนี้แล้ว
ในบรรดาสมบัติเหล่านี้มีวัตถุดิบวิญญาณที่แปลกประหลาดชนิดต่างๆ มีโอสถวิญญาณที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน มีสมบัติและทรัพย์หลังศึกที่ได้จากศัตรูและอื่นๆ อีกมากมายหลากหลายประเภท
แน่นอนว่าก็มีสมบัติที่เมื่อก่อนอาจจะเรียกได้ว่าล้ำค่า แต่ปัจจุบันไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของหลินสวินแล้ว
สุดท้ายหลังผ่านการเลือกอย่างละเอียด หลินสวินตัดสินใจทิ้งสมบัติส่วนใหญ่ไว้ที่ตระกูลหลิน เพื่อให้คนในตระกูลใช้
ส่วนตัวเขาเก็บไว้เพียงเจดีย์สมบัติไร้อักษร ดาบหัก ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ศรแห่งนภาคราม นอกจากนี้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรยังสยบสมบัติลับสองชิ้นอย่าง ‘ทวนศึกผนึกฟ้า’ และ ‘บรรทัดทลาย’ ไว้อีกด้วย
พวกมันมาจากเผ่าวาฬมังกรและเผ่ากวางหยกในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณตามลำดับ ล้วนเป็นอาวุธบรรพบุรุษพิทักษ์เผ่า!
สมบัติสองชิ้นนี้แม้ปัจจุบันถูกสยบอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร แต่ก็ยังดิ้นรนและต่อต้าน ไม่สามารถกำราบได้โดยสมบูรณ์ ดูน่าอัศจรรย์อย่างที่สุด
หลินสวินไม่สงสัยเลยสักนิดว่าหากเอาพวกมันออกมา ด้วยพลังของตนย่อมไม่สามารถกำราบพวกมัน จะทำให้พวกมันหนีออกไปได้!
โชคดีที่เจดีย์สมบัติไร้อักษรอัศจรรย์อย่างมาก แสงมรรคทองนิลกาฬที่อยู่ภายในมีพลังการควบคุม สามารถสยบพวกมันได้
“ยังมีน้ำเต้าหลอมวิญญาณนี่อีก!”
หลินสวินหัวใจสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง เขาเกือบลืมสมบัติชิ้นนี้ไปแล้ว!
มันแวววาวเหมือนหยกเพลิง กระจ่างโปร่งใส พื้นผิวเต็มไปด้วยประกายแห่งจิตวิญญาณ ราวกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์มากมายกำลังลุกโหม
เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบว่าบนนั้นประทับลายมรรคอันลึกลับและคลุมเครือราวกับลายเมฆขด สลักลวดลายโบราณอย่างการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บุปผปักษามัจฉาแมลง จิตวิญญาณอันเป็นธรรมชาติวนเวียนอยู่ภายใน ทำให้มันดูเหมือนมีชีวิต
นั่นคือร่องรอยแห่งมรรค มหัศจรรย์ไม่อาจคาดเดา!
นี่ก็คือน้ำเต้าหลอมวิญญาณ เป็นสมบัติโบราณชิ้นหนึ่งที่หลินสวินได้มาจากแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นในแดนวิญญาณโบราณ ถูกฝังไว้ตั้งแต่บรรพกาลจนปัจจุบัน ยังคงสมบูรณ์ไร้ซึ่งความเสียหาย!
ตรงปากน้ำเต้าถูกลวดลายลึกลับปิดผนึกอยู่ ราวกับเปลวเพลิงเดือดพล่าน เหมือนตราเพลิงอันสว่างไสวประทับอยู่
ตอนที่ได้น้ำเต้าหลอมวิญญาณ หลินสวินก็รู้ที่มาอย่างละเอียดว่ามาจากสำนักสมัยบรรพกาลที่มีชื่อว่าแดนพิสุทธ์ยอดยุทธ์
และสิ่งที่ปิดผนึกอยู่ในน้ำเต้าก็คือเลือดสีม่วงหยดหนึ่ง!
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ยิ่งละอายใจ น้ำเต้าหลอมวิญญาณและหยดเลือดสีม่วงที่อยู่ภายในเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่อาจร้องขอได้อย่างแน่นอน
แต่ตนเกือบลืมไปแล้ว…
ไม่ควรเลยจริงๆ!
ปัง!
หลินสวินถือน้ำเต้าหลอมวิญญาณไว้ในมือ ลังเลอยู่ครู่ก็อดเปิดผนึกลึกลับตรงปากน้ำเต้าอีกครั้งไม่ได้
ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีม่วงม้วนตัวออกมา อากาศรอบๆ ถูกเผาไหม้ทันที เกิดคลื่นความร้อนอันน่าสะพรึงกระจายไปทั่วสารทิศ
หลินสวินเห็นสิ่งแปลกประหลาดจนชินไปแล้ว จึงแทรกจิตรับรู้เข้าไปอย่างระมัดระวัง
ส่วนลึกของน้ำเต้า หยดเลือดสีม่วงลอยอยู่ งดงามเป็นประกาย ภายในมีสายฟ้าเจิดจ้ากะพริบวูบไหวอยู่ ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่ากลัว
ตอนที่ได้สมบัตินี้ครั้งแรก หลินสวินมีพลังปราณเพียงระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ดังนั้นยามเห็นเลือดสีม่วงหยดนี้ จิตวิญญาณของเขาจึงถูกสะเทือน
แต่ปัจจุบันเขามีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะแล้ว ทั้งยังก้าวสู่มกุฎมรรคา ทว่าเมื่อสัมผัสเลือดสีม่วงหยดนี้อีกครั้งก็ยังคงรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว เย็นเยียบไปหมด
นั่นเป็นเพียงเลือดหยดหนึ่งเท่านั้น กลับเหมือนรวบรวมพลังมหาศาลเอาไว้ ให้ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอันยากจะบรรยาย น่ากลัวและน่าทึ่งเกินไปแล้ว
ตู้ม!
ทันใดนั้นเลือดสีม่วงปล่อยสายฟ้าเจิดจ้าออกมา ฟันใส่จิตรับรู้ของหลินสวิน
หลินสวินไม่กล้าคิดมากความ โคจร ‘ตะวันจรัสแสง’ ลบล้างสายฟ้านั่นในทันใด
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงคำรามอันเย็นชาดังก้องขึ้นมา…
‘เจ้าเฒ่าอู๋จิ้ว สักวันเมื่อเปิ่นจั้วหลุดออกไปได้ จะชำระล้างแดนพิสุทธิ์ยอดยุทธ์ด้วยเลือด!’
เสียงนั่นสะเทือนห้วงนิมิต เขย่าจนจิตวิญญาณของหลินสวินสั่นเทา ทว่าหลินสวินเตรียมพร้อมก่อนแล้วจึงไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างไร
ไม่นานเขาก็ปิดผนึกน้ำเต้าหลอมวิญญาณอีกครั้งแล้วใคร่ครวญ
หลินสวินรู้มาก่อนแล้วว่าเลือดสีม่วงหยดนี้เป็นเลือดหัวใจของผู้ยิ่งใหญ่สมัยบรรพกาลที่น่าสะท้านขวัญ ภายในแฝงเร้นด้วย ‘แก่นมรรค’ ของเจ้าของเลือดสีม่วงหยดนี้
แก่นมรรค ก็คือพลังอันยอดเยี่ยมที่แฝงไว้ซึ่งมรดกมหามรรคในตำนานอย่างหนึ่ง!
‘เจ้าเฒ่าอู๋จิ้ว’ แห่งแดนพิสุทธ์ยอดยุทธ์ ในตอนนั้นเคยกรีดเลือดหัวใจสามพันหยดของเจ้าของเลือดสีม่วง เพื่อลบล้างเจตจำนงของเจ้าของเลือดม่วงอย่างสิ้นเชิง ช่วงชิงมรดกมหามรรคที่อยู่ภายใน
สิ่งที่สามารถมั่นใจได้คือ ระหว่างเจ้าของเลือดม่วงกับแดนพิสุทธ์ยอดยุทธ์จะต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างแน่นอน เพียงแค่บุญคุณความแค้นนี้เกิดขึ้นในอดีตกาล ผ่านมานานมากแล้ว
หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่า แดนพิสุทธ์ยอดยุทธ์คงจะถูกทำลายไปตามกาลเวลาตั้งนานแล้ว
‘น่าเสียดาย พลังที่แฝงอยู่ในเลือดสีม่วงหยดนี้น่ากลัวเกินไป ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวา กลัวว่าคงมีเพียงตอนที่พลังปราณถึงระดับกระบวนแปรจุติ จึงจะมีโอกาสลองหลอมแก่นมรรคที่แฝงอยู่ภายใน…’
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ เก็บน้ำเต้าหลอมวิญญาณไปอย่างระมัดระวัง
หากไม่พูดถึงเลือดม่วง เพียงแค่ที่มาของน้ำเต้าหลอมวิญญาณก็ไม่ธรรมดา ประทับร่องรอยมหามรรคอันลึกลับ ผ่านการกัดกร่อนไปตามกาลเวลาอย่างไร้ขีดจำกัดแต่ยังสมบูรณ์ไม่มีความเสียหาย ช่างน่าอัศจรรย์อย่างที่สุด
‘เจ้าคางคกและซย่าจื้อก็ต้องพาไปด้วยกัน’
หลังจากจัดหมวดหมู่สมบัติต่างๆ หลินสวินก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ตนจะจากไปมีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ ‘สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องเลือกตัวแทนที่จะมาครอบครองอำนาจบนภูเขาชำระจิตก่อน…’
หลายวันหลังจากนั้นที่ตำหนักชำระจิต
หลินสวินเรียกบุคคลชั้นนำของตระกูลหลินมารวมตัวกัน ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ต่อไปให้หลินไหวหย่วนเป็นตัวแทนครอบครองอำนาจภูเขาชำระจิต!
ในขณะเดียวกันก็ให้หลินจงและพญาแร้งเป็นผู้อาวุโส ช่วยหลินไหวหย่วนครอบครองอำนาจ
นี่เป็นผลลัพธ์หลังจากหลินสวิน หลินจงและพญาแร้งหารือกัน แม้ที่ผ่านมาหลินไหวหย่วนทำเรื่องเลอะเลือนไปบ้าง แต่ความสามารถและทักษะนั้นเรียกได้ว่าโดดเด่น
นอกจากนี้เขาเดินตามรอยเท้าหลินสวินอย่างสุดจิตสุดใจตั้งนานแล้ว การให้ครอบครองอำนาจภูเขาชำระจิตจึงเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
บวกกับความช่วยเหลือจากหลินจงและพญาแร้ง ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดปัญหาใหญ่อะไร
ถึงอย่างนั้นตอนที่ได้ยินการแต่งตั้งนี้ ยังคงทำให้ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะหลินไหวหย่วนยิ่งงุนงงที่สุด
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนจะถูกเลือก ไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด!
หลินไหวหย่วนลุกขึ้นพร้อมร่างกายที่สั่นเทา นี่เป็นผลมาจากความตื่นเต้นที่มากเกินไป หลินสวินไว้วางใจเขาถึงเพียงนี้ ให้เขาครอบครองอำนาจภูเขาชำระจิต นี่ทำให้เขาอยากร้องไห้ออกมา
“ผู้นำวางใจได้! ข้าจะดูแลทุกเรื่องของตระกูลหลินอย่างดี ไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ อย่างแน่นอน!”
หลินไหวหย่วนลุกขึ้นทันควัน สูดหายใจเข้าลึกๆ ให้คำมั่นสัญญาอย่างเฉียบขาด
ตอนนี้แม้หลินสวินให้เขาไปตาย เขาก็คงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว!
นี่คือความรู้สึกของหลินไหวหย่วนในตอนนี้!
และเมื่อผ่านเรื่องนี้ กลุ่มคนเบื้องบนตระกูลหลินที่นั่งอยู่ต่างตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มผู้นำตระกูลของพวกเขากำลังจะจากไป และมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณแล้ว!
ตอนที่ 755 ทำนายโชคเคราะห์
โดย
ProjectZyphon
“ข้าจะไปแล้ว”
บนถนนอันเจริญรุ่งเรืองของนครต้องห้าม หลินสวินเอามือไพล่หลังเดินเคียงข้างกู่เหลียงด้วยท่าทางสบายๆ
บนถนนคึกคักมาก คนและรถราวิ่งกันขวักไขว่ ผู้คนพลุกพล่าน เจริญรุ่งเรืองเช่นเคย
นี่ก็คือเมืองหลวงของจักรวรรดิ เป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าปรารถนาที่สุด ในทุกๆ วันมีหนุ่มสาวไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ที่เพิ่งเข้าสู่สังคมเดินทางไกลหลายพันลี้มาเพื่อแสวงหาชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ ต่างคาดหวังที่ยืนในเมืองใหญ่นี้
ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย!
หลินสวินรับรู้เรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
เพียงแต่ปัจจุบันชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วหล้าแล้ว โดดเด่นเหนือใครในบรรดาคนรุ่นเยาว์ และตอนนี้กำลังจะจากไป อย่างไรก็ต้องอาลัยอาวรณ์เมืองนี้อยู่บ้าง
“ได้ยินข่าวแล้ว ตอนนี้ข่าวที่เจ้าจะไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณแพร่ไปทั่วนครต้องห้ามแล้ว เพียงแต่…”
กู่เหลียงลังเลอยู่ครู่จึงถามว่า “เจ้าจะกลับมาหรือไม่”
หลินสวินชะงัก “กลับมาสิ อย่างไรบ้านข้าก็อยู่ที่นี่”
กู่เหลียงยิ้ม สายตามองไปไกลๆ พร้อมพูดว่า “เรื่องนี้ก็ไม่แน่ โลกภายนอกกว้างใหญ่มาก ใหญ่จนเหนือจินตนาการ แสงสีมากมายงดงามและมีสีสัน หากก้าวสู่เส้นทางนี้ ใครจะมั่นใจว่าชีวิตนี้จะได้กลับมาอีก”
ทันใดนั้นเขาพลันตบไหล่หลินสวินพร้อมยิ้มพูด “แต่ข้าดีใจที่เจ้าไป ในใจข้า สำหรับเจ้าแล้วจักรวรรดิเป็นแค่สระน้ำเล็กๆ ไม่พอให้เจ้าผจญภัย เจ้าต้องการเวทีที่ใหญ่กว่า ฟ้าดินที่กว้างขวางกว่า จึงจะสามารถสำแดงปณิธานในใจได้ ไปได้ไกลยิ่งกว่าบนเส้นทางมหามรรค!”
หลินสวินเงียบ
ทั้งสองเดินเล่นพลางพูดคุยด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย และมาถึงที่ตั้งของหอดูดาวหลวงโดยไม่รู้ตัว
หอดูดาวหลวงสูงเก้าพันฉื่อ ตั้งตระหง่านทรงพลังพุ่งสู่ฟากฟ้า
“ได้ยินว่ายอดหอดูดาวหลวงสามารถมองลงมาเห็นนครต้องห้ามกว่าครึ่ง และเป็นสถานที่ทำนายลักษณ์ฟ้า ทำนายดวงชะตาจักรวรรดิ”
กู่เหลียงเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดว่า “โดยเฉพาะราชครูบนหอดูดาวหลวง มีทักษะเชื่อมสวรรค์ที่ไม่อาจคาดเดา เล่าลือกันว่าบนโลกนี้แทบไม่มีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้ เรียกได้ว่าสติปัญญาดุจดั่งมหาสมุทร ราวกับผู้พยากรณ์”
“ราชครูหรือ…”
แววประหลาดแวบผ่านนัยน์ตาหลินสวิน เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าราชครูคนนี้อาศัยอยู่อย่างสันโดษบนหอดูดาวหลวงตลอดทั้งปี เป็นบุคคลลึกลับที่มีตำนานสีสันอย่างที่สุดในจักรวรรดิ
ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือผู้ฝึกปราณในใต้หล้า ล้วนให้ความเคารพราวกับเทพเทวดา!
“ก่อนไปถ้าได้ราชครูทำนายดวงชะตาให้เจ้า ถามโชคเคราะห์สักหน่อยก็คงยิ่งดี”
กู่เหลียงกล่าวทอดถอนใจ “แต่น่าเสียดาย ได้ยินว่าราชครูท่านนี้ละทางโลกไปนานปีแล้ว คงไม่สามารถเป็นไปตามปรารถนาของเจ้าได้”
“ทำนายโชคเคราะห์งั้นหรือ”
หลินสวินยิ้ม เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้
คำว่าโชคชะตามีตัวแปรหลายอย่างที่ไม่แน่นอน เกี่ยวพันกันเพราะผลกรรม จะทำนายโชคเคราะห์มั่วซั่วได้อย่างไร
“ไปกันเถอะ”
หลินสวินหมุนตัวจะเดินกลับ แต่ในชั่วขณะนั้นประตูบานหนึ่งของชั้นล่างหอดูดาวหลวง กลับมีเด็กชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาคำนับหลินสวินพร้อมเอ่ย “คุณชายหลินช้าก่อน ท่านราชครูกำชับลงมาว่าให้เชิญคุณชายขึ้นไปดื่มชา”
หลินสวินอึ้งไปชั่วขณะ อดเงยหน้าขึ้นมองหอดูดาวหลวงที่สูงเสียดฟ้าไม่ได้ สีหน้าดูแปลกเล็กน้อย
กลับเห็นกู่เหลียงดีใจยกใหญ่ ใช้แขนสะกิดหลินสวินทีหนึ่งพร้อมเอ่ย “ราชครูมีคำเชิญ ยังไม่รีบไปอีก นี่เป็นโอกาสที่หายากและมีค่ามาก จำไว้ว่าให้ท่านทำนายดวงชะตาให้เจ้าด้วย!”
หลินสวินหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ คิดๆ แล้วสุดท้ายเขาก็พยักหน้ารับ
เขาเองก็แปลกใจ ตอนที่ตนกำลังจะจากไป ราชครูที่ไม่เคยเห็นหน้าผู้นี้ต้องการพบตนด้วยเรื่องอะไร
……
ตอนที่เดินตามเด็กชุดเขียวขึ้นไปตามบันไดจนถึงบนยอดหอดูดาวหลวง ก็ราวกับมาถึงบนชั้นเมฆ
เมื่อมองลงไป นครต้องห้ามกว่าครึ่งสะท้อนเข้าสู่สายตา ห่างไปไกลสิ่งก่อสร้างเรียงรายกันราวกับใยแมงมุม บนท้องถนนผู้คนราวกับฝูงมด รถม้าเพ่นพ่าน ดูเล็กอย่างที่สุด
เพียงชั่วขณะเท่านั้นหลินสวินพลันเกิดความรู้สึกยิ่งใหญ่ หัวใจปลดโปร่ง
ใต้ฝ่าเท้าคือโลกโลกีย์ ควันเมฆรุ่งเรืองราวกับคลื่นไหลหลั่ง แต่ตัวเขานั้นอยู่ในชั้นเมฆ ประหนึ่งหลุดพ้นสรรพสิ่ง
“เป็นสถานที่ที่ดียิ่ง” หลินสวินถอนหายใจ
“จากตรงนี้สามารถท่าทีต่างๆ ของสรรพชีวิต มองเห็นฟ้าดินที่สูงตระหง่านยาวไกล เช่นนี้กลับได้รู้ว่าสรรพชีวิตล้วนมีทุกข์ ฟ้าดินไร้ปรานี”
เสียงทุ้มต่ำชราดังขึ้นข้างๆ
หลินสวินหันไปเห็นชายชราในชุดคลุมสีเทา หนวดเคราสีขาว ริ้วรอยร่องลึกเต็มใบหน้า ดูแก่ชราอย่างที่สุดคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชาอย่างสง่า
ร่างกายของเขาเต็มไปกลิ่นอายของกาลเวลา ให้ความรู้สึกของการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่แววตากลับใสสะอาดราวกับเด็กทารก หมดจดกระจ่างใสประหนึ่งสามารถสะท้อนความลับที่ลึกที่สุดในใจมนุษย์
“คารวะผู้อาวุโส” หลินสวินคารวะ
ความจริงในใจเขาสั่นไหวเล็กน้อย กลิ่นอายบนร่างชายชราผู้นี้ราบเรียบมาก แต่กลับให้ความรู้สึกไม่มีที่สิ้นสุดราวกับท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล คาดเดายากกว่าราชันทุกคนที่เขาเคยเจอ!
“นั่งสิ”
ราชครูหยิบกาน้ำชาขึ้นรินให้หลินสวินถ้วยหนึ่ง ท่าทางเนิบช้าแต่กลับมีพลังที่พาให้รู้สึกสงบ
หลินสวินเองก็ไม่เกรงใจ นั่งขัดสมาธิหน้าโต๊ะน้ำชาแล้วยกถ้วยขึ้นลิ้มรส
น้ำชามีรสขมเป็นเอกลักษณ์ ทำให้หลินสวินไม่คุ้นชินเล็กน้อย แต่ไม่นานก็พบว่า หลังจากความขมกลับมีรสหวานละมุนอ่อนๆ ทำให้จิตใจเบิกบานผ่อนคลาย
สายตาใสกระจ่างราวกับทารกของราชครูมองหลินสวินแล้วเอ่ย “หลังจากข้าเข้ามาอยู่ในหอดูดาวหลวง ในหลายพันปีมานี้ข้าเคยเห็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะราวผู้กล้าจากสวรรค์มาแล้วมากมาย แต่มีเพียงเจ้าที่ข้าอ่านไม่ใคร่ออก ต้องยอมรับว่าลู่ป๋อหยาสอนลูกศิษย์ออกมาได้ดีจริงๆ”
หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหวเล็กน้อย “ผู้อาวุโสรู้จักท่านลู่ด้วยหรือ”
ราชครูพยักหน้า “เคยเจอครั้งหนึ่ง มรรคาที่ข้ากับเขาเลือกเดินไม่เหมือนกัน จึงไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ในใจข้านับถือลู่ป๋อหยามาก เพียงแต่เสียดาย มรรคาที่เขาเดินอันตรายเกินไป ต้องการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา สุดท้ายก็นำพาปัญหาใหญ่หลวงมา”
พลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา!
หลินสวินพลันรู้สึกสับสนอยู่บ้าง นึกถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์ที่ท่านลู่ให้ตนมา และนึกถึงฝ่ามือยักษ์บังฟ้าที่ทำลายล้างทั้งท่านลู่และคุกใต้เหมืองจนหมดสิ้น
“ผู้อาวุโส…”
หลินสวินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง กลับเห็นราชครูส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “ความเป็นความตายของลู่ป๋อหยา ข้าเองก็ไม่รู้ชัด”
ขณะที่หลินสวินกำลังผิดหวังอยู่นั้น ราชครูกลับเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “แต่ข้าสามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่า คนร้ายที่ทำลายที่อยู่ของเขาตอนนั้น น่าจะมาจากดินแดนรกร้างโบราณ”
พูดถึงตรงนี้นัยน์ตากระจ่างของราชครูดูลึกล้ำขึ้นมา เสียงก็บางเบาขึ้นเล็กน้อย “และในดินแดนรกร้างโบราณ คนที่กล้าทำเช่นนี้ บางทีอำนาจอิทธิพล อย่างน้อยๆ คงต้องมีรากฐานระดับอริยะเทพ…”
จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า “พูดได้ยาก ลู่ป๋อหยาประสบเคราะห์เพราะพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา ความรุนแรงของเคราะห์นี้ยากจะคาดเดาให้ชัดเจน”
“แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้คือ ที่ท่านลู่ประสบเคราะห์เกี่ยวข้องกับการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา!” หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าว
มีอีกประโยคที่เขาไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือเขาถึงขั้นสงสัยว่าที่ท่านลู่ประสบเคราะห์ เกี่ยวข้องกับห้องโถงมรรคาสวรรค์ที่ตนครอบครองอยู่!
ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะการมีอยู่ของห้องโถงมรรคาสวรรค์ ทำให้ตนถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ไม่ต่างอะไรกับการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาอย่างแท้จริง!
‘ท่านลู่… รับเคราะห์เพื่อตนแท้ๆ!’
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็หัวใจสั่นไหวขึ้นมา มีความรู้สึกขอบคุณและกรุ่นโกรธอย่างพูดไม่ถูก
มือยักษ์บดบังฟ้าที่ทำลายล้างท่านลู่มาจากไหนกันแน่
“การคาดเดาของเจ้าไม่ผิด รอให้เจ้าเหยียบย่างบนเส้นทางก้าวข้ามอมตะเคราะห์ก็จะเข้าใจว่า การพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาเป็นมรรคาที่น่ากลัวเพียงใด บางทีมีเพียงการเข้าใจเรื่องนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถค้นพบเหตุผลว่าตอนนั้นลู่ป๋อหยาประสบเคราะห์ได้อย่างไร”
คำพูดเหล่านี้ของราชครูเท่ากับการชี้ทางให้หลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินพลันลุกขึ้นโค้งคำนับ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
“ไปเถอะ จักรวรรดินี้เล็กเกินไปสำหรับเจ้า ไม่ว่าจะแก้แค้นหรือแสวงหามรรคา ดินแดนรกร้างโบราณต่างหากจึงจะเป็นที่ที่เจ้าควรไป”
ราชครูยกถ้วยชาขึ้น สายตากลับมองไกลออกไป ที่นั่นภูผาธาราราวกับภาพวาด ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด
หลินสวินกล่าวลาทันทีแล้วจากไปเงียบๆ
เคร้ง!
หลินสวินกลับไปได้ไม่นาน ก็เห็นราชครูมือสั่นระริก ถ้วยชาที่ถืออยู่ร่วงหล่นลง น้ำชาสาดกระเซ็นเต็มโต๊ะ
ใบหน้าที่เดิมทีก็แก่ชราอยู่แล้วของราชครูยิ่งดูชราเข้าไปใหญ่ มีกลิ่นอายที่แทบจะเปื่อยยุ่ยเพิ่มเข้ามา
เพียงแต่ตอนนี้เขากลับเหมือนไม่รู้สึกตัว มองไกลออกไปอย่างอึ้งงั้น ราวกับมีเรื่องหนักใจ สีหน้าสับสนไม่แน่นอน
“เป็นอย่างไร”
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ใบหน้าของเขาซูบผอม เสื้อตัวหลวมใหญ่ ท่าทางแฝงกลิ่นอายตระหง่านยิ่งใหญ่อย่างบอกไม่ถูก ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ ราวกับภูเขาลูกหนึ่งที่สามารถบดบังลมฝนบนโลกได้!
ถ้าหลินสวินอยู่ที่นี่ต้องจำได้แน่ว่า คนผู้นี้คือเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต!
“ไม่เกินจากที่คาดเอาไว้ ลู่ป๋อหยาได้ฝังเมล็ดพันธุ์ต้นหนึ่งเอาไว้แล้ว ค้นพบความหวังเสี้ยวหนึ่งบนมรรคาที่เขาแสวงหา…”
ราชครูพึมพำ ริ้วรอยบนใบหน้าย่นยู่ สีหน้าสับสนอย่างที่สุด
ดวงตาของเจ้าสำนักพลันเจิดจ้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เปล่งประกายราวกับเพลิงที่ลุกโหม คล้ายว่าสามารถมองทะลุเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน “สัญญาณของพิบัติมหามรรคเริ่มมาเยือนแล้ว สามารถมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่งย่อมดีกว่าไม่มีหวัง!”
“เพียงแต่หนทางข้างหน้าของเด็กคนนี้…”
ราชครูถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาแบมือซ้ายที่เก็บไว้ในแขนเสื้อตลอด มีกระดองเต่าโบราณชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
“ทำไมหรือ” นัยน์ตาเจ้าสำนักหดรัดลง
“ราวกับหมอกหนาไร้สิ้นสุด ไม่สามารถมองทะลุได้!” ราชครูพูดออกมาทีละคำ แสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะท้านแวบผ่านดวงตาคู่ใส
เจ้าสำนักขมวดคิ้วเงียบไปนานกว่าจะคลายลง สายตาราวกับสายฟ้า เย่อหยิ่งและน่าสะพรึง เอ่ยว่า “นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าตัวแปร เมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อบรรลุต่อไป!”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ราชครูเก็บเศษกระดองเต่าบนฝ่ามือเงียบๆ
เขาไม่ได้บอกเจ้าสำนักว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาทำนายโชคเคราะห์ให้หลินสวิน ยังมองเห็นภาพที่ตะลึงโลกภาพหนึ่ง…
เส้นทางข้างหน้าของเขา เป็นหมอกหนาไร้สิ้นสุดมองอะไรไม่เห็น
แต่ด้านหลังของเขา ฟ้าดินกลับถล่มทลาย สรรพสิ่งพังพินาศ ทุกอย่างหายไป!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น